วิธีตั้งค่า “ระบบนำทาง” ที่ถูกต้อง ไม่ต้องกลัวพาอ้อม-หลงทาง

วิธีตั้งค่า “ระบบนำทาง” ที่ถูกต้อง ไม่ต้องกลัวพาอ้อม-หลงทาง

           ปัจจุบันระบบนำทางระบบจีพีเอส มีใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มตั้งแต่อุปกรณ์ประเภท Standalone สำหรับใช้นำทางโดยเฉพาะ (เช่น Garmin, Kamaz และอื่นๆ) ไปจนถึงระบบนำทางในสมาร์ทโฟน ที่มีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้มากมาย แต่ด้วยข้อจำกัดของการอัพเดตข้อมูลแผนที่ ทำให้ถนนบางสาย (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ยังคงขึ้นว่าสามารถขับรถผ่านได้ ทั้งๆที่ถนนเหล่านั้นอาจเป็นเพียงเส้นทางเดินแคบๆ หรือถนนเก่าแก่ที่แทบจะไม่มีใครใช้สัญจรกัน ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คุณผู้อ่านเข้าใจผิดเพราะเชื่อเนวิเกเตอร์มากเกินไป มีคำแนะนำ 5 ประการดังนี้

1.รอให้เนวิเกเตอร์ล็อคสัญญาณจีพีเอสก่อนเดินทาง

           คนส่วนใหญ่มักหยิบโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์เนวิเกเตอร์ขึ้นมา แล้วใส่จุดหมายปลายทางลงไปทันทีโดยไม่รอให้ตัวเครื่องจับสัญญาณจีพีเอสได้ก่อน ทำให้ตำแหน่งที่คุณอยู่ไม่ตรงกับจุดเริ่มต้นบนเนวิเกเตอร์ ส่งผลให้การวางแผนเดินทางล่วงหน้าผิดพลาดได้

           หากเป็นระบบนำทางบนมือถือที่มีระบบ A-GPS อาจใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาทีในการล็อคสัญญาณ แต่หากเป็นเครื่องนำทางโดยเฉพาะที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจใช้เวลาล็อคสัญญาณราว 3-5 นาทีก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้เปิดใช้เป็นเวลานานๆ

2.หลีกเลี่ยงการนำทางแบบ “Shortest Route”

           เนวิเกเตอร์บางรุ่นหรือบางแอพพลิเคชั่นบนมือถือบางตัว สามารถปรับรูปแบบการเลือกเส้นทางได้ แต่คุณแนะนำให้หลีกเลี่ยงการนำทางแบบ “Shortest Route” หรือ “ทางที่ใกล้ที่สุด” เพราะเนวิเกเตอร์จะพาคุณไปยังเส้นทางที่สั้นที่สุดตามข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ ซึ่งอาจเป็นทางลูกรังชนิดล้อเกวียนแตก หรือทางที่เลิกใช้ไปนานมากแล้ว

           แนะนำให้ปรับเป็นแบบ Quickest Route ที่เน้นวิ่งบนถนนเส้นหลัก หรือ Economy Route ในกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงทางด่วนหรือด่านจ่ายเงิน (ชื่อเรียกอาจแตกต่างไปตามแต่ละยี่ห้อ)

3.ตรวจสอบตำแหน่งจุดหมายปลายทางทุกครั้ง

           เมื่อพบสถานที่ปลายทางบนเนวิเกเตอร์แล้ว ควรตรวจสอบรายละเอียดสถานที่นั้นๆให้ดีเสียก่อน ว่าชื่อซอย, ถนน, ตำบล, อำเภอ, จังหวัด ตรงกับที่คุณต้องการจะไปจริงๆ บางสถานที่อาจมีชื่อซ้ำกันแต่อยู่คนละจังหวัด  แต่บางที่อยู่อำเภอเดียวกันแถมชื่อยังเหมือนกัน แบบนี้ต้องเช็คให้ดี

4.ตรวจสอบเส้นทางไปยังจุดหมายโดยละเอียด

           เมื่อเนวิเกเตอร์คำนวณเส้นทางเสร็จเรียบร้อย ควรตรวจสอบเส้นทางให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่งก่อนเริ่มเดินทาง หากเป็นถนนต่างจังหวัด ควรอิงถนนหลวง หรือถนนเส้นหลัก พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางย่อยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบางทีเนวิเกเตอร์อาจพาไปเส้นทางทางที่ชาวบ้านเขาไม่ใช้กัน

            เทคนิคหนึ่งในกรณีที่ระบบนำทางพาไปยังถนนเส้นรองโดยไม่จำเป็น คุณสามารถตั้ง ‘จุดผ่าน’ ให้เป็นถนนเส้นหลักตามที่คุณต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงถนนเส้นรองนั้นๆได้

5.วางแผนล่วงหน้าและฝึกใช้ระบบนำทางให้ชำนาญ

           การใช้ประโยชน์จากระบบนำทางอย่างดีที่สุดนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เริ่มออกเดินทางแล้วค่อยมาเปิดจีพีเอส เพื่อที่จะได้มีเวลาเช็คข้อมูลสถานที่ปลายทาง เส้นทางที่ต้องวิ่งผ่าน รวมถึงจุดแวะต่างๆ อีกทั้งยังควรฝึกใช้ระบบนำทางให้ชำนาญก่อนนำมาใช้จริง จะได้รู้จักสัญลักษณ์และเสียงเตือนต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับรถได้อีกทางหนึ่งด้วย

           

          แต่อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบสภาพรถทุกครั้งก่อนเดินทางเพื่อความปลอดภัยของคุณ และตรวจสอบระบบนำทางหรือเครื่องนำทางในรูปแบบสมาร์ทโฟนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าคุณเดินทางเป็นเวลานาน แบตหมด คุณก็ควรพกแบตสำรองสำหรับสมาร์ทโฟน ไว้คราวหน้าถ้ามี Scoop อะไรน่าสนใจ เดี๋ยว Realtime จัดมาให้อย่างแน่นอน