B2V เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ

B2V เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ

          B2V (Brain to Vehicle) ครั้งแรกของโลกกับโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น คิดค้นนวัตกรรมของ นิสสัน IDS ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าและการขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving System) เพื่อช่วยเพิ่มอำนาจให้กับผู้ขับ ลดความผิดพลาดของคนขับ และเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

นวัตกรรม B2V สามารถทำอะไรได้บ้าง

  1. จอดรถเอง (Piloted Park)

          เราสามารถจอดรถเองโดยใช้เพียงสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตควบคุม โดยผู้ขับจะนั่งอยู่ในรถ หรือไม่จำเป็นต้องอยู่ในรถก็ได้ สามารถจอดได้ทั้งภายในอาคารโรงจอด หรือโรงรถที่บ้าน หลักการควบคุมจะแสดงผลจากหน้าจอให้เราทำตามขั้นตอนการจอดรถของระบบนั่นเอง

  1. ตอบสนองปฏิกิริยาของผู้ขับขี่รวดเร็วขึ้น

          ทำให้ผู้ขับสามารถควบคุมการขับขี่ได้ดีขึ้น ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่เรียกว่า AI เช่น การหมุนพวงมาลัย การเหยียบคันเร่ง การเบรก การจอด ไปจนถึงการจราจร และตารางชีวิตของผู้ขับขี่ว่าสนใจอะไร จะไปที่ไหนบ้าง ตามไลฟ์สไตล์ของผู้ขับ ทำให้การขับขี่สนุกสนาน และยังสามารถสื่อสารระหว่างรถกับเพื่อนมนุษย์ได้อีกด้วย

  1. ปรับสภาพแวดล้อมภายในรถยนต์ได้ในอนาคต

หัวหน้าโครงการ B2V ดร, ลูเซียน กอร์เก (Dr. Lucian Gheorghe) กล่าวว่านวัตกรรม B2V นี้จะสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งที่คนขับมองเห็น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี และผ่อนคลายภายในห้องโดยสาร นั่นคือเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เทคโนโลยีเสมือนจริงนั่นเอง ซึ่งการค้นคว้านี้จะเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแบบสุดๆ

  1. ปรับเปลี่ยนโหมดการขับได้ 2 โหมด

          นั่นคือโหมดการขับด้วยตนเอง (Manual Drive)  และโหมดการขับขี่อัตโนมัติ (Piloted Drive) ถ้าเราเลือกโหมดขับขี่อัตโนมัติ พวงมาลัยจะหุบเข้าไป เพื่อปรากฏหน้าจอขนาดใหญ่แทนที่ รับข้อมูลจากผู้ขับขี่ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะรับเพียงแค่คำสั่งเสียงและวาดมือจากผู้ขับขี่เท่านั้น และยังแสดงผลสำคัญให้แก่ผู้โดยสารอีกด้วย หากกลับไปเลือกโหมดขับขี่โดยมนุษย์ ก็จะกลายเป็นแผงปกติ พวงมาลัยยืดออกมา เบรก คันเร่งต่างๆ จะถูกยกขึ้นอัตโนมัติ

          โครงสร้างคร่าวๆ คือ ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ ความสูง 1,380 มิลลิเมตร แบตเตอรี่ความจุ 60 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้ยางขอบ 175 เพื่อลดแรงเสียดทาน โดยรวมของรถยนต์ NISSAN IDS  ไม่ได้บอกถึงขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าว่ามีประสิทธิภาพอย่างไร แต่จะเน้นโชว์ความเป็นรถอัจฉริยะมากกว่าความเร็วของรถ โดยเน้นความปราศจากมลพิษและอุบัติเหตุเป็นหลัก

ประโยชน์ของเทคโนโลยี B2V

หลักๆ คือลดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกิดจากฝีมือการขับของมนุษย์ ช่วยแบ่งเบาภาระในชีวิตประจำวันของเรา และช่วยให้การขับรถนั้นสนุกมากขึ้น ช่วยให้ผู้ขับขี่เพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็น ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะสะดวกสบายและเป็นประโยชน์

ข้อเสีย และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

มีประเด็นถกเถียงกันพอสมควรว่านวัตกรรมนี้จะทำร้ายเราไหม มีโอกาสที่จะเป็นเทคโนโลยีที่ทำร้ายมนุษย์เหมือนกับเทคโนโลยีอื่นๆ หรือไม่? รวมไปถึงสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัวต่อหุ่นยนต์ AI ที่จะควบคุมไม่ได้ในอนาคต และต้องตระหนักว่าเทคโนโลยีนี้ ถูกออกแบบระบบมาดีเพียงใด ถึงจะหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ 100% แต่ถึงอย่างนั้นผู้พัฒนาก็ยังคงยืนยันถึงข้อดีของมันมีที่มากกว่า และยังคงพัฒนาต่อจนกว่าจะประสบความสำเร็จเกินร้อย และมันอาจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราทุกคนในอนาคตก็เป็นได้ ในอนาคต เราอาจจะแค่นั่งเฉยๆ หลับตาลงพักสายตา และสั่งให้เทคโนโลยีควบคุมการเดินทางแทนเรา มันเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ และเป็นไปได้อย่างแน่นอน เทคโนโลยีที่มนุษย์ได้พัฒนามาเรื่อยๆ จะมีเรื่องราวให้ตื่นตา และน่าค้นหาอีกเพียบครับ เราในฐานะผู้บริโภคก็จะรอจนกว่าเทคโนโลยีทุกอย่างจะเสถียรและประสบความสำเร็จเกินร้อย

สำหรับครั้งหน้า Realtime จะมีอะไรน่าสนใจแบบนี้มาให้ติดตามอีก รอชมกันได้เลย!