• DIESEL COMMONRAIL ทำงานอย่างไร?

    1 Min Read

    DIESEL COMMONRAIL ทำงานอย่างไร?

    เป็นอะไรที่ปฏิเสธกันไม่ได้จริงๆครับสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลสำหรับในยุคนี้ มีการนำมาปรับแต่งโมดิฟายกันอย่างมาก มีให้เห็นกันทุกรูปแบบทุกสเต็ปการแข่งขัน หาดูหาชมกันได้ตามสนามแข่งรถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของรถCIRCUIT และในรูปแบบของรถแดร๊ก แต่ที่นิยมที่สุดในบ้านเราก็คงจะเป็นรูปแบบของแดร๊กแหละครับ ที่ทำเวลาในระยะ 402เมตรได้ดีจนเครื่องยนต์ยนต์บล็อกใหญ่ต้องสะดุ้งสะเทือนกันเลยทีเดียว  พื้นฐานของเครื่องยนต์จะเป็นอย่างไรนั้น ในคอลัมน์นี้มีคำตอบมาให้ได้ดูกันครับ

    diesel1

    หลักการทำงานขั้นพื้นฐานของเครื่องยนต์ระบบ COMMONRAIL (รางร่วม) เหมือนกันกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะ แต่แตกต่างกันที่วิธีการควบคุมจังหวะและปริมาตรการฉีดเชื้อเพลิงโดยเครื่องยนต์ระบบ COMMONRAIL (รางร่วม) ใช้ความดันของเชื้อเพลิงสูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา (ปั๊มแบบจานจ่ายและแบบแถวเรียง) ประมาณ 7 เท่าขึ้นไป ความดันสูงสะสมอยู่ในรางร่วม มีหัวฉีดไฟฟ้าฉีดเชื้อเพลิงตามการสั่งการของหน่วยควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ที่สุดคือมลพิษต่ำกว่า พลังงานมากกว่า และประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลระบบอื่น

    diesel10

    เครื่องยนต์ดีเซล COMMONRAIL (ระบบรางร่วม) จัดอยู่ในประเภทหนึ่งของเครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ คือ
    1. เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ แบบหัวฉีดหน่วยเดียวกับปั๊ม (Unit Injector)
    -ระบบลูกเบี้ยว (PDE) เคยใช้กับเครื่องยนต์เรือขนาดใหญ่
    -ระบบรางร่วมน้ำมันเครื่อง (Oil Common Rail System) เคยใช้กับ Isuzu รุ่น Truper
    2. เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ แบบระบบรางร่วม (Common Rail System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ดีกว่าเครื่องยนต์ระบบลูกเบี้ยวและระบบรางร่วมน้ำมันเครื่อง

    กฎหมายควบคุมมลพิษยูโรระดับ 3 (ล่าสุดบางประเทศเตรียมใช้กฎหมายควบคุมมลพิษยูโรระดับ 7) ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ ทั้งนี้เพื่อให้สังคมในเมืองใหญ่ได้สัมผัสกับสภาวะแวดล้อมทางอากาศที่สะอาด ขึ้น เทคโนโลยีใหม่ของเครื่องยนต์ดีเซลจึงต้องเป็นระบบรางร่วม

    ในการลดมลพิษให้ต่ำลงได้มากๆ นั้นนอกจากจะต้องใช้เครื่องยนต์ระบบรางร่วมแล้วในส่วนของเครื่องยนต์ยัง ต้องออกแบบให้มีหลายลิ้น (Multi Valve) (เช่น 4 ลิ้น ต่อ 1 สูบ) พร้อมกับใช้ตัวอัดบรรจุอากาศเทอร์โบ เพื่อเพิ่มอากาศช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น ลดเขม่าควันซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล นอกจากนี้แล้วยังต้องมีระบบควบคุมแก๊สพิษ (Emission Control) อีก 2 ระบบเพื่อลดแก๊ส NOX คือต้องมี CAT (Catalytic Converter) หรือเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา และต้องมี EGR (Exhaust Gas Recirculation) หรือการหมุนเวียนไอเสีย ดังนั้นถ้าอุด EGR และผ่า CAT ก็จะเกิดปัญหาต่อสภาวะแวดล้อมด้วยเช่นกัน

    diesel4

              เรามาดูหลักการทำงานของระบบCOMMONRAIL(รางร่วม)แบบเข้าใจง่ายๆกัน

    diesel3 diesel9

    เชื้อเพลิง (น้ำมันดีเซล) ป้อนเข้าสู่ปั๊มซึ่งมีอยู่ 2 วิธีคือใช้ปั๊มไฟฟ้าจุ่มในถังเชื้อเพลิง  (นิยมใช้กับรถยุโรป) กับแบบกลไกติดตั้งอยู่หน่วยเดียวกับปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง (นิยมใช้กับรถกระบะในประเทศไทย) ปั๊มจ่ายเชื้อเพลิงหรือปั๊มความดันสูงควบคุมความดันด้วยลิ้นควบคุมความดัน หรือลิ้นควบคุมการดูด (Suction Control Valve หรือ SCV) ความดันสูงนี้ถูกส่งไปเก็บสะสมยังท่อความดันสูง หรือรางร่วม (Common Rail) ซึ่งมีรูปร่างอยู่ 2 แบบคือทรงกระบอกยาว  กับแบบทรงกระบอกสั้น ดังนั้นหัวฉีดทุกหัวจึงมีความดันเชื้อเพลิงที่สูงมากเท่ากันทุกกระบอกสูบ รออยู่ที่ปลายหัวฉีดพร้อมตลอดเวลาสำหรับการฉีดให้เป็นฝอยละอองที่ละเอียดที่ สุดผ่านรูเล็กๆ ของปลายหัวฉีดลงไปผสมผสานกับอากาศที่ถูกอัดตัวจนมีความดันและอุณหภูมิที่ สูงเหมาะสม ทั้งหมดควบคุมการทำงานโดยหน่วยควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ECU (ELECTRONIC CONTROL UNIT) หรือ ECM (ELECTRONIC CONTROL MODULE) ซึ่งจะรับสัญญาณต่างๆ เช่นสัญญาณตำแหน่งของลูกสูบ ความเร็วรอบ ตำแหน่งคันเร่ง อุณหภูมิน้ำ อุณหภูมิเชื้อเพลิง อุณหภูมิอากาศ ปริมาตรอากาศที่ประจุเข้า ความดันตัวอัดบรรจุอากาศเทอร์โบและความดันบรรยากาศ ความดันเชื้อเพลิง ความเร็วรถยนต์ ตำแหน่งเกียร์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น เมื่อ ECU ประมวลผลแล้วส่งสัญญาณการฉีดไปยังหน่วยส่งแรงขับหัวฉีดหรือ EDU (ELECTRONIC DRIVE UNIT) (บางแบบ ECU และ EDU อยู่ในชุดเดียวกัน) เพื่อเพิ่มแรงเคลื่อนไฟฟ้าจาก 12 โวลต์เป็น 100 โวลต์ (บางแบบ 60 – 150 โวลต์ซึ่งแล้วแต่รุ่นของรถยนต์และแบบของหัวฉีด)

    diesel2

    ปั๊มความดันสูงหรือปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง  เชื้อเพลิงจากถังจะถูกป้อนเข้าปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง ซึ่งปั๊มป้อนเชื้อเพลิงเป็นปั๊มความดันต่ำบางแบบอยู่หน่วยเดียวกับปั๊มจ่าย เชื้อเพลิง แต่บางแบบเป็นปั๊มไฟฟ้าจุ่มในถังเชื้อเพลิง หลักการทำงานของปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง จะอาศัยกำลังขับของเฟืองไทมิ่งเพลาข้อเหวี่ยงทำให้เฟืองขับปั๊มจ่ายเชื้อ เพลิงหมุน ลูกเบี้ยวเยื้องศูนย์อัดลูกปั๊มให้ทำงาน โดยปริมาตรการดูดเชื้อเพลิงที่เข้าปั๊มจ่ายเชื้อเพลิงนี้ถูกควบคุมด้วยลิ้น ควบคุมการดูด (Suction Control Valve หรือ SCV) แล้วจากนั้นลูกปั๊มจะถูกอัดกระแทกจากลูกเบี้ยวเยื้องศูนย์ให้อัดเชื้อเพลิง ออกทางลิ้นกันกลับด้านส่ง จ่ายเชื้อเพลิงความดันสูงไปสะสมยังรางร่วม

    diesel8

    รางร่วม (Common Rail) หมายถึงท่อร่วมเชื้อเพลิง เป็นท่อหรือห้องสะสมความดันเพื่อจ่ายเชื้อเพลิงไปยังหัวฉีดสูบแต่ละสูบผ่าน ทางท่อฉีดเชื้อเพลิง และที่ปลายด้านหนึ่งของรางร่วมจะมีตัวจำกัดความดัน เพื่อป้องกันมิให้ความดันเชื้อเพลิงมีค่าสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้สูงสุด บางแบบมีลิ้นควบคุมการระบายความดัน หรือ Common Rail มี 2 แบบคือแบบทรงกระบอกยาว (นิยมใช้เป็นส่วนใหญ่) กับแบบทรงกระบอกสั้น

    diesel5

    หัวฉีด (INJECTOR) หลักการทำงานของหัวฉีดคือขณะที่ยังไม่ฉีดเชื้อเพลิงในตำแหน่งนี้ลิ้นโซเลนอยด์จะปิดช่องทางของห้องควบคุมความดันสูงของเชื้อเพลิงเข้ากระทำตามลูกศร ซึ่งจะมีพื้นที่หน้าตัดมากกว่าห้องความดันที่ด้านล่างของเข็มหัวฉีด ดังนั้นตรงหน้าลิ้นของเข็มหัวฉีดจึงถูกกดให้อยู่ในตำแหน่งปิดสนิท เชื้อเพลิงความดันสูงไม่อาจรั่วออกไปจากปลายหัวฉีดได้ ในขณะที่มีสัญญาณการฉีดจาก ECU ส่งไปยังหน่วยส่งแรงขับด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EDU) แรงเคลื่อนสูง (ประมาณ 100 V ) จะไหลผ่านเข้าขดลวดโซเลนอยด์ของหัวฉีดครบวงจร ซึ่งจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กเอาชนะแรงของสปริงที่กดอยู่ด้านบนของลิ้นโซเลนอยด์ ลิ้นโซเลนอยด์จึงยกขึ้น เปิดช่องทางของห้องควบคุมทำให้ความดันในห้องควบคุมตกเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นความดันเชื้อเพลิงที่ด้านล่างของเข็มหัวฉีดจะยกเข็มหัวฉีดเปิดช่อง ทางให้เชื้อเพลิงไหลผ่านลิ้นหัวฉีดผ่านรูหัวฉีด (หลายรู) ให้เป็นฝอยละออง

    diesel6diesel7

    เป็นยังไงกันบ้างครับกับการทำงานของระบบเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลหรือแบบรางร่วมนั่นเองครับ พอจะเห็นภาพกันบ้างหรือยัง คงพอจะนึกกันออกแล้วใช่มั้ยครับว่าทำไมถึงสามารถโมดิฟายให้มันแรงได้อย่างไม่ยากนัก ทางทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเกร็ดความรู้เหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูดองค์ความรู้ให้กับท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย คอลัมน์หน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรนั้นต้องคอยติดตามดูกันครับ….สวัสดีครับ…

    diesel11


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • BOXER นอนยัน..มัน..ดีอย่างนี้นี่เอง..!!

    1 Min Read

    BOXER1

    ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่ากราบสวัสดีแฟนๆ REAL TIME CAR MAGAZINE ที่น่ารักทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับคอลัมน์เกร็ดความรู้กับเรื่องราวของเครื่องยนต์ ที่ผ่านมาก็ได้นำเสนอรายละเอียดของเครื่องยนต์ไปแล้วมากมายหลากหลายค่าย มีให้เห็นทั้งสูบตั้งสูบหมุน ระบบเครื่องยนต์แบบ N/A และแบบ TURBO แต่สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะพาไปรู้จักเครื่องยนต์แบบ นอนยันกันบ้าง…เอ๊ะ!!อะไรนอนยัน ก็คือเครื่องสูบนอนนั่นแหละครับหรือเรียกกันว่า BOXER นั่นเองครับ

    BOXER8

    ไอ้เจ้าเครื่องยนต์ BOXERตัวนี้เราจะเห็นมันประจำการอยู่ในรถจากค่ายดาวลูกไก่ SUBARU นั่นเองครับ ซึ่งรถค่ายนี้หลายท่านอาจจะคุ้นหูกันในการแข่งขัน RALLY ซึ่งก็เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่โด่งดังใน WOLD RALLY สมรรถนะจะดีแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึงแหละครับถ้าได้ผ่านสนามอันสุดโหดอย่าง WOLD RALLY มาแล้ว

    BOXER7

    เครื่องยนต์ BOXER มันดีอย่างไร เครื่องยนต์ลูกสูบนอนของซูบารุ (HORIZONTALLY-OPPOSED ENGINES) ทำให้การออกแบบชุดขับเคลื่อนสามารถทำได้จริง ปัจจัยสำคัญในการปรับแต่งเครื่องยนต์แบบนี้คือลูกสูบซึ่งเคลื่อนที่ตรงกัน ข้ามกันช่วยรักษาสมดุลของแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ซึ่งกันและกัน เครื่องยนต์แบบนี้จะให้พลังขับเคลื่อนอย่างนุ่มนวล, ไร้การสะดุดและต่อเนื่องตามรอบการหมุนของเครื่องยนต์ (อีกครั้งหนึ่งการสร้างให้เกิดความสมมาตรเป็นเคล็ดลับที่สำคัญ) ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้น การออกแบบเครื่องยนต์ให้สั้นลงและตื้นมากขึ้นเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์อื่นๆ ทำให้เครื่องยนต์ของซูบารุมีความแน่น, น้ำหนักเบา และแข็งแกร่ง โดยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้เราสามารถติดตั้งเครื่องยนต์ต่ำลงไปในโครงรถยนต์ เพื่อให้เกิดจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงไปอีก เรียกได้ว่าเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ตำแหน่งของเครื่องยนต์วางแบบ LOW CG ส่งผลดีไปถึงเรื่องของการทรงตัวในการขับขี่

    BOXER2

              เครื่องยนต์ BOXER มีความสมดุลมากกว่า นอกจากจะ มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำแล้ว เครื่องยนต์ BOXER ยังมีโครงสร้างที่มีความสมมาตรซ้าย-ขวา ซึ่งทำให้สามารถกระจายน้ำหนักได้ลงสู่ล้อซ้าย-ขวาได้อย่างสมดุล การที่รถสามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุลนั้น จะส่งผลดีต่อการทรงตัวในขณะเข้าโค้ง และยังเพิ่มความเสถียรในขณะวิ่งทางตรงอีกด้วย

    BOXER3
    BOXER4

              เครื่องยนต์ BOXER มีแรงสั่นสะเทือนที่น้อยกว่า เนื่องจากการเคลื่อนที่ของลูกสูบของเครื่องยนต์ Boxer จะเป็นการเคลื่อนที่ในแนวนอน โดยที่ลูกสูบจะเคลื่อนที่ออกไปด้านข้างทั้งซ้ายและขวาพร้อมๆกัน การเคลื่อนที่แบบสวนทางกันของลูกสูบทั้งสองนี้จะช่วยหักล้างแรงสั่นสะเทือน ที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์ ส่งผลให้เครื่องยนต์มีการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนที่น้อยลง ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น

    BOXER5
    BOXER6

              เครื่องยนต์ BOXER มีน้ำหนักน้อยกว่า ถ้าเปรียบ เทียบกับเครื่องยนต์สูบเรียงแล้ว เครื่องยนต์ BOXERจะมีขนาดกระทัดรัดและเล็กกว่ามาก ส่งผลให้มีน้ำหนักน้อยกว่า สำหรับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์อยู่ที่ตำแหน่งด้านหน้ารถแล้ว การที่เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบาจะส่งผลให้รถสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ทำให้ผู้ขับไม่ต้องออกแรงมากในการหักเลี้ยว ซึ่งจะช่วยให้สามารถหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างทันที ซึ่งก็กว่าจะ Design คิดค้นกันมาได้ มันก็ต้องไม่ธรรมดากว่าค่ายอื่นๆอย่างแน่นอน อีกหนึ่งอย่างเครื่องยนต์แบบสูบนอ อย่าง BOXER มีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นขณะสตาร์ทดีกว่าเครื่องยนต์ปกติเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า การสึกหรอของเครื่องยนต์จะเกิดขึ้นมากที่สุดในตอนที่เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ด้วยเหตุที่ว่าน้ำมันเครื่องไม่สามารถไปหล่อลื่นพื้นผิวของกระบอกสูบได้ อย่างทันท่วงที ทำให้ลูกสูบเสียดสีกับผนังกระบอกสูบโดยตรง จึงเกิดการสึกหรอภายในกระบอกสูบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเครื่องยนต์ BOXER แล้วการที่ลูกสูบนอนระนาบไปกับแนวพื้นโลก ทำให้ยังคงมีน้ำมันเครื่องบางส่วนเคลือบอยู่ที่บริเวณผนังกระบอกสูบ เพราะฉะนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว เครื่องยนต์ BOXER จึงมีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นในขณะสตาร์ทดีกว่า เครื่องยนต์โดยทั่วไป ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์มีอายุการใช้งานที่นานกว่า เครื่องยนต์ปกติ

    BOXER9

    เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเครื่องยนต์แบบนอนยัน BOXER แหมๆๆๆ…มันดีอย่างนี้นี่เองถึงได้ติดอันดับ WOLD RALLY ทุกปี รู้แบบนี้กันแล้วเพื่อนๆหลายท่านที่กำลังจะซื้อรถใหม่ก็ยังเปลี่ยนใจทันน้ะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • BATTERY มีสาระ….!!

    1 Min Read

    BAT4

    ยังคงมีเกร็ดความรู้มาฝากเพื่อนๆกันอีกเช่นเคยครับ สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดคุยกันในเรื่องของแบตเตอรี่รถยนต์ หลายคนอาจจะรู้จักหรืออาจจะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จัก และบางคนไม่รู้ว่ามันมีหน้าที่อะไรและเราควรดูแลรักษามันอย่างไร เพื่อที่จะให้เจ้าแบตเตอรี่มันอยู่กับเราไปนานๆ และแบตเตอรี่มีให้เลือกใช้งานกี่ประเภท แบบไหนเหมาะกับรถคุณ เราจะมาอธิบายให้ได้รู้กันแบบเข้าใจง่ายๆแบบภาษาเช้าบ้านกันเลยครับ

    BAT5

    • แบตเตอรี่มีกี่ประเภท ตอบกันแบบสั้นๆง่ายๆครับว่ามี 2ประเภท

    1 แบตเตอรี่เปียก แบตเตอรี่ชนิดนี้ถือว่าเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายซึ่งก็จะแบ่งออกได้เป็นสองประเภทก็คือ แบบที่ต้องดูแลเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบบที่ไม่ต้องดูแลเติมน้ำกลั่นบ่อย อายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1ปีครึ่ง-2ปี  ซึ่งก็ขึ้นอยู่ที่การใช้งานและการดูแลรักษาของแต่ลคนอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อถึงระยะเวลาที่ควรจะเปลี่ยนก็ไม่ควรที่จะยื้อเวลาให้นานเกินไป อาจส่งผลเสียให้กับรถของท่านได้

    BAT2

    2 แบตเตอรี่แห้ง แบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถใช้งานกันแบบสบายใจกันไปเลยครับ เปลี่ยนเสร็จก็ใช้กันยาวๆ ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องน้ำกลั่น อายุการใช้งานยาวนาน 5-10ปีกันเลยทีเดียว แต่ราคาค่าตัวก็สูงขึ้นไปตามมาตรฐานนั่นแหละครับ อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนครับ

    BAT3

    • ดูแลรักษาอย่างไรให้แบตเตอรี่อยู่กับเราจนครบอายุไข หัวข้อนี้เราจะพูดถึงแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นครับ ด้านบนของแบตเตอรี่จะมีช่องสำหรับเติมน้ำ ให้หมั่นคอยเปิดฝาดูทุกช่องว่าน้ำในแบเตอรี่ยุบลงไปต่ำกว่าขีดหรือไม่ถ้าต่ำกว่าขีดให้เติมน้ำกลั่นได้ทันที ในการเติมน้ำกลั่นทุกครั้งห้ามเติมให้ล้นออกมา ควรเติมให้อยู่ในตำแหน่งที่ระบุไว้

     

    • จะรู้ได้อย่างไรว่าแบตเตอรี่จะหมดอายุ เบื้องต้นดูจากระยะการใช้งานก่อนว่าใกล้ถึงระยะกำหนดที่จะเปลี่ยนหรือยัง วิธีสังเกตอีกหนึ่งอย่างก็คือใช้การฟังเสียงเมื่อเราสตาร์ทรถ ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าเวลาที่เราสตาร์ทรถแล้วเสียงมันดูช้าๆเหนือยๆ ไม่เร็วเหมือนตอนเปลี่ยนไหม่ๆ นั่นคืออาการของแบตเตอรี่เริ่มมีกำลังไฟที่อ่อนลงแล้ว ควรที่จะเปลี่ยนได้ทันที

    BAT6

    เมื่อรู้กันแล้วก็อย่าลืมหมั่นเปิดฝากระโปรงรถตรวจเช็คแบตเตอรี่กันด้วยน้ะครับ จะได้ยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีก ช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันหลายวัน ใช้รถใช้ถนนกันด้วยความระมัดระวังน้ะครับ ด้วยความห่วงใยจาก REAL TIME CAR MAGAZINE


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ตัวเลขบนแกลอนน้ำมันเครื่องบอกอะไรบ้าง

    1 Min Read

    ว่ากันด้วยเรื่องของน้ำมันเครื่อง สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาบอกให้หลายๆท่านได้กระจ่างรู้แจ้งเห็นจริงกันในเรื่องของการเลือกซื้อน้ำมันเครื่อง และความหมายของตัวเลขที่อยู่บนแกลอนน้ำมันเครื่องที่เราซื้อใช้กันอยู่นั้นมันคืออะไร มันบอกอะไรเราจะอธิบายกันแบบให้เข้าใจง่ายๆไม่ซับซ้อนครับ เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่านทุกท่าน

    oil6

    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับตัวน้ำมันเครื่องกันก่อนครับว่ามันมีหน้าที่อะไร ทำไมถึงต้องใส่เข้าไปในเครื่องยนต์ นึกภาพตามง่ายๆน้ะครับ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ผลิตจากวัสดุที่เป็นเหล็กและเมื่อเครื่องยนต์มีการทำงานสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเสียดสีกันครับ และเมื่อมีการเสียดสีกันเป็นเวลานานมากยิ่งขึ้นแน่นอนที่สุดครับ เกิดการสึกหรอขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อลดการสึกหรอของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ จึงต้องมี สารชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่าน้ำมันเครื่องเข้ามาช่วยในเรื่องของการหล่อลื่นและลดการเสียดสี ซึ่งสารตัวนี้จึงต้องมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถทนต่อความร้อนที่เกิดขึ้นได้ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน และยังต้องสามารถรักษาสถานะให้คงอยู่ได้ดีในอุณภูมิปกติหรือต่ำกว่าได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย

    การวัดความต้านทานการเป็นไข โดยวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ต่ำลงมาจนถึงจุดเยือกแข็งตั่งแต่ 0 องศา จนถึงต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยมีตัวอักษรระบุไว้เป็นตัวอักษร W หรือ WINTER เช่น

    oil4

    0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

    5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

    10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

    15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

    20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

    ส่วนเรื่องของค่าความหนืด การวัดค่าความหนืดจะวัดกันที่ 100 องศาเซลเซียส ได้เป็นออกมาเป็นค่าความหนืด แทนค่าออกมาเป็นตัวเลขเรียกว่า เบอร์ของน้ำมันเครื่อง เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก ทุกๆสถาบันจึงได้แทนค่าความหนืด ออกมาเป็นตัวเลขในรูปของเบอร์ของน้ำมันเครื่อง เช่น 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 ค่าตัวเลขยิ่งมากยิ่งมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยยิ่งมีความหนืดน้อยตามลำดับ

    ทีนี้เรามาดูกันครับว่าน้ำมันเครื่องที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาดนั้นมีกี่แบบและแบบไหนที่จะเหมาะกับรถของเราครับ

    oil3

    1. น้ำมันเครื่องธรรมดา(มีความหนืด) (Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม สามารถใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.

    oil1

    2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์(หนืดเล็กน้อย) (Semi Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับน้ำมันเครื่องชนิด สังเคราะห์ สามารถใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.

    oil2

    3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์(ใส) (Fully Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์จากน้ำมัน ปิโตรเลียม สามารถใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.

    สรุปกันแบบเข้าใจง่ายๆน้ะครับ รถยนต์รุ่นใหม่ๆหรือรถที่ยังใหม่อยู่ใช้น้ำมันเครื่องแบบ FULLY Synthetic และ Semi Syntetic ได้ เนื่องจากเครื่องยนต์ยังคงความสดอยู่ไม่มีการสึกหรอ ส่วนรถกลางเก่ากลางใหม่ก็สามารถใช้ Semi Synthetic ได้ ส่วนรถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์รุ่นเก่าควรใช้แบบ Synthetic เนื่องจากเครื่องยนต์มีการใช้งานมานานหลายปีมีความสึกหรอเกิดขึ้นบ้างตามกาลเวลา จึงต้องอาศัยความหนืดของน้ำมันเครื่องเข้ามาช่วงปกป้องเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์

    oil5


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • NEW HONDA CITY 2017 เหนือกว่าที่สุด คือที่สุดในทุกด้าน

    1 Min Read

    ที่สุด…แห่งดีไซน์ที่เหนือระดับ

    ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดหลักคือ “Advanced Energetic Smart Star” ซึ่งเป็นการยกระดับ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ให้เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นในระดับเดียวกัน ด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่โฉบเฉี่ยวในสไตล์สปอร์ตยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ทั้งยังให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม
    ให้ความสะดวกสบายขณะขับขี่ และความปลอดภัยตลอดทุกการเดินทาง

    Untitled-1

    • สปอร์ต ในทุกมุมมอง ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Man Maximum, Machine Minimum” ที่เน้นความสปอร์ตด้วยรูปทรงที่ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้ แต่ยังคง
      ให้ความกว้างขวางและสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
    • อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้นำเอาเทคโนโลยีการลดน้ำหนักของตัวรถ
      มาใช้ในหลายจุด อาทิ เครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ตัวถังและแชสซีส์ รวมถึงการพัฒนาเครื่องยนต์ภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม  และการออกแบบตัวรถให้สอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งช่วย
      เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน
    • ความสะดวกสบายที่ครบครัน ภายในห้องโดยสารของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มีความกว้างขวางและสะดวกสบาย นอกจากนี้ ผู้โดยสารยังสนุกสนานและเพลิดเพลินกับความบันเทิงในระหว่างการเดินทางอีกด้วย

     การออกแบบภายนอก

    ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิดการออกแบบภายนอก “Advanced Energetic Design”
    เพื่อสื่อถึงการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาผสมผสานกับการออกแบบตัวถังที่กว้างและต่ำในสไตล์สปอร์ต รวมถึงความโดดเด่นตามแบบฉบับยนตรกรรมซีดาน โดยได้รับการพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกให้ดูหรูหรา และเพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้น อาทิ

    • ระบบไฟหน้าแบบ LED นับเป็นครั้งแรกของยนตรกรรมซับคอมแพคท์ที่มีการติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ในทุกรุ่น นอกจากนี้ยังติดตั้งไฟหน้าแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)โดยระบบไฟแบบ LED ประกอบไปด้วยแถวหลอด LED ที่เรียงตัวเป็นแนวยาว การสะท้อนแสงจากไฟ LED ด้วย Reflector ภายในโคมไฟ ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนทั้งขณะขับขี่ในเวลากลางคืน หรือขณะ
      ฝนตกหนักจนทำให้ทัศนวิสัยด้านหน้าไม่ชัดเจน ซึ่งจะทำงานโดยใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
    • ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มาพร้อมล้อลายใหม่ดีไซน์สปอร์ต ได้แก่ ล้ออัลลอยขนาด
      15 นิ้ว (เฉพาะรุ่น V และ V+) และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)
    • กระจังหน้าแบบโครเมียม พร้อมกันชนหน้า-หลัง ดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต

    New City_Safety_ESS

     New City_Safety_Multi-angle Rearview Camera (1)

    การออกแบบภายในห้องโดยสาร

    ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายในห้องโดยสารใหม่ ภายใต้แนวคิด “Rich & Sophisticated” เพื่อให้สัมผัสที่หรูหรา และความสปอร์ตที่มากขึ้น พร้อมเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น อาทิ

    • ไฟส่องสว่างแบบ LED ได้แก่ ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า (เฉพาะรุ่น SV+) และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV+)

    New City_Safety_HSA

    • คอนโซลด้านหน้า ออกแบบโดยการผสมผสานวัสดุที่มีพื้นผิวต่างกันได้อย่างลงตัวระหว่างแผงหน้าปัดพื้นผิวสีดำ และแผงคอนโซลตรงกลางรูปตัว T ในโทนสีเมทัลลิกเข้ม ทำให้ดูโดดเด่นมากขึ้น ขณะที่การตกแต่งตามจุดต่างๆ ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกที่หรูหราในสไตล์สปอร์ตมากยิ่งขึ้นด้วยโทนสีกันเมทัลลิก (Gun Metallic) สำหรับพื้นที่ส่วนบนของแผงหน้าปัดถูกออกแบบให้ดูแบนเรียบ ช่วยเพิ่ม
      ทัศนวิสัยในการขับขี่ยิ่งขึ้น

     New City_Interior_V+

    นอกจากนี้ ยังเพิ่มรายละเอียดในการตกแต่งบริเวณช่องแอร์ รอบบริเวณคันเกียร์ และรอบมาตรวัด ด้วยวงแหวนสีเงิน ทำให้ภายในห้องโดยสารมีความสวยงามโดดเด่นมากยิ่งขึ้น  สำหรับมาตรวัดเรืองแสงแบบ 3 วง ได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูมีมิติยิ่งขึ้น พร้อมไฟเรืองแสงสีขาวขณะสตาร์ทรถ ให้ความรู้สึกที่หรูหราและทันสมัย

    New City_Interior_LED Map Light

    • เบาะนั่งสไตล์สปอร์ต ด้วยการเลือกใช้วัสดุผ้าที่มีคุณภาพ ให้สัมผัสที่สบาย และออกแบบในสไตล์สปอร์ตด้วยการเดินด้ายเย็บแบบ 2 แถว

     New City_Sporty Designed Seat

    นอกจากนี้ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ยังมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+) เบาะที่นั่งด้านหลังปรับพับได้ 60:40 (เฉพาะรุ่น SV+) ลำโพง 8 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) ติดตั้งตามจุดต่างๆ ในห้องโดยสาร อาทิ บริเวณแผงประตูด้านหน้าของเบาะหน้า และด้านหลังของเบาะหลัง ช่องจ่ายไฟสำรองบริเวณด้านหน้า 1 ตำแหน่ง (ทุกรุ่น) และเพิ่มช่องจ่ายไฟสำรองสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)

    New City_Function_Foldable Rear Seat

    พร้อมกันนี้ ยังมี HONDA CITY ที่มาพร้อชุดแต่ง Modulo มาให้ชมด้วยนะครับ มาดูกันว่าสวยขนาดไหนนะครับ บอกได้คำเดียว คุณต้องชอบแน่นอน

    New City_Modulo_Alloy Wheel 15 inch

    New City_Modulo_Door Visor

    New City_ Modulo_Rear Under Spoiler

    New City_Modulo_Fog Light LED

    New City_Modulo_Door Visor


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • Kawasaki Coffee Break Meeting ครั้งที่ 2 พาไปจิบกาแฟพร้อมบรรยากาศสุดชิลที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พร้อมเซอร์ไพรส์เปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    1 Min Read

    Kawasaki Coffee Break Meeting ครั้งที่ 2 พาไปจิบกาแฟพร้อมบรรยากาศสุดชิลที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พร้อมเซอร์ไพรส์เปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    กลับมาอีกครั้งกับกิจกรรมมีตติ้งสำหรับชาวคาวาซากิ กับงาน Kawasaki Coffee Break Meeting หลังจากประสบความสำเร็จในครั้งที่ 1 ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ จ.นนทบุรี ครั้งนี้คาวาซากิจึงขนขบวนยกทัพมาเอาใจแฟนสายเขียวแถบภาคเหนือ พร้อมเซอร์ไพรส์สุดพิเศษ เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดภายในงาน

    จบไปแล้วกับงาน Kawasaki Coffee Break Meeting ครั้งล่าสุด ที่พาไปจิบกาแฟท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล ณ เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ภายในงานมีกิจกรรมบนเวทีมากมายให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสความสนุกสนาน แถมของรางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้าน พร้อมดนตรีฟังสบายท่ามกลางธรรมชาติสุดฟิน

    นอกจากนี้ในงานคาวาซากิยังได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด KLX230 Sherpa รถจักรยานยนต์ทะยานสู่เส้นทางแห่งความสนุกสนานจากถนนในเมืองสู่เส้นทางแห่งการผจญภัยในธรรมชาติ รถทื่สืบทอดมาจาก SUPER SHERPA ซึ่งเป็นรุ่นที่ Kawasaki ผลิตและจำหน่ายตั้งแต่ปี 1997 ถึงปี 2007 คำว่า Sherpa คือ คำที่ใช้เรียกคนในท้องถิ่นที่เป็นไกด์และขนสัมภาระระหว่างการปีนเขาหิมาลัย และชื่อ SHERPA นี้ยังสื่อถึง ความหมายว่าเป็นเพื่อนร่วมทางที่ไว้ใจได้ ที่จะเดินทางไปพร้อมกับผู้ขับขี่ และด้วยสโลแกน “จากเมืองสู่ธรรมชาติ” ทำให้รถจักรยานยนต์รุ่นนี้ได้รับความนิยมจากผู้ขับขี่หลายคนในฐานะรุ่นอเนกประสงค์ที่เป็นมิตรและใช้งานได้ง่าย ไม่ว่าจะขี่ในเมืองหรือในป่า KLX230 SHERPA สืบทอดชื่อ “SHERPA” ในฐานะรุ่นอเนกประสงค์อันทรงเกียรติของ Kawasaki ที่สืบทอดแนวคิดของ SUPER SHERPA

    พลังเครื่องยนต์ของ KLX230 SHERPA ออกแบบมาเพื่อการขับขี่บนทางดินโดยเฉพาะ ประกอบกับแรงบิดที่นุ่มนวลขับขี่ง่าย อีกทั้งเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กทำให้รถมีน้ำหนักเบาเพียง 134 กก. และมีความคล่องตัว ด้วยโครงสร้างที่เรียบง่ายของระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ทำให้รถรุ่นนี้เหมาะสำหรับการขี่ในรูปแบบเทรลเป็นอย่างมาก รวมถึงความสูงเบาะนั่งที่ต่ำเพียง 845 มม, จึงทำให้เข้าถึงผู้ขับขี่ที่หลากหลาย และเป็นมิตรแม้กับผู้ขับขี่มือใหม่ อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบ ABS ที่สามารถเปิด-ปิดได้ ทั้งหน้าและหลัง เพื่อตอบโจทย์ทุกสไตล์การขับขี่ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Rideology the App ให้คุณเข้าถึงข้อมูลต่างๆของตัวรถ รวมถึงแชร์ข้อมูล ตำแหน่ง และบันทึกการขับขี่ เพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆนักเดินทางคอเดียวกันได้อีกด้วย

    และเพื่อความพร้อมในการออกเดินทาง KLX230 Sherpa จึงมาพร้อมกับอุปกรณ์ตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็น แผ่นปิดใต้ท้องเครื่อง (Skidplate) อลูมิเนียมอันทนทาน ช่วยลดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ขณะขับขี่รูปแบบเทรล, การ์ดแฮนด์เสริมโลหะช่วยเพิ่มความสมบุกสมบันและความมั่นใจเมื่อขับขี่แบบออฟโรด นอกจากนี้ยังสามารถเลือกอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมตามสไตล์การใช้งานได้อีกด้วย
    สำหรับสีที่นำมาจำหน่ายในประเทศไทยคือ Medium Smoky Green สีเขียวเอิร์ธโทน สุดเท่

    KLX230 Sherpa มาพร้อมกับราคาขายปลีกแนะนำที่159,000 บาท และพิเศษโปรโมชั่นช่วงเปิดตัวกับคูปองเงินสดมูลค่า 5,000 บาท และฟรีประกันรถหาย 1 ปี


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • หมวกกันน็อค iD ภูมิใจที่ได้ร่วมผลักดันวงการมอเตอร์สปอร์ตไปข้างหน้า

    1 Min Read

    หมวกกันน็อค iD ภูมิใจที่ได้ร่วมผลักดันวงการมอเตอร์สปอร์ตไปข้างหน้า

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัท เอส วาย เค ออโต้พาร์ต อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด ผู้ผลิตหมวกกันน็อคแบรนด์ INDEX, ID, RANDOM, PROTO, LINK สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย ด้วยการจัดงานเซ็นสัญญานักแข่งจากโรงงานผู้ผลิตหมวกกันน็อคแบรนด์ไทยถึง 34 คน จาก 5 ทีม ภายใต้ชื่อ 𝙏𝙚𝙖𝙢𝙞𝘿 พร้อมเผยเบื้องหลังการถ่ายทำสุดพิเศษที่สะท้อนภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของนักแข่ง ภายใต้คอนเซ็ป “หมวกไทยมาตรฐานโลก”

    การถ่ายทำในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเน้นย้ำถึงคุณภาพของหมวกกันน็อคแบรนด์ iD ซึ่งออกแบบและผลิตโดยโรงงานคนไทยที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างอุปกรณ์ความปลอดภัยที่สามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก ทีมโปรดักชั่นจัดเต็ม และมุมกล้องที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณของนักแข่งมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ

      

    34 นักแข่งที่ได้รับเลือกในปีนี้ มาจากหลากหลายรายการแข่งขัน โดยแต่ละคนมีความสามารถโดดเด่น อาทิ นพพร สุทธิการปลูก แชมป์ประจำปี Superbike 1000cc. Rookies รายการ SuperBikemag Trophy 2024, กฤษฎา พรมนิกร แชมป์ประจำปี CBR650 Class A รายการ Honda CBR Trophy 2024 และทัพนักแข่ง 𝙏𝙚𝙖𝙢𝙞𝘿 ที่พร้อมลุยการแข่งขันเพื่อคว้าโพเดี้ยมตลอดทั้งปี

    “นี่คืออีกก้าวสำคัญของหมวกกันน็อคแบรนด์ iD ในการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโรงงานผู้ผลิตหมวกกันน็อคไทย ที่สามารถก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก เราภูมิใจที่ได้สนับสนุนนักแข่งไทยและเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันวงการมอเตอร์สปอร์ตไปข้างหน้า” คุณองอาจ ฉัตรวรชัย(ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด)กล่าวถึงการสนับสนุนในครั้งนี้

    ติดตามโมเมนต์สำคัญของนักแข่ง 𝙏𝙚𝙖𝙢𝙞𝘿 ได้เร็วๆ นี้ทาง Random helmet & ID helmet* แล้วมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยไปด้วยกัน!

    #TeamiD #iDHELMETS #iDmadeinthailand
    #iDหมวกไทยมาตรฐานโลก #หมวกกันน็อคไอดี #หมวกกันน็อคสัญชาติไทย


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ปี 2568 เดินหน้าธุรกิจลักชัวรีรีเทลเต็มรูปแบบ พร้อมประเดิมเปิดตัว Mercedes-AMG กว่า 3 รุ่นในงาน Motor Show 2025

    2 Min Read

    เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ปี 2568 เดินหน้าธุรกิจลักชัวรีรีเทลเต็มรูปแบบ
    พร้อมประเดิมเปิดตัว Mercedes-AMG กว่า 3 รุ่นในงาน Motor Show 2025

    • เมอร์เซเดส-เบนซ์ กวาดยอดขายทั่วโลก 2,389,000 คัน ในปี 2567 โดยแบ่งเป็นรถยนต์นั่งจำนวน 1,983,400 คัน และรถแวน 405,600 คัน
    • เปิดตัวรถยนต์รวมกว่า 25 รุ่น ในปี 2567 ชูความสำเร็จของ The new E-Class
    ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นถึง 65% พร้อมเสริมไลน์อัพรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในไทย
    • เฉลิมฉลองการประกอบรถยนต์ในประเทศไทยครบ 200,000 คัน ในเดือนมกราคม 2567
    ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยยอดการผลิตสะสมสูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์ลักชัวรี
    • เดินหน้าวิสัยทัศน์ “Brand at Heart, Performance in Mind” ในโอกาสครบรอบ 75 ปีแห่งความสำเร็จของรถยนต์นั่งจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์
    แบรนด์ระดับโลกที่ครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่อนาคต
    • ผลักดันตลาดอีวีด้วย “EV Worry-Free Package” ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า 100% ด้วยข้อเสนอพิเศษกับค่างวดเริ่มต้น 45,000 บาทต่อเดือน ในรุ่น EQE 350 4MATIC SUV Electric Art โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ก้อนแรกและก้อนสุดท้าย
    • ต่อยอดโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” และเสริมศักยภาพในการแข่งขันในตลาดด้วยการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคา (Pricing Strategy) ที่สะท้อนให้เห็นถึงการคงมูลค่า
    ในระยะยาวของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกรุ่น
    • ครองตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ลักชัวรีที่มีเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนตัวแทนจำหน่ายกว่า 33 แห่ง และศูนย์บริการรวม 41 แห่ง
    • ผสานแนวคิด MAR20X (Mercedes-Benz Retail Experience) เพื่อยกระดับขีดความสามารถของตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ

    มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการแข่งขัน
    ที่เข้มข้นในตลาดรถยนต์ระดับลักชัวรี แต่เรายังคงสร้างผลลัพธ์ที่แข็งแกร่ง และเดินหน้าพัฒนา
    แบรนด์อย่างต่อเนื่อง เราพร้อมก้าวเข้าสู่ปี 2568 ภายใต้วิสัยทัศน์ “Brand at Heart, Performance in Mind” ที่จะยกระดับการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ การขับเคลื่อนผลประกอบการทางธุรกิจ และการขยายไลน์อัพรถยนต์ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 100% ควบคู่ไปกับสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านกิจกรรมสุดพิเศษที่จะเข้าถึงไลฟ์สไตล์
    และยกระดับมอบประสบการณ์ของผู้บริโภคในทุกมิติ”

    ในปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวยนตรกรรมใหม่กว่า 25 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่เซกเมนต์ Entry Luxury ไปจนถึงรถยนต์ระดับ Top-End Luxury โดยโมเดลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ The new E-Class ที่มีการเติบโตของยอดขายกว่า 65% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    และสามารถคว้ารางวัล “Best Performer” ประจำปี 2567 จากสถาบัน Euro NCAP แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่สุดของยนตรกรรมที่มาพร้อมสมรรถนะและความปลอดภัยขั้นสูง นอกจากนี้
    เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของผู้บุกเบิกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในตลาดลักชัวรี ด้วยการนำเสนอโมเดลใหม่อย่างต่อเนื่อง นำโดยรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นประกอบในประเทศอย่าง
    EQS 450 4MATIC SUV ที่เปิดตัวพร้อมกับ EQE 300 Sedan ต่อด้วย Mercedes-Maybach EQS 680 SUV และ G 580 with EQ Technology ในขณะที่รถสปอร์ต 2 ประตู รุ่นสมรรถนะสูงอย่าง Mercedes-AMG CLE 53 ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่มีกระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมด้วยการครองสัดส่วนยอดขายกว่า 30% จากยอดขายทั้งหมดของแบรนด์ Mercedes-AMG

    โดยในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มกำลัง เริ่มต้นด้วยการต่อยอดความสำเร็จของโมเดลล่าสุดอย่าง The new E-Class, CLE Coupé, EQE 300 Sedan, EQS 450 4MATIC SUV และอีกหลากหลายรุ่นจากทุกเซกเมนต์ของแบรนด์ รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จาก Mercedes-AMG พร้อมกันถึง 3 รุ่น ในงาน Motor Show 2025 เพื่อสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี

    สำหรับโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงสะท้อนความโดดเด่นในเรื่องของราคาจำหน่ายที่เท่าเทียมกันทั้งประเทศ ความโปร่งใสในขั้นตอนการซื้อรถ และการยกระดับประสบการณ์ในทุกมิติสำหรับลูกค้าทุกคน รวมถึงการนำแนวคิด MAR20X (Mercedes-Benz Retail Experience) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาและออกแบบศูนย์บริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์
    มาปรับใช้ในประเทศไทย ครอบคลุมทั้งในด้านการยกระดับช่องทางการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Touchpoints) การพัฒนาบุคลากรและกระบวนการ (People & Process)
    การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) และการออกแบบสถาปัตยกรรม (Architecture)
    โดยในปีที่ผ่านมา มีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ กว่า 50% ที่เริ่มดำเนินงานภายใต้แนวคิด MAR20X และในปีนี้จะขยายสู่ 60% จนไปถึงในปี 2570 ที่บริษัทฯ วางแผนที่จะขยายให้ครอบคลุมมากกว่า 90% ของจำนวนตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการทั้งหมด
    ในประเทศไทย

    นอกจากนี้ ในด้านของกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมีการจัดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เริ่มด้วยกิจกรรมที่จัดร่วมกับคอมมูนิตี้อย่างเป็นทางการอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ คลับ
    (ประเทศไทย) ในการรวมรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ คลาสสิก ในตำนานไว้มากกว่า 10 คัน มาขับขี่กันใน Road Trip สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องด้วยการจัดกิจกรรมทดสอบรถยนต์ประจำปีอย่าง Mercedes-Benz Driving Events และ SUV Driving Events รวมทั้งสิ้น 18 ครั้ง โดยมีทั้งการขับขี่ในบนถนนและบนสนามแข่ง (On Road/On Track) รวมถึงการกลับมาในรอบ 5 ปี ของ “MercedesTrophy” รายการการแข่งขันกอล์ฟ ที่มีนักกอล์ฟผู้ร่วมแข่งขันมากกว่า 1,000 คน จาก 7 รอบการแข่งขัน โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกคน

    นายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท
    เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับความสำเร็จในด้านการบริการลูกค้าในปี 2567 ที่ผ่านมา เรามีเครือข่ายศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมทั้งหมด 41 แห่ง และมีศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง (Certified Body & Paint Service Center) ที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาคกว่า 26 แห่ง
    ในส่วนของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มียอดการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยแพ็กเกจ MBSP
    มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 12% พร้อมกับการเปิดตัวแพ็กเกจ MBSP Extra Guarantee Lite ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าเก่าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์จาก MBTires มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 84% และบริการ Digital Extras บนแพลตฟอร์ม Mercedes-Benz Store มียอดขายเพิ่มขึ้น 86% นอกจากนี้ เรายังจัดแคมเปญต่าง ๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น แคมเปญ Welcome Back Stars สำหรับการคืนสิทธิการรับประกันคุณภาพเดิมของ High Voltage Battery จนถึงอายุรถปีที่ 10 และการร่วมมือกับแบรนด์มิชลิน ในแคมเปญ Mercedes-Benz & Michelin Sustainability in Motion เพื่อช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

    ทางด้านฝ่ายบริการลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมพัฒนาและนำเสนอบริการหลังการขายแก่ลูกค้
    าในทุกมิติ โดยมีแผนที่จะเปิดตัว Service Select Loyalty Program สำหรับลูกค้าเก่าของ
    เมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อมอบประสบการณ์การดูแลรถยนต์ทั้งในด้านการบำรุงรักษาและข้อเสนอพิเศษสำหรับชิ้นส่วนอะไหล่ StarParts รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ด้านดิจทัลด้วยบริการ Digital Extras ที่จะมีแพ็คเกจเสริมอย่าง Entertainment Package Plus ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์วิดีโอสตรีมมิงและการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในรถยนต์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความบันเทิงให้กับผู้ใช้งาน อีกทั้งกิจกรรม Nationwide Service Clinics ที่จะจัดร่วมกับทีม Flying Doctor จากประเทศเยอรมนี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 เพื่อมอบการบริการและการดูแลรักษารถยนต์ที่เป็นมาตรฐานระดับโลก

    “ทุกการลงทุนและความมุ่งมั่นของเรา ล้วนสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีอุตสาหกรรมยานยนต์
    ในประเทศไทย เรามองเห็นถึงโอกาสการเติบโตที่มั่นคง และศักยภาพอันแข็งแกร่งของตลาด
    เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเดินหน้าพัฒนารถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกการขับขี่และไลฟ์สไตล์ของ
    ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี ผ่านการบริการและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อสร้างแรงผลักดันให้กับธุรกิจรีเทลและภาพรวมอุตสาหกรรม
    ให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” มร. มาร์ทิน ชเวงค์ กล่าวสรุป


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • RIDDARA จัดงาน “RIDDARA OWNERS CLUB FIRST MEETING” รับฟังประสบการณ์จากลูกค้าผู้ใช้งานจริงในประเทศไทย ประกาศเดินหน้าแผนการดำเนินงานครอบคลุมทุกมิติ ตั้งเป้ายอดขาย 10,000 คัน ภายในปีนี้

    2 Min Read

    RIDDARA จัดงาน “RIDDARA OWNERS CLUB FIRST MEETING”
    รับฟังประสบการณ์จากลูกค้าผู้ใช้งานจริงในประเทศไทย
    ประกาศเดินหน้าแผนการดำเนินงานครอบคลุมทุกมิติ ตั้งเป้ายอดขาย 10,000 คัน ภายในปีนี้

    RIDDARA (ริดดารา) จัดกิจกรรมสุดพิเศษ “RIDDARA OWNERS CLUB FIRST MEETING” เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจใน RIDDARA และสร้างสังคมผู้ใช้งานรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานจริงได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานร่วมกันเพื่อนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมประกาศเดินหน้าแผนการดำเนินงานในประเทศไทยครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การลงทุน และการดูแลลูกค้าด้วยการบริการหลังการขายที่เข้มแข็ง และการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายด้วยโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐาน 50 แห่งทั่วประเทศ รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้า โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 10,000 คัน

    กิจกรรม “RIDDARA OWNERS CLUB FIRST MEETING” เป็นการเชิญชวนกลุ่มลูกค้าเจ้าของ RIDDARA RD6 มาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังจากบริษัทฯ ได้ประกาศจัดตั้งกลุ่ม RIDDARA OWNERS CLUB และเริ่มส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า RIDDARA RD6 ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 ที่ผ่านมา โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้น ณ SILVERSKIN BISTRO & CAFÉ ร้านกาแฟสุดพรีเมียมย่านลำลูกกาคลอง 11 จังหวัดปทุมธานี ซึ่งนอกจากลูกค้า RIDDARA ได้สนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษที่บริษัทฯ ตั้งใจจัดขึ้นแล้วยังได้ร่วมพูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้ RIDDARA อย่างเป็นอันเอง รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และบอกเล่าประสบการณ์การใช้งานจริงกับผู้บริหารของบริษัทฯ อย่างใกล้ชิดอีกด้วย

    “RIDDARA ขอขอบคุณลูกค้าคนไทยทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจใน RIDDARA เราพร้อมจะเป็นพันธมิตรที่ยี่งยืนและแบ่งปันประสบการณ์อันดีร่วมกันกับลูกค้าคนไทยทุกคนในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ สำหรับการจัดตั้ง RIDDARA OWNERS CLUB สังคมของผู้ใช้งานรถกระบะไฟฟ้า RIDDARA ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางหลักในการสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างเจ้าของ RIDDARA โดยเราพร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้าทุกท่านซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการพัฒนาและการดำเนินงานของ RIDDARA ในประเทศไทยและนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของชาวไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” มร. หลิว ไห่โจว (Liu Haizhou) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
    ในขณะที่ลูกค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ต่างประทับใจ RIDDARA RD6 ทั้ง ในด้านอัตราเร่งที่ทันใจและช่วงล่างที่นุ่มนวลซึ่งแตกต่างจากรถกระบะทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังชื่นชมในเรื่องของความประหยัดพลังงานอีกด้วย

    RIDDARA เร่งการขยายตลาดในไทยเพิ่มทางเลือกด้านผลิตภัณฑ์ เดินหน้าขยายโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และมอบการบริการลูกค้าที่เหนือกว่า โดยตั้งเป้ายอดขาย 10,000 คันภายในปีนี้
    มร. หลิว ไห่โจว กล่าวเสริมถึงภาพรวมการดำเนินงานของ RIDDARA ในประเทศไทยว่า หลังจาก RIDDARA ได้เปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่น RIDDARA RD6 ในประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 คัน โดยมีแผนจะแนะนำรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุม และขยายทางเลือกด้านพลังงานใหม่ให้มีความหลากหลาย นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และเป็นฐานการผลิตรถกระบะไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่สำคัญของ RIDDARA

    “เรากำลังพิจารณาการลงทุนสร้างโรงงาน KD ในประเทศไทยเพื่อผลิต PHEV และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น” มร. หลิว ไห่โจว กล่าวย้ำ
    ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของฐานลูกค้า RIDDARA เปิดรับนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจที่สนใจร่วมขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานจาก 15 แห่งในปัจจุบัน ให้เป็น 50 แห่งทั่วประเทศภายในปีนี้ โดยจะครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในทุกภูมิภาค เพื่อให้ลูกค้าชาวไทยเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีของ RIDDARA ได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการให้บริการรถทดลองขับถึงหน้าบ้าน
    ยิ่งไปกว่านั้น RIDDARA ยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริการหลังการขายภายใต้ชื่อ RIDDARA CARE ที่พร้อมดูแลและให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ด้วยทีมงานมืออาชีพ พร้อมจัดเตรียมอะไหล่สำรองให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และมีบริการช่วยเหลือลูกค้ากรณีฉุกเฉินผ่าน RIDDARA Call Center ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสร้างความอุ่นใจและมั่นใจในการใช้งาน RIDDARA ให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น

     

    RIDDARA ผู้นำด้านรถกระบะพลังงานไฟฟ้า
    RIDDARA เป็นแบรนด์รถกระบะพลังงานไฟฟ้าในเครือ GEELY AUTO GROUP ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทรถยนต์ชั้นนำระดับโลกที่มุ่งมั่นในการพัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ โดย RIDDARA ได้นำความโดดเด่นทั้งด้านเทคโนโลยี การผลิต รวมไปถึงการควบคุมคุณภาพของกลุ่ม GEELY มาเป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์กระบะพลังงานไฟฟ้าที่จะมาสร้างไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ด้วยการผสานศักยภาพของรถกระบะที่สามารถรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบในสภาพถนนที่มีความแตกต่างไปพร้อมกับการขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบายแบบรถยนต์ SUV เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าตามแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัตกรรมอันทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน โดยปัจจุบัน RIDDARA สามารครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ของตลาดรถกระบะไฟฟ้าในประเทศจีน

    RIDDARA RD6
    RIDDARA RD6 โดดเด่นด้วยนวัตกรรม M.A.P (Multiplex Attached Platform) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์มรถยนต์ที่พัฒนาเอาจุดเด่นของรถกระบะและรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาผสมผสานกัน ทำให้ RIDDARA RD6 มีความโดดเด่นทั้งในด้านของการออกแบบ สมรรถนะและความอัจฉริยะในแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยโครงสร้างตัวถังขนาดใหญ่และมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมอบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย และติดตั้งระบบความปลอดภัยและระบบช่วยในการขับขี่ที่ครบครัน พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่รองรับทั้งการเดินทาง และการทำกิจกรรมแบบเอาท์ดอร์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่น้อยกว่ารถกระบะสันดาปทั่วไป

    RIDDARA RD6 ให้สมรรถนะที่โดดเด่นด้วยอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.5 วินาที และแรงบิดสูงสุด 595 นิวตันเมตร มาพร้อมช่องจ่ายกระแสไฟตามมาตรฐานยุโรปขนาด 6KW ที่กระบะท้าย รวมไปถึงการเชื่อมต่อและควบคุมรถผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือทำให้สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน

    RIDDARA RD6 มอบความความสะดวกสบายระดับ SUV ด้วยห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่เงียบสงบด้วยเทคโนโลยี Pure Electric NVH Silent พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 14.6 นิ้ว ที่ชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สายขนาด 50W ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone ที่มาพร้อมระบบกรองอากาศ CN95 filter PM 2.5และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เบาะหนังคุณภาพสูงดีไซน์เอกลักษณ์สามารถปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศที่เบาะโดยสาร เบาะหน้าเอนได้แบบ 180 องศา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกครบครัน

    RIDDARA RD6 ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 แบบอัตโนมัติ โดยมีโหมดการขับขี่ 7 โหมด สำหรับสภาพถนนที่แตกต่างกัน (Sand / Mud / Off-road / Wading / Economy / Comfort / Sport) อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยความสามารถในการลุยน้ำลึกได้สูงสุด 815 มิลลิเมตร มีพื้นที่บรรทุกกระบะท้ายขนาด 1,200 ลิตร ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 70 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บเพิ่มเติมใต้เบาะผู้โดยสารด้านหลังอีก 48 ลิตร อีกทั้งยังมีความสามารถในการลากจูงได้สูงสุดถึง 3,000 กิโลกรัม

    RIDDARA RD6 มีระบบความปลอดภัยรอบคัน ซึ่งรวมถึงระบบช่วยในการขับขี่ ADAS (Advanced Driving Assistance Systems) สูงสุด 14 ระบบ และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 540 องศา รวมไปถึงถุงลมนิรภัย 6 จุดช่วยปกป้องทั่วทั้งห้องโดยสาร ยิ่งไปกว่านั้นตัวรถสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของโครงสร้างรถ

    สำหรับ RIDDARA RD6 มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมี 4 รุ่นย่อย ด้วยราคาจำหน่ายดังนี้

    ● RIDDARA RD6 2WD 63kWh ราคา 899,000 บาท
    ● RIDDARA RD6 2WD 73kWh ราคา 999,000 บาท
    ● RIDDARA RD6 4WD 73kWh ราคา 1,149,000 บาท
    ● RIDDARA RD6 4WD 86kWh ราคา 1,299,000 บาท

    สัมผัสนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ของ RIDDARA RD6 ได้ที่โชว์รูมทุกสาขาทั่วไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า RIDDARA Call Center ที่หมายเลข 02-039-5777
    ติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ RIDDARA ได้ที่ Website : http://th.riddara.com/ Facebook : Riddara Thailand


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


     

    No Comment
  • เรนาสโซ มอเตอร์ ยกทัพ LAMBORGHINI THE LAST NA (Naturally Aspirated) ในงาน LAMBORGHINI SELEZIONE SHOWCASE 2025 ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โชว์รูมลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ

    1 Min Read

    เรนาสโซ มอเตอร์ ยกทัพ LAMBORGHINI THE LAST NA (Naturally Aspirated)
    ในงาน LAMBORGHINI SELEZIONE SHOWCASE 2025
    ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โชว์รูมลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ

    บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย นำโดย อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ, ศักดิ์ นานา และ ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์ กรรมการ ยกทัพ Lamborghini Selezione Certified Pre-owned กว่า 30 คัน เผยโฉมลัมโบร์กินี Pre-owned ที่ผ่านการตรวจเช็คประวัติรถและ 153 รายการ ตามมาตรฐานโรงงาน Lamborghini และพร้อมส่งมอบทันที ซึ่งเป็นโอกาสทองที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะได้พบกันโดยตรง มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะในงาน ที่เรียกได้ว่าเป็นดีลที่คุ้มที่สุดและดีที่สุดแห่งปี

    สำหรับแฟนพันธุ์แท้ค่ายวัวกระทิงดุเตรียมพบกับรถลัมโบร์กินีหลากหลายรุ่น อาทิ ตระกูล Aventador ,Huracan และ Urus พร้อมไฮไลท์สุดพิเศษของงาน Lamborghini Diablo วัวกระทิงดุสุดคลาสสิก ปี 1993 ที่หาชมได้ยาก รวมถึง Lamborghini Revuelto รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรก ของแบรนด์ ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โชว์รูมเรนาสโซ มอเตอร์ ถนนวิภาวดีรังสิต

    ข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะในงาน
    > รถลัมโบร์กินี ราคาเริ่มต้นที่ 16.xx ล้านบาท
    > รับทันที! สิทธิพิเศษจาก Renazzo Detailing Lab และ Lamborghini Bangkok
    > โปรแกรมทางการเงินจาก TTB ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.59% ต่อปี (48 เดือน) อนุมัติภายใน 1 วัน *
    > โอกาสสุดท้ายที่จะเป็นเจ้าของรถ Lamborghini เครื่องยนต์ N/A ที่พร้อมส่งมอบทันที

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

    ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment