จุดเริ่มต้น จากเกม สู่ ชีวิตจริง ของ Jann Mardenborough
คำเตือน เนื้อหาในภาพยนตร์ Gran Turismo ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากเหตุการณ์จริง คลิปนี้อาจมีการสปอยล์เนื้อหาส่วนสำคัญ หากใครที่ยังไม่เคยรับชมภาพยนตร์มาก่อน สามารถหยุดคลิปนี้ไปหาชมก่อนได้ครับ โอเค แปะเตือนสปอยล์แค่นี้แหละเข้าสู่เนื้อหากันเลย
โลกของเราทุกวันนี้มีเกมแข่งรถมากมายให้เลือกเล่น แต่จะมีสักกี่คนที่เปลี่ยนจากการจับจอย มาจับพวงมาลัยจริง และประสบความสำเร็จ ในคลิปนี้พวกเรา Realtime Car Magazine จะพามาทำความรู้จักกับ Jann Mardenborough นักซิ่งผู้เริ่มต้นชีวิตจากเกม
หลายๆ คนอาจจะงงว่าเอ๊ะ! เล่นเกมแข่งรถแล้วมันจะไปแข่งกับรถจริงได้เหรอ? มันขึ้นอยู่กับว่าเกมที่ว่ามานั้นเป็นเกมแบบไหนครับ โดยหลักๆ แล้วเกมแข่งรถจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ simcade ชื่อของมันก็บ่งบอกเเล้วว่า เป็นการผสมผสานกันระหว่าง Arcade เเละ Simulation จะเป็นเกมที่ไม่โอเวอร์มาก เเละไม่สมจริงจนเกินไป ต่อมาคือ Arcade Racing เป็นเกมแข่งรถทั่วๆ ไปที่เน้นให้ความบันเทิง ความสนุกสนาน ไม่ได้หวังเอาความสมจริง ตัวอย่างเช่น Need For Speed, Burnout หรือ Forza Horizon ประเภทต่อมาก็คือ Sim Racing หรือ Simulated Racing เป็นเกมที่มีการจำลองรายละเอียดต่างๆ จากโลกความเป็นจริง ทั้งสภาพของรถที่เปลี่ยนไปตามการขับขี่ และการเซ็ตติ้งของรถ, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน, ความสึกหรอของยาง หรือแม้กระทั่งความเสียหายของตัวรถ ซึ่งเกมประเภทนี้แหละครับที่นักแข่งหลายคนเลือกใช้ในการแข่งขัน และยังมีการแข่งขันในรูปแบบของ E-Sport อีกด้วย ตัวอย่างเกมประเภทนี้ก็อย่างเช่น Need for Speed:Shift, Assetto Corsa, Forza Motorsport และเกมที่เราจะพูดถึงกันคือ Gran Turismo
Mardenborough มีความสนใจในรถยนต์มาตั้งแต่เด็ก และมีความฝันอยากจะเป็นนักแข่งมืออาชีพมาตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ แต่เขากลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวเพราะข้อจำกัดทางการเงิน และไม่รู้ว่าจะไปหาใครมาช่วยสนับสนุนได้บ้าง ทำให้ความฝันของ Mardenborough นั้นต้องเก็บขึ้นหิ้งไป
จุดเริ่มต้นในฐานะเกมเมอร์เริ่มขึ้นในขณะที่เขาอายุ 8 ขวบ เมื่อเพื่อนสนิทของเขามีเกม Gran Turismo อยู่ในเครื่อง PlayStation นั่นจึงทำให้เขามักจะมาหาเพื่อนเพื่อมาเล่นเกมอยู่บ่อยๆ จนสุดท้ายเพื่อนของเขาก็ยกทั้งแผ่น และเครื่องให้เอากลับไปเล่นที่บ้านได้เลย หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็แทบจะไม่ค่อยแตะเกมไหนเลยนอกจากแฟรนไชส์นี้ และเล่นมาหลายต่อหลายภาคตั้งแต่บนเครื่อง PlayStation 2 ยัน PlayStation 3 ด้วยจอยพวงมาลัย
ในปี 2010 Mardenborough เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยสาขาวิศวกรรมมอเตอร์สปอร์ต แต่ก็ต้องดรอปไปหลังจากเข้าเรียนมาได้ 3 อาทิตย์ เพราะเนื้อหาวิชาเรียนหนักไปทางคณิตศาสตร์มากเกินไปซึ่งขัดกับความใจรักของเขา
ในช่วงปีว่าง Mardenborough ก็ได้ข่าวว่ามีการจัดการแข่งขันออนไลน์แบบจับเวลาโดย GT Academy ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Nissan และ PlayStation เพื่อปั้นนักแข่งรุ่นใหม่ๆ ผ่านเกม Gran Turismo ภาค 5 และจะมีการแข่งขันบนสนามจริงเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะมาเซ็นสัญญาเข้าสังกัดทีม Nismo
Mardenborough จึงตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ร่วมกับคนอื่นๆ ในโลกออนไลน์กว่า 9 หมื่นชีวิต จนสามารถขึ้นมาติดท็อป 20 ในภูมิภาคได้สำเร็จ บททดสอบต่อมาที่เขาต้องเผชิญคือ การฝึกฝนสมรรถภาพทางร่างกาย และทักษะในการขับรถแข่งจริง และมีคนถูกคัดออกไป 3 คน ก่อนเข้าสู่การแข่งขันรอบตัดสินซึ่งเป็นการแข่งขันระยะสั้น 20 นาทีรอบสนาม Silverstone National Circuit ด้วยรถ Nissan 370Z ของจริง และคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ กลายเป็นผู้ชนะรายการ GT Academy รุ่นที่ 3 และอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 20 ปี ทั้งๆ ที่ตลอดช่วงชีวิตก่อนจะมาอยู่ในรายการนี้ เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการขับรถสมรรถนะสูง หรืออยู่บนสนามแข่งจริงมาก่อน
หลังจากคว้าชัยขนะ ในรายการ GT Academy แล้ว Mardenborough ก็เข้าฝึกอบรมตามหลักสูตร และเข้าแข่งขันในการแข่งขันภายในประเทศอังกฤษหลายต่อหลายรายการ จนเขาได้รับใบอนุญาตขับแข่งนานาชาติ และได้เข้าแข่งขันในรายการเอนดูรานซ์ 24 ชม. ที่นครดูไบ ในเดือนมกราคม ปี 2012 ด้วยรถ Nissan 370Z GT4 ขึ้นโพเดียมได้อันดับที่ 3 ในรุ่น SP2 และอันดับที่ 26 โอเวอร์ออลพร้อมกับเพื่อนๆ ในทีมได้แก่ Lucas Ordóñez, Jordan Tresson และ Bryan Heitkotter
และตลอดปี 2012 Mardenborough เข้าแข่งขันในรายการ British GT Championship ด้วยรถ Nissan GT-R GT3 คู่กับ Alex Buncombe และคว้าแชมป์ในสนาม Brands Hatch จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 ในรุ่น GT3
นอกจากรถประเภท GT ที่เข้าแข่งขันแล้ว เขายังแข่งรถประเภทอื่นอีกด้วยครับเช่น
ในปี 2013 Mardenborough ก็มาลองเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยการเข้าแข่งขันรถ Formula 3 ผ่านรายการ Formula Regional Oceania Championship ของ Toyota Gazoo Racing ที่ประเทศนิวซีแลนด์ ได้อันดับที่ 10 ของสนาม และกลับบ้านมาเข้าร่วมทีม Carlin Motorsport หรือในชื่อ Rodin Motorsport ในปัจจุบัน เพื่อเข้าแข่งขันใน รายการ British Formula 3 Championship ซึ่งเขาได้ขึ้นโพเดียมถึง 2 ครั้งแล้วได้อันดับที่ 6 โอเวอร์ออล และ FIA European Formula Three Championship ได้อันดับที่ 21 จากนักแข่ง 36 ชีวิต
ในปี 2014 Mardenborough คว้าอันดับที่ 2 ในรายการ Formula Regional Oceania Championship รายการเดิมที่ นิวซีแลนด์ ทำคะแนนตามหลัง Andrew Tang คู่แข่งชาวสิงคโปร์ ไป 8 คะแนน และเข้าร่วมทีม Arden International เพื่อไปแข่งขันในรายการ GP3 Series ซึ่งเป็นปราการด่านแรกที่จะต้องผ่านให้ได้เพื่อไต่ขึ้นไปเป็นนักแข่ง Formula 1 แถมยังเซ็นสัญญาเข้าร่วมโครงการพัฒนานักแข่งของทีม Red Bull Racing อีกด้วยครับ
ในรายการ GP3 Series เขาคว้าแชมป์ครั้งแรกในสนามที่เยอรมนี หลังจากออกสตาร์ทด้วยตำแหน่งโพลโพซิชั่น และยังทำเวลาเร็วที่สุดในรอบ Qualify กริดย้อนกลับ ผลงานตลอดทั้งฤดูกาลนี้ได้คะแนนสะสมอันดับที่ 9
ในปี 2015 เขาเข้าแข่งขันสลับกับรายการ WEC ได้โพเดียม 2 ครั้ง และทำคะแนนได้ 6 ครั้ง จบอันดับที่ 9 แซง Alex Palou ที่ในเวลาต่อมา เขาคนนี้แหละครับที่จะเป็นตัวตึงในการแข่งอินดี้คาร์มาจนถึงปัจจุบัน ภายในฤดูกาลนี้เขาก็ดันพลาดการแข่งขันไป 4 สนาม เพราะต้องไปเป็นตัวแข่งสำรองในรุ่น GP2
อีกรายการหนึ่งที่สร้างผลงานในการแข่งขันคือ 24 Hr. of Le Mans ในปี 2013 ได้อันดับที่ 3 ในรุ่น LMP2 และอันดับที่ 9 โอเวอร์ออล ด้วยรถ Zytek Z11SN-Nissan ภายใต้สังกัดทีม Greaves Motorsport ร่วมกับเพื่อนเก่า Lucas Ordóñez และ Michael Krumm
ฤดูร้อนปีเดียวกัน ก็เข้าไปแข่งขันต่อในรายการ 24 Hr. of Spa ด้วยรถ Nissan GT-R GT3 ร่วมกับ Wolfgang Reip, Lucas Ordóñez และ Peter Pyzera คว้าอันดับที่ 3 ในรุ่น Pro-Am และอันดับที่ 7 โอเวอร์ออล แหม่! ผลงานดีสมกับเป็นเด็กปั้นสายเกมเมอร์จริงๆ ทั้ง 3 คน
ในปี 2014 Mardenborough ก็กลับมาแข่ง Le Mans ต่อ ในรุ่น LMP2 เช่นเดิม แต่แข่งให้กับทีม OAK Racing ด้วยรถ Ligier JS P2 ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 รุ่น VK45DE ของ Nissanเพื่อนร่วมทีมของเขาประกอบด้วย Alex Brundle และ Mark Shulzhitsky หลังจากที่พวกเขาขึ้นนำในสนามมาได้ 14 ชั่วโมง หัวเทียนรถก็ดันมีปัญหาขึ้นมาซะงั้นครับจนอันดับตกมาอยู่ที่ 5 ในรุ่นและ อันดับที่ 9 โอเวอร์ออลในตอนปลายเกม
ภายในปีเดียวกัน Mardenborough ก็ยังได้เข้าร่วมกิจกรรม Goodwood Festival of Speed ซึ่งเป็นกิจกรรมมีตติ้งของคนรักความเร็ว จัดขึ้นที่คฤหาสน์ Goodwood House เทศมณฑล West Sussex ประเทศอังกฤษ ในอนาคตเราอาจจะได้เล่าที่มากันในคลิปต่อๆ ไปครับ เพราะอีเวนต์นี้ทั้งน่าสนใจ และน่าสนุกจริงๆ เขาสร้างผลงานในกิจกรรมนี้ด้วยการเอาเจ้าก็อดซิลล่าคันนี้มาจับเวลาขับขึ้นเขา กลายเป็นรถซูเปอร์คาร์ที่ขึ้นเขา Goodwood เร็วที่สุดตลอดกาลไปครับ
ในปี 2015 Nismo ได้คัดเลือกให้ Mardenborough เป็นหนึ่งในตัวแข่งของทีม ไปแข่งในรุ่น รายการ FIA World Endurance Championship แต่ในระหว่างนั้นก็เวียนไปแข่ง Formula 3 กับทีม Carlin สลับไปมาครับ ในรายการ WEC ครั้งนี้ทีม Nismo เอารถ GT-R LM Nismo มาแข่ง เครื่องยนต์วางหน้าประหลาด แบบ ประหลาดจริงๆ ครับ ด้วยขุมพลัง V6
รุ่น VRX30A ขนาด 3 ลิตร หัวฉีด Direct injection พร้อมเทอร์โบคู่ การวางเลย์เอาท์เครื่องยนต์นั้นจะวางไว้ด้านหน้า แต่อยู่หลังแนวแกนล้อหน้า และขับเคลื่อนล้อหน้า ที่เรียกว่า Front-mid-engine, front-wheel-drive layout หรือที่เรียกย่อๆ ว่า MF หรือ FMF แต่ความย้อนแย้งมาอยู่ตรงที่ทิศทางการวางเครื่องนี่แหละครับ ที่หันตามแนวยาวของตัวรถ ซึ่งโดยปกติการวางเครื่องยนต์ในทิศทางนี้จะ ใช้สำหรับเครื่องยนต์ขับล้อหลังซะมากกว่าครับ และด้วยความประหลาดนี้นี่เองทำให้ทีม Nismo ต้องเสียเวลาปรับปรุงตัวรถจนพลาดการแข่งขันไป 2 เรซ ก่อนที่จะไปเริ่มแข่งที่ Le Mans และด้วยความไม่พร้อมนี้เองก็ทำให้ตัวรถหมายเลข 23 ที่ Mardenborough ขับมาพังเอาตอนชั่วโมงสุดท้าย ทางทีมจึงตัดสินใจเลิกเอารถรุ่นนี้มาแข่งตั้งแต่นั้นมาครับ
และเหตุการณ์ช็อกแฟนๆ ที่ต่อมาจะกลายเป็นฉากภาพจำมาตั้งแต่ตัวอย่างในภาพยนตร์แล้วครับ นั่นก็คือ วันที่ 25 มีนาคม ปี 2015 ในระหว่างการแข่งขันรุ่น GT3 ที่สนาม Nurburgring Nordscheife รถ Nissan GT-R ของ Mardenborough เกิดเสียอาการ เหินขึ้นจากเนินบริเวณโค้ง Flugplatz หน้ารถชี้ขึ้นฟ้า ท้ายรถไถไปกับพื้นแทร็ก และหมุนตีลังกา 3 รอบทะลุรั้วกั้นผู้ชม อุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ในขณะที่ Mardenborough บาดเจ็บปานกลาง
ในปี 2016 Mardenborough ก้าวเข้าสู่สนามญี่ปุ่นด้วยการเข้าแข่งขันในรายการ Super GT รุ่น GT300 และรายการ Japanese Formula 3 Championship รถที่เขาขับในการแข่งขัน Super GT คือเจ้าก็อดซิลล่าคันเดิม ภายใต้ทีม NDDP Racing ร่วมกับ co-driver ชาวญี่ปุ่น Kazuki Hoshino
Mardenborough คว้าแชมป์ในเรซ Fuji GT ระยะทาง 500 กม. ที่สนาม Fuji Speedway ซึ่งเป็นสนามที่ 2 ของฤดูกาล ขึ้นโพเดียมเป็นอันดับที่ 2 ในเรซ Buriram United Super GT Race ระยะทาง 300 กม. ที่สนาม Chang International Circuit ประเทศไทยบ้านเรานี่เอง และได้อันดับที่ 4 โอเวอร์ออลตลอดฤดูกาล
ในปี 2017 Mardenborough ย้ายมาเข้าร่วมทีม Impul และแข่งขันในรุ่น GT500 เหมือนจะผิดเวลาไปหน่อยครับเพราะเขาเข้ามาแข่งขันในช่วงที่ Nismo ฟอร์มตกมากเพราะ GT-R ในระยะหลังๆ มักจะตามหลังคู่แข่งอย่าง Honda และ Toyota ตั้งแต่นั้นมา โอ้โห่! ชื่อก็อดซิลล่าโดนฆ่าซะแล้ว! ผลการแข่งขันออกมาได้อันดับที่ 15 ในรุ่น ผลงานที่ดีที่สุดที่เขาทำได้คืออันดับที่ 5 ในเรซ Fuji GT ระยะทาง 300 กม. ซึ่งเป็นสนามที่ 5 ภายในปีเดียวกันนี้เขาก็ย้ายไปแข่งในรายการ Super Formula ภายใต้ทีม Impul อยู่เหมือนเดิม แต่รถในรายการนี้ใช้เครื่องยนต์ของ Toyota ในรายการนี้เขาคว้า 8 อันดับแรก 3 ครั้งจากการแข่งขัน 7 สนาม ได้อันดับที่ 14 โอเวอร์ออล ได้ตำแหน่งโพลโพซิชั่น ในเรซที่ 2 ที่สนาม Suzuka Circuit แต่การแข่งขันก็ต้องโบกธงแดงยุติกลางคัน เพราะ พายุไต้ฝุ่นลัง เข้าซะก่อน
ในปี 2018 Mardenborough กลับมาเข้าแข่งขันในรุ่น GT500 เหมือนเดิม คู่กับ co-driver คนใหม่ Daiki Sasaki คว้า 6 อันดับแรก 4 สนามติด เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะคว้าแชมป์ให้ได้ในสนาม Fuji GT 500 กม. แต่ในระหว่างที่ขึ้นนำคู่แข่งไป 25 วินาที ท่ออินเตอร์คูลในรถเกิดหลวมขึ้นมาจนชวดตำแหน่งตกไปอยู่อันดับที่ 12 ไปครับ สนามต่อมาที่ Sportsland Sugo Mardenborough ขึ้นโพเดียมด้วยอันดับที่ 3 ได้สำเร็จ
ในปี 2019 ก็ย้ายไปอยู่ทีม Kondo Racing แท็กทีมคู่กับ Mitsunori Takaboshi แต่ก็ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าทีมเก่าเนื่องจากทีมนี้ใช้ยาง Yokohama ในการแข่งขันซึ่งไม่ค่อยเหมาะในการแข่งขันเท่ากับของ Bridgestone ผลการแข่งขันออกมาได้อันดับที่ 14 โอเวอร์ออล ในปี 2020 พวกเขาจบอันดับที่ 19
ในส่วนของหนัง Gran Turismo นั้นกำกับโดย Neill Blomkamp เขียนบท Jason Hall และ Zach Baylin ได้ Archie Madekwe มารับบท Jann Mardenborough และยังได้ David Harbour มารับบท Jack Salter ครูฝึกของ Mardenborough ในรายการ GT Academy อ้อในหนังยังมี Easter Egg อย่างนึงครับคือ Takehiro Hira มารับบท Kazunori Yamauchi เจ้าของแฟรนไชส์เกม GT ในขณะที่ตัวจริงมาเป็นนักแสดงประกอบให้แฟนเกมได้ชื่นใจ ในบทของ เชฟร้านซูชิในกรุงโตเกียวนี่เองครับ แหะๆ
และตัวหนังใช้ทุนสร้างไปทั้งหมด 60 ล้าน USD กวาดรายได้ไปทั่วโลก 122 ล้าน USD ได้คำวิจารณ์ในเชิงบวกบน Rotten Tomatoes ถึง 65% จาก 225 คำวิจารณ์
สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของพวกเรา Realtime car magazine ได้ตามช่องทางต่างๆ ได้ มีทั้งความรู้ สาระ และสไตล์การแต่งรถที่ไม่เหมือนใคร ขอบคุณที่รับชมครับ แล้วเจอกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : http://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : realtimecarmagazine (@realtimecar)