จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่าง “TESLA”

จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่าง “TESLA”

     สวัดดีชาว Realtime car magazine ทุกท่านน่ะครับ ในครั้งนี้เราจะพาทุกท่านไปเจาะลึกเรื่องราวและความเป็นมาของแบรนด์รถยนต์ชื่อดังที่เปิดตัวมาได้เพียงแค่ 17 ปี เท่านั้นและยังเป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างแบรนด์ Tesla นั่นเองน่ะครับ ทางRealtime เราได้ไปค้นหาข้อมูลและประวัติความเป็นมาของ Tesla มาให้ทุกท่านได้ดูกันแล้ว ถ้าทุกท่านพร้อมแล้วตามผมไปดูกันเลยครับ     Tesla นั้นก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2003 โดยมีวิศวกรชาวอเมริกันสองคนเป็นผู้ก่อตั้ง ได้แก่ Martin Eberhard และ Marc Tarpenning ซึ่งเค้าสองคนมองเห็นว่ารถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่นั้นน่าจะตอบโจทย์การใช้งานของรถในอนาคต จึงได้เริ่มต้นสร้างรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมา โดยไม่กี่เดือนถัดมาได้มีผู้ร่วมอุดมการณ์อีก 3 คน พวกเค้าได้ก่อตั้ง Tesla Motor ขึ้น และหนึ่งในนั้นมีชื่อว่า Elon Musk ซึ่งเค้าได้รับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO จนถึงปัจจุบัน     ทุกคนรู้หรือไม่ว่าชื่อบริษัท เทสลา มอเตอร์ ที่จริงแล้วมีชื่อมาจาก นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla)เพื่อเป็นการสรรเสริญให้กับ  นิโคลา เทสลา เพราะเค้านั้นเป็นที่ผู้ออกแบบระบบไฟฟ้าและคิดค้นมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับนั่นเองครับ     สิ่งที่ Tesla นั้นตั่งใจที่จะทำ คือ การประดิษฐ์และคิดค้นเทคโนโลยี โดยการเป็นบริษัทที่เน้นด้านการพัฒนาเทคโนโลยี พร้อมกับจดสิทธิบัตรทางการประดิษฐ์มากมายหลายรายการทั้ง ระบบขับเคลื่อน, มอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ซอฟต์แวร์ หรือระบบปฏิบัติการ ล่าสุดที่ Tesla พัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติมาจนถึงระดับที่สามารถให้รถขับเคลื่อนได้เอง แม้จะยังไม่ใช่การขับแบบไร้คนขับ 100% ก็ตาม     สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Tesla ได้วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2008 โดยเป็นรถสปอร์ตชื่อรุ่นว่า โรดสเตอร์ ซึ่งได้บรรจุแบตเตอรี่ขนาด 53 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง จนมาถึงปี 2012 จึงได้ยุติการผลิตรถรุ่นดังกล่าว และมียอดขายทั่วโลกราว 2,000 กว่าคัน แม้จะยุติการผลิตไปแล้วเกือบ 10 ปี แต่ปัจจุบัน Tesla ยังมีการอัปเกรดระบบซอฟต์แวร์ต่างๆ ถือว่าเป็นจุดเด่นประการหนึ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แบรนด์น้องใหม่ที่มีอายุเพียงไม่กี่ปีอย่าง Tesla นั่นเอง     ต่อมาน่ะครับในปี 2012 ได้เปิดตัวรถคันใหม่ชื่อรุ่นว่า “โมเดล เอส” (Model S) ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่จุดประกายความสำเร็จด้วยแบตเตอรี่ขนาด 60 kwh และพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันแบตเตอรี่ขนาด 100 kWh เรื่องความโดดเด่นของ เทสลา โมเดล เอส นั้นอยู่ที่การใส่ระบบขับขี่อัตโนมัติ (AutoPilot) ที่ช่วยขับได้เองโดยไม่ต้องมีคนขับ ส่งผลให้ยอดขายสะสมมีมากกว่า 250,000 คัน จนได้ขึ้นแท่นรถยนต์ไฟฟ้าขายดีเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากนิสสัน ลีฟ เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น และยังครองแชมป์รถยนต์ไฟฟ้าขายดีที่สุดในปี 2015-2016 อีกด้วย     ในปี 2015 เป็นการเริ่มขายครั้งแรกของ “โมเดล เอ็กซ์” (Model X) รถยนต์แบบอเนกประสงค์เอสยูวี ที่มีความโดดเด่นด้วยขนาดที่ใหญ่และมีประตูบานหลังเปิด-ปิดแบบปีกนกอินทรี ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้ยอดจองล่วงหน้าเมื่อครั้งเปิดตัวมากถึง 30,000 คัน นับเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ประสบความสำเร็จทำตลาดมาจนถึงปัจจุบัน     ความสำเร็จสูงสุดของ Tesla เกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อทางบริษัทได้เปิดตัวรุ่น “โมเดล 3” (Model 3) ด้วยขนาดกะทัดรัด ชาร์จเร็ววิ่งไกลและราคาที่ซื้อหาได้ง่าย (เริ่มต้นราวๆ 1 ล้านบาท) ทำให้รุ่นนี้สร้างประวัติศาสตร์เป็นรถยนต์ที่มียอดจองสูงที่สุดในโลกด้วยตัวเลขมากกว่า 325,000 คัน ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังการเปิดตัว และมียอดจองทะลุถึง 500,000 คันภายใน 3 เดือนเท่านั้น     ส่วนรุ่นล่าสุดได้แก่ โมเดลวาย (Model Y) รถแบบอเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดที่ได้พัฒนามาจากโมเดล 3 แต่จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย รองรับได้มากถึง 7 ที่นั่ง ระยะทางที่วิ่งไกลสุด 480 กม. และแน่นอนว่ายอดจองดังกล่าวสร้างปรากฏการณ์และความตื่นเต้นให้แก่แวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ขนานใหญ่ ทำให้ทุกค่ายรถต้องเร่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองออกมาถึงแม้ เทสลา นั้นจะมีตัวเลขยอดจองมากแค่ไหน แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่กลายเป็นปัญหาใหญ่อยู่นั่นก็คือ เรื่องของการผลิตและการเงิน     จากกลยุทธ์ของ Tesla ที่มุ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนหมู่มาก และทำราคาให้ลูกค้าส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงการดูแลและบริการหลังการขายแบบอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรี ทำให้ผู้ใช้งานมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น โดยยังไม่มีการประกาศว่าจะเก็บเงินค่าอัปเดตซอฟต์แวร์แต่อย่างใด ทั้งนี้ซอฟต์แวร์ที่อัปเดตนั้นยังเป็นเรื่องง่ายของลูกค้าที่ใช้งานโดยสามารถอัปผ่านระบบเครือข่ายของรถได้ โดยผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณมือถือ (Over The Air) หรือเชื่อมต่อผ่านไวไฟบ้านก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันครับ     และทางTesla ได้ว่างแพลนที่จะสร้างรถออกมาอีก 3 รุ่นคือ ไซเบอร์ทรัก (Cybertruck),เซมิ (Semi) และโรดสเตอร์ 2020 (Roadster2020)  และได้ประกาศตัวว่าจะมีการผลิตออกจำหน่ายในอนาคต แม้จะมีเรื่องผิดพลาดทำให้ต้องเลื่อนการวางจำหน่ายออกไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้ความเชื่อมั่นของลูกค้าลดลงแต่อย่างใด     สำหรับคันแรกได้แก่รุ่น โรดสเตอร์ 2020  มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 200 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 1,000 กม. และได้ขึ้นแท่นรถที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดในโลกรุ่นหนึ่งทันที ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 400 กม./ชม. ในราคาแนะนำของรุ่นนี้อยู่ที่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นเงินไทย (ราวๆ 6,200,000บาท)     รุ่นถัดมา เซมิ เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่แนะนำตัวพร้อมโรดสเตอร์ 2020 โดยมากับระยะทางวิ่งสูงสุดให้เลือกได้ 2 รุ่นคือ 480 กม.และ 800 กม. พร้อมระบบขับขี่ด้วยตัวเอง และระบบการชาร์จไฟที่รวดเร็วโดยเคลมว่า เมื่อชาร์จด้วยชุดซูเปอร์ชาร์จของเทสลาจะใช้เวลาเพียง 30 นาที วิ่งได้ประมาณ 640 กม.     และรุ่นล่าสุดในตอนนี้ก็คือ ไซเบอร์ทรัก รถกระบะไฟฟ้า ดีไซน์แปลกตา ซึ่งทุกท่านอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า สหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศที่ใช้งานรถกระบะมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ดังนั้น ไซเบอร์ทรักจึงกลายเป็นพระเอกคันใหม่ที่ อีลอน มัสก์ ภูมิใจนำเสนอและได้มีรายงานเขามาว่าว่า 5 วันหลังจากที่ได้เปิดตัวก็ได้มียอดจองเข้ามากถึง 250,000 คัน โดยไซเบอร์ทรักมีกำหนดวางจำหน่ายในปลายปี 2021 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 39,990 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นเงินไทย (ราวๆ 1,240,000 บาท)     ทั้งนี้ นอกเหนือจากการผลิตรถยนต์แล้ว Tesla แล้วยังมีการผลิตแบตเตอรี่, อุปกรณ์เกี่ยวกับการชาร์จ, การติดตั้งสถานีชาร์จ และแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึงชุดกักเก็บพลังงานไฟฟ้า แบบครบวงจร จึงทำให้เทสลาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแบรนด์อื่นในการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้เทสลาดูมีมูลค่ามากกว่าคู่แข่งนั่นเองครับ

และทั้งหมดนี้แหละครับก็เป็นเรื่องราวและต้นกำเนิดของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้ทำการพลิกโฉมวงการยานยนต์ของโลกอย่าง Tesla แน่นอนว่าถ้าหากไม่มี Martin Eberhard ค่ายรถไฟฟ้าอย่าง Tesla ก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลก หากวันนั้นพวกเขาไม่ได้พบปะกัน Tesla อาจจะไม่มีเงินทุน และคงเจ๊งไปตั้งแต่ตอนนั้น หรือ Elon ก็อาจจะไปทำธุรกิจด้านอื่นแล้ว หรือถ้าหาก Elon Musk ไม่ได้เข้ามาบริหาร เราก็อาจจะไม่ได้เห็น Tesla ผลิตรถยนต์ได้สำเร็จ ทั้งรถสปอร์ต หรือรถใช้งานทั่วไป จนกระทั่งเติบโตขึ้นมายิ่งใหญ่อย่างในปัจจุบันก็เป็นได้ เป็นยังไงกันบ้างครับทุกท่านสำหรับข้อมูลที่เราได้ไปหามาให้ ชอบกันกันหรือป่าวครับถ้าชอบทุกท่านสามารถติดตามข่าวสารดีๆหรือเรื่องราวดีๆได้ที่นี่เลยครับ Realtime car magazine ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ สำหรับวันนี้เราก็ขอตัวลาไปก่อนนะครับ สวัดดีครับ


ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

Website : http://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
Twitch TV : https://www.twitch.tv/realtimecarmagazine
Blockdit : https://www.blockdit.com/pages/5ed70c2d713f890cbc006f05
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_magazine/
Tiktok : https://vt.tiktok.com/ZSmSrdsB/