แกะที่มา! ร่างรถของหุ่นยนต์แต่ละตัวใน TRANSFORMERS: Dark of the Moon

แกะที่มา! ร่างรถของหุ่นยนต์แต่ละตัวใน TRANSFORMERS: Dark of the Moon

ผ่านมาแล้วถึง 2 ภาคกับแฟรนไชส์ Transformers จากผู้กำกับ ไมเคิล เบย์ สำหรับภาค Dark of the Moon นี้ถือเป็นภาคนึงที่หุ่นยนต์ตัวประกอบเยอะมาก ทางเรา Realtime ขอหยิบยกมาเพียงแค่ตัวสำคัญๆ เท่านั้นเพื่อความกระชับของเนื้อหา

       Sentinel Prime – ถือว่าเป็นตัวร้ายสดใหม่ที่แย่งซีน Megatron ไปเต็มๆ ภูมิหลังคือเขาเป็นอดีตนักรบที่ดีที่สุด และเคยเป็นผู้นำของกลุ่มออโต้บอทส์ ที่หายสาบสูญไปเป็นเวลานาน จากอุบัติเหตุยานบินออโต้บอทส์ถูกระดมยิงตกลงบนผิวของดวงจันทร์ของโลก ต่อมาเขาได้ทรยศ Optimus Prime ด้วยเจตนาที่จะฟื้นฟู Cybertron โดยเอาทุกอย่างเข้าแลก ร่างแปลงเป็นรถคือ Rosenbauer Panther รถดับเพลิงอากาศยานค่าย Rosenbauer สัญชาติออสเตรีย เป็นรถขับเคลื่อน 8 ล้อ เครื่องยนต์ Volvo Penta D-16 Tier 4 Industrial ส่งกำลัง 700 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติจานคู่ 6 สปีด อัตราเร่ง 0-80 กม./ชม. อยู่ที่ 34 วินาที ความเร็วสูงสุด 115 กม./ชม. บรรจุน้ำดับเพลิงได้ 11,400 ลิตร โฟมดับเพลิง 1,400 ลิตร แป้ง 250 กก.

       Bumblebee – สำหรับภาคนี้แปลงร่างเป็นรถ Chevrolet Camaro SS Custom ปี 2010 รถทรงคูเป้ที่หลายคนชื่นชอบด้วยรูปทรงเรียบหรูสวยงาม กระจังหน้าและสปอยเลอร์โดดเด่นสะดุดตา มีให้เลือก 6 รุ่น ได้แก่ รุ่น Chevrolet Camaro 3,600 cc V6 6AT (300 แรงม้า), รุ่นChevrolet Camaro 3,600 cc V6 6AT (328 แรงม้า), รุ่นChevrolet Camaro 3,600 cc V6 6MT (328 แรงม้า), รุ่นChevrolet Camaro 6,200 cc V8 6MT (432 แรงม้า), และรุ่น Chevrolet Camaro 7,000 cc V8 6MT (500 แรงม้า) ทาง General Motors ได้ออกรุ่นพิเศษ Transformers Special Edition สมัยที่หนังภาค 2 ก่อนหน้านี้เข้าฉายในงาน San Diego Comic-Con ปี 2009 ที่พิเศษคือมีการติดโลโก้ Autobot ใต้ชื่อรุ่นรถที่บังโคลนทั้งซ้ายและขวา, กลางล้อแม็กซ์, กลางแผงคอนโซล

Mirage (Movie) | Transformers Film Series Wiki | Fandom

       Mirage – ก่อนหน้านี้เราได้คาดเดาทิศทางเนื้อเรื่องของตัวละครนี้มาแล้ว สามารถอ่านย้อนหลังได้ ในหนังภาคนี้ร่างแปลงเป็นรถจะเป็น Ferrari 458 Italia ซูเปอร์คาร์สีแดงแรงสามเท่าจากอิตาลี เป็นรุ่นที่มาแทน F430 ซึ่งได้ยุติสายการผลิตไปในปี 2009 458 อิตาเลีย เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่งานแฟรงเฟิร์ตมอเตอร์โชว์ ปี  2009 และได้สิ้นสุดสายการผลิตลงในปี 2015 โดยมีรุ่น 488 Gran Turismo Berlinetta มาแทนในสายการผลิต

458 อิตาเลีย ได้รับรางวัล Car of the Year 2009 และรางวัล Supercar of the Year สำหรับ 458 สไปเดอร์ ก็ได้รับรางวัล Cabrio of the Year 2011 จากนิตยสาร Top Gear นอกจากนี้ 458 สไปเดอร์ ยังได้รับรางวัลจากนิตยสาร Auto Zeitung ว่า “เป็นรถเปิดประทุนที่ดีที่สุด” นิตยสาร Motor Trend ก็มอบรางวัลให้แก่ 458 อิตาเลีย ในฐานะ “รถที่ขับขี่ดีที่สุด” ในปี 2011 สำหรับ 458 Speciale ได้รับรางวัล Supercar of the Year ปี 2013 จากนิตยสาร Top Gear และ James May’s Car of the Year อีกด้วย

สเปคของรถรุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Ferrari/Maserati F136 V8 4,497 cc ส่งกำลังได้ถึง 562 แรงม้าที่ 9,000 rpm แรงบิด 540 Nm ที่ 6,000 rpm ไต่ความเร็วจาก 1-100 กม./ชม. ภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุดมากกว่า 325 กม./ชม. ระบบจ่ายเชื้อเพลิงหัวฉีด เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีดผลิตโดย Getrag นับเป็นรถรุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนถูกนำไปทำเป็นโมเดลของเล่นมากมายเช่น โมเดลเหล็ก Die-cast 1:18 ค่าย Hot Wheels, โมเดลเหล็ก Die-cast 1:18, 1:24, 1:32 และ 1:43 ในไลน์ “Race and Play” ค่าย Bburago

       Wheeljack – นักวิทยาศาสตร์ของ Autobots ที่มักจะพัฒนาอาวุธใหม่ๆ ให้เพื่อนๆใช้อยู่ตลอด ร่างแปลงเป็นรถ Mercedes-Benz E550 หนึ่งในรถซีดานสุดหรูตระกูล E-Class (ย่อมาจาก Einspritzung-Klasse ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า รถยนต์เครื่องหัวฉีด) ต้นกำเนิดของ E-Class นั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1935 ที่ยังคงพัฒนาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ในหนังเป็นรุ่น W212 ปี 2011 เครื่องยนต์ V8 5,500 cc DOHC 32 วาว์ล ส่งกำลังได้ถึง 382 แรงม้าใน 6,000 rpm แรงบิด 530 Nm ใน 2,800 – 4,800 rpm เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ ระบบเบรกจาน ABS ถังน้ำมันจุได้ 89 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 14.1 ลิตรต่อ 100 กม. เมื่อขับในเมือง 8.8 ลิตรต่อ 100 กม. เมื่อขับบนทางหลวง เฉลี่ยแล้ว 11.7 ลิตรต่อ 100 กม.

เสริมเรื่องน่ารู้นิดหนึ่งกับรถตระกูล E-Class คือ ในช่วงรุ่นแรกๆ ผลิตในช่วงปี 1935-1955 ในชื่อรุ่น W136 แต่หลังจากเริ่มผลิตมาได้แค่ 4 ปี สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อุบัติขึ้น ทุกอุตสาหกรรมหยุดชะงัก Mercedes-Benz เองก็เช่นกันจนต้องหยุดการผลิตไปในช่วงหนึ่ง แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลง บริษัท ได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างค่อนข้างหนัก แต่ไม่ได้รับความเสียหายทางโรงงานสถานที่มากนัก ส่วนประกอบ เครื่องมือประกอบต่างๆ ยังอยู่ครบ จึงสามารถเริ่มผลิตรถได้อีกครั้ง โดย W136 นี้เองที่ก็ยังได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าช่วงก่อนสงคราม เป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของบริษัท และพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนั่นเอง

       Skid กับ Mudflap – จากเดิมในภาคที่แล้วแปลงร่างเป็นรถคอนเซ็ปท์ คราวนี้เปลี่ยนมาแปลงร่างเป็น Chevrolet Spark รุ่นที่ 3 ซึ่งพัฒนาต่อจาก Chevrolet Beat ที่เคยพูดถึงไปในภาคที่แล้ว วางจำหน่ายในปี 2009 มีชื่อที่แตกต่างออกไปในแต่ละประเทศเช่น Daewoo Matiz Creative ที่เกาหลีใต้ (ผลิตโดย Daewoo) Holden Barina Spark ในออสเตรเลียและประเทศใกล้เคียง Ravon R2 ในภูมิภาคสลาฟตะวันออก (พื้นที่ของอดีตสหภาพโซเวียต) ในขณะที่อินเดีย และภูมิภาคละติน-อเมริกา ยังคงใช้ชื่อ Chevrolet Beat เหมือนเดิม นอกจากนี้ในประเทศโคลอมเบียก็เรียกชื่อรถรุ่นนี้ที่ถูกดัดแปลงเป็นรถแท๊กซี่ว่า Chevrolet ChevyTaxi Plus อีกด้วย ก่อนการผลิตจริงได้มีการเปิดตัวคอนเซ็ปท์ในงาน North American International Auto Show ปี 2009 ต่อมาได้เปิดตัวรุ่นผลิตจริงในงาน Geneva Motor Show ปี 2009 ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

ตัวรถได้รับการออกแบบโดยคุณ คิม แท วอน มีทั้งแบบซีดาน 4 ประตู และแฮทช์แบ็ค 5 ประตู เครื่องยนต์มีหลายแบบได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน S-TEC II 4 สูบเรียง 995 กับ 1,206 cc, Smartech II 4 สูบเรียง 1,199 cc, LL0 4 สูบเรียง 1,249 cc และเครื่องยนต์ดีเซล XSDE 3 สูบเรียง 936 cc ส่วนระบบเกียร์มีทั้งกระปุก Y4M HD 5 สปีด, อัตโนมัติ Aisin AW 80-40LE 4 สปีด และ อัตโนมัติ CVT Jatco M4M-CVT7 4 สปีด

       Roadbuster, Topspin และ Leadfoot – Chevrolet Impala SS NASCAR สำหรับคนไทยแล้วจะไม่ค่อยมีการแข่งรถแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่มักจะเห็นการแข่งรถแบบนี้ในสื่อฮอลลีวูด ซึ่งมอเตอร์สปอร์ตชนิดนี้จะมีเอกลักษณ์ชัดเจนคือเป็นการแข่งในสนามปิดเป็นวงรีและมีอุบัติเหตุหนัก ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง NASCAR จะมีจุดเด่นค่อนข้างหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น รถแข่งที่ใช้จะมีรูปลักษณ์เหมือนกับรถตามท้องถนนทั่วไป เพียงแต่เครื่องยนต์จะถูกปรับแต่งเพื่อการแข่ง ซึ่ง Spec รถจะเท่ากันทุกคัน ไว้ในอนาคตจะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจกับเรื่องของ NASCAR ในภายหลัง

       Megatron – ในที่สุดภาคนนี้ก็ได้เห็นวายร้ายสุดโฉดมีร่างรถของตัวเองสักทีกับรถรรทุกหนัก Mack Titan แบรนด์อเมริกัน แต่มีต้นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ในปี 1995 ก่อนที่จะผลิตในสหรัฐอเมริกา ในปี 2008-2017 สเปคของออสเตรเลียนั้นกระจังหน้าจะมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อให้รอบรับกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัดของออสเตรเลียได้ เครื่องยนต์มีหลากหลายค่าย หลากหลายรุ่น เช่น Cummins ISX, Cummins Signature, Caterpillars C-16 จนกระทั่งเมื่อราวๆ ปี 2000-2001 ก็ได้ออกแบบเครื่องยนต์ของตัวเอง เป็น Mack E9 V8 16,400 cc กำลังสูงสุด 610 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 2,780 Nm ระบบเกียร์กระปุกมาตรฐาน 18 สปีด

ในเดือนมีนาคม 2008 Mack Titan เปิดตัวในนิตยสาร Bulldog Magazine เพื่อเจาะกลุ่มตลาดการก่อสร้าง, การตัดไม้, การทำเหมือง, การส่งน้ำมัน และ การขนส่งหนักๆ ในสหรัฐอเมริกา ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ MP-10 16,000 cc ซึ่งเป็นรุ่นเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดที่ Mack เคยผลิตมา สามารถส่งกำลังได้ถึง 515, 565 และ 605 แรงม้า สำหรับเครื่อง 605 แรงม้ามีแรงบิดสูงสุดถึง 2,790 Nm ใน 1,200 rpm ต่อมาก็ได้ยุติการผลิตกลางปี 2017

2011 Mercedes-Benz SLS AMG [C197]

       Soundwave – Mercedes-Benz SLS AMG C197 ปี 2011 รถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตู 2 ที่นั่ง ดีไซน์เต็มไปด้วยความหรูหราและออกแบบให้เพิ่มความมีระดับมากยิ่งขึ้นด้วยโทนสีดำที่สะกดทุกสายตา คอนโซลหน้ามาพร้อมเครื่องเสียงขนาดใหญ่เป็นรถที่พัฒนาต่อจาก Mercedes-Benz SLR Mclaren ออกแบบโดยคุณ มาร์ค เฟเธอร์สตัน ด้วยลักษณะประตูปีกนกที่หยิบมาจาก 300SL Gullwing เปิดตัวครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show ปี 2009 ด้วยสเปคเครื่องยนต์ V8 รุ่น M159E63 6,208 cc ส่งกำลังได้ถึง 563 แรงม้าที่ 6,800 rpm แรงบิด 650 Nm ที่ 4,750 rpm ระบบเกียร์อัตโนมัติ AMG Speedshift DCT 7 สปีด สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ทั้ง C (Controlled Efficiency), S (Sport), S (Sport Plus), และ M (Manual ควบคุมด้วยตนเองผ่านคันโยกหลังพวงมาลัย) อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม.

เบรกมาตรฐานด้านหน้า 390 มม. และด้านหลัง 360 มม. ดิสก์เบรกเหล็กหล่อพร้อมคาลิปเปอร์อะลูมิเนียม 6 ลูกสูบ (ด้านหน้า) และ 4 ลูกสูบ (ด้านหลัง) สามารถเลือกเปลี่ยนเป็น ดิสก์เบรกคาร์บอนเซรามิก จานขนาด 402 มม. (15.83 นิ้ว) พร้อมคาลิปเปอร์อะลูมิเนียม 6 ลูกสูบ (ด้านหน้า) และดิสก์ขนาด 360 มม. (14.17 นิ้ว) พร้อมคาลิปเปอร์ 4 ลูกสูบ (ด้านหลัง) เบรกเหล่านี้ให้กําลังการหยุดที่เพิ่มขึ้น ลดน้ําหนักการเหยียบลง 40% เมื่อเทียบกับระบบเบรกมาตรฐาน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 13 ลิตร/100 กม.

ครั้งหน้าเราจะพามาทำความรู้จักรถที่เป็นร่างแปลงของหุ่นยนต์ในภาค 4 Age of Extinction กัน ไว้เจอกันครับ


ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

Website : http://www.realtimecarmagazine.com/newsite/

Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ

Twitch TV : https://www.twitch.tv/realtimecarmagazine

Blockdit : https://www.blockdit.com/pages/5ed70c2d713f890cbc006f05

instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_magazine/

Tiktok : https://vt.tiktok.com/ZSmSrdsB