ประวัติของ Toyota แบรนด์รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในโลก

เราทุกคนคงจะรู้จัก Toyota กันเป็นอย่างดี หลายๆ คนใช้รถแบรนด์นี้กันอยู่ แต่เรื่องราวเบื้องหลังนั้นหลายๆ คนอาจจะลืมไปแล้วว่ามีจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอุตสาหกรรมยานยนต์เลย สกู๊ตนี้จะเล่าย้อนประวัติศาสตร์ว่า กว่าจะมีวันนี้ได้ Toyota เคยผ่านอะไรมาบ้าง

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 1920 นาย Kiichiro Toyoda ที่มีความสนใจในหลักการทำงานของเครื่องทอผ้า จากการที่ นาย Sakichi Toyoda พ่อของ Kiichiro เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตสิ่งทอ Toyoda Boshoku เขาเรียนจบภาควิชาวิศวะเครื่องกล มหาวิทยาลัยโตเกียว โดยตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล” และเรียนต่อในคณะนิติศาสตร์อีกประมาณ 7 เดือน Kiichiro ก็เดินทางกลับมาทำงานในบริษัทของพ่อ ที่เมือง Nagoya

ต่อมาปี 1921 Kiichiro เดินทางไปศึกษาดูงานอุตสาหกรรมทอผ้าทั้งในยุโรป และอเมริกา แต่สิ่งที่เขาเห็นแล้วต้องเหวอ ก็คือถนนหนทางในเมืองนอก มีแต่รถยนต์เต็มไปหมด ทำให้คิดขึ้นมาว่ายุคสมัยของรถยนต์จะต้องมาถึงญี่ปุ่นในสักวันนึง

การเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ ในญี่ปุ่นสมัยก่อนนั้นส่วนใหญ่จะเดินทางด้วยรถไฟ จนกระทั่งในปี 1923 ก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.9 ริกเตอร์ขึ้นในเขตภูมิภาค Kanto ขึ้น ทำให้ทางรถไฟหลายสายพังเสียหาย รัฐบาลญี่ปุ่นจึงต้องสั่งซื้อโครงรถกระบะจาก Ford มาทำเป็นรถโดยสารชั่วคราวในชื่อ Ford TT Entarou-Bus ที่นั่งก็จะคล้ายกับรถสองแถว และทำให้แนวคิดของ Henry Ford ว่ารถยนต์ต้องเป็นอะไรที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ใครๆ ก็ซื้อได้ ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย หรู แพง เริ่มมีอิทธิพลมาถึงญี่ปุ่นในที่สุด

ในปี 1924 Sakichi Toyoda ผู้เป็นพ่อในวัย 57 ปี ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องทอผ้าอัตโนมัติขึ้นมาในชื่อว่า Toyoda Model G ความพิเศษของเครื่องทอผ้าตัวนี้ คือสามารถหยุดการทำงานด้วยตัวเองได้เมื่อเกิดเหตุขัดข้อง ทำให้ช่างสามารถเข้ามาแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ซึ่งต่อมาก็กลายมาเป็นรากฐานให้กับกรรมวิธีในการผลิตรถมาจนถึงปัจจุบัน และถูกจดทะเบียนให้เป็นมรดกทางวิศวกรรมของประเทศญี่ปุ่นในปี 2007

2 ปีต่อมา ในปี 1926 พ่อ-ลูก ตระกูล Toyoda ก็ได้ก่อตั้งบริษัท Toyoda Automatic Loom Works เพื่อผลิตเครื่องทอผ้าโดยเฉพาะ และ Kiichiro ที่เริ่มสนใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ และลองเอาระบบการผลิตแบบสายพานมาใช้กับการผลิตเครื่องทอผ้า ก่อนจะสั่งนำเข้าเครื่องจักรที่จำเป็นเตรียมไว้สำหรับการผลิตรถในเวลาต่อมา รวมถึงยังซื้อรถ Chevrolet มาทดลองชำแหละชิ้นส่วนและประกอบใหม่ร่วมกับทีมวิศวกร ทำอย่างนี้ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับวิธีการประกอบรถยนต์

นอกจากนี้ในปี 1929 สิทธิบัตรของเครื่องทอผ้า Toyoda Model G ก็ถูกขายให้กับบริษัท Platt Bros.จากอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสิ่งทอรายใหญ่ที่สุดในโลก ช่วงศตวรรษที่ 19 ด้วยราคา 1 แสนปอนด์ หรือเท่ากับ 270 ล้านบาทไทย ในปัจจุบัน โดยที่ Kiichiro เดินทางไปเซ็นรับรองการโอนสิทธิบัตรด้วยตัวเอง

ในช่วงที่ Kiichiro เดินทางไปต่างประเทศเป็นรอบที่สองนี้เอง เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนไปเร็วมาก และยังเดินทางไปดูโรงงาน Ford Motor ที่เมือง Detroit รัฐ Michigan สหรัฐอเมริกา

หลังจากที่เดินทางกลับมาญี่ปุ่น บริษัท Toyoda Automatic Loom Works เกิดปัญหาขึ้นมา เมื่อยอดขายเครื่องทอผ้าลดหายไปกว่าครึ่ง จากปัญหาเศรษฐกิจที่สะสมมาทั้ง สงครามโลกครั้งที่ 1, เหตุแผ่นดินไหวใน Kanto และ วันอังคารทมิฬ แถม Sakichi Toyoda ผู้เป็นพ่อก็ยังจากโลกนี้ไป ในวันที่ 30 ตุลาคม ปี 1930 ด้วยวัย 63 ปี

รถยนต์ Toyota รุ่นแรก

Kiichiro ต้องขึ้นมาบริหารบริษัท Toyoda Automatic Loom Works ต่อจากพ่อ และเปิดแผนกยานยนต์ขึ้นมาในวันที่ 1 กันยายน ปี 1933 และพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นแรกในชื่อ Type A เมื่อวันที่ 25 กันยายน ปี 1934 ก่อนจะเปิดตัวรถยนต์ซีดานต้นแบบรุ่นแรกในชื่อ A1 เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1935

ในวันที่ 25 สิงหาคม ปี 1935 รถบรรทุก G1 ถูกพัฒนาขึ้นและปล่อยออกสู่ท้องตลาดในวันที่ 21 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน โดยมียอดการผลิตทั้งหมด 379 คัน สนนราคาอยู่ที่ 2,900 เยน หรือ 19,500 บาทไทย ในปัจจุบัน

ถัดมาในเดือนเมษายนปี 1936 รถ A1 รุ่น Minorchange ก็ปล่อยออกสู่ท้องตลาดในชื่อว่า AA สนนราคาอยู่ที่ 3,350 เยน หรือเท่ากับ 22,100 บาทในปัจจุบัน ในเดือนต่อมาเดือนพฤษภาคม โรงงานแห่งใหม่ในเมือง Kariya จังหวัด Aichi ก็ถูกก่อสร้างจนแล้วเสร็จ และในเดือนกรกฎาคม ปี 1936 Toyota มีการส่งออกรถไปวางขายในตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยเริ่มจากเอารถบรรทุก G1 ไปขายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน จนกระทั่งในวันที่ 19 กันยายน ปี 1936 รัฐบาลจักรวรรดิญี่ปุ่น กำหนดให้ Toyoda Automatic Loom Works เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างเป็นทางการ

จุดเริ่มต้นของชื่อ Toyota

จากเดิมที่สายการผลิตรถยนต์ถูกผลิตขึ้นภายใต้แบรนด์ที่ชื่อว่า Toyoda ซึ่งเมื่อเขียนเป็นตัวคันจิแล้วจะมีความหมายว่า “นาข้าวที่อุดมสมบูรณ์” จะสังเกตได้จากตัวอักษรตัวหลังที่เป็นช่องสี่เหลี่ยมเหมือนนาข้าว ปัญหาคือ ชื่อมันไม่ตรงกับสายการผลิตรถยนต์ ก็มีการจัดแคมเปญประกวดชื่อและโลโก้ใหม่ขึ้นมา ซึ่งก็มีผู้เข้าร่วมประกวดกว่า 27,000 ราย สุดท้ายมาจบที่ไอเดียของ Rizaburo Toyoda พี่เขยของ Kiichiro ด้วยการเอานามสกุล Toyoda (トヨダ) มาเขียนเป็นตัวอักษรคาตาคานะ ซึ่งจะมีจำนวนเส้นทั้งหมด 10 เส้น ก่อนจะตัดเอาเครื่องหมายเสียงขุ่นที่เรียกว่า てんてん (tenten) ออกให้เหลือ 8 เส้น ทำให้ต้องออกเสียงเป็น Toyota ตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเลข 8 ก็ถือได้ว่าเป็นเลขมงคลตามความเชื่อของหลากหลายวัฒนธรรม รวมถึงประเทศไทยบ้านเราที่สื่อถึง ความโชคดี ความสุขความเจริญ และความสำเร็จ

หลังจากที่ได้ชื่อนี้ออกมาแล้วก็มีการจดทะเบียนในชื่อ บริษัท Toyota Motor จำกัด ในวันที่ 28 สิงหาคม ปี 1937 พร้อมแต่งตั้งให้ Rizaburo Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการคนแรกของ Toyota Motor ในขณะที่ Kiichiro ผู้ก่อตั้งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการ

ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

Toyota Motor กลายมาเป็นหัวเรือใหญ่ในการผลิตรถบรรทุกขนส่งสำหรับใช้งานในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จนวันที่ 14 สิงหาคม ปี 1945 ใน 1 วันก่อนจักรวรรดิญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม โรงงานผลิตรถยนต์ของ Toyota ที่ตั้งอยู่ในเมือง Koromo ถูกกองทัพพันธมิตรทิ้งระเบิดใส่จนพังเสียหาย และหลังจากที่แพ้สงคราม กองกำลังยึดครองจากสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกว่า General Headquarter หรือเรียกย่อๆ ว่า GHQ ประกาศสั่งห้ามไม่ให้ Toyota ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังสามารถผลิตรถกระบะ และรถบรรทุกสำหรับพลเรือนได้ แต่เนื่องด้วยสภาพของญี่ปุ่นหลังแพ้สงครามที่ย่ำแย่ ทำให้ Toyota ขาดแคลนวัสดุ และไม่สามารถผลิตรถให้ถึงเป้าที่ 500 คันต่อเดือน นอกจากนี้ทางสหรัฐอเมริกายังอนุญาตให้ Toyota ศึกษาและวิจัยรถยนต์นั่งได้ และยังต้องรับงานซ่อมยานพาหนะของกองทัพสหรัฐฯ

วิบากกรรมยุคสงครามเย็น

ในปี 1947 ก็เป็นช่วงที่เกิดสงครามเย็นขึ้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจเสรีประชาธิปไตย ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา และขั้วอำนาจคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ สหภาพโซเวียต ทำให้ GHQ ต้องเปลี่ยนนโยบายจาก การลงโทษ และปฏิรูปการเมืองในญี่ปุ่นให้เป็นประชาธิปไตย กลายมาเป็นนโยบาย Dodge Line ที่เน้นในเรื่องของการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง, ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองขึ้นมา ทำให้ Toyota สามารถกลับมาผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พิกัดเครื่องยนต์ต้องไม่เกิน 1.5 ลิตร และผลิตไม่เกิน 300 คันต่อปี

ในช่วงเดือนตุลาคม Toyota ก็ออกรถรุ่น SA ซึ่งเป็นรถนั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของยุคหลังสงคราม ภายใต้ชื่อแบรนด์ว่า Toyopet ที่คนไทยหลายๆ คนเรียกติดปากว่า “โตโยเป็ด” ซึ่งเจ้า SA คันนี้เปิดตัวมาด้วยตัวถังที่มีขนาดเล็ก พร้อมเครื่องยนต์ Type S 4 สูบเรียงขนาด 1.0 L 27 แรงม้า ถึงแม้ว่าจะเป็นรถที่มีคำวิจารณ์ออกมาดีก็ตาม แต่ก็ยังทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ ด้วยยอดขายเพียงแต่ 197 คัน ในช่วง 5 เดือนแรกหลังจากเปิดตัว ในขณะที่ตลาดรถกระบะสามารถทำยอดขายได้ดีกว่ามาก ยอดขายมากกว่า 12,000 คัน

นโยบาย Dodge Line ที่ GHQ บังคับใช้นั้น เนื่องจากเป็นความพยายามในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 360 เยนต่อ 1 USD แต่นั่นกลับทำให้ยิ่งพังมากกว่าเดิม เพราะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นต้องขาดแคลนเงินทุน ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงอัตราการว่างงาน, ความต้องการรถยนต์ในตลาดเริ่มถดถอย, การเช่าซื้อรถกระบะเริ่มปั่นป่วนจากการที่มีลูกค้าผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และธุรกิจต่างๆ กว่า 8,000 แห่งต้องล้มละลายในปี 1949

Kiichiro หาวิธีการต่างๆ มากมายที่จะช่วยลดต้นทุนกับค่าวัสดุลง แต่ Toyota ต้องประสบกับภาวะขาดดุลถึง 22 ล้านเยนทุกๆ เดือน จนในเดือนสิงหาคม ปี 1949 Kiichiro เสนอข้อตกลงให้มีลดค่าจ้างพนักงานลง 10% และลดเงินเกษียนลงครึ่งหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างพนักงาน ถ้าถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ นั่นก็เพราะว่าเขาเคยประสบปัญหาแบบนี้มาแล้วในช่วงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากเหตุการณ์ต่างๆ ช่วงปี 1930 และไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ต้องกลับมาซ้ำรอยแบบนี้อีก

Kiichiro ตัดสินใจที่จะตระเวนไปขอกู้เงินตามแบงค์ต่างๆ กว่า 24 แห่งมาใช้เป็นเงินทุนในการฟื้นฟู Toyota ไปทั้งหมด 188.2 ล้านเยน เมื่อเทียบอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันจะเท่ากับ 4,000 – 5,000 ล้านเยน หรือเท่ากับ 1,170 ล้านบาท จนทำให้ Toyota สามารถรอดจากวิกฤตล้มละลายมาได้ แต่ปัญหายังมีต่ออีก เพราะ Feedback ของ Toyota ไม่มีการฟื้นตัวเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า ค่าวัสดุและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ในขณะที่ราคารถย่ำอยู่กับที่ตามนโยบาย Dodge Line ทำให้ Kiichiro ซึ่งเป็นโรคความดันเลือดสูงอยู่แล้ว เครียดมากจนล้มป่วยไป และในวันที่ 22 เมษายนปี 1950 Toyota ประกาศเกษียนพนักงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการผิดคำสัญญาไว้ที่ว่าจะไม่เลิกจ้างพนักงาน และสร้างความไม่พอใจมากจน แห่กันหยุดงานประท้วงยาวถึง 2 เดือน ทำให้อัตราการผลิตรถในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ร่วงลงมา 70% และแล้วเรื่องที่ทำให้คนรักรถ Toyota ในตอนนั้นต้องช็อกก็เกิดขึ้น เมื่อ Kiichiro Toyoda ตัดสินใจลาออกจาก Toyota ในวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1950 เพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทำให้การหยุดงานประท้วงต้องยุติลง

สงครามเกาหลี กับยุคฟื้นฟู

ในช่วงสงครามเกาหลีที่กำลังปะทุขึ้นมา ทำให้กองกำลังสหประชาชาติ ต้องสั่งซื้อของมากมายจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กับสนามรบมากที่สุด หนึ่งในนั้นคือการสั่งซื้อรถบรรทุก Toyota BM อย่างเร่งด่วนรวมทั้งหมด 4,679 คัน มูลค่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ 3,660 ล้านเยน หรือ ประมาณ 23,400 ล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก เนื่องจากเป็นช่วงยุคที่อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในช่วงนั้นไม่แน่นอนเอามากๆ ดิ้นอยู่ตลอดเวลา

Toyota จึงกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการยกเลิกนโยบาย Dodge Line ทำให้ Toyota สามารถกำหนดราคารถให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตได้ พร้อมกันนั้นทาง Toyota ยังมีการเอาแบบของ Willys Jeep มาผลิตรถอเนกประสงค์ป้อนให้กองกำลังสหประชาชาติในชื่อว่า Toyota “Jeep” BJ ซึ่งต่อมาเจ้ารถอเนกประสงค์รุ่นนี้ก็กลายมาเป็นบรรพบุรุษของราชาแห่งรถ SUV Toyota Land Cruiser

ย้อนกลับไป เมื่อต้นปี 1950 Toyota ได้มีการลงนามข้อตกลงกับ Ford ให้รับเอาวิศวกรจำนวน 3 คนมาควบคุมดูแลการผลิตที่ญี่ปุ่น แต่หลังจากที่เกิดสงครามเกาหลี รัฐบาลสหรัฐฯ มีการสั่งห้ามลงทุนในต่างประเทศ และห้ามส่งบุคลากรสำคัญๆ ไปต่างประเทศ ทำให้ข้อตกลงนี้ต้องแก้ไขใหม่ครับเป็นการส่งพนักงานของ Toyota ไปฝึกอบรมในสำนักงานใหญ่ของ Ford ที่สหรัฐอเมริกาแทน หนึ่งในตัวแทนของ Toyota ก็คือ Eiji Toyoda ลูกพี่ลูกน้องของ Kiichiro ซึ่งใช้เวลาฝึกอบรมไปทั้งหมด 1 เดือนครึ่ง แต่ว่าความรู้ที่ได้จากการเดินทางไปดูงานกับ Ford นั้นยังใช้ไม่ได้กับ Toyota ทั้งด้วยเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสต็อกสินค้า และทรัพยากรที่ยังมีไม่มากเพราะยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2

Taiichi Ohno วิศวกรของ Toyota ที่ได้ไปฝึกอบรมกับ Ford มาเหมือนกันก็เอาไอเดียการจัดเก็บสินค้าตามห้างในสหรัฐอเมริกา และกระบวนการผลิตแบบ Just In Time มาปรับใช้กับแนวคิดเครื่องจักรทำงานอัตโนมัติ และหยุดทำงานได้เองเมื่อเกิดข้อผิดพลาด เหมือนเครื่องทอผ้า Model G ที่ Sakichi Toyoda เคยคิดค้นเมื่อนานมาแล้ว รวมถึงแนวคิดการปรับปรุงกระบวนการทำงานแบบต่อเนื่อง ออกมาเป็นระบบการผลิต Toyota Production System  และปรัชญาการผลิต The Toyota Way หรือ “วิถิแห่งโตโยต้า” นั่นจึงทำให้ Taiichi Ohno ถูกเรียกว่า “บิดาแห่งการผลิตแบบ Toyota”

Toyota Crown กับความสำเร็จที่ Kiichiro ไม่มีวันได้เห็น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา การผลิตรถของ Toyota จะเป็นการจ้าง Outsource ตามที่ต่างๆ มาผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และประกอบขึ้นบนเฟรมรถกระบะที่ Toyota ผลิตขึ้นมาเอง จนกระทั่งในปี 1952 Toyopet Crown หรือ Toyota Crown ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรถที่ผลิตโดย Toyota เองทั้งคัน ก็ได้เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกด้วยการทดสอบวิ่งบนเส้นทางที่แคบ ขรุขระ และประสบความสำเร็จ ก่อนจะปล่อยออกสู่ท้องตลาดจริงในเดือนสิงหาคม ปี 1955

และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แถมได้รีวิวเชิงบวกจากสื่อทั่วโลก แถมยังเป็นรถยนต์ Toyota รุ่นแรกที่ถูกใช้ในงานราชการตำรวจ และ ยังเอามาใช้เป็นรถแท็กซี่อีกด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะก่อนที่ Toyopet Crown คันนี้จะวางขาย Kiichiro Toyoda ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันจากโรคหลอดเลือดสมอง ในวันที่ 27 มีนาคม ปี 1952 ด้วยวัยเพียง 57 ปี

ภายหลังความสำเร็จของ Crown Toyota ก็เริ่มรุกตลาดต่างประเทศอย่างหนักด้วยการส่ง Toyota Land Cruiser รุ่น J20 ซึ่งเป็นโฉมที่ 2 ไปขายในตลาดซาดุดิอาระเบีย โดยมี Sheikh Abdul Latif Jameel เป็นตัวแทนนำเข้า และยังส่งออกไปยังประเทศข้างๆ อย่าง เยเมน ในปี 1956 นั่นจึงทำให้มักจะกลายเป็นภาพจำว่า Toyota Land Cruiser มักจะอยู่คู่กับเศรษฐีตะวันออกกลาง

Toyota ในตลาดอเมริกา กับเรื่องตลกที่ควรรู้

ในปี 1958  Toyota ตั้งฐานการผลิตนอกญี่ปุ่นแห่งแรกขึ้นในประเทศบราซิล และเริ่มส่งออกรถ Toyopet Crown ไปขายในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็มีเรื่องตลกที่อย่างนึงครับ คือเมื่อ Toyota มาทำตลาดในสหรัฐอเมริกา ก็มีปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องของการออกเสียงชื่อแบรนด์จากที่ควรจะเป็น To-Yo-Ta ก็เพี้ยนมาเป็น Toy-O-Ta ซึ่งคำว่า “Toy” ในพยางค์แรกนั้นก็แปลว่า “ของเล่น” และมีเรื่องเล่าว่าเมื่อมีการจัดงานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ หรือมีงานประชุมอะไรสักอย่าง บางครั้งก็จะมีคนออกเสียงชื่อแบรนด์ว่า Toy-O-Ta แล้วฝ่ายการตลาดก็จะต้องแก้ไขว่า “No No No No No เราเรียกว่า To-Yo-Ta” จนกลายเป็นเรื่องตลกกันในกลุ่ม หรือนอกจากนี้ยังมีประโยคปั่นๆอีกว่า “ถ้าเรียกว่า Toy-O-Ta แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น” จนกลายเป็นมุขที่เล่นกันระหว่างการโปรโมทและการขาย

ถึงแม้ Toyopet Crown จะเป็นรถที่ดีมีคุณภาพ แต่เมื่อข้ามทะเลมาที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ปรากฏว่า “ขายไม่ดี” ด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาสูงเกินไป, ถูกออกแบบมาสำหรับวิ่งสมบุกสมบันบนถนนขรุขระของญี่ปุ่น ไม่ได้เน้นแรงม้าเยอะๆ แต่ไม่ตอบโจทย์ถนนของสหรัฐฯ ที่เรียบๆ เหมาะสำหรับวิ่งด้วยความเร็วสูง, ขนาดที่เล็กเกินไปสำหรับรูปร่างของคนอเมริกันส่วนใหญ่ และที่สำคัญครับ ชื่อของ Toyopet ที่สะกดแยกออกมามีคำว่า Toy ที่แปลว่า “ของเล่น” กับ Pet ที่แปลว่า “สัตว์เลี้ยง” ก็ยังสร้างความเข้าใจผิดว่านี่ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ด้วย นั่นจึงทำให้ Toyopet Crown ถูกระงับการขายในช่วงต้นยุค 60

ยุคปาฏิหาริย์ แห่งเศรษฐกิจ

หลังจากนั้นมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาผงาดอีกครั้ง เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น” เป็นช่วงยุคที่ผู้คนในญี่ปุ่นเริ่มมีกิน มีใช้ และเข้าถึงรถราคาประหยัดได้ง่ายขึ้น

และในปี 1962 บริษัท Toyota Motor (ประเทศไทย) จำกัด ก็ถูกก่อตั้งขึ้น เป็นฐานการผลิตรถยนต์ Toyota แห่งแรกในเอเชียนอกเกาะญี่ปุ่น ซึ่งโรงงานแห่งแรกตั้งอยู่ จ.ชลบุรี และในปลายปี 1966 Toyota ก็เปิดตัว Corolla โฉมแรก ในเวลาต่อมาก็กลายมาเป็นรถที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 50 ล้านคัน ทั่วโลก ก่อนที่ต่อมา Eiji Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ในปี 1967 พร้อมกับเข้าซื้อหุ้นของ Daihatsu เพื่อร่วมมือกันพัฒนารถขนาดเล็กตั้งแต่ Kei car ไปจนถึง Kei truck ภายในปีนั้นเอง Toyota 2000GT ก็เปิดตัวเป็นครั้งแรกในฐานะ “รถแกรนด์ ทัวร์ริ่ง และ ซูเปอร์คาร์รุ่นแรกของญี่ปุ่น” และกลายมาเป็นรถคลาสสิกในตำนานที่มีราคาประมูลสูงที่สุดของ Toyota

ในตลาดสหรัฐอเมริกา ปี 1965 Toyota สามารถแก้ตัวได้สำเร็จด้วยการส่ง Corona โฉมที่ 2 ไปขาย ซึ่งมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ทรงพลังมากขึ้น ทำให้ยอดขายรถ Toyota ในตลาดสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 20,000 คัน และกลายเป็นแบรนด์รถยนต์นำเข้าที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับสาม ในปี 1966

จนมาถึงปี 1971 Toyota ร่วมทุนกับบริษัท Astra ตั้งฐานการผลิตเพิ่มที่ประเทศอินโดนีเซียภายใต้ชื่อ Toyota Astra Motor และผลิตรถยนต์รุ่นต่างๆ ออกมาได้มากกว่า 10,000 คัน ภายใน 3 ปี ก่อนที่ต่อมาในปี 1973 Toyota จับมือกับผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฟิลิปปินส์ Delta Motor ในการผลิตเครื่องยนต์ 12R สำหรับรถ Corona, Hilux และ Hiace ผ่านไปจนถึงช่วงระหว่างปี 1976-1977 Toyota เปิดตัวรถ Segment ใหม่ที่เรียกว่า Basic Utility Vehicle หรือ BUV เพื่อตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยที่ในตลาดอินโดนีเซียใช้ชื่อว่า Toyota Kijang  และตลาดฟิลิปปินส์ใช้ชื่อว่า Toyota Tamaraw

ต่อมาในปี 1972 Toyota ได้ทำการเจรจาข้อตกลงกับบริษัท Atlas Fabricators ซึ่งตั้งอยู่ที่ เมือง Long Beach, California เพื่อนำเข้ารถกระบะ Hilux ที่ไม่มีกระบะท้ายมาประกอบในแผ่นดินสหรัฐฯ ตั้งแต่โฉมแรก ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการเสียภาษีไก่ที่เก็บกันบ้าเลือดถึง 25% ดังนั้นภาษีเพียงอย่างเดียวที่จะต้องเสียก็มีเพียงแค่ ภาษีศุลกากร 4% เท่านั้น ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ช่องโหว่ก็ถูกปิดไปภายในเวลาไม่นาน จนทำให้ Toyota ต้องควบรวมกับ Atlas มาเป็นบริษัท Toyota Auto Body และกลายเป็นฐานการผลิตแห่งแรกของอเมริกาเหนือในเวลาต่อมา แต่วิธีการผลิตยังคงเป็นการนำเข้าหัวมาประกอบกับกระบะท้ายเหมือนเดิมจนมาถึงโฉมสุดท้ายนั่นก็คือ โฉมที่ 5 หรือที่ในตลาดประเทศไทยเรียกว่า Mighty-X

ในปี 1976 Toyota ก่อตั้งแผนก Toyota Racing Development หรือ TRD เพื่อพัฒนารถแข่ง และเอาเทคโนโลยีจากสนามมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ที่ผลิตวางขายทั่วไป โดยเริ่มต้นจากการพัฒนารถแข่งสำหรับการแข่งขัน NASCAR ในสหรัฐอเมริกา ก่อนจะขยายขอบเขตไปที่รายการอื่นๆ อีกเพียบ

และในปี 1981 Eiji Toyoda ลงจากตำแหน่งประธานกรรมการ พร้อมแต่งตั้งให้ Shoichiro Toyoda ลูกชายของ Kiichiro ขึ้นมาเป็นประธานกรรมการคนใหม่ และ จากเดิมที่ Toyota Motor ในญี่ปุ่นเคยแยกกันเป็น 2 บริษัท โดยที่เจ้าหนึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายขาย และอีกเจ้าหนึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายผลิต และทำงานเข้าขากันได้ไม่ค่อยดีนัก ขนาดที่ว่า Hino Satoshi ยังเคยกล่าวในหนังสือ “ถอดรหัส DNA Toyota” ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2006 เอาไว้ว่า ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 บริษัทย่อยนี้เหมือน “น้ำ กับ น้ำมัน”

Shoichiro กลายเป็นคนที่สามารถผนวกรวมทั้ง 2 บริษัทนี้กลายมาเป็นบริษัทเดียวภายใต้ชื่อ Toyota Motor Corporation ได้สำเร็จ หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการไม่ถึงเดือน และในช่วงยุคนี้เองที่ Toyota ให้กำเนิดรถยนต์ Coupe และ Sedan ขายดีอีกหลายต่อหลายรุ่น ทั้ง Supra, Mark II, Cresta, Chaser, Celica, Corolla Levin หรือแม้กระทั่ง รถส่งเต้าหู้ Sprinter Trueno AE86

ต่อมาในเดือนธันวาคม 1984 Toyota ลงนามข้อตกลงร่วมกับ General Motor ก่อตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาในชื่อว่า NUMMI และตั้งฐานการผลิตที่เมือง Fremont, California โดยมี Tatsuro Toyoda น้องชายของ Shoichiro มาดูแลโรงงานแห่งนี้ และรถคันแรกสุดที่ปล่อยออกจากโรงงานนี้คือ Corolla FX16 สีขาว ในวันที่ 7 ตุลาคมปี 1986

กำเนิด Lexus

วันเวลาผ่านไปจนถึงปี 1989 Toyota ก็ได้มีการอัปเดต โลโก้ใหม่ ให้เป็นรูปวงรีสามวงซ้อนกันที่หลายๆ คนคุ้นเคยและเรียกติดปากว่า “สามห่วง” ที่สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างตัวรถ กับ ลูกค้า แถมยังเป็นโลโก้ที่ซ่อนชื่อภาษาอังกฤษ ได้แนบเนียนสุดๆ พร้อมกันนั้นยังเปิดตัวแบรนด์ลูกเจ้าใหม่ที่มุ่งเน้นตลาดรถระดับพรีเมียมโดยเฉพาะ นั่นก็คือ Lexus นี่เองครับ และรถรุ่นแรกของแบรนด์นี้คือ LS400 ที่สร้างขึ้นจากการระดมสมองของนักออกแบบ 60 คน วิศวกร 1,400 คน แบ่งเป็น 24 ทีม ช่าง 2,300 คน และพนักงานสนับสนุนอีก 220 คน พัฒนารถตัวต้นแบบกว่า 450 แบบ ใช้เงินทุนในการพัฒนามากกว่า 1,000 ล้าน USD หรือมากกว่า 3 หมื่นล้านกว่าบาท และใช้เวลาพัฒนาถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี 1983

ยุคแห่งพลังงาน Hybrid

ในปี 1992 Toyota ก็เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเป็นครั้งแรก หรือก็คือ Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) ซึ่งต่อมาก็จะกลายมาเป็นรากฐานในการพัฒนา Toyota Mirai

เดือนธันวาคมปี 1997 Toyota ก้าวเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฮบริดด้วยการเปิดตัว Prius และเป็นรถยนต์ HEV รุ่นแรกของโลก และขายเฉพาะในญี่ปุ่นก่อนในช่วง 2 ปีแรก ก่อนที่ในปีต่อมา Toyota ก็เพิ่มการถือหุ้น Daihatsu ขึ้นมาเป็น 51 % ทำให้ Toyota มีอำนาจควบคุม Daihatsu อย่างเต็มตัว ทำให้ในปัจจุบันมีรถยนต์ Toyota ที่เอา Daihatsu มาแปะโลโก้เป็นจำนวนมาก เช่น Copen ที่ขายในชื่อ Toyota Copen GR Sport, Hijet ที่ขายในชื่อ Pixis, Rocky ที่ขายในชื่อ Toyota Raize, Xenia ที่ขายในชื่อ Toyota Avanza และ Veloz และในปี 2001 Toyota จับมือเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันกับผู้ผลิต รถบัส, รถบรรทุก Hino Motor  และตั้งฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศฝรั่งเศสโดยได้รับความร่วมมือจาก Citroen และ Peugeot

ในปี 2003 Toyota ก่อตั้งแบรนด์ Scion เพื่อเจาะตลาดอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ แต่สุดท้ายก็กลับมาเป็น Toyota เหมือนเดิมในปี 2016 และในปี 2007 Toyota ที่สร้างผลงานในวงการมอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนาน ก็ก่อตั้งแผนกใหม่ขึ้นมาเพื่อพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูง และฟอร์มทีมแข่งขันสำหรับรายการต่างๆ โดยเฉพาะ นั่นก็คือ Toyota Gazoo Racing โดยในปัจจุบัน มีรถที่เปิดตัวอยู่ภายใต้แบรนด์นี้อยู่ 4 รุ่น ได้แก่ GR Supra, GR Yaris, GR86 และ GR Corolla รวมถึงยังมีรถ Toyota เดิมที่แต่งขึ้นมาเป็นพิเศษอย่าง Gazoo Racing Tuned by “Meister of Nurburgring” หรือในชื่อย่อว่า GRMN ที่เน้นสมรรถนะสูงสุด และมีการปรับแต่งอย่างละเอียดทุกส่วน ผลิตขึ้นมาจำนวนจำกัด และยังมี GR Sport ซึ่งเป็นรถรุ่นตกแต่งพิเศษที่เพิ่มความสปอร์ตทั้งภายนอกและภายในไว้มีโอกาสหน้า เราอาจจะได้เล่าประวัติศาสตร์เรื่องราวของ Gazoo Racing แยกมา

วิกฤตครั้งใหม่ของ Toyota

ในปี 2008 Toyota ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลก แซง General Motors ที่ครองแชมป์มา 80 ปี แต่ความสำเร็จนี้ยังมีปัญหาในเงามืดที่ต้องเจอ เมื่อ Toyota ได้รับผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ จนทำให้ประสบภาวะขาดทุนหนักที่สุดในรอบ 70 ปี ทำให้ในเดือนมกราคมปี 2009 Toyota ต้องสั่งหยุดโรงงานทั้งหมดในญี่ปุ่นถึง 11 วัน เพื่อลดอัตราการผลิต และควบคุมปริมาณรถค้างสต็อกให้น้อยที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2009-2011 Toyota ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เรียกคืนรถยนต์ครั้งใหญ่ทั่วโลกกว่า 9 ล้านคัน ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เรียกคืนรถยนต์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็มี 3 สาเหตุหลัก ทั้งเกิดจากพรมปูพื้นของรถยนต์บางรุ่นเลื่อนออกจากตำแหน่งจนไปติดคันเร่ง ทำให้คันเร่งติดค้าง, คันเร่งไฟฟ้าค้าง ลดความเร็วไม่ได้ และ Toyota Prius รุ่นปี 2010 พบว่าระบบเบรกไฮบริดทำงานผิดปกติจนไม่สามารถควบคุมการเบรกได้

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกิดจากอาการผิดปกติของรถไม่ต่ำกว่า 37 ราย และ Toyota ยังถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับเป็นเงินกว่า 1.2 พันล้าน USD จากข้อกล่าวหาที่ว่าจงใจปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องด้านความปลอดภัย

จากเรื่องอื้อฉาวที่ว่ามานี้ทำให้ Katsuaki Watanabe ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ Toyota ในตอนนั้นตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ Akio Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนในวันที่ 23 มิถุนายนปี 2009

ในปี 2011 Toyota ที่ยังไม่ฟื้นตัวดีจากวิกฤตที่ผ่านมาก็ยังถูกซ้ำเติมอย่างหนักด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น และภัยน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย ทำให้สูญเสียกำลังการผลิตกว่า 150,000 คันจากเหตุแผ่นดินไหว และ 240,000 คันจากน้ำท่วม

ยุคสมัยแห่งพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม

ในเดือนธันวาคม ปี 2014 Toyota Mirai ที่พัฒนาจากเทคโนโลยีพลังงานไฮโดรเจนตั้งแต่ปี 1992 ก็เปิดตัวให้วางขายจริงเป็นโฉมแรก แล้วในปี 2020 Toyota หลังจากที่ต้องผ่านมรสุมต่างๆ มากมายจนไม่อาจเล่าได้ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ทวงคืนตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกกลับมาได้ และขายรถยนต์ไปได้ 9,528,000 คันทั่วโลก ถึงแม้ว่ายอดขายจะลดลงจากเกิด 11.3% เพราะเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดก็ตาม ในวันที่ 2 เมษายน  ของปีนั้น Toyota ลงนามข้อตกลงก่อตั้งบบริษัทร่วมทุนกับผู้ผลิตรถไฟฟ้าสัญชาติจีน BYD เพื่อศึกษาและพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

ในเดือนมีนาคม 2021 Toyota, Hino และ Isuzu ประกาศร่วมมือกันเพื่อพัฒนารถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจน โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ในชื่อว่า Commercial Japan Partnership Corporation และยังมีการแลกเปลี่ยนหุ้นกันอีกด้วย

ในเดือนเมษายนปี 2022 Toyota เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก นั่นคือ bZ4X และในเดือนมกราคม 2023 Akio Toyoda สละตำแหน่งประธานกรรมการ และ CEO เพื่อส่งไม้ต่อให้กับ Koji Sato ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ Lexus กับ Gazoo Racing อยู่ ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน

นี่คือเรื่องราวมหากาพย์ตำนาน 88 ปี ของ Toyota จากเครื่องทอผ้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยีใหม่ มาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine