ประวัติ Mitsubishi เพชรสามเม็ดอายุร้อยปี!

หากว่าจะเอ่ยถึง Mitsubishi เชื่อได้ว่าใครๆ ก็ต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี และมีรถชื่อดังที่หลายๆ คนชอบอยู่หลายต่อหลายคัน และใครๆต่างก็รู้ว่า นอกจากรถยนต์ แล้วยังทำหลายอย่างเยอะแยะมาก ในสกู๊ตนี้จะย้อนประวัติความเป็นมากว่าร้อยปีของเพชร 3 เม็ดในตำนานนี้กัน

  • จุดเริ่มต้นจากธุรกิจเรือสินค้า

เรื่องราวของ Mitsubishi  ต้องย้อนไปถึงยุคเมจิ (ที่ไม่ใช่ยี่ห้อนม) มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Yatarou Iwasaki ซึ่งเขาเป็นลูกหลานของอดีตตระกูลซามูไรที่เคยมีบทบาทในสงครามเซกิงาฮาระ หนึ่งในสงครามที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น Yatarou ในวัย 36 ปีได้ก่อตั้งบริษัทขนส่งทางเรือขึ้นมาในชื่อว่า “Tsukumo Shokai” (九十九商会) ในปี 1870 และต่อมาในปี 1873 ชื่อบริษัทก็เปลี่ยนมาเป็น “Mitsubishi Shokai” (三菱) ซึ่งประกอบขึ้นจากตัวคันจิ 2 ตัว คือ Mitsu (三) ที่แปลว่า 3 อ้างอิงจากตราประจำตระกูล Yamauchi ที่ปกครองแคว้นโทสะ บ้านเกิด ของ Yatarou หรือก็คือ จังหวัดโคชิ ในปัจจุบัน ที่มีลักษณะเป็น รูปใบโอ๊ค 3 ใบแยกเป็น 3 แฉก และตัวคันจิอีกตัวคือ Hishi (菱) ที่แปลว่าลูกเกาลัด หรือรูปทรงข้าวหลามตัด ทำให้ชื่อของ Mitsubishi แปลได้ว่า “เพชรสามเม็ด” และนำความหมายของชื่อนี้มาถ่ายทอดผ่านโลโก้นี่เอง

การก่อตั้ง Mitsubishi ขึ้นมาในรูปแบบธุรกิจขนส่งทางเรือ ในช่วงหลังการปฏิรูปเมจินี้ ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะในยุคนั้นเป็นยุคที่การขนส่งทางเรือเฟื่องฟูมาก ก่อนจะขยายตัวไปยังธุรกิจเหมืองถ่านหินเพื่อหาเชื้อเพลิงมาใช้ ซื้ออู่ต่อเรือจากภาครัฐมาใช้ซ่อมเรือ ก่อตั้งโรงเหล็กเพื่อผลิตวัสดุสำหรับต่อเรือ หรือแม้กระทั่งเริ่มธุรกิจประกันภัยทางทะเลนั่นเอง

  • จากเรือสู่ธุรกิจไซบัตสึ

ในเวลาต่อมา Mitsubishi ก็กลายเป็นธุรกิจที่แยกแตกออกมาหลายสาย โดยที่มีญาติๆ ในวงศ์ตระกูลแยกกันดูแลจนกลายมาเป็นธุรกิจประเภท “ไซบัตสึ” นั่นเอง ตัวอย่างธุรกิจที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Mitsubishi ในปัจจุบันที่หลายๆคนควรรู้จัก เช่น

หัวเรือใหญ่ 3 เจ้า ได้แก่ Mitsubishi UFJ Financial Group ที่รับผิดชอบธุรกิจการเงินและธนาคาร, Mitsubishi Corporation ที่รับผิดชอบการค้าและเป็นสะพานเชื่อมให้กับทุกๆ สายธุรกิจ, Mitsubishi Heavy Industries ที่รับผิดชอบในส่วนของอุตสาหกรรมหนักทุกรูปแบบ

เครื่องใช้ไฟฟ้า Mitsubishi Electric, บริษัทอุตสาหกรรมกระจก AGC, Tokio Marine ประกันภัย, กล้องถ่ายรูป Nikon, บริษัทขนส่งทางทะเล Nippon Yusen Kabushiki Kaisha หรือ NYK Line ซึ่งในปัจจุบันก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุนในชื่อ Ocean Network Express หรือ ONE, ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น ENEOS หรือแม้แต่ Mitsubishi Motors ด้วย

จนกระทั่งในปี 1890 ตระกูล Iwasaki เข้าซื้อพื้นที่อสังหาฯ ในย่านมารุโนอุจิ เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว ในเวลาต่อมาก็ก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในชื่อว่า Mitsubishi Estate ส่วนในปัจจุบันก็ยังเป็นที่ตั้งของ ตึกระฟ้ามารูโนอูจิ ที่ว่ากันว่าตั้งอยู่บนที่ดิน ที่ราคาแพงที่สุดของญี่ปุ่นถึง 21 ล้านเยนต่อตารางเมตร หรือเท่ากับ 4 ล้านกว่าบาท

จนกระทั่งมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Mitsubishi เริ่มมีบทบาทสำคัญในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทั้งการผลิตเครื่องบิน เช่น เครื่องบินขับไล่ A6M Type Zero, A7M Reppu ที่ออกแบบโดย Jiro Horikoshi พระเอกจากการ์ตูนดังเรื่อง The Wind Rises, รถถังขนาดกลาง Type97 Chi-Ha หรือ Type 3 Chi-Nu ในส่วนของเรือรบนั้นมีทั้ง เรือพิฆาตชั้น Kagerou, Akizuki, Yugumo เรือลาดตระเวนชั้น Myoko และ Takao และแน่นอนเรือประจัญบานที่ทุกๆ คนจะต้องรู้จักกันดีอย่าง Yamato และ Musashi นี่เอง

  • จุดเริ่มต้นวงการยานยนต์

อุตสาหกรรมยานยนต์ ในปี 1917 เมื่ออู่ต่อเรือ Mitsubishi เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกขึ้นมาในชื่อ Model A ซึ่งเป็นรถซีดาน 7 ที่นั่ง ที่เอาต้นแบบมาจาก Fiat Tipo 3 แถมยังผลิตด้วยมือทั้งคันอีกด้วย หลายๆ คนอาจจะงงว่าทำไมหน้าตาแบบนี้ถึงเรียกว่า “ซีดาน” เหตุผลมาจากนิยามของคำว่า “ซีดาน” ในช่วงศตวรรษที่ 20 นั้นไม่เหมือนกับยุคปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของจำนวนที่นั่งที่มี 4 ที่นั่งขึ้นไป มีจำนวนประตูไม่ตายตัว ไม่ได้มีข้อกำหนดในเรื่องของขนาดหรือรูปทรง ตัว Model A คันนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 2.8 ลิตร 35 แรงม้า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เปิดตัวมาและผลิตได้แค่ 22 คันก็ต้องเลิกผลิตไปในปี 1921

จนกระทั่งในปี 1934 Mitsubishi ก็ยุบเอาแผนกต่อเรือมารวมกับแผนกเครื่องบิน กลายมาเป็น Mitsubishi Heavy Industries เพื่อรับผิดงานผลิตให้กว้างขึ้น มีทั้งเครื่องบิน เรือ รถราง ยันเครื่องจักรอุตสาหกรรม และพัฒนารถซีดานต้นแบบสำหรับกองทัพจักรวรรดิขึ้นมาในชื่อ PX33 นับได้ว่าเป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นแรกของ Mitsubishi มาพร้อมเครื่องยนต์ 6.7 ลิตร 69 แรงม้า แต่สุดท้ายแล้วก็โดนยกเลิกไปในปี 1937 เพื่อไปโฟกัสการผลิตรถบรรทุก กับ รถบัส

หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 Mitsubishi กลับมาผลิตรถบัส Fuso ใหม่ พร้อมกับพัฒนารถสามล้อ Mizushima และรถสกูตเตอร์ Silver Pigeon ขึ้นมา และนอกจากนี้ครับยังถูกสั่งห้ามทำธุรกิจแบบ ไซบัตสึ ในปี 1950 อีกด้วย เคสเหมือนกันกับ Subaru เลย ทำให้ Mitsubishi ต้องแยกตัวออกมาเป็น 3 บริษัท ได้แก่ West Japan Heavy-Industries ที่ต่อมาก็กลับมาทำอู่ต่อเรือเหมือนเดิม, Central Japan Heavy-Industries ที่เอาแบบของ Jeep CJ รุ่น 3Bs มาผลิตเป็นรถ Mitsubishi Jeep นับได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของ Mitsubishi Triton กับ Pajero ก็ว่าได้ และ East Japan Heavy-Industries ที่นำเข้ารถ Henry J มาจดประกอบในญี่ปุ่น

ในเวลาต่อมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว บริษัท Central Japan Heavy-Industries ก็กลับมาก่อตั้ง Mitsubishi ใหม่ในชื่อว่า Shin Mitsubishi-Heavy Industries และรื้อฟื้นแฟนกรถยนต์ขึ้นมาใหม่ในปี 1953 พร้อมเปิดตัวรถซีดานขนาดเล็ก Mitsubishi 500 ในงาน Tokyo Motor Show เมื่อปี 1959 และในปี 1961 ก็เปิดตัวรถบรรทุกพานิชย์ Mitsubishi 360 ซึ่งก็มีทั้งแบบรถตู้ 2 ที่นั่ง, 4 ที่นั่ง, ยันรถกระบะ  ซึ่งก็ขายดีมากจนมียอดผลิตถึง 54,000 คัน และยังเป็นปีแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทยอีกด้วย ด้วยการนำเข้ารถจากญี่ปุ่นมาขายก่อนที่ต่อมาในปี 1962 Mitsubishi เปิดตัวรถ Kei Car ตระกูล Minica รุ่นแรก และเปิดตัว Colt รุ่นแรก จนมาถึงปี 1964 Mitsubishi ออกรถนั่งซีดานที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้นด้วยชื่อ Debonair เพื่อเจาะกลุ่มตลาดรถยนต์หรู และยังเป็นรถประจำตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Mitsubishi อีกด้วย

ภายในปีนั้นเอง 2 บริษัทที่เหลือก็กลับมารวมตัวกันเป็น Mitsubishi Heavy Industries เหมือนเดิม ก่อนจะสร้างผลงานด้วยยอดการผลิตรถยนต์กว่า 75,000 คันภายใน 3 ปี และในปี 1968 Mitsubishi ก็ออกรถตู้ Delica รุ่นแรก ตามมาด้วยปี 1969 Mitsubishi ก็ออกรถ Galant รุ่นแรก งานนี้ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ด้วยผลงานที่ผ่านๆ มานี้ทำให้เติบโตไวมากครับจนในวันที่ 22 เมษายน ปี 1970 Mitsubishi ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทในเครืออย่าง Mitsubishi Motors เพื่อผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในขนะที่ Mitsubishi Heavy Industries ที่เป็นเฮดใหญ่ก็หันไปทำอย่างอื่นต่อ

  • ก้าวสู่ตลาดโลก

หลังจากก่อตั้ง Mitsubishi Motors มาได้ 1 ปี เฮดใหญ่อย่าง Mitsubishi Heavy-Industries ก็ขายหุ้น 15% ของผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง Chrysler ให้ไปใช้ลงทุนต่อ ทำให้ Chrysler สามารถเอารถ Galant มาขายในตลาดพี่มะกันได้ในชื่อว่า Dodge Colt และยังขายในชื่อว่า Chrysler Sigma ในตลาดออสเตรเลีย และในปี 1973 Mitsubishi Lancer โฉมแรกก็ปล่อยออกสู่ท้องตลาด พร้อมกับสร้างผลงานในการแข่งขัน Australian Souther Cross Rally กินเรียบ 4 อันดับแรก

ในปี 1977 ดีลเลอร์ของ Mitsubishi ภายใต้ชื่อ Colt เริ่มแพร่กระจายไปทั่วยุโรป เนื่องจาก Mitsubishi มีความตั้งใจที่จะขายในตลาดต่างประเทศเอง ไม่ต้องผ่านค่ายรถเจ้าอื่น ทำให้ยอดการผลิตของรถ Mitsubishi พุ่งสูงขั้นถึง 500,000 คันในปี 1973 และ 965,000 คันในปี 1978 ในขณะที่ Chrysler เองก็เอา Mitsubishi Galant Lambda มาขายในแบรนด์ Dodge Challenger และ Plymouth Sapporo ดูเหมือนว่าการรุกตลาดเข้ามาของ Mitsubishi ครั้งนี้ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่าง 2 ค่ายนี้ ไม่มีใครยอมใครเลยครับ ในช่วงปีนี้เอง Mitsubishi ก็ออกรถรุ่น Mirage เป็นโฉมแรก รวมถึงยังเปิดตัวรถกระบะขนาด 1 ตันรุ่นแรกในชื่อว่า L200 อีกด้วย

จนในช่วงยุค 1980 Mitsubishi Motors บรรลุเป้าหมายในการขยายกำลังการผลิตได้มากถึง 1 ล้านคัน ตัดภาพมาที่ Chrysler กลายเป็นว่านอนพะงาบ จะเจ๊งอยู่รอมร่อ ทำให้ต้องขายฐานการผลิตในออสเตรเลียให้กับ Mitsubishi ไปในที่สุด

ในปี 1982 นี้เอง Mitsubishi ก็ได้เปิดตัวไลน์อัพรถภายใต้แบรนด์ของตัวเองในตลาดสหรัฐอเมริกาทั้ง Tredia, Cordia และ Starion วางขายผ่านดีลเลอร์ 70 แห่งใน 22 รัฐ แต่เนื่องจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่น กับ สหรัฐฯ ทำให้มีการจำกัดจำนวนรถที่ส่งไปขาย ไม่เกิน 30,000 คัน จากที่รวมกับรถของ Chrysler ทั้งหมด 120,000 คัน รวมถึงยังเปิดตัว Pajero รุ่นแรกในญี่ปุ่นอีกด้วยก่อนที่ในปีต่อมาก็เปิดตัว Galant โฉมที่ 5 ซึ่งเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรก ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 Mitsubishi ก็ออกแคมเปญโฆษณาต่างๆ ตามโทรทัศน์ทั่วสหรัฐฯ  และหมายมั่นปั้นมือว่าจะขยายเครือข่ายดีลเลอร์ให้ถึง 340 เจ้า

ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Mitsubishi กับ Chrysler จะยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ยังมีการตกลงร่วมมือกันตั้งฐานการผลิตในเมือง Normal รัฐ Illinois ในเดือนตุลาคม ปี 1985 โดยลงทุนกันคนละครึ่ง ในเดือนเมษายน ปี 1986 ก็มีการขยายโรงงานจนใหญ่ถึง 177,000 ตรม.และในปี 1987 รถที่ออกมาจากโรงงานนี้ทำยอดขายไปได้ 67,000 คัน และเมื่อโรงงานสร้างจนเสร็จในเดือนมีนาคมปี 1988 ก็ทำให้สามารถผลิตรถออกมาได้ถึง 240,000 คันต่อปี และยังเปิดตัวรถสปอร์ตคูเป้ 4 ที่นั่งถึง 3 คันเหมือนพี่น้องกันเลย ได้แก่ Mitsubishi Eclipse, Eagle Talon และ Plymouth Laser

ในขณะที่ตลาดฝั่งเอเชีย Mitsubishi ก็ขอกับ SAIC-GM-Wuling จากเมืองจีน ให้ช่วยผลิตรถ Kei Truck อย่าง Minicab ทำให้กลายเป็นแบรนด์รถญี่ปุ่นรายที่ 3 ที่มีฐานการผลิตรถ Kei Truck ในประเทศจีน ต่อจาก Daihatsu กับ Suzuki

  • ยุคสมัยของรถซิ่ง

ปี 1990 Mitsubishi เปิดตัวรุ่น 3000GT หรือในชื่อว่า GTO รถสปอร์ตซิ่งพร้อมลงสนาม 2 ประตู 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ขุมพลัง V6 ขนาด 3 ลิตรเทอร์โบคู่ พร้อมกันนั้นยังเปิดตัวรถซีดานหรู รุ่น Diamante ถือได้ว่า ทั้ง 2 คันนี้ Mitsubishi มีเท่าไหร่ ใส่หมดจริงๆ ไม่มีกั๊ก ซึ่งเจ้า Diamante นี้เองก็ได้รับรางวัล Car of the Year Japan ถึง 2 ปีติด และในปี 1991 Mitsubishi ก็โชว์เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้มายาวนานมาก นั่นก็คือระบบวาล์วแปรผัน MIVEC นี่เองที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานดีขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้น จนมาถึงปี 1992 Mitsubishi เปิดสายการผลิตในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม แหลมฉบัง

ในตลาดสหรัฐฯ คราวนี้ Chrysler ตัดสินใจขายโรงงานที่ก่อตั้งมาด้วยกันในปี 1993 ทำให้โรงงานนี้เป็นของ Mitsubishi ไปโดยปริยาย ก่อนที่ต่อมาโรงงานนี้ก็ถูกปิดไปในเดือนพฤษภาคมปี 2016 และถูกขายให้กับแบรนด์สตาร์ทอัพรถกระบะไฟฟ้าน้องใหม่อย่าง Rivian ในปี 2017

ในปี 1996 Mitsubishi เปิดตัวรถ Lancer Evolution รุ่นแรก และเปิดตัวรถรุ่น FTO ที่มาพร้อมเกียร์ INVECS-II และได้รับรางวัล Car of the Year Japan ตั้งแต่ปี 1996-1997 แต่ในเวลาต่อมากระแสความนิยมรถ SUV จากสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มลามมาที่ญี่ปุ่น แน่นอนว่าไม่มีผู้ผลิตญี่ปุ่นเจ้าไหนสนใจ ยกเว้น Mitsubishi ที่ลองวัดดวง และก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าจริง เพราะหลังจากที่เปิดตัวรถ Pajero Mini และ Delica Space Gear ในปี 1994 Mitsubishi ได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นมาเป็น 11.6% ในปีถัดมา

  • Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance

ตั้งแต่ในปี 2016 เป็นต้นมา Mitsubishi ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกรายที่สาม ในความร่วมมือระยะยาว Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นความร่วมมือที่มีเพียงแค่ Renault กับ Nissan เท่านั้นตั้งแต่เมื่อปี 1999 ก่อนที่ Nissan จะเข้ามาถือหุ้นใน Mitsubishi ด้วยจำนวน 34% และดึงเอาเข้ามาเป็นสมาชิก ทำให้ผู้ผลิตรถทั้ง 3 เจ้านี้มีโอกาสที่จะได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงยังมีการแชร์ชิ้นส่วนและแพลตฟอร์มรถยนต์ให้ใช้ร่วมกันอีกด้วย จนกลายเป็นพันธมิตรยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยยอดขายรวมกว่า 10 ล้านคันในปี 2017

ตัวอย่างรถยนต์ Mitsubishi ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือนี้ก็อย่างเช่น รถไฟฟ้า i-MiEV, Outlander รุ่นล่าสุดที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Nissan X-Trail, Xpander, Xpander Cross, Eclipse Cross และ Triton ที่ได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีจากเพื่อนร่วมทีม

หลังจากที่ Mitsubishi เข้ามาเป็นสมาชิกแล้วก็ยังได้ Carlos Ghosn ขึ้นมาเป็น CEO ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถพลิกบริษัทที่ขาดทุนให้กลับมาทำกำไรได้ในเวลาไม่นาน แต่เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น เมื่อ Ghosn โดนเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นรวบตอนลงจากเครื่องบินส่วนตัวที่สนามบินฮาเนดะ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2018 ด้วยข้อหา รายงานรายได้น้อยกว่าความเป็นจริง และยักยอกเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว หลังจากที่ถูกจับกุมไปได้ 3 วัน เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งประธานของผู้ผลิตรถทั้ง 3 เจ้านี้ทันที และนี่ยังเป็นเพียงคดีแรกเท่านั้น เพราะคดีต่อมา คือ ในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ญี่ปุ่น Ghosn ก็แอบหลบหนีไปฉลองปีใหม่ ปี 2020 ที่เลบานอน เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงกับทั้งแบรนด์รถทั้ง 3 เจ้า ทำให้ยอดขายและกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง และนั่นจึงทำให้ Mitsubishi ต้องดึงเอานาย Osamu Masuko มาเป็น CEO คนใหม่

และเมื่อล่าสุดวันที่ 27 มกราคม 2022 กลุ่มพันธมิตรนี้ ก็ประกาศแผนใหม่ Alliance 2030 เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า, ระบบขับขี่อัตโนมัติ, เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และการลดต้นทุนในการผลิตนี่เอง แล้วในปี 2023 Mitsubishi ก็เปิดตัวรถรุ่น ASX โฉมที่ 2 ซึ่งพัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกันกับ Renault Captur โฉมที่ 2 และ Colt ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Renault Clio โฉมที่ 5 ซึ่งมาพร้อมระบบ Hybrid และ Plug-in Hybrid ทั้งคู่เลย

นี่คือเรื่องราวอันยาวนานถึงร้อยปีของ Mitsubishi จากรากเหง้าแห่งความกล้า สู่นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโลก สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine