Mitsubishi Lancer Evolution ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น
ในโลกของรถสมรรถนะสูง มีไม่กี่ตระกูลที่สร้างตำนานไว้ได้ลึกซึ้งเท่า Mitsubishi Lancer Evolution — รถซีดานขับสี่ที่เกิดจากสนามแข่งแรลลี่ ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจนักซิ่งทั่วโลก “อีโว” ไม่ได้เป็นเพียงแค่รุ่นย่อยของ Lancer แต่มันคือจิตวิญญาณของความเร็ว ความแม่นยำ และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัยที่พา Mitsubishi คว้าแชมป์ WRC มาแล้วนับไม่ถ้วน
จากถนนลูกรังในสนามแข่งสู่ถนนจริงในชีวิตประจำวัน Lancer Evolution ได้หลอมรวมประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตเข้ากับความดิบของเครื่องยนต์เทอร์โบ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค 90s–2000s ที่ยังคงตราตรึงในใจสายซิ่งมาจนถึงวันนี้
นี่คือเรื่องราวของ “ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น” ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ซีดานธรรมดา ให้กลายเป็นอสูรร้ายแห่งทางฝุ่นและถนนดำ ตำนานที่ชื่อว่า Mitsubishi Lancer Evolution.
- กำเนิด ”ราชาทางฝุ่น” (1973-1979)
โดยจะต้องย้อนไปถึงตอนที่ Mitsubishi เปิดตัว Lancer โฉมแรกหรือ “ไฟแอล” ออกมาในปี 1973 ในตอนนั้นยังเป็นรถที่ยังไม่จี๊ดจ๊าดเท่ากับยุคสมัยนี้ เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีความสปอร์ต มีการคำนึงถึงแอโรไดนามิก บอดี้ส่วนบนแคบกว่าส่วนล่าง และยังประกอบบนแชสซี Monocoque ทำให้แข็งแรงทนทานมากๆ แต่ก็ยังเป็นมิตรกับเหล่าบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย และที่สำคัญคือมันยังขึ้นชื่อในเรื่องของเทคโนโลยีระบบไอเสียที่ปล่อยมลพิษน้อยมากๆ อีกด้วย
Andrew Cowan
Tommi Makinen
ในช่วงเวลานี้เองทาง Mitsubishi ที่อยากจากเสริมภาพลักษณ์ทางการตลาดก็ได้ส่งรถตัวเองไปแข่ง และรายการที่ Mitsubishi สนใจมากที่สุดก็คือรายการ WRC นี่เองด้วยความที่เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้วัดกันเพียงแค่ความเร็วอย่างเดียว แต่ยังวัดความอึด ถึก ทน กับทุกสภาพถนนอีกด้วย จึงส่งรถตัวท็อปสุดและสมรรถนะแรงที่สุดในยุคนั้นอย่าง Lancer 1600 GSR ไปแจ้งเกิดในสนาม Australian Southern Cross Rally ฟาดเรียบ 4 อันดับแรก โดยผู้ที่คว้าแชมป์ก็คือ Andrew Cowan จับคู่กับ John Bryson นี่เอง แถมยังคว้าแชมป์ต่อเนื่องถึง 4 ปีติด และ Andrew Cowan ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Ralliart และยังเป็นกุนซือที่สร้างตำนานรุ่นใหม่ๆ มากมายอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ Tommi Makinen นี่เอง
และในปี 1974 เจ้า Lancer รุ่นนี้ก็ถูกส่งไปแข่งในสนาม Safari Rally ที่ประเทศเคนยาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสนามที่ทรหดที่สุดในโลก และความไม่ธรรมดาของรถที่ส่งไปแข่งนั่นก็คือ มีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้แรงกว่าตัวรถเดิมๆ จาก 108 แรงม้าขึ้นไปถึง 169 แรงม้า และแรงบิดสูงขึ้นถึง 162 Nm แถมยังรีดน้ำหนักให้เบาลง เบาลง และก็เบาลง จนไม่รู้จะทำยังไงให้เบาลงได้อีกแล้ว และผู้ที่คว้าแชมป์ในสนามนี้ก็คือนักแข่งเจ้าถิ่น Joginder Singh จับคู่กับ David Doig นี่เอง แล้วจากการที่มันคว้าแชมป์มามากมายหลายสนาม นั่นก็ทำให้เจ้า Lancer 1600 GSR นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของฉายาว่า “ราชาทางฝุ่น” นี่เอง
- Starion Group B ที่ไม่มีวันได้เกิด (1988)
หลังจากที่เจ้า Lancer 1600 GSR ประสบความสำเร็จในสนามมาอย่างยาวนาน Mitsubishi ก็มีเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีกนั่นก็คือการเข้าแข่งขันใน Group B ที่โหดกว่าเดิมด้วยการส่ง Starion ระบบขับ 4 ไปแข่ง แต่ก่อนที่ Starion คันนี้จะเกิด กลับโดนคุมกำเนิดซะก่อนนี่สิ เพราะก่อนที่ตัวรถจะเข้าที่เข้าทางพร้อมแข่งเรียบร้อย กลายเป็นว่ากติกา Group B ถูกยกเลิกไป เพราะปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แล้วจะเอาไปแข่งในรายการไหนได้? Mitsubishi ก็ปรับตัวโดยการย้ายไปแข่งในรุ่น Group A และย้ายเอาระบบขับ 4 กับเครื่องยนต์เทอร์โบไปยัดใส่ตัวถังของ Galant โฉมที่ 6 ออกมาเป็น Galant VR-4 นี่เอง
- Galant VR-4 กับจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่
ถึงแม้ว่าเจ้า Galant VR-4 นั้นจะสร้างผลงานคว้าแชมป์อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1989-1992 แต่ก็ต้องมาปวดหัวตรงที่สนามกลับแคบลง ในขณะที่ตัวรถที่ใหญ่มากก็เริ่มจะแข่งไม่ได้ และเมื่อย้อนกลับมามองคู่แข่งอย่าง Ford ก็ยังต้องเปลี่ยนรถจาก Sierra มาเป็น Escort, Subaru ต้องเปลี่ยนรถจาก Legacy มาเป็น Impreza, Toyota ต้องเปลี่ยนรถจาก Celica มาเป็น Corolla, Hyundai ก็ต้องเปลี่ยนรถจาก Tiburon มาเป็น Accent จะเห็นได้ว่าจากรถเก่าๆ ที่มี 4 ประตูขนาดใหญ่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นรถที่เล็กลง Mitsubishi ก็คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะเอาไส้ในของ Galant VR-4 มายัดใส่ตัวถังของ Lancer โฉมที่ 6 รหัส CD9A หรือที่คนไทยเรียก E-Car
- Mitsubishi Lancer Evolution I
จุดประสงค์เดิมของ Lancer ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นรถสปอร์ตแม่บ้าน ไม่ได้บ้าพลังอะไรมากมาย เน้นประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อยัดทั้งเครื่องยนต์ 4G63 ฝากะปิ 4 สูบเรียงเทอร์โบขนาด 2 ลิตร 250 แรงม้า ปรับจูนโดยสำนัก AMG ที่ทำรถ Mercedes ใส่ทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งช่วงล่างรถแข่ง และทั้งบอดี้คิทรถแข่งเข้าไป กลับกลายเป็นไปขัดกับคอนเซ็ปท์เดิมๆ ที่อยากให้เป็น แล้วทาง Mitsubishi จึงต้องคิดแล้วคิดอีกจนได้ข้อสรุปว่า “อ้ะงั้นก็ แยกออกมาเหมือนเป็นร่างวิวัฒนาการของ Lancer ไปซะเลยสิ” กลายมาเป็น Mitsubishi Lancer Evolution หรือ Evo และตามกติกาของ Group A ที่ต้องมีการผลิตตัวรถออกมาขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 2,500 คันต่อปี ให้คนทั่วไปสามารถซื้อได้ Mitsubishi ก็ผลิตวางขายอยู่ 2 ปี ปีละ 2,500 คัน
นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแยกเจ้า Evo ออกเป็น 2 รุ่นหลักๆ ได้แก่ GSR ที่ขายตามท้องตลาด ใช้ขับขี่บนท้องถนนทั่วไป และ RS ที่เน้นสมรรถนะสูงสุด สำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ตัดทุกออปชั่นอำนวยความสะดวกออกทั้งหมด เพื่อให้น้ำหนักเบาที่สุด และเบากว่า GSR ถึง 70 กิโลกว่าๆ แต่สิ่งเดียวที่เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ “เต็ด” ที่เพลาหลังนี่เอง
- Mitsubishi Lancer Evolution II
ในเดือนมกราคมปี 1994 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo II ที่เหมือนเป็นรุ่นอัปเกรด พร้อมรหัสตัวถัง CE9A ถ้ามองไกลๆ นี่แยกแทบไม่ออกเลย แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่ามันจะมีความแตกต่างอยู่ ทั้งฐานล้อที่ยาวขึ้น 10 มม. ล้อหน้ากว้างขึ้น 15 มม. ล้อหลังกว้างขึ้น 10 มม. ลิ้นกันชนหน้าสีดำ ปีกท้ายใหญ่ขึ้น ฐานปีกท้ายสูงขึ้น และล้อเดิมๆ จากโรงงานที่ให้มาเป็นล้อ OZ 5 ก้านขอบ 15 นิ้ว รวมถึงเครื่องยนต์ 4G63 ก็มีการจูนใหม่ให้แรงขึ้นถึง 256 แรงม้า และผลิตมาทั้งหมด 5,000 คันและขายหมดเกลี้ยงเลยครับภายใน 3 เดือน
- Mitsubishi Lancer Evolution III นักเลง 3 เกียร์
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1995 Evo III ก็ถูกปล่อยออกสู่ท้องตลาดด้วยจำนวนการผลิต 5,000 คัน ซึ่งก็คือรุ่นที่ สุโด เคียวอิจิ ขับนี่เอง และยังเป็น Evo คันแรกที่ Tommi Makinen คว้าแชมป์ WRC
ด้วยตัวถัง CE9A เหมือนเดิมแต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1,260 กก. สาเหตุเกิดมาจากการที่ปรับปรุงอะไรเยอะแยะไปหมด เพื่อทวงคืนบัลลังก์ราชาทางฝุ่นที่ถูกรถ Subaru Impreza และนักแข่ง Collin McRae แย่งไป โดยจุดที่แตกต่างจาก Evo II ก็คือกระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รับอากาศเข้าหม้อน้ำ อินเตอร์คูลเลอร์ และเบรก ได้ดีขึ้น เทอร์โบลูกใหญ่ขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ทรงพลังกว่าเดิมถึง 270 แรงม้า และยังมีลูกเล่นเพิ่มเข้ามานั่นก็คือระบบฉีดน้ำหล่อเย็นเข้าหม้อน้ำ ในส่วนของภายนอกมีการดีไซน์ปีกท้ายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มแรงกดให้มากขึ้น ย้ายไฟเบรกดวงที่ 3 มาไว้ที่ฐานปีกท้าย และยังดีไซน์สเกิร์ตข้างใหม่ กันชนหน้าใหม่ที่ทั้งกว้างและนูนออกมา ครอบไฟเลี้ยวสีส้ม และลิ้นสีเดียวกับตัวถังอีกด้วย
นอกจากนี้ยังเรียกกันติดปากด้วยว่า “รถเฉินหลง” จากการที่มันไปปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง “Thunderbolt เร็วฟ้าผ่า” นี่เอง และด้วยอัตราทดเกียร์ที่แก้ไขใหม่จนโหดกว่าเดิม นั่นจึงทำให้มีอีกฉายานั่นก็คือ “นักเลง 3 เกียร์” อีกด้วย
- Mitsubishi Lancer Evolution IV ท้ายเบนซ์
หลังจากที่ทั้งสองรุ่นที่ผ่านมาผลิตขึ้นบนตัวถัง CE9A จนมาถึงวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1996 Mitsubishi เปิดตัว Evo IV พร้อมขายจริง ในวันเดียวกัน ด้วยตัวถังใหม่ CN9A ท้ายเบนซ์ เครื่องยนต์และเพลาถูกหมุนกลับด้านเพื่อบาลานซ์น้ำหนัก และแก้ปัญหาเรื่องของอาการขาเป๋ Torque Steer รวมถึงมีการเปลี่ยนเทอร์โบเป็น Twin-scroll Turbo ทำให้ได้แรงม้าขึ้นมาเพิ่มเป็น 280 แรงม้า และนอกจากนี้ ตัว GSR ยังเป็น Evo รุ่นแรกที่มี Active Yaw Control นอกจากนี้ยังให้ ”เต็ด” ล้อหน้าที่ช่วยให้เข้าโค้งได้คมขึ้น ระบบเกียร์ที่ใหญ่ขึ้น แข็งแรง ทนทาน ไม่แตกง่ายเท่ารุ่นก่อนๆ พร้อมล้อ OZ ขอบ 16 นิ้ว
อีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ Evo IV เป็นที่จดจำคือไฟตัดหมอกที่ใหญ่เบ้อเริ่ม บริเวณกันชนหน้า แต่ว่าในตัวรุ่น RS นั้นจะยังไม่มีไฟตัดหมอกให้ตั้งแต่แรก จะยังเป็นแผ่นกลมๆ ครอบอยู่เฉยๆ และผลิตมาทั้งหมด 6,000 คัน
- Mitsubishi Lancer Evolution V
ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 1998 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo V พร้อมรหัสตัวถัง CP9A ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงที่ยังพอสังเกตได้จากภายนอกคือ ปีกท้ายทำจากอะลูมิเนียมไม่มีเสากลาง และเพิ่มโป่งข้างให้ดูกว้างขึ้น เพิ่มช่องอากาศให้ใหญ่ขึ้น ภายในให้เบาะ Recaro ที่รุ่นใหม่และดีกว่าเดิมด้วย SR-Series รวมถึงยังเป็น Evo รุ่นแรกที่ให้เบรก Brembo อีกด้วย และยังมีการปรับปรุงเทอร์โบใหม่ให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นจาก 353 Nm เป็น 372.6 Nm ผลิตขายไปทั้งหมด 7,000 คันนี่เอง
- Mitsubishi Lancer Evolution VI
ในวันที่ 7 มกราคมปี 1999 เปิดตัว Evo VI และวางขาย นับได้ว่าเป็น Evo รุ่นสุดท้ายของ Group A ก็ว่าได้ มีจุดเด่นในเรื่องของเครื่องยนต์ที่ทนทานมากขึ้น อินเตอร์คูลเลอร์ และ ออยล์คูลเลอร์ใหญ่ขึ้น พร้อมกับมีการดีไซน์บอดี้คิทใหม่ให้ไฟตัดหมอกมีขนาดเล็กลง และเยื้องออกไปด้านนอกของช่องอากาศเพื่อให้รับอากาศเข้าได้ดีกว่าเดิม, แกนเทอร์ไบน์ และกังหันไอเสียของรุ่น RS ก็มีการเปลี่ยนวัสดุใหม่เป็น ไทเทเนียม-อะลูมิไนด์, ส่วนของไฟท้ายที่ยื่นเข้ามาถึงฝากระโปรงท้ายก็ไม่มีอีกต่อไป และนอกจากนี้รุ่น RS ยังมีแยกย่อยออกมาอีกทั้ง RS2 ที่เพิ่มออปชั่นบางส่วนจากรุ่น GSR และรุ่น RS Sprint ที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัด เป็นรุ่นที่จูนมาเป็นพิเศษโดยทีม Ralliart ให้มีน้ำหนักที่เบาลง และซัดพละกำลังเครื่องได้ถึง 330 แรงม้า
จนกระทั่งในเดือนธันวาคมปี 1999 Evo VI ก็เปิดตัวรุ่นพิเศษของทั้ง GSR และ RS นั่นก็คือ Tommi Makinen Edition หรือที่นิยมเรียกว่า Evo 6.5 นี่เองครับซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างจากปกติก็คือ กันชนหน้าเฉพาะ เบาะ Recaro สีแดงดำปักชื่อ Tommi Makinen, ล้อ Enkei สีขาวขนาด 17 นิ้ว, พวงมาลัย Momo และ หัวเกียร์ หุ้มหนังดีไซน์เฉพาะ, ลดความสูงของรถลง 10 มม. และ อัตราส่วนการหมุนพวงมาลัยที่เร็วขึ้น
- Mitsubishi Lancer Evolution VII
ปี 2001 เดือนสิงหาคม Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo VII ซึ่งมาพร้อมกับตัวถังใหม่จากรุ่น Cedia นั่นก็คือ CT9A ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าเดิมถึง 100 กิโลเมตร แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ Mitsubishi ได้มีการปรับแก้แชสซีส์อยู่หลายจุด แถมยังปรับแก้อะไรหลายๆ อย่างมาก ทั้งเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ฝาครอบกระเดื่องวาล์ว เพลาลูกเบี้ยว และท่อไอเสียสแตนเลส โครงสร้างตัวถังก็มีการพัฒนาจาก Cedia ให้แข็งแรงกว่าเดิมถึงครึ่งหนึ่งด้วยการเชื่อมรอยต่อของโครงถึง 200 จุด
ส่วนในเรื่องของหน้าตาก็มีการทำกันชนหน้าทรงใหม่ที่มีช่องดักอากาศใหญ่เท่านี่ ทำให้มองเห็นอินเตอร์คูลเลอร์ที่ใหญ่ขึ้น 20 มม. ฝากระโปรงหน้าอะลูมิเนียมมีช่องดักอากาศ ทำให้น้ำหนักเบาลง นอกจากนี้การจูนเครื่องยนต์ของ Evo VII ก็ยังทำให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นมาถึง 383 Nm นอกจากนี้ก็ยังเป็นรถรุ่นแรกของโลกที่ ให้ระบบ Active Center Differential (ACD) ซึ่งเป็นระบบเลือกโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนนถึง 3 โหมดทั้ง Tarmac ที่วิ่งบนถนน, Gravel ที่วิ่งบนทางกรวด และ Snow สำหรับวิ่งบนหิมะ แถมเบาะก็ยังเป็นเบาะ Recaro เจ้าเก่าเจ้าเดิม พร้อมพวงมาลัย Momo
จนกระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2002 ก็มีการเปิดตัว Evo VII ตัวใหม่ออกมานั่นก็คือ GT-A หรือก็คือ Evo VII เกียร์ออโต้ แต่ความพิเศษอยู่ตรงที่ระบบ Fuzzy Logic ที่ทำให้เจ้าเกียร์ออโต้ตัวนี้สามารถเรียนรู้ และปรับตัวตามน้ำหนักเท้าของคนขับได้ และยังสามารถชิฟท์เกียร์แบบ Sequential ได้ผ่านปุ่ม +,- บนพวงมาลัยได้อีกด้วย แต่สมรรถนะของรถนั้นกลับสู้รุ่นเกียร์ธรรมดาไม่ได้ เพราะต้องใช้เทอร์โบที่เหมาะสมกับเกียร์ออโต้เท่านั้น นั่นจึงทำให้พละกำลังลดลงเหลือ 272 แรงม้า และแรงบิดลดลงเหลือ 343 Nm
- Mitsubishi Lancer Evolution VIII
หลังจากนั้นมา Mitsubishi ก็ปล่อย Evo VIII ออกมาแบบเล่นใหญ่มาก ด้วยการจัดงานทดสอบที่เมืองไทยถึง 4 คันที่สนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต พัทยา ในช่วงปลายปี 2002 ก่อนจะไปเปิดตัวต่อที่สหรัฐอเมริกาที่งาน Los Angeles Auto Show เมื่อวันที่ 7 มกราคม ปี 2002 และทำตลาดในเดือนกุมภาพันธ์ทันที ถือได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกในตลาดอเมริกันก็ว่าได้ และที่สำคัญยังเป็นรถที่กระแสดีมากๆ จากการโปรโมทผ่านเกม Gran Turismo อีกด้วย
เอกลักษณ์ของ Evo VIII ที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ กระจังหน้าที่มีติ่งทรงสามเหลี่ยมยื่นขึ้นมาจากกันชนหน้า แต่กลับระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นไปอีก และไฟท้ายที่ตัดปลายแหลมด้านบนออก บอดี้คิทชิ้นต่างๆ ยังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ผสมกับพลาสติก ทำให้น้ำหนักเบาลงเข้าไปอีก 2 กก. และยังเปลี่ยนล้อมาใช้ Enkei 6 ก้าน ขอบ 17 นิ้ว ที่น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อน 3.2 กก. พร้อมดีไซน์ที่ลู่ลมมากกว่าเดิม รวมถึงระบบ Active Yaw Control ที่อัปเกรดให้ดีกว่าเดิมพร้อมตั้งชื่อว่า Super Active Yaw Control แต่ก็ต้องขอวงเล็บว่าระบบนี้ไม่มีติดตั้งมาให้ในตลาดสหรัฐอเมริกา
ที่สำคัญคือรุ่นนี้ไม่มีเกียร์ออโต้ แต่มีรุ่นพิเศษอย่าง MR หรือ Mitsubishi Racing มาวางขายแทน ซึ่งให้เกียร์แมนวล 6 สปีด, โช้ค Bilstein, ล้อแม็ก BBS นอกจากนี้รุ่น RS และ MR ยังให้หลังคาที่ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ทำให้จุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างต่ำอีกด้วย
ในตลาดอังกฤษ เจ้า Evo VIII ยังมีการขายรุ่นย่อยออกมาเยอะแยะมาก ตามแรงม้าที่ทำได้ทั้งรุ่น 260, FQ300, FQ320, FQ340 และ FQ400 ซึ่งเจ้าตัว FQ400 นั้นมีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้ซัดได้ถึง 400 แรงม้าอีกด้วย และเรื่องตลกของรถรุ่นเหล่านี้ก็คืออักษรย่อ FQ ที่ Mitsubishi ไม่เคยออกมาเผยเลยว่ามันย่อมาจากอะไร แต่ก็มีแฟนๆ Evo จำนวนมากต่างก็แซวว่ามันย่อมาจาก “F**king Quick” อีก ด้วยความที่เจ้า FQ400 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 282 กม./ชม.
นั่นจึงทำให้ Top Gear นึกคึกเอามาแข่งจับเวลา Power Lap ที่สนามคู่กับ Lamborghini Murcielago แต่เป็นที่น่าเสียดายมากที่เจ้า Evo VIII FQ400 คันนี้ไม่สามารถเค้นสมรรถนะได้เต็มที่เพราะพื้นสนามเปียก ในขณะที่รอบจับเวลาของ Murcielago พื้นสนามยังแห้งอยู่ นั่นจึงทำให้เจ้า Evo คันนี้ทำเวลาไปได้ 1:24.8 นาที ในขณะที่ Murcielago ทำเวลาไปได้ 1:23.7 นาที ช้ากว่าถึง 1.1 วินาที
แต่ว่าในนิตยสาร Evo Magazine ของ Carwow ได้มีการทดสอบ Evo VIII รุ่นนี้ที่สนาม Bedford ผลที่ได้คือสามารถทำเวลาต่อรอบเร็วกว่า Audi RS4 และ Porsche 911 Carrera 4S
- Mitsubishi Lancer Evolution IX
เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมปี 2005 ไฮไลต์เด่นๆ ของรุ่นนี้เลยคือเพิ่มระบบวาล์ว MIVEC ที่ฝั่งไอดี พร้อมปรับปรุงเทอร์โบใหม่ด้วยวัสดุที่น้ำหนักเบาลงจนทำให้เค้นพลังได้สูงถึง 287 แรงม้า แรงบิดสูงขึ้นถึง 392 Nm พร้อมกับปรับปรุงกันชนหน้าใหม่ เอาติ่งทรงสามเหลี่ยมที่โลโก้ออกเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดีมากขึ้น รุ่น RS และรุ่น GT มีการเปลี่ยนวัสดุใบพัดเทอร์โบเป็น ไทเทเนียม และแมกนีเซียมอัลลอยด์ เพื่อให้สู้กับแรงบิดที่สูงขึ้นได้ ส่วนในรุ่น MR นั้นก็ยังคงเอกลักษณ์จาก Evo VIII เหมือนเดิม
นอกจากนี้ทาง Mitsubishi ยังออกรุ่นที่หายากมากอีกรุ่นหนึ่งก็คือ Evo Wagon ซึ่งผลิตบนแชสซีรหัส CT9W ก็มีทั้งรุ่น GT, GT-A และ MR อีกด้วย ซึ่งเจ้ารุ่น GT-A เกียร์ออโต้ยังใช้เครื่องยนต์ 4G63 จาก Evo VIII เหมือนเดิมที่ไม่มีระบบวาล์ว MIVEC และเทอร์โบที่มีขนาดเล็กทำให้แรงบิดลดลงไปพอสมควร
- Mitsubishi Lancer Evolution X
จนกระทั่งในปี 2005 Mitsubishi เปิดตัวรถ Evo รุ่นใหม่ในงาน Tokyo Motor Show ภายใต้ชื่อ Concept-X ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบชาวบอสเนีย Omer Halilhodžić นับได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ออกแบบในยุโรป และเปิดตัวในงาน North American International Auto Show ในปี 2007 ภายใต้ชื่อ Prototype-X ก่อนจะปล่อยขายด้วยชื่อ Mitsubishi Lancer Evolution X ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ปี 2007 ปล่อยขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมกราคมปี 2008 ปล่อยขายในแคนาดาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008 และปล่อยขายในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2008
เจ้า Evo X รุ่นนี้มีดีไซน์ที่ฉีกไปจากเดิมอย่างสุดขั้ว เพราะมันถูกดีไซน์บนแชสซีส์รหัส CZ4A และได้หัวใจใหม่เป็น 4B11T 4 สูบเรียงขนาด 2 ลิตร เทอร์โบ ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม-อัลลอยด์ทั้งตัว เครื่องยนต์รุ่นนี้ออกแบบ และ ผลิตโดยบริษัท Global Engine Manufacturing Alliance หรือ GEMA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Chrysler, Mitsubishi และ Hyundai นี่เอง
Evo X นั้นก็วางขายมาเรื่อยๆ และรุ่นย่อยกับสเปคต่างๆ ก็แตกต่างกันไปตามประเทศที่วางขายอีกด้วย จนในที่สุดก็ปล่อยรุ่น Final Edition ออกมาในปี 2015 เป็นการปิดตำนาน “ราชาทางฝุ่น” ไปในที่สุด
- Mitsubishi E Evolution Concept
ในงาน Tokyo Motor Show ปี 2017 Mitsubishi ได้เผยโฉมรถคอนเซ็ปต์อย่าง Mitsubishi e-Evolution Concept ซึ่งเป็นรถ Crossover พลังงานไฟฟ้าที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ก่อนจะมาโชว์ตัวในงาน Motor Show ที่ประเทศไทยบ้านเราเมื่อปี 2019 สุดท้ายแล้วข่าวก็เงียบไปอยู่ดี ทุกวันนี้ที่เห็นๆ ก็มีแต่ภาพในจินตนาการของศิลปินคนแล้วคนเล่าที่ออกแบบใส่ไอเดียกันสนุกสนาน อนาคตของ Mitsubishi Lancer Evolution จะเป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ไม่อาจรู้ได้นอกจากทาง Mitsubishi จะออกมายืนยันด้วยตัวเอง
แม้ชื่อ Lancer Evolution จะหยุดอยู่ที่รุ่น Evo X แต่จิตวิญญาณของมันไม่เคยหายไปจากหัวใจสายซิ่ง “อีโว” คือสัญลักษณ์แห่งพลัง เทคโนโลยี และความเร้าใจที่เกิดจากสนามแข่งจริง มันพิสูจน์แล้วว่าซีดานธรรมดาก็กลายเป็นตำนานได้ หากมีจิตวิญญาณแห่งความเร็วอยู่ในตัว และต่อให้ยุคสมัยเปลี่ยนไป เสียงเทอร์โบและแรงดึงของขับสี่ยังจะคงอยู่ในความทรงจำ ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น ที่ไม่มีวันเลือนหาย สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine