ประวัติ Soichiro Honda ผู้ก่อตั้งแบรนด์ฮอนด้าที่ลุกขึ้นยืนได้เพราะความรักเมีย
“ความสำเร็จของผมที่คนอื่นเห็นมีเพียง 1% อีก 99% ที่เหลือมาจากความล้มเหลว” นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งจากปากของชายคนหนึ่งซึ่งในเวลาต่อมา ก็กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ชายคนนี้คือ Soichiro Honda
ย้อนกลับไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี 1906 ที่จังหวัดชิซูโอกะ คู่สามีภรรยา Gihei Honda และ Mika Honda ได้ให้กำเนิดเด็กชาย Soichiro Honda ขึ้นมา โดยนาย Gihei ผู้เป็นพ่อทำงานเป็นช่างตีเหล็ก และซ่อมจักรยานเก่ามาขาย ส่วน Mika ผู้เป็นแม่ก็ทำงานเป็นช่างทอผ้า Soichiro ในวัยเด็กมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน และได้คลุกคลีกับเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จากการช่วยพ่อซ่อมจักรยาน
จนกระทั่งมีรถ Ford Model T คันหนึ่งขับผ่านหมู่บ้านที่ Soichiro อาศัยอยู่ ทำให้เขาตื่นเต้นมากถึงกับวิ่งไล่ตามรถคันนั้นจนหายลับสายตาไป นับได้ว่าเป็นความทรงจำที่อยู่กับ Soichiro ไปทั้งชีวิต และจุดประกายความฝันที่อยากจะออกแบบ และสร้างรถยนต์ของตัวเอง
วีรกรรมแรกๆ ของ Soichiro ค่อนข้างจะแสบมาก เมื่อเขาแอบจิ๊กเงินจากกล่อง และจักรยานของพ่อ เพื่อเอาไปเข้าชมงานแอร์โชว์ที่สนามบิน ห่างจากบ้านไปประมาณ 20 กม. แต่ว่า ค่าตั๋วดันแพงกว่าที่คิด และเงินที่เอามาก็มีไม่พอ แต่ในเมื่องานแอร์โชว์เป็นงานแสดงบินผาดโผน เขาจึงยืนรอชมนอกสนามบินแทน
ในเรื่องของการเรียนหนังสือ Soichiro เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการอ่านการเขียนในตำราสักเท่าไร เขากลับชอบในการสร้างสรรค์ในงานประดิษฐ์มากกว่า จนเมื่อเขาอายุ 15 ปี Soichiro เห็นโฆษณาประกาศรับสมัครงานของอู่รถยนต์ชั้นนำ Art Shokai บนนิตยสาร Bicycle World Magazine เขาจึงไม่ลังเลที่จะลาออกจากโรงเรียน และส่งจดหมายสมัครงานทันที ในปี 1922
ซึ่งในช่วงเดือนแรกๆ งานที่เขาได้รับจาก Yuzo Sakakibara ผู้เป็นเจ้าของอู่ มีเพียงแค่ทำงานจิปาถะ และเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกของ Sakakibara ซักอย่างงั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ Soichiro ถอดใจเลยสักนิด เขาทุ่มเทและไม่เกี่ยงงานเลยแม้แต่นิดเดียว จนในที่สุดก็ได้เรียนรู้งานช่างซ่อมรถยนต์อย่างที่ตั้งใจไว้ และกลายเป็นช่างยอดฝีมือของอู่ ในปี 1923 Sakakibara ฟอร์มทีมแข่งรถขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของ Soichiro และทีมช่างคนอื่นๆ
13 พฤศจิกายน ปี 1924 ทีมแข่งจากอู่ Art Shokai เข้าแข่งขันในรายการ Japan Motor Car Championship และคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ โดยที่มี Shinichi Sakakibara น้องชายของ Yuzo Sakakibara เป็นนักขับ และ Soichiro Honda เป็นช่างเครื่องนั่งประกบข้างไปด้วยกัน
หลังจากที่ทำงานอยู่ได้ 6 ปี Soichiro ในวัย 21 ปี ที่สำเร็จวิชาจาก Sakakibara ก็ได้รับความไว้วางใจ และส่งเขาไปเปิดสาขาที่บ้านเกิดในปี 1928 ตลอดเวลาที่เขาทำงานอยู่ในอู่นี้เขาได้รับอิสระในการทำงานค่อนข้างมาก จึงทำให้เขามีโอกาสที่จะได้ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ จนได้รับฉายาว่า “เอดิสันแห่งเมืองฮามะมัตซึ” ผลงานของเขาในช่วงเวลานั้นก็มีทั้งรถยนต์ดัดแปลง รถแข่ง หรือแม้กระทั่งเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการทำงาน อย่างเช่น แท่นยกรถยนต์
เดือนตุลาคม ปี 1935 Soichiro ก็ได้แต่งงานกับ Sachi Isobe และในเวลาต่อมา เธอทำงานบัญชีให้กับอู่ Art Shokai สาขาฮามะมัตสึ ที่เติบโตจนมีพนักงานมากกว่า 30 คน
วันที่ 7 เดือนมิถุนายน ปี 1936 Soichiro ประสบอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันเปิดสนาม Tamagawa Speedway สนามแข่งรถแห่งแรกของญี่ปุ่น อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้ Soichiro บาดเจ็บที่ตาซ้าย แต่ Benjiro ผู้เป็นน้องชายและเป็นช่างเครื่องที่ประกบคู่มาด้วยกัน บาดเจ็บรุนแรงกว่า เพราะกระดูกสันหลังหัก แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความบ้าระห่ำของ Soichiro ได้ เพราะต่อมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน Soichiro เข้าแข่งขันรถยนต์ต่อ และจะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายในชีวิต ตามคำขอร้องทั้งน้ำตาของ Sachi ภรรยาสุดที่รัก
หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นต้นมา Soichiro ก็เริ่มคิดว่า งานซ่อมรถยนต์ที่ทำๆ อยู่เริ่มไม่ตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้อีกต่อไป ณ เวลานั้น เขาอยากผลิตอะไหล่รถยนต์ขาย แต่ก็ไม่มีนักลงทุนคนไหนสนับสนุน เพราะมองว่า แค่ซ่อมรถขนาดนี้ก็ทำเงินได้เหลือเฟือแล้ว จะคิดการใหญ่กว่านั้นให้เกินตัวทำไม เขาไม่สนใจคำสบประมาทและได้ก่อตั้ง บริษัท Tokai Seiki Heavy Industries เพื่อผลิตแหวนลูกสูบให้กับ Toyota พร้อมกับเข้าศึกษาใน” สถาบันอุตสาหกรรมฮามะมัตสึ” เป็นเวลา 2 ปี สถาบันนี้ก็ได้กลายมาเป็น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิซุโอกะในปัจจุบัน
การผลิตแหวนลูกสูบ เป็นไปด้วยความน่าผิดหวังมาก เพราะแหวนลูกสูบที่ผลิตส่งไปให้กับทาง Toyota จำนวน 50 ชิ้น กลับผ่านมาตรฐานโรงงานเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ความล้มเหลวในครั้งนั้นทำให้เกิดจากความเชื่อมั่นว่า “ถ้าทฤษฎีทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ตอนนี้พวกอาจารย์คงเป็นนักประดิษฐ์กันหมดแล้ว” บวกกับว่า เขามีความมั่นใจในฝีมือมากเกินไปอีกด้วย
ทำให้เขาต้องลดอีโก้ของตัวเอง และศึกษาดูงานตามโรงงานทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้การควบคุมคุณภาพการผลิตให้มีมาตรฐานมากขึ้น และกลับมาบริหารโรงงานใหม่ ผลิตแหวนลูกสูบได้ทีละเยอะๆ และผ่านมาตรฐานของ Toyota ในที่สุด นอกจากนี้เขายังได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นมาด้วย อย่าง Nakajima Aircraft บริษัทผลิตเครื่องบินที่เวลาต่อมาก็จะกลายมาเป็นแบรนด์รถยนต์ Subaru นั่นเอง
ความท็อปฟอร์มในครั้งนี้ทำให้ บริษัท Tokai Seiki เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีพนักงานมากกว่า 2 พันคน ในขณะที่อนาคตกำลังรุ่งอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นรุ่งริ่งภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เพราะจักรวรรดิญี่ปุ่นก่อสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในปี 1937 ก่อนที่ต่อมาภายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไปห้าวกับสหรัฐอเมริกาด้วยการบุกโจมตีฐานทัพเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม ปี 1941
บริษัท Tokai Seiki ในขณะนั้นก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงยุทโธปกรณ์ ในตอนนั้น Kaichi Kawakami ประธานบริษัท Nippon Gakki หรือ Yamaha ในปัจจุบันก็ร้องขอให้ Soichiro คิดค้นเครื่องจักรที่ช่วยในการผลิตใบพัดเครื่องบินรบได้จำนวนนึง ด้วยอัตราการผลิต 4 ชิ้นต่อชั่วโมง
จากเดิมที่ผลิตด้วยมือกว่าจะได้ชิ้นนึงก็ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ จนในปี 1942 Toyota เข้ามาถือหุ้นของ Tokai Seiki มากกว่า 40% และ Soichiro โดนลดขั้นจากประธานบริษัท มาเป็น กรรมการผู้จัดการอาวุโส หนำซ้ำยังต้องเสียพนักงานชายไปเกือบหมด เพราะถูกเกณฑ์ไปรบในกองทัพ ในขณะที่ผู้หญิงและนักเรียนหญิงก็ถูกเกณฑ์มาเข้าร่วมกองกำลังอาสาสมัคร เพื่อทำงานในโรงงานแทนผู้ชาย Soichiro จึงต้องออกแบบเครื่องจักรที่ช่วยให้ผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์สามารถทำงาน ผลิตได้ง่ายขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น
ในปี 1944 โรงงาน Tokai Seiki ที่ย่านยามะชิตะ โดนลูกหลงจากการที่ เครื่องบิน B-29 ทิ้งระเบิดใส่ จนเหลือแต่ซากปรักหักพัง ก่อนที่จะซวยซ้ำซวยซ้อนต่อในวันที่ 13 มกราคม ปี 1945 เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในเขตมิคาวะ จนทำให้โรงงานในเมืองอิวาตะ พังทลายอีก เป็นเวลา 7 เดือนก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะบึ้มญี่ปุ่นด้วยระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2 ลูก
สำหรับเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นในเวลา 03:38 น. มีจุดศูนย์เกิดอยู่ที่ปากอ่าวมิคาวะ ลึกลงไปถึง 11 กม. วัดระดับความรุนแรงได้ถึง 6.8 ริกเตอร์ และกินรัศมีความเสียหายราว 50 กม.เสียชีวิต 1,180 คน บาดเจ็บ 3,866 คน สูญหาย 1,126 คน อาคารบ้านเรือนพังทลายไปทั้งหมด 7,221 หลัง, เสียหายหนัก 16,555 หลัง และเกิดไฟไหม้ 2 หลัง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้มันหนักหนาเกินกว่าจะฟื้นฟูไหว จนต้องตัดสินใจขายโรงงานที่ปั้นมากับมือให้กับ Toyota ด้วยจำนวนเงินกว่า 450,000 เยน หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทในปัจจุบัน บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรง ประชาชนอดอยากปากแห้ง เพราะความพ่ายแพ้ในสงคราม
Soichiro ที่เริ่มท้อและสิ้นหวังก็เริ่มใช้ชีวิต ติดเหล้า เมาหัวราน้ำ ไม่ทำงานทำการอะไรเลยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ในเดือนตุลาคม ปี 1946 Soichiro ก่อตั้งศูนย์วิจัยขนาดเล็กพื้นที่ 16 ตารางเมตร ในชื่อว่า Honda Gijutsu Kenkyu Sho (Honda Technical Research Laboratory) ( 本田技術研究所) ที่เมืองฮามะมัตสึ ด้วยจำนวนพนักงานเพียง 12 คน เพื่อวิจัยและพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน และเครื่องจักรต่างๆ
สภาพการคมนาคมในญี่ปุ่นหลังสงครามนั้นเป็นไปด้วยความย่ำแย่มาก เพราะขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต้องเดินทางด้วยการเดิน หรือปั่นจักรยาน เมื่อ Soichiro เห็น Sachi ที่ต้องลำบากลำบนขี่จักรยานกลับจากซื้อกับข้าว เขาจึงเดินไปรื้อหาของเก่าๆ จนเจอเข้ากับเครื่องปั่นไฟของกองทัพญี่ปุ่นที่ใช้จ่ายพลังงานให้กับวิทยุไร้สาย ก็นำมา DIY เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาด 50 cc ขับเคลื่อนด้วยสายพาน มาติดตั้งบนจักรยานของ Sachi และยังนำขวดน้ำมาติดตั้งเป็นถังน้ำมัน
Soichiro เอาจักรยานดัดแปลงคันนี้มาให้ Sachi ลองขี่ไปข้างนอก ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากให้เหนื่อยกับการที่ต้องออกแรงปั่นไปซื้อกับข้าวมาเลี้ยงครอบครัว เพราะความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ Soichiro ทุ่มสุดหัวใจ เมื่อ Sachi ลองขี่ไปได้สักพักแล้วกลับมาถึงบ้านก็ได้ชี้ข้อบกพร่องต่างๆ ให้ Soichiro ได้แก้ไขก่อนจะปล่อยออกสู่ท้องตลาดในชื่อว่า Pon-Pon นั่นจึงทำให้ Sachi เป็นผู้หญิงคนแรกที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของฮอนด้านับแต่นั้นมา
หลังจากที่ Soichiro แก้ไขจนเสร็จสมบูรณ์ เขาก็ได้กว้านซื้อเครื่องปั่นไฟเหลือทิ้งมาผลิตเครื่องยนต์สำหรับติดจักรยานขาย ซึ่งก็ขายดีมาก เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างจนตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วญี่ปุ่น แห่มาสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก
เมื่อวัตถุดิบอย่างเครื่องปั่นไฟเก่าๆ พวกนี้เริ่มหมดลง Soichiro ก็หันมาออกแบบเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง ออกมาเป็น Honda A-Type หรือในชื่อเล่นว่า Bata Bata และก่อตั้งบริษัท Honda Motors ในวันที่ 24 กันยายน ปี 1948 ด้วยเงินทุน 1 ล้านเยน หรือ ประมาณ 17 ล้านบาท พร้อมจ้างพนักงานจำนวน 34 คน ผลิตเครื่องยนต์สำหรับติดตั้งจักรยาน ที่กำลังบูมในญี่ปุ่น ก่อนที่ต่อมาในเดือนสิงหาคมปี 1949 Honda Dream D-Type ถูกผลิตขึ้นมาในฐานะรถมอเตอร์ไซค์อย่างเต็มตัว มาพร้อมเครื่องยนต์ 1 สูบ 2 จังหวะขนาด 98 cc พละกำลังสูงสุด 3 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 4.27 Nm นับได้ว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จของ Honda ที่ Soichiro วาดฝันเอาไว้ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ Dream นั่นเอง
ภายในปีเดียวกันนี้เอง Takeo Fujisawa ขึ้นมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เพื่อช่วยเหลือ Soichiro ในเรื่องการเงิน การตลาด และการวางแผนธุรกิจ ถือได้ว่าช่วยเติมเต็มในส่วนที่ Soichiro ไม่ถนัดจริงๆ
ในปี 1950 เกิดสงครามเกาหลีขึ้นทำให้กองกำลังสหประชาชาติ ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา มีความต้องการในการสั่งซื้อเครื่องยนต์ติดจักรยานของฮอนด้ามากขึ้น ทาง Honda จึงต้องเปิดโรงงานและสำนักงานใหม่ในกรุงโตเกียว
ในเดือนมีนาคม 1951 Honda เปิดตัว Dream E-Type รถมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะรุ่นแรกของฮอนด้า และกลายมาเป็นรถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นที่ทำยอดขายได้เยอะที่สุด ณ เวลานั้น
ในปี 1952 Honda เปิดตัวเครื่องยนต์ติดจักรยานรุ่นใหม่ Cub F ที่มาพร้อมสโลแกน “ถังขาวเครื่องแดง” กลายเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก ด้วยดีไซน์ที่สวยงาม เป็นมิตรกับผู้หญิง
Takeo เองก็ริเริ่มแผนการตลาดใหม่เพื่อให้สามารถแซงคู่แข่งได้ ด้วยการหว่านจดหมายประชาสัมพันธ์ไปยังร้านขายจักรยานกว่า 5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งก็มีร้านจำนวน 30,000 แห่งให้ความสนใจ Takeo จึงดำเนินแผนการต่อโดยการเสนอขายเครื่อง Cub F จำนวน 1 เครื่องต่อ 1ร้านตามลำดับ และเมื่อร้านไหนต้องการสั่งซื้อเพิ่มก็สามารถจ่ายได้ด้วยการโอนเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทโดยตรง ถือว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น และทำให้ Takeo ประสบความสำเร็จในเรื่องของการสร้างเครือข่ายการขายแบบอิสระ และทำยอดขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ Takeo ยังเป็นคนที่วางรากฐานการในเรื่องของการ “เช่า-ซื้อ” ให้ผู้บริโภคสามารถผ่อนจ่ายกับศูนย์ได้เป็นเวลา 1 ปีอีกด้วย โดยภายในปีนั้น Honda Cub F สามารถทำยอดขายไปได้ 6,000 เครื่องในเดือนตุลาคม และ 9,000 เครื่องในเดือนธันวาคม
Honda Motor ประสบความสำเร็จจนขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตอันดับต้นๆในประเทศ แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้วยังตามหลังอยู่ ซึ่ง Soichiro เองก็ยอมรับไม่ได้ในเรื่องนี้ เพราะเขาต้องการจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งด้วยการผลิตจำนวนมาก แต่คุณภาพต้องไม่ดรอป และราคาต้องสมเหตุสมผล จึงสั่งนำเข้าเครื่องจักรจากยุโรปและอเมริกา ด้วยเงินลงทุนสูงถึง 450 ล้านเยน หรือ 1,600 ล้านบาทในปัจจุบัน ด้วยความกล้าได้กล้าเสียนี้เองก็ทำให้สามารถผลิตรถมอเตอร์ไซค์ออกมาได้อย่างมีคุณภาพ และมีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมสร้างโรงงานใหม่ และจ้างพนักงานเพิ่มจาก 214 คนเป็น 1,337 คน เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่มากขึ้น และยังมีการออกชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดตา ที่ไม่ว่าจะพนักงานหรือ ผู้บริหารทุกคนต้องใส่ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน และดูแลโรงงานให้สะอาดอยู่เสมอ
ในปี 1953 Soichiro ปลูกฝังนโยบายให้กับพนักงานว่า “คุณภาพของรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า ต้องอยู่เหนือความคาดหวังของลูกค้าเกิน 100% เสมอ” เพราะหากผิดพลาดแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวย่อมส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ ซึ่งนโยบายนี้ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การขาย ไปจนถึงบริการหลังการขาย
เดือนมิถุนายนปี 1954 Soichiro เดินทางไปศึกษาการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ในยุโรป และไฮไลต์สำคัญคือไปชมการแข่งขัน Isle of Man TT เมื่อกลับมาที่ญี่ปุ่น Soichiro ที่ยังไม่หายตื่นเต้นกับวงการมอเตอร์สปอร์ตก็เริ่มลงมือออกแบบรถสำหรับแข่งขัน และลั่นว่าจะต้องส่งรถเข้าแข่งขัน Isle of Man TT ให้ได้
วันเวลาผ่านไปจนถึงปี 1958 Honda Motor ก็ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กที่ต่อมาจะกลายเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล นั่นก็คือ Super Cub และยังกลายมาเป็นบรรพบุรุษของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน อาทิเช่น Monkey, Dream หรือแม้กระทั่งรุ่นยอดฮิตในประเทศไทยอย่าง นานาสารพัด Wave เลย
ในปีต่อมา ปี 1959 บริษัท American Honda Motor ถูกก่อตั้งขึ้นในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา พร้อมสโลแกนว่า “You meet the nicest people on a Honda” หรือ “คนดีขี่ Honda” ที่สื่อถึงภาพลักษณ์ที่สดใส ดูเป็นมิตร ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อเมริกันที่ถูกจดจำในภาพลักษณ์ของ รถมอเตอร์ไซค์คันโตๆ ที่คนขี่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนัง ดูดิบๆ เถื่อนๆ มากกว่า ทำให้ Honda Motor ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์เบอร์ 1 ของโลกในที่สุด
ภายในปีเดียวกันนี้เอง Honda RC142 กลายมาเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ได้เข้าแข่งขันใน Isle of Man TT และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในปี 1961ถึง 2 รุ่นรวด ทั้ง Lightweight และ Ultra-Lightweight รวมถึงยังคว้าแชมป์ในรายการ World Grand Prix หรือก็คือ MotoGP ในปัจจุบัน ทั้งรุ่น 125cc และ 250cc ผลงานที่ผ่านมานี้ทำให้ Honda เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และมีการตั้งฐานการผลิตนอกญี่ปุ่นแห่งแรกขึ้นที่ประเทศเบลเยียม
ถึงแม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าจะกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกไปแล้วก็ตาม แต่ Soichiro ก็ยังไม่ได้สานต่อความฝันที่เคยวาดไว้มาตั้งแต่เด็ก นั่นก็คือการเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ ซึ่งคนรอบข้างเองก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วย และอยากให้เขาทุ่มเทกับรถมอเตอร์ไซค์มากกว่า เพราะ ณ เวลานั้น ค่ายรถต่างๆ มากมายในญี่ปุ่นขับเคี่ยวกันมานานมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ย่างเท้าก้าวเข้าสู่สายการผลิตรถยนต์อย่างเต็มตัวในปี 1963 ด้วยการผลิตรถ Kei-Truck รุ่นแรกในชื่อ T360 ตามมาด้วยรถสปอร์ตเปิดประทุน S500
จนกระทั่งในปี 1964 Honda Motor ตอบสนองความฝันของ Soichiro ด้วยการพัฒนา และส่งรถแข่งรุ่นแรก RA271 ไปแจ้งเกิดในการแข่งขันฟอร์มูล่าวันสนาม German Grand Prix และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในสนาม Mexican Grand Prix ปี 1965 ด้วยรถ RA272
ก่อนที่ต่อมาในปี 1972 Soichiro ก็อนุมัติให้พัฒนา และปล่อย Honda Civic ออกสู่ท้องตลาด ก่อนที่ในปีต่อมา Soichiro Honda และ Takeo Fujisawa ก็เกษียณไปพร้อมๆ กันในปี 1973 ด้วยวัย 77 ปี แถมยังถูกบรรจุชื่ออยู่ในคอลัมน์ “25 บุคคลที่น่าสนใจที่สุดแห่งปี” บนนิตยสาร People Magazine นอกจากนี้ยังได้รับฉายาว่า “Henry Ford แห่งญี่ปุ่น” อีกด้วย
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 Honda กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น และเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นเจ้าแรกที่ตั้งฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาในปี 1982 ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์รถยนต์อันดับ 3 ของโลกในช่วงปลายทศวรรษ นอกจากนี้ทาง American Society of Mechanical Engineers ยังเอาชื่อของ Soichiro Honda มาเป็นชื่อเหรียญรางวัลสาขาการออกแบบและผลิตยานยนต์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาอีกด้วย
ต่อมาในปี 1989 ชื่อของ Soichiro Honda ก็ได้รับการบรรจุอยู่ใน Automotive Hall of Fame ที่เมือง Dearborn รัฐมิชิแกน ใกล้ๆ กับกรุง Detroit
ในส่วนของชีวิตหลังเกษียณของ Soichiro เขาใช้ชีวิตตามใจอยากกับครอบครัว ทั้งการเล่นสกี ตีกอล์ฟ แข่งรถ ร่อนแฮงค์ไกลเดอร์ หรือแม้กระทั่ง นั่งบอลลูน นอกจากนี้ทั้งตัวเขา และ Takeo ยังทำข้อตกลงด้วยกันว่าจะไม่บังคับให้ลูกชายของตัวเองมาสานต่อธุรกิจของตัวเองอีกด้วยครับ ซึ่งลูกชายของ Soichiro ที่พูดถึงอยู่นี้เขาก็คือ Hirotoshi Honda ผู้ก่อตั้งสำนักแต่ง และทีมแข่ง Mugen Motorsport นั่นเอง
และแล้วในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 1991 Soichiro Honda ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 84 ปี จากอาการตับวาย เป็นเวลา 1 วันก่อนการแข่งขันฟอร์มูล่าวันสนามฮังการี ซึ่งต่อมา Ayrton Senna นักแข่งฟอร์มูล่าวันทีม McLaren ที่ใช้เครื่องยนต์ของ Honda ก็สามารถคว้าแชมป์เปรียบเสมือนของขวัญอำลา Soichiro ผู้ล่วงลับมาได้สำเร็จ และนอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1 หรือ เคียวกุจิสึ ไดจูโช อีกด้วย
นี่คือเรื่องราวชีวิตของ Soichiro Honda จากเด็กชายตัวน้อยผู้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ผ่านความยากลำบาก ความล้มเหลว และความเจ็บปวดมามากมาย จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์อันดับต้นๆ ของโลก อย่างที่ Soichiro ได้กล่าวไว้ “คุณไม่ควรละทิ้งความฝันของตัวเอง” เพราะความสำเร็จล้วนเกิดมาจากความคาดหวัง หากพบเจออุปสรรคแล้วต้องทิ้งความฝันไป ความสำเร็จย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นจริง สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine