-
ท่อไอเสีย แบบไหนเหมาะกับรถคุณ

อีกหนึ่งเรื่องเล็กๆที่อยู่ใกล้ตัวเรา ซึ่งบางคนอาจมองข้าม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็มีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวครับสำหรับเรื่องของท่อไอเสีย ในยุคปัจจุบันนี้ปริมาณการใช้รถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการปรับแต่งก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกเช่นกัน หลายคนชอบขับรถแบบให้มีเสียงท่อทุ้มๆแผ่วๆเพื่อให้ได้ฟิลลิ่งบ้าง บางคนชอบแบบดังๆ (รบกวนชาวบ้าน)อันนี้ไม่ดีน้ะครับ จะแบบไหนก็แล้วแต่ครับ ทุกอย่างมันมีจุดที่เหมาะสมของมัน วันนี้เราจะมาแนะนำในเรื่องของการปรับเปลี่ยนท่อไอเสีย ว่าจะเปลี่ยนอย่างไรไม่ให้สูญเสียอัตราเร่งไปครับ

ก็อย่างที่เกรินไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าในปัจจุบันนี้ มีผู้ใช้รถเพิ่มจำนวนขึ้นอยู่ทุกวัน ใครที่ชอบขับรถเดิมๆ STD โรงงานก็ขับกันไปไม่เดือดร้อนใคร บางคนชอบปรับแต่งเพิ่มเติมกันบ้างเล็กๆน้อยๆก็ทำกันไปสุดแล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละคน แต่ในคอลัมน์นี้เราจะมาเจาะประเด็นเรื่องของการเปลี่ยนท่อไอเสีย รถที่ผลิตออกมาจำหน่ายในบ้านเรานั้นก็มีมากมายหลายรุ่น เราจะแบ่งกันไปตามซีซีรถก็แล้วกัน ให้เห็นกันแบบชัดเจน กับเครื่องยนต์พิกัด 1300cc./1500cc./1600cc./1800cc./2000cc./2200cc./2400cc./2500cc./2600cc./2800cc/3000cc. เหล่านี้ก็เป็นปริมาณเครื่องยนต์ที่มีใช้งานอยู่ในบ้านเรา
รถแต่ละรุ่นที่มีซีซีแตกต่างกัน ขนาดของท่อไอเสียก็จะมีความแตกต่างกันไปด้วยซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบมาของวิศวะกรของแต่ละค่ายนั่นเองครับ สำหรับใครที่มีความประสงค์จะปรับเปลี่ยนในเรื่องของชุดท่อไอเสียนั้น ก็ควรจะอิงพื้นฐานเดิมเอาไว้ก็จะเป็นเรื่องดีครับ แป๊บท่อไอเสียเดิมขนาดเท่าไหร่ก็ไม่ควรให้มีความแตกต่างเกิน .5นิ้ว ยกตัวอย่างเช่น ท่อไอเสียเดิมติดรถมีขนาด 1.5นิ้ว ถ้าจะปรับเปลี่ยนก็ไม่ควรจะเกิน2.0นิ้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น รูปแบบของหม้อพักที่เปลี่ยนเข้าไปก็มีผลด้วยอีกเช่นกัน เรามาพูดกันถึงแป๊บท่อไอเสียกันก่อน ถ้าเราเปลี่ยนให้มีขนาดที่ใหญ่เกิดไปอาจจะส่งผลให้รถมีกำลังอัดที่ลดลง ในความเป็นจริงแล้วอาจทำให้รถวิ่งด้อยลงไปเลยก็เป็นได้


แล้วหม้อพักละมีผลหรือไม่ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของชุดท่อไอเสียครับ โดยปกติแล้วหม้อพักจะมีด้วยกันอยู่สองจุดคือ หม้อพักกลาง กับหม้อพักหลังนั่นเองครับ คนส่วนใหญ่ก็มักจะเปลี่ยนกันแค่หม้อพักหลังนั่นเอง ซึ่งเปลี่ยนง่ายและราคาไม่แพง หม้อพักหลังก็มีให้เลือกทั้งแบบใส้ตรง ใส้ย้อน ใส้ตรงแบบเป็นเกลียว อันนี้ก็สุดแล้วแต่ความพึงพอใจ ใส้ตรงเสียงก็จะดังหน่อย ส่วนใส้ย้อนก็เสียงเบาหน่อย การเปลี่ยนหม้อพักหลังอย่างเดียวจะไม่ค่อยส่งผลอะไรสักเท่าไหร่นัก สิ่งที่ได้มาก็จะเป็นเรื่องของความสวยงามและเสียงที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ

แล้วถ้าเปลี่ยนยกชุดละจะดีไหม ตอบได้เลยครับว่าดี …แต่!!ถ้าจะให้ดีต้องเปลี่ยนยกชุดแบบตรงรุ่นน้ะครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้ร้านท่อหลายแบรนด์ทั้งในบ้านเราและท่อนอกก็ผลิตออกมารองรับไว้มากมายให้ได้เลือกใชกัน ข้อดีของการเปลี่ยนแบบยกชุดก็คือ ทางผู้ผลิตเค้าได้ทดลองออกมาแล้วว่าให้เข้าไปแล้วสามารถเพิ่มสมรรถนะได้อย่างเห็นได้ชัดและไม่ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ด้วย เนื่องจากมีการออกแบบและทดลองมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาดแป๊บท่อไอเสีย หม้อพักกลางที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน รวมไปถึงหม้อพักหลัง
รถที่มีระบบอัดอากาศกับรถที่ไม่มีระบบอัดอากาศขนาดท่อไอเสียมีความแตกต่างกันหรือไม่ ต่างกันแน่นอนครับ เนื่องจากรถที่มีระบบอัดอากาศนั้น มีปริมาณของอากาศและความร้อนมากจึงมีความจำเป็นที่จะต้องระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็วกว่ารถที่ไม่มีระบบอัดอากาศ แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนความพอดีแหละครับ ถ้าคายอากาศมากไปก็ไม่ดีเหมือนกัน จะส่งผลให้รถวิ่งด้อยลงอย่างแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่บนมาตรฐานที่พอดี อย่างที่เกริ่นไว้ในช่วงต้นว่าให้อิงจากพื้นฐานเดิมที่ติดมากับตัวรถครับ
รถเกียร์ธรรมดากับรถเกียร์ออโต้ เลือกใช้ท่อแตกต่างกันมั้ย แน่นอนที่สุดครับ เกียร์ออโต้ต้องการ การระบายไอเสียที่มีความโล่งน้อยกว่ารถเกียร์ธรรมดา เพราะฉะนั้นการเลือกท่อไอเสียสำหรับรถเกียร์ออโต้นั้นต้องไม่ควรที่จะโล่งจนเกินไป ควรเลือกใช้หม้อพักแบบใส้ย้อน เพื่อให้รถมีกำลังที่ดีไม่ด้อยไปกว่าเดิม
เปรียบเที่ยบให้เข้าใจกันง่ายๆครับ เอาหลอดเล็กๆมาใส่น้ำแล้วลองเป่าดูว่าไปได้ไกลขนาดไหน อีกครั้งนึงใช้หลอดดูดชาไข่มุกเอามาใส่น้ำแล้วลองเป่าดูจะเห็นได้ว่าระยะของหลอดชาไข่มุกจะไปได้ไม่ไกลเท่าหลอดขนาดเล็ก แบบนี้พอจะมองเห็นภาพกันแล้วใช่มั้ยครับ เครื่องบนต์1200cc.ไปใช้ท่อขนาด 3.0นิ้ว คงจะไม่มีกำลังขับเคลื่อนอย่างแน่นอน ส่วนเครื่องยนต์ 3000cc. ใช้ท่อขนาด 1.5นิ้ว ก็คงระบายไอเสียไม่ทันอย่างแน่นอน ส่งผลระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมครับ

สำหรับในคอลัมน์นี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านคงจะได้ความรู้ไปไม่มากก็น้อยกับเรื่องราวของท่อไอเสีย เป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของการแต่งรถ ยังไงก็ขอให้แต่รถกันแบบถูกต้องไม่ผิดกฎจราจรกันน้ะครับจะได้ไม่ต้องมานั่งถกเถียงกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สวัสดีครับ….
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
JDM STYLE (ทำไมมันฮิตจัง?)

สำหรับในคอลัมน์นี้เอาใจ JAPAN STLYE กันหน่อย กับรูปแบบและแนวทางในการปรับแต่งรถที่ได้วัฒนธรรมมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการผลิตรถยนต์ให้ชาวโลกหลากหลายประเทศทั่วโลกได้ขับขี่ใช้งานกัน ด้วยรูปแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวอาทิตย์อุทัย ทำให้สาวกรถซิ่งในบ้านเรานิยมนำมาปรับแต่งเพื่อความสวยงามกันอย่างแพร่หลาย แต่แท้จริงแล้ว JDM STYLE มันคืออะไรเราไปทำความรู้จักกันเลยครับ
JDM หรือ JAPAN DOMESTIC MARKET พูดกันให้เข้าใจแบบง่ายๆก็คือรถยนต์ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นนั่นแหละครับ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตรถยนต์ส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศทั่วโลก และการผลิตในแต่ละประเทศแต่ละภูมิภาคนั้นย่อมที่จะต้องมีความแตกต่างกัน แยกกันแบบง่ายๆให้เห็นแบบชัดเจนก็คือ ฝั่งยุโรปกับฝั่งญี่ปุ่นนั่นเองครับ หรือจะพูดให้เห็นภาพง่ายๆแบบชัดเจนก็คือ รถที่จะหน่ายในฝั่งยุโรปพวงมาลัยซ้าย รถที่จำหน่ายในฝั่งญี่ปุ่นพวงมาลัยขวานั่นเองครับ(หรือทางโซนเอเชียนั่นเองครับ) แต่ก็มีบางประเทศในฝั่งเอเชียที่ขับซ้ายแต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ

รูปแบบที่บ่งบอกความเป็นตัวตนที่ชัดเจนที่สุดของ JDM ก็คือ ค่ายดังอย่างฮอนด้านั่นเอง และที่สำคัญคือค่ายฮอนด้าจัดว่าเป็นอีกหนึ่งค่ายที่เหล่าบรรดาขาซิ่งในบ้านเราไม่ว่ารุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ต่างก็หลงเสน่ห์รถจากค่ายนี้กันเป็นจำนวนมาก ด้วยความแตกต่างในหลายๆจุดของตัวรถรุ่นเดียวกันที่จำหน่ายในญี่ปุ่น กับที่จำหน่ายในบ้านเรา ซึ่งอาจเป็นเพราะปัจจัยหลายๆอย่างจึงอาจจะต้องมีลดและมีเพิ่มOPTION บางอย่างนั่นก็เป็นเรื่องของปัจจัยทางการตลาด

ยกตัวอย่างรถ HONDA CIVIC EG ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมมากในบ้านเราแต่ทว่า ก็ยังคงมีความแตกต่างให้ได้เห็นกันอยู่หลายจุด และที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ รถที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นนั่นจะเป็นหลังคาซันรูฟ/มูนรูฟ เครื่องยนต์แบบ TWINCAM ภายในมีลวดลายหลายเวอร์ชั่นอันนี้ก็แต่งแต่คนเล่น เบาะนั่งแบบแขนเดี่ยว ชุดเครื่องเสียงแบบ2DIN ซึ่งเหล่านี้จะไม่ได้เห็นในบ้านเราสักเท่าไหร่นัก นอกเสียจากการนำเข้ารถมาทั้งคัน แต่เมื่อบวก ลบ คูณ หาร ดูแล้วราคาค่าตัวมันก็ช่างสูงซ้ะเหลือเกิน
แล้วจะทำยังไงละถ้าคนไทยอยากจะ JDM STYLE กะเค้าบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสารถคนไทยหลอกครับ เชียงกงบ้านเรามีเยอะแยะ ก็ไปเดินดูกันซิครับ อยากจะได้เป็นชิ้นก็เลือกหาเอา แต่ถ้าจะจบแบบยกคันก็ไปซื้อรถตัดแล้วย้ายอะไหล่มา เพียงเท่านี้ก็ได้แบบครบๆแล้ว กับJDM STYLE

JDM STYLE ไม่จำเป็นต้องตรงรุ่นก็ได้นิ เพราะรถแต่ละค่ายที่ผลิตออกมามีมากมายหลายรุ่น CIVIC EGหลายคันในบ้านเรา เลือกเอาล้อแม็กซ์ของ DC5มาใส่ก็มีถมไป ส่วนภายในก็ใส่เบาะ DC5ก็มีให้เห็นกัน บางคันภายในตุ๊กแก เรือนไมล์ SiR

ไม่เพียงแต่ค่าย HONDA อย่างเดียวเท่านั้นที่วัยรุ่นบ้านเราให้ความนิยมในการปรับแต่งรถในสไตล์ JDM แต่ยังมี NISSAN TOYOTA ซึ่งสองค่ายนี้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเลย สำหรับค่ายนิสสันเราจะยกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ 200sx รถที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะใช้ชื่อรุ่น 180sx แต่เป็นเครื่องยนต์ SR20DET แต่ที่มีจำหน่ายในบ้านเรานั้นจะเป็น 180sx แต่เป็นเครื่องยนต์ CA18DET

บางคนถามว่า ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนรถกระบะบ้านเราวาง J วาง SRกันเต็มไปหมด แบบนี้เรียกว่า JDM STYLE หรือป่าว อันนี้ก็อย่างไปคิดให้มันปวดหัวเลยครับ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของยุค ยุคะนึงที่มันผ่านมาแล้วจะดีกว่า เพราะอย่าลืมว่ารถกระบะหลายค่ายมันผลิตในบ้านเราเลยไม่ได้รับวัฒนะธรรมมาจากประเทศญี่ปุ่น

เค้าว่ากันว่า JDM STYLE แต่ก็เหมือนไม่ได้แต่ง อันนี้ก็สุดแล้วแต่จะคิดกันเองแหละครับ เนื่องจากว่าถ้าเป็นรถบ้านเรา มีสเป็คที่แตกต่างจากรถในญี่ปุ่น พอเรานำอะไหล่ STD ที่ติดรถญี่ปุ่นมาใส่รถบ้านเรา มันก็เรียกได้ว่าเป็นการปรับแต่งนั่นแหละครับเพราะว่ามันเป็นอะไหล่ที่ไม่ใช่ของเดิมที่มีจำหน่ายในบ้านเรานั่นเอง จริงๆแล้วจะเรียกว่าอะไรก็สุดแล้วแต่ ทำออกมาแล้วสวยถูกใจเราเท่านั้นพอครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับการแต่งรถแบบ JDM STYLE ( JAPAN DOMESTIC MARKET) ในยุคปัจจุบันเริ่มมีให้เห็นกันได้น้อยแล้ว เนื่องจากยิ่งนานวันเข้าปีรถก็ยิ่งลึกลงทุกปีทุกปี ใครมีไว้ในครอบครองก็ต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่ต้องห่วงครับทางทีมงาน REALTIME CAR MAGAZINE สัญญาว่าจะหามาให้เพื่อนๆได้ดูกันอย่างแน่นอน แล้วกลับมาพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้า สวัสดีครับ…..
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
น้ำยาหล่อเย็น (COOLANT)สำคัญไฉน…?

มีรถขับหนึ่งคันทำไมจะต้องเรียนรู้อะไรตั้งมากมายร้อยแปดพันก้าว สารพัดเรื่อง เห้อออ…ก็ว่ากันไปนั่น ถ้าอยากรักษาให้ได้ใช้ให้เป็น เพื่อช่วยลดความเสียหายก็ควรติดตามอ่านคอลัมน์เกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องรถของทาง REALTIME CAR MAGAZINE เอาไว้น้ะครับ อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเองและคนรอบข้างได้ เผื่อวันใดวันหนึ่งขับรถไปเจอสาวสวยเกิดรถเสียอยู่ข้างทาง ก็ยังเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้าไปช่วยเธอได้ เอาละครับเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าสำหรับในคอลัมน์นี้เป็นเรื่องราวของ น้ำยาหล่อเย็น มันสำคัญไฉนต้องไปดูกัน

COOLANT หรือน้ำยาหล่อเย็นที่เราได้ยินคุ้นหูกันมาเป็นเวลานาน เป็นน้ำยาที่อยู่คู่กับหม้อน้ำรถยนต์มาโดยตลอด น้ำยาหล่อเย็น (COOLANT) ส่วนประกอบหลักของมันจะมี น้ำ, สารหล่อเย็น(ETHYLENE GLYCOL), หัวเชื้อป้องกันสนิม และสีต่างๆ ฯลฯ ซึ่งถ้าพูดถึงคุณสมบัติจริงๆ ของมันแล้ว น้ำยาหล่อเย็น ไม่ได้มีหน้าที่ระบายความร้อน แต่จะช่วยทำให้จุดเดือดของน้ำที่ผสมน้ำยาหล่อเย็นสูงขึ้น ทำให้น้ำที่อยู่ในหม้อน้ำเดือดช้าลง
ประโยชน์ของน้ำยาหล่อเย็นยังไม่หมด
- ป้องกันน้ำในระบบแข็งตัวเป็นน้ำแข็งในจังหวะสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ ซึ่งในบ้านเราจะไม่เห็นผลเท่าใดนัก เพราะเป็นเมืองร้อน
- เพิ่มจุดเดือดน้ำ คือชะลอการระเหยของน้ำในระบบหล่อเย็นเมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะเวลาน้ำเดือดมันจะระเหยกลายเป็นไอที่ 100C ํ ซึ่งถ้าผสมน้ำยาหม้อน้ำลงไปก็จะระเหยที่ 105 / 110 / 115 องศาเซลเซียส ตามสัดส่วนที่เราผสมลงไป
- ป้องกันการเกิดสนิม ตะกรัน ตะกอน เพราะเมื่อมีสนิมมันก็จะผุ กร่อน มีตะกอน น้ำยาจึงช่วยไม่ให้มีการอุดตันในรังผึ้งของหม้อน้ำ
- หล่อลื่นปั๊มน้ำ ซีลปั๊มน้ำ และวาล์วน้ำ

ส่วนการผสมใช้งาน น้ำยาหล่อเย็น (COOLANT) กับน้ำ ส่วนมากจะผสมกันในอัตราส่วน 50/50 หรือดูวิธีผสมได้ที่ข้างขวดของน้ำยายี่ห้อนั้นๆ และระยะการเปลี่ยนถ่ายก็ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น หรือน้ำยาที่ใช้ด้วย เช่น บางรุ่นกำหนดไว้ทุกๆ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร และบางรุ่นกำหนดไว้ที่ 100,000 – 200,000 กิโลเมตร ฯลฯ (ศึกษาดูเพิ่มเติมจากคู่มือยี่ห้อรถนั้นๆ)
รู้อย่างนี้กันแล้วก็อย่างลืมไปเปิดฝากระโปรงรถตรวจเช็คหม้อน้ำกันด้วยน้ะครับ ว่าสภาพของน้ำในหม้อน้ำเป็นอย่างไร อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือเปล่า(MIN/MAX) และตรวจสอบคุณภาพน้ำยาหล่อเย็นด้วยว่ายังอยู่ในระยะการใช้งานหรือไม่ ด้วยความห่วงใยจากทีมงาน REALTIME CAR MAGAZINE
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
เกียร์ออโต้ (AUTO)ขับยังไงให้ถูกวิธี

เกร็ดความรู้อยู่รอบตัวเราแต่บางเรื่องก็อาจจะโดนมองข้ามกันได้ อย่างเช่นเรื่องราวในคอลัมน์นี้ที่ทางทีมงานได้นำความรู้มาให้เพื่อนๆได้อ่านกันเกี่ยวกับการใช้งานเกียร์ออโต้นั่นเองครับ หลายคนอาจดูว่าไม่น่าจะมีอะไรมากมาย แต่บนความที่ไม่มีอะไรนั่นแหละครับ ก็จะมีบางอย่างที่บางคนไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็ได้ เอาละครับเราไปดูกันดีกว่าครับว่าการใช้งานเกียร์ออโต้ที่ถูกต้องจะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ปัจจุบันมีผู้ที่ใช้รถเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก มีมือใหม่มือเก่า มือเก๋า อยู่บนท้องถนนมากมายปะปนกันไป และระบบส่งกำลังที่ค่ายผู้ผลิตรถทำออกมานั้นก็มีกันอยู่สองแบบคือ เกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ แต่ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดถึงเกียร์ออโต้กัน ซึ่งเกียร์ออโต้จัดว่าเป็นระบบส่งกำลังอีกหนึ่งประเภทที่สามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบาย ไม่ซับซ้อน

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับตำแหน่งของเกียร์ออโต้กันก่อนครับ
- P (PARKING) ใช้สำหรับจอดรถ ซึ่งจะล็อคล้อไว้ไม่ให้รถเคลื่อน โดยเราจะเปลี่ยนเกียร์มาที่ P เมื่อรถจอดนิ่งสนิทแล้วและต้องการดับเครื่อง เลิกใช้งาน หรือเมื่อต้องการจอดรถบนทางลาดชัน (ข้อแนะนำ : ควรดึงเบรคมือ เสริมด้วย เพื่อป้องกันเกียร์เสียหาย ถ้าถูกชนท้าย) นอกจากนั้น ก่อนสตาร์ทรถ ตำแหน่งเกียร์ควรจะอยู่ที่ P เช่นเดียวกัน
- R (REVERSE) คือ เกียร์ถอยหลัง โดย เมื่อเกียร์มาอยู่ที่ตำแหน่ง R นี้แล้ว รถจะถอยหลังไปได้เองอย่างช้าๆ โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งเลย (ข้อแนะนำ: ขณะกำลังถอยหลัง ไม่ควรเหยียบคันเร่ง เพราะจะทำให้รถถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรวางเท้าไว้ที่บนแป้นเบรก เพื่อเตรียมพร้อมในการเหยียบเบรก ขณะทำการถอยหลัง)
- N (NEUTRAL) คือ เกียร์ว่าง ใช้เมื่อต้องการจอดรถไว้ชั่วคราว เช่น ขณะจอดรถติดไฟแดง และเมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่ง N นี้ รถจะสามารถถูกเข็นไปได้ (เวลาที่เราจอดรถขวางหน้ารถคันอื่นๆ ตามห้าง ควรใส่เกียร์ว่าง และปลดเบรคมือออกด้วย)
- D หรือ D4 คือ เกียร์เดินหน้า 4 SPEED ใช้ในการขับขี่ปกติ โดยเมื่อเปลี่ยนเกียร์มาที่ D แล้ว รถจะเริ่มออกตัว แล่นไปเองอย่างช้าๆ และเมื่อเหยียบคันเร่ง รถจะเริ่มเปลี่ยนเกียร์เองอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับความเร็วของรถ (ปกติ ถ้าวิ่งบนทางราบ เราจะใช้เกียร์ D นี้บ่อยสุด)
- 3 หรือ D3 คือ เกียร์เดินหน้า 3 SPEED ส่วนใหญ่ใช้ในการขับขึ้น-ลงเนินที่ไม่ชันมาก เช่น ขึ้นสะพาน โดยรถจะเปลี่ยนเกียร์เองอัตโนมัติ ไปสุดที่เกียร์ 3 นอกจากนี้เรายังใช้ในกรณีที่ต้องการเร่งแซงรถที่อยู่ข้างหน้าด้วย โดยขณะที่รถวิ่งด้วยตำแหน่งเกียร์ D4 เป็นระยะเวลานาน เมื่อเปลี่ยนเป็นเกียร์ D3 จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลัง ทำให้เครื่องแรงและสามารถแซงไปได้อย่างรวดเร็ว
- 2 หรือ D2 คือ เกียร์เดินหน้า 2 SPEED ใช้เมื่อต้องการขับรถขึ้น-ลงเนิน หรือเขาที่ค่อนข้างชัน หรือ ขับขึ้น-ลง ตามห้าง โดยรถจะเปลี่ยนเกียร์เองอัตโนมัติ ไปสุดที่เกียร์ 2
- L (LOW)คือ เกียร์ 1 ซึ่งจะใช้ในการขับขึ้น-ลง เขาที่สูงชันมากๆ เมื่อลงเขาด้วยเกียร์ L จะเป็นการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก เพื่อลดการเหยียบเบรก เพราะอาจจะทำให้ผ้าเบรกไหม้ได้
ขับเกียร์ออโต้อย่างไรให้ถูกวิธี
เรามาเริ่มต้นที่การสตาร์ทเครื่องกันก่อนเลยครับ ตำแหน่งของเกียร์ออโต้ที่จะสามารถสตาร์ทได้จะมีอยู่สองตำแหน่งด้วยกันคือ “N”และ “P” เพื่อความปลอดภัยควรวางเท้าไว้ที่แป้นเบรกแล้วค่อยบิดสวิทช์กุญแจสตาร์ทรถ
เมื่อจอดรถติดไฟแดงหรือติดอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานานควรเปลี่ยนตำแหน่งของเกียร์มาไว้ที่ “N”หรือ “P” แล้วดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล
ในทุกครั้งที่ต้องการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จาก “N” ไป “P” ต้องให้รถจอดสนิททุกครั้งเพื่อลดความเสียหายกับระบบเกียร์

การขับรถเกียร์ออโต้ควรใช้กี่เท้าดี คำตอบที่ถูกต้องคือ ควรใช้เท้าเดียวครับเพราะในการขับขี่จริงบนท้องถนน ไม่ควรเอาเท้าซ้ายวางไว้ที่แป้นเบรกพร้อมกับเท้าขวาวางบนแป้นคันเร่ง ที่ถูกต้องคือใช้เท้าขวาเท่านั้นวางเท้าในตำแหน่งที่ถนัดและสามารถเปลี่ยนตำแหน่งจากคันเร่งไปเบรกหรือจากเบรกไปคันเร่งได้อย่างไม่ยากนัก ส่วนเท้าซ้ายให้วางไว้ที่ตำแหน่งจุดพักเท้าด้านซ้ายสุด

รถบางรุ่นจะถอดกุญแจออกได้ก็ต่อเมื่อตำแหน่งเกียร์อยู่ที่ “P” ในตำแหน่งอื่นๆจะไม่สามารถดึงกุญแจออกได้ แต่เมื่อต้องการให้รถจอดแล้วสามารถเข็นได้ก็สามารถทำได้โดย เลื่อนเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง “P” แล้วดึงกุญแจออก ขั้นตอนต่อไปนำกุญแจที่ดึงออกมาเสียบลงไปที่ช่องบนแป้นเกียร์เพื่อทำการปลดตำแหน่งเกียร์ตามที่ต้องการ หรือบางรุ่นจะมีปุ่ม SHIP LOCK ให้กด เพียงเท่านี้ก็สามารถจอดแบบเข็นได้แล้ว
การบำรุงรักษาเกียร์ออโต้
ขั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากครับถ้าเพื่อนๆได้อ่านคำแนะนำด้านบนนี้ทั้งหมด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาเกียร์ออโต้ให้อยู่กับเราไปได้นานแสนนาน ส่วนเรื่องของระบบน้ำมันของเกียร์ออโต้นั้นก็ควรที่จะเปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลาในคู่มือของรถแต่ละรุ่น เพื่อยืดอายุการใช้งานของระบบเกียร์

ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
แคตาลิติค (CATALYTIC) รู้จักไว้ไม่เสียหาย

กลับมาพบกันอีกแล้วสำหรับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องรถ สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของระบบไอเสียกันซ้ะหน่อย ในส่วนของ “แคตาลิติค (CATALYTIC)” หลายคนอาจไม่ทราบว่ามันมีหน้าที่อะไร และมีความสำคัญขนาดไหน ทำไมรถที่ออกจากศูนย์ถึงต้องมีติดมาทุกคัน ทั้งที่หลายคนบอกว่ามันทำให้รถอืด วิ่งไม่ดี นู่นนี่นั่นมากมายหลากหลายเหตุผล ควรจะถอดหรือควรจะใส่นั้นเราเข้าไปดูรายละเอียดความสำคัญกันครับ
แคตาลิติค คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กรองไอเสีย หรือทำหน้าที่สะสมความร้อนเพื่อมาเผาไอน้ำมันที่หลงเหลือปะปนมากับไอเสียให้ หมดไป ก่อนที่ไอเสียจะวิ่งผ่านปลายท่อออกสู่ด้านนอก ทำให้อากาศภายนอกมีความสะอาดมากขึ้น หรือมีมลพิษน้อยลง ปกติจะมีอายุการใช้งานยืนยาวมาก ขนาดที่ว่าสามารถใช้งานไปได้เป็นแสน กิโลเมตรกันเลยทีเดียว หากมีการใช้งานรถยนต์คันนั้นอย่างถูกต้อง และมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่สะอาดเพียงพอ ที่บอกว่าแคตาลิติค หรือ แคต ต้องใช้งานอย่างถูกต้อง คือ เมื่อการทำงานของมันต้องอาศัยการสะสมความร้อนมาเพื่อทำการเผาไอเสียอีกครั้ง หนึ่ง ดังนั้นเครื่องยนต์หรือรถยนต์ที่ถูกใช้งานระยะสั้นๆ เช้าติดเครื่องยนต์ขึ้นมาแล้วก็ขับออกไปยังจุดหมายปลายทางที่มีระยะทางสั้นๆ และไม่มีการใช้งานด้วยรอบการทำงานของเครื่องยนต์สูง หรือไม่ได้ใช้งานที่ความเร็วสูงเพียงพอที่จะก่อให้เกิดความร้อนไปสะสมที่ตัว “แคต” ไอหรือกากไอน้ำมันก็จะไม่ถูกเผาไหม้ทิ้งไป แต่จะไปตกสะสมอยู่ที่ตามไส้กรองหรือที่ “แคต” แทน ทำให้ “แคต” ตันขึ้นมาได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกว่าที่ “แคต” จะตันก็ต้องผ่านการใช้งานไปไม่น้อยกว่า 1 แสน กม.อย่างแน่นอน

แคตาลิติคตันอาการเป็นอย่างไร มีอาการเร่งเครื่องไม่ค่อยจะขึ้น อัตราเร่งอืด กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น และเสียงที่ออกจากปลายท่อไอเสียเปลี่ยนไป เหล่านี้คืออาการที่ผู้ใช้รถสามารถนำมาเป็นข้อสังเกตเบื้องต้นได้ แต่หากต้องการความแน่นอนก็ต้องนำรถไปเข้าเครื่องตรวจวัดปริมาณไอเสีย หากพบว่าในปริมาณไอเสียที่ถูกปล่อยออกมา มีกากไอน้ำมันมากกว่าปกติหรือมากเกินที่กำหนดเอาไว้ จึงจะบอกได้ว่าตันหรือไม่

แคตาลิติค (CATALYTIC) ควรมีหรือไม่มีดี ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดนิยมของหลายๆคนที่มีความเป็นกังวลในการใช้รถและคำนึงถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อเป็นหลัก อาจจะทำใจยากกันซ้ะหน่อยสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ข้อดีของการถอดออกก็จะช่วยให้รถมีการระบายไอเสียที่โล่งขึ้นหรือบางคันอาจจะเดินท่อไอเสียในส่วนของแคตาลิติค(ท่อแทนแคต) ใหม่เพื่อให้มีขนาดที่เท่ากัน ส่วนทางด้านของผลเสียนั้นก็จะส่งผลให้มลภาวะเป็นพิษในอากาศเพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ และในรถบางรุ่นอาจจะทำให้ระบบเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติได้ ทางที่ดีควรปรึกษาช่างผู้ชำนาญจะปลอดภัยที่สุดครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของ CATALYTIC จัดว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ติดมากับรถแล้วสร้างคำถามให้หลายคนต้องสับสนกันไปเลยทีเดียว แต่ทางที่ดีที่สุดของเค้ามีมาให้จากโรงงานนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วครับ ในอนาคตข้างหน้าถ้าหากมีปัญหาค่อยปรับปรุงแก้ไขกันไป….
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
OFFSET ล้อแม็กซ์คืออะไร?

กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องรถ ปัจจุบัน รถถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการใช้ชีวิตประจำวันของหลายคน ซึ่งเมื่อเราต้องอยู่กับรถทุกวันจึงทำให้รถเป็นส่วนหนึ่งของเราเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะต้องดูแลและปรับแต่งเพิ่มความสวยงามกันบ้าง แต่จะปรับแต่งอย่างไรให้ถูกต้องและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับรถคันโปรดของเรา ล้อแม็กซ์เป็นส่วนควบอย่างหนึ่งที่นิยมเปลี่ยนกันมากในกลุ่มของผู้รักการแต่งรถ แต่จะเปลี่ยนอย่างไรให้พอดีกับซุ้มล้อ ในคอลัมน์นี้จะพาไปรู้จัก OFFSET ของล้อแม็กซ์กัน ออฟเซ็ตบวกเท่านั้นเท่านี้ ออฟเซ็ตลบเท่านั้นเท่านี้มันคืออะไรนั้นไปดูกันครับ

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับออฟเซ็ต (Offset) หรือ ET กันก่อน ออฟเซ็ต คือ ระยะห่างระหว่าง หน้าแปลนยึดดุมล้อ (HUB MOUNTING SURFACE) ภายในล้อแม็กซ์ กับขอบกระทะล้อด้านนอก นับจากจุดกึ่งกลางเป็นจุดตั้ง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร

ออฟเซ็ตศูนย์ คือ ตำแหน่งยึดดุมล้ออยู่ศูนย์กลางล้อพอดี (นึกถึงถ้าเราเอาล้อแม็กซ์กว้าง 10 นิ้ว มาผ่าครึ่ง จะวัดได้จุดศูนย์กลางที่ 5 นิ้ว แล้วหน้าแปลนยึดดุมล้อด้านในอยู่ตรงที่ตำแหน่งยึดดุมล้อนั้น อยู่กึ่งกลางพอดี) เรียกว่าออฟเซ็ตศูนย์นั่นเอง
ออฟเซ็คบวก คือ ตำแหน่งยึดดุมล้อ เยื้องออกมาด้านหน้า (ด้านนอกตัวรถ หรือด้านหน้าของแม็กซ์) เริ่มจากจุดศูนย์กลางของล้อ ถ้าหน้าแปลนยึดดุมเริ่มเดินหน้าออกมา ถือว่าเป็น ออฟเซตบวกทันที เช่นเดินหน้าออกจากจุดศูนย์กลางมา 1 มิลลิเมตร เรียก +1 ถ้าเดินหน้าออกมา 10 มิลลิเมตร เรียก + 10 หรือเดินหน้าออกมา 35 มิลิเมตรเรียก + 35 เป็นต้น สังเกตง่ายๆออฟเซ็ตยิ่งติดบวกมาก ลายด้านหน้าของล้อแม็กซ์ ก็จะยื่นออกมามาก หรือแทบออกมาเสมอกับขอบล้อด้านนอกเลย
ออฟเซ็ตลบ คือ ตรงข้ามกับออฟเซ็ตบวกนั่นเองครับ พวกนี้ตำแหน่งยึดดุมล้อจะถอยเข้าไปด้านในของล้อ นับจากจุดศูนย์กลางล้อ ยิ่งถอยเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดลบมากเพียงนั้น ล้อแม็คพวกนี้สังเกตได้คือ ลายด้านหน้าของแม็กซ์จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในจากขอบล้อด้านนอก ยิ่งลึกมากยิ่งติดลบมากหรือที่เรียกๆกันว่า แม็กซ์ออฟลึกนั่นเองครับ
การดูเลขออฟเซตของล้อ ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น OFFSET 41 ก็จะเป็น ET41 บ้าง +41 บ้างหรือ 41 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ
จะรู้ได้อย่างไรว่ารถของเราเหมาะกับออฟเซ็ทเท่าไหร่ อันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ เราสามารถเปิดดูจากคู่มือที่ติดมากับรถได้ว่ารถของเราเหมาะกับล้อแม็กว์ออฟเซ็ทเท่าไหร่ หรือไม่ก็ดูที่ด้านหลังของล้อแม็กซ์จะมีตัวเลขปั๊มนูนเอาไว้ หรือถ้าขี้เกียดมุดดูก็ขับรถเข้าไปที่ร้านขายล้อแม็กซ์เลยครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องของ OFFSET ล้อแม็กซ์ เมื่อเราสามารถรู้ค่ามาตรฐานของรถเราแล้ว อยากจะใส่ล้อลายไหน จะให้ยื่นออกมามากน้อยแค่ไหนก็สามารถคำนวณและเลือกเองได้ตามใจชอบ สุดท้ายนี้ทางทีมงาน REALTIME CAR MAGAZING ก็ขอให้เพื่อนๆแต่งรถกันให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วยนะคร๊าบบบบ….สวัสดีครับ…

ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
DIESEL COMMONRAIL ทำงานอย่างไร?
เป็นอะไรที่ปฏิเสธกันไม่ได้จริงๆครับสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลสำหรับในยุคนี้ มีการนำมาปรับแต่งโมดิฟายกันอย่างมาก มีให้เห็นกันทุกรูปแบบทุกสเต็ปการแข่งขัน หาดูหาชมกันได้ตามสนามแข่งรถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของรถCIRCUIT และในรูปแบบของรถแดร๊ก แต่ที่นิยมที่สุดในบ้านเราก็คงจะเป็นรูปแบบของแดร๊กแหละครับ ที่ทำเวลาในระยะ 402เมตรได้ดีจนเครื่องยนต์ยนต์บล็อกใหญ่ต้องสะดุ้งสะเทือนกันเลยทีเดียว พื้นฐานของเครื่องยนต์จะเป็นอย่างไรนั้น ในคอลัมน์นี้มีคำตอบมาให้ได้ดูกันครับ

หลักการทำงานขั้นพื้นฐานของเครื่องยนต์ระบบ COMMONRAIL (รางร่วม) เหมือนกันกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะ แต่แตกต่างกันที่วิธีการควบคุมจังหวะและปริมาตรการฉีดเชื้อเพลิงโดยเครื่องยนต์ระบบ COMMONRAIL (รางร่วม) ใช้ความดันของเชื้อเพลิงสูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา (ปั๊มแบบจานจ่ายและแบบแถวเรียง) ประมาณ 7 เท่าขึ้นไป ความดันสูงสะสมอยู่ในรางร่วม มีหัวฉีดไฟฟ้าฉีดเชื้อเพลิงตามการสั่งการของหน่วยควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ที่สุดคือมลพิษต่ำกว่า พลังงานมากกว่า และประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลระบบอื่น

เครื่องยนต์ดีเซล COMMONRAIL (ระบบรางร่วม) จัดอยู่ในประเภทหนึ่งของเครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ คือ
1. เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ แบบหัวฉีดหน่วยเดียวกับปั๊ม (Unit Injector)
-ระบบลูกเบี้ยว (PDE) เคยใช้กับเครื่องยนต์เรือขนาดใหญ่
-ระบบรางร่วมน้ำมันเครื่อง (Oil Common Rail System) เคยใช้กับ Isuzu รุ่น Truper
2. เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ แบบระบบรางร่วม (Common Rail System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ดีกว่าเครื่องยนต์ระบบลูกเบี้ยวและระบบรางร่วมน้ำมันเครื่องกฎหมายควบคุมมลพิษยูโรระดับ 3 (ล่าสุดบางประเทศเตรียมใช้กฎหมายควบคุมมลพิษยูโรระดับ 7) ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ ทั้งนี้เพื่อให้สังคมในเมืองใหญ่ได้สัมผัสกับสภาวะแวดล้อมทางอากาศที่สะอาด ขึ้น เทคโนโลยีใหม่ของเครื่องยนต์ดีเซลจึงต้องเป็นระบบรางร่วม
ในการลดมลพิษให้ต่ำลงได้มากๆ นั้นนอกจากจะต้องใช้เครื่องยนต์ระบบรางร่วมแล้วในส่วนของเครื่องยนต์ยัง ต้องออกแบบให้มีหลายลิ้น (Multi Valve) (เช่น 4 ลิ้น ต่อ 1 สูบ) พร้อมกับใช้ตัวอัดบรรจุอากาศเทอร์โบ เพื่อเพิ่มอากาศช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น ลดเขม่าควันซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล นอกจากนี้แล้วยังต้องมีระบบควบคุมแก๊สพิษ (Emission Control) อีก 2 ระบบเพื่อลดแก๊ส NOX คือต้องมี CAT (Catalytic Converter) หรือเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา และต้องมี EGR (Exhaust Gas Recirculation) หรือการหมุนเวียนไอเสีย ดังนั้นถ้าอุด EGR และผ่า CAT ก็จะเกิดปัญหาต่อสภาวะแวดล้อมด้วยเช่นกัน

เรามาดูหลักการทำงานของระบบCOMMONRAIL(รางร่วม)แบบเข้าใจง่ายๆกัน

เชื้อเพลิง (น้ำมันดีเซล) ป้อนเข้าสู่ปั๊มซึ่งมีอยู่ 2 วิธีคือใช้ปั๊มไฟฟ้าจุ่มในถังเชื้อเพลิง (นิยมใช้กับรถยุโรป) กับแบบกลไกติดตั้งอยู่หน่วยเดียวกับปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง (นิยมใช้กับรถกระบะในประเทศไทย) ปั๊มจ่ายเชื้อเพลิงหรือปั๊มความดันสูงควบคุมความดันด้วยลิ้นควบคุมความดัน หรือลิ้นควบคุมการดูด (Suction Control Valve หรือ SCV) ความดันสูงนี้ถูกส่งไปเก็บสะสมยังท่อความดันสูง หรือรางร่วม (Common Rail) ซึ่งมีรูปร่างอยู่ 2 แบบคือทรงกระบอกยาว กับแบบทรงกระบอกสั้น ดังนั้นหัวฉีดทุกหัวจึงมีความดันเชื้อเพลิงที่สูงมากเท่ากันทุกกระบอกสูบ รออยู่ที่ปลายหัวฉีดพร้อมตลอดเวลาสำหรับการฉีดให้เป็นฝอยละอองที่ละเอียดที่ สุดผ่านรูเล็กๆ ของปลายหัวฉีดลงไปผสมผสานกับอากาศที่ถูกอัดตัวจนมีความดันและอุณหภูมิที่ สูงเหมาะสม ทั้งหมดควบคุมการทำงานโดยหน่วยควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ECU (ELECTRONIC CONTROL UNIT) หรือ ECM (ELECTRONIC CONTROL MODULE) ซึ่งจะรับสัญญาณต่างๆ เช่นสัญญาณตำแหน่งของลูกสูบ ความเร็วรอบ ตำแหน่งคันเร่ง อุณหภูมิน้ำ อุณหภูมิเชื้อเพลิง อุณหภูมิอากาศ ปริมาตรอากาศที่ประจุเข้า ความดันตัวอัดบรรจุอากาศเทอร์โบและความดันบรรยากาศ ความดันเชื้อเพลิง ความเร็วรถยนต์ ตำแหน่งเกียร์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น เมื่อ ECU ประมวลผลแล้วส่งสัญญาณการฉีดไปยังหน่วยส่งแรงขับหัวฉีดหรือ EDU (ELECTRONIC DRIVE UNIT) (บางแบบ ECU และ EDU อยู่ในชุดเดียวกัน) เพื่อเพิ่มแรงเคลื่อนไฟฟ้าจาก 12 โวลต์เป็น 100 โวลต์ (บางแบบ 60 – 150 โวลต์ซึ่งแล้วแต่รุ่นของรถยนต์และแบบของหัวฉีด)

ปั๊มความดันสูงหรือปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงจากถังจะถูกป้อนเข้าปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง ซึ่งปั๊มป้อนเชื้อเพลิงเป็นปั๊มความดันต่ำบางแบบอยู่หน่วยเดียวกับปั๊มจ่าย เชื้อเพลิง แต่บางแบบเป็นปั๊มไฟฟ้าจุ่มในถังเชื้อเพลิง หลักการทำงานของปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง จะอาศัยกำลังขับของเฟืองไทมิ่งเพลาข้อเหวี่ยงทำให้เฟืองขับปั๊มจ่ายเชื้อ เพลิงหมุน ลูกเบี้ยวเยื้องศูนย์อัดลูกปั๊มให้ทำงาน โดยปริมาตรการดูดเชื้อเพลิงที่เข้าปั๊มจ่ายเชื้อเพลิงนี้ถูกควบคุมด้วยลิ้น ควบคุมการดูด (Suction Control Valve หรือ SCV) แล้วจากนั้นลูกปั๊มจะถูกอัดกระแทกจากลูกเบี้ยวเยื้องศูนย์ให้อัดเชื้อเพลิง ออกทางลิ้นกันกลับด้านส่ง จ่ายเชื้อเพลิงความดันสูงไปสะสมยังรางร่วม

รางร่วม (Common Rail) หมายถึงท่อร่วมเชื้อเพลิง เป็นท่อหรือห้องสะสมความดันเพื่อจ่ายเชื้อเพลิงไปยังหัวฉีดสูบแต่ละสูบผ่าน ทางท่อฉีดเชื้อเพลิง และที่ปลายด้านหนึ่งของรางร่วมจะมีตัวจำกัดความดัน เพื่อป้องกันมิให้ความดันเชื้อเพลิงมีค่าสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้สูงสุด บางแบบมีลิ้นควบคุมการระบายความดัน หรือ Common Rail มี 2 แบบคือแบบทรงกระบอกยาว (นิยมใช้เป็นส่วนใหญ่) กับแบบทรงกระบอกสั้น

หัวฉีด (INJECTOR) หลักการทำงานของหัวฉีดคือขณะที่ยังไม่ฉีดเชื้อเพลิงในตำแหน่งนี้ลิ้นโซเลนอยด์จะปิดช่องทางของห้องควบคุมความดันสูงของเชื้อเพลิงเข้ากระทำตามลูกศร ซึ่งจะมีพื้นที่หน้าตัดมากกว่าห้องความดันที่ด้านล่างของเข็มหัวฉีด ดังนั้นตรงหน้าลิ้นของเข็มหัวฉีดจึงถูกกดให้อยู่ในตำแหน่งปิดสนิท เชื้อเพลิงความดันสูงไม่อาจรั่วออกไปจากปลายหัวฉีดได้ ในขณะที่มีสัญญาณการฉีดจาก ECU ส่งไปยังหน่วยส่งแรงขับด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EDU) แรงเคลื่อนสูง (ประมาณ 100 V ) จะไหลผ่านเข้าขดลวดโซเลนอยด์ของหัวฉีดครบวงจร ซึ่งจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กเอาชนะแรงของสปริงที่กดอยู่ด้านบนของลิ้นโซเลนอยด์ ลิ้นโซเลนอยด์จึงยกขึ้น เปิดช่องทางของห้องควบคุมทำให้ความดันในห้องควบคุมตกเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นความดันเชื้อเพลิงที่ด้านล่างของเข็มหัวฉีดจะยกเข็มหัวฉีดเปิดช่อง ทางให้เชื้อเพลิงไหลผ่านลิ้นหัวฉีดผ่านรูหัวฉีด (หลายรู) ให้เป็นฝอยละออง


เป็นยังไงกันบ้างครับกับการทำงานของระบบเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลหรือแบบรางร่วมนั่นเองครับ พอจะเห็นภาพกันบ้างหรือยัง คงพอจะนึกกันออกแล้วใช่มั้ยครับว่าทำไมถึงสามารถโมดิฟายให้มันแรงได้อย่างไม่ยากนัก ทางทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเกร็ดความรู้เหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูดองค์ความรู้ให้กับท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย คอลัมน์หน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรนั้นต้องคอยติดตามดูกันครับ….สวัสดีครับ…

ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่ากราบสวัสดีแฟนๆ REAL TIME CAR MAGAZINE ที่น่ารักทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับคอลัมน์เกร็ดความรู้กับเรื่องราวของเครื่องยนต์ ที่ผ่านมาก็ได้นำเสนอรายละเอียดของเครื่องยนต์ไปแล้วมากมายหลากหลายค่าย มีให้เห็นทั้งสูบตั้งสูบหมุน ระบบเครื่องยนต์แบบ N/A และแบบ TURBO แต่สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะพาไปรู้จักเครื่องยนต์แบบ นอนยันกันบ้าง…เอ๊ะ!!อะไรนอนยัน ก็คือเครื่องสูบนอนนั่นแหละครับหรือเรียกกันว่า BOXER นั่นเองครับ

ไอ้เจ้าเครื่องยนต์ BOXERตัวนี้เราจะเห็นมันประจำการอยู่ในรถจากค่ายดาวลูกไก่ SUBARU นั่นเองครับ ซึ่งรถค่ายนี้หลายท่านอาจจะคุ้นหูกันในการแข่งขัน RALLY ซึ่งก็เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่โด่งดังใน WOLD RALLY สมรรถนะจะดีแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึงแหละครับถ้าได้ผ่านสนามอันสุดโหดอย่าง WOLD RALLY มาแล้ว

เครื่องยนต์ BOXER มันดีอย่างไร เครื่องยนต์ลูกสูบนอนของซูบารุ (HORIZONTALLY-OPPOSED ENGINES) ทำให้การออกแบบชุดขับเคลื่อนสามารถทำได้จริง ปัจจัยสำคัญในการปรับแต่งเครื่องยนต์แบบนี้คือลูกสูบซึ่งเคลื่อนที่ตรงกัน ข้ามกันช่วยรักษาสมดุลของแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ซึ่งกันและกัน เครื่องยนต์แบบนี้จะให้พลังขับเคลื่อนอย่างนุ่มนวล, ไร้การสะดุดและต่อเนื่องตามรอบการหมุนของเครื่องยนต์ (อีกครั้งหนึ่งการสร้างให้เกิดความสมมาตรเป็นเคล็ดลับที่สำคัญ) ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้น การออกแบบเครื่องยนต์ให้สั้นลงและตื้นมากขึ้นเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์อื่นๆ ทำให้เครื่องยนต์ของซูบารุมีความแน่น, น้ำหนักเบา และแข็งแกร่ง โดยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้เราสามารถติดตั้งเครื่องยนต์ต่ำลงไปในโครงรถยนต์ เพื่อให้เกิดจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงไปอีก เรียกได้ว่าเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ตำแหน่งของเครื่องยนต์วางแบบ LOW CG ส่งผลดีไปถึงเรื่องของการทรงตัวในการขับขี่

เครื่องยนต์ BOXER มีความสมดุลมากกว่า นอกจากจะ มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำแล้ว เครื่องยนต์ BOXER ยังมีโครงสร้างที่มีความสมมาตรซ้าย-ขวา ซึ่งทำให้สามารถกระจายน้ำหนักได้ลงสู่ล้อซ้าย-ขวาได้อย่างสมดุล การที่รถสามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุลนั้น จะส่งผลดีต่อการทรงตัวในขณะเข้าโค้ง และยังเพิ่มความเสถียรในขณะวิ่งทางตรงอีกด้วย


เครื่องยนต์ BOXER มีแรงสั่นสะเทือนที่น้อยกว่า เนื่องจากการเคลื่อนที่ของลูกสูบของเครื่องยนต์ Boxer จะเป็นการเคลื่อนที่ในแนวนอน โดยที่ลูกสูบจะเคลื่อนที่ออกไปด้านข้างทั้งซ้ายและขวาพร้อมๆกัน การเคลื่อนที่แบบสวนทางกันของลูกสูบทั้งสองนี้จะช่วยหักล้างแรงสั่นสะเทือน ที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์ ส่งผลให้เครื่องยนต์มีการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนที่น้อยลง ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น


เครื่องยนต์ BOXER มีน้ำหนักน้อยกว่า ถ้าเปรียบ เทียบกับเครื่องยนต์สูบเรียงแล้ว เครื่องยนต์ BOXERจะมีขนาดกระทัดรัดและเล็กกว่ามาก ส่งผลให้มีน้ำหนักน้อยกว่า สำหรับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์อยู่ที่ตำแหน่งด้านหน้ารถแล้ว การที่เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบาจะส่งผลให้รถสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ทำให้ผู้ขับไม่ต้องออกแรงมากในการหักเลี้ยว ซึ่งจะช่วยให้สามารถหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างทันที ซึ่งก็กว่าจะ Design คิดค้นกันมาได้ มันก็ต้องไม่ธรรมดากว่าค่ายอื่นๆอย่างแน่นอน อีกหนึ่งอย่างเครื่องยนต์แบบสูบนอ อย่าง BOXER มีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นขณะสตาร์ทดีกว่าเครื่องยนต์ปกติเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า การสึกหรอของเครื่องยนต์จะเกิดขึ้นมากที่สุดในตอนที่เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ด้วยเหตุที่ว่าน้ำมันเครื่องไม่สามารถไปหล่อลื่นพื้นผิวของกระบอกสูบได้ อย่างทันท่วงที ทำให้ลูกสูบเสียดสีกับผนังกระบอกสูบโดยตรง จึงเกิดการสึกหรอภายในกระบอกสูบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเครื่องยนต์ BOXER แล้วการที่ลูกสูบนอนระนาบไปกับแนวพื้นโลก ทำให้ยังคงมีน้ำมันเครื่องบางส่วนเคลือบอยู่ที่บริเวณผนังกระบอกสูบ เพราะฉะนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว เครื่องยนต์ BOXER จึงมีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นในขณะสตาร์ทดีกว่า เครื่องยนต์โดยทั่วไป ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์มีอายุการใช้งานที่นานกว่า เครื่องยนต์ปกติ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเครื่องยนต์แบบนอนยัน BOXER แหมๆๆๆ…มันดีอย่างนี้นี่เองถึงได้ติดอันดับ WOLD RALLY ทุกปี รู้แบบนี้กันแล้วเพื่อนๆหลายท่านที่กำลังจะซื้อรถใหม่ก็ยังเปลี่ยนใจทันน้ะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -

ยังคงมีเกร็ดความรู้มาฝากเพื่อนๆกันอีกเช่นเคยครับ สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดคุยกันในเรื่องของแบตเตอรี่รถยนต์ หลายคนอาจจะรู้จักหรืออาจจะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จัก และบางคนไม่รู้ว่ามันมีหน้าที่อะไรและเราควรดูแลรักษามันอย่างไร เพื่อที่จะให้เจ้าแบตเตอรี่มันอยู่กับเราไปนานๆ และแบตเตอรี่มีให้เลือกใช้งานกี่ประเภท แบบไหนเหมาะกับรถคุณ เราจะมาอธิบายให้ได้รู้กันแบบเข้าใจง่ายๆแบบภาษาเช้าบ้านกันเลยครับ

- แบตเตอรี่มีกี่ประเภท ตอบกันแบบสั้นๆง่ายๆครับว่ามี 2ประเภท
1 แบตเตอรี่เปียก แบตเตอรี่ชนิดนี้ถือว่าเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายซึ่งก็จะแบ่งออกได้เป็นสองประเภทก็คือ แบบที่ต้องดูแลเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบบที่ไม่ต้องดูแลเติมน้ำกลั่นบ่อย อายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1ปีครึ่ง-2ปี ซึ่งก็ขึ้นอยู่ที่การใช้งานและการดูแลรักษาของแต่ลคนอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อถึงระยะเวลาที่ควรจะเปลี่ยนก็ไม่ควรที่จะยื้อเวลาให้นานเกินไป อาจส่งผลเสียให้กับรถของท่านได้

2 แบตเตอรี่แห้ง แบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถใช้งานกันแบบสบายใจกันไปเลยครับ เปลี่ยนเสร็จก็ใช้กันยาวๆ ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องน้ำกลั่น อายุการใช้งานยาวนาน 5-10ปีกันเลยทีเดียว แต่ราคาค่าตัวก็สูงขึ้นไปตามมาตรฐานนั่นแหละครับ อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนครับ

- ดูแลรักษาอย่างไรให้แบตเตอรี่อยู่กับเราจนครบอายุไข หัวข้อนี้เราจะพูดถึงแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นครับ ด้านบนของแบตเตอรี่จะมีช่องสำหรับเติมน้ำ ให้หมั่นคอยเปิดฝาดูทุกช่องว่าน้ำในแบเตอรี่ยุบลงไปต่ำกว่าขีดหรือไม่ถ้าต่ำกว่าขีดให้เติมน้ำกลั่นได้ทันที ในการเติมน้ำกลั่นทุกครั้งห้ามเติมให้ล้นออกมา ควรเติมให้อยู่ในตำแหน่งที่ระบุไว้
- จะรู้ได้อย่างไรว่าแบตเตอรี่จะหมดอายุ เบื้องต้นดูจากระยะการใช้งานก่อนว่าใกล้ถึงระยะกำหนดที่จะเปลี่ยนหรือยัง วิธีสังเกตอีกหนึ่งอย่างก็คือใช้การฟังเสียงเมื่อเราสตาร์ทรถ ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าเวลาที่เราสตาร์ทรถแล้วเสียงมันดูช้าๆเหนือยๆ ไม่เร็วเหมือนตอนเปลี่ยนไหม่ๆ นั่นคืออาการของแบตเตอรี่เริ่มมีกำลังไฟที่อ่อนลงแล้ว ควรที่จะเปลี่ยนได้ทันที

เมื่อรู้กันแล้วก็อย่าลืมหมั่นเปิดฝากระโปรงรถตรวจเช็คแบตเตอรี่กันด้วยน้ะครับ จะได้ยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีก ช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันหลายวัน ใช้รถใช้ถนนกันด้วยความระมัดระวังน้ะครับ ด้วยความห่วงใยจาก REAL TIME CAR MAGAZINE
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ว่ากันด้วยเรื่องของน้ำมันเครื่อง สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาบอกให้หลายๆท่านได้กระจ่างรู้แจ้งเห็นจริงกันในเรื่องของการเลือกซื้อน้ำมันเครื่อง และความหมายของตัวเลขที่อยู่บนแกลอนน้ำมันเครื่องที่เราซื้อใช้กันอยู่นั้นมันคืออะไร มันบอกอะไรเราจะอธิบายกันแบบให้เข้าใจง่ายๆไม่ซับซ้อนครับ เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่านทุกท่าน

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับตัวน้ำมันเครื่องกันก่อนครับว่ามันมีหน้าที่อะไร ทำไมถึงต้องใส่เข้าไปในเครื่องยนต์ นึกภาพตามง่ายๆน้ะครับ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ผลิตจากวัสดุที่เป็นเหล็กและเมื่อเครื่องยนต์มีการทำงานสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเสียดสีกันครับ และเมื่อมีการเสียดสีกันเป็นเวลานานมากยิ่งขึ้นแน่นอนที่สุดครับ เกิดการสึกหรอขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อลดการสึกหรอของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ จึงต้องมี สารชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่าน้ำมันเครื่องเข้ามาช่วยในเรื่องของการหล่อลื่นและลดการเสียดสี ซึ่งสารตัวนี้จึงต้องมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถทนต่อความร้อนที่เกิดขึ้นได้ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน และยังต้องสามารถรักษาสถานะให้คงอยู่ได้ดีในอุณภูมิปกติหรือต่ำกว่าได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย
การวัดความต้านทานการเป็นไข โดยวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ต่ำลงมาจนถึงจุดเยือกแข็งตั่งแต่ 0 องศา จนถึงต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยมีตัวอักษรระบุไว้เป็นตัวอักษร W หรือ WINTER เช่น

0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
ส่วนเรื่องของค่าความหนืด การวัดค่าความหนืดจะวัดกันที่ 100 องศาเซลเซียส ได้เป็นออกมาเป็นค่าความหนืด แทนค่าออกมาเป็นตัวเลขเรียกว่า เบอร์ของน้ำมันเครื่อง เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก ทุกๆสถาบันจึงได้แทนค่าความหนืด ออกมาเป็นตัวเลขในรูปของเบอร์ของน้ำมันเครื่อง เช่น 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 ค่าตัวเลขยิ่งมากยิ่งมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยยิ่งมีความหนืดน้อยตามลำดับ
ทีนี้เรามาดูกันครับว่าน้ำมันเครื่องที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาดนั้นมีกี่แบบและแบบไหนที่จะเหมาะกับรถของเราครับ

1. น้ำมันเครื่องธรรมดา(มีความหนืด) (Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม สามารถใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.

2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์(หนืดเล็กน้อย) (Semi Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับน้ำมันเครื่องชนิด สังเคราะห์ สามารถใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.

3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์(ใส) (Fully Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์จากน้ำมัน ปิโตรเลียม สามารถใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.
สรุปกันแบบเข้าใจง่ายๆน้ะครับ รถยนต์รุ่นใหม่ๆหรือรถที่ยังใหม่อยู่ใช้น้ำมันเครื่องแบบ FULLY Synthetic และ Semi Syntetic ได้ เนื่องจากเครื่องยนต์ยังคงความสดอยู่ไม่มีการสึกหรอ ส่วนรถกลางเก่ากลางใหม่ก็สามารถใช้ Semi Synthetic ได้ ส่วนรถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์รุ่นเก่าควรใช้แบบ Synthetic เนื่องจากเครื่องยนต์มีการใช้งานมานานหลายปีมีความสึกหรอเกิดขึ้นบ้างตามกาลเวลา จึงต้องอาศัยความหนืดของน้ำมันเครื่องเข้ามาช่วงปกป้องเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์

ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
































































