• เดือนเมษายน 2568 ผลิตรถยนต์ 104,250 คัน ลดลงร้อยละ 0.40 ผลิตต่ำสุดในรอบ 44 เดือน ขาย 47,193 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.97 ส่งออก 65,730 คัน ลดลงร้อยละ 6.31 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 4,764 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 639.75 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 10,981 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 181.56 ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า 660 คันเป็นเดือนแรก

    1 Min Read

    เดือนเมษายน 2568 ผลิตรถยนต์ 104,250 คัน ลดลงร้อยละ 0.40 ผลิตต่ำสุดในรอบ 44 เดือน ขาย 47,193 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.97 ส่งออก 65,730 คัน ลดลงร้อยละ 6.31 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 4,764 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 639.75 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 10,981 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 181.56 ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า 660 คันเป็นเดือนแรก

    นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนเมษายน 2568 ดังต่อไปนี้

    การผลิต

    จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนเมษายน 2568 มีทั้งสิ้น 104,250 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2568 ร้อยละ 19.75 และลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 0.40 ผลิตลดลงไม่มาก เพราะมีการผลิตรถยนต์นั่งและรถ SUV ไฟฟ้าทั้ง BEV PHEV และ HEV ในประเทศมากขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 639.75 319.11 35.31 ตามลำดับ แต่ผลิตรถยนต์นั่งสันดาปภายในลดลงร้อยละ 33.60 เพราะผลิตรถยนต์นั่งส่งออกลดลงถึงร้อยละ 36.93 เนื่องจากมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์บางรุ่น รถกระบะยังคงผลิตลดลงร้อยละ 3.06 เพราะผลิตขายในประเทศลดลงร้อยละ 33.16 ตามยอดขายรถกระบะในประเทศที่ยังคงลดลงร้อยละ 22.25

    จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 456,749 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 11.96

    รถยนต์นั่ง เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 40,025 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 4.80 โดยแบ่งเป็น

    • รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 15,649 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 33.60
    • รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 4,764 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 639.75
    • รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 1,031 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 319.11
    • รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 18,581 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 35.31

    ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มีจำนวน 159,890 คัน เท่ากับร้อยละ 35.01 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 17.26 โดยแบ่งเป็น

    • รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 68,916 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม เมษายน 2567 ร้อยละ 41.34
    • รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 14,083 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 327.92
    • รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 7,783 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 333.84
    • รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 69,108 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 2.20

    รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนเมษายน 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ไม่มีการผลิต

    รถยนต์บรรทุก เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 64,225 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 3.39 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 296,859 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 8.81

    รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 63,740 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 3.06 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 293,778 คัน เท่ากับร้อยละ 64.32 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 7.03 โดยแบ่งเป็น

    • รถกระบะบรรทุก 50,126 คัน   ลดลงจากเดือนมกราคม เมษายน 2567 ร้อยละ 10.44
    • รถกระบะดับเบิลแค็บ 185,141 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 10.19
    • รถกระบะ PPV 58,511 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม เมษายน 2567 ร้อยละ 8.58

    รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน มากกว่า 10 ตัน เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 485 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 33.10 รวมเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ 3,081 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 67.70

    ผลิตเพื่อส่งออก 

    เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 67,085 คัน เท่ากับร้อยละ 64.35 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 6.73 ส่วนเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 303,881 คัน เท่ากับร้อยละ 66.53 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 12.07

    รถยนต์นั่ง เดือนเมษายน 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 13,114 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 36.93 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 54,601 คัน เท่ากับร้อยละ 34.15 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 46.78

    รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนเมษายน 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 53,971 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 5.54 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 249,280 คัน เท่ากับร้อยละ 84.85 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 2.58 โดยแบ่งเป็น

    • รถกระบะบรรทุก 31,093 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมเมษายน 2567 ร้อยละ 47.23
    • รถกระบะดับเบิลแค็บ 169,846 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมเมษายน 2567 ร้อยละ 4.39
    •  รถกระบะ PPV 48,341 คัน   เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมเมษายน 2567 ร้อยละ 9.26

    ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 

    เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 37,165 คัน เท่ากับร้อยละ 35.65 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 13.52 และเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ 152,868 คัน เท่ากับร้อยละ 33.47 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 11.72

    รถยนต์นั่ง เดือนเมษายน 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 26,911 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 54.68 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2567 ผลิตได้ 105,289 คัน เท่ากับร้อยละ 65.85 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม – เมษายน 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.16

    รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนเมษายน 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 9,769 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 33.16 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 44,498 คัน เท่ากับร้อยละ 15.15 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 39.04 ซึ่งแบ่งเป็น

    • รถกระบะบรรทุก 19,033 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมเมษายน 2567 ร้อยละ 45.39
    • รถกระบะดับเบิลแค็บ 15,295 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมเมษายน 2567 ร้อยละ 46.32
    • รถกระบะ PPV 10,170 คัน  เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมเมษายน 2567 ร้อยละ 5.47

                รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนเมษายน 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ไม่มีการผลิต

                รถบรรทุก เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 485 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 33.10 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 3,081 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 67.70

    รถจักรยานยนต์ 

    เดือนเมษายน 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 189,547 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 17.07 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 157,091 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 15.18 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 32,456 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 27.15

    ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 854,032 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 3.94 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 688,549 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 2.80 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 165,483 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 8.93

    ยอดขาย

    ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนเมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,193 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2568 ร้อยละ 15.42 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 0.97 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในขณะที่รถกระบะและรถ PPV ยังคงขายลดลงร้อยละ 21.7 และ 20.5 ตามลำดับจการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอเพราะดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงจากอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงลดลงร้อยละ 3.83 การลงทุนภาคเอกชนไตรมาสหนึ่งปีนี้ลดลง และจากค่าครองชีพที่ยังสูง ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง

    รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 31,115 คัน เท่ากับร้อยละ 65.93 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 14.91

    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 11,227 คัน เท่ากับร้อยละ 23.79 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 11.99
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 10,901 คัน เท่ากับร้อยละ 23.10 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 179.51
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 1,083 คัน เท่ากับร้อยละ 2.29 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 720.45
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 7,904 คัน เท่ากับร้อยละ 16.75 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 23.18

    รถกระบะมีจำนวน 10,937 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 22.25 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 80 ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 2,879 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ  20.51 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 1,086 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 16.77 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,096 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 5.28

    ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 131,950 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 12.81 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 3.86

    ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 รถยนต์มียอดขาย 200,386 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 4.80 แยกเป็น

    รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 127,188 คันเท่ากับร้อยละ 63.47 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 0.38

    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 48,784 คัน เท่ากับร้อยละ 24.35 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 13.89
    • รถยนต์นั่งแหละรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 33,633 คัน เท่ากับร้อยละ 16.78 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 46.03
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 3,543 คัน เท่ากับร้อยละ 1.77 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 409.78
    • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 41,228 คัน เท่ากับร้อยละ 20.57 ของยอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 11.01

    รถกระบะมีจำนวน 51,319 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15.42 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 173 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 12,266 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 8.71 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 4,675 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15.42 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 4,765 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนช่วงกันในปีที่แล้ว 14.93

    ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 587,194 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 2.18 

     

    รถยนต์สำเร็จรูป 

    เดือนเมษายน 2568 ส่งออกได้ 65,730 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 18.77 และลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 6.31 เพราะมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์นั่งบางรุ่นและการเข้มงวดในเรื่องเทคโนโลยีช่วยเหลือเรื่องความปลอดภัยและการปล่อยคาร์บอนในบางประเทศคู่ค้า รถยนต์ HEV จึงส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 87.96 แต่จำนวนไม่มาก จึงส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาเหนือ คงต้องติดตามผลการเจรจาของประเทศไทยและประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาต่อไป

    ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนเมษายน 2568 แบ่งเป็น ดังนี้

    • รถกระบะ 44,100 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 67.09 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.92
    • รถยนต์นั่ง ICE 8,123 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 12.36 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567ร้อยละ 49.64
    • รถยนต์นั่ง BEV 660 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 1.43 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
    • รถยนต์นั่ง HEV 4,701 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 7.15 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 87.96
    • รถ PPV 8,146 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 12.39 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 17.68

    มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 46,031.33 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 4.39

    • เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,286.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 17.12
    • ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 8,537.62 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 47.67
    • อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,038.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 1.57

    รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนเมษายน 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 59,893.19 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 13.54

    เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 290,288 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 14.79 แบ่งเป็น

    • รถกระบะ ICE 187,875 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 64.72 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 4.53
    • รถยนต์นั่ง ICE 40,961 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.11 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 47.24
    • รถยนต์นั่ง BEV 660 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.33 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
    • รถยนต์นั่ง HEV 17,040 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.87 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 12.25
    • รถ PPV 43,752 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 15.07 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 6.61

    มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 202,219.06 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 14.78 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

    • เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 12,081.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 24.95
    • ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 50,102.01 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 19.95
    • อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 8,785.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 5.50

    รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – เมษายน 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 273,187.64 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 14.06

     

    รถจักรยานยนต์

    เดือนเมษายน 2568 มีจำนวนส่งออก 61,223 คัน (รวม CBU + CKD) ลดลงจากเดือนมีนาคม 2568 ร้อยละ 33.42 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 16.02 โดยมีมูลค่า 4,335.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 1.50 

    • ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 188.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 1.70
    • อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 158.46 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 8.07

    รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนเมษายน 2568 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ 4,682.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 1.15

    เดือนมกราคม – เมษายน 2568 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 303,319 คัน (รวม CBU + CKD) ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 1.04 มีมูลค่า 21,861.03 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 8.82

    • ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 694.73 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 17.35
    • อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 844.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 26.01

    รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 23,400.23 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 8.19

    เดือนเมษายน 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 64,575.43 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 12.62

    เดือนมกราคม – เมษายน 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 296,587.87 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 13.62

    ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนเมษายน 2568 

    เดือนเมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 8,029 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 32.91 โดยแบ่งเป็น

    • รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 6,264 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 53.12
      • รถยนต์นั่งจำนวน 6,093 คัน
      • รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน   168 คัน
      • รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน     1 คัน
      • รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน     2 คัน
    • รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 26 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 550
    • รถยนต์สามล้อรับจ้างมีทั้งสิ้น 3 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 86.36 
    • รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน     3 คัน
    • รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 1,704 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 8.04
      • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 1,704 คัน
    • รถโดยสารมีทั้งสิ้น 3 คัน ลดลงจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 95.08
    • รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 29 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 190

    เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน      40,020 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายนปีที่แล้วร้อยละ 11.93 โดยแบ่งเป็น

    • รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 31,661 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 20.49
    • รถยนต์นั่งจำนวน 31,089 คัน
    • รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 431 คัน
    • รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 10 คัน
    • รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 131 คัน
    • รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 108 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 28.95
    • รถยนต์สามล้อมีทั้งสิ้น 8 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 72.41
    • รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล 6 คัน
    • รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน 2 คัน
    • รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 8,105 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 10.53
      • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน   8,104 คัน
      • รถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน         1 คัน
    • รถโดยสารมีทั้งสิ้น 50 คัน ลดลงเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 53.27
    • รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 88 คัน ลดลงเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 32.82

    ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนเมษายน 2568 

    เดือนเมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 10,476 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 0.60 โดยแบ่งเป็น

    • รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 10,376 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 0.05
      • รถยนต์นั่งจำนวน 10,347 คัน
      • รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 5 คัน
      • รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 14 คัน
      • รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 9 คัน
      • รถยนต์บริการให้เช่าจำนวน 1 คัน
    • รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 100 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 132.56
      • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน   100 คัน

    เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 48,641 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายนปีที่แล้วร้อยละ 0.23 โดยแบ่งเป็น

    • รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 48,308 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 0.18
      • รถยนต์นั่งจำนวน 48,168 คัน
      • รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 14 คัน
      • รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 76 คัน
      • รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 49 คัน
      • รถยนต์บริการให้เช่าจำนวน 1 คัน
    • รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 333 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 154.20
      • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน     333 คัน

    ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนเมษายน 2568 

    เดือนเมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 3,288 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 414.55 โดยแบ่งเป็น

    • รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 3,288 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 414.55
      • รถยนต์นั่งจำนวน   3,288 คัน

    เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน  7,420 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายนปีที่แล้วร้อยละ 121.56 โดยแบ่งเป็น

    • รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 7,420 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 121.56
      • รถยนต์นั่งจำนวน 7,397 คัน
      • รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 20 คัน
      • รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 3 คัน

    ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 30 เมษายน 2568

    ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 266,863 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 59.48 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้

    • รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 190,791 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 64.62
    • รถยนต์นั่งมีจำนวน 186,771 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 63.47
    • รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนมีจำนวน 2,935 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 133.86
    • รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 214 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 245.16
    • รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 174 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 87.10
    • รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 3 คัน ซึ่งในช่วงเดียวกันไม่มีการจดทะเบียน
    • รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 694 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 189.17
    • รถกระบะและรถแวนมีจำนวน 978 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 125.35
    • รถยนต์ 3 ล้อมีจำนวนทั้งสิ้น 1,029 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 11.73
    • รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลมีจำนวน 120 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 36.36
    • รถยนต์รับจ้างสามล้อมีจำนวน 909 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 9.12
    • รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 70,246 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 49.09
    • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 70,136 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 49.27
    • รถจักรยานยนต์สาธารณะมีจำนวน 110 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 15.38
    • อื่นๆ 
    • รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2,836 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 12.23
    • รถบรรทุกมีจำนวนทั้งสิ้น 983 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 125.98

    ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 30 เมษายน 2568

    ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 517,573 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 32.13 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้

    • รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 508,001 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 32.79
    • รถยนต์นั่งมีจำนวน 506,708 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 32.76
    • รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 506 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.33
    • รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 149 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 129.23
    • รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 265 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 44.81
    • รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20
    • รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 367 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 135.26
    • รถกระบะและรถแวนมีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 
    • รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 9,569 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.60
    • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 9,569 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.60
    • อื่นๆ 
    • รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567

    ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 30 เมษายน 2568

    ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 70,534 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 23.16 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้

    • รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 70,534 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 23.16
    • รถยนต์นั่งมีจำนวน 70,439 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 23.15
    • รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คนมีจำนวน 1 คัน ในปี 2567 ยังไม่มีการจดทะเบียน
    • รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 62 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 51.22
    • รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 21 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 8.70
    • รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 66.67
    • รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20

    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ดวลเดือดที่ไทย! นักแข่งระดับท็อปของโลก พร้อมลุยศึก ”ซูเปอร์คาร์พันล้าน ซีรีส์ดังแห่งเอเชีย” 30 พ.ค.-1 มิ.ย.นี้

    1 Min Read

    ดวลเดือดที่ไทย! นักแข่งระดับท็อปของโลก พร้อมลุยศึก ”ซูเปอร์คาร์พันล้าน ซีรีส์ดังแห่งเอเชีย” 30 พ.ค.-1 มิ.ย.นี้

    ศึกซูเปอร์คาร์พันล้าน” จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025 หนึ่งในซีรีส์การแข่งขันรายการยักษ์ของโลกที่จัดขึ้นใน 4 ทวีป ได้แก่ ทวีปอเมริกา,เอเชีย,ออสเตรเลีย และยุโรป เตรียมประชันโฉม-ประลองความเร็วสนาม 3 วันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย. ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายใต้การลุ้นแชมป์สุดเข้มข้น นำโดยนักแข่งระดับพระกาฬจากทั่วโลกลงแข่งอย่างคับคั่ง รถจีที3 มากถึง 33 คัน สะกดทุกสายตาด้วยสุดยอดเทคโนโลยีรถหรูที่ล้ำสมัย พร้อมทั้งเสิร์ฟประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตครบรส ดึง”ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025″ เปิดฤดูกาลสนามแรก ในสุดสัปดาห์เดียวกัน

    การแข่งขันซูเปอร์คาร์ระดับโลก รายการ จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025 เดินทางมาถึงสนามที่ 3 ของฤดูกาล ภายใต้สถานการณ์ลุ้นแชมป์ที่เข้มข้นหลังผ่านไปทั้งสิ้น 4 เรซ จาก 2 สนามแรกที่ เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย และ เปอร์ตามิน่า มันดาลิก้า อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศอินโดนีเซีย

    สำหรับ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ยังคงถูกวางเป็นหนึ่งในสังเวียนสำคัญในช่วงแห่งการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์ประจำปี โดยถูกบรรจุเป็นสนามที่ 3 ของฤดูกาล ระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย. จากนั้นอีก 2 สนามดวลกันในประเทศญี่ปุ่น โดยสนาม 4 วันที่ 11-13 ก.ค. ที่ฟูจิ อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์, สนาม 5 วันที่ 29-31 ส.ค. ที่โอคายาม่า และปิดฉากสนาม 6 วันที่ 17-19 ต.ค.ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน

    ทั้งนี้ ฝ่ายจัดการแข่งขันได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า จะมีรถแข่งจีที3 เดินทางมาแข่งขันในเมืองไทยมากถึง 33 คัน จาก 8 ผู้ผลิตชั้นนำ แฟนความเร็วจะได้พบกับรถซูเปอร์คาร์สุดล้ำ อาทิ Mercedes-AMG, Ferrari 296, Porsche 911, Porsche 992, Lamborghini Huracan, Audi R8 LMS, BMW M4, Chevrolet Corvette Z06, Nissan GT-R NISMO ฯลฯ และยังเป็นการรวมตัวของ ทีมแข่งชั้นนำ นักแข่งฝีมือดีจากทั่วโลกหลากหลายทวีปมากกว่า 60 คน

    ในฤดูกาลนี้บรรดานักแข่งแถวหน้าของโลกยังคงลงแข่งขันอย่างคับคั่ง นำโดยอดีตนักแข่งฟอร์มูล่าวันชาวเยอรมันอย่าง มาร์คุส วิลเคนฮอล์ค, อเลสซิโอ ปิคาริเอลโล ยอดนักแข่งเบลเยี่ยม, เอดูอาร์โด มอร์ทาร่า นักแข่งสวิส, เจย์เด้น โอเจด้า นักแข่งออสเตรเลียน,  แฮร์รี่ คิง และ อเล็กซานเดอร์ ซิมส์ สองนักแข่งจากสหราชอาณาจักร, ลอเรนโซ ปาเตรเซ่ นักแข่งอิตาเลียน และ นิโก เมนเซล จากเยอรมัน เป็นต้น

     

    โดยหลังผ่าน 2 สนามแรก คู่หูนักแข่งจีนอย่าง หยวน ปอ และ ลีโอ เย่ ฮงลี่ จาก ออริจิน มอเตอร์สปอร์ต สร้างผลงานร้อนแรงพาทีมนำเป็นจ่าฝูง โดยมีทั้งสิ้น 68 คะแนน ขณะที่อันดับ 2 เป็นของ แอนโทนี หลิว ซู่ นักแข่งจีนและทีมเมทชาวเฟรนช์อย่าง โดเรียน บอคโคลาชชี จาก แฟนธอม โกลบอล เรซซิ่ง ตามหลังเพียง 9 คะแนนเท่านั้น ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ หร่วน ชุ่น ฟั่น นักแข่งจีนและทีมเมทชาวดัตช์อย่าง มักซีม ออสเตน จากทีม เคอาร์ซี ตามหลัง 19 คะแนน

    ด้าน อเลสซิโอ ปิคาริเอลโล นักแข่งมือโปรชาวเบลเยี่ยมและทีมเมทชาวจีนอย่าง หลู เหว่ย จาก ออริจิน มอเตอร์สปอร์ต เพิ่งเค้นฟอร์มเก่งชนะในเรซที่ผ่านมา ได้อันดับ 1 เก็บคะแนนรวมไปได้ 25 และ 26 คะแนน

     

    นายโชติชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมต่างประเทศ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าวว่า ” จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย ถือเป็นหนึ่งในเรซระดับนานาชาติที่มีผู้ติดตามชมมากที่สุดรายการหนึ่ง ด้วยพลังของที่สุดแห่งยนตรกรรมระดับโลก ความสวยงามหรูหรา เร็วและแรง ดวลความเร็วโดยทีมระดับพระกาฬของโลก สามารถสะกดทุกสายตาและเป็นหนึ่งในรถในฝันของผู้คน ทำให้เกิดการติดตามชมจากทั่วโลกทั้งการเข้าชมในสนาม ผ่านการถ่ายทอดสดและช่องทางออนไลน์”

    “การที่ประเทศไทยเราได้เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขัน 1 ในสนามสำคัญของโลก และได้แบ่งบันประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตแบบสุดพิเศษให้คนไทยได้ดูในสนามประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับกีฬาความเร็วของไทยให้ครบทุกมิติ ทั้งยังแสดงศักยภาพของประเทศ สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน กระตุ้นเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวผ่านกีฬาระดับพรีเมียม สนับสนุนการเติบโตให้กับอุตสาหกรรม มอเตอร์สปอร์ตและยานยนต์ นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันรายการ ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 สนามแรกของฤดูกาลมาร่วมเสริมทัพความมันส์เป็นซัพพอร์ตเรซด้วย ขอเชิญชวนแฟนความเร็วมาชม-เชียร์กันที่สนามเยอะๆ ครับ”

     

    ทั้งนี้ ศึก จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025 สนาม 3 จะเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม ก่อนจะจับเวลารอบควอลิฟายในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม และแข่งขันเรซแรกในบ่ายของวันเดียวกัน จากนั้นจะดวลความเร็วเรซที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568

     

    ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขา หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซด์ allticket บัตร VIP 1 วัน ราคา 2,000 บาท  2 วัน ราคา 3,000 บาท และบัตร GRANDSTAND 1 วัน ราคา 200 บาท  2 วัน ราคา 300 บาท

     

    พิเศษ! ซื้อบัตรชมการแข่งขัน  จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025 มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่ บัตร VIP โค้ง 12 และบัตร Paddock Pass + Official Guide Tour  (Paddock Raffle) และบัตร PIT Lane Walk ชมการแข่งขันโมโตจีพี 2026 ในกิจกรรม “Chang Int’s Friend Pass” ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจ Chang Circuit Buriram


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • Repsol Honda HRC ดับเบิ้ลวิน โฮมเรซ เหมาโพเดียม TrialGP 2025 สนาม 3 ที่ โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น

    1 Min Read

    Repsol Honda HRC ดับเบิ้ลวิน โฮมเรซ เหมาโพเดียม TrialGP 2025 สนาม 3 ที่ โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น

    Repsol Honda HRC ระเบิดผลงานสุดแกร่ง “โทนี่ โบ” แชมป์โลก 37 สมัย ครองดับเบิ้ลชัยชนะ พร้อมควง “กาเบียล มาเซลลี่” กวาดโพเดียม ในการแข่งขันโฮมเรซ TrialGP 2025 สนามที่ 3 ณ สนามโมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

    การแข่งขันเรซที่ 1 ท่ามกลางสภาพอากาศชื้น พื้นสนามบางช่วงเป็นโคลนที่ลื่นอย่างมาก เป็นโจทย์ยากสำหรับนักแข่งทุกคน แต่กลายเป็นโอกาสที่ทำให้ 2 นักบิดไต่เขาของ Repsol Honda HRC ได้โชว์ศักยภาพที่เหนือกว่า โดย “โทนี่ โบ” หมายเลข 1 แชมป์โลก 37 สมัย ชาวสเปน สามารถคว้าชัยชนะมาครองได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านทีมเมท “กาเบียล มาเซลลี่” หมายเลข 38 ขึ้นโพเดียมในอันดับที่ 3

    การแข่งขันเรซที่ 2 ยังคงเป็นการทำผลงานอย่างสุดยอดของ Repsol Honda HRC ด้วยการเหมาโพเดียมอันดับที่ 1 และ 2 จาก “โทนี่ โบ” ที่แม้จะเกิดความผิดพลาดในช่วงแรก แต่พยายามเร่งเบียดคู่แข่งขึ้นมาและสามารถคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง พร้อมการบวกแต้มเพิ่มในการแข่งขันเซสชั่นพิเศษที่โซน 10 ขณะที่ “กาเบียล มาเซลลี่” ยกระดับผลงานต่อเนื่องคว้าอันดับที่ 2 บนโพเดียมได้สำเร็จ

    จบการแข่งขัน “โทนี่ โบ” ยังคงนำโด่งรั้งอันดับที่ 1 ในตารางคะแนนสะสม มีทั้งสิ้น 241 คะแนน ด้าน “กาเบี่ยล มาเซลลี่” รั้งอันดับที่ 3 มีทั้งสิ้น 176 คะแนน

    ทั้งนี้ การแข่งขัน TrialGP 2025 สนามที่ 4 จะจัดขึ้นที่ คาลวี (เกาะคอร์ซิกา) ประเทศฝรั่งเศส (Calvi (Corsica), France) ในระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน นี้

    #ThaiHonda #HRC #RaceToTheDream #HondaRacingThailand #MotorSport #HondaBigBike #ExcitesTheWorld #HondaRacingCorporation #FIMTrailGP


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • กรมการขนส่งทางบก ผนึกกำลัง ยางคอนติเนนทอล และ ZEEKR แนะเทคนิคเตรียมพร้อมรถ EV ยกระดับความปลอดภัยขั้นสุดทุกการเดินทาง

    1 Min Read

    กรมการขนส่งทางบก ผนึกกำลัง ยางคอนติเนนทอล และ ZEEKR แนะเทคนิคเตรียมพร้อมรถ EV ยกระดับความปลอดภัยขั้นสุดทุกการเดินทาง

    กรมการขนส่งทางบก จับมือกับ ยางคอนติเนนทอล ผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี และ ZEEKR แบรนด์รถไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี ในการร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อขับเคลื่อนทุกการเดินทางให้มั่นใจมากขึ้น ผ่านการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจเช็คสภาพความพร้อมของตัวรถ ระบบไฟฟ้า และยางรถยนต์ ก่อนการเดินทางไกล พร้อมนำเสนอเทคนิคการขับขี่เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน

    กรมการขนส่งทางบก  เล็งเห็นถึงความสำคัญเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย โดยมุ่งลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ควบคู่กับการเสริมพลังความรอบรู้ทุกเรื่องการขับขี่ บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม ภายใต้ชื่อ “ขับขี่ปลอดภัย by DLT” ชูนโยบายในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเชิงรุกเพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยแนะหลักการดื่มไม่ขับ ขับไม่เร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย เคารพกฎจราจร พักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจสอบสภาพรถก่อนออกเดินทาง และไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ พร้อมแนะนำเทคนิค คาดการณ์อุบัติเหตุ (Hazard Perception)” ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์สถานการณ์เสี่ยงบนท้องถนนได้ล่วงหน้า ได้แก่ 1. การรักษาระยะห่าง 3 วินาทีที่ปลอดภัย โดยขับขี่ให้มีระยะห่างกับรถคันอื่นๆ เพื่อให้มีเวลาในการมองเห็น สังเกต ตัดสินใจ และตอบสนองต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นในขณะขับขี่ 2. การรับรู้และสังเกตสถานการณ์รอบตัวว่า เรามองเห็นอะไร-มองไม่เห็นอะไร ในขณะขับรถ 3. การคาดการณ์ความเสี่ยงและการวิเคราะห์ต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น 4. การตัดสินใจว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์จะปฏิบัติอย่างไร 5. การตอบสนองและปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ขับปลอดภัยตลอดการเดินทาง

    ทางด้าน ยางคอนติเนนทอล ได้ให้ความรู้เรื่องการดูแลยางอย่างถูกวิธี โดยเน้นย้ำว่าควรเลือกยางที่มีความเหมาะสม ทนทาน รองรับน้ำหนักได้ดี และกระจายแรงกดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนแรงบิดของรถไฟฟ้าที่จะมีการส่งแรงบิดทันทีที่เหยียบคันเร่ง ดังนั้น แรงดันที่ยางต้องรับในช่วงเริ่มต้นการขับขี่นั้นสูงมาก ยางที่เหมาะสมจึงต้องสามารถรับแรงบิดได้ดี ไม่ทำให้เกิดการสึกหรอเร็วเกินไป ช่วยให้การขับขี่มั่นคง รวมถึงมีเทคโนโลยีลดเสียงรบกวนเพื่อห้องโดยสารที่เงียบสงบ สำหรับนวัตกรรมยางที่ช่วยอุดรอยรั่ว ถือเป็นอีกสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยไม่ต้องหยุดพักหรือกังวลเกี่ยวกับการซ่อมยางระหว่างการเดินทาง โดยมาตรฐานดอกยางควรจะมีความหนาของดอกยางที่มากกว่า 1.6 มม.

    ในส่วนของ ZEEKR ได้เสริมถึงการเตรียมความพร้อมของรถยนต์ไฟฟ้า โดยเริ่มจากการตรวจสอบแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และมีปริมาณกำลังไฟที่เพียงพอสำหรับการเดินทาง รวมถึงตรวจสอบระบบความปลอดภัยในรถ EV ตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ ระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ (Automatic Lane Change – ALC), ระบบรักษาตำแหน่งในเลน (Lane Centering Control – LCC),  ตรวจสอบระบบแจ้งเตือนวัตถุในจุดบอด (Blind Spot Detection – BSD), ระบบแสดงภาพรอบตัวรถ (Around View Monitor – AVM) และจำนวนถุงลมนิรภัยอย่างน้อย 7 ลูกขึ้นไป สิ่งสำคัญประการสุดท้ายสำหรับการเดินทาง คือการวางแผนเส้นทาง และตรวจสอบตำแหน่งของสถานีชาร์จไฟให้เพียงพอต่อการเดินทางตลอดเส้นทาง

    กรมการขนส่งทางบก ยางคอนติเนนทอล และ ZEEKR ขอร่วมส่งมอบความสุขทุกการเดินทางโดยรถยนต์ไฟฟ้า และยางรถยนต์คุณภาพ พร้อมขอเชิญชวนสร้างจิตสำนึกการขับขี่อย่างปลอดภัยบนท้องถนนให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป สามารถรับชมวิดีโอแคมเปญได้ที่ ชวนขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย เริ่มต้นที่ความเข้าใจอย่างถูกต้อง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • บริดจสโตน เปิดตัวผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม “BRIDGESTONE TURANZA 6 ด้วยเทคโนโลยี ENLITEN™” มาตรฐานใหม่แห่งความนุ่มสบายเหนือระดับ

    1 Min Read

    บริดจสโตน เปิดตัวผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม “BRIDGESTONE TURANZA 6 ด้วยเทคโนโลยี ENLITE” มาตรฐานใหม่แห่งความนุ่มสบายเหนือระดับ

    บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียมBRIDGESTONE TURANZA 6 มาพร้อมเทคโนโลยี ENLITEN มาตรฐานใหม่
    แห่งความนุ่มสบายเหนือระดับ
    ซึ่งเหมาะกับการใช้งานสำหรับรถยนต์หลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรูจากยุโรป รถยนต์พรีเมียมจากญี่ปุ่น และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า วางจำหน่ายตั้งแต่ขอบ 15-21 นิ้ว
    รวม 47 ขนาด เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วยความนุ่มสบาย ให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างแท้จริง

    คุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด เผยว่า “บริดจสโตน
    มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์สู่คุณภาพระดับพรีเมียมอย่างไม่หยุดยั้ง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การเดินทาง
    ที่หลากหลายด้วยมาตรฐานความปลอดภัย ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม BRIDGESTONE TURANZA 6 รุ่นล่าสุดนี้พัฒนาภายใต้เทคโนโลยี ENLITEN นวัตกรรมของการออกแบบยางรถยนต์จากบริดจสโตน
    ซึ่งผสมผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจึงช่วยให้ยางมีน้ำหนักเบา และมีแรงต้านทานการหมุนต่ำ อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือระดับและปลอดภัย จึงเหมาะกับ
    การใช้งานสำหรับรถยนต์หลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรูจากยุโรป รถยนต์พรีเมียมจากญี่ปุ่น และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

     

    คุณสมบัติเด่นของผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม BRIDGESTONE TURANZA 6 ประกอบด้วย

    • ความนุ่มสบายในการขับขี่: ออกแบบการรับและกระจายแรงของโครงยาง เทคโนโลยีสูตรเนื้อยางแบบใหม่ช่วยลดแรงกระแทก และช่วยลดแรงสั่นสะเทือนระหว่างการขับขี่เพื่อมอบความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นบนเส้นทางขรุขระ
    • ลดเสียงรบกวน: ปรับรูปแบบลายดอกยางบริเวณไหล่ยางและหน้ายาง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
      ในการลดระดับเสียงรบกวนในการขับขี่
    • ปลอดภัยยิ่งขึ้น: การออกแบบที่กระจายแรงกดของยาง เทคโนโลยีสูตรเนื้อยางแบบใหม่
      และการปรับขนาดร่องระบายน้ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในประสิทธิภาพการยึดเกาะทุกสภาพถนน
      ได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะบนพื้นถนนเปียก
    • ประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: รูปทรงยางแบบใหม่และเนื้อยางสูตรใหม่ ช่วยลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตและลดน้ำหนักของยาง ส่งผลให้มีแรงต้านทาน
      การหมุนที่ลดลง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ดียิ่งขึ้น และยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    • อายุการใช้งานยาวนานขึ้น: เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า (อย่างน้อย 5,000 กิโลเมตร)*

    นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม BRIDGESTONE TURANZA 6 ยังได้รับความไว้วางใจจาก
    แบรนด์รถยนต์ชั้นนำให้เป็นยางมาตรฐานติดรถยนต์ในระดับโลกหลากหลายรุ่น เช่น BMW: 7 series/ 5 series/ X2/ X1, Mercedes Benz: EQE/ E-Class/ CLA-Class, Audi: A5/ A4 และ MG: ZS Hybrid+

     

    ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม BRIDGESTONE TURANZA 6 มีให้เลือกตั้งแต่ขอบ 15-21 นิ้ว รวม 47 ขนาด ราคาเริ่มต้นที่ 3,990 บาท ถึง 18,290 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดของยาง):


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • GWM เปิดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา GWM TANK 300 DIESEL ประหยัด ทนทาน อุ่นใจ พร้อมการรับประกันเครื่องยนต์ที่ยาวนานถึง 1 ล้านกิโลเมตร!

    1 Min Read

    GWM เปิดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา GWM TANK 300 DIESEL ประหยัด ทนทาน อุ่นใจ พร้อมการรับประกันเครื่องยนต์ที่ยาวนานถึง 1 ล้านกิโลเมตร!

    GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)”  ล่าสุดได้เผยความประหยัดคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่ายที่ผู้ใช้งานรถยนต์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญโดยเฉพาะด้านการดูแลรักษา ของรถเอสยูวีทรง BOXY เครื่องยนต์ดีเซลคันแรกของ GWM ในประเทศไทย ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่มาพร้อมเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ที่มอบความคุ้มค่าที่ครอบคลุมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านความทนทาน ประสิทธิภาพการใช้งาน ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ซึ่งล้วนแต่อาจจะเป็นคำถามที่อยู่ในใจของผู้ที่กำลังสนใจรถยนต์รุ่นนี้อยู่

    ต้นทุนการดูแลรักษาต่ำ ค่าใช้จ่ายในการเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร เพียง 38,448 บาท*เท่านั้น!!

    สำหรับ NEW GWM TANK 300 DIESEL มีกำหนดเข้ารับการเช็กระยะทุก ๆ 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร เพื่อดูแลรักษาให้รถยนต์อยู่ในสภาพสมบูรณ์และพร้อมใช้งานเสมอ อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น การบำรุงรักษานี้รวมถึงรายการตรวจสอบ และเปลี่ยนอะไหล่ที่ชัดเจนในแต่ละระยะทาง เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง และการตรวจเช็กระบบต่าง ๆ ที่สำคัญ โดยในช่วงก่อน 80,000 กิโลเมตรแรก หรือปีที่ 4 ค่าใช้จ่ายในการเช็กระยะในแต่ละครั้งจะอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 บาท* หรือ 4,000 บาท* ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะทาง โดยช่วงการเช็กระยะที่ 80,000 กิโลเมตร เป็นระยะที่ต้องมีการเปลี่ยนอะไหล่และของเหลวชุดใหญ่ เช่น น้ำมันเบรก น้ำยาหล่อเย็น น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย ไส้กรองแอร์ และสายพานไทม์มิ่งเครื่องยนต์ เป็นต้น โดยค่าบำรุงรักษาตามระยะทางตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร จะอยู่ที่เพียง 38,448 บาท* หรือเฉลี่ยเพียงปีละประมาณ 7,700 บาท* โดยไม่มีค่าแรงเพิ่มเติมในทุกระยะ พร้อมด้วยบริการที่ประทับใจจากทีมช่างเทคนิคที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐานของ GWM จึงมั่นใจได้ว่ารถยนต์ GWM TANK 300 DIESEL ทุกคันจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในทุกการเดินทาง (*ราคายังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

    การรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร

    เพื่อมอบความอุ่นใจสูงสุดให้กับผู้ใช้งาน NEW GWM TANK 300 DIESEL มอบการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ไม่ว่าจะใช้งานในเมืองหรือต่างจังหวัด ออนโรดหรือออฟโรด หากพบว่ามีชิ้นส่วนใดหรือระบบใดเสียหายภายใต้เงื่อนไขการรับประกัน GWM พร้อมให้การดูแลอย่างเต็มที่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม ครอบคลุมทั้งอะไหล่และการบริการโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ อุ่นใจ ไร้กังวลกับการใช้รถยนต์คันนี้ไปได้อย่างยาว ๆ

    ใช้รถหนักแค่ไหนก็เอาอยู่ กับเครื่องยนต์ดีเซลคุณภาพสูงพร้อมการรับประกันยาวนานที่สุดในไทยถึง 1 ล้านกิโลเมตร!

    GWM มั่นใจในคุณภาพของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซล ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี จนเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด ที่อยู่ใน NEW GWM TANK 300 DIESEL ผ่านบทพิสูจน์ถึงความทนทานและประสิทธิภาพสูงในสภาพอากาศหนาวและร้อนสุดขั้วถึง 300 ชั่วโมง ทดสอบการทำงานที่ความเร็วรอบสูงสุดมากถึง 500 ชั่วโมง และในสภาพถนนและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึง 76 รูปแบบทั่วโลก โดยมีระยะทางรวมกว่า 6 ล้านกิโลเมตร พร้อมโครงสร้างการออกแบบที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน ลดเสียงและการสั่นสะเทือน ทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้มีความทนทานสูง ตอกย้ำว่าในระยะยาวเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่นี้ จะมอบความอุ่นใจคลายกังวลในการดูแลรักษารถยนต์รุ่นนี้ในอนาคต และยังสร้างความเชื่อมั่นด้วยการมอบการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี)

    จ่ายสบายกระเป๋ากับเครื่องยนต์ดีเซลคุณภาพสูง พร้อมอัตราการบริโภคน้ำมันที่มีประสิทธิภาพ

    จากราคาค่าน้ำมันที่ผันผวนและมีราคาสูง เครื่องยนต์ดีเซลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้ผู้ใช้รถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมาก ด้วยราคาน้ำมันต่อลิตรที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์เบนซิน GWM จึงได้แนะนำ NEW GWM TANK 300 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเข้าสู่ตลาดไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่ชื่นชอบรถยนต์สไตล์ BOXY ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล ที่ประหยัดน้ำมันและมีความทนทาน ด้านประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชั่นใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน (VGT) ที่มีแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์  ท่อร่วมไอดีแบบคู่ที่ฝาสูบระบบอิเล็กทรอนิกส์ Exhaust Gas Recirculation (EGR) และระบบปั้มน้ํามันเครื่องแบบแปรผัน ทำให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น ช่วยลดการปล่อย์ไอเสีย NOx และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากยิ่งขึ้น โดยอัตราการบริโภคน้ำมันของ NEW GWM TANK 300 DIESEL อยู่ที่ 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ Eco sticker ในประเทศไทย) ซึ่งเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T นี้ จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงในระยะยาว ทำให้ผู้ใช้งานสามารถลดต้นทุนการเดินทางได้ NEW GWM TANK 300 DIESEL จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการขับขี่ คุ้มค่า และประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น

     

    NEW GWM TANK 300 DIESEL มีด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมสีภายนอกให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ สีเทา สีดำ สีขาว และสีส้ม

    • NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T รุ่น PRO ราคา 1,029,000 บาท
    • NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T รุ่น ULTRA ราคา 1,179,000 บาท
    • NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T ULTRA 4WD ราคา 1,279,000 บาท

     

    ร่วมพิสูจน์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใน GWM TANK 300 DIESEL ได้แล้ววันนี้ พร้อมบอกลาอย่างถาวรกับเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิม ๆ สู่ประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งกว่า โดยเฉพาะด้านคุณภาพของเครื่องยนต์ดีเซล ความประหยัด ทนทาน คุ้มค่าในทุกมิติ และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ต่ำ สัมผัสและทดลองขับด้วยตัวเองได้ที่ GWM พาร์ทเนอร์ สโตร์ 69 สาขาทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แอปพลิเคชัน GWM เว็บไซต์ https://www.gwm.co.th/ หรือ GWM Contact Center หมายเลข 02-668-8888


    No Comment
  • ซนต่างแดนครั้งแรก! ไทยฮอนด้า ชวนชาว CUB House ร่วมทริป Let’s RIDE OVER Laos ขี่สนุกข้ามพรมแดนไทย-ลาว 26-28 ก.ค. นี้

    1 Min Read

    ซนต่างแดนครั้งแรก! ไทยฮอนด้า ชวนชาว CUB House  ร่วมทริป Let’s RIDE OVER Laos ขี่สนุกข้ามพรมแดนไทย-ลาว 26-28 ก.ค. นี้

    ไทยฮอนด้า ชวนชาว CUB House ร่วมออกเดินทางสัมผัสความสนุกแบบข้ามพรมแดน ในกิจกรรมสุดพิเศษ “CUB House Let’s RIDE OVER Laos – DISCOVER THE ROCK” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–28 กรกฎาคม 2568 บนเส้นทางธรรมชาติสุดชิลล์ ไทย–ลาว ทริปนี้นับเป็นครั้งแรกที่เหล่า CUB House ได้รวมตัวกันออกทริปต่างประเทศแบบเต็มรูปแบบ พร้อมกิจกรรมจัดเต็มความสนุกตลอด 3 วัน 2 คืน

     

    เริ่มต้นความมันส์ที่จังหวัดนครพนม ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ ประเทศลาว โดยไฮไลต์ของทริปนี้อยู่ที่การพายเรือผ่านถ้ำกองลอ – ถ้ำน้ำลอดที่ใหญ่ที่สุดในลาว และพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่ Konglor View Hotel โรงแรมที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและความสงบงามของธรรมชาติ

     

    ต่อความสนุกกันในวันที่ 2 ซึ่งผู้ร่วมกิจกรรมจะได้เดินทางสู่ The Rock Viewpoint ภูผาม่าน โดยมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบครบครันทั้งขับขึ้นเขา กิจกรรมทางน้ำ รวมถึงผจญภัยโหนสลิงซิปไลน์ รอให้ชาว CUB House ร่วมเปิดประสบการณ์และสำรวจไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ พร้อมกับเพื่อน CUB House จากทั่วประเทศ

     

    ห้ามพลาด! ประสบการณ์ความซนในต่างแดนครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้ชาว CUB House ทุกรุ่นมาร่วมสนุก ทั้ง Honda Monkey125, C125, CT125 และ DAX125 อย่าช้า! รับจำนวนจำกัดเพียง 30 คันเท่านั้น โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและสมัครร่วมกิจกรรมได้แล้ววันนี้ ที่ CUB House Flagship Store ทั้ง 16 สาขาทั่วประเทศ

    รายละเอียดเส้นทางการขับขี่: https://bit.ly/4du5b5S

    คู่มือกิจกรรม: https://bit.ly/3SJbfh0

     

    หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

    เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th/cubhouse

    เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondamotorcyclethailand

    เฟซบุ๊ก CUBhouse : fb.com/cubhousebyhonda

     

    #Monkey125 #C125 #CT125 #Dax125 ​#CUBHouseRoadTrip2025 #RideOverLaos #CUBHouse #CUBHousebyHonda #ThaiHondaMotorcycle #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #มอเตอร์ไซค์ฮอนด้า #HondaMotorcycle #ThaiHonda #ไทยฮอนด้า #HowWeMoveYou


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • เบนท์ลีย์ แบงค็อก มอบโอกาสในการรังสรรค์ยนตรกรรมรุ่นใหม่ด้วยเฉดสีไฮไลท์กับตัวเลือกที่ไร้ขีดจำกัด

    1 Min Read

    เบนท์ลีย์ แบงค็อก มอบโอกาสในการรังสรรค์ยนตรกรรมรุ่นใหม่ด้วยเฉดสีไฮไลท์กับตัวเลือกที่ไร้ขีดจำกัด

    เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบโอกาสให้กับลูกค้ารถยนต์เบนท์ลีย์ในการรังสรรค์ยนตรกรรมในฝันด้วยตัวเลือกการตกแต่งที่มีให้เลือกสรรอย่างไร้ขีดจำกัด ลูกค้ารถยนต์เบนท์ลีย์สามารถเลือกปรับแต่งภายนอกตัวถังในรุ่น Continental GT และ Continental GTC โฉมใหม่ เจเนอเรชันที่ 4 ได้หลากหลายยิ่งขึ้นด้วยออปชันพิเศษจากแผนกออกแบบพิเศษของเบนท์ลีย์อย่าง Bentley Mulliner ที่ได้เพิ่มตัวเลือกเฉดสีไฮไลท์ภายนอก ทำให้ลูกค้ารถยนต์เบนท์ลีย์สามารถรังสรรค์ยนตรกรรมในฝันให้สะท้อนตัวตนผ่านรายละเอียดในส่วนต่างๆ ที่จะได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันโดยช่างฝีมือจาก Bentley Mulliner เอกสิทธิ์เฉพาะเมื่อเลือกครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์กับผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น

     

    ตัวเลือกเฉดสีไฮไลท์ได้รวมถึงลายเส้นบนชุดแต่งรอบตัวถัง กระจกมองข้าง และล้ออัลลอยด์ในเฉดสีเดียว หรือ 2 เฉดสีที่คอนทรานต์กัน พร้อมด้วยรายละเอียดของลายเส้น นอกจากนี้ ลูกค้ารถยนต์เบนท์ลีย์ยังสามารถระบุพื้นผิวของล้ออัลลอยด์ด้วยตัวเลือกของเฉดสีทึบ หรือ เฉดสีเมทัลลิก รวมถึงเฉดสีซาตินและเฉดสีมุกได้อีกด้วย

    ตัวเลือกสีไฮไลท์ภายนอกสามารถเสริมหรือคอนทราสต์กับเฉดสีของตัวถังภายนอก นอกจากนี้ สีไฮไลท์ยังสามารถสะท้อนถึงการตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยการผสมผสานเฉดสีภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น เฉดสีโครเมียมโทนเข้มภายในแบบใหม่ในรุ่น Continental GT สามารถจับคู่กับเฉดสีไฮไลท์ภายนอกที่เข้ากันในโทนสีเทาเข้มได้ แนวทางการรังสรรค์ในแบบเฉพาะตัวจาก Bentley Mulliner จึงเป็นเสมือนประตูสู่โลกแห่งความเป็นไปได้ ช่วยให้ลูกค้ารถยนต์เบนท์ลีย์แต่ละรายสามารถรังสรรค์ยนตรกรรมในฝันที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลได้อย่างดีที่สุด

    การตกแต่งที่เน้นสไตล์และสมรรถนะ

    เส้นสายที่เพรียวบางและแข็งแกร่งของรุ่น Continental GT และ Continental GTC ใหม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับสีสันที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นได้เป็นอย่างดี Bentley Mulliner จึงได้นำเสนอแถบสีไฮไลท์แบบคอนทราสต์มาตกแต่งในชุดแต่งรอบคันด้วยพื้นผิวแบบเงาหรือซาติน แถบสีที่ออกแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้ทอดยาวไปตามแนวชุดแต่งสปอยเลอร์หน้า ที่เหยียบบริเวณกาบประตู และดิฟฟิวเซอร์หลัง นอกจากนี้ยังมีแถบสีไฮไลท์แบบคอนทราสต์ตกแต่งบริเวณฝาครอบกระจกมองข้างและขอบล้ออัลลอยด์อีกด้วย

    Bentley Mulliner ยังได้นำเสนออีกหนึ่งตัวเลือกที่แตกต่างด้วยหลังคาเฉดสีดำ Beluga ในรุ่น Continental GT โฉมใหม่ สะท้อนรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและสมรรถนะที่เหนือชั้น และเป็นการชวนให้นึกถึงรุ่น Continental GT Pikes Peak Edition ที่เป็นการเฉลิมฉลองการสร้างสถิติใหม่ในการแข่งขันด้วยเวลาเพียง 10 นาที 18.4 วินาที

    รายละเอียดอันประณีตสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    ลายเส้นไฮไลท์ในเฉดสีคอนทราสต์ได้นำมาตกแต่งเข้ากับชุดแต่งรอบคันในรุ่น Flying Spur นอกจากนี้ Bentley Mulliner ยังมอบตัวเลือกชุดแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ โดยสามารถเลือกใช้ลวดลายคาร์บอนไฟเบอร์ที่เคลือบแล็กเกอร์ หรือจะระบุเฉดสีตามความต้องการของผู้ครอบครอง นอกจากนี้ ชุดแต่งยังตกแต่งด้วยลายเส้นในเฉดสีคอนทราสต์ พร้อมกับขอบล้ออัลลอยด์และฝาครอบกระจกมองข้างที่ได้รับการตกแต่งด้วยลายเส้นสีที่เข้ากันเพื่อเสริมลุคให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

    ความสดใสและโดดเด่นในแบบยนตรกรรมอเนกประสงค์

    ตัวเลือกเฉดสีไฮไลท์แบบคอนทราสต์ในรุ่น Bentayga มาในรูปแบบลายเส้นบนฝาครอบกระจกมองข้างและขอบล้ออัลลอยด์ พร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกในเฉดสีฟ้า Klein Blue เฉดสีเหลือง Signal Yellow และเฉดสีเงิน Ice Silver นอกจากนี้ ชุดแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ของ Bentayga ยังสามารถเลือกลายเส้นแบบคอนทราสต์ได้

    ล้ออัลลอยด์กับพื้นผิวที่โดดเด่น

    การตกแต่งล้ออัลลอยด์ช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับรูปลักษณ์ของยนตรกรรมอย่างการใช้สีเดียวที่เข้ากับสีตัวถังก็จะช่วยให้ตัวรถดูเป็นหนึ่งเดียวและร่วมสมัย  ​ในทางตรงกันข้าม การใช้สีแบบดูโอโทนเมทัลลิกที่ซี่ล้อและช่องล้อที่ใช้สีแบบคอนทราสต์ก็จะช่วยดึงดูดสายตาไปที่การออกแบบที่ลึกซึ้งและให้รายละเอียดที่หรูหรายิ่งขึ้น ซึ่งรายเอียดที่ประณีตสามารถทำได้โดยการใช้ลายเส้นรอบขอบล้ออัลลอยด์ที่ลูกค้าสามารถเลือกล้ออัลลอยด์ที่เป็นเฉดสีทึบ เมทัลลิก ดูโอโทน ซาติน หรือมุกด้วยการใช้ชุดสีเดิมหรือจะสั่งทำเฉดสีพิเศษเฉพาะของตนเองก็ได้เช่นกัน

    การรังสรรค์เฉพาะบุคคล

    เฉดสีไฮไลท์เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานสั่งทำพิเศษของ Bentley Mulliner นักออกแบบแฟชั่น Supriya Lele ได้เคยร่วมมือกับนักออกแบบของ Bentley Mulliner เพื่อรังสรรค์ Bentayga S รุ่นพิเศษ เธอได้คิดค้นเฉดสีพิเศษอย่างเฉดสีฟ้า Nīla Blue ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศอินเดีย เฉดสีพิเศษนี้แม้จะดูเรียบง่ายแต่มีความโดดเด่น สะท้อนให้เห็นถึงความสง่างามที่จะคงอยู่ยาวนานซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผลงานเธอ เฉดสีเดียวกันนี้ถูกใช้เป็นสีไฮไลท์บนขอบล้ออัลลอยด์ พร้อมกับสีไฮไลท์อย่าง Mulliner White ที่ใช้ตกแต่งบนชุดแต่งรอบคัน สะท้อนลายเส้นสายสีขาวอันเรียบง่ายที่ใช้ตกแต่งภายในห้องโดยสาร

    อีกหนึ่งผลงานพิเศษจากความร่วมมือของ Bentley Naples คือ Continental GT Convertible รุ่นพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นโดย Bentley Mulliner คันแรก ตัวรถมาพร้อมกับจุดเด่นของงานออกแบบภายนอกอันได้แก่ เฉดสีม่วง Damson อันหรูหรา และเฉดสีเทา Moonbeam ที่เข้ากันกับหนังเฉดสีขาวและเฉดสีม่วง Damson พร้อมด้วยขอบเบาะโดยสารในเฉดสีเงิน ผลงานพิเศษชิ้นนี้ได้ถูกนำไปประมูลที่งาน Naples Winter Wine Festival และสามารถระดมทุนได้กว่า 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาส

     

    แนวโน้มที่กำลังเติบโต

    รถยนต์เบนท์ลีย์ 1 ใน 4 จากโรงงานได้รับการรังสรรค์ขึ้นด้วยตัวเลือกพิเศษจาก Bentley Mulliner จากความต้องการด้านการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและความโดดเด่นของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง David Parker, Chief Commercial Officer, Bentley Mulliner กล่าวว่า “ทีมนักออกแบบ วิศวกร และช่างฝีมือของเรามุ่งมั่นที่จะให้แน่ใจว่ารสนิยมและบุคลิกของลูกค้าแต่ละรายสามารถสื่อสารออกมาได้ผ่านสี หนัง วัสดุ หรือคุณสมบัติพิเศษเฉพาะ ข้อจำกัดเดียว คือ จินตนาการ”


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย พร้อมทะลุทุกขีดจำกัดของสมรรถนะ กับซูเปอร์ไบค์ตัวแรงรุ่นล่าสุด บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่

    1 Min Read

    บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย พร้อมทะลุทุกขีดจำกัดของสมรรถนะ กับซูเปอร์ไบค์ตัวแรงรุ่นล่าสุด บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่

              ซูเปอร์ไบค์รุ่นล่าสุดจาก บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมแล้วที่จะออกพิชิตท้องถนนและสนามแข่งทั่วประเทศ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ มาพร้อมการปรับแต่งมากมายเพื่อยกระดับความแม่นยำและสมรรถนะสู่ขีดสุด นับตั้งแต่ดีไซน์ตัวรถที่ปราดเปรียว เสริมประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิก คันเร่งที่ปรับจูนให้ตอบสนองเร็วขึ้น และโหมดการขับขี่เพิ่มเติม โดยนักบิดชาวไทยสามารถสัมผัสความสปอร์ตเต็มพิกัดของบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ด้วยตัวเองได้แล้ววันนี้ ณ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

    มร. ชิวาภาดา เรย์ ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “S 1000 RR เป็นตัวแทนความหลงใหลของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทั้งสมรรถนะและความตื่นตาตื่นใจขณะขับขี่ ซูเปอร์ไบค์รุ่นล่าสุดนี้สืบทอดตำนานแห่งความเหนือชั้นที่ส่งตรงจากสนามแข่ง ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด เค้นพละกำลังทุกหยดของตัวรถออกมาให้สัมผัสกัน เรามีความภูมิใจที่ได้นำซูเปอร์ไบค์คันนี้มาให้ลูกค้าในไทยได้สัมผัสกัน และผมเองก็ตั้งตารอดูนักบิดไทยพา S 1000 RR ใหม่ โลดแล่นทะลุขีดจำกัดกันอย่างเร้าใจเช่นกัน”

    บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่
    ราคา: 1,029,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

    บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ – Light White M Motorsport
    ราคา: 1,059,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

    บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ มาพร้อมกับการปรับแต่งและเปลี่ยนแปลงรอบคัน เริ่มจากด้านหน้ากับแผงข้างตัวรถที่แต่งด้วยครีบทรงเหงือกฉลาม ทำงานผสานกับวิงเล็ตเพื่อสร้างแรงกดลงที่ล้อหน้ามากขึ้นกว่าเดิมถึง 37% จึงช่วยให้ล้อหน้ายึดเกาะถนนอย่างยอดเยี่ยม กระจกบังลมด้านหน้ามาในทรงสูง ใช้หลักอากาศพลศาสตร์เบี่ยงกระแสลมออกจากบริเวณศีรษะของผู้ขับขี่ ลดการสั่นสะเทือนของหมวกกันน็อกไปพร้อมกัน ฝาครอบล้อหน้าดีไซน์ใหม่ มีช่องระบายอากาศติดตั้งมาในตัวเพื่อช่วยระบายความร้อนของระบบเบรก คันเร่งทดรอบสไตล์ M ปรับมุมหมุนให้ลดลงมาอยู่ที่ 58 องศา จึงเร่งความเร็วได้ง่ายขึ้น ตอบสนองทันใจกว่าเดิม ขณะที่แบตเตอรี่แบบ M Lightweight ถูกปรับแต่งให้มีน้ำหนักเบาลงราว 2 กิโลกรัม

    โหมดการขับขี่แบบ Pro ได้รับการติดตั้งมาเป็นฟังก์ชันมาตรฐานใน RR รุ่นใหม่นี้ โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้งานโหมดใหม่อย่าง Race Pro ที่ปรับคันเร่งให้ตอบสนองรวดเร็วขึ้นไปอีก ปรับจูนทั้งแรงบิดจากเครื่องยนต์ การชะลอความเร็วโดยไม่ใช้เบรก ระบบช่วยออกตัวทางชัน (Hill Start Control Pro) และระบบเบรก ABS ที่ตั้งค่าการทำงานต่างหากได้ถึง 5 ระดับ ส่วนระบบ Dynamic Brake Control (DBC) และ Dynamic Damping Control (DDC) ปรับจูนการทำงานของเบรกและช่วงล่างให้ตัวรถเสถียร ควบคุมได้แม่นยำแม้เมื่อขับขี่บนพื้นถนนที่ขรุขระ อุปกรณ์ใหม่อย่างเซ็นเซอร์ตรวจจับมุมเอียงของตัวรถ เป็นพื้นฐานของสองระบบใหม่อย่าง Brake Slide Assist และ Slide/Slip Control ที่ป้องกันไม่ให้ตัวรถลื่นไถลขณะชะลอและเร่งความเร็วตามลำดับ นอกจากนี้ ระบบตรวจแรงดันยางแบบเรียลไทม์ ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยตลอดการขับขี่อีกด้วย

    ในด้านความสะดวกสบาย S 1000 RR ใหม่ ยังมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) และแฮนด์รถพร้อมระบบทำความร้อนอัตโนมัติติดตั้งมาสำหรับผู้ขับขี่ ขณะที่ด้านท้าย ติดตั้งชุดอุปกรณ์ Passenger Package ที่เสริมมาให้ทั้งเบาะหลัง ที่พักเท้าผู้โดยสาร และฝาครอบเบาะหลัง

    บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังคงใช้เครื่องยนต์ 999 ซีซี 4 สูบเรียงแบบ 4 จังหวะ พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำมันและน้ำ โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้ผ่านการรับรองมาตรฐานด้านมลภาวะ Euro 5+ อย่างเป็นทางการ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 154 กิโลวัตต์ / 210 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตรที่ 10,000 รอบต่อนาที จึงมอบความแรงได้ถึงขีดสุด ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 303 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ รุ่นมาตรฐาน พร้อมให้นักบิดเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ในสีเทา Bluestone Metallic สำหรับลูกค้าที่ต้องการยกระดับความสปอร์ตไปอีกขั้น ก็สามารถเลือกรุ่นพิเศษ Light White M Motorsport ที่มาพร้อมกับที่พักเท้าแบบ M Sport เบรกแบบ M Sport และเบาะนั่ง M Sport ล้อสีดำตัดลายเส้นสีแดงแบบ Pinstripe และโทนสีขาว-แดง-น้ำเงิน ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความแรงของบีเอ็มดับเบิลยู M


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ETON GROUP จัดหนัก รุกตลาดรถนำเข้ากลางปี อัดแคมเปญใหญ่ ต้อนรับเดือนท่องเที่ยว “ETON SUMMER BIG PRESTIGE” ออกรถวันนี้ มีรถใช้ทันที ขับเที่ยวฟรี ไม่ต้องรอนาน

    1 Min Read

    ETON GROUP จัดหนัก รุกตลาดรถนำเข้ากลางปี อัดแคมเปญใหญ่ ต้อนรับเดือนท่องเที่ยว “ETON SUMMER BIG PRESTIGE” ออกรถวันนี้ มีรถใช้ทันที ขับเที่ยวฟรี ไม่ต้องรอนาน

    ETON GROUP (อีตั้น กรุ๊ป) ผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมนำเข้าสำหรับครอบครัวและผู้บริหาร พร้อมศูนย์บริการมาตรฐานครบวงจร นําโดย คุณอัจฉรีย์ ตันติยันกุล ผู้อํานวยการฝ่ายขายและการตลาด รุกจัดหนักตลาดรถยนต์นำเข้า อัดแคมเปญใหญ่ ต้อนรับเดือนท่องเที่ยว ออกรถกับอีตั้น แถมฟรี ที่พัก 5 ดาวระดับพรีเมียม พร้อมดีลพิเศษอีกมากมาย

    ETON GROUP (อีตั้น กรุ๊ป) ยกขบวนรถยนต์นำเข้า มอบสิทธิพิเศษมากมาย ภายใต้ แคมเปญ “ETON SUMMER BIG PRESTIGE” ยนตกรรมสำหรับครอบครัว ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง รวมถึงรถยนต์สไตล์สปอร์ต มาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสำหรับรถยนต์ทุกคันที่จองในช่วงแคมเปญดังกล่าว รับทันที ที่พัก 5 ดาวระดับพรีเมียม จัดเต็ม 3 วัน 2 คืน มีให้เลือกทั้งที่พักแบบวิวทะเล หรือจะเลือกเป็นที่พักแบบวิวภูเขา ให้ลูกค้าอีตั้นได้พักผ่อน ชิวๆ ใกล้ชิดกับธรรมชาติในบรรยากาศฟินๆ นอกจากนี้ยังมีดีลพิเศษอีกมากมาย อาทิ

    • ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 2 ปีเต็ม
    • รับส่วนลดสูงสุด 1 แสนบาท
    • ฟรี ชุดแต่ง Black Pearl ลิขสิทธิ์แท้จากญี่ปุ่น
    • รถใหม่รับประกัน แบตเตอรี่ และระบบไฮบริด 5 ปี หรือ 100,000 กิโล
    • ฟรี บริการช่วยเหลือ 24 ชม.

    กลุ่ม MPV – รถยนต์เอนกประสงค์ขนาดใหญ่

    • Toyota Alphard 40 MPV ยอดนิยม สะท้อนความสมบูรณ์ ด้วยรูปลักษณ์ที่มีความสง่างาม หรูหรา ภายในห้องโดยสารติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ราคาเริ่มต้นเพียง 3.xx ล้านบาท ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 2 ปีเต็ม
    • Toyota Vellfire 40 รถยนต์ MPV คู่แฝด Alphard ที่หรูหราผสมผสานความสปอร์ต ด้วยกระจังหน้าที่ให้ความสปอร์ต รูปลักษณ์ภายนอกดูเท่ สวยทรงพลัง แต่ภายในตกแต่งแบบ Luxury ให้ความสะดวกสบายและครอบคลุมทุกการใช้สอย ราคาเริ่มต้นเพียง 3.xx ล้านบาท ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 2 ปีเต็ม

    กลุ่ม MINI MPV – รถยนต์เอนกประสงค์ขนาดกลาง

    • Honda Step Wagon รถครอบครัวสไตล์มินินอลทรงกล่อง เรียบง่าย แต่ดูโดดเด่น เหมาะสำหรับครอบครัวเริ่มต้น ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 21.3 กม. ประตูข้างแบบสไลด์ไฟฟ้า ขับขี่คล่องตัว ช่วงล่างเยี่ยม พร้อมออฟชั่นความปลอดภัยแบบจัดเต็ม และยังมีสีพิเศษให้เลือกมากมาย ราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 2.05 ล้านบาท หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียง 15,xxx บาท / เดือน
    • Toyota Noah รถครอบครัวขนาดกลาง รุ่นเริ่มต้น ในราคาประหยัดไม่ถึง 2 ลบ. เป็นรถขนาด 7 ที่นั่ง เหมาะสำหรับหรับครอบครัวขนาดกลาง ที่มาในรูปโฉมแบบสปอร์ต โฉบเฉี่ยว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยของการก้าวขึ้นห้องโดยสารด้วยบันได Universal Step ยื่นออกมาโดยอัตโนมัติ ขับปลอดภัย Toyota Safety Sense ราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียง 14,xxx แถมฟรี ล้อแม็กสุดเท่ หรือเลือกเป็นเบาะหนัง

    กลุ่ม SUV – รถยนต์เอนกประสงค์สไตล์สปอร์ต

    • Toyota Crown Sport ความสปอร์ตจากตระกูลมงกุฎ ที่เรียกได้ว่าเจเนอเรชั่นนี้ ฉีกกฎความเป็น Crown ด้วยดีไซน์ความร่วมสมัยที่ผสมผสานความคลาสสิก พร้อมการออกแบบสุดเท่ ให้ลุคสปอร์ตแบบจัดเต็ม ราคาพิเศษเพียง 29 ล้านบาท จำนวนจำกัด!
    • Toyota Crown Crossover รถเก๋งยกสูง แต่ลุยได้สไตล์ SUV มาพร้อมกับขุมพลังไฮบริด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ราคาพิเศษเพียง 89 ล้านบาท จำนวนจำกัด!

    สำหรับแคมเปญ “ETON SUMMER BIG PRESTIGE” ออกรถวันนี้ มีรถใช้ทันที ขับเที่ยวฟรี ไม่ต้องรอนาน เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้  – 8 มิถุนายน 2568 ทั้งนี้ ท่านที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมของอีตั้น กรุ๊ป ทั้ง 3 สาขาทั่วประเทศ ได้แก่ สาขาศรีนครินทร์ สาขารัชดาภิเษก และสาขาเชียงใหม่ เปิดบริการทุกวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 18.30 น. หรือติดต่อเบอร์ 0-2789-9998  www.eton-import.com, https://www.facebook.com/ETONIMPORTGROUP, Instargram: etongroup, Line: @etongroup และ Twitter : etongroup


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


     

    No Comment