-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
ส่อง GR1T สตาร์ทอัพมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเลือดใหม่จากเยอรมนี เตรียมเปิดตัวครั้งใหญ่ใน EICMA 2025
GR1T (กริด) สตาร์ทอัพมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหน้าใหม่ที่ตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี กำลังเป็นที่จับตาในวงการสองล้อ เตรียมนำต้นแบบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่นใหม่ล่าสุดไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งานแสดงรถจักรยานยนต์ระดับโลก EICMA 2025 (Milan, 4-9 พฤศจิกายน 2025) ตอกย้ำวิสัยทัศน์การขับขี่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างมีสไตล์
GR1T ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 โดยมีเป้าหมายในการสร้างสรรค์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะ แต่ต้องเป็นรถที่มี สมรรถนะ (Performance), ดีไซน์ (Design), และ ความเฉพาะตัว (Individuality) ที่โดดเด่น แม้จะเป็นสตาร์ทอัพที่ยังไม่ได้รับเงินทุนสนับสนุน (Unfunded) แต่ทีมผู้ก่อตั้งซึ่งประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์จากวงการการเงิน อุตสาหกรรมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ (รวมถึงอดีตผู้เชี่ยวชาญจาก BMW Motorrad) ก็ได้เดินหน้าพัฒนารถต้นแบบมาอย่างต่อเนื่อง
เปิดตัว 2 ขุมพลังไฟฟ้าใหม่: G1S Street และ G1X Scrambler
หลังจากที่เคยนำรถต้นแบบรุ่น Pioneer ไปจัดแสดงใน EICMA 2023 มาแล้ว ในงาน EICMA 2025 นี้ GR1T จะกลับมาพร้อมกับต้นแบบเจนเนอเรชั่นที่สอง นั่นคือซีรีส์ G1 ซึ่งเน้นการใช้งานจริงและดีไซน์ที่เข้าถึงง่าย:
- G1S Street: มอเตอร์ไซค์สำหรับผู้ใช้งานในเมือง (Urban Commuter) ที่รวมเอาความคล่องตัวและความสง่างามไว้ด้วยกัน
- G1X Scrambler: สำหรับผู้ขับขี่ที่มองหาการผจญภัยที่นอกเหนือจากป่าคอนกรีต
ทั้งสองคันนี้มาพร้อม แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบถอดได้ 2 ก้อน รวม 6 kWh วิ่งได้ไกลถึง 150 กม. ในสภาวะการขับขี่มาตรฐานและ 120 กม. เมื่อขับขี่ในเมือง ตัวรถมีน้ำหนักรวมแบตเตอรี่ 127 กก. กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 36 แรงม้า มาพร้อมระบบ 4G/5G, การอัปเดตแบบ Over-The-Air, ระบบกันขโมย, GPS Tracking, และการชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
ราคาคาดการณ์เริ่มต้นของ G1S อยู่ที่ 6,999 ยูโร หรือประมาณ 260,000 บาท ส่วน G1X อยู่ที่ 7,999 ยูโร หรือประมาณ 300,000 บาท (ไม่รวม VAT) และเสนอการรับประกันแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 6 ปี โดยจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ฟรีหากความจุลดลงเหลือ 80% ภายใต้การใช้งานปกติ
GR1T ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ในเซกเมนต์ “พรีเมียมที่เข้าถึงได้” (Accessible Premium Segment) และกำลังมองหาตัวแทนจำหน่ายในยุโรป โดยมีตลาดหลักที่มุ่งเน้นคือ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, สเปน, กรีซ และโปรตุเกส นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้เปิดให้ผู้สนใจสามารถวางเงินมัดจำแบบคืนเงินได้เพื่อรับส่วนลดพิเศษ 1,500 ยูโร จากราคาฐาน หากทำการจองภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2025
การปรากฏตัวของ GR1T ใน EICMA 2025 ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงผลิตภัณฑ์ แต่เป็นการประกาศจุดยืนของแบรนด์ยุโรปที่มุ่งมั่นนำเสนอมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เบา สวยงาม และเต็มไปด้วยเทคโนโลยี พร้อมที่จะสร้างคลื่นลูกใหม่ในวงการยานยนต์โลกต่อไป
ที่มา : Visor Down
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
สองล้อคู่ชีพ! เจาะลึกตำนาน “ไซโคลน” มอเตอร์ไซค์ไอ้มดแดง กับวิวัฒนาการบนท้องถนน
นับตั้งแต่ปี 1971 ที่ “คาเมนไรเดอร์” (Kamen Rider) ได้ถือกำเนิดขึ้นมา มอเตอร์ไซค์คู่ใจที่ถูกดัดแปลงให้เป็น “ไซโคลน” (Cyclone) ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่แยกจากฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมคนนี้ไม่ได้เลย ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน “ไซโคลน” ก็ยังคงเป็นพาหนะสำคัญที่พาคาเมนไรเดอร์ออกไปต่อสู้กับองค์กรช็อคเกอร์เสมอมา และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ต้นกำเนิดของมอเตอร์ไซค์ในตำนานนี้ ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยเกร็ดประวัติศาสตร์ยานยนต์ที่เราจะมาเจาะลึกกันในสกู๊ปนี้กันครับ
Suzuki T20 (Super Six)


Suzuki T20 หรือที่รู้จักในต่างประเทศในชื่อ Super Six เป็นรถจักรยานยนต์สปอร์ตเครื่องยนต์ 2 จังหวะ 2 สูบคู่ ขนาด 247 ซีซี (250cc) เกียร์ 6 สปีด, แรงม้าประมาณ 29 แรงม้า (PS) เปิดตัวครั้งแรกในปี 1965 และวางขายในปี 1966 โดดเด่นด้วยเกียร์ 6 สปีดและระบบหล่อลื่นอัตโนมัติ ‘Posi-Force’ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในยุคนั้น ในบทบาทของไซโคลน มันถูกดัดแปลงให้มีรูปลักษณ์ที่ดุดันและสมรรถนะเหนือมนุษย์ ถูกนำมาใช้ในการออกแบบ Cyclone ในตอนที่ 1-13
Honda SL350K1 ปี 1971


เมื่อการถ่ายทำดำเนินต่อไป มีการเปลี่ยนรถมาใช้ Honda SL350K1 ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์แบบ Scrambler หรือ Enduro ขนาด 325 ซีซี เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 2 สูบคู่ (SOHC) ที่เน้นการขับขี่ทั้งบนถนนและทางฝุ่น ซึ่งเหมาะกับการผจญภัยของคาเมนไรเดอร์มากขึ้น ถูกนำมาใช้ในการออกแบบ Cyclone ในตอนที่ 14 เป็นต้นไป
การกำเนิดคาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 และท่าแปลงร่างในตำนาน

ระหว่างการแสดง ฟุจิโอกะ ฮิโรชิ (ผู้แสดงเป็นฮอนโก ทาเคชิ) ได้ประสบอุบัติเหตุขาหักระหว่างการถ่ายทำ ทำให้ต้องมีการปรับแก้บทอย่างเร่งด่วน โดยให้ฮอนโกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อปราบช็อคเกอร์ต่อ ทีมงานจึงดึงตัว ซาซากิ ทาเคชิ มารับบทเป็น อิจิมอนจิ ฮายาโตะ หรือคาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 ผู้เป็นมนุษย์ดัดแปลงที่ถูกสร้างขึ้นโดยช็อคเกอร์เช่นกัน แต่ได้รับการช่วยเหลือไว้ได้ทัน และเนื่องจาก ซาซากิไม่มีใบขับขี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ในเวลานั้น (และเพื่อความปลอดภัย/ควบคุมการแสดง) จึงมีการเพิ่มฉากที่คาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 ต้อง โพสท่าตะโกนว่า “Henshin!” เพื่อรอรับพลังงานลมให้เต็มที่ก่อน ซึ่งการโพสท่านี้กลายเป็น เอกลักษณ์ และ ธรรมเนียมปฏิบัติ ที่สืบทอดมาถึงคาเมนไรเดอร์รุ่นหลังๆ เกือบทุกตัว
Suzuki T125
Suzuki T125 หรือ Wolf 125 เป็นมอเตอร์ไซค์ขนาด 125 ซีซี 2 จังหวะ เปิดตัวในปี 1967 ในซีรีส์ Kamen Rider (Skyrider) (1979) และยังถูกนำมาใช้ในจักรวาลหนังใหญ่ของ Toei ในชื่อ Cyclone อีกครั้งใน Kamen Rider Saber x Kikai Sentai Zenkaiger Super Heroes Senki (2021) ด้วย
Suzuki TS250 Super Motard ปี 1978

มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้เป็นรถวิบาก/สแครมเบลอร์ 2 จังหวะ 250cc ถูกดัดแปลงเป็น “นิว ไซโคลน” (New Cyclone) ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นและรูปลักษณ์ที่ทันสมัยกว่าเดิมสำหรับคาเมนไรเดอร์หมายเลข 1 และ 2 ในช่วงหลังของซีรีส์แรก
Honda CBR1000RR Fireblade ปี 2005


Superbike ตัวท็อปของ Honda ในขณะนั้น มาพร้อม เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 998cc ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและสมรรถนะในสนามแข่ง ถูกนำมาดัดแปลงเป็น Cyclone สำหรับ คาเมนไรเดอร์หมายเลข 1 ในภาพยนตร์ Kamen Rider: The First (2005) และ The Next (2007) ที่โทนเรื่องมีความจริงจัง โหด และมืดหม่นมากกว่าเดิม
Honda CB1300 Super Bold’Or ปี 2005
มอเตอร์ไซค์ Naked Bike สไตล์ Big-1 ที่ทรงพลังของ Honda ในยุคนั้น มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 1,284 cc เน้นกำลังและแรงบิดที่ดุดัน ถูกดัดแปลงเป็น ” Cyclone II” สำหรับ คาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 (อิจิมอนจิ ฮายาโตะ) ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่ดูบึกบึนและทรงพลัง ต่างจากรถสปอร์ตของหมายเลข 1 เล็กน้อย
Honda Goldwing F6C


Goldwing F6C คือมอเตอร์ไซค์ครุยเซอร์/แบกเกอร์ขนาดใหญ่ เครื่องยนต์ 6 สูบนอน 1,832cc ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็น “Neo Cyclone” ในภาพยนตร์ Kamen Rider Ghost the movie: คาเมนไรเดอร์หมายเลขหนึ่ง ไอ้มดแดงอาละวาด (2016) ซึ่งเป็นการกลับมาของ ฟุจิโอกะ ฮิโรชิ ในบทบาทฮอนโก ทาเคชิ ฉบับดั้งเดิม ที่เน้นความบึกบึนและความน่าเกรงขาม
Honda CBR650R
Cyclone (ซ้าย), Honda CBR650R E-Clutch (ขวา)
มอเตอร์ไซค์สปอร์ตขนาดกลาง 4 สูบเรียงของ Honda ที่ได้รับความนิยม ถูกนำมาเป็นพื้นฐานสำหรับ ” Cyclone “ ของ คาเมนไรเดอร์หมายเลข 1 (ฮอนโก ทาเคชิ) รูปลักษณ์ภายนอกถูกดัดแปลงให้มีแฟริ่งแบบคลาสสิกแต่มีความล้ำสมัย
Honda CB250R
มอเตอร์ไซค์ Naked Bike ในตระกูล Neo Sports Café ของ Honda ถูกนำมาเป็นพื้นฐานสำหรับ ” Shin-Cyclone ” ของ คาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 (อิจิมอนจิ ฮายาโตะ) แม้จะเป็นรุ่น 250cc แต่ด้วยการดัดแปลงและพลังงานจากมนุษย์ดัดแปลง ทำให้มันกลายเป็นยานพาหนะคู่ใจที่ทรงพลังไม่แพ้กัน
มอเตอร์ไซค์ของคาเมนไรเดอร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ยานพาหนะ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงระหว่าง “พลังดัดแปลง” กับ “อิสรภาพ” ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม จาก Suzuki T20 ในยุค 70s จนถึง Honda CBR650R ในยุคปัจจุบัน “Cyclone” ได้พิสูจน์แล้วว่าคือ “คู่หู” ที่ขาดไม่ได้ของฮีโร่ในตำนานตัวนี้อย่างแท้จริง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Suzuki Gixxer SF 250 รุ่นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Flex-Fuel) เตรียมอวดโฉมในงาน Japan Mobility Show 2025 เน้นย้ำความมุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เตรียมนำรถจักรยานยนต์รุ่นต้นแบบที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่าง Suzuki Gixxer SF 250 FFV (Flex-Fuel Vehicle) เข้าจัดแสดงในงาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ Tokyo Big Sight ในปลายเดือนตุลาคมนี้ ตอกย้ำถึงความพยายามของค่ายผู้ผลิตจากญี่ปุ่นในการขยายทางเลือกด้านยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
Gixxer SF 250 FFV รุ่นนี้ ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้เชื้อเพลิงเอทานอลชีวภาพผสมกับน้ำมันเบนซินได้ในสัดส่วนสูงถึง E85 (เอทานอล 85% และน้ำมันเบนซิน 15%) การเคลื่อนไหวครั้งนี้สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

แม้ว่า Gixxer SF 250 รุ่นเชื้อเพลิงชีวภาพนี้จะเคยเปิดตัวในประเทศอินเดียมาก่อนหน้านี้ในงาน Bharat Mobility Global Expo 2025 แต่การนำมาจัดแสดงในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้จะเป็นการนำเสนอในรูปแบบ “รุ่นสเปกต่างประเทศ (Overseas specification model)” ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ นอกเหนือจากเอเชีย
เพื่อให้เครื่องยนต์สูบเดียวขนาด 249 ซีซี สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูง วิศวกรของซูซูกิได้ทำการปรับปรุงและแก้ไขชิ้นส่วนสำคัญหลายอย่าง เช่น หัวฉีด (Injector), ปั๊มเชื้อเพลิง (Fuel Pump), และหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาส่วนประกอบที่เป็นพลาสติกและยางให้มีความทนทานต่อฤทธิ์กัดกร่อนของเอทานอลอีกด้วย
ซูซูกิระบุว่าประสิทธิภาพด้านกำลังของ Gixxer SF 250 FFV ยังคงทำได้เทียบเท่ากับรุ่นมาตรฐาน โดยให้กำลังสูงสุดที่ 26 แรงม้าที่ 9,300 รอบต่อนาที ไม่ว่าจะเป็นการใช้เชื้อเพลิง E85 หรือ E20 ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าผู้ขับขี่ยังคงได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจโดยไม่ลดทอนสมรรถนะลง
การจัดแสดง Gixxer SF 250 FFV ในงาน Japan Mobility Show 2025 ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ซูซูกิกำลังให้ความสำคัญกับแนวคิด “เส้นทางหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (multi-pathway approach)” โดยนำเสนอทางเลือกที่หลากหลาย เช่นเดียวกับที่เตรียมจัดแสดงรถรุ่นอื่นๆ เช่น สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า e-Address และรถต้นแบบ Burgman ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน
การพัฒนารถจักรยานยนต์ที่รองรับเชื้อเพลิงชีวภาพนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของซูซูกิในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของยานยนต์ที่ยั่งยืน โดยพยายามเสนอทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถปรับให้เข้ากับข้อกำหนดและโครงสร้างพื้นฐานด้านเชื้อเพลิงในแต่ละภูมิภาคได้
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Brembo เปิดตัวปั๊มเบรกเพื่อโลก! ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ประสิทธิภาพสูง พร้อมลดการปล่อยคาร์บอน ลง 70%

มิติใหม่แห่งความยั่งยืน: เบรมโบ้ผสานสมรรถนะระดับโลกเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
เบรมโบ้ (Brembo) ผู้นำระดับโลกด้านระบบเบรกประสิทธิภาพสูง ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการเปิดตัวปั๊มเบรก (Brake Caliper) ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% สำหรับลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์ (Original Equipment – OE) รายใหญ่ หลังจากทุ่มเทวิจัยและพัฒนากว่า 5 ปี นวัตกรรมนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเร่งสู่ความยั่งยืนโดยไม่ลดทอนคุณภาพและดีไซน์

ลดการปล่อยคาร์บอน ได้ถึง 70%
หัวใจสำคัญของปั๊มเบรกใหม่นี้คือการใช้วัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่มาจากการรีไซเคิลทั้งหมด ซึ่งจากการศึกษาการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment – LCA) ที่ได้รับการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม พบว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดวงจรชีวิตของปั๊มเบรกได้สูงสุดถึง 70% เมื่อเทียบกับการใช้อะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบดั้งเดิม
อะลูมิเนียมเป็นวัสดุที่ถูกเลือกเพราะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างไม่จำกัด โดยไม่สูญเสียคุณสมบัติเดิม เบรมโบ้จึงเรียกกระบวนการนี้ว่าเป็นการ “Upcycled” หรือการยกระดับวัสดุที่ใช้แล้วให้มีคุณค่าสูงขึ้นกว่าเดิม
ประสิทธิภาพและดีไซน์ยังคงเอกลักษณ์ Brembo
แม้จะเปลี่ยนมาใช้วัสดุรีไซเคิล แต่เบรมโบ้ยืนยันว่า ปั๊มเบรกชุดนี้ยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดในด้านสมรรถนะ (Performance) คุณภาพ (Quality) และดีไซน์ (Design) อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ปั๊มเบรกรุ่นแรกที่เปิดตัวด้วยวัสดุใหม่นี้ เป็นแบบ Monobloc สี่ลูกสูบ (Four-piston Monobloc) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกและสัมผัสที่แป้นเบรก
เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน ปั๊มเบรกที่ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลจะได้รับการประทับตราเครื่องหมายการค้าใหม่ที่จดทะเบียนโดยบริษัท คือโลโก้ “ALU” เพื่อบ่งบอกความแตกต่างอย่างชัดเจน
Daniele Schillaci ซีอีโอของเบรมโบ้ กล่าวว่า “การนำอะลูมิเนียมรีไซเคิลมาใช้ในการผลิตปั๊มเบรกอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โซลูชั่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านสมรรถนะและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม”
อนาคตของการเบรกที่ยั่งยืน
เบรมโบ้ยืนยันว่า นับจากนี้เป็นต้นไป วัสดุรีไซเคิลจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นมาตรฐานสำหรับการพัฒนาปั๊มเบรกใหม่ส่วนใหญ่ของบริษัท ขณะที่ปั๊มเบรกที่อยู่ในสายการผลิตปัจจุบันจะยังคงใช้อะลูมิเนียมแบบเดิมต่อไปจนสิ้นสุดอายุผลิตภัณฑ์ แต่บริษัทจะให้ความสำคัญกับการใช้อะลูมิเนียมที่ผลิตด้วยพลังงานหมุนเวียนก่อน
การเปิดตัวปั๊มเบรกจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% นี้ไม่เพียงแต่เป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ขับขี่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงการก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเบรกในอนาคต ที่ซึ่ง “สมรรถนะระดับพรีเมียม” และ “ความยั่งยืน” สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Yamaha เตรียมเขย่าวงการ! เปิดตัวนวัตกรรมล้ำยุค ทั้ง AI, ไฮบริด, และไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ในงาน Japan Mobility Show 2025

Yamaha Motor Co., Ltd. เตรียมสร้างความตื่นตาตื่นใจครั้งใหญ่ในงาน Japan Mobility Show 2025 โดยขนทัพยานยนต์แห่งอนาคตและนวัตกรรมใหม่รวม 16 รุ่น ซึ่งรวมถึงโมเดลที่เปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกของโลกถึง 6 รุ่น สะท้อนวิสัยทัศน์ในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร และการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน
นี่คือไฮไลท์สำคัญของนวัตกรรมที่ Yamaha เตรียมมาโชว์
MOTOROiD:Λ (แลมบ์ดา) – มอเตอร์ไซค์ AI ที่เรียนรู้และเติบโตได้

นี่คือการก้าวข้ามขีดจำกัดของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักร MOTOROiD:Λ คือการพัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้า โดยต้นแบบใหม่นี้มีความสามารถในการ เรียนรู้และพัฒนาตนเอง อย่างอิสระผ่านเทคโนโลยี Reinforcement Learning (การเรียนรู้แบบเสริมกำลัง) และเทคนิค Sim2Real ที่ฝึกฝนในโลกเสมือนจริงแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในโลกจริง
- ความสามารถหลัก: ขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวที่ “เป็นธรรมชาติ” ซึ่งสร้างขึ้นผ่านการเรียนรู้ด้วย AI และมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการลองผิดลองถูกในระหว่างการเรียนรู้
- นิยามใหม่: MOTOROiD:$\Lambda$ มุ่งมั่นที่จะกำหนดนิยามใหม่ของยานยนต์สองล้อ และบุกเบิกอนาคตที่เครื่องจักรสามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้ใช้งาน
TRICERA Proto – รถ 3 ล้อไฟฟ้าพร้อมระบบบังคับเลี้ยว 3 ล้อ

ต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้า 3 ล้อแบบเปิดประทุนที่มุ่งเน้นการมอบ “ความสุขในการขับขี่รูปแบบใหม่”
- คุณสมบัติเด่น: ใช้ระบบ บังคับเลี้ยวสามล้อ (3WS – 3-Wheel Steering) ที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสิทธิภาพการเข้าโค้งที่เร้าใจและความรู้สึกในการควบคุมที่แตกต่าง โดยเน้นการตอบสนองที่รวดเร็วและการเชื่อมโยงระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักรในโค้ง
- การออกแบบ: มุ่งเน้นไปที่ความสนุกของผู้ขับขี่ โดยปรับแต่งระบบควบคุมการเลี้ยวจากมุมมองของการวิจัยเชิงมนุษย์ เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับรถ
PROTO BEV – ซูเปอร์สปอร์ตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

ต้นแบบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (BEV – Battery Electric Vehicle) ที่สร้างขึ้นบนแนวคิดของ “ความสนุกที่สัมผัสได้จาก EV แบตเตอรี่ความจุสูงเท่านั้น”
- จุดเด่น: เน้นที่น้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด เพื่อให้เป็นรถซูเปอร์สปอร์ต EV ที่ใช้งานง่าย พร้อมคาแร็กเตอร์การขับขี่และความรู้สึกใหม่
ยานยนต์ทางเลือกด้านพลังงานที่หลากหลาย
Yamaha แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเข้าสู่ยุคคาร์บอนเป็นกลางผ่านการนำเสนอต้นแบบที่ใช้พลังงานหลากหลาย:

- PROTO HEV (Hybrid Electric Vehicle): ต้นแบบไฮบริดแบบอนุกรม-ขนาน ที่สามารถสลับโหมดการขับขี่ระหว่าง “สงบ (Serene)” และ “เร้าใจ (Spirited)” ได้อย่างอิสระ

- PROTO PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle): ต้นแบบวิจัยและพัฒนาที่ผสานเสน่ห์ของเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับเทคโนโลยี EV ทำให้สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าเต็มรูปแบบหรือโหมดไฮบริดได้

- H2 Buddy Porter Concept: ต้นแบบรถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย ไฮโดรเจน พัฒนาร่วมกับ Toyota Motor โดยใช้ถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนแรงดันสูงขนาดกะทัดรัดที่ได้รับการรับรองสำหรับรถสองล้อ และเครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่พัฒนาโดย Yamaha
นอกจากนี้ ในบูธของ Yamaha ยังมีการจัดแสดง e-Axle ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเตรียมส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในอนาคต รวมถึงจักรยานไฟฟ้า (eBikes) ในซีรีส์ Y-00B และวีลแชร์ไฟฟ้าอีกด้วย – งาน Japan Mobility Show 2025 จึงเป็นเวทีที่ Yamaha ใช้ในการแสดงวิสัยทัศน์อันกล้าหาญและก้าวล้ำ นำเสนอนวัตกรรมที่หลากหลายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของระบบการเดินทางอย่างแท้จริง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
ฮอนด้าเปิดตัว “Super Cub Lite Series” จักรยานยนต์ 110cc พิกัด “รถจักรยานยนต์มาตรฐานใหม่” ในญี่ปุ่นเตรียมทำตลาด 11 ธ.ค. 2025

ฮอนด้า (Honda) สร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในตลาดรถจักรยานยนต์สัญจร (Commuter) ด้วยการประกาศเปิดตัวรถจักรยานยนต์ตระกูล Super Cub สามรุ่นใหม่ ได้แก่ “Super Cub 110 Lite,” “Super Cub 110 Pro Lite,” และ “Cross Cub 110 Lite” ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับ “มาตรฐานใหม่สำหรับรถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1” (เทียบเท่า 50cc เดิมในแง่ของใบอนุญาต) ของญี่ปุ่น โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 11 ธันวาคม 2025 นี้
การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นการตอบรับต่อกฎระเบียบใหม่ของญี่ปุ่นที่อนุญาตให้รถจักรยานยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบสูงกว่า 50cc แต่มีกำลังเครื่องยนต์จำกัด สามารถจัดอยู่ในประเภทเดียวกับรถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1 (ที่ขับขี่ได้ด้วยใบขับขี่รถยนต์ หรือใบขับขี่รถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1)
รายละเอียดสำคัญของ Lite Series
HONDA SUPER CUB110 Lite HONDA SUPER CUB110 PRO Lite HONDA CROSS CUB110 Lite รุ่น “Lite” ทั้งสามรุ่นนี้มีพื้นฐานมาจากรุ่น Super Cub 110, Super Cub 110 Pro, และ Cross Cub 110 โดยมีจุดเด่นที่สำคัญคือ:
เครื่องยนต์ 109cc ที่ปรับจูนใหม่: แม้จะใช้เครื่องยนต์ 109cc เท่าเดิม แต่กำลังสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 4.7 แรงม้า (ต่ำกว่าเกณฑ์สูงสุด 5.4 แรงม้า ของมาตรฐานใหม่) โดยปรับจากการตั้งค่าการจ่ายเชื้อเพลิง (Fuel Injection) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานด้วยใบอนุญาตที่ง่ายขึ้น
ความเหนือกว่าด้านสมรรถนะ:ผู้พัฒนาเน้นย้ำว่า แม้กำลังจะลดลง แต่แรงบิดที่สูงของเครื่องยนต์ 110cc ยังคงอยู่ ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ “ทรงพลังและราบรื่นตั้งแต่รอบต่ำ” ดีกว่ารถ 50cc ดั้งเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในการออกตัวบนทางลาดชัน และยังมีความเงียบกว่า
อุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน: ยังคงมาพร้อมกับชุดล้อแม็ก และดิสก์เบรกหน้า รวมถึงยางแบบไม่มียางใน (Tubeless) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เทียบเท่ากับรุ่น 110cc ระดับพรีเมียม
ความแตกต่างภายนอก (Lite Identity): เนื่องจากจัดอยู่ในประเภทที่ 1 จึงมีการตัดคุณสมบัติของรถประเภทที่ 2 ออก ได้แก่:
- ถอดสติกเกอร์/เทปสีขาวบนบังโคลน (สัญลักษณ์ของรถประเภทที่ 2)
- ถอดที่พักเท้าสำหรับผู้โดยสาร
- แผงมาตรวัดขยายขีดสูงสุดเป็น 60 กม./ชม. พร้อมเพิ่มไฟเตือนความเร็ว และมีจอ LCD แสดงตำแหน่งเกียร์
ราคาและกำหนดการวางจำหน่าย
รถจักรยานยนต์ Lite Series ทุกรุ่นมีราคาถูกกว่ารุ่น 110cc พื้นฐาน 11,000 เยน และจะวางจำหน่ายพร้อมกันในวันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2025
Super Cub 110 Lite ราคา อยู่ที่ 341,000 เยน
Super Cub 110 Pro Lite ราคา อยู่ที่ 385,000 เยน
Cross Cub 110 Lite ราคา อยู่ที่ 401,500 เยน
ผู้พัฒนาฮอนด้าแสดงความภาคภูมิใจในการนำรถในตำนานอย่าง Super Cub มาปรับให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ เพื่อมอบ “ความคล่องตัวและความสะดวกในการใช้งานที่ไม่แตกต่างจากรุ่น 50cc เดิม” แต่มาพร้อมกับ “แรงบิดที่เหนือกว่า” ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้คนในญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
HONDA SUPER CUB110 Lite HONDA SUPER CUB110 Lite HONDA SUPER CUB110 PRO Lite HONDA SUPER CUB110 PRO Lite HONDA CROSS CUB110 Lite -
ประวัติศาสตร์ของ Triumph อันยาวนานตลอด 140 ปี

เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะไม่รู้จักแน่ว่า บริษัทนำเข้าจักรเย็บผ้าจะกลายมาเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์แบรนด์ดังระดับโลก อย่าง Triumph นั่นเอง

Triumph คือแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่ยักษ์ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร และแน่นอนว่าคนไทยน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในภาพลักษณ์แนวโมเดิร์น-คลาสสิก จนกระทั่งเมื่อตอนมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวรถสปอร์ตอย่าง Daytona 660 ในประเทศไทยด้วยราคาเริ่มต้น 3 แสนกว่าบาท และหลายต่อหลายคนน่าจะรู้กันดีว่าเป็นแบรนด์รถที่ขึ้นแท่นซัพพลายเออร์หลักในการแข่งขันรุ่น Moto2 มาสักพักใหญ่ๆแล้ว แต่เรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จของรถเมืองผู้ดีค่ายนี้

ถึงแม้ว่า Triumph จะเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษ แต่ความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่ก่อตั้งแบรนด์กลับเป็นชาวเยอรมัน ซึ่งจุดเริ่มต้นเริ่มจาก Siegfried Bettmann เขาย้ายจากเมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี มาใช้ชีวิตอยู่ที่เมือง Coventry ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1883 ในปีต่อมา นาย Bettmann ในวัย 20 ปีก็ได้ก่อตั้งบริษัท S.Bettmann & Co. Import Export Agency ในกรุงลอนดอนเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายจักรยาน นอกจากนี้ยังนำเข้าจักรเย็บผ้า จากเยอรมนี
จนกระทั่งเมื่อปี 1886 Bettmann อยากจะตั้งชื่อบริษัทใหม่ให้ดูเจาะจงมากขึ้น จนได้ชื่อว่า Triumph Cycle Company และในปีต่อมา ปี 1887 ก็จดทะเบียนในชื่อ New Triumph Co.,Ltd. โดยมีค่ายยางรถยนต์อย่าง Dunlop มาช่วยซัพพอร์ตเงินทุน แถมยังได้เพื่อนร่วมเชื้อชาติอย่าง Moritz Schulte มาเป็นหุ้นส่วนอีกด้วย และนาย Schulte คนนี้นี่เองที่เป็นคนเสนอให้ Bettmann มาผลิตจักรยานเอง โดยเริ่มจากการยืมตังค์ของครอบครัว และรวมถึงของครอบครัว Schulte มาซื้อที่ดินในเมือง Coventry เพื่อตั้งโรงงานในปี 1888 และ เริ่มผลิตจักรยาน Triumph ขายในปี 1889 วันเวลาผ่านไปในปี 1896 ก็เปิดโรงงานผลิตอีกแห่งในเมืองนูเรมเบิร์ก
จุดเริ่มต้นของการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อปี 1898 Triumph คิดที่จะขยายธุรกิจจากการผลิตจักรยาน มาผลิตรถมอเตอร์ไซค์ และผลิตออกมาเป็นรถรุ่นแรกซึ่งก็คือการเอา จักรยานมาติดเครื่องยนต์ของ Minerva จากเบลเยียม หลังจากที่รถรุ่นแรกนี้ ทำยอดขายไปได้ 500 คันในปี 1903 Triumph ก็เริ่มผลิตรถรุ่นนี้ต่อที่โรงงานในเมืองนูเรมเบิร์ก จนกระทั่งปี 1904 Triumph จากเดิมที่หยิบยืมดีไซน์ชาวบ้านเขามาผลิต ก็เริ่มหันมาผลิตรถมอเตอร์ไซค์ด้วยดีไซน์ของตัวเอง จนเปิดตัวรถในปี 1905 และทำยอดขายได้ 250 คัน

ในปี 1907 Triumph มีกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นจนสามารถผลิตรถมอเตอร์ไซค์ได้ 1,000 คัน และยังเปิดตัวแบรนด์ลูกในชื่อว่า Gloria นอกจากนี้ยังมีการรีแบรนด์เพื่อส่งออกรถไปขายในต่างประเทศในชื่อว่า Orial แต่มาติดตรงที่ว่าพอเอามาขายในฝรั่งเศสแล้วขายด้วยชื่อนี้ไม่ได้เลย เพราะในประเทศฝรั่งเศสก็มีธุรกิจนึงที่ใช้ชื่อนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นรถที่ผลิตในเมืองนูเรมเบิร์กจึงต้องมีการรีแบรนด์ใหม่ในชื่อว่า TWN ซึ่งย่อมาจาก Triumph Werke Nürnberg นั่นเอง

ความสำเร็จของ Triumph เกิดขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 มาถึง บริษัทต้องเร่งการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ทีละเยอะๆ มากกว่า 3 หมื่นคัน เพื่อป้อนให้กับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร หนึ่งในนั้นก็ได้แก่รุ่น Model H นับได้ว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์สมัยใหม่รุ่นแรกของโลก ซึ่งต่อมาก็จะได้รับฉายาว่า “Trusty Triumph”

หลังจบสงครามก็ดันมีปัญหาติดขัดเล็กน้อย เพราะ Bettmann ดันไม่โอเคกับ Schulte ด้วยการที่ตัวเขาอยากจะเปลี่ยนแนวทางมาผลิตรถยนต์แทน นั่นจึงทำให้ Schulte ตัดสินใจลาออก แต่ความย้อนแย้งมาเกิดขึ้นในช่วงปี 1920 ที่ Triumph ซื้อโรงงานเก่าในเมือง Coventry ที่เคยเป็นของค่ายรถยนต์อย่าง Hillman มาผลิตรถยนต์ในปี 1923 ภายใต้ชื่อบริษัทว่า Triumph Motor Company
จนกลางทศวรรษที่ 1920 Triumph กลายเป็นผู้ผลิตหลักทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ ในประเทศอังกฤษด้วยพื้นที่โรงงานกว่า 46 ตารางกิโลเมตร รองรับการผลิตรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ กว่า 3 หมื่นคันต่อปี ในส่วนของจักรยานเองก็ส่งออกขายดิบขายดีอย่างถล่มทลาย

จุดดิ่งของ Triumph เกิดขึ้นเมื่อปี 1929 ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ “วันอังคารทมิฬ” พอดี ทำให้ Triumph ต้องขายกิจการโรงงานในเยอรมนีให้กับบริษัทผลิตเครื่องใช้สำนักงานอย่าง Adler โดยที่ยังผลิตรถมอเตอร์ไซค์ภายใต้แบรนด์ TWN อยู่ ยาวมาจนถึงปี 1957
ในปี 1932 Triumph ก็ต้องขายแบรนด์จักรยานให้กับ Raleigh Bicycle Company ถึงแม้ว่าจะต้องขายทั้ง 2 อย่างนี้ไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถประคับประคองต่อได้จนทำให้ Bettmann ในวัย 70 ปีถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่งประธานบริษัท และเกษียนในปี 1933

ในปี 1936 Triumph ถูกแบ่งออกมาเป็น 2 บริษัทย่อยโดยที่เจ้าหนึ่งผลิตรถยนต์ และอีกเจ้าหนึ่งผลิตรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งต่อมาเจ้าที่ผลิตรถยนต์ก็ล้มละลายอีก ในปี 1939 ก่อนจะถูกเทคโอเวอร์ไปโดย Standard Motor Company ส่วนมอเตอร์ไซค์ เพราะถูกซื้อไปโดย นาย John Young Sangster ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์คู่แข่งอย่าง Ariel และภายในปีเดียวกัน Triumph ก็ผลิตรถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่ส่งออกไปขายในสหรัฐอเมริกา ทำให้เติบโตเร็วจนกลายเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์อันดับต้นๆ ภายในเวลาแป๊บเดียว

และนาย Sangster ยังก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาในชื่อ Triumph Engineering พร้อมเกณฑ์เอาพนักงานเก่าของ Ariel มาทำงานอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ Edward Turner ผู้ที่ออกแบบ Triumph Speed Twin 5T ขนาด 500 cc เปิดตัวในปี 1937 และกลายมาเป็นรถสองสูบคู่เรียงที่ประสบความสำเร็จรุ่นแรกของ Triumph และยังปฏิวัติการออกแบบรถมอเตอร์ไซค์ของ Triumph ไปตลอดกาล

ต่อมาในปี 1939 Triumph เปิดตัว Tiger 100 ที่ทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กม./ชม. และขายได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะต่อมาก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อ แต่คราวนี้พินาศยิ่งกว่าเก่า เพราะทั้งเมือง Coventry และ โรงงานทั้งหมดของ Triumph โดน กองทัพอากาศเยอรมัน Luftwaffe ถล่มจนเละเทะ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ เพราะเครื่องมือ และเครื่องจักร ยังพอจะเก็บกู้และมาตั้งโรงงานใหม่ได้ในปี 1942 ที่เมือง Meriden เทศมณฑล Warwickshire

หลังสิ้นสุดสงคราม Triumph Speed Twin เริ่มผลิตได้มากขึ้น แต่ 70% ของรถทั้งหมดที่ผลิต ถูกบังคับให้ส่งออกไปขายในสหรัฐอเมริกาตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ใน “นโยบายให้ยืม-เช่า” หรือ “รัฐบัญญัติส่งเสริมการป้องกันสหรัฐ” ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาล Franklin D. Roosewelt บังคับใช้ สำหรับจัดหาอาหาร น้ำมัน และอาวุธ ให้กับประเทศพันธมิตรในช่วงสงคราม ได้แก่ ฝรั่งเศสเสรี, สหราชอาณาจักร, สาธารณรัฐจีน, สหภาพโซเวียต, และชาติพันธมิตรอื่นๆ และเจ้า Speed Twin และ Tiger 100 ที่ผลิตหลังสงครามนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่ระบบช่วงล่างที่ Triumph เป็นคนออกแบบเอง พร้อมกับเปิดตัวรุ่นพิเศษที่ใช้ในการแข่งขันอย่าง Grand Prix อีกด้วย

ในปี 1948 Triumph ก็เปิดตัวรถรุ่นใหม่ TR5 Trophy ที่ใช้เครื่องปั่นไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาทำเป็นเครื่องยนต์ขนาด 500 cc และสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรายการ International Six Days Trial ปี 1948

และด้วยความที่ตลาดอเมริกา เค้านิยมรถที่ขับขี่ออกทริปไกลๆ นาย Turner จึงต้องออกแบบรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่าเดิมถึง 650 cc และใช้ดีไซน์ของ Speed Twin เป็นต้นแบบออกมาเป็น Thunderbird ในปี 1949 ซึ่งในเวลาต่อมาลิขสิทธิ์ชื่อของรถรุ่นนี้ก็ถูกแบ่งให้ Ford เอาไปใช้กับรถยนต์ของตัวเอง ความนิยมของรถรุ่นนี้พุ่งขึ้นมาถึงขีดสุดในช่วงราวๆ ปี 1953 เพราะเป็นรถที่สุดยอดนักแสดงระดับโลก Marlon Brando ขี่ในหนังเรื่อง The Wild One ซึ่งต่อมาเขาคนนี้ก็กลายมาเป็นที่จดจำจากผลงานหนังเรื่อง The God Father ในบทของตัวละคร Vito Corleone และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนดังรุ่นต่อๆ มาอย่าง Elvis Presley หรือ James Dean อีกด้วย

ในปี 1951 Sangster ก็ขายกิจการของ Triumph ให้กับบริษัทผลิตอาวุธปืนยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ Birmingham Small Arms หรือ BSA พร้อมกับขึ้นทำเนียบผู้บริหารไปด้วย ซึ่ง BSA ไม่ได้ผลิตแค่ปืนอย่างเดียว แต่ยังผลิตจักรยาน และรถมอเตอร์ไซค์ เหมือนกับ Triumph อีกด้วย

ในปี 1954 Triumph ก็ได้เปิดตัวลูกผสมระหว่าง Tiger 100 กับ Thunderbird ออกมาเป็น Tiger 110 โดยมีการหยิบเอาจุดเด่นของทั้ง 2 รุ่นอย่าง เครื่องยนต์ 650 cc จาก Thunderbird มารวมกับความเป็นรถสมรรถนะสูงจาก Tiger 100 และถัดมาในปี 1959 ก็มีการพัฒนา T110 ขึ้นมาใหม่ โดยการจูนคาร์บูเรเตอร์คู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม กลายมาเป็น Bonneville และก็มีคู่แข่งอยู่เจ้านึงครับที่ต้องหนาวเมื่อเจอรถรุ่นนี้นั่นก็คือ Harley-Davidson ที่เริ่มมองว่ารถเดิมๆ เครื่องหลักพัน มันดูไม่สปอร์ตสมกับเป็นรถสมัยใหม่ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดแบบสาหัสสากรรจ์แน่ๆ จึงออกรุ่น Sportster เพื่อมาสู้กับ Bonneville โดยเฉพาะ

Tina

Tigress
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 Triumph ก็เริ่มขยายตลาดของตัวเองด้วยการออกรถสกูตเตอร์มา 2 รุ่นได้แก่ Tina เครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาด 100 cc พร้อมคลัทช์ออโต และ Tigress ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 แบบให้เลือกตามความชอบทั้ง สูบเดียว 2 จังหวะ 175 cc หรือ สูบคู่เรียง 4 จังหวะ 250 cc
เรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อปี 1963 จากเดิมที่ Triumph เน้นผลิตเครื่องยนต์แบบ Pre-Unit ก็เริ่มเดินสายผลิตเครื่องยนต์ Unit Construction หรือ UCE อย่างเต็มตัว และในปี 1969 Malcolm Uphill ก็ขี่ Bonneville พิชิต Isle of Man TT ได้ด้วยการทำความเร็วต่อรอบโดยเฉลี่ยถึง 160.92 กม./ชม. และยังคว้าสถิติต่อเนื่องด้วยความเร็วเฉลี่ย 161.53 กม./ชม. เมื่อแปลงเป็นหน่วยวัด ไมล์ต่อชั่วโมง ก็เท่ากับว่า Bonneville รุ่นนี้เป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกของโลกที่ทำความเร็วเฉลี่ยต่อเกิน 100 ไมล์/ชม. ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
มรสุมในช่วงยุคนี้ที่ Triumph และ BSA ต้องเผชิญ คือการมาถึงของรถมอเตอร์ไซค์ค่ายญี่ปุ่นมากหน้าหลายตา ทั้ง Honda, Yamaha หรือแม้กระทั่ง Kawasaki ที่ผลิตรถขนาดเล็กกว่า , ซ่อมบำรุงน้อยกว่า และราคาเข้าถึงง่ายกว่า

แรงปะทะอันหนักหน่วงนี้ ทำให้ Triumph จึงต้องออกรถที่เล็กลงอย่าง Bandit ในช่วงปี 1970 ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 350 cc เพื่อตอบโต้ตลาดญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ยิ่งทำให้แฟนๆ Triumph ณ เวลานั้นผิดหวังมากขึ้นไปอีก เพราะไม่เหลือเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็น Triumph
ความผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้ค่ายรถในเครือ BSA Group ทั้งหมดต้องสูญเสียรายได้ไปถึง 8.5 ล้านปอนด์ และล้มละลายไปในปี 1972 จนต้องขายกิจการยกแผงให้กับ Manganese Bronze Holdings เจ้าของแบรนด์ Norton และ Matchless พร้อมกับควบรวมมาเป็น Norton Villiers Triumph หรือ NVT แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยดึง Triumph ขึ้นมาจากปากเหวได้เลย เพราะในเดือนกันยายนปี 1973

นาย Dennis Poore CEO ของ NVT ก็ประกาศปิดโรงงาน Triumph ในเมือง Meriden ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1974 พร้อมเลิกจ้างพนักงานถึง 3,000 คน จากทั้งหมด 4,500 คน และย้ายฐานการผลิตไปยังเมือง Birmingham เหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนอดีตพนักงานออกมาประท้วง และยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ถึง 2 ปี ต่อมาหลังจากการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในตอนนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ Tony Benn ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีการค้า กับอุตสาหกรรม ทำให้สามารถจัดตั้งสหกรณ์แรงงานขึ้นมาได้ และเป็นดีลเลอร์เจ้าเดียวให้กับ Triumph ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ NVT
หลังจากที่ NVT ล้มละลายในปี 1977 สหกรณ์นี้ก็เข้าซื้อ Triumph ต่อด้วยเงินทุนที่กู้จากภาครัฐ กลายมาเป็น บริษัท Triumph Motorcycle (Meriden) จำกัด เน้นขายรถรุ่น Bonneville และ Tiger เป็นหลัก โดยรถรุ่นแรกภายใต้เจ้าของใหม่นี้ ที่ประสบความสำเร็จคือ Bonneville T140J Silver Jubilee ปี 1977 ซึ่งเป็นรถรุ่นพิเศษวางขายเพียง 1,000 คันในตลาดอเมริกา 1,000 คันในตลาดสหราชอาณาจักร และอีก 400 คันในเครือจักรภพ และยังเป็นรถรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองรัชดาภิเษกให้กับ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และในปี 1978 Triumph กลายเป็นแบรนด์ยุโรปที่ขายดีที่สุดในตลาดสหรัฐอเมริกา

T140E

T140D Special
ในช่วงปี 1978-1979 Triumph ออก Bonneville รุ่น T140D Special และ T140E ที่มีการปรับปรุงสเปคให้รองรับกับนโยบาย Muskie Act แต่ก็ไปได้ไม่สวยนัก เพราะค่าเงินปอนด์อังกฤษแข็ง ทำให้รถที่ส่งออกไปยังให้อเมริกา ดันราคาแพงขึ้นมามาก ขนาดที่ว่าต่อให้ออกรุ่น T140EX ที่เพิ่มระบบสตาร์ทไฟฟ้าก็ไม่ช่วยอะไรเลย จนมาถึงปี 1980 ภาระหนี้ของ Triumph ที่กู้จากรัฐจากเดิมที่ติดอยู่ 5 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านปอนด์กว่าๆ
ในเดือนตุลาคม 1980 รัฐบาลใหม่จากพรรคอนุรักษ์นิยมตัดภาระหนี้ที่ Triumph ต้องแบกไป 8.4 ล้านปอนด์ แต่ก็ยังเหลือหนี้อีก 2 ล้านปอนด์ที่ต้องจ่ายให้กับ การเงินเพื่อการส่งออก หรือ UKEF อยู่ดี

TR7T Tiger Trail

TR65 Thunderbird
ภายในปีนั้น Triumph ออกรถรุ่นต่างๆ มากมาย เช่น TR7T Tiger Trail ที่ใช้งานได้อเนกประสงค์ หรือ TR65 Thunderbird ที่ราคาย่อมเยาว์ แต่ก็ยังไม่สามารถประคับประคองไม่ให้ดิ่งไปอีกได้ และยอดขายในตลาดสหรัฐก็ยังร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 1983 Triumph ตัดสินใจซื้อแบรนด์ Hesketh และพัฒนาเครื่องยนต์สูบคู่เรียงขนาด 900 cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ ไปโชว์ในงาน National Exhibition Show เพื่อดึงดูดนักลงทุน จนวันที่ 23 สิงหาคม Triumph ก็ต้องล้มละลายไปในที่สุด

Bonneville T140 จาก Les Harris
ภายในปีเดียวกันนี้เอง นาย John Bloor มหาเศรษฐีที่สร้างตัวจากธุรกิจก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพี่แกก็ชุบชีวิต Triumph ให้กลับมารุ่งโรจน์สมชื่ออีกครั้ง โดยการซื้อสิทธิ์ในการผลิตรถ Bonneville T140 จาก Les Harris และผลิตที่โรงงานในเมือง Newton Abbot เทศมณฑล Devonshire เป็นการชั่วคราวถึง 5 ปี พร้อมกับจ้างพนักงานเก่าๆ ของ Triumph ให้กลับมาทำงานอีกครั้ง

John Bloor
นอกจากนี้พี่แกยังส่งพนักงานไปศึกษาดูงานถึงญี่ปุ่น และนำเอาความรู้มาพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอีกด้วย ความใจป๋ายังไม่จบเพียงแค่นี้เพราะ นาย Bloor ทุ่มเงินไปถึงเกือบๆ 100 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Hinckley เทศมณฑล Leicestershire ด้วยพื้นที่กว่า 40 ตร.กม. เริ่มผลิตรถรุ่นแรกในปี 1991 ทำเงินไปได้อย่างสวยงาม และยังก่อตั้งฐานการผลิตรถ Triumph แยกออกมาอีก 2 เจ้าที่ประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ตามมาด้วย สหรัฐอเมริกาในปี 1994 ก่อนที่หายนะจะเกิดขึ้นต่อมา
ค่ำคืนที่ 15 มีนาคม ปี 2002 เวลา 3 ทุ่มตรง ในวาระฉลองครบรอบ 100 ปี Triumph โรงงานเกิดไฟไหม้เสียหายไปกว่าครึ่ง ซึ่งต้องใช้รถดับเพลิงกว่า 30 คัน และนักผจญเพลิงถึง 100 คนในการดับไฟ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทาง Triumph ก็ยังไม่ยอมแพ้ ฟื้นฟูโรงงานนี้ได้ภายในเวลาแป๊บๆ เดียว

ในเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน Triumph ตั้งโรงงานในจังหวัดชลบุรี ประเทศไทยบ้านเรา และกลายมาเป็นฐานการผลิตหลักระดับโลก และมีจำนวนพนักงานกว่า 1,000 คน

ในปี 2006 ก็มีการตั้งโรงงานแห่งที่ 2 ของอังกฤษภายใต้ดำริของ เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่ง York และตามมาด้วยโรงงานแห่งที่ 3 ในปี 2007 พร้อมขยายกำลังการผลิตให้ได้มากกว่า 130,000 คัน

ในเดือนมิถุนายน ปี 2009 Digby Jones บารอนแห่ง Birmingham ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารของ Triumph พร้อมประกาศเปิดตัวรถ Thunderbird รุ่นใหม่ขนาด 1,600 cc

ต้นปี 2011 Nick Bloor ผู้เป็นลูกชายของ John Bloor ขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO ต่อมาในปี 2017 Triumph ลงนามข้อตกลงร่วมมือกับ Bajaj ก่อนที่ต่อมาก็จับมือกับ KTM และ Husqvarna ทำให้ Triumph สามารถผลิตรถขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ของตัวเองได้ และยังให้ Bajaj ช่วยขับเคลื่อนแบรนด์ Triumph ในตลาดอินเดีย

ในปี 2019 Triumph ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นซัพพลายเออร์หลักในรายการแข่งขัน Moto2 แทน Honda โดยเครื่องยนต์ที่นำมาใช้ในการแข่งขันคือเครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 765 cc ที่พัฒนาจากรถ Street Triple RS พร้อมจูนให้เค้นพละกำลังได้ถึง 136 hp

Tiger 1200

Speed Triple
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 Triumph ย้ายสายการผลิตรถ Tiger 1200 และ Speed Triple ไปผลิตในเมืองไทย และให้โรงงานในอังกฤษเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนา

ถัดมาในวันที่ 20 กรกฎาคม 2021 Triumph ร่วมมือกับ Ricky Carmichael แชมป์ AMA Motocross 7 สมัย และ Supercross 5 สมัย และ Ivan Cervantes แชมป์ Enduro 5 สมัย ในการพัฒนารถออฟโรด พร้อมกับการเปิดตัวซีรีส์ให้รับชมใน Youtube ชื่อ “Vision to Reality” ยาวมาจนถึงปัจจุบัน

Speed 400

Scrambler 400
ในเดือนกรกฎาคม 2023 Triumph และ Bajaj เปิดตัวรถที่พัฒนาร่วมกันได้แก่ Speed 400 และ Scrambler 400 ซึ่งทำยอดจองในตลาดอินเดียได้ถล่มทลายด้วยจำนวน 10,000 คันภายใน 10 วัน
การที่ Triumph โด่งดังขึ้นมาได้นั้น เป็นส่วนหนึ่งมาจากการตลาด Product Placement ในหนังฮอลลีวูดเรื่องต่างๆ รวมถึงยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนดังระดับโลกต่างๆ มากมาย ในหมู่รถอังกฤษด้วยกัน ถ้า Aston Martin คือเจ้าการตลาดรถยนต์บนแผ่นฟิล์มแล้ว รถมอเตอร์ไซค์ก็ต้อง Triumph นี่แหละ
Daytona 955i Speed Triple 955i นอกจากในหนังเรื่อง The Wild One ปี 1953 ที่พูดถึงก่อนหน้านี้ก็ยังมีตัวอย่างเช่น รถ Daytona 955i และ Speed Tripple 955i ในหนังเรื่อง MISSION:IMPOSSIBLE II ปี 2002,

Bonneville ในหนังเรื่อง The Avengers ปี 2012

Scrambler ในหนังเรื่อง Jurassic World ปี 2015

Scrambler 1200 XE ในหนัง James Bond ภาค No Time to Die ปี 2021

หรือแม้กระทั่ง Bonneville ในหนังสยองขวัญอย่าง Five Nights at Freddy’s ปี 2023

Triumph Bonneville T120 Elvis Presly Limited Edition
และยังมีการออกรถรุ่นพิเศษที่รำลึกถึงคนดังระดับตำนานอีกด้วย เช่น Bob Dylan, Elvis Prestley, James Dean หรือแม้กระทั่ง Steve McQueen
เรื่องราวทั้งหมดนี้คือมหากาพย์ รถมอเตอร์ไซค์ค่ายผู้ดี อายุ 140 ปีที่ล้มมาหลายรอบ แต่ก็ยังกลับมาลุกขึ้นยืนอยู่เสมอ สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
มีอะไรใหม่? กับ Honda ADV 160 รุ่นปี 2026: สกู๊ตเตอร์ SUV พรีเมียมที่มาพร้อมความล้ำหน้าและดีไซน์ที่เฉียบคมยิ่งขึ้น!

แฟน ๆ มอเตอร์ไซค์สายแอดเวนเจอร์เตรียมเฮ! เพราะมีกระแสข่าวการปรับโฉมครั้งสำคัญของ Honda ADV 160 รุ่นปี 2026 ในตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งมาพร้อมกับการอัปเกรดทั้งดีไซน์และเทคโนโลยีสุดล้ำ ก่อนจะถูกคาดหมายว่าจะมาอวดโฉมให้ชาวไทยได้สัมผัสในงาน Motor Expo 2025 ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้
| ใหม่! ดีไซน์โค้งมน แต่เฉียบคม พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย

สำหรับ ADV 160 รุ่นปี 2026 นี้ โดดเด่นด้วยการปรับลุคดีไซน์ให้มีความ “โค้งมน แต่เฉียบคมยิ่งขึ้น” ให้ความรู้สึกสปอร์ตและพรีเมียมกว่าเดิม แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือการอัปเกรดแผงหน้าปัดใหม่ โดยใช้ หน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว ที่ให้ข้อมูลคมชัดครบถ้วน และเพิ่มฟีเจอร์การเชื่อมต่ออัจฉริยะด้วยระบบ Honda Roadsync ที่ผู้ขับขี่สามารถ เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับมอเตอร์ไซค์ผ่านบลูทูธ เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัล
| เอกลักษณ์เดิมที่ยังรักษาไว้! เครื่องยนต์ eSP+ และระบบความปลอดภัยเต็มพิกัด

แม้จะมีการปรับโฉมภายนอก แต่หัวใจสำคัญของ ADV 160 ยังคงเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องสมรรถนะและความทนทาน โดยยังคงใช้ เครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว ขนาด 160 ซีซี ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 15.8 แรงม้า ที่ 8,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 14.7 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที มอบการขับขี่ที่สนุกและตอบโจทย์ทั้งในเมืองและทางลุย
ด้านระบบความปลอดภัยและฟีเจอร์อำนวยความสะดวกที่ยังคงมีมาให้อย่างครบครัน ได้แก่
- HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบควบคุมแรงบิด
- ESS (Emergency Stop Signal) สัญญาณไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน
- ISS (Idling Stop System) ระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติ
- และ กุญแจอัจฉริยะ (Smart Key)
| สีที่มีขายในตลาดอินโดฯ

- รุ่น CBS: Solid Matte Red, Solid White, Solid Black



- รุ่น ABS: Tough Matte Green, Tough Matte Brown, Tough Matte Black

- รุ่น ABS RoadSync: SUV Brown
| คาดการณ์ในตลาดไทย
คาดว่า Honda ADV 160 รุ่นปี 2026 ที่จะทำตลาดในประเทศไทยจะมาพร้อมสเปคและฟีเจอร์หลักที่ใกล้เคียงกับรุ่นที่เปิดตัวในอินโดนีเซีย รวมถึงฟีเจอร์เชื่อมต่อ Honda RoadSync ผ่านหน้าจอ TFT ใหม่นี้ด้วย และมีความเป็นไปได้สูงที่ทาง A.P. Honda จะมีการเปิดตัวรถรุ่นนี้อย่างเป็นทางการภายในงาน Motor Expo 2025 ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
ตำนานคืนชีพ! Honda CB400 Four โฉมใหม่ เตรียมเปิดตัว พร้อมนวัตกรรม “E-Clutch” สุดล้ำ

Honda เตรียมสร้างความฮือฮาให้กับวงการมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง หลังมีกระแสข่าวหนาหูจากสื่อยานยนต์ชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง Young Machine ว่ากำลังซุ่มพัฒนาและเตรียมเปิดตัว All New Honda CB400 Super Four เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งจะกลับมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงอันเป็นเอกลักษณ์ และที่น่าจับตาที่สุดคือการติดตั้งเทคโนโลยี “Honda E-Clutch” ที่จะพลิกโฉมประสบการณ์การขับขี่ไปจากเดิม



การกลับมาของตระกูล CB400 Super Four ในครั้งนี้ถือเป็นการตอบรับเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย ที่หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 399 ซีซี และเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งรุ่นเดิมได้ยุติการผลิตไปเนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานไอเสีย
ตามรายงานของ Young Machine ระบุว่า Honda CB400 Four โฉมใหม่ จะยังคงดีไซน์แนว Neo-Retro Classic ที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับองค์ประกอบที่ทันสมัย แต่จะมีการปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ ให้มีความโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น

จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดคือการนำระบบ Honda E-Clutch มาใช้กับ CB400 Four ซึ่งเป็นระบบคลัตช์ไฟฟ้าอัตโนมัติที่เคยเปิดตัวและสร้างความประทับใจมาแล้วในรุ่นพี่อย่าง CB650R และ CBR650R ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้คันคลัตช์เลยแม้แต่น้อย (ตั้งแต่เกียร์ 1) ทำให้การขับขี่ในสภาพการจราจรหนาแน่น หรือการเปลี่ยนเกียร์ต่อเนื่องขณะเร่งความเร็วเป็นไปอย่างราบรื่น สะดวกสบาย และเร้าใจยิ่งกว่าเดิม แต่ผู้ขับขี่ก็ยังคงสามารถใช้คันคลัตช์แบบปกติได้หากต้องการ

นอกจาก E-Clutch แล้ว คาดว่า All New CB400 Four จะได้รับการอัพเกรดในหลายส่วนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมีการวิเคราะห์ว่า ขุมพลัง 4 สูบเรียง 16 วาล์ว DOHC อาจจะถูกปรับจูนใหม่ให้มีกำลังมากกว่า 70 แรงม้า พร้อมกับช่วงล่างที่ทันสมัย เช่น โช้คอัพหน้าแบบหัวกลับ (Upside Down) จาก Showa รุ่น SFF-BP, ระบบดิสก์เบรกคู่ด้านหน้า พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ทั้งหน้าและหลัง และเฟรมรถแบบ Steel Diamond ที่ถูกออกแบบมาใหม่, นอกจากนี้ยังเพิ่มหน้าจอสี TFT และระบบคันเร่งไฟฟ้ามาให้อีกด้วย
กระแสข่าวดังกล่าวสร้างความตื่นเต้นอย่างมากในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์ 4 สูบเรียงคลาสกลาง และคาดการณ์ว่า Honda อาจจะมีการเพิ่มทางเลือกด้วยรุ่นพิกัด 500 ซีซี เพื่อทำตลาดในบางประเทศด้วย การกลับมาของ CB400 Four พร้อมเทคโนโลยี E-Clutch ถือเป็นสัญญาณว่า Honda กำลังรุกตลาดรถจักรยานยนต์คลาสกลางอย่างจริงจัง เพื่อตอบโต้คู่แข่งในตลาด
ต้องจับตาดูต่อไปว่า การเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นเมื่อใด และจะมีโอกาสเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือ Honda CB400 Four โฉมใหม่นี้ได้ถูกยกระดับให้เป็นมากกว่าตำนาน แต่คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความคลาสสิกและเทคโนโลยีแห่งอนาคต
ที่มา : Young-Machine.com
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
ตำนานจิ๋ว “Suzuki VanVan” คืนชีพในร่างไฟฟ้า! “e-VanVan” เตรียมเผยโฉมเต็มพิกัดในงาน Japan Mobility Show 2025!

แฟน ๆ สองล้อทั่วโลกเตรียมเฮ! เมื่อค่ายคนบ้าอย่าง Suzuki เตรียมชุบชีวิตมอเตอร์ไซค์สุดรักในตำนานอย่าง VanVan ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในยุคแห่งพลังงานสะอาด! การกลับมาครั้งนี้มาพร้อมชื่อใหม่สุดล้ำ “Suzuki e-VanVan” มอเตอร์ไซค์คอนเซ็ปต์ไฟฟ้า (BEV Fun Bike) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปลุกจิตวิญญาณแห่งความสนุกและอิสระในการขับขี่ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง!
ย้อนตำนาน: “VanVan” มินิไบค์ขาลุยที่ไม่มีวันตาย

ก่อนจะไปตื่นเต้นกับยุคใหม่ เราต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับต้นตำนานอย่าง Suzuki VanVan ที่เปิดตัวครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1970 ในชื่อตระกูล RV Series (เช่น RV50, RV90, RV125) เอกลักษณ์ที่ทำให้ VanVan ไม่เหมือนใครและเป็นที่รักของเหล่าไบค์เกอร์ก็คือ “ยางบอลลูน” (Balloon Tire) ขนาดใหญ่และหนาเป็นพิเศษ ที่ไม่ว่าจะเจอกับพื้นผิวทราย ชายหาด ดินลูกรัง หรือถนนทั่วไป ก็สามารถพาผู้ขับขี่ “บัง ๆ” (ไปเรื่อย ๆ) ได้อย่างสนุกสนานและมั่นคง ด้วยดีไซน์ไฟหน้ากลม เบาะนั่งยาวเรียบ และรูปลักษณ์ที่ดูขี้เล่น ทำให้ VanVan กลายเป็นสัญลักษณ์ของความชิลล์และความสนุกแบบไม่ผูกมัด มันห่างหายไปพักหนึ่ง ก่อนจะถูกนำกลับมาอีกครั้งในยุค 2000 ในรุ่น RV125 และ VanVan 200 ที่อัพเกรดเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะ พร้อมหัวฉีด แต่ยังคง DNA ความน่ารักและลุยได้ทุกที่ไว้เต็มเปี่ยม
e-VanVan: เรโทรล้ำยุค! ข้อมูลสำคัญที่ไม่ควรพลาด


และในปี 2025 นี้! Suzuki ได้ตัดสินใจพาตำนาน VanVan ก้าวเข้าสู่ยุค EV อย่างเต็มตัว ภายใต้ชื่อ e-VanVan! แม้ว่าจะเป็นเพียงคอนเซ็ปต์ไบค์ แต่ข้อมูลเบื้องต้นที่เผยออกมาก็ทำเอาแฟน ๆ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ!
- แรงบันดาลใจจากยุคแรก: หลายคนอาจจะตกใจว่าทำไมหน้าตาของ e-VanVan ไม่เหมือน VanVan 200 รุ่นที่เราคุ้นเคย? นั่นเพราะดีไซน์นี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก VanVan 90 ในปี 1971 ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นคลาสสิกของตระกูล!
- โครงสร้างรองรับอนาคต: เพื่อรองรับการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทีมวิศวกรได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเฟรมจากแบบ Backbone ไปเป็นแบบ Cradle (เปล) ซึ่งเป็นการผสานความคลาสสิกของดีไซน์แรกเข้ากับโครงสร้างที่แข็งแรงและทันสมัยของรถ EV อย่างลงตัว
- สมรรถนะที่น่าจับตา: ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า e-VanVan ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่มีพละกำลัง เทียบเท่ารถคลาส 125 ซีซี ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่ใช่แค่รถขี่เล่น แต่สามารถใช้งานจริงได้อย่างสนุกสนานและคล่องตัวในเมือง!
- สมรรถนะที่น่าจับตา: ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า e-VanVan ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่มีพละกำลัง เทียบเท่ารถคลาส 125 ซีซี ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่ใช่แค่รถขี่เล่น แต่สามารถใช้งานจริงได้อย่างสนุกสนานและคล่องตัวในเมือง!
- เทคโนโลยีสมัยใหม่: จากภาพคอนเซ็ปต์ เราได้เห็นรายละเอียดของชุดโช้คอัพหน้าแบบ หัวกลับ (Upside-Down), ดิสก์เบรกหน้า-หลัง พร้อมระบบ ABS เฉพาะด้านหน้า และเรือนไมล์แบบ ดิจิทัลสี ที่คาดว่าจะมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้
ปักหมุดรอ! การเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่ Tokyo


สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ การเปิดเผยข้อมูลสำคัญทั้งหมด! ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคอย่างละเอียด (เช่น กำลังขับเคลื่อน, ขนาดแบตเตอรี่, ระยะทางวิ่งต่อชาร์จ) และที่สำคัญที่สุดคือ แผนการผลิตเพื่อจำหน่ายจริงในอนาคต จะถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการในงานใหญ่ประจำปีของญี่ปุ่น Japan Mobility Show 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม นี้!
นี่ไม่ใช่แค่การเปิดตัวรถใหม่ แต่มันคือการประกาศการกลับมาของตำนานที่ทุกคนคิดถึง ในเวอร์ชันที่เข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว! แฟน ๆ มอเตอร์ไซค์ต้องเกาะติดสถานการณ์นี้ไว้ให้ดี เพราะ e-VanVan อาจเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของ Suzuki และเป็นนิยามใหม่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เน้นความสนุกแบบ “ไม่เร่งรีบ แต่ไม่หยุดนิ่ง”!
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine






























































































































































