-
ต้นกำเนิด Forza 750

รู้หรือไม่? Forza 750 กับ Forza 350 ถึงชื่อจะเหมือนกันแต่อาจจะไม่ได้เป็นญาติกันอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แม้ว่าในตลาดยุโรป จะมี Forza ตั้งแต่ขนาด 125 cc มาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ตาม ทว่า Forza 750 ไม่ได้ถูกพัฒนามาจาก Forza รุ่นเล็ก แต่มาจากรถสกูตเตอร์อีกรุ่นหนึ่ง

เรื่องราวของ Honda Forza 750 ต้องเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวของรถ Maxi Scooter รุ่นนึงอย่าง NC700D เมื่อปี 2010 หรือในชื่อเล่นว่า Integra ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับรถสปอร์ตซึ่งชื่อดังรุ่นหนึ่งของฮอนด้าตั้งแต่ยุค 80-90 โดยที่เจ้า Integra รุ่นนี้ยังเป็นเพียงรถต้นแบบเท่านั้น จนกระทั่งทาง Honda เปิดตัวรถรุ่นผลิตจริงในงาน EICMA ปี 2011
สำหรับจุดเด่นของ Integra คือการออกแบบที่มีพื้นฐานมาจากการออกแบบรถบิ๊กไบค์ NC700X และ NC700S ซึ่งเป็นรถ Dual-Sport ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์และเฟรม แทบจะเรียกได้ว่าคนละเซกเมนต์กันเลย โดยที่เครื่องยนต์เป็น 2 สูบคู่เรียงรุ่น RC61E ขนาด 670 cc 4 จังหวะ แคมเดี่ยว 4 วาล์ว ซึ่งให้พละกำลังสูงสุด 51.1 แรงม้า และบางคันถูกปรับจูนใหม่ให้พละกำลังลดลงเหลือ 47 แรงม้า เพื่อให้รองรับกับใบขับขี่ยุโรประดับ A2
และที่สำคัญคือการนำระบบเกียร์ DCT (Dual Clutch Transmission) 6 สปีด มาใช้ ทำให้ได้ฟีลลิ่งการขับขี่ในแบบรถสกูตเตอร์ แต่ยังคงให้สมรรถนะของรถบิ๊กไบค์ โดยที่สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 166.9 กม./ชม. เมื่อวัดจาก GPS และทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ 5.6 วินาที จากการทดสอบโดยสื่อรถมอเตอร์ไซค์เยอรมัน Scooter und Sport เมื่อปี 2012

และในปี 2014 Integra ก็ได้มีการปรับโฉมใหม่โดยการเพิ่มขนาดกระบอกสูบขึ้นมาเป็น 745 cc ทำให้ได้พละกำลังที่สูงขึ้นถึง 54 แรงม้า และเปลี่ยนรหัสรุ่นเป็น NC750D
ถึงแม้ว่าตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทยจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเจ้า Integra นั้นกลับไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตลาดไทยเท่าไหร่นัก เพราะในช่วงยุคนั้น คนไทย ยังชอบรถบิ๊กไบค์แบบมีเกียร์มากกว่า
ต่อจากนั้นอีกหลายปีจนมาถึงช่วงหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความนิยมในรถสกูตเตอร์ก็เริ่มพุ่งสูงมากขึ้น เนื่องจากความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวันและยังสามารถเดินทางออกทริปไกลๆ ได้ดี ทาง Honda จึงมองเห็นโอกาสที่จะทำตลาดอีกครั้งด้วยการเปลี่ยนชื่อจาก Integra กลายมาเป็น Forza 750
ในปี 2021 ซึ่งชื่อของ Forza นั้นมีความเป็นไปได้สูงมากว่าเป็นเพราะ อานิสงค์จากความสำเร็จและความนิยมของบิ๊กสกูตเตอร์ Forza ตั้งแต่รุ่น 250 ในช่วงปี 2000 ต้นๆ จนถึงรุ่น 350 ในยุคปัจจุบันนี่เอง นอกจากนี้ Forza 750 ยังมีชื่อรหัสโมเดลว่า NSS750 ซึ่งย่อมาจาก New Standard Scooter
และ Forza 750 ก็ยังหยิบยกเอาทั้งเครื่องยนต์และระบบเกียร์ DCT มาจากรุ่นพี่อย่าง Integra มาแทบทั้งหมด พร้อมกับใส่ฟีเจอร์ใหม่ๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็น Honda RoadSync, คันเร่งไฟฟ้า, โหมดการขับขี่ที่เยอะกว่า Integra หรือแม้กระทั่งระบบกุญแจ Smart Key
หลังจากที่เปิดตัวใหม่ในชื่อว่า Forza 750 แล้วก็ยิ่งเป็นที่จับตามองมากขึ้นในตลาดไทย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่ยอมเอาเข้าตลาดไทยสักที จนกระทั่งในปี 2025 งาน Motor Show ที่ผ่านมา Forza 750 ก็เปิดตัวและวางขายในตลาดไทยสมกับการรอคอย ซึ่งปรับเปลี่ยนดีไซน์ไปจากเดิมมาก และวัสดุในการทำชุดสียังเปลี่ยนมาเป็น Durabio (ดูร่าไบโอ) ซึ่งเป็นวัสดุชีวภาพที่มีความทนทานสูง และยังรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนี้ยังให้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ทั้งระบบ Cruise Control, หน้าจอ TFT ที่อัปเกรดให้ดีขึ้น และระบบเกียร์ DCT ที่ปรับปรุงใหม่
นี่คือเรื่องราวกว่าจะมาเป็น Forza 750 จนถึงทุกวันนี้ จากแนวคิดที่ต้องการผสานความสบายในการขี่กับสมรรถนะระดับสปอร์ต เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ขับทุกครั้งที่บิดคันเร่ง สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP CAR / SCOOP MOTOCYCLE2 Min Read
ประวัติ Soichiro Honda ผู้ก่อตั้งแบรนด์ฮอนด้าที่ลุกขึ้นยืนได้เพราะความรักเมีย

“ความสำเร็จของผมที่คนอื่นเห็นมีเพียง 1% อีก 99% ที่เหลือมาจากความล้มเหลว” นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งจากปากของชายคนหนึ่งซึ่งในเวลาต่อมา ก็กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ชายคนนี้คือ Soichiro Honda

ย้อนกลับไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี 1906 ที่จังหวัดชิซูโอกะ คู่สามีภรรยา Gihei Honda และ Mika Honda ได้ให้กำเนิดเด็กชาย Soichiro Honda ขึ้นมา โดยนาย Gihei ผู้เป็นพ่อทำงานเป็นช่างตีเหล็ก และซ่อมจักรยานเก่ามาขาย ส่วน Mika ผู้เป็นแม่ก็ทำงานเป็นช่างทอผ้า Soichiro ในวัยเด็กมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน และได้คลุกคลีกับเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จากการช่วยพ่อซ่อมจักรยาน
จนกระทั่งมีรถ Ford Model T คันหนึ่งขับผ่านหมู่บ้านที่ Soichiro อาศัยอยู่ ทำให้เขาตื่นเต้นมากถึงกับวิ่งไล่ตามรถคันนั้นจนหายลับสายตาไป นับได้ว่าเป็นความทรงจำที่อยู่กับ Soichiro ไปทั้งชีวิต และจุดประกายความฝันที่อยากจะออกแบบ และสร้างรถยนต์ของตัวเอง
วีรกรรมแรกๆ ของ Soichiro ค่อนข้างจะแสบมาก เมื่อเขาแอบจิ๊กเงินจากกล่อง และจักรยานของพ่อ เพื่อเอาไปเข้าชมงานแอร์โชว์ที่สนามบิน ห่างจากบ้านไปประมาณ 20 กม. แต่ว่า ค่าตั๋วดันแพงกว่าที่คิด และเงินที่เอามาก็มีไม่พอ แต่ในเมื่องานแอร์โชว์เป็นงานแสดงบินผาดโผน เขาจึงยืนรอชมนอกสนามบินแทน
ในเรื่องของการเรียนหนังสือ Soichiro เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการอ่านการเขียนในตำราสักเท่าไร เขากลับชอบในการสร้างสรรค์ในงานประดิษฐ์มากกว่า จนเมื่อเขาอายุ 15 ปี Soichiro เห็นโฆษณาประกาศรับสมัครงานของอู่รถยนต์ชั้นนำ Art Shokai บนนิตยสาร Bicycle World Magazine เขาจึงไม่ลังเลที่จะลาออกจากโรงเรียน และส่งจดหมายสมัครงานทันที ในปี 1922

ซึ่งในช่วงเดือนแรกๆ งานที่เขาได้รับจาก Yuzo Sakakibara ผู้เป็นเจ้าของอู่ มีเพียงแค่ทำงานจิปาถะ และเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกของ Sakakibara ซักอย่างงั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ Soichiro ถอดใจเลยสักนิด เขาทุ่มเทและไม่เกี่ยงงานเลยแม้แต่นิดเดียว จนในที่สุดก็ได้เรียนรู้งานช่างซ่อมรถยนต์อย่างที่ตั้งใจไว้ และกลายเป็นช่างยอดฝีมือของอู่ ในปี 1923 Sakakibara ฟอร์มทีมแข่งรถขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของ Soichiro และทีมช่างคนอื่นๆ
13 พฤศจิกายน ปี 1924 ทีมแข่งจากอู่ Art Shokai เข้าแข่งขันในรายการ Japan Motor Car Championship และคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ โดยที่มี Shinichi Sakakibara น้องชายของ Yuzo Sakakibara เป็นนักขับ และ Soichiro Honda เป็นช่างเครื่องนั่งประกบข้างไปด้วยกัน

หลังจากที่ทำงานอยู่ได้ 6 ปี Soichiro ในวัย 21 ปี ที่สำเร็จวิชาจาก Sakakibara ก็ได้รับความไว้วางใจ และส่งเขาไปเปิดสาขาที่บ้านเกิดในปี 1928 ตลอดเวลาที่เขาทำงานอยู่ในอู่นี้เขาได้รับอิสระในการทำงานค่อนข้างมาก จึงทำให้เขามีโอกาสที่จะได้ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ จนได้รับฉายาว่า “เอดิสันแห่งเมืองฮามะมัตซึ” ผลงานของเขาในช่วงเวลานั้นก็มีทั้งรถยนต์ดัดแปลง รถแข่ง หรือแม้กระทั่งเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการทำงาน อย่างเช่น แท่นยกรถยนต์

เดือนตุลาคม ปี 1935 Soichiro ก็ได้แต่งงานกับ Sachi Isobe และในเวลาต่อมา เธอทำงานบัญชีให้กับอู่ Art Shokai สาขาฮามะมัตสึ ที่เติบโตจนมีพนักงานมากกว่า 30 คน
วันที่ 7 เดือนมิถุนายน ปี 1936 Soichiro ประสบอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันเปิดสนาม Tamagawa Speedway สนามแข่งรถแห่งแรกของญี่ปุ่น อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้ Soichiro บาดเจ็บที่ตาซ้าย แต่ Benjiro ผู้เป็นน้องชายและเป็นช่างเครื่องที่ประกบคู่มาด้วยกัน บาดเจ็บรุนแรงกว่า เพราะกระดูกสันหลังหัก แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความบ้าระห่ำของ Soichiro ได้ เพราะต่อมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน Soichiro เข้าแข่งขันรถยนต์ต่อ และจะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายในชีวิต ตามคำขอร้องทั้งน้ำตาของ Sachi ภรรยาสุดที่รัก

หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นต้นมา Soichiro ก็เริ่มคิดว่า งานซ่อมรถยนต์ที่ทำๆ อยู่เริ่มไม่ตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้อีกต่อไป ณ เวลานั้น เขาอยากผลิตอะไหล่รถยนต์ขาย แต่ก็ไม่มีนักลงทุนคนไหนสนับสนุน เพราะมองว่า แค่ซ่อมรถขนาดนี้ก็ทำเงินได้เหลือเฟือแล้ว จะคิดการใหญ่กว่านั้นให้เกินตัวทำไม เขาไม่สนใจคำสบประมาทและได้ก่อตั้ง บริษัท Tokai Seiki Heavy Industries เพื่อผลิตแหวนลูกสูบให้กับ Toyota พร้อมกับเข้าศึกษาใน” สถาบันอุตสาหกรรมฮามะมัตสึ” เป็นเวลา 2 ปี สถาบันนี้ก็ได้กลายมาเป็น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิซุโอกะในปัจจุบัน
การผลิตแหวนลูกสูบ เป็นไปด้วยความน่าผิดหวังมาก เพราะแหวนลูกสูบที่ผลิตส่งไปให้กับทาง Toyota จำนวน 50 ชิ้น กลับผ่านมาตรฐานโรงงานเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ความล้มเหลวในครั้งนั้นทำให้เกิดจากความเชื่อมั่นว่า “ถ้าทฤษฎีทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ตอนนี้พวกอาจารย์คงเป็นนักประดิษฐ์กันหมดแล้ว” บวกกับว่า เขามีความมั่นใจในฝีมือมากเกินไปอีกด้วย
ทำให้เขาต้องลดอีโก้ของตัวเอง และศึกษาดูงานตามโรงงานทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้การควบคุมคุณภาพการผลิตให้มีมาตรฐานมากขึ้น และกลับมาบริหารโรงงานใหม่ ผลิตแหวนลูกสูบได้ทีละเยอะๆ และผ่านมาตรฐานของ Toyota ในที่สุด นอกจากนี้เขายังได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นมาด้วย อย่าง Nakajima Aircraft บริษัทผลิตเครื่องบินที่เวลาต่อมาก็จะกลายมาเป็นแบรนด์รถยนต์ Subaru นั่นเอง

ความท็อปฟอร์มในครั้งนี้ทำให้ บริษัท Tokai Seiki เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีพนักงานมากกว่า 2 พันคน ในขณะที่อนาคตกำลังรุ่งอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นรุ่งริ่งภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เพราะจักรวรรดิญี่ปุ่นก่อสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในปี 1937 ก่อนที่ต่อมาภายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไปห้าวกับสหรัฐอเมริกาด้วยการบุกโจมตีฐานทัพเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม ปี 1941
บริษัท Tokai Seiki ในขณะนั้นก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงยุทโธปกรณ์ ในตอนนั้น Kaichi Kawakami ประธานบริษัท Nippon Gakki หรือ Yamaha ในปัจจุบันก็ร้องขอให้ Soichiro คิดค้นเครื่องจักรที่ช่วยในการผลิตใบพัดเครื่องบินรบได้จำนวนนึง ด้วยอัตราการผลิต 4 ชิ้นต่อชั่วโมง
จากเดิมที่ผลิตด้วยมือกว่าจะได้ชิ้นนึงก็ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ จนในปี 1942 Toyota เข้ามาถือหุ้นของ Tokai Seiki มากกว่า 40% และ Soichiro โดนลดขั้นจากประธานบริษัท มาเป็น กรรมการผู้จัดการอาวุโส หนำซ้ำยังต้องเสียพนักงานชายไปเกือบหมด เพราะถูกเกณฑ์ไปรบในกองทัพ ในขณะที่ผู้หญิงและนักเรียนหญิงก็ถูกเกณฑ์มาเข้าร่วมกองกำลังอาสาสมัคร เพื่อทำงานในโรงงานแทนผู้ชาย Soichiro จึงต้องออกแบบเครื่องจักรที่ช่วยให้ผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์สามารถทำงาน ผลิตได้ง่ายขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น

ในปี 1944 โรงงาน Tokai Seiki ที่ย่านยามะชิตะ โดนลูกหลงจากการที่ เครื่องบิน B-29 ทิ้งระเบิดใส่ จนเหลือแต่ซากปรักหักพัง ก่อนที่จะซวยซ้ำซวยซ้อนต่อในวันที่ 13 มกราคม ปี 1945 เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในเขตมิคาวะ จนทำให้โรงงานในเมืองอิวาตะ พังทลายอีก เป็นเวลา 7 เดือนก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะบึ้มญี่ปุ่นด้วยระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2 ลูก
เกร็ดน่ารู้ : สำหรับเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นในเวลา 03:38 น. มีจุดศูนย์เกิดอยู่ที่ปากอ่าวมิคาวะ ลึกลงไปถึง 11 กม. วัดระดับความรุนแรงได้ถึง 6.8 ริกเตอร์ และกินรัศมีความเสียหายราว 50 กม.เสียชีวิต 1,180 คน บาดเจ็บ 3,866 คน สูญหาย 1,126 คน อาคารบ้านเรือนพังทลายไปทั้งหมด 7,221 หลัง, เสียหายหนัก 16,555 หลัง และเกิดไฟไหม้ 2 หลัง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้มันหนักหนาเกินกว่าจะฟื้นฟูไหว จนต้องตัดสินใจขายโรงงานที่ปั้นมากับมือให้กับ Toyota ด้วยจำนวนเงินกว่า 450,000 เยน หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทในปัจจุบัน บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรง ประชาชนอดอยากปากแห้ง เพราะความพ่ายแพ้ในสงคราม
Soichiro ที่เริ่มท้อและสิ้นหวังก็เริ่มใช้ชีวิต ติดเหล้า เมาหัวราน้ำ ไม่ทำงานทำการอะไรเลยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

ในเดือนตุลาคม ปี 1946 Soichiro ก่อตั้งศูนย์วิจัยขนาดเล็กพื้นที่ 16 ตารางเมตร ในชื่อว่า Honda Gijutsu Kenkyu Sho (Honda Technical Research Laboratory) ( 本田技術研究所) ที่เมืองฮามะมัตสึ ด้วยจำนวนพนักงานเพียง 12 คน เพื่อวิจัยและพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน และเครื่องจักรต่างๆ

สภาพการคมนาคมในญี่ปุ่นหลังสงครามนั้นเป็นไปด้วยความย่ำแย่มาก เพราะขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต้องเดินทางด้วยการเดิน หรือปั่นจักรยาน เมื่อ Soichiro เห็น Sachi ที่ต้องลำบากลำบนขี่จักรยานกลับจากซื้อกับข้าว เขาจึงเดินไปรื้อหาของเก่าๆ จนเจอเข้ากับเครื่องปั่นไฟของกองทัพญี่ปุ่นที่ใช้จ่ายพลังงานให้กับวิทยุไร้สาย ก็นำมา DIY เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาด 50 cc ขับเคลื่อนด้วยสายพาน มาติดตั้งบนจักรยานของ Sachi และยังนำขวดน้ำมาติดตั้งเป็นถังน้ำมัน
Soichiro เอาจักรยานดัดแปลงคันนี้มาให้ Sachi ลองขี่ไปข้างนอก ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากให้เหนื่อยกับการที่ต้องออกแรงปั่นไปซื้อกับข้าวมาเลี้ยงครอบครัว เพราะความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ Soichiro ทุ่มสุดหัวใจ เมื่อ Sachi ลองขี่ไปได้สักพักแล้วกลับมาถึงบ้านก็ได้ชี้ข้อบกพร่องต่างๆ ให้ Soichiro ได้แก้ไขก่อนจะปล่อยออกสู่ท้องตลาดในชื่อว่า Pon-Pon นั่นจึงทำให้ Sachi เป็นผู้หญิงคนแรกที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของฮอนด้านับแต่นั้นมา

หลังจากที่ Soichiro แก้ไขจนเสร็จสมบูรณ์ เขาก็ได้กว้านซื้อเครื่องปั่นไฟเหลือทิ้งมาผลิตเครื่องยนต์สำหรับติดจักรยานขาย ซึ่งก็ขายดีมาก เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างจนตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วญี่ปุ่น แห่มาสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก

Honda A-Type

Honda Dream D-Type
เมื่อวัตถุดิบอย่างเครื่องปั่นไฟเก่าๆ พวกนี้เริ่มหมดลง Soichiro ก็หันมาออกแบบเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง ออกมาเป็น Honda A-Type หรือในชื่อเล่นว่า Bata Bata และก่อตั้งบริษัท Honda Motors ในวันที่ 24 กันยายน ปี 1948 ด้วยเงินทุน 1 ล้านเยน หรือ ประมาณ 17 ล้านบาท พร้อมจ้างพนักงานจำนวน 34 คน ผลิตเครื่องยนต์สำหรับติดตั้งจักรยาน ที่กำลังบูมในญี่ปุ่น ก่อนที่ต่อมาในเดือนสิงหาคมปี 1949 Honda Dream D-Type ถูกผลิตขึ้นมาในฐานะรถมอเตอร์ไซค์อย่างเต็มตัว มาพร้อมเครื่องยนต์ 1 สูบ 2 จังหวะขนาด 98 cc พละกำลังสูงสุด 3 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 4.27 Nm นับได้ว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จของ Honda ที่ Soichiro วาดฝันเอาไว้ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ Dream นั่นเอง

Soichiro Honda (ซ้าย) และ Takeo Fujisawa (ขวา)
ภายในปีเดียวกันนี้เอง Takeo Fujisawa ขึ้นมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เพื่อช่วยเหลือ Soichiro ในเรื่องการเงิน การตลาด และการวางแผนธุรกิจ ถือได้ว่าช่วยเติมเต็มในส่วนที่ Soichiro ไม่ถนัดจริงๆ
ในปี 1950 เกิดสงครามเกาหลีขึ้นทำให้กองกำลังสหประชาชาติ ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา มีความต้องการในการสั่งซื้อเครื่องยนต์ติดจักรยานของฮอนด้ามากขึ้น ทาง Honda จึงต้องเปิดโรงงานและสำนักงานใหม่ในกรุงโตเกียว

ในเดือนมีนาคม 1951 Honda เปิดตัว Dream E-Type รถมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะรุ่นแรกของฮอนด้า และกลายมาเป็นรถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นที่ทำยอดขายได้เยอะที่สุด ณ เวลานั้น

ในปี 1952 Honda เปิดตัวเครื่องยนต์ติดจักรยานรุ่นใหม่ Cub F ที่มาพร้อมสโลแกน “ถังขาวเครื่องแดง” กลายเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก ด้วยดีไซน์ที่สวยงาม เป็นมิตรกับผู้หญิง
Takeo เองก็ริเริ่มแผนการตลาดใหม่เพื่อให้สามารถแซงคู่แข่งได้ ด้วยการหว่านจดหมายประชาสัมพันธ์ไปยังร้านขายจักรยานกว่า 5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งก็มีร้านจำนวน 30,000 แห่งให้ความสนใจ Takeo จึงดำเนินแผนการต่อโดยการเสนอขายเครื่อง Cub F จำนวน 1 เครื่องต่อ 1ร้านตามลำดับ และเมื่อร้านไหนต้องการสั่งซื้อเพิ่มก็สามารถจ่ายได้ด้วยการโอนเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทโดยตรง ถือว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น และทำให้ Takeo ประสบความสำเร็จในเรื่องของการสร้างเครือข่ายการขายแบบอิสระ และทำยอดขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ Takeo ยังเป็นคนที่วางรากฐานการในเรื่องของการ “เช่า-ซื้อ” ให้ผู้บริโภคสามารถผ่อนจ่ายกับศูนย์ได้เป็นเวลา 1 ปีอีกด้วย โดยภายในปีนั้น Honda Cub F สามารถทำยอดขายไปได้ 6,000 เครื่องในเดือนตุลาคม และ 9,000 เครื่องในเดือนธันวาคม

Honda Motor ประสบความสำเร็จจนขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตอันดับต้นๆในประเทศ แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้วยังตามหลังอยู่ ซึ่ง Soichiro เองก็ยอมรับไม่ได้ในเรื่องนี้ เพราะเขาต้องการจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งด้วยการผลิตจำนวนมาก แต่คุณภาพต้องไม่ดรอป และราคาต้องสมเหตุสมผล จึงสั่งนำเข้าเครื่องจักรจากยุโรปและอเมริกา ด้วยเงินลงทุนสูงถึง 450 ล้านเยน หรือ 1,600 ล้านบาทในปัจจุบัน ด้วยความกล้าได้กล้าเสียนี้เองก็ทำให้สามารถผลิตรถมอเตอร์ไซค์ออกมาได้อย่างมีคุณภาพ และมีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมสร้างโรงงานใหม่ และจ้างพนักงานเพิ่มจาก 214 คนเป็น 1,337 คน เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่มากขึ้น และยังมีการออกชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดตา ที่ไม่ว่าจะพนักงานหรือ ผู้บริหารทุกคนต้องใส่ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน และดูแลโรงงานให้สะอาดอยู่เสมอ
ในปี 1953 Soichiro ปลูกฝังนโยบายให้กับพนักงานว่า “คุณภาพของรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า ต้องอยู่เหนือความคาดหวังของลูกค้าเกิน 100% เสมอ” เพราะหากผิดพลาดแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวย่อมส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ ซึ่งนโยบายนี้ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การขาย ไปจนถึงบริการหลังการขาย

เดือนมิถุนายนปี 1954 Soichiro เดินทางไปศึกษาการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ในยุโรป และไฮไลต์สำคัญคือไปชมการแข่งขัน Isle of Man TT เมื่อกลับมาที่ญี่ปุ่น Soichiro ที่ยังไม่หายตื่นเต้นกับวงการมอเตอร์สปอร์ตก็เริ่มลงมือออกแบบรถสำหรับแข่งขัน และลั่นว่าจะต้องส่งรถเข้าแข่งขัน Isle of Man TT ให้ได้
วันเวลาผ่านไปจนถึงปี 1958 Honda Motor ก็ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กที่ต่อมาจะกลายเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล นั่นก็คือ Super Cub และยังกลายมาเป็นบรรพบุรุษของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน อาทิเช่น Monkey, Dream หรือแม้กระทั่งรุ่นยอดฮิตในประเทศไทยอย่าง นานาสารพัด Wave เลย

ในปีต่อมา ปี 1959 บริษัท American Honda Motor ถูกก่อตั้งขึ้นในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา พร้อมสโลแกนว่า “You meet the nicest people on a Honda” หรือ “คนดีขี่ Honda” ที่สื่อถึงภาพลักษณ์ที่สดใส ดูเป็นมิตร ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อเมริกันที่ถูกจดจำในภาพลักษณ์ของ รถมอเตอร์ไซค์คันโตๆ ที่คนขี่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนัง ดูดิบๆ เถื่อนๆ มากกว่า ทำให้ Honda Motor ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์เบอร์ 1 ของโลกในที่สุด

ภายในปีเดียวกันนี้เอง Honda RC142 กลายมาเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ได้เข้าแข่งขันใน Isle of Man TT และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในปี 1961ถึง 2 รุ่นรวด ทั้ง Lightweight และ Ultra-Lightweight รวมถึงยังคว้าแชมป์ในรายการ World Grand Prix หรือก็คือ MotoGP ในปัจจุบัน ทั้งรุ่น 125cc และ 250cc ผลงานที่ผ่านมานี้ทำให้ Honda เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และมีการตั้งฐานการผลิตนอกญี่ปุ่นแห่งแรกขึ้นที่ประเทศเบลเยียม

ถึงแม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าจะกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกไปแล้วก็ตาม แต่ Soichiro ก็ยังไม่ได้สานต่อความฝันที่เคยวาดไว้มาตั้งแต่เด็ก นั่นก็คือการเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ ซึ่งคนรอบข้างเองก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วย และอยากให้เขาทุ่มเทกับรถมอเตอร์ไซค์มากกว่า เพราะ ณ เวลานั้น ค่ายรถต่างๆ มากมายในญี่ปุ่นขับเคี่ยวกันมานานมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ย่างเท้าก้าวเข้าสู่สายการผลิตรถยนต์อย่างเต็มตัวในปี 1963 ด้วยการผลิตรถ Kei-Truck รุ่นแรกในชื่อ T360 ตามมาด้วยรถสปอร์ตเปิดประทุน S500

Honda RA272
จนกระทั่งในปี 1964 Honda Motor ตอบสนองความฝันของ Soichiro ด้วยการพัฒนา และส่งรถแข่งรุ่นแรก RA271 ไปแจ้งเกิดในการแข่งขันฟอร์มูล่าวันสนาม German Grand Prix และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในสนาม Mexican Grand Prix ปี 1965 ด้วยรถ RA272

ก่อนที่ต่อมาในปี 1972 Soichiro ก็อนุมัติให้พัฒนา และปล่อย Honda Civic ออกสู่ท้องตลาด ก่อนที่ในปีต่อมา Soichiro Honda และ Takeo Fujisawa ก็เกษียณไปพร้อมๆ กันในปี 1973 ด้วยวัย 77 ปี แถมยังถูกบรรจุชื่ออยู่ในคอลัมน์ “25 บุคคลที่น่าสนใจที่สุดแห่งปี” บนนิตยสาร People Magazine นอกจากนี้ยังได้รับฉายาว่า “Henry Ford แห่งญี่ปุ่น” อีกด้วย
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 Honda กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น และเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นเจ้าแรกที่ตั้งฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาในปี 1982 ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์รถยนต์อันดับ 3 ของโลกในช่วงปลายทศวรรษ นอกจากนี้ทาง American Society of Mechanical Engineers ยังเอาชื่อของ Soichiro Honda มาเป็นชื่อเหรียญรางวัลสาขาการออกแบบและผลิตยานยนต์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาอีกด้วย
ต่อมาในปี 1989 ชื่อของ Soichiro Honda ก็ได้รับการบรรจุอยู่ใน Automotive Hall of Fame ที่เมือง Dearborn รัฐมิชิแกน ใกล้ๆ กับกรุง Detroit

ในส่วนของชีวิตหลังเกษียณของ Soichiro เขาใช้ชีวิตตามใจอยากกับครอบครัว ทั้งการเล่นสกี ตีกอล์ฟ แข่งรถ ร่อนแฮงค์ไกลเดอร์ หรือแม้กระทั่ง นั่งบอลลูน นอกจากนี้ทั้งตัวเขา และ Takeo ยังทำข้อตกลงด้วยกันว่าจะไม่บังคับให้ลูกชายของตัวเองมาสานต่อธุรกิจของตัวเองอีกด้วยครับ ซึ่งลูกชายของ Soichiro ที่พูดถึงอยู่นี้เขาก็คือ Hirotoshi Honda ผู้ก่อตั้งสำนักแต่ง และทีมแข่ง Mugen Motorsport นั่นเอง

Ayrton Senna (Hungarian Grand Prix ปี 1991)
และแล้วในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 1991 Soichiro Honda ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 84 ปี จากอาการตับวาย เป็นเวลา 1 วันก่อนการแข่งขันฟอร์มูล่าวันสนามฮังการี ซึ่งต่อมา Ayrton Senna นักแข่งฟอร์มูล่าวันทีม McLaren ที่ใช้เครื่องยนต์ของ Honda ก็สามารถคว้าแชมป์เปรียบเสมือนของขวัญอำลา Soichiro ผู้ล่วงลับมาได้สำเร็จ และนอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1 หรือ เคียวกุจิสึ ไดจูโช อีกด้วย
นี่คือเรื่องราวชีวิตของ Soichiro Honda จากเด็กชายตัวน้อยผู้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ผ่านความยากลำบาก ความล้มเหลว และความเจ็บปวดมามากมาย จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์อันดับต้นๆ ของโลก อย่างที่ Soichiro ได้กล่าวไว้ “คุณไม่ควรละทิ้งความฝันของตัวเอง” เพราะความสำเร็จล้วนเกิดมาจากความคาดหวัง หากพบเจออุปสรรคแล้วต้องทิ้งความฝันไป ความสำเร็จย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นจริง สำหรับสกู๊ปนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ประวัติศาสตร์ของ Yamaha จากเครื่องดนตรีสู่รถมอเตอร์ไซค์

ทุกท่านต่างรู้จัก Yamaha กันเป็นอย่างดี แต่ว่าความเป็นมาของแบรนด์ของรถมอเตอร์ญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อย่าง Yamaha ที่กำลังเล่าถึงนั้นว่าเคยผลิตเครื่องดนตรีมาก่อน แล้วได้ขยายมาเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ได้ยังไง?

จุดเริ่มต้นทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อนาย Torakusu Yamaha ก่อตั้งบริษัทผลิตเครื่องดนตรีที่เมือง Hamamatsu จังหวัดชิซุโอกะ ในชื่อว่า บริษัท Nippon Gakki ก่อนจะจดทะเบียนใหม่ในชื่อ Yamaha Corporation ในปี 1987 หรือ 100 ปีให้หลัง เพื่อผลิต Reed Organ โดยเฉพาะ จนในช่วงปี 1900 บริษัท Nippon Gakki ก็เริ่มผลิตเปียโนรุ่นแรก และเริ่มผลิตแกรนด์เปียโนรุ่นแรกในสองปีต่อมา ทำให้ Nippon Gakki กลายเป็นบริษัทผลิตเปียโนเจ้าแรกของญี่ปุ่น และกลายมาเป็นแบรนด์เครื่องดนตรีที่ยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลาต่อมา จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Nippon Gakki มีบทบาทในการผลิตใบพัดเครื่องบินรบป้อนให้กับกองทัพจักรวรรดิ ซึ่งประธานในตอนนั้นอย่าง Kaichi Kawakami ก็ได้มีการไหว้วานให้นาย Soichiro Honda ออกแบบและประดิษฐ์เครื่องจักรที่ช่วยทุ่นแรงให้ผลิตได้ทีละเยอะๆ ในเวลาต่อมาเขาคนนี้ก็กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์ Honda

จนกระทั่งหลังสิ้นสุดสงคราม Genichi Kawakami ประธานคนต่อมาและเป็นลูกชายของ Kaichi ก็ตัดสินใจฟื้นฟูโรงงานขึ้นมาใหม่ และหันมาผลิตรถมอเตอร์ไซค์สำหรับขับขี่ในชีวิตประจำวัน จนมาถึงวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1955 แผนกรถมอเตอร์ไซค์ของ Nippon Gakki ก็แยกตัวออกมาต่างหากในชื่อ Yamaha Motor

โดยรถคันแรกที่ผลิตคือรุ่น YA-1 ซึ่งเป็นรถ 2 จังหวะขนาด 125 cc และหยิบเอาต้นแบบมาจากรถมอเตอร์ไซค์เยอรมันรุ่น RT125 ของ DKW มาผลิต ความพิเศษของรถรุ่นนี้คือเปิดตัวมาก็ประสบความสำเร็จในวงการแข่งขัน ด้วยการคว้าแชมป์รุ่น 125 cc ในการแข่งขันไต่ภูเขาไฟฟูจิ, คว้าโพเดียมตั้งแต่อันดับที่ 1-3 ในรายการ All Japan Autobike Endurance Road Race และชนะการแข่งไต่เขาอาซามะ ภายในปีเดียวกัน และจากความสำเร็จตั้งแต่ต้นครั้งนี้ก็กลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญในการพัฒนารถมอเตอร์ไซค์ของ Yamaha ไปอีกนานแสนนานจนถึงปัจจุบัน แถมยังได้รับฉายาว่า Aka-tombo (赤トンボ, “Red Dragonfly”) หรือแมลงปอแดง

ในปี 1956 Yamaha ส่งรถ YA-1 ไปเยือนต่างประเทศครั้งแรกในสนาม Catalina Grand Prix บนเกาะซานตา คาตาลินา ที่อยู่นอกชายฝั่งทางใต้ของนครลอสแอนเจลิส และได้อันดับที่ 6 ในการแข่งขัน ต่อมาในปี 1957 Yamaha เปิดตัวรถ YA-2 ซึ่งเป็นการปรับปรุง YA-1 ในส่วนของเฟรมกับช่วงล่าง และ YD-1 ซึ่งเป็นรถเครื่องยนต์ 2 สูบขนาด 250cc ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่และทรงพลังกว่าเดิม แถมยังผลิตมาในเวอร์ชั่นรถแข่งอย่าง YDS-1 ที่เฟรมรถเป็นแบบเปลคู่ และระบบเกียร์ 5 สปีด และในช่วงยุคนี้นี่เองครับที่ Yamaha ยังผลิตเครื่องยนต์เรืออีกด้วย

ในปี 1963 Yamaha ส่งรถรุ่น RD56 ไปแข่งขันในสนาม Belgian GP คลาส 250cc ถึง 4 คัน และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกโดย Fumi Ito และตามมาด้วย Yoshikazu Sunako คว้าอันดับที่ 2 จนในปีต่อมาปี 1964 Yamaha ต่อยอดความสำเร็จด้วยการก่อตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศไทยเป็นแห่งแรกภายใต้ชื่อ บริษัท สยามยามาฮ่า จำกัด หรือในปัจจุบันก็คือ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด นี่เอง และเลือกให้ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นฐานการผลิตแห่งแรกในยุโรปเมื่อปี 1968

ในปี 1965 Yamaha เปิดตัวรถรุ่นเรือธงอย่าง YM1 ที่ให้เครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาด 305 cc พร้อมเทคโนโลยีใหม่ในยุคนั้นอย่างระบบจ่ายน้ำมันออโตลูปเข้าไปในเครื่องยนต์โดยตรง ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องผสมน้ำมันออโตลูปเข้าไปในถังน้ำมันเชื้อเพลิงอีกต่อไป และยังประหยัดน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย และในปี 1967 Yamaha เปิดตัวรถสองสูบคู่เรียงรุ่น R1 ที่ขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 350cc

ในปี 1969 Yamaha เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะรุ่นแรกในชื่อ XS650 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์สองสูบคู่เรียงขนาด 650cc 4 วาล์ว ที่ใหญ่และทรงพลังมากกว่าเดิม ถึงแม้รถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นจะเริ่มหันมาทำรถ 4 สูบเรียงตามเทรนด์แล้วก็ตาม แต่ Yamaha ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองด้วยการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ สูบเดียว 2 จังหวะ และ สูบคู่เรียง 4 จังหวะอยู่เหมือนเดิม
ในช่วงปี 1970 Yamaha เพิ่ม Reed Valve ให้กับเครื่องยนต์ 2 จังหวะทั้งสองสูบคู่เรียงของรถตระกูล RD และ สูบเดี่ยวของรถตระกูล RS ซึ่งรถทั้งสองตระกูลนี้ก็จะลากขายยาวมาจนถึงยุค 1980 นอกจากนี้ Yamaha ยังผลิตรถขนาดเล็กอย่างรุ่น FS1 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์สองจังหวะขนาด 50cc พร้อม Rotary-Disk Valve และรถวิบากตระกูล DT จนมาถึงปี 1976 Yamaha เริ่มพัฒนาและเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ที่แหกออกไปจากความตั้งใจดั้งเดิมอย่าง XS750 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 3 สูบขนาด 750cc ก่อนที่ต่อมาในปี 1978 Yamaha ก็เปิดตัวรถ 4 สูบเรียงรุ่นแรกขึ้นมาในชื่อ XS1100 หรือ XS Eleven ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1,100cc

ในช่วงยุคนี้เองก็เป็นช่วงที่ Yamaha ได้สร้างตำนานไว้อีกหนึ่งอย่างครับนั่นก็คือการเอารถรุ่น XT500 ไปพิชิตและคว้าชัยชนะในการแข่งขัน Dakar Rally เมื่อปี 1979 จนมาถึงช่วงยุค 1980 ซึ่งเป็นยุคที่ผู้คนเริ่มมีความต้องการรถมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะมากขึ้น Yamaha ก็ยังไม่สนใจเทรนด์นี้ และยังเดินหน้าผลิตรถ 2 จังหวะต่อไป ตัวอย่างเช่น RZ-350 ที่กลายเป็นรถยอดนิยมในช่วงยุคนั้น

ในปี 1981 Yamaha ปล่อยรถ Cruiser รุ่นแรกในชื่อ XV750 หรือในอีกชื่อว่า Virago 750 มาพร้อมเครื่องยนต์ V-Twin สี่จังหวะขนาด 750cc และในปี 1984 รถมอเตอร์ไซค์ Yamaha ที่ดัดแปลงจากรถแข่งในสนาม กลายมาเป็นรถวิ่งบนท้องถนน ก็เปิดตัวเป็นครั้งแรกนั่นก็คือรุ่น RSV500R ซึ่งมีต้นแบบมาจากรถรุ่น YZR500 ที่อดีตนักแข่ง MotoGP ระดับตำนานยุคก่อน MotoGP อย่าง Kenny Roberts เคยขี่ และยังเป็นรถที่ทำขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงสนามสุดท้ายที่แข่งขันและคว้าแชมป์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะยุติบทบาทในฐานะนักแข่งรายการนี้เมื่อปี 1983 ซึ่งเจ้า RSV500R คันนี้ให้เครื่องยนต์ 4 สูบวี 2 จังหวะ 500cc

ในปีต่อมา ปี 1985 Yamaha เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ที่สมรรถนะสูงกว่าเดิม และมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กันนั่นก็คือ FZ750 มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 4 จังหวะ 750cc และเอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้คือฝาสูบที่มีถึง 5 วาล์ว และอีกรุ่นหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ RX-Z รถเน็คเก็ตในตำนาน พร้อมเครื่องยนต์สูบเดียว 2 จังหวะ 133cc และผลิตออกมาหลายต่อหลายรุ่น มีความเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ จนสิ้นสุดการผลิตไปในปี 2011

Yamaha YZF-R1 (1998)
กระโดดข้ามมาจนถึงปี 1995 Yamaha ก่อตั้งแบรนด์ใหม่เพื่อเจาะกลุ่มตลาดรถ Cruiser ในสหรัฐอเมริกา Star Motorcycles และในปี 1998 Yamaha เริ่มเจาะกลุ่มตลาด 4 สูบเรียงขนาด 1,000cc ด้วยการเปิดตัว YZF R1 โฉมแรก แถมยังดีไซน์ชุดเกียร์ให้สั้นลง ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น
ผ่านมาจนถึงยุค 2000 Yamaha ก่อตั้งฐานการผลิตเพิ่มที่ประเทศฟิลิปปินส์ และผ่านมาจนถึงปี 2015 Yamaha ลงทุนไปทั้ง 150 ล้าน USD หรือ 5 พันล้านบาท เพื่อตั้งฐานการผลิตในเขตท่าเรือกาซิม นครการาจี ประเทศปากีสถาน และในเดือนตุลาคม ปี 2017 Yamaha เข้าซื้อแผนกผลิตเครื่องยนต์ขนาดเล็กของ Subaru ซึ่งเครื่องยนต์ว่ามานี้ก็เอาไว้ใช้กับเครื่องตัดหญ้า เครื่องปั่นไฟ และปั๊มน้ำ พร้อมกับขายภายใต้แบรนด์ Yamaha นอกจาก Yamaha จะผลิตรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ก็ยังมีผลิตอย่างอื่นอีกเยอะแยะอยู่เหมือนกันครับเช่น รถ ATV ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ยุค 80, สโนว์โมบิล, เรือยนต์, เรือใบ, เจ็ทสกี

Fabio Quatararo (ซ้าย) และ Alex Rins (ขวา) สองนักแข่ง MotoGP จากทีม Monster Energy Yamaha MotoGP Team
ในส่วนของวงการมอเตอร์สปอร์ตนั้นหลายๆ คนต่างก็รู้กันว่า Yamaha เป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่แจ้งเกิดมาตั้งแต่ผลิตรถรุ่นแรกๆ โดยในปัจจุบันที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ MotoGP ที่ Yamaha ฟอร์มทีมโรงงานขึ้นมาตั้งแต่ปี 1999 ก่อนเข้าสู่ยุค MotoGP ประมาณ 1 ปี และนักแข่งคู่แรกที่เซ็นสัญญาเข้าทีมก็คือ Max Biaggi และ Carlos Checa

Valentino Rossi
และยุคที่เป็นตำนานขนาดว่า โลกต้องจดจำนั่นก็คือยุคของ VR46 นั่นเอง เมื่อ Valentino Rossi เข้ามาขี่รถ YZR-M1 ให้กับทีมเมื่อปี 2004 และคว้าแชมป์ฤดูกาลในปีนั้นทันที และเป็นเจ้าของแชมป์ 9 สมัย จนยุติบทบาทนักแข่งหลังจบฤดูกาลปี 2021

Ben Spies (ปี 2009)
ในส่วนของ WorldSBK Yamaha เข้ามาแข่งขันตั้งแต่ฤดูกาลแรกสุดเมื่อปี 1988 โดยมี Ben Spies เป็นแชมป์โลกคนแรกของ Yamaha ในฤดูกาลปี 2009 และแชมป์โลกคนล่าสุดของทีมคือ Toprak Razgatlıoğlu เมื่อปี 2021

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจและควรรู้คือ Yamaha เคยทำรถยนต์มาก่อน แถมเป็นรถสปอร์ตซะด้วย โดยแผนการพัฒนารถยนต์ของ Yamaha นั้นเริ่มขึ้นจากการทดสอบรถยนต์ต้นแบบที่ชื่อ YX-30 ซึ่งเอาต้นแบบมาจากรถ MGA และใช้ออกแบบเครื่องยนต์ให้มีขนาด 1.6 ลิตร 4 สูบ 4 จังหวะ แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างจึงทำให้ไปได้ไม่สวยครับ เพราะเจอปัญหากันไม่หยุดไม่หย่อนตลอดการทดสอบ

จนในวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1961 รถต้นแบบ YX-30 คันที่ 2 ก็ประกอบจนเสร็จ โดยจะมีการดีไซน์ตัวถังใหม่ และทำเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2 ลิตร ตามแบบของ Tice Engineering แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้เครื่องยนต์ตามที่อยากได้ เจอปัญหาอยู่เรื่อยๆ เพราะเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตยังไม่แม่นยำมากพอ โปรเจคการพัฒนารถของ Yamaha ที่ทำให้ตายยังไงก็ไม่สำเร็จสักทีทำให้เสียเงินทุนไปมหาศาลมากเลยครับ และทีมวิจัยก็ต้องถูกยุบไปในที่สุด

Nissan A550X รถต้นแบบที่ Yamaha มีส่วนร่วมในการพัฒนา
แต่ Yamaha ก็ยังไม่ยอมแพ้ และขอความร่วมมือกับ Nissan ที่อยากจะทำรถสปอร์ตเหมือนกัน และยังได้รับความร่วมมือกับ Albrecht Goertz ที่ตอนนั้นทำงานกับ BMW ช่วยกันพัฒนารถสปอร์ตออกมาเป็น A550X แต่สุดท้ายแล้วความร่วมมือนี้ก็ไม่ได้ไปต่อ ทิ้งให้ Yamaha ต้องพัฒนาโปรเจคนี้ต่อเพียงลำพัง ในขณะที่ทีมวิศวกรของ Nissan ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรเจคนี้ก็เอามาต่อยอดจนกลายมาเป็น Nissan Silvia โฉมแรก

Toyota 2000GT
เมื่อสัญญาความร่วมมือระหว่าง Yamaha กับ Nissan หมดอายุลง ทาง Yamaha จึงหันหน้าไปหา Toyota ทันทีและเอาแบบของรถ A550X คันนี้ไปพัฒนาต่อยอดโดย Yamaha จะรับผิดชอบในเรื่องของการทำเครื่องยนต์ โรงงานและเครื่องไม้เครื่องมือก็ใช้ของ Yamaha หมดเลย จนออกมาเป็น Toyota 2000GT และนั่นทำให้ Toyota และ Yamaha มีมิตรภาพที่ดีอยู่เหมือนกัน

จนกระทั่งต้องมาหยุดชะงักจากการพัฒนารถแข่ง Toyota 7 โดยที่ Yamaha รับผิดชอบการพัฒนาแชสซีส์ ซึ่งในตอนนั้น Toyota มีเป้าหมายที่จะเอารถรุ่นนี้ไปแข่งใน Le Mans และ Canadian-American Challenge Cup แต่ในระหว่างการทดสอบที่สนามของ Yamaha นักขับ Sachio Fukuzawa ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 1969 Toyota ปฎิเสธการส่งมอบภาพถ่ายอุบัติเหตุครั้งนี้ให้เป็นหลักฐานกับทางตำรวจ ด้วยเหตุผลที่เป็นความลับทางการค้า และกล่าวหาว่าเป็นเพราะความผิดพลาดของ Sachio ในเวลาต่อมา Shintaro Fukuzawa พ่อของ Sachio ก็ยื่นฟ้องกับทาง Toyota ว่าประมาทเลินเล่อ และขัดขวางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่างฝ่ายต่างสู้คดีกันยืดเยื้อนานมากถึง 12 ปี จนทางครอบครัว Fukuzawa ชนะคดีในปี 1981 และทาง Toyota ต้องจ่ายค่าเสียหายถึง 61 ล้านเยน
และนักแข่งอีกคนที่ต้องประสบชะตากรรมคล้ายๆ กันก็คือ Minoru Kawai โดยที่เขามาขับทดสอบที่สนาม Suzuka Circuit ในวันที่ 26 สิงหาคม 1970 และประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคาที่ นั่นจึงทำให้ Toyota กับ Yamaha ต้องแยกทางกัน และถอนตัวจากโครงการนี้ไปในที่สุด

ปี 1984 Yamaha กลับมาทำเครื่องยนต์รถแข่งใหม่ นั่นก็คือ OX66 เพื่อเอาไปใช้กับรถแข่ง Formula 2 โดยเป็นเครื่องยนต์ V6 ทำมุม 75 องศา ขนาด 2 ลิตร 330 แรงม้า ก่อนจะขยับมาทำเครื่องยนต์ OX77 สำหรับรถแข่ง Formula 3000 ในปี 1987 โดยเป็นเครื่องยนต์ V8 ทำมุม 90 องศา ขนาด 3 ลิตร ราวๆ 450 แรงม้า รวมถึงในช่วงยุคนี้เอง Yamaha ก็มีส่วนร่วมในการทำเครื่องยนต์ร่วมกับ Ford อีกด้วย เช่น เครื่องยนต์ Zetec-SE สำหรับรถยนต์ Ford หลายๆ รุ่น

จนกระทั่งในปี 1989 Yamaha ก็ทำเครื่องยนต์ OX88 สำหรับรถแข่ง Formula 1 ป้อนให้กับทีม West Zakspeed Racing เอาไปใส่ในรถ Zakspeed 891 โดยเป็นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.5 ลิตร ผลตอบรับที่ได้นั้นกลายเป็นว่าน่าผิดหวังมาก เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา และทีม Zakspeed ก็ถอนตัวไปในปีต่อมา ก่อนที่ในเวลาต่อมาในปี 1991 Yamaha ก็ย้ายไปทำเครื่องยนต์ให้กับทีม Brabham ออกมาเป็นเครื่องยนต์ OX99 โดยเป็นเครื่องยนต์ V12 ทำมุม 70 องศาขนาด 3.5 ลิตร พละกำลังสูงตั้งแต่ 560-700 แรงม้า และยังเป็นเครื่องยนต์ที่รับผิดชอบโดยทีมพิเศษที่ Yamaha ตั้งขึ้นสำหรับ Formula 1 โดยเฉพาะ
ในปี 1992 Yamaha ก็เอาเครื่องยนต์นี้ไปใส่รถของทีม Jordan และตั้งแต่ปี 1993-1996 Yamaha ก็หันไปทำเครื่องยนต์ให้กับทีม Tyrell ซึ่งก็แน่นอน อยู่ท้ายตารางยาวๆ ก่อนจะย้ายไปทำเครื่องยนต์ให้กับทีม Arrows ในปี 1997 เป็นปีสุดท้าย และยุติบทบาทใน Formula 1 ไปในที่สุด

Yamaha OX99-11
ในช่วงแรกๆ ที่ Yamaha ก้าวเข้าสู่ Formula 1 เป็นช่วงที่กระแสเอารถ Formula 1 มาทำเป็นรถซูเปอร์คาร์ที่สามารถวิ่งได้บนท้องถนนกำลังมา จากการมาถึงของ McLaren F1 นั่นจึงทำให้ Yamaha อยากทำบ้างจึงได้มีการ Assign งานให้ทีม Ypsilon Technology และ IAD ออกแบบรถของตัวเอง และยังได้ Takuyu Yura เจ้าของบริษัทผลิตรถแข่ง Mooncraft มาคุมงานออกแบบ จนออกมาเป็นรถหน้าตาตลกๆ ที่มีชื่อว่า OX99-11 ซึ่งเป็นรถที่ขึ้นจากแชสซีคล้ายๆ กับ F1 เลยครับ แต่ด้วยความที่อยากให้เป็นรถ 2 ที่นั่ง จึงมีเบาะเล็กๆ อยู่ด้านหลังคนขับ มีพละกำลังสูงถึง 400 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 อยู่ที่ 3 วินาที และ Yamaha ตั้งใจจะผลิตขายออกมา 50 คัน และเปิดให้จองในปี 1994 แต่สุดท้ายก็หลับไปอีกจนได้ เพราะวิกฤตเศรษฐกิจญี่ปุ่นจึงทำให้ Yamaha ต้องถอยออกมาจากโครงการนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รถที่ผลิตจริงมีเพียงต้นแบบจำนวน 3 คันเท่านั้น

Yamaha MOTIV

Yamaha Sport Ride Concept

Yamaha Cross Hub Concept
วันเวลาผ่านไปจนถึงงาน Tokyo Motor Show ปี 2013 Yamaha เปิดตัวรถ MOTIV ซึ่งเป็นรถคอนเซ็ปท์ ซิตี้คาร์ ที่ผลิตจากแชสซีที่มีชื่อว่า iStream ซึ่งเป็นผลงานของ Gordon Murray พ่อมดแห่งวงการยานยนต์นี่เอง และในงานเดียวกันปี 2015 Yamaha ก็เปิดตัวรถ Sports Ride Concept จนมาถึงปี 2017 Yamaha ก็เปิดตัวรถ Cross Hub Concept ซึ่งเป็นรถอเนกประสงค์ที่วางที่นั่งคนขับอยู่ตรงกลาง

จนในปี 2022 Yamaha ก็เข้ามามีส่วนร่วมกับ Subaru เพื่อพัฒนารถแข่งไฟฟ้า STI E-RA โดยการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า และ อินเวอร์เตอร์มาให้ถึง 4 ตัวให้พละกำลังรวม 1,100 แรงม้า เพื่อใช้ในการสร้างสถิติทำเวลาต่อรอบที่สนาม Nuburgring โดยเฉพาะ และตั้งเป้าไว้ว่าจะทำเวลาให้ต่ำกว่า 6 นาที 40 วินาที และเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา Yamaha กลายมาเป็นซัพพลายเออร์ให้กับทีมแข่งรถสัญชาติอังกฤษ Lola Cars ที่ก้าวเข้าสู่สนามแข่งขัน Formula E โดยเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2025

จากรากฐานดนตรีสู่จักรยานยนต์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก ยืนยันวิสัยทัศน์แห่งความเป็นเลิศและความกล้าท้าทาย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้โลกก้าวไปข้างหน้า สำหรับสกู๊ปนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
ARCH Motorcycle เมื่อนักแสดงดัง เคียนู รีฟส์ ก่อตั้งแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์เอง

หลายๆ คนคงจะรู้จัก เคียนู รีฟส์ กันเป็นอย่างดีในฐานะพระเอกดังระดับโลก ไม่ว่าจะในบทของ John Wick, ในบทของ Neo จากเรื่อง The Matrix หรือในบทของ Johny Silverhand จากเกม Cyberpunk 2077 รวมถึงยังเป็นที่รู้จักในเรื่องของนิสัยที่ สมถะ ติดดิน มีน้ำใจ จนกลายเป็นที่รักของใครหลายๆ คน
ในปี 2007 เคียนู รีฟส์ เอารถ Harley-Davidson รุ่น Dyna มาให้ คีธ โอลิเวอร์ ที่ทำงานการตลาด และดูแลเว็บไซต์ของแบรนด์เครื่องหนัง Bill Wall Leather อยู่ ดูว่าจะแต่งยังไงให้ลุคดูโหดๆ ได้บ้าง คีธ ก็บอกกับ เคียนู ว่างานนี้ค่อนข้างยาก และต้องให้ใครคนนึงทำให้ คีธ ก็ติดต่อไปหาช่างคนนึง

เขาคือ การ์ด ฮอร์ลินเจอร์ ที่ต่อมาเขาก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์นี้ขึ้นมาเอง เมื่อ เคียนู มาหาช่าง ฮอร์ลินเจอร์ เจ้าตัวก็บอกว่า “You know, I don’t make sissy bars, but why don’t you come inside and see what we do here?” (“ผมจะไม่ทำรถตามที่คุณบอก แต่มีทีเด็ดที่จะเอามาใส่ในรถคุณได้อยู่”) ช่าง ฮอร์ลินเจอร์ ก็พา เคียนู เข้าไปดูในร้าน
สิ่งที่เขาคนนี้ได้เห็น คือ พาร์ทแต่งรถที่ทำขึ้นมากับมือออกมาถูกใจ เคียนู มาก เจ๋งกว่าที่เจ้าตัวบรีฟเอาไว้อย่างมาก หลังจากที่ออกแบบและทดสอบมาเป็นเวลา 3 ปี รถต้นแบบในชื่อ KRGT-1 ที่แปลงมาจาก Harley-Davidson Dyna ในวันนั้นแต่ยังเก็บเครื่องยนต์ V-Twin เดิมๆ เอาไว้ก็ถูกใจ เคียนู มาก จึงชวนช่าง ฮอร์ลินเจอร์ ให้เปิดมาแบรนด์ผลิตรถด้วยกันขึ้นมา โดยตอนแรกๆ นั้นช่าง ฮอร์ลินเจอร์ ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะเขามีอู่ที่ต้องดูแล และไม่ได้สนใจในเรื่องของการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาใหม่ทั้งคัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอม เพราะ เคียนู เชื่อมั่นมากๆว่าเราทำของเจ๋งๆออกมาได้ จนทั้งคู่ก่อตั้งแบรนด์ ARCH Motorcycle ขึ้นมาในปี 2011

โดยที่ชื่อของ ARCH นั้น เคียนู ได้เล่าให้ฟังในยูทูปช่อง Jay Leno’s Garage ว่าตอนที่นั่งคิดชื่อกับช่าง ฮอร์ลินเจอร์ ก็คิดๆกันว่าชื่อมันต้องบอกตัวตน มีสตอรี่จนเกิดชื่อ ARCH ขึ้นมานี่เอง ที่แปลว่า “โค้ง” อย่างเส้นโค้ง หรือ Curve ที่นอกจากจะเป็นความสวยงามทางศิลปะแล้ว ยังใช้สอยในชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งมักจะเจอได้อย่างตาม สะพาน, ซุ้มประตู, โครงสร้างต่างๆ และยังสื่อความหมายอีกด้วยว่า “เหมือนสะพานที่เชื่อม 2 สถานที่ไว้ด้วยกันให้สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้”
จนกระทั่งในเดือน พฤศจิกายน ปี 2017 เคียนู รีฟส์ กับช่าง การ์ด ฮอร์ลินเจอร์ ก็ไปตั้งบูธที่งาน EICMA และเปิดตัวรถถึง 3 รุ่น โดยคันแรกก็คือ KRGT-1 ที่อัปเกรดมาจากรุ่นต้นแบบให้ดีกว่าเดิม เครื่องยนต์ V-Twin ขนาด 2,032 cc 130 แรงม้า คันที่สองคือ 1s ที่เป็นรถสวิงอาร์มแขนเดียว เน้นขับขี่แบบสปอร์ตคล่องตัว และคันสุดท้ายคือ Method 143 และทำขึ้นมาเพียง 23 คันเท่านั้น

ความพิเศษของรถมอเตอร์ไซค์ ARCH นั้นอยู่ที่ชิ้นส่วนแต่ละชั้นประกอบขึ้นจากหลายแหล่งที่การันตีคุณภาพมาก ทั้งเครื่องยนต์ V-Twin จาก S&S Cycle เจ้าเดียวกับที่ Harley-Davidson สั่งทำวาล์วเครื่องยนต์, ท่อไอเสียของ SC Project แต่ก็มีบ้างที่ เคียนู กับช่าง ฮอร์ลินเจอร์ ลองทำอะไรแปลกๆ อย่างเอาท่อ Yoshimura มาใส่กับเครื่องยนต์สไตล์อเมริกัน โช้คทั้งหน้าและหลังก็เป็นของ Ohlin แล้วมาติดแบรนด์ ARCH ทีหลัง ปั๊มเบรกใช้ของ ISR จากสวีเดน ระบบ ABS ของ BOSCH และล้อคาร์บอนไฟเบอร์ของ BST ในส่วนของโครงรถส่วนใหญ่จะทำจากวัสดุ เหล็กกล้า ซับเฟรม, บอดี้ และสวิงอาร์ม เป็นอะลูมิเนียม CNC บังโคลน ฝาครอบต่างๆ รวมถึงล้อ ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์

KRGT-1

1S

Method143
ส่วนในเรื่องของราคา KRGT-1 ราคาอยู่ที่ 85,000 USD หรือราวๆ 2.8 ล้านบาท ส่วน 1s ราคาอยู่ที่ 128,000 USD หรือราวๆ 4.3 ล้านบาท และ Method143 ราคาอยู่ที่ 250,000 USD หรือราวๆ 8.3 ล้านบาท ซึ่งราคาที่ว่ามานี้ยังไม่รวมภาษีถ้าหากนำเข้ามาในประเทศไทยนั่นเอง
ARCH Motorcycle ไม่ใช่เพียงแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ธรรมดา แต่เป็นภาพสะท้อนหัวใจและความหลงใหลของเคียนู รีฟส์ ที่อยากส่งต่อประสบการณ์การขี่ในแบบที่พิเศษสุดให้กับคนรักสองล้อทั่วโลก และสำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ประวัติ Benelli แบรนด์มอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี

Benelli ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ชื่อดังของอิตาลี ได้สร้างมรดกอันแข็งแกร่งนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1911 โดยมีชื่อเสียงในเรื่องการออกแบบที่ประณีตและความเป็นเลิศในการแข่งขัน ประวัติศาสตร์ของแบรนด์นี้เต็มไปด้วยนวัตกรรมอันทะเยอทะยานและความสำเร็จที่โดดเด่น

โดยเรื่องราวเริ่มต้นกำเนิดในปี ค.ศ. 1911 เมืองเปซาโรของอิตาลี ได้ก่อกำเนิดแบรนด์รถจักรยานยนต์ Benelli ขึ้นจากหญิงสาวที่มีชื่อว่า เทเรซา โบนี เบเนลลี ได้นำเงินทุนทั้งหมดของครอบครัวไปลงทุนในโรงรถ Benelli Garage ต้องรับช่วงต่อธุรกิจจากสามีที่ล่วงลับ และคาดหวังให้ลูกๆ ของเธอทั้ง 6 คน ได้แก่ จูเซปเป, จิโอวานนี, ฟรานเชสโก, ฟิลิปโป, โดเมนิโก และ อันโตนิโอ ซึ่งเธอได้ส่งพี่ใหญ่ทั้งสองอย่าง จูเซปเป และ จิโอวานนี ไปเรียนวิศวะที่สวิตเซอร์แลนด์ และกลับมาก่อตั้งร้านซ่อมจักรยานและมอเตอร์ไซค์ รวมถึงยังผลิตอะไหล่เองอีก

จนสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้น พวกเขาก็รับงานซ่อมเครื่องจักรต่างๆ ให้กับกองทัพอิตาลี และต่อมาในปี 1920 เหล่าพี่น้อง Benelli ทั้ง 6 ก็ประกอบรถมอเตอร์ไซค์ต้นแบบคันแรกขึ้นมาด้วยเครื่องยนต์ 1 สูบ สองจังหวะ 75 cc บนเฟรมรถจักรยาน ก่อนที่ในปีต่อมาได้ประกอบรถมอเตอร์ไซค์คันแรกจริงๆ ด้วยเครื่องยนต์ที่พัฒนาเองขนาด 98 cc
- ความสำเร็จแรกของ Benelli

ในปี 1927 เครื่องยนต์รุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จของ Benelli และทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 175 cc ระบบวาล์ว Cascade และ OHC ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ จูเซปเป ได้ศึกษาและนำไปต่อยอดมาจากบทความของ Edward Turner ผู้ออกแบบรถมอเตอร์ไซค์ Triumph และถูกตีพิมพ์บนนิตยสาร Moto Revue จากฝรั่งเศส และ อันโตนิโอ น้องคนเล็กสุดของพี่น้อง Benelli ก็เริ่มเฉิดฉายในสนามแข่งเป็นครั้งแรก โดยการขี่รถ Benelli 175 ไปคว้าแชมป์ระดับประเทศ ด้วยเครื่องยนต์แคมเดี่ยวในปี 1927, 1928, 1930 และด้วยเครื่องยนต์แคมคู่ในปี 1931 แต่ความสำเร็จของเขาก็อยู่ได้ไม่ยั่งยืน เพราะในปี 1932 อันโตนิโอ ประสบอุบัติเหตุรุนแรงบนสนามจนต้องเลิกแข่งและยังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตในวันที่ 27 กันยายน ปี 1937
ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 Benelli เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ 4 สูบเรียง Supercharged คลาส 250 cc 52 แรงม้า ที่สามารถทำความเร็ว 230 กม./ชม. และหมายมั่นปั้นมือว่าจะลงแข่ง Isle of Man TT ปี 1940 เพื่อเอาชนะต่อเนื่องจากปี 1939 แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แข่ง เพราะถูกแบนจากชาติพันธมิตร

- บาดแผลจากหายนะ
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานหลายแห่งของ Benelli ถูกทำลาย ความเสียหายทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาฟื้นฟู 3-4 ปี ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจของอิตาลีที่ไม่มั่นคง เพราะแพ้สงครามและประจวบกับปัญหาหลังบ้านของ Benelli เมื่อ จูเซปเป มีความเห็นเรื่องแผนการผลิตที่ขัดแย้งกับน้องๆ ของเขาจนไม่คุยกัน ก่อนจะแยกตัวมาก่อตั้งแบรนด์รถยนต์ BBC Automobili ในปี 1946 ร่วมกับ ปิเอโร่ บาเร็ตต้า ผู้ก่อตั้งแบรนด์อาวุธปืนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และก่อตั้งแบรนด์มอเตอร์ไซค์อีกเจ้าคือ MotoBi ในปี 1952
ทาง Benelli ต้องเปลี่ยนมือ CEO ให้ จิโอวานนี พี่คนรองที่ถึงแม้จะไม่ชำนาญการออกแบบเท่า จูเซปเป แต่ก็มีทักษะการบริหารที่ดีมาดูแลแทน รถรุ่นใหม่ๆ ในช่วงยุคนี้จึงถูกออกแบบภายใต้วิสัยทัศน์ที่ เน้นน้ำหนักเบา น่าเชื่อถือ และราคาจับต้องง่าย จนเกิดรถรุ่น Letizia ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 จังหวะ 98 cc กลายเป็นรถ Benelli ยุคหลังสงครามโลกที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ก่อนที่จะเปิดรถรุ่นต่อมาอย่าง Leoncino และผลิตตั้งแต่ปี 1950-1960 เป็นจำนวนมากกว่า 45,000 คัน ที่มีทั้ง 2 ล้อ และ 3 ล้อ และยังเป็นรถที่ Leopoldo Tartarini ได้รับชัยชนะในการแข่งขันรายการ Motogiro d’Italia
- เมื่อแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ มาจับปืน
Benelli Buzzer Benelli Dynamo Benelli Hornet Benelli Hurrican Benelli Mojave Benelli Tornado Benelli Volcano ในช่วงยุค 60 ก็ยังเป็นช่วงที่เศรษฐกิจยังคงย่ำแย่อยู่ Benelli จึงแก้ปัญหานี้ด้วยการส่งออกรถไปขายในตลาดสหรัฐอเมริกา หลายรุ่น ได้แก่ Tornado 650, Mojave 260/360, Buzzer, Hurrican, Dynamo, Hornet หรือแม้กระทั่ง Volcano

และด้วยความที่เหล่าพี่น้องตระกูล Benelli มีรสนิยมชอบกิจกรรมล่าสัตว์ ทำให้ จิโอวานนี ได้ก่อตั้งแบรนด์อาวุธปืนขึ้นมาในปี 1967 หนึ่งในผลงานของแบรนด์นี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด คือ ปืนลูกซอง Benelli M4 Super 90 อาวุธคู่บุญจากหนังเรื่อง John Wick หรือยังมี Supernova ที่ตำรวจไทยบ้านเราใช้กันอยู่
จนกระทั่งมาถึงช่วงยุค 70 การมาของรถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่น ทำให้แบรนด์รถอิตาลีในยุคนั้นเสื่อมความนิยมมากกว่าเดิม จน Benelli และ Moto Guzzi ต้องขายแบรนด์ให้กับ อเลฮานโดร เดอ โทมาโซ อดีตนักแข่ง Formula 1 ชาวอาร์เจนติน่าเชื้อสายอิตาลี ในปี 1971 และเอาแบบของ Honda CB500 มาผลิตมาเป็นรถของตัวเองในชื่อ Benelli Quattro และพัฒนาต่อออกมาเป็น Sei รถ 6 สูบเรียงรุ่นแรกของโลกที่ขับขี่ได้บนท้องถนน ซึ่งก็ได้รับรางวัล Moto dell’anno ในปี 1974 และทำยอดผลิตไปได้ 3,200 คันในปี 1977
- ยุคฟื้นฟู และความท้าทาย
ในช่วงยุค 80 การรุกคืบของรถญี่ปุ่นเริ่มรุนแรงมากขึ้นจนเข้าขั้นวิกฤต ทำให้ยอดขายของ Benelli ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องจนในปี 1989 Benelli ต้องถูกขายให้กับ จิอันคาร์โล เซลชี ก่อนที่ในปี 1995 ก็จะส่งไม้ต่อให้ อันเดรอา เมอร์โลนี่ ในวัย 28 ปีที่มีความฝันอยากจะชุบชีวิต Benelli ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเริ่มจากการตั้งโรงงานแห่งใหม่ริมถนน Strada della Fornace Vecchia และในปีต่อมาก็เปิดตัวรถสกูตเตอร์รุ่นต่างๆ ในช่วงยุค 2000

Benelli Tornado Tre 900
ในปี 1999 Benelli ก็ได้จ้างช่าง ริคคาโด้ โรซ่า ให้มาออกแบบรถสปอร์ต Tornado Tre ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 3 สูบเรียงขนาด 900 cc ที่มีความประหลาดมาก เพราะหม้อน้ำถูกวางไว้ใต้เบาะแทนที่จะวางไว้บริเวณด้านหน้า พร้อมติดตั้งใบพัดระบายความร้อนอีก ซึ่งต่อมารถรุ่นนี้ก็เปิดตัวในปี 2002 ก่อนจะตามมาด้วยรถ Naked Bike ที่หลายๆ หรือ TNT จนในปี 2001-2002 นาย เมอร์โลนี่ ได้ส่งทีมของตัวเองและรถ Tornado Tre รุ่นนี้เข้าแข่งขันในสนาม WorldSBK โดยที่มี ปีเตอร์ ก็อดเดิร์ด อดีตนักแข่ง MotoGP ยุค 90 เป็นคนขี่
- ก้าวสู่แผ่นดินจีน

Yan Haimei
ถึงแม้ว่าการมาถึงของ Benelli Tornado Tre จะทำให้กลับมาเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ยอดขายรถก็ยังสวนทางอยู่ครับจนทำให้ เมอร์โลนี่ ตัดสินใจถอนตัวและขายกิจการให้กับกลุ่มทุนใหญ่จากจีน นั่นก็คือ Qianjiang Motor Group ภายใต้การบริหารของ Yan Haimei ก่อนจะถูกยุบรวมกับ Geely ในปี 2015 ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือการออกแบบรถที่ผสมผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของจีน กับหน้าตาที่ยังคงกลิ่นอายของความเป็นรถอิตาลีบ้านเกิดอย่าง TRK 500 และ TRK 502X
- Benelli ในวงการสนามแข่ง


Dario Ambrosini (ซ้าย) และ Kelvin Carruthers (ขวา)
ในวงการมอเตอร์สปอร์ต Benelli นับได้ว่าค่อนข้างจะมีผลงานน้อยอยู่พอสมควร เช่น MotoGP ที่เคยคว้าแชมป์โลกมาเพียง 2 ครั้งเท่านั้นในคลาส 250 cc ได้แก่ ปี 1950 และปี 1969, Isle of Man TT ที่คว้าแชมป์มา 3 ครั้งในรุ่น Lightweight TT ได้แก่ปี 1939, 1950 และปี 1969 ทั้งสองรายการนี้นักแข่งที่ตึงที่สุด ได้แก่ Dario Ambrosini และ Kelvin Carruthers รายการแข่งขันที่จะดูเยอะเป็นพิเศษนั้นก็มีเพียง Italian Speed Championship เท่านั้นที่คว้าแชมป์ทั้งหมด 16 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1927 ถึง 1969
ทั้งหมดนี้คือเกร็ดความรู้เรื่องราวของ แบรนด์มอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ที่สุดของอิตาลีที่สุดใน Benelli นี้ ที่หลายท่านอาจเคยสงสัยหรือไม่รู้มาก่อน สำหรับ Scoop นี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
6 ปี “โมโตจีพี สนามประเทศไทย” อีเว้นต์ที่มากกว่ากีฬา คือพลังแห่งความร่วมใจ-ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สร้างปรากฎการณ์ในหลากหลายมิติ
โมโตจีพี สนามประเทศไทย เรียกว่า ที่สุดในทุกทาง ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์และปรากฎการณ์ใหม่มากมาย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 24,853 ล้านบาท ถูกเผยแพร่สู่สื่อมอเตอร์สปอร์ตยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ด้วยเสน่ห์ความเป็นไทยในหลากหลายมิติ สุดยอดอีเว้นต์ที่มากกว่าการแข่งขัน
การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก“โมโตจีพี” สุดยอดศึกสองล้อที่เร็วที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก รายการกีฬายอดนิยมมีผู้ชมมากที่สุดรายการหนึ่งของโลก ถ่ายทอดสดไปมากกว่า 200 ประเทศ ยอดผู้ชมในทุกแพลตฟอร์มกว่า 1,000 ล้านคน ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ 6 ปี ตั้งแต่ปี 2561, 2562, งดจัดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ในปี ปี 2563 ถึง 2564, จากนั้นจัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
■ สนามเปิดฤดูกาลโอกาสทองฝังเพชรที่ทั่วโลกต่างต้องการ

ในปี 2568 ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ สนามที่ 1 ของฤดูกาล ภายใต้ชื่อรายการ PT Grand Prix of Thailand 2025 (พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์) ได้รับบทบาทสำคัญ ทั้งการแถลงเปิดฤดูกาล Season Premier โดยดอร์น่าสปอร์ต ต่อด้วย Pre-Season Test และ Main Race 28 ก.พ.-2 มี.ค.ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพปีที่ 6 ซึ่งดอร์นา สปอร์ต เปิดเผยว่าทั้ง 3 อีเว้นต์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศไทย ใช้เงินลงทุนไปมากกว่า 23 ล้านยูโร หรือประมาณ 819 ล้านบาท ไม่รวมกับงบประมาณจัดงานจากฝั่ง การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท.
ซึ่งบทบาทในปีนี้ถือโอกาสทองจาก 22 สนามที่จะถูกจัดขึ้นทั้งปีทั่วโลก เนื่องจากได้รับความสนใจจากทั้งสื่อมวลชนและแฟนความเร็วมากที่สุด เพราะจะได้เห็นนักแข่งกับการวางแผนทำงานของทีมแข่ง ภายใต้รถแข่งในเทคโนโลยีใหม่, ผลงานภายใต้สนามนี้ เรียกว่าเป็นสนามที่จะชี้ชะตาของฤดูกาล 2025 เลยก็ว่าได้ และการได้รับโอกาสเหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของ ”สนามประเทศไทย” ที่โดดเด่นมากที่สุดสนามหนึ่งของโลก
■ ถนนทุกสายมุ่งสู่บุรีรัมย์ ไม่เกินความจริง

หนึ่งภาพอันยิ่งใหญ่ของการจัดมหกรรมกีฬาระดับพรีเมียมนี้ ทำให้สุดสัปดาห์ของการจัดการแข่งขันตลอด 6 ปีที่ผ่านมาได้ สร้างปรากฎการณ์-ดึงดูดผู้คนหลายแสนคนมุ่งไปยัง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยโมโตจีพี ปี 2561 มีผู้ชมเข้าร่วมงาน 222,535 คน, ปี 2562 จำนวน 226,655 คน, ปี 2565 จำนวนผู้ร่วมงาน 178,463 คน, ปี 2566 จำนวน 179,811 คน, ปี 2567 จำนวน 205,373 คน และในปี 2568 ด้วยตัวเลขผู้ชมที่สูงถึง 224,634 คน ทำให้ PT Grand Prix of Thailand 2025 คือการแข่งขันกีฬาระดับโลกรายการใหญ่ที่สุด ที่มีการจัดในประเทศไทย
■ โมโตจีพีไม่ใช่แค่การแข่งขันแต่คือแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

“โมโตจีพี สนามประเทศไทย” เป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอย่างยอดเยี่ยม เริ่มจากปี 2561 สร้างเงินหมุนเวียนโดยรวมจากการจัดงานคิดเป็นมูลทางเศรษฐกิจ 3,053 ล้านบาท, ปี 2562 จำนวน 3,457 ล้านบาท, ปี2565 จำนวน 4,048 ล้านบาท, ปี 2566 จำนวน 4,493 ล้านบาท, ปี2567 จำนวน 4,759 ล้านบาท
ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผยข้อมูลสำคัญ PT Grand Prix of Thailand 2025 ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. – 2 มี.ค. 2025 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ผู้เข้าร่วมงานรวมกว่า 224,634 คน เป็นคนไทย 172,565 คน ชาวต่างชาติ 52,069 คน มูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 5,043 ล้านบาท กระตุ้นการใช้จ่ายกว่า 4,268 ล้านบาท ใช้งบจัดงาน 775 ล้านบาท สร้างงาน 7,772 ตำแหน่ง ภาษีที่รัฐเก็บได้กว่า 318 ล้านบาท
ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ “โมโตจีพี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันสูงถึง 24,853 ล้านบาท เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของนโยบาย World Grand Prix และ Sport Tourism ได้อย่างเป็นรูปธรรม
■ แง่มุมงดงามของการจัดแข่งขัน

“โมโตจีพี สนามประเทศไทย” เป็นมหกรรมกีฬาที่ทุกคนต่างมีส่วนร่วม เกิดขึ้นได้และขับเคลื่อนไปอย่างงดงาม ภายใต้ความร่วมมือที่ผนึกแน่นทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภายใต้การนำของการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ภาคเอกชนและภาคประชาชนมากมาย ก่อให้เกิดกิจกรรมที่สมบูรณ์พร้อมในและนอกสนาม ในฐานะที่ประเทศไทยและชาวไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกัน
ทั้งนี้ การจัดการแข่งขันโมโตจีพีสนามประเทศไทยนั้น ลำพังแค่ “ฅนบุรีรัมย์” จะไม่สามารถจัดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า “มหานครแห่งกีฬาของประเทศไทย” แห่งนี้ ได้ฝากฝีมือไว้ในการจัด “มหกรรมกีฬา”ที่ยิ่งใหญ่มากมายด้วยลูกหลานบุรีรัมย์ คำว่า “บุรีรัมย์ทำถึง” ถูกขนานนามผ่านสื่อและประชาชนนับครั้งไม่ถ้วน
“ชัตเติ้นแต๋น” จากเรือกสวนไร่น่า มาสู่ฮีโร่สำคัญของการขนส่งผู้คน สร้างตำนานและภาพจำบทใหม่ของการนำส่งผู้ชมสู่เซอร์กิต ประดับประดารถด้วยวัฒนธรรมอีสานใต้ สวยงามเป็นเอกลักษณ์
“GU เก็บ” คนเล็กหัวใจใหญ่ คณะจิตอาสานับพันคน ที่ทำหน้าที่เบื้องหลังความสำเร็จด้านความสะอาด, Ask me “มีอะไรถามฉัน” อาสาสมัครด้านการท่องเที่ยวทั้งครู อาจารย์ เยาวชนในท้องถิ่น, ชาวต่างชาติที่มาร่วมโครงการกว่า 500 คน คอยให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวก ตอบคำถาม แก่นักท่องเที่ยว ที่เดินทางไปชมงานโมโตจีพี ที่จังหวัดบุรีรัมย์
■ เสน่ห์วิถีไทย เฟสติวัลที่ยิ่งใหญ่ ครบเครื่อง

ที่ถูกชื่นชมตลอดมา คือ “เสน่ห์วิถีไทย” ที่เป็นแรงส่งทุกด้าน มัดใจผู้คนทั่วโลกทั้งแฟนโมโตจีพี“ตัวยง”และยังตอบโจทย์ให้กับคนอีกกลุ่มที่ต้องการเข้าร่วม “เฟสติวัล” ไม่ได้ซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันด้วยซ้ำ แต่ด้วยความสนุกแบบเต็มระบบ ครบเครื่อง ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย ภายในสนามสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ หลังจบการแข่งขัน จะเห็นภายผู้คนนับหมื่นคน ยังคงสนุกสนานอยู่กับคอนเสิร์ต ศิลปินเบอร์ต้นของประเทศ , มวยและกิจกรรมใน PT Grand Prix Expo ที่มีสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับมอเตอร์ไซค์-มอเตอร์สปอร์ต, ร้านอาหารอร่อยๆ รวมถึงพาวิลเลียนขนาดยักษ์ของแบรนด์สินค้าและหน่วยงานราชการให้ร่วมสนุกร่วมชมมากมาย ได้แก่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน), น้ำแร่ธรรมชาติ ตราช้าง, ฮอนด้า, ยามาฮ่า, ดูคาติ , กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.), แกร็บ ประเทศไทย (Grab) ฯลฯ จนได้รับเสียงชื่อชมมากมายจากดอร์น่า สปอร์ตและแฟนความเร็วทั่วโลก ถึงเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครนี้ ■ ประวัติศาสตร์ความสำเร็จของวงการ “กีฬา”ไทย

โมโตจีพี สนามประเทศไทย เป็นการต่อยอดนโยบาย “Sport Tourism” และ “ World Grand Prix” รวมถึงอีกหนึ่งพันธกิจสำคัญของการกีฬาแห่งประเทศไทย คือการพัฒนา ยกระดับนักกีฬาไทยเพื่อต่อยอดเทียบเท่าระดับสากล และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ โดยในปีนี้ถือว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จที่มี “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา เป็นนักแข่งไทยคนแรกในการลงแข่งขันในคลาสสูงสุดอย่าง โมโตจีพี ตลอดทั้งฤดูกาล สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชน และเป็นความภาคภูมิใจให้คนทั้งประเทศ
■ #SaveThaiGP

ฤดูกาล 2025 ประเทศไทยได้รับความสนใจจากสื่อมอเตอร์สปอร์ตยักษ์ใหญ่ทั่วโลก มีสื่อต่างชาติและสื่อไทยกว่า 750 คน ร่วมกันรายงานข่าว หลังจบการแข่งขัน เกิดกระแสทางสังคมมากมาย เกี่ยวกับการต่อสัญญาโมโตจีพีสนามประเทศไทย ที่ยังคงคุลมเคลือ และมีแนวโน้มว่า “โมโตจีพี 2026” จะเป็นสนามสุดท้ายของไทย โค้งสุดท้ายที่มีประเทศต่างๆสนใจรอจ่อคิวเสนอตัวเป็นเจ้าภาพมากขึ้น ทำให้ผู้ชมและสื่อมวลชนมากมาย ต่างร่วมกันตั้ง แฮชแท็กซ์ #SaveThaiGP เพื่อเรียกร้องและปกป้องการแข่งขัน “โมโตจีพีวิถีไทย” หนึ่งในความสำเร็จและความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน ได้มีโอกาสได้จัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่องต่อไป
ทุกเรื่องราวความสำเร็จในหลากหลายมิตินี้ ชี้ให้เห็นว่า “โมโตจีพี สนามประเทศไทย” ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ เป็น “มากกว่ากีฬา มากกว่าการแข่งขัน” เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วน สร้างความสุข รอยยิ้ม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปพร้อมๆกัน
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
default default default default -
เลือกประเภทรถอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน

เนื้อหาในคอลัมน์วันนี้จะพูดประเด็นต่อเนื่องมาจากจำนวนลูกสูบของรถมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านมา โดยจำนวนลูกสูบนั้นมีผลต่อจำนวนซีซีที่มีมากน้อยด้วย ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่ารถจำนวนสูบเท่านี้ จำนวนซีซีเท่านี้ จะมีการใช้งานที่เหมาะกับรูปแบบไหนบ้างบนท้องถนน ติดตามกันได้ในคอลัมน์นี้ขับขี่ในเมืองหรือในชีวิตประจำวัน
ที่มีระยะทางที่ไม่ไกลมากเช่น เดินทางไปทำงาน เดินทางไปตลาด เป็นต้น การใช้งานรูปแบบนี้เหมาะกับรถรูปแบบ 1 สูบหรือตั้งแต่ 100 – 150 ซีซีโดยประมาณ หรือจะขยับมาอีกหน่อยเป็น 2 สูบที่มี 250 ซีซี ขึ้นไปแต่อัตรากินน้ำมันจะมากกว่าตามไปด้วย
ขับขี่นอกเมืองที่อาจจะมีการขึ้นเนินลงเขา
ลักษณะเส้นทางในแบบนี้จะเหมาะกับรถที่มีอัตราเร่งช่วงต้นและช่วงกลางที่ค่อนข้างดีเช่นรถรูปแบบ 2 สูบหรือตั้งแต่ 250 ซีซี เพราะมีกำลังเครื่องและอัตราเร่งที่ดีเมื่อเจอกับทางชันและสามารถเดินทางไกลได้พอสมควร
เน้นความสมดุลในรูปแบบต่างๆ
ในรูปแบบนี้จะมีอัตราเร่งช่วงต้นที่ดีอีกทั้งในช่วงกลางก็ดีด้วย แต่อาจจะไม่เทียบเท่าที่เป็นรถสายเฉพาะทางที่เน้นไปทางอัตราเร่งต้นสูงหรือช่วงปลายสูง ทำให้ขับในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น โดยรูปแบบที่เหมาะคือรถ 3 สูบนั่นเอง
เน้นความเร็วช่วงปลายหรือใช้ในการแข่งขัน
จะเป็นรถที่มีอัตราเร่งช่วงกลางถึงปลายที่ดีและมีอัตราความเร็วที่สูงไม่เหมาะกับการนำมาใช้บนท้องถนนทั่วไป โดยในรูปแบบนี้จะเป็น 4 สูบหรือ 400 ซีซีขึ้นไปนั่นเอง
เน้นการเดินทางไกล หรือขับข้ามประเทศ
จะเป็นรถที่มีอัตราความเร็วสูงสุดที่ขับได้ระยะเวลานาน จึงเหมาะกับรถที่มี 6 สูบที่มีจำนวนซีซีสูงและมีถังเชื้อเพลิงมาก พร้อมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย เช่นเบาะที่นุ่ม มีพนักพิง เป็นต้น
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเกร็ดความรู้เรื่องรถที่เหมาะกับการใช้งานของท่านในหลายๆรูปแบบ ท่านไหนที่ต้องการใช้งานรูปแบบไหนก็เลือกมาครอบครองและใช้งานกันตามที่ต้องการได้เลย เพื่อที่จะได้ตอบสนองตามความต้องการได้อย่างสูงสุดและไม่เป็นการสิ้นเปลืองในการใช้เชื้อเพลิงของรถจนเกินเหตุอันควรอีกด้วย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ล้อแม็กซ์ กับ ซี่ลวด แบบไหนดีกว่ากัน
สวัสดีทุกท่านที่ติดตามคอลัมน์ที่ให้ข้อมูลความรู้กับคนรักรถทุกท่าน วันนี้เรามาพูดคุยกันในคอลัมน์เกี่ยวกับล้อรถที่หลายๆคนเห็นกันจะมีแบบล้อแม็กซ์และล้อซี่ลวด ซึ่งในปัจจุบันมีมากมายหลายรูปแบบหลายราคา ให้ท่านได้เลือกซื้อกัน แต่จะมีคนไหนรู้ไหมว่าล้อแบบไหนที่เห็นกันแบบไหนมีคงทน ความนุ่มนวล การทรงตัว ว่าแบบไหนเหมาะที่จะนำไปใช้กับรถของท่าน เรามีคำตอบให้ในคอลัมน์นี้
ความแข็งแรง ทนทาน
จากทั่วไปที่ทุกท่านทราบว่าล้อซี่ลวดนั้นมีน้ำหนักที่เบากว่าล้อแม็กซ์ แต่เรื่องความทนทานนั้นล้อซี่ลวดนั้นทนทานกว่าล้อแม็กซ์อย่างไม่น่าเชื่อโดยสังเกตได้จากลักษณะของซี่ลวดที่เรียงกัน เพื่อที่จะช่วยในการกระจายแรงกระแทกจากสิ่งต่างๆได้อีกทั้งในเรื่องของน้ำหนักก็ยังเบากว่าล้อแม็กซ์ สังเกตได้จากรถที่ใช้ล้อซี่ลวดจะเป็นรถวิบาก ที่ต้องลุยบุกป่าฝ่าดงเป็นอย่างมาก
ความนุ่มนวล
หลายท่านคงคิดว่าความนุ่มนวลนี้ขึ้นอยู่กับระบบโช็คอัพ ไม่ใช่หรือ? แต่ว่าระบบโช๊คอัพนั้นมีความสัมพันธ์กับยางและล้อแม็กซ์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยความนุ่มนวลนี้ล้อซี่ลวดมีความได้เปรียบอยู่เพราะจากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นคือล้อซี่ลวดจะมีการกระจายน้ำหนักและการกระแทกอย่างสม่ำเสมอ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัสดุในการทำชิ้นส่วนด้วย เนื่องจากล้อแม็กซ์บางยี่ห้อก็มีการใช้วัสดุที่น้ำหนักเบาและดีกว่า ซึ่งปัจจัยนี้มีผลต่อความนุ่มนวลในการขับขี่
การทรงตัว
อย่างที่หลายท่านทราบว่าล้อแม็กซ์นั้นมีน้ำหนักที่เยอะกว่าย่อมให้การทรงตัวที่ดีกว่าอย่างแน่นอน แล้วน้ำหนักนี้ช่วยในการที่เราสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงด้วย อย่างที่ได้เห็นในรถบิ๊กไบค์ใส่กันอย่างแพร่หลาย
ทั้งหมดนี้คือเกร็ดความรู้เรื่องล้อที่หลายท่านอาจจะเคยสงสัย แต่เมื่อได้อ่านคอลัมน์นี้แล้วทำให้ทุกท่านตัดสินใจได้ว่าล้อแบบไหนที่เหมาะกับการขับขี่ของท่านผู้อ่านได้ดีที่สุด
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Suzuki GD110HU… New Color กราฟฟิกใหม่ หัวใจเรโทร ย้อนยุคสู่สไตล์ที่ทันสมัย บ่งบอกตัวตนในแบบคุณ
สุดยอดความคลาสสิกกับการออกแบบที่เต็มไปด้วยความท้าทายในแบบย้อนยุค ที่ได้ความนิยมจากทั่วโลก เพื่อตอบสนองความเร้าใจ ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย แต่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทุกครั้งที่สัมผัส ด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร จึงทำให้ Suzuki GD110HU เป็นรถจักรยานยนต์ย้อนยุคแบบ Real Retro ที่สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการ สะท้อนความเป็นตัวตนของคุณได้อย่างชัดเจน

ในปี 2016 นี้ ซูซูกิขอนำเสนอ Suzuki GD110HU สีใหม่ ที่จะทำให้คุณนั้นหลงใหลกับสุดยอดความคลาสสิก สไตล์เรโทร กับสีขาวที่มาพร้อมไอเดียลายกราฟฟิกใหม่ เอาใจแฟนๆ สไตล์เรโทรที่ชื่นชอบในกลิ่นอายของความคลาสสิก ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและสวยงาม เข้ากับการขับขี่ในยุคปัจจุบัน

Suzuki GD110HU มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ SOHC 4 จังหวะ 113 ซีซี ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์แบบ ให้แรงบิดที่ดีในรอบต่ำและกลางเป็นเยี่ยม และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด มาพร้อมคลัตช์มือ เร้าใจในทุกเส้นทาง สามารถตอบสนองได้ดั่งใจ ระบบเกียร์ 4 สปีด แบบเฟืองตรงขบกันตลอด ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสมรรถนะของเครื่องยนต์ ให้อัตราเร่งแซงในทุกจังหวะเป็นไปอย่างราบรื่น ตามต้องการทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์


นอกจากนี้ Suzuki GD110HU ยังมีสีแบบ Retro ให้เลือกอีกถึง 4 สี สีดำ (YHP), สีน้ำเงิน (YGB), สีแดง (YJN) และสีเทา (W6C) พร้อมให้ทุกท่านเป็นเจ้าของ ในราคาเพียง 39,900 บาท และเพิ่มความคลาสสิกไปอีกระดับกับสีขาว (YNM) ลายกราฟฟิกใหม่ ในราคาพิเศษเพียง 40,200 บาท เท่านั้น สามารถพบกับ Suzuki GD110HU ได้ที่ผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2533-1170

-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
โรยัล เอ็นฟีลด์ย้ำความเชื่อมั่น เผยโครงการส่งมอบประสบการณ์ไร้รอยต่อแก่ผู้ขับขี่ด้วยบริการหลังการขาย
● ศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทางแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ดำเนินการโดยโรยัล เอ็นฟีลด์ จัดให้มีทั้งการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รองรับการฝึกอบรมสำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
● โรยัล เอ็นฟีลด์ จัดการแข่งขันทักษะทางเทคนิค “Supersquad” สำหรับช่างเทคนิคจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
● ปัจจุบัน โรยัล เอ็นฟีลด์ มี Exclusive Stores จำนวน 60 แห่ง และร้านค้าแบบ MBO จำนวน 135 แห่ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (รวม 27 ร้านค้า + 9 MBO ในประเทศไทย)

โรยัล เอ็นฟีลด์ ผู้นำระดับโลกด้านรถจักรยานยนต์ขนาดกลาง (250cc-750cc) เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งด้านการบริการหลังการขายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมทั้งริเริ่มโครงการใหม่เพื่อมอบประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ที่ราบรื่นและน่าประทับใจยิ่งขึ้น
ล่าสุด Royal Enfield ได้เปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทางแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ศูนย์ฝึกอบรม “POWERTRAIN” นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกอบรมเชิงเทคนิคในห้องเรียน โดยเน้นไปที่ทีมช่างเทคนิคจากดีลเลอร์ รวมถึงที่ปรึกษาการบริการ ผู้จัดการฝ่ายบริการ ผู้จัดการรับประกันและอะไหล่ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ และผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด อีกทั้งยังมีการฝึกอบรมภาคปฏิบัติที่ครบครันด้วยรถจักรยานยนต์รุ่นปัจจุบันและเครื่องยนต์เฉพาะรุ่นสำหรับการฝึกใช้งานจริง

นอกจากการฝึกอบรมเชิงเทคนิคแล้ว ศูนย์ฝึกอบรม POWERTRAIN ยังมีระบบการเรียนรู้ (Learning Management System: LMS) ซึ่งเป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยในการฝึกอบรมออนไลน์และการสนับสนุนการประเมินรถตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันทั้งปี มากไปกว่านั้นศูนย์แห่งนี้ยังถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการฝึกอบรมด้านการขายและการตลาดให้กับดีลเลอร์และพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย
ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติงานที่เป็นเลิศของโรยัล เอ็นฟีลด์ และเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับช่างเทคนิคจากดีลเลอร์ โดยโรยัล เอ็นฟีลด์ได้จัดโครงการ Supersquad สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นการแข่งขันทักษะประจำปีในหมู่ช่างเทคนิคจากดีลเลอร์ทั่วภูมิภาค เพื่อทดสอบความสามารถด้านเทคนิค การแก้ไขปัญหา และการประเมินสภาพรถ โดยมีช่างเทคนิคจำนวน 314 คนจาก 11 ประเทศเข้าร่วมการแข่งขัน และผู้ชนะในแต่ละประเทศจะเข้าร่วมแข่งขันในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ศูนย์ฝึกอบรม POWERTRAIN ณ ประเทศไทย

โครงการ Supersquad ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในการยกระดับความสามารถทางเทคนิคและมาตรฐานการดำเนินงาน โดยการให้โอกาสแก่เหล่าช่างเทคนิคในการแสดงความเชี่ยวชาญของตน งานนี้ได้เสริมสร้างความมั่นใจ ความเชื่อมั่น และความภักดีในกลุ่มลูกค้าทั่วโลกของโรยัล เอ็นฟีลด์ นอกจากนี้ ผู้ชนะและรองชนะเลิศจะได้รับถ้วยรางวัลและของที่ระลึก เพื่อเฉลิมฉลองการมีส่วนร่วมในการสร้างความสำเร็จให้กับแบรนด์
การแข่งขัน Supersquad 2025 เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของโรยัล เอ็นฟีลด์ที่มุ่งมั่นในการเสริมพลังให้กับทีมงานบริการ และการกำหนดมาตรฐานใหม่ในความเป็นเลิศทางเทคนิค โดยการรวมผู้เข้าร่วมจากหลากหลายภูมิภาคและส่งเสริมการเติบโตในวิชาชีพ กิจกรรมนี้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการมอบมาตรฐานการบริการที่ไม่มีใครเทียบได้
โรยัล เอ็นฟีลด์ขอแสดงความยินดีแก่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกท่าน รวมถึงผู้ชนะและรองชนะเลิศสำหรับความสำเร็จอันยอดเยี่ยมใน Supersquad 2025 ความมุ่งมั่นและทักษะของพวกเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจและยกระดับตำนานความเป็นเลิศของโรยัล เอ็นฟีลด์
Supersquad 2025 เป็นเวทีกำหนดมาตรฐานการบริการที่เป็นเลิศและความเชี่ยวชาญทางเทคนิคของโรยัล เอ็นฟีลด์ โดยส่งเสริมแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุด ช่วยเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้กับดีลเลอร์และผู้จัดจำหน่าย ส่งต่อความไว้วางใจและความพึงพอใจของลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผู้เข้าร่วมยังได้รับความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการบริการขั้นสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างศักยภาพการบริการที่มีประสิทธิภาพ ยืนยันความเป็นผู้นำของโรยัล เอ็นฟีลด์ในอุตสาหกรรมจักรยานยนต์ได้อย่างดีเยี่ยม
โดยล่าสุด ช่างเทคนิคจากเกาหลีใต้ได้รับตำแหน่งชนะเลิศในระดับเอเชียแปซิฟิก ขณะที่ช่างเทคนิคจากประเทศไทยได้รับรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทั้งสองท่านจะเป็นตัวแทนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในการแข่งขัน Supersquad 2025 ระดับโลกที่ประเทศอินเดียในอนาคต โครงการนี้มุ่งเน้นในการส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานที่ “First Time Right” และ “Reasonable Service Time” ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของโรยัล เอ็นฟีลด์ในการมอบความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า และสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งในตลาดหลักทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อเพิ่มการเข้าถึงให้ดียิ่งขึ้น
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


































































































































