-
ประวัติศาสตร์ของ Triumph อันยาวนานตลอด 140 ปี

เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะไม่รู้จักแน่ว่า บริษัทนำเข้าจักรเย็บผ้าจะกลายมาเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์แบรนด์ดังระดับโลก อย่าง Triumph นั่นเอง

Triumph คือแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่ยักษ์ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร และแน่นอนว่าคนไทยน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในภาพลักษณ์แนวโมเดิร์น-คลาสสิก จนกระทั่งเมื่อตอนมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวรถสปอร์ตอย่าง Daytona 660 ในประเทศไทยด้วยราคาเริ่มต้น 3 แสนกว่าบาท และหลายต่อหลายคนน่าจะรู้กันดีว่าเป็นแบรนด์รถที่ขึ้นแท่นซัพพลายเออร์หลักในการแข่งขันรุ่น Moto2 มาสักพักใหญ่ๆแล้ว แต่เรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จของรถเมืองผู้ดีค่ายนี้

ถึงแม้ว่า Triumph จะเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษ แต่ความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่ก่อตั้งแบรนด์กลับเป็นชาวเยอรมัน ซึ่งจุดเริ่มต้นเริ่มจาก Siegfried Bettmann เขาย้ายจากเมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี มาใช้ชีวิตอยู่ที่เมือง Coventry ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1883 ในปีต่อมา นาย Bettmann ในวัย 20 ปีก็ได้ก่อตั้งบริษัท S.Bettmann & Co. Import Export Agency ในกรุงลอนดอนเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายจักรยาน นอกจากนี้ยังนำเข้าจักรเย็บผ้า จากเยอรมนี
จนกระทั่งเมื่อปี 1886 Bettmann อยากจะตั้งชื่อบริษัทใหม่ให้ดูเจาะจงมากขึ้น จนได้ชื่อว่า Triumph Cycle Company และในปีต่อมา ปี 1887 ก็จดทะเบียนในชื่อ New Triumph Co.,Ltd. โดยมีค่ายยางรถยนต์อย่าง Dunlop มาช่วยซัพพอร์ตเงินทุน แถมยังได้เพื่อนร่วมเชื้อชาติอย่าง Moritz Schulte มาเป็นหุ้นส่วนอีกด้วย และนาย Schulte คนนี้นี่เองที่เป็นคนเสนอให้ Bettmann มาผลิตจักรยานเอง โดยเริ่มจากการยืมตังค์ของครอบครัว และรวมถึงของครอบครัว Schulte มาซื้อที่ดินในเมือง Coventry เพื่อตั้งโรงงานในปี 1888 และ เริ่มผลิตจักรยาน Triumph ขายในปี 1889 วันเวลาผ่านไปในปี 1896 ก็เปิดโรงงานผลิตอีกแห่งในเมืองนูเรมเบิร์ก
จุดเริ่มต้นของการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อปี 1898 Triumph คิดที่จะขยายธุรกิจจากการผลิตจักรยาน มาผลิตรถมอเตอร์ไซค์ และผลิตออกมาเป็นรถรุ่นแรกซึ่งก็คือการเอา จักรยานมาติดเครื่องยนต์ของ Minerva จากเบลเยียม หลังจากที่รถรุ่นแรกนี้ ทำยอดขายไปได้ 500 คันในปี 1903 Triumph ก็เริ่มผลิตรถรุ่นนี้ต่อที่โรงงานในเมืองนูเรมเบิร์ก จนกระทั่งปี 1904 Triumph จากเดิมที่หยิบยืมดีไซน์ชาวบ้านเขามาผลิต ก็เริ่มหันมาผลิตรถมอเตอร์ไซค์ด้วยดีไซน์ของตัวเอง จนเปิดตัวรถในปี 1905 และทำยอดขายได้ 250 คัน

ในปี 1907 Triumph มีกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นจนสามารถผลิตรถมอเตอร์ไซค์ได้ 1,000 คัน และยังเปิดตัวแบรนด์ลูกในชื่อว่า Gloria นอกจากนี้ยังมีการรีแบรนด์เพื่อส่งออกรถไปขายในต่างประเทศในชื่อว่า Orial แต่มาติดตรงที่ว่าพอเอามาขายในฝรั่งเศสแล้วขายด้วยชื่อนี้ไม่ได้เลย เพราะในประเทศฝรั่งเศสก็มีธุรกิจนึงที่ใช้ชื่อนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นรถที่ผลิตในเมืองนูเรมเบิร์กจึงต้องมีการรีแบรนด์ใหม่ในชื่อว่า TWN ซึ่งย่อมาจาก Triumph Werke Nürnberg นั่นเอง

ความสำเร็จของ Triumph เกิดขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 มาถึง บริษัทต้องเร่งการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ทีละเยอะๆ มากกว่า 3 หมื่นคัน เพื่อป้อนให้กับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร หนึ่งในนั้นก็ได้แก่รุ่น Model H นับได้ว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์สมัยใหม่รุ่นแรกของโลก ซึ่งต่อมาก็จะได้รับฉายาว่า “Trusty Triumph”

หลังจบสงครามก็ดันมีปัญหาติดขัดเล็กน้อย เพราะ Bettmann ดันไม่โอเคกับ Schulte ด้วยการที่ตัวเขาอยากจะเปลี่ยนแนวทางมาผลิตรถยนต์แทน นั่นจึงทำให้ Schulte ตัดสินใจลาออก แต่ความย้อนแย้งมาเกิดขึ้นในช่วงปี 1920 ที่ Triumph ซื้อโรงงานเก่าในเมือง Coventry ที่เคยเป็นของค่ายรถยนต์อย่าง Hillman มาผลิตรถยนต์ในปี 1923 ภายใต้ชื่อบริษัทว่า Triumph Motor Company
จนกลางทศวรรษที่ 1920 Triumph กลายเป็นผู้ผลิตหลักทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ ในประเทศอังกฤษด้วยพื้นที่โรงงานกว่า 46 ตารางกิโลเมตร รองรับการผลิตรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ กว่า 3 หมื่นคันต่อปี ในส่วนของจักรยานเองก็ส่งออกขายดิบขายดีอย่างถล่มทลาย

จุดดิ่งของ Triumph เกิดขึ้นเมื่อปี 1929 ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ “วันอังคารทมิฬ” พอดี ทำให้ Triumph ต้องขายกิจการโรงงานในเยอรมนีให้กับบริษัทผลิตเครื่องใช้สำนักงานอย่าง Adler โดยที่ยังผลิตรถมอเตอร์ไซค์ภายใต้แบรนด์ TWN อยู่ ยาวมาจนถึงปี 1957
ในปี 1932 Triumph ก็ต้องขายแบรนด์จักรยานให้กับ Raleigh Bicycle Company ถึงแม้ว่าจะต้องขายทั้ง 2 อย่างนี้ไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถประคับประคองต่อได้จนทำให้ Bettmann ในวัย 70 ปีถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่งประธานบริษัท และเกษียนในปี 1933

ในปี 1936 Triumph ถูกแบ่งออกมาเป็น 2 บริษัทย่อยโดยที่เจ้าหนึ่งผลิตรถยนต์ และอีกเจ้าหนึ่งผลิตรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งต่อมาเจ้าที่ผลิตรถยนต์ก็ล้มละลายอีก ในปี 1939 ก่อนจะถูกเทคโอเวอร์ไปโดย Standard Motor Company ส่วนมอเตอร์ไซค์ เพราะถูกซื้อไปโดย นาย John Young Sangster ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์คู่แข่งอย่าง Ariel และภายในปีเดียวกัน Triumph ก็ผลิตรถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่ส่งออกไปขายในสหรัฐอเมริกา ทำให้เติบโตเร็วจนกลายเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์อันดับต้นๆ ภายในเวลาแป๊บเดียว

และนาย Sangster ยังก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาในชื่อ Triumph Engineering พร้อมเกณฑ์เอาพนักงานเก่าของ Ariel มาทำงานอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ Edward Turner ผู้ที่ออกแบบ Triumph Speed Twin 5T ขนาด 500 cc เปิดตัวในปี 1937 และกลายมาเป็นรถสองสูบคู่เรียงที่ประสบความสำเร็จรุ่นแรกของ Triumph และยังปฏิวัติการออกแบบรถมอเตอร์ไซค์ของ Triumph ไปตลอดกาล

ต่อมาในปี 1939 Triumph เปิดตัว Tiger 100 ที่ทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กม./ชม. และขายได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะต่อมาก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อ แต่คราวนี้พินาศยิ่งกว่าเก่า เพราะทั้งเมือง Coventry และ โรงงานทั้งหมดของ Triumph โดน กองทัพอากาศเยอรมัน Luftwaffe ถล่มจนเละเทะ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ เพราะเครื่องมือ และเครื่องจักร ยังพอจะเก็บกู้และมาตั้งโรงงานใหม่ได้ในปี 1942 ที่เมือง Meriden เทศมณฑล Warwickshire

หลังสิ้นสุดสงคราม Triumph Speed Twin เริ่มผลิตได้มากขึ้น แต่ 70% ของรถทั้งหมดที่ผลิต ถูกบังคับให้ส่งออกไปขายในสหรัฐอเมริกาตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ใน “นโยบายให้ยืม-เช่า” หรือ “รัฐบัญญัติส่งเสริมการป้องกันสหรัฐ” ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาล Franklin D. Roosewelt บังคับใช้ สำหรับจัดหาอาหาร น้ำมัน และอาวุธ ให้กับประเทศพันธมิตรในช่วงสงคราม ได้แก่ ฝรั่งเศสเสรี, สหราชอาณาจักร, สาธารณรัฐจีน, สหภาพโซเวียต, และชาติพันธมิตรอื่นๆ และเจ้า Speed Twin และ Tiger 100 ที่ผลิตหลังสงครามนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่ระบบช่วงล่างที่ Triumph เป็นคนออกแบบเอง พร้อมกับเปิดตัวรุ่นพิเศษที่ใช้ในการแข่งขันอย่าง Grand Prix อีกด้วย

ในปี 1948 Triumph ก็เปิดตัวรถรุ่นใหม่ TR5 Trophy ที่ใช้เครื่องปั่นไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาทำเป็นเครื่องยนต์ขนาด 500 cc และสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรายการ International Six Days Trial ปี 1948

และด้วยความที่ตลาดอเมริกา เค้านิยมรถที่ขับขี่ออกทริปไกลๆ นาย Turner จึงต้องออกแบบรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่าเดิมถึง 650 cc และใช้ดีไซน์ของ Speed Twin เป็นต้นแบบออกมาเป็น Thunderbird ในปี 1949 ซึ่งในเวลาต่อมาลิขสิทธิ์ชื่อของรถรุ่นนี้ก็ถูกแบ่งให้ Ford เอาไปใช้กับรถยนต์ของตัวเอง ความนิยมของรถรุ่นนี้พุ่งขึ้นมาถึงขีดสุดในช่วงราวๆ ปี 1953 เพราะเป็นรถที่สุดยอดนักแสดงระดับโลก Marlon Brando ขี่ในหนังเรื่อง The Wild One ซึ่งต่อมาเขาคนนี้ก็กลายมาเป็นที่จดจำจากผลงานหนังเรื่อง The God Father ในบทของตัวละคร Vito Corleone และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนดังรุ่นต่อๆ มาอย่าง Elvis Presley หรือ James Dean อีกด้วย

ในปี 1951 Sangster ก็ขายกิจการของ Triumph ให้กับบริษัทผลิตอาวุธปืนยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ Birmingham Small Arms หรือ BSA พร้อมกับขึ้นทำเนียบผู้บริหารไปด้วย ซึ่ง BSA ไม่ได้ผลิตแค่ปืนอย่างเดียว แต่ยังผลิตจักรยาน และรถมอเตอร์ไซค์ เหมือนกับ Triumph อีกด้วย

ในปี 1954 Triumph ก็ได้เปิดตัวลูกผสมระหว่าง Tiger 100 กับ Thunderbird ออกมาเป็น Tiger 110 โดยมีการหยิบเอาจุดเด่นของทั้ง 2 รุ่นอย่าง เครื่องยนต์ 650 cc จาก Thunderbird มารวมกับความเป็นรถสมรรถนะสูงจาก Tiger 100 และถัดมาในปี 1959 ก็มีการพัฒนา T110 ขึ้นมาใหม่ โดยการจูนคาร์บูเรเตอร์คู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม กลายมาเป็น Bonneville และก็มีคู่แข่งอยู่เจ้านึงครับที่ต้องหนาวเมื่อเจอรถรุ่นนี้นั่นก็คือ Harley-Davidson ที่เริ่มมองว่ารถเดิมๆ เครื่องหลักพัน มันดูไม่สปอร์ตสมกับเป็นรถสมัยใหม่ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดแบบสาหัสสากรรจ์แน่ๆ จึงออกรุ่น Sportster เพื่อมาสู้กับ Bonneville โดยเฉพาะ

Tina

Tigress
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 Triumph ก็เริ่มขยายตลาดของตัวเองด้วยการออกรถสกูตเตอร์มา 2 รุ่นได้แก่ Tina เครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาด 100 cc พร้อมคลัทช์ออโต และ Tigress ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 แบบให้เลือกตามความชอบทั้ง สูบเดียว 2 จังหวะ 175 cc หรือ สูบคู่เรียง 4 จังหวะ 250 cc
เรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อปี 1963 จากเดิมที่ Triumph เน้นผลิตเครื่องยนต์แบบ Pre-Unit ก็เริ่มเดินสายผลิตเครื่องยนต์ Unit Construction หรือ UCE อย่างเต็มตัว และในปี 1969 Malcolm Uphill ก็ขี่ Bonneville พิชิต Isle of Man TT ได้ด้วยการทำความเร็วต่อรอบโดยเฉลี่ยถึง 160.92 กม./ชม. และยังคว้าสถิติต่อเนื่องด้วยความเร็วเฉลี่ย 161.53 กม./ชม. เมื่อแปลงเป็นหน่วยวัด ไมล์ต่อชั่วโมง ก็เท่ากับว่า Bonneville รุ่นนี้เป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกของโลกที่ทำความเร็วเฉลี่ยต่อเกิน 100 ไมล์/ชม. ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
มรสุมในช่วงยุคนี้ที่ Triumph และ BSA ต้องเผชิญ คือการมาถึงของรถมอเตอร์ไซค์ค่ายญี่ปุ่นมากหน้าหลายตา ทั้ง Honda, Yamaha หรือแม้กระทั่ง Kawasaki ที่ผลิตรถขนาดเล็กกว่า , ซ่อมบำรุงน้อยกว่า และราคาเข้าถึงง่ายกว่า

แรงปะทะอันหนักหน่วงนี้ ทำให้ Triumph จึงต้องออกรถที่เล็กลงอย่าง Bandit ในช่วงปี 1970 ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 350 cc เพื่อตอบโต้ตลาดญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ยิ่งทำให้แฟนๆ Triumph ณ เวลานั้นผิดหวังมากขึ้นไปอีก เพราะไม่เหลือเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็น Triumph
ความผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้ค่ายรถในเครือ BSA Group ทั้งหมดต้องสูญเสียรายได้ไปถึง 8.5 ล้านปอนด์ และล้มละลายไปในปี 1972 จนต้องขายกิจการยกแผงให้กับ Manganese Bronze Holdings เจ้าของแบรนด์ Norton และ Matchless พร้อมกับควบรวมมาเป็น Norton Villiers Triumph หรือ NVT แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยดึง Triumph ขึ้นมาจากปากเหวได้เลย เพราะในเดือนกันยายนปี 1973

นาย Dennis Poore CEO ของ NVT ก็ประกาศปิดโรงงาน Triumph ในเมือง Meriden ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1974 พร้อมเลิกจ้างพนักงานถึง 3,000 คน จากทั้งหมด 4,500 คน และย้ายฐานการผลิตไปยังเมือง Birmingham เหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนอดีตพนักงานออกมาประท้วง และยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ถึง 2 ปี ต่อมาหลังจากการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในตอนนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ Tony Benn ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีการค้า กับอุตสาหกรรม ทำให้สามารถจัดตั้งสหกรณ์แรงงานขึ้นมาได้ และเป็นดีลเลอร์เจ้าเดียวให้กับ Triumph ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ NVT
หลังจากที่ NVT ล้มละลายในปี 1977 สหกรณ์นี้ก็เข้าซื้อ Triumph ต่อด้วยเงินทุนที่กู้จากภาครัฐ กลายมาเป็น บริษัท Triumph Motorcycle (Meriden) จำกัด เน้นขายรถรุ่น Bonneville และ Tiger เป็นหลัก โดยรถรุ่นแรกภายใต้เจ้าของใหม่นี้ ที่ประสบความสำเร็จคือ Bonneville T140J Silver Jubilee ปี 1977 ซึ่งเป็นรถรุ่นพิเศษวางขายเพียง 1,000 คันในตลาดอเมริกา 1,000 คันในตลาดสหราชอาณาจักร และอีก 400 คันในเครือจักรภพ และยังเป็นรถรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองรัชดาภิเษกให้กับ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และในปี 1978 Triumph กลายเป็นแบรนด์ยุโรปที่ขายดีที่สุดในตลาดสหรัฐอเมริกา

T140E

T140D Special
ในช่วงปี 1978-1979 Triumph ออก Bonneville รุ่น T140D Special และ T140E ที่มีการปรับปรุงสเปคให้รองรับกับนโยบาย Muskie Act แต่ก็ไปได้ไม่สวยนัก เพราะค่าเงินปอนด์อังกฤษแข็ง ทำให้รถที่ส่งออกไปยังให้อเมริกา ดันราคาแพงขึ้นมามาก ขนาดที่ว่าต่อให้ออกรุ่น T140EX ที่เพิ่มระบบสตาร์ทไฟฟ้าก็ไม่ช่วยอะไรเลย จนมาถึงปี 1980 ภาระหนี้ของ Triumph ที่กู้จากรัฐจากเดิมที่ติดอยู่ 5 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านปอนด์กว่าๆ
ในเดือนตุลาคม 1980 รัฐบาลใหม่จากพรรคอนุรักษ์นิยมตัดภาระหนี้ที่ Triumph ต้องแบกไป 8.4 ล้านปอนด์ แต่ก็ยังเหลือหนี้อีก 2 ล้านปอนด์ที่ต้องจ่ายให้กับ การเงินเพื่อการส่งออก หรือ UKEF อยู่ดี

TR7T Tiger Trail

TR65 Thunderbird
ภายในปีนั้น Triumph ออกรถรุ่นต่างๆ มากมาย เช่น TR7T Tiger Trail ที่ใช้งานได้อเนกประสงค์ หรือ TR65 Thunderbird ที่ราคาย่อมเยาว์ แต่ก็ยังไม่สามารถประคับประคองไม่ให้ดิ่งไปอีกได้ และยอดขายในตลาดสหรัฐก็ยังร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 1983 Triumph ตัดสินใจซื้อแบรนด์ Hesketh และพัฒนาเครื่องยนต์สูบคู่เรียงขนาด 900 cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ ไปโชว์ในงาน National Exhibition Show เพื่อดึงดูดนักลงทุน จนวันที่ 23 สิงหาคม Triumph ก็ต้องล้มละลายไปในที่สุด

Bonneville T140 จาก Les Harris
ภายในปีเดียวกันนี้เอง นาย John Bloor มหาเศรษฐีที่สร้างตัวจากธุรกิจก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพี่แกก็ชุบชีวิต Triumph ให้กลับมารุ่งโรจน์สมชื่ออีกครั้ง โดยการซื้อสิทธิ์ในการผลิตรถ Bonneville T140 จาก Les Harris และผลิตที่โรงงานในเมือง Newton Abbot เทศมณฑล Devonshire เป็นการชั่วคราวถึง 5 ปี พร้อมกับจ้างพนักงานเก่าๆ ของ Triumph ให้กลับมาทำงานอีกครั้ง

John Bloor
นอกจากนี้พี่แกยังส่งพนักงานไปศึกษาดูงานถึงญี่ปุ่น และนำเอาความรู้มาพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอีกด้วย ความใจป๋ายังไม่จบเพียงแค่นี้เพราะ นาย Bloor ทุ่มเงินไปถึงเกือบๆ 100 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Hinckley เทศมณฑล Leicestershire ด้วยพื้นที่กว่า 40 ตร.กม. เริ่มผลิตรถรุ่นแรกในปี 1991 ทำเงินไปได้อย่างสวยงาม และยังก่อตั้งฐานการผลิตรถ Triumph แยกออกมาอีก 2 เจ้าที่ประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ตามมาด้วย สหรัฐอเมริกาในปี 1994 ก่อนที่หายนะจะเกิดขึ้นต่อมา
ค่ำคืนที่ 15 มีนาคม ปี 2002 เวลา 3 ทุ่มตรง ในวาระฉลองครบรอบ 100 ปี Triumph โรงงานเกิดไฟไหม้เสียหายไปกว่าครึ่ง ซึ่งต้องใช้รถดับเพลิงกว่า 30 คัน และนักผจญเพลิงถึง 100 คนในการดับไฟ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทาง Triumph ก็ยังไม่ยอมแพ้ ฟื้นฟูโรงงานนี้ได้ภายในเวลาแป๊บๆ เดียว

ในเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน Triumph ตั้งโรงงานในจังหวัดชลบุรี ประเทศไทยบ้านเรา และกลายมาเป็นฐานการผลิตหลักระดับโลก และมีจำนวนพนักงานกว่า 1,000 คน

ในปี 2006 ก็มีการตั้งโรงงานแห่งที่ 2 ของอังกฤษภายใต้ดำริของ เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่ง York และตามมาด้วยโรงงานแห่งที่ 3 ในปี 2007 พร้อมขยายกำลังการผลิตให้ได้มากกว่า 130,000 คัน

ในเดือนมิถุนายน ปี 2009 Digby Jones บารอนแห่ง Birmingham ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารของ Triumph พร้อมประกาศเปิดตัวรถ Thunderbird รุ่นใหม่ขนาด 1,600 cc

ต้นปี 2011 Nick Bloor ผู้เป็นลูกชายของ John Bloor ขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO ต่อมาในปี 2017 Triumph ลงนามข้อตกลงร่วมมือกับ Bajaj ก่อนที่ต่อมาก็จับมือกับ KTM และ Husqvarna ทำให้ Triumph สามารถผลิตรถขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ของตัวเองได้ และยังให้ Bajaj ช่วยขับเคลื่อนแบรนด์ Triumph ในตลาดอินเดีย

ในปี 2019 Triumph ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นซัพพลายเออร์หลักในรายการแข่งขัน Moto2 แทน Honda โดยเครื่องยนต์ที่นำมาใช้ในการแข่งขันคือเครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 765 cc ที่พัฒนาจากรถ Street Triple RS พร้อมจูนให้เค้นพละกำลังได้ถึง 136 hp

Tiger 1200

Speed Triple
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 Triumph ย้ายสายการผลิตรถ Tiger 1200 และ Speed Triple ไปผลิตในเมืองไทย และให้โรงงานในอังกฤษเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนา

ถัดมาในวันที่ 20 กรกฎาคม 2021 Triumph ร่วมมือกับ Ricky Carmichael แชมป์ AMA Motocross 7 สมัย และ Supercross 5 สมัย และ Ivan Cervantes แชมป์ Enduro 5 สมัย ในการพัฒนารถออฟโรด พร้อมกับการเปิดตัวซีรีส์ให้รับชมใน Youtube ชื่อ “Vision to Reality” ยาวมาจนถึงปัจจุบัน

Speed 400

Scrambler 400
ในเดือนกรกฎาคม 2023 Triumph และ Bajaj เปิดตัวรถที่พัฒนาร่วมกันได้แก่ Speed 400 และ Scrambler 400 ซึ่งทำยอดจองในตลาดอินเดียได้ถล่มทลายด้วยจำนวน 10,000 คันภายใน 10 วัน
การที่ Triumph โด่งดังขึ้นมาได้นั้น เป็นส่วนหนึ่งมาจากการตลาด Product Placement ในหนังฮอลลีวูดเรื่องต่างๆ รวมถึงยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนดังระดับโลกต่างๆ มากมาย ในหมู่รถอังกฤษด้วยกัน ถ้า Aston Martin คือเจ้าการตลาดรถยนต์บนแผ่นฟิล์มแล้ว รถมอเตอร์ไซค์ก็ต้อง Triumph นี่แหละ
Daytona 955i Speed Triple 955i นอกจากในหนังเรื่อง The Wild One ปี 1953 ที่พูดถึงก่อนหน้านี้ก็ยังมีตัวอย่างเช่น รถ Daytona 955i และ Speed Tripple 955i ในหนังเรื่อง MISSION:IMPOSSIBLE II ปี 2002,

Bonneville ในหนังเรื่อง The Avengers ปี 2012

Scrambler ในหนังเรื่อง Jurassic World ปี 2015

Scrambler 1200 XE ในหนัง James Bond ภาค No Time to Die ปี 2021

หรือแม้กระทั่ง Bonneville ในหนังสยองขวัญอย่าง Five Nights at Freddy’s ปี 2023

Triumph Bonneville T120 Elvis Presly Limited Edition
และยังมีการออกรถรุ่นพิเศษที่รำลึกถึงคนดังระดับตำนานอีกด้วย เช่น Bob Dylan, Elvis Prestley, James Dean หรือแม้กระทั่ง Steve McQueen
เรื่องราวทั้งหมดนี้คือมหากาพย์ รถมอเตอร์ไซค์ค่ายผู้ดี อายุ 140 ปีที่ล้มมาหลายรอบ แต่ก็ยังกลับมาลุกขึ้นยืนอยู่เสมอ สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
กรุงเทพมหานครและมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้นำเสนอโครงการ TRUST (Thailand Road Users Safety through Technology) ในงานประชุม International Mayors Forum 2025

เมืองโตโยต้า ประเทศญี่ปุ่น – วันที่ 16 ตุลาคม 2568 – กรุงเทพมหานคร และ มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) ตอกย้ำบทบาทผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนและการเดินทาง ผ่านการเข้าร่วมงานประชุม International Mayors Forum (IMF) 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโตโยต้า ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 14 ถึง 16 ตุลาคม ภายใต้หัวข้อ “การลงมือวันนี้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน – การปรับใช้ SDGs ในระดับท้องถิ่น และการส่งเสริม ข้อตกลงเพื่ออนาคต” (Actions Today for a Resilient Future – Localizing the SDGs and Advancing the Pact for the Future)
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของประเทศไทย ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การขยายตัวนี้นำมาซึ่งความท้าทาย ด้านความปลอดภัยบนท้องถนน เนื่องจากกรุงเทพฯเผชิญกับอุบัติเหตุจราจรในระดับสูง การแก้ไขปัญหาความ ปลอดภัยบนท้องถนนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเมืองที่ยั่งยืนและน่าอยู่สำหรับทุกคน โดยทางกรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อค้นหาวิธีการที่เหมาะสมในการลดอุบัติเหตุ และผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน ผ่านการริเริ่มนำกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ตลอดจนเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดอุบัติเหตุและยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร
โครงการ TRUST (Thailand Road Users Safety through Technology) เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 โดยมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (BMA), สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat), บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด (RVP)
โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลและหลักวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ข้อมูลจากยานพาหนะ (Vehicle Probe Data), ภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV) รวมถึงแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ ระบุจุดเสี่ยง และค้นหาสาเหตุของอุบัติเหตุ เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด
ในการประชุม IMF 2025 นายสายัณห์ ทัศนโกศล ผู้อำนวยการสำนักงานวิศวกรรมจราจร กล่าวเน้นว่า “ความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นประเด็นสำคัญในกรุงเทพฯ และเราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อลดอุบัติเหตุและรักษาชีวิต นอกเหนือจากการกำหนดนโยบายแล้วเรายังยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาทางข้ามถนนที่ปลอดภัย ตลอดจนใช้เทคโนโลยีเพื่อการบังคับใช้กฎหมายจราจรที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานรัฐ ผู้ขับขี่ ผู้ให้บริการด้านการเดินทาง และคนเดินถนน โดยความร่วมมือที่เกิดขึ้น เช่น โครงการ TRUST นี้ จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ปลอดภัย และน่าอยู่ขึ้นได้จริงสำหรับทุกคน”

ภาพที่ 1: ภาพถ่ายจากงาน International Mayors Forum
ด้าน TMF มุ่งมั่นในการค้นหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยบนท้องถนนโดยใช้ข้อมูลและ เทคโนโลยีขั้นสูง ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย โดย TMF ได้ดำเนินโครงการระยะที่ 1 ในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้ข้อมูลจากรถยนต์โตโยต้าที่ติดตั้งระบบเก็บข้อมูลการขับขี่ ทั้งนี้ ข้อมูลเชิงลึก และมาตรการแก้ไขที่ได้จากเฟสแรกจะถูกนำไปพัฒนาเพิ่มเติมร่วมกับชุดข้อมูลและเทคโนโลยีอื่นๆ ในโครงการระยะที่ 2 ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
ในการประชุม IMF 2025 นายเคนอิชิ ยากิ ผู้อำนวยการโครงการของ TMF ได้นำเสนอถึงความเป็นมาและแนวคิดของโครงการ TRUST ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการประชุม Tateshina ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทและองค์กรด้านการเดินทางหลายแห่ง โดยประเทศไทยได้รับเลือกจากคณะอนุกรรมการต่างประเทศ ให้เป็นพื้นที่นำร่องที่มีความสำคัญ และต่อยอดพัฒนามาเป็นโครงการ TRUST ในปัจจุบัน

ภาพที่ 2: การวิเคราะห์ข้อมูลจากรถยนต์โตโยต้า
การศึกษารายละเอียดจะดำเนินการในเขตจตุจักร ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่นและมีสถิติอุบัติเหตุสูงกว่าเขตอื่น ทางโครงการคาดว่าจะดำเนินการเป็นระยะเวลาไม่เกิน 24 เดือน และหากประสบความสำเร็จ ความรู้และวิธีการที่พัฒนาขึ้นจากโครงการนำร่องนี้จะสามารถขยายผล และนำไปใช้ในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศไทย
เกี่ยวกับโครงการ TRUST
โครงการ TRUST ในกรุงเทพฯ เกิดจากการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้นำด้านการเดินทางระดับโลกในการประชุม Tateshina ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมุ่งเน้นการวางกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยบนท้องถนน โดยใช้การวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี AI ข้อมูลจากรถยนต์ กล้องวงจรปิด และฐานข้อมูลอุบัติเหตุที่ถูกบันทึกไว้ เพื่อระบุพื้นที่เสี่ยงและพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัย โดยเน้นในสามปัจจัยหลัก ได้แก่ พฤติกรรมของผู้ขับขี่ โครงสร้างพื้นฐาน และยานพาหนะ โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง TMF, BMA, TMT, UN-Habitat, AIT และ RVP โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบที่สามารถขยายผลได้ในการพัฒนาความปลอดภัย บนท้องถนนในกรุงเทพฯ และทั่วประเทศไทย รวมถึงการแบ่งปันองค์ความรู้ในระดับสากล
เกี่ยวกับมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้
มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (ประธาน อากิโอะ โตโยดะ) ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2557 โดยบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (โตโยต้า) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสังคมที่ทุกคนสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ มูลนิธิสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโตโยต้าในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการเคารพในความเท่าเทียมของมนุษย์ โดยใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของโตโยต้าในการสนับสนุนระบบการเดินทางที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการเดินทางโดย TMF จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย หน่วยงาน รัฐบาล องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร สถาบันวิจัย และองค์กรอื่น ๆ เพื่อสร้างโครงการ ที่สอดคล้อง กับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) เพื่อแก้ไขปัญหาการเดินทางทั่วโลก
“TMF มุ่งหวังที่จะสร้างสังคมที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างแท้จริง เพื่อให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ใด” อ้างอิงจากประธานอากิโอะ โตโยดะ
เกี่ยวกับ IMF 2025
การประชุม IMF 2025 เป็นเวทีที่รวบรวมบรรดานายกเทศมนตรีและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในเมือง ชุมชน และพื้นที่เมือง โดยจัดขึ้นโดยกรมกิจการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (UN DESA) ร่วมกับศูนย์พัฒนาเขตภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ (UNCRD) และสำนักงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (UNOSD) พร้อมด้วยเมืองโตโยต้าในฐานะผู้ร่วมจัดงานปี 2025 และความร่วมมือจาก UN-Habitat
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า จับมือ ททท. เปิดตัวแคมเปญ “Thai Honda Creator Connect Club 2 : สุขทันทีที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย” ชวนครีเอเตอร์ขับขี่เที่ยวไทย ถ่ายคอนเทนต์ ส่งคลิป รับทันที E-Voucher

รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดตัวแคมเปญ “Thai Honda Creator Connect Club 2 : สุขทันทีที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย” กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่และพิเศษกว่าเดิม ภายใต้แนวคิด “สุขทันที…ที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย” ชวนเหล่าครีเอเตอร์ทั่วประเทศร่วมออกเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทย ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านคอนเทนต์แนะนำ “สถานที่สุดประทับใจ ที่ทั้งชิคและคูลจนอยากแชร์” ในสไตล์ของตนเอง โดยใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเป็นเพื่อนคู่ใจในการเดินทางผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถรับสิทธิ์ E-Voucher จากโลตัส มูลค่า 300 บาท (สำหรับผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าขนาดเล็กต่ำกว่า 400 ซีซี ในการทำคอนเทนต์) และ 500 บาท (สำหรับผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้า CUB House หรือ Big Bike ในการทำคอนเทนต์) จำนวนจำกัด 1,000 สิทธิ์ พร้อมลุ้นเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายร่วมทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับทางรถจักรยานยนต์ฮอนด้า และ ททท. โดยผู้ที่ชนะจะได้รับ All New Honda Scoopy รุ่น Club12 พร้อมเงินรางวัลมูลค่าสูงสุด 50,000 บาท และ Gift Voucher สำหรับท่องเที่ยวในไทยมูลค่า 25,000 บาท รวมรางวัลทั้งแคมเปญมูลค่ากว่า 2,000,000 บาท
Thai Honda Creator Connect Club 2 : สุขทันทีที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย จัดขึ้นเพื่อสานต่อความสำเร็จจากปีแรก โดยปีนี้ได้ขยายแคมเปญให้พิเศษขึ้นด้วยการจับมือกับ ททท. พร้อมดึงแคมเปญ “สุขทันที…ที่เที่ยวไทย” มาเพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ให้เป็นเรื่องใกล้ตัว เข้าถึงง่าย และสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้เพียงแค่ขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีเปิดโอกาสให้เหล่า Local Creators ถ่ายทอดเสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยวไทยในมุมมองที่แตกต่าง เพื่อขยายฐานผู้สื่อสารด้านการท่องเที่ยวให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ในมิติทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือครั้งนี้ยังมีส่วนช่วยเชื่อมโยงการเดินทางกับวิถีชีวิตของชุมชน สร้างโอกาสกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้ง รถจักรยานยนต์ฮอนด้า และ ททท. ที่ต้องการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศอย่างปลอดภัย เข้าถึงง่าย และร่วมกันขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตเคียงคู่ไปกับความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
นอกจากสิทธิ์ E-Voucher แล้ว ผู้สมัครที่ผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้าย จะได้เข้าร่วมทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 3 วัน 2 คืน ระหว่างวันที่ 16–18 มกราคม 2569 เพื่อร่วมเวิร์กชอปใกล้ชิดกับครีเอเตอร์มืออาชีพและฝึกฝนทักษะการสร้างคอนเทนต์ผ่านการเดินทางจริง รวมถึงเต็มอิ่มกับประสบการณ์ท่องเที่ยวไทยกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า โดยผู้ที่ชนะจะได้รับรางวัล ดังนี้
- รางวัลผู้ที่ชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับรางวัลรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท : รถจักรยานยนต์ฮอนด้า All New Honda Scoopy รุ่น Club12 จำนวน 1 คัน และ เงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท และ Gift Voucher ท่องเที่ยว มูลค่า 25,000 บาท พร้อมโอกาสร่วมงานกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า
- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รับเงินรางวัลมูลค่ากว่า 50,000 บาท และ Gift Voucher ท่องเที่ยวจากมูลค่า 25,000 บาท พร้อมโอกาสร่วมงานกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า
- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รับเงินรางวัลมูลค่ากว่า 30,000 บาท และ Gift Voucher ท่องเที่ยวมูลค่า 25,000 บาท พร้อมโอกาสร่วมงานกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า
- รวมถึงรางวัลชมเชยอีก 6 รางวัล รางวัลละ 5,000 บาท
*ของรางวัลและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
คุณสมบัติผู้สมัคร
- อายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่จำกัดเพศ
- มีบัญชี YouTube / Facebook / TikTok / Instagram / X อย่างใดอย่างหนึ่ง
- มีผู้ติดตามอย่างน้อย 1,000 คนขึ้นไป และใช้บัญชีดังกล่าวในการโพสต์คอนเทนต์
- มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ยังไม่หมดอายุ
- สุขภาพร่างกายพร้อมสำหรับการขับขี่
เงื่อนไขการสมัคร
- ส่งคลิปวิดีโอ 1 คลิป ความยาว 30 วินาทีขึ้นไป ภายใต้หัวข้อ
“สุขทันทีที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย” - เนื้อหาคลิปต้องเล่าเรื่องการขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า พร้อมนำเสนอความสุขจากการท่องเที่ยว เช่น สถานที่กิน การท่องเที่ยว หรือวัฒนธรรมท้องถิ่น
- โพสต์บนโซเชียลมีเดีย พร้อมใส่แฮชแท็กตามที่กำหนด ดังนี้
#สุขทันทีที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย #ThaiHondaCreatorConnectClub2025
#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #CUBHouse #HondaBigBike
- ส่งลิงก์คลิปวิดีโอผ่านแอป My Honda Moto ภายในระยะเวลาที่กำหนด
- ผู้สมัครที่ทำถูกต้องตามเงื่อนไขจะได้รับ E-Voucher ภายใน 1 เดือนหลังจากส่งคลิป (จำนวนจำกัด 1,000 สิทธิ์ และขอสงวนสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่สมัคร และส่งคลิปเข้าร่วมกิจกรรมก่อน)
ระยะเวลาการสมัคร
- เปิดรับสมัคร: ตั้งแต่วันนี้ – 3 ธันวาคม 2568 เวลา 23.59 น.
- ประกาศผล: 24 ธันวาคม 2568
- ครีเอเตอร์แคมป์: 16–18 มกราคม 2569
สมัครได้แล้ววันนี้ เพียงดาวน์โหลดแอป My Honda Moto แล้วมาเป็นส่วนหนึ่งของ “Thai Honda Creator Connect Club 2 : สุขทันทีที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย”
iOS คลิก: https://apple.co/3VPAfoj
Android คลิก: https://bit.ly/3IfeLyg
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม
เกี่ยวกับ “Thai Honda Creator Connect Club 2 : สุขทันทีที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย” ได้ที่เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : www.facebook.com/hondamotorcyclethailand
IG : www.instagram.com/hondamotorcyclethailand
Tiktok: www.tiktok.com/@hondamotorcycletha
Youtube: www.youtube.com/HondaMotorcycleTHA
#สุขทันทีที่ขี่ฮอนด้าเที่ยวไทย #ThaiHondaCreatorConnectClub2025 #HondaBigBike #CUBHouse #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #HondaMotorcycleThailand #ไทยฮอนด้า #ThaiHonda #HondaSafetyThailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News / News Motocycle1 Min Read
Honda CRF450 RALLY แข็งแกร่งเหนือชั้น “ริกกี้ บราเบค” คว้าชัยเปิดการแข่งขันที่โมร็อคโก

“ริกกี้ บราเบค” ยอดนักบิดจากอเมริกา สังกัด มอนสเตอร์ เอนเนอร์จี ฮอนด้า เอชอาซี(Monster Energy Honda HRC) บิด Honda CRF450 RALLY เปิดตัวได้สุดร้อนแรงในการแข่งขัน 2025 World Rally Raid Championship สนาม 5 ที่โมร็อคโก ในรายการ Rallye Du Maroc 2025 แม้ว่าการแข่งขันเริ่มต้นสเตจแรกจะเป็นเรซแบบสั้น ๆ ด้วยระยะทางเพียง 19 กิโลเมตร รอบเมืองเฟซ แต่เต็มไปด้วยความท้าทายมากมายทั้งเนินชัน คูน้ำหรือการบิดข้ามช่วงตื้นของแม่น้ำ ซึ่งวัดกันทั้งความเร็ว แข็งแกร่งและความแม่นยำต่อเนื่อง ซึ่งลงดวลกันวันแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา

“ริกกี้ บราเบค” หมายเลข 9 ควบ Honda CRF450 RALLY ทำเวลาเร็วที่สุดที่ 1 นาที 48 วินาที คว้าอันดับที่ 1 มาครองจากการแข่งขันที่เต็มไปด้วยสไตล์และสมรรถนะที่เหนือชั้นของรถแข่งฮอนด้า และตอกย้ำความแข็งแกร่งยอดเยี่ยมของฮอนด้าทีมด้วยอันดับที่ 2 ของทีมเมท อย่าง “โทซา ซาเรนา” หมายเลข 68 ที่แม้ว่าจะมีอาการอาร์มปั๊มในระหว่างการแข่งขัน แต่ยังต่อสู้ด้วยสปิริต บิดตามมาติด ๆ ด้วยระยะห่างเพียง 00:01 วินาทีเท่านั้น

ขณะที่การแข่งขันสเตจแรกของรายการนี้ มีระยะทางรวมกันทั้งหมด 780 กิโลเมตร รวมถึงการแข่งขันแบบจับเวลาที่ดวลกัน 300 กิโลเมตร โดยนักแข่งจะมุ่งหน้าไปทางตะวันออกจากเมืองเฟซไปยังเมืองเออร์ฟูด เส้นทางของการแข่งขันจะพานักแข่งเข้าสู่ใจกลางทะเลทรายของโมร็อกโก ซึ่งวัดทั้งความแข็งแกร่งของนักแข่ง และศักยภาพของรถแข่ง
ทั้งนี้ ศึก Rallye Du Maroc 2025 สนามสุดท้ายของ 2025 World Rally Raid Championship จะดวลกันในระหว่างวันที่ 10 – 17 ตุลาคม 2568 นี้ ที่ประเทศโมร็อคโก
#Rally #CRF450 #HondaMotorcycle #HRC #MonsterEnergyHondaTeam
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย จัดงานใหญ่! “XPENG CARNIVAL’ ยกขบวน ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะครบทุกรุ่น พร้อมเปิดตัว ‘X9 Luxury Special Color Edition’ อีกทั้งรถผู้บริหารป้ายแดง ไมล์น้อย ข้อเสนอสุดพิเศษ ถึง 21 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์

เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ผู้นําเข้าและจัดจําหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค ‘เอ็กซ์เผิง ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จํากัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA จัดงานสุดปัง ‘XPENG CARNIVAL’ ผสมผสานระหว่างบรรยากาศงานเทศกาลคาร์นิวัล กับยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ระดับพรีเมียม-ไฮเทค พร้อมเปิดตัวรถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ รุ่นพิเศษ ‘X9 Luxury Special Color Edition’ สะท้อนความหรูหราขั้นสุด พลาดไม่ได้รถผู้บริหารป้ายแดง ที่มีให้เลือกสรรพร้อมรับข้อเสนอจุใจ ระหว่างวันที่ 15-21 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์
อภิวันท์ สิงห์ทวีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย กล่าวว่า “กว่า 1 ปีที่ เอ็กซ์เผิง รุ่น G6 และ X9 ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีคนไทย และสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง เพื่อตอบรับกระแสดังกล่าว พร้อมฉลองโอกาสที่รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ เอ็กซ์เผิง รุ่น X9 มียอด จดทะเบียนอันดับ 1 ในกลุ่ม MPV ไฟฟ้า ในเดือนกันยายน และสําหรับไตรมาสที่ 3 (ข้อมูลจากกรมขนส่ง ทางบก) เราจึงตั้งใจจัดงานใหญ่นี้ พร้อมถือโอกาสเปิดตัวรถรุ่นไฮไลท์ อย่าง ‘X9 Luxury Special Color Edition’ ที่ล้ําด้วยดีไซน์ สมรรถนะ และเทคโนโลยี AI นอกจากนี้ ยังมีรถผู้บริหารป้ายแดง ไมล์น้อย การันตี คุณภาพกว่า 20 คัน โดย G6 ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท ขณะที่ X9 เริ่มต้น 2,290,000 บาท พร้อมดีลดีๆ ที่ยากจะปฏิเสธ”
++ ตื่นตา X9 Luxury Special Color Edition อีกระดับความหรูหราที่ลงตัว รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะรุ่นท็อป ที่มาพร้อมความพิเศษยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยสีภายนอก Matte Gray ครั้งแรกในตลาด MPV ไฟฟ้า สอดรับกับเฉดสีภายในใหม่ Light Gray เบาะหนังแท้แนปป้า (Nappa) ผสานฟังก์ชั่น Zero-gravity Seat หรูหรามีระดับ เบาะนั่งแถวสองปรับไฟฟ้า 18 ทิศทาง พร้อมที่ชาร์จ แบบไร้สาย 50 วัตต์ ล้ออัลลอยใหม่ดีไซน์แบบ Starlight Floating Wheels ขนาด 20 นิ้ว ผสานการ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดถึง 317 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ NCM ขนาด 101.5 กิโลวัตต์ ชาร์จไฟเต็มขับได้ไกลสุด 690 กิโลเมตร (NEDC) อีกทั้งยังมา พร้อมระบบเลี้ยว 4 ล้อ ให้รัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.4 เมตร
พร้อมด้วย X9 EXECUTIVE นั่งสบายด้วยเบาะแถวที่สองแบบโซฟาพร้อมฟังก์ชั่น Zero-Gravity ปรับไฟฟ้าได้ 14 ทิศทาง มาพร้อมช่องทางเดินระหว่างเบาะแถวที่สอง และที่ชาร์จแบบไร้สาย โดยเบาะแถวที่สามารถพับราบด้วยระบบไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ ขณะที่สมรรถนะการขับเคลื่อนจัดเต็ม ขุมพลัง ใช้เทคโนโลยีเช่นเดียวกับรุ่น Luxury ทําให้ X9 สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
++ ครบครันยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค ‘New G6’
เอ็กซ์เผิง G6 ใหม่ The NEXT Intelligent SUV ครั้งแรกกับการใช้แบตเตอรี่ 5C ทุกรุ่นย่อย รองรับ กระแสไฟในการชาร์จกระแสตรงสูงสุด 451 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% เพียง 12 นาที* ปรับโฉม ทั้งภายนอกและห้องโดยสาร เดย์ไทม์รันนิงไลท์แบบใหม่พาดยาวเป็นเส้นเดียว เปลี่ยนฝาท้ายเป็นแบบ Ducktail และกันชนหลังแบบ C-Ring ห้องโดยสารติดตั้งจอกลางและจอหน้าผู้ขับ ขนาด 15.6 และ 10.25 นิ้ว พร้อมไฟสร้างบรรยากาศ Starlight Rhythm Ambient Light Matrix เสริมหล่อด้วยล้อ อัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลายใหม่เพิ่มรุ่น AWD Performance’ ที่ติดตั้งมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD- All Wheel Drive) ให้กําลัง 486 แรงม้า (PS) พร้อมล้ออัลลอยรมดํา ดุดันแบบเท่สุดๆ
XPENG
++ สิทธิพิเศษสําหรับลูกค้าที่จอง ‘New G6’ และ ‘X9′ ทั้งรถใหม่ และรถผู้บริหารป้ายแดง
ภายในงาน
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง พร้อม พรบ. นาน 1 ปี*
ฟรี Wallbox พร้อมติดตั้ง*
ฟรี สายชาร์จฉุกเฉิน 1 ชุด*
รับประกันคุณภาพรถยนต์ นาน 5 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร*
รับประกันแบตเตอรี่ และมอเตอร์ขับเคลื่อน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร*
บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี*
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมความบันเทิง อาทิ เกมชิงรางวัล, ขบวนพาเหรด เป็นต้น โดยงาน ‘XPENG CARNIVAL’ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บริเวณควอเทียร์ อเวนิว ชั้น G และอาคาร C ชั้น BM ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 21 ตุลาคม 2568
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ฮอนด้า มอบความสุขจัดใหญ่เต็ม MAX ผ่านกิจกรรม Honda Day 2025 1 พ.ย. 2568 นี้ เข้าสวนน้ำ วานา นาวา หัวหิน ฟรี ! เฉพาะครอบครัวฮอนด้า วันเดียวเท่านั้น !!! เพียงโชว์กุญแจรถยนต์ฮอนด้า 1 กุญแจ สนุกได้สูงสุดถึง 4 ท่าน

ครอบครัวฮอนด้า เตรียมตัวให้พร้อม! กับกิจกรรม Honda Day 2025 มอบสิทธิพิเศษ เข้าสวนน้ำ วานา นาวา หัวหิน (Vana Nava Hua Hin) ฟรี ! ในวันเสาร์ที่
1 พฤศจิกายน 2568 เพียงโชว์กุญแจรถยนต์ฮอนด้ารุ่นใดก็ได้ ที่จุดจำหน่ายบัตรหน้าสวนน้ำ
1 กุญแจ สนุกได้ทั้งครอบครัวสูงสุด 4 ท่าน พร้อมรับฟรี ! คูปองแลกของที่ระลึก และสนุกกับกิจกรรม
สุดพิเศษอีกมากมายที่บูทฮอนด้าในงาน จำกัดสิทธิ์เพียง 250 สิทธิ์ หรือ 1,000 ท่าน เท่านั้น !ฮอนด้า จัดใหญ่แบบเต็ม Max ให้ครอบครัวฮอนด้าได้สนุกสุดมันส์ใน Honda Day 2025 ในวันที่
1 พฤศจิกายน 2568 ที่สวนน้ำ วานา นาวา หัวหิน กับเครื่องเล่นสวนน้ำมาตรฐานโลกกว่า 19 เครื่องเล่น และสไลเดอร์มากมาย ในบรรยากาศสวนน้ำสไตล์ป่าเขตร้อนแห่งแรกของเอเชียรับสิทธิพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับครอบครัวฮอนด้า พร้อมอัปเดตทุกข่าวสาร ข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมล่าสุด เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวได้ที่
- เว็บไซต์: honda.co.th
- Facebook Official Account: Honda Thailand
- LINE Official Account: @honda-thailand
*เงื่อนไขและข้อกำหนด
– โปรโมชันนี้เฉพาะลูกค้ารถยนต์ฮอนด้าเท่านั้น
– สามารถใช้โปรโมชันนี้ที่จุดจำหน่ายบัตรหน้าสวนน้ำ วานา นาวา หัวหิน รับสิทธิ์โดยการแสดงกุญแจรถยนต์ฮอนด้ารุ่นใดก็ได้ (1 กุญแจ ต่อ 1 สิทธิ์ และ 1 สิทธิ์ได้ 4 ท่าน) จำกัดจำนวน 250 สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาโครงการ
– โปรโมชันไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชันอื่นได้
– โปรโมชันนี้ไม่สามารถแจ้งยกเลิกหรือคืนเงินได้ทุกจำนวน ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
– ลูกค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎของสวนน้ำฯ อย่างเคร่งครัด
– สวนน้ำขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและข้อกำหนดใดๆ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
FIT Auto จัดโปรโมชันใหญ่ส่งท้ายปี “ฟิตรถให้พร้อม มั่นใจทุกการเดินทาง” ยาง 3 แถม 1 น้ำมันเครื่องเริ่มต้น 690 บาท พร้อมโครงการประกันภัยใหม่ “FIT KUB TIP”

คุณรชา อุทัยจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจหล่อลื่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย คุณสุภาพ ประดับการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดตัวแคมเปญใหญ่ก่อนเดินทางส่งท้ายปีของศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto มอบสิทธิพิเศษแก่ลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อตอบโจทย์คนรักรถ และนักเดินทางทุกคน ให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความอุ่นใจ ไม่ว่าจะเป็นทริปสั้น ๆ ในเมือง วันหยุดกับครอบครัว หรือ
ทริปทางไกลในช่วงเทศกาล ก็พร้อมออกเดินทางได้อย่างมั่นใจไร้กังวล ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 15 มกราคม 2569รับโปรโมชันพิเศษ:
- ยาง 3 แถม 1 + ฟรี! โปรแกรมดูแลยาง FIT Care มูลค่า 4,000 บาท
ยางซื้อ 3 แถม 1 จากแบรนด์ที่ร่วมรายการ (Goodyear, Yokohama รุ่น AE51 และ G056, Deestone และ Westlake) และรับโปรแกรมดูแลยาง FIT Care ครอบคลุมตลอด 2 ปี หรือ 50,000 กม. รวมบริการตั้งศูนย์ 2 ครั้ง, สลับยาง-ถ่วงล้อ 5 ครั้ง, เติมลมไนโตรเจนไม่จำกัด, และปะยางแบบแทงไหมฟรี เมื่อเปลี่ยนยางครบ 4 เส้นที่ FIT Auto - เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง PTT Lubricants เริ่มต้น 690 บาท ฟรี! ไส้กรองน้ำมันเครื่องและค่าแรง
- น้ำมันเครื่องเกรดหมื่นโล เบนซิน เริ่มต้น 690 บาท ดีเซล เริ่มต้น 1,020 บาท
- น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100% เบนซิน เริ่มต้น 750 บาท ดีเซล เริ่มต้น 1,490 บาท
- เมื่อซื้อน้ำมันเครื่องขนาด 3 ลิตรขึ้นไป ฟรี! ค่าแรงเปลี่ยนถ่าย มูลค่า 200 บาท และไส้กรองยี่ห้อ FIT Auto มูลค่าสูงสุด 260 บาท หรือส่วนลดมูลค่า 100 บาท สำหรับซื้อไส้กรองยี่ห้ออื่นที่ FIT Auto ในกรณีที่รถลูกค้าไม่สามารถใช้ไส้กรองยี่ห้อ FIT Auto ได้
- อะไหล่ลด 5%
ครอบคลุมผ้าเบรก, จานเบรก, โช้คอัพ, แบตเตอรี่ และอะไหล่ช่วงล่างที่ร่วมรายการ พร้อมแพ็กเกจทำความสะอาดและหล่อลื่นระบบเบรก ราคาพิเศษ 249 บาท - บริการล้างแอร์และอบโอโซน 1,990 บาท ฟรี! กรองแอร์ 5 มูลค่า 380 บาท
ด้วยเทคโนโลยี Micro Cam สำหรับรถญี่ปุ่นเท่านั้น (เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ)
นอกจากนี้ FIT Auto ยังจับมือกับ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “FIT KUB TIP คุ้มทุกคัน ประกันทุกยาง” ที่ครอบคลุมประกันภัยรถยนต์ประเภท 1, 2+ และ 3+ พร้อมขยายความคุ้มครองด้านยางรถยนต์ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ยกระดับประสบการณ์ One Stop Service ให้ลูกค้ามั่นใจได้มากขึ้น สามารถสมัครได้ง่าย ๆ เพียงสแกน QR Code ณ จุดบริการ FIT Auto ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร. 1736
“ฟิตรถให้พร้อม มั่นใจทุกการเดินทาง” ที่ FIT Auto ด้วยโปรโมชันพิเศษสุดคุ้ม คนรักรถห้ามพลาด!! มาดูแลรถของคุณที่FIT Auto ทุกสาขาทั่วประเทศ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.pttfitauto.com/th/promotion หรือโทร 1365 Contact Center ติดตามข่าวสารทาง หรือเช็ก FIT Auto ใกล้บ้าน ได้ที่ https://www.pttfitauto.com/th/branches
*หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ยกเลิก โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
#FITAuto #เชี่ยวชาญบริการจากใจ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
- ยาง 3 แถม 1 + ฟรี! โปรแกรมดูแลยาง FIT Care มูลค่า 4,000 บาท
-
‘มิชลิน ไกด์’ พลิกโฉมสร้างตำนานบทใหม่ ขยายบทบาทจากคู่มือในรูปแบบสิ่งพิมพ์ สู่การเป็นแหล่งอ้างอิงระดับโลก

มิชลิน ไกด์’ จัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัมพันธ์ (Media Day) ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเป็นส่วนหนึ่งของงานประกาศรายชื่อโรงแรมที่พักทั่วโลกซึ่งคว้ารางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ หรือ MICHELIN Key ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะการออกแบบตกแต่งแห่งกรุงปารีส (Paris Decorative Arts Museum) กิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงเปิดพื้นที่ให้สื่อมวลชนในประเทศฝรั่งเศสและนานาประเทศได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน แต่ยังเปิดโอกาสให้ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมา กลยุทธ์การดำเนินงาน และเป้าหมายที่วางไว้
จากคู่มือในรูปแบบสิ่งพิมพ์ สู่การเป็นแหล่งอ้างอิงระดับโลกด้านศิลปะการใช้ชีวิต
นับตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2443 คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้พัฒนาไปตามยุคสมัยและวิถีชีวิตของผู้คน โดยยังคงยึดมั่นในพันธกิจดั้งเดิม นั่นคือ การแนะนำร้านอาหารและโรงแรมที่พักอย่างเป็นอิสระด้วยมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อให้นักเดินทางได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจมากที่สุด แนวคิดในการจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ เริ่มจากต้องการให้เป็นคู่มือที่ใช้งานได้จริงและช่วยให้การเดินทางด้วยรถยนต์สะดวกง่ายดายขึ้น ในช่วงปี 2463-2472 คู่มือฉบับดังกล่าวได้กลายเป็นบรรทัดฐานด้านอาหารด้วยการเปิดตัวสัญลักษณ์ ‘ดาวมิชลิน’ (MICHELIN Stars) และต่อมาในปี 2540 ได้เปิดตัวรางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ (Bib Gourmand) เพื่อมอบให้กับร้านอาหารคุณภาพดีราคาย่อมเยา
ต้นศตวรรษที่ 21 พื้นที่การจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ครอบคลุมจุดหมายปลายทางราว 20 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป ในช่วงเวลานี้เองมีการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญโดยมุ่งเน้นไปที่การขยายฐานสู่ตลาดนานาชาติ (Internationalization), การปรับกระบวนการทำงานเข้าสู่ระบบดิจิทัล (Digitalization) และการสร้างความหลากหลาย (Diversification)
การเร่งขยายฐานการดำเนินงานทั่วโลกเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในช่วงปี 2543-2552 โดยการเปิดตัวคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2550 ถือเป็นก้าวสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการเปิดรับและส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารทั่วทุกมุมโลก ในปี 2568 ซึ่ง ‘มิชลิน ไกด์’ ดำเนินงานครอบคลุมจุดหมายมากกว่า 70 แห่ง ทั้งในยุโรป, เอเชีย, อเมริกาเหนือ, อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง จึงได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะเผยแพร่บรรยากาศที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวของแวดวงอาหารในทุกดินแดนทั่วโลก
ในช่วงปี 2543-2552 คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้เริ่มดำเนินการปรับโฉมครั้งใหญ่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งส่งผลให้รูปแบบการเข้าถึงข้อมูลของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปและการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ลดลง โดยได้เปิดตัวเว็บไซต์ให้ผู้สนใจเข้าถึงข้อมูลร้านอาหารและโรงแรมที่พักทั่วโลกซึ่งผ่านการคัดสรรและจัดอันดับโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งยังสามารถเลือกแสดงผลเป็นภาษาต่างๆ ได้มากกว่า 25 ภาษา พัฒนาการดังกล่าวส่งเสริมพันธกิจดั้งเดิมของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่นักเดินทางจำนวนมากที่สุด ขณะเดียวกันยังช่วยให้สามารถพัฒนาเนื้อหาให้ครบถ้วนสมบูรณ์และปรับข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ต่อมาในปี 2563 ระบบนิเวศทางดิจิทัลดังกล่าวได้นำไปสู่การพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ซึ่งได้พลิกโฉม ‘มิชลิน ไกด์’ จากคู่มือแบบรูปเล่มที่ผู้ขับขี่มักใส่ไว้ในช่องเก็บของประจำรถ…ให้กลายเป็นสื่อคู่กายที่นักชิมและนักเดินทางทั่วโลกพกพาติดตัวไปด้วยทุกที่
ในปี 2566 การปรับโฉมดังกล่าวได้ขยายสู่แวดวงโรงแรมที่พักด้วยการเปิดตัวรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ หรือ MICHELIN Key ซึ่งเปรียบเสมือนการพลิกโฉมคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ด้วยการยกระดับบทบาทในฐานะผู้คัดสรรและแนะนำโรงแรมที่พัก การประกาศรายชื่อโรงแรมที่พักทั่วโลกซึ่งได้รับรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปีนี้เปรียบเสมือนการมอบรางวัล ‘ดาวมิชลิน’ ให้กับร้านอาหารหรูประเภท “ไฟน์ ไดน์นิ่ง” (Fine Dining)โดย ‘กุญแจมิชลิน’ เป็นรางวัลที่มอบให้กับโรงแรมที่พักซึ่งมีความโดดเด่นเป็นพิเศษและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สร้างมาตรฐานความเป็นเลิศใหม่ให้กับอุตสาหกรรมบริการ
พัฒนาการดังกล่าวข้างต้นล้วนอยู่ภายใต้หลักการสำคัญที่เป็นจิตวิญญาณของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ นั่นคือ การคัดสรรอย่างเป็นอิสระ, กระบวนการคัดสรรที่เข้มงวด และการรักษามาตรฐานสูงอย่างต่อเนื่อง การประกาศรายชื่อโรงแรมที่พักทั่วโลกซึ่งได้รับรางวัล ‘กุญแจมิชลิน’ ในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำจุดยืนใหม่ของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ในฐานะแหล่งอ้างอิงระดับโลกด้านศิลปะการใช้ชีวิตที่นำเสนอ…
- ความเฉพาะตัว (Singularity): รูปแบบวิธีการคัดสรรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทีมผู้ตรวจสอบมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
- ความดึงดูดใจ (Affinity): มีกิจกรรมร่วมกับชุมชน มีเนื้อหาที่โดดเด่นและปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
- การนำไปใช้ได้จริง (Practicality): ด้วยบริการที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการรายบุคคล ส่งผลให้การทานอาหารหรือพักแรมเป็นเรื่องสะดวกง่ายดายมากขึ้นและให้ประสบการณ์ที่เหนือกว่า
เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มดิจิทัล ด้วยบริการที่หลากหลายและแตกต่าง
ด้วยระบบนิเวศทางดิจิทัลที่ได้รับการออกแบบใหม่ ‘มิชลิน ไกด์’ จึงสามารถใช้ฟังก์ชั่นพิเศษของตนเองสนับสนุนทุกมิติของการเดินทาง ตั้งแต่สร้างแรงบันดาลใจ…ไปจนถึงอำนวยความสะดวกในการจองโต๊ะที่ร้านอาหารหรือการสำรองห้องพัก ยิ่งกว่านั้นยังทำให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นชุมชนผู้ใช้งานรูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมมากขึ้น อายุน้อยลง และมีคุณวุฒิสูงกว่าเดิม
ระบบนิเวศทางดิจิทัลที่ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่
เว็บไซต์และโปรแกรมสำหรับใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Application) ของ ‘มิชลิน ไกด์’ นำเสนอ…
- ข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารและโรงแรมที่พักซึ่งผ่านการคัดสรรอย่างอิสระและมีมาตรฐานสูงโดยทีมผู้ตรวจสอบที่ประกอบด้วยบุคลากรจากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ข้อมูลดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ทั่วโลกโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
- เนื้อหาที่โดดเด่น ทั้งบทความ, ข้อมูลแนะนำการท่องเที่ยว, วิดีโอ, พอดแคสต์, ข่าวสารและเรื่องราวต่อเนื่องเป็นตอนทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ล้วนมีบทบาทในการส่งเสริมศาสตร์การทำอาหารและการเดินทางท่องเที่ยวในมุมมองที่มีเอกลักษณ์และร่วมสมัย
- แพลตฟอร์มสำหรับให้บริการซึ่งตอบโจทย์การใช้งานและพฤติกรรมของผู้คนยุคปัจจุบัน โดยมีฟังก์ชั่นการกรองข้อมูล (Filters), ระบบระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์(Geolocalization), การสร้างรายการส่วนตัว, การจัดทำแผนการเดินทางเฉพาะบุคคล, ระบบการจองแบบครบวงจร และการดูแลช่วยเหลือเฉพาะบุคคลโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินทางท่องเที่ยว
จากแพลตฟอร์ม…สู่ประสบการณ์: ตัวอย่างเรื่องการสำรองห้องพัก
เมื่อเข้าสู่ฐานข้อมูลสำหรับให้บริการที่พัฒนาล่าสุดของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ผู้ใช้งานสามารถจองห้องพักได้โดยตรงกับโรงแรมที่พักในราคาที่ดีที่สุด ทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ อาทิ การอัปเกรดห้องพัก, ค่าห้องพักอัตราพิเศษ และประสบการณ์สุดพิเศษที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล นอกจากนี้ ยังสามารถขอรับบริการเสริมพิเศษเฉพาะด้านจากทีมผู้เชี่ยวชาญได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย บริการที่มีความเป็นส่วนตัวและใส่ใจในรายละเอียดดังกล่าวต่อยอดมาจากเนื้อหาที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ เพื่อให้คู่มือดังกล่าวเป็นมากกว่าการให้คำแนะนำเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบัน ร้อยละ 92 ของผู้ใช้คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’* แสดงความเห็นว่าบริการดังกล่าว “น่าประทับใจ” หรือ “ดีกว่าผู้ให้บริการรายอื่น”
ชุมชนผู้ใช้งานรูปแบบใหม่
แม้ ‘ดาวมิชลิน’ ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ แต่ความหลากหลายและการเข้าถึงรายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรได้สะดวกง่ายดายคือปัจจัยหลักที่ทำให้คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้รับความนิยมในกลุ่มนักเดินทางและผู้หลงใหลในอาหารหลายล้านคนทั่วโลก โดยคู่มือฉบับนี้เป็นมากกว่าแหล่งรวบรวมรายชื่อและที่อยู่ของร้านอาหารแนะนำเท่านั้น แต่ยังบรรจุเนื้อหาที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงและจุดประกายให้ผู้คนออกเดินทางค้นหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ปัจจุบัน ‘มิชลิน ไกด์’ มีชุมชนผู้ติดตามราว 7 ล้านรายบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ และมีผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นราว 3.5 ล้านรายทั่วโลก
ร้อยละ 60 ของนักเดินทางท่องเที่ยวนานาชาติที่มีอายุต่ำกว่า 34 ปี ระบุว่าใช้คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ในการเลือกร้านอาหาร
คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’: ต้นแบบระดับโลกที่ช่วยเสริมสร้างคุณค่าให้กับจุดหมายปลายทาง
‘มิชลิน ไกด์’ ยังคงเดินหน้าขยายฐานการดำเนินงานทางภูมิศาสตร์ด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมวงการอาหารทั่วโลกผ่านการคัดสรรและแนะนำร้านอาหาร ผลจากการคัดสรรร้านอาหารได้สร้างแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ, การท่องเที่ยว, ศิลปะการทำอาหาร และวัฒนธรรม ทั้งยังช่วยให้ ‘มิชลิน ไกด์’ พัฒนารูปแบบการดำเนินงานจนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวบนฐานของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่น ขณะเดียวกันการสนับสนุนที่ได้รับซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ สู่ระดับสากล ยังก่อให้เกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนอีกด้วย
การศึกษาซึ่งจัดทำเมื่อไม่นานมานี้* ยืนยันถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ต่อการตัดสินใจของนักเดินทาง
- ร้อยละ 74 ระบุว่าคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทาง
- ร้อยละ 76 ยินดีที่จะขยายระยะเวลาการท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสประสบการณ์ในร้านอาหารที่ ‘มิชลิน ไกด์’ แนะนำ
- ร้อยละ 80 ยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสัมผัสประสบการณ์ความเป็นเลิศระดับ ‘มิชลิน ไกด์’
นอกจากจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวแล้ว ‘มิชลิน ไกด์’ ยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- ร้อยละ 82 ของเชฟระบุว่าผลประกอบการเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับรางวัล
- ร้อยละ 60 ระบุว่ามีการรับสมัครบุคลากรใหม่
- ร้อยละ 58 ระบุว่า ‘มิชลิน ไกด์’ ส่งผลเชิงบวกต่อความภาคภูมิใจและแรงจูงใจของพนักงาน
การขยายฐานการดำเนินงานแต่ละครั้งมีกระบวนการที่เข้มงวด โดยมุ่งประเมินภาพรวมของวงการอาหารท้องถิ่น และยืนยันให้มั่นใจว่าการคัดสรรจะเป็นไปอย่างยั่งยืนภายใต้ความรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวของ ‘มิชลิน ไกด์’ ความร่วมมือในเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งกำหนดเป้าหมายไว้สูงเหล่านี้ต้องอยู่บนฐานของการดำเนินงานอย่างเป็นอิสระของ ‘มิชลิน ไกด์’ เพื่อให้มั่นใจว่าการคัดสรรและจัดอันดับเป็นไปอย่างมีคุณภาพและโปร่งใส
แรงขับเคลื่อนนี้ยังส่งผลต่อเนื่องไปสู่อุตสาหกรรมโรงแรม ทั้งนี้ การขยายขอบเขตการคัดสรรโรงแรมที่พัก, การเปิดตัวรางวัลใหม่ ‘กุญแจมิชลิน’ หรือ MICHELIN Key และการพัฒนาระบบการจองห้องพักที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้โรงแรมเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงเป้าหมายขึ้น
ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี และเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ๆ โรงแรมที่แนะนำบางส่วนซึ่งสามารถจองผ่านแพลตฟอร์มของ ‘มิชลิน ไกด์’ มีอัตราการจองห้องพักเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า บริการสำรองห้องพักซึ่งเปิดตัวในปี 2567 มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมที่พักซึ่งมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับผู้ใช้ ‘มิชลิน ไกด์’ ปัจจุบัน ‘มิชลิน ไกด์’ จึงมีบทบาทในการดึงดูดลูกค้าที่มองหาประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับทั้งโรงแรมที่พักและดินแดนที่เป็นจุดหมายปลายทาง
ด้วยแนวทางดังกล่าว ‘มิชลิน ไกด์’ จึงทำหน้าที่เป็นบรรทัดฐานระดับสากลด้านอาหารและงานบริการ ทั้งยังมีส่วนช่วยให้ดินแดนที่เป็นจุดหมายปลายทางเติบโตอย่างยั่งยืน มีคุณภาพ และสร้างแรงบันดาลใจ
เดิมที คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ได้รับการจัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ยานยนต์ แต่ปัจจุบันมีบทบาทเต็มตัวในการสนับสนุนนักชิมและนักเดินทางทั่วโลก โดยได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับรูปแบบการใช้งานยุคใหม่ ขณะเดียวกันยังคงยึดมั่นในคุณค่าดั้งเดิมของการดำเนินงานอย่างเป็นอิสระและมีมาตรฐานระดับสูง ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลมากมาย แนวทางการดำเนินงานที่เน้น “มนุษย์” และ “การลงพื้นที่จริง” ทำให้คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ยังคงเป็นแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้
‘มิชลิน ไกด์’ ยกย่องการมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว บุคลากรผู้มีความสามารถในท้องถิ่น ตลอดจนเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของวงการอาหารและโรงแรมที่พักในแต่ละพื้นที่ ด้วยจุดยืนปัจจุบันในฐานะแหล่งอ้างอิงด้านไลฟ์สไตล์ระดับโลก ‘มิชลิน ไกด์’ ไม่เพียงเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวให้สมบูรณ์ แต่ยังเสริมสร้างคุณค่าให้กับจุดหมายปลายทางอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิม โดยรายชื่อร้านอาหารและโรงแรมที่พัก ประกอบกับบริการทางดิจิทัลใหม่ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล ช่วยให้ผู้คนจำนวนมากได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่น่าจดจำอย่างแท้จริง
- เกว็นดัล ปูลเล็นเนค ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก
*ตัวเลขที่ระบุมาจากผลการศึกษาโดย EY ที่ใช้ชื่อว่า Beyond the MICHELIN Stars ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2568
สามารถดาวน์โหลด รูปภาพ และ/หรือ ไฟล์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ได้ที่:
https://contentcenter.michelin.com/dam/wedia/shared-board/ee8660d2-67b1-41a4-a2f0-cdf1a9191e20
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวจาก ‘มิชลิน ไกด์’ ได้ทาง X

ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
เอ็มจี ชู 4 จุดเด่น ‘ใหญ่ – เย็น – ยาว – เยอะ’ กับ NEW MG S5 EV PLUS พร้อม LIFETIME WARRANTY

เบาะที่นั่งระบบเป่าลมคู่หน้า ใช้งานยาว ๆ ได้อย่างมั่นใจ ทั้งวิ่งไกลและชาร์จไว พร้อม LIFETIME WARRANTY และเป็นอีวีที่ให้ผู้ใช้ เยอะกว่าด้วยฟีเจอร์ล้ำสมัยครบครัน ตอกย้ำการเป็น “อีวีมหาชน” ที่เข้าถึงง่าย พร้อมมอบความคุ้มค่าแท้จริงให้กับผู้บริโภคชาวไทย
NEW MG S5 EV คือยนตรกรรมไฟฟ้าที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM เพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่สนุกด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (Rear-Wheel Drive) และช่วงล่าง 5-Link Suspension พร้อมระบบ One Pedal ที่ช่วยควบคุมความเร็วได้อย่างง่ายดาย โดยครั้งนี้ได้เสริมรุ่นย่อยใหม่ 3 รุ่นได้แก่ รุ่น D+ ที่เน้นเรื่องความคุ้มค่า พร้อมฟังก์ชันที่เพียงพอต่อการใช้งานจริง รุ่น X+ กับฟังก์ชันที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และรุ่น V+ ที่เพิ่มสมรรถนะดีเยี่ยม พร้อมระยะทางที่วิ่งไกลสูงสุดถึง 550 กิโลเมตร พร้อมชาร์จไวได้สูงสุดถึง 150 กิโลวัตต์ พร้อมจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ อย่าง “ขับสนุก วิ่งไกล ชาร์จไว นั่งสบาย พร้อม LIFETIME WARRANTY” และมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจาก Euro NCAP ที่ทำให้ NEW MG S5 EV กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในตลาด B-SUV ของไทย
สำหรับ NEW MG S5 EV PLUS พร้อมมอบสมรรถนะการขับขี่ด้วยกำลังสูงสุด 245 แรงม้า (180 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพียง 6.1 วินาที เท่านั้น มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 62.2 kWh (LFP) วิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 550 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ถือเป็นรถ B-SUV ไฟฟ้า 100% ที่วิ่งได้ไกลที่สุดในคลาส และชาร์จไวทันใจจาก 10-80% ใช้เวลาน้อยกว่า 30 นาที โดยรุ่นนี้มีการปรับคอนโซลกลางดีไซน์ใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอย รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว พร้อมล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว และระบบเกียร์แบบก้านเปลี่ยนหลังพวงมาลัย ที่ช่วยให้ผู้ขับเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย เสริมทั้งความปลอดภัยและความคล่องตัวในทุกเส้นทาง

NEW MG S5 EV PLUS ถือเป็นรุ่นที่เติมเต็มฟังก์ชันที่อำนวยความสะดวก และมอบความสบายให้ลูกค้าในทุกการเดินทางอย่างแท้จริงด้วย 4 จุดเด่นสำคัญ “ใหญ่ – เย็น – ยาว – เยอะ” ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ของความคุ้มค่า ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น
- ใหญ่: พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง พร้อมหน้าจอกลางที่ใหญ่ขึ้น ขนาด 15.6 นิ้ว เชื่อมต่อระบบความบันเทิงข้อมูล และฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างลื่นไหล
- เย็น: เย็นฉ่ำทั่วคันด้วยระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมเพิ่มเติมเบาะหนังระบบเป่าลมเย็น (Cooling seat) ในตำแหน่งคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า ให้ทุกการเดินทางเย็นสบายมากขึ้น
- ยาว: ขับขี่ได้มั่นใจยิ่งขึ้นกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง และแบตเตอรี่ที่รองรับการชาร์จแบบกระแสตรงสูงสุด 150 kW (ในรุ่น V+) รองรับการใช้งานระยะทางไกล พร้อมอุ่นใจกับการใช้งานระยะยาวด้วยการรับประกันแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อนตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY)
- เยอะ: อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ล้ำสมัยครบครัน ทั้งระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART 3.0 ระบบความปลอดภัยที่ครอบคลุม มอบความสะดวกสบายและความมั่นใจในทุกเส้นทาง มั่นใจไร้กังวลด้วยอะไหล่ที่เพียงพอพร้อมส่งให้กับศูนย์บริการกว่า 125 แห่งทั่วประเทศไทย
โดย NEW MG S5 EV PLUS จัดจำหน่าย สามรุ่นย่อยในราคาพิเศษเริ่มต้น เพียง 669,900 บาท พร้อมส่งมอบตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
- รุ่น D+ ราคาพิเศษ 669,900 บาท (จากราคาปกติ 749,900 บาท)
- รุ่น X+ ราคาพิเศษ 789,900 จาก (จากราคาปกติ 839,900 บาท)
- รุ่น V+ ราคาพิเศษ 909,900 จาก (จากราคาคาดการณ์ 959,900 บาท)
- ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 99% ระยะเวลาผ่อนชำระนาน 48 เดือน
- ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. นาน 1 ปี
- ฟรี ค่าจดทะเบียน กรอบป้ายทะเบียน และชุดพรมปูพื้น
- ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนนาน 5 ปี
- รับประกันคุณภาพตัวรถ 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- รับประกันแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY)
- ฟรี MG HOME CHARGER จำนวน 1 ชุด พร้อมค่าติดตั้ง
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับ ตลาด B-SUV ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง การพัฒนารถยนต์ต้องไม่หยุดอยู่แค่เรื่องสมรรถนะ แต่คือการมองให้ลึกถึงสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจริง ๆ ในวันนี้และในระยะยาว เราเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ดี ต้องเข้าถึงง่าย ใช้งานได้จริง และพร้อมมอบความมั่นใจในทุกด้าน การเพิ่มรุ่นย่อยใหม่อย่าง รุ่น D+ X+ และ V+ จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มทางเลือก แต่คือการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งในแง่ของสมรรถนะ เทคโนโลยี ความสะดวกสบาย และความคุ้มค่าที่จับต้องได้ เพื่อให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่ดียิ่งกว่า ได้สัมผัสกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและตรงจุด พร้อมการดูแลหลังการขายที่ครอบคลุม เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในทุกการเดินทางกับแบรนด์ เอ็มจี”
NEW MG S5 EV PLUS พร้อมส่งมอบประสบการณ์ขับขี่ครั้งใหม่ ให้ผู้สนใจเป็นเจ้าของและทดลองขับได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูม เอ็มจี ทั่วประเทศ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของเอ็มจี ได้ที่
Website: www.mgcars.com
Line: @MGThailand
Facebook: www.facebook.com/MGcarsThailand
Twitter: @mg_thailand
Instagram: @mgthailand
Youtube: MG Thailand
TikTok: @mgthailand
Application: MG Thailand
Hashtag #MGThailand #MGCarsTH #PassionDrives #EVPIONEER
#NEWMGS5EV #NEWMGS5EVPLUS
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
GWM จุดกระแสดีเซลอีกครั้ง เตรียมเผยโฉม NEW GWM POER SAHAR DIESEL ครั้งแรกในไทย! ในงาน TANK FEST 2025 and TOP RANK TANK MOD พร้อมกัน 18 ตุลาคม 2568 นี้

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด เตรียมสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟน ๆ สายลุยและสายปรับแต่งรถ สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถกระบะพรีเมียมทางเลือกใหม่ด้วยขุมพลังดีเซล 2.4T กับการเผยโฉม “NEW GWM POER SAHAR DIESEL” ครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมแนวทางการตกแต่งใน 3 สไตล์เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย พลิกโฉมวงการกระบะในไทยด้วยการมอบความสะดวกสบายระดับพรีเมียม และความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการขับขี่ที่เกินคาด พร้อมเผยให้คนไทยได้ยลโฉมและสัมผัสตัวจริงในงาน TANK FEST 2025 and TOP RANK TANK MOD ระหว่างวันที่ 18 – 19 ตุลาคม 2568 นี้ ที่ ESC PARK รังสิต จังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป
การปรากฏตัวครั้งแรกของ NEW GWM POER SAHAR DIESEL ในงาน TANK FEST 2025 and TOP RANK TANK MOD ครั้งนี้ GWM เตรียมขนความเร้าใจพร้อมท้าทายความเชื่อเดิม ๆ ทั้งรุ่นมาตรฐาน และรถที่มีการปรับแต่งใน 3 สไตล์ที่แตกต่าง เพื่อตอบโจทย์การเป็นรถสายลุยในฝันตัวจริงที่ให้ทั้งพละกำลัง ความสนุก เท่ ความสะดวกสบาย และที่สำคัญสามารถใช้งานได้จริง ตอบสนองความต้องการของคนไทยที่ต้องการรถกระบะพรีเมียมทางเลือกใหม่ที่มีความโดดเด่นแบบรอบด้านอย่างแท้จริง ทั้งขุมพลังจากเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ที่คิดค้นโดย GWM ที่จะมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังด้วยแรงม้าแรงบิดที่เร้าใจ แต่ยังคงความนิ่ง เงียบ และนุ่มนวล และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมห้องโดยสารที่กว้างขวางและเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายระดับพรีเมียม รวมถึงนวัตกรรมอัจฉริยะด้านความปลอดภัยเพื่อการขับขี่ที่เหนือกว่า
GWM ผู้นำตลาดรถกระบะระดับโลก
GWM ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถกระบะด้วยสถิติยอดขายอันดับ 1 ในประเทศจีนยาวนานถึง 27 ปีติดต่อกันด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 50% หรือในทุก ๆ การขายรถกระบะ 2 คันในประเทศจีน หนึ่งในนั้นจะเป็นแบรนด์ GWM พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ในฐานะแบรนด์รถกระบะระดับพรีเมียมสัญชาติจีนรายแรกที่มียอดขายทะลุ 500,000 คัน ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์สมรรถนะสูงที่หลากหลายและแพลตฟอร์มออฟโรดที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน GWM ขยายตลาดครอบคลุมกว่า 60 ประเทศใน 6 ทวีป มียอดขายสะสมทั่วโลกกว่า 2.78 ล้านคัน และคว้ารางวัล “Pickup of the Year” จากหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย อเมริกาใต้ หรือแอฟริกาใต้ ตอกย้ำความแข็งแกร่ง ความน่าเชื่อถือ และขีดความสามารถในการแข่งขันของยานยนต์ “Made in China” บนเวทีโลกอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ในงาน TANK FEST 2025 and TOP RANK TANK MOD ท่านจะได้พบกับมหกรรมสำหรับแฟนพันธุ์แท้ GWM TANK เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายในงาน เต็มไปด้วยกิจกรรมสุดเร้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการประกวดและจัดแสดงรถแต่งสุดครีเอทีฟ การแข่งขันขับขี่ออฟโรดสุดมันส์ สนามทดสอบสมรรถนะ กิจกรรมสำหรับทุกเพศทุกวัย โซนสตรีทฟู้ด และคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ซึ่งผู้เข้าร่วมงานทุกคนสามารถเข้าชมได้ฟรีตลอดงาน แฟน ๆ GWM TANK และผู้ที่รักการผจญภัย ห้ามพลาด!
เตรียมพบกับ NEW GWM POER SAHAR DIESEL ที่จะมาสร้างมาตรฐานใหม่และพลิกโฉมวงการรถกระบะในไทย รับประสบการณ์ใหม่กับรถกระบะหนึ่งเดียวของ GWM ที่ผสมผสานความต่างที่สุดขั้วแต่ลงตัว และความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัดในการปรับแต่งเพื่อคนสายลุย ปักหมุดวันที่ 18–19 ตุลาคมนี้ มาร่วมสัมผัสบรรยากาศงานสุดยิ่งใหญ่ที่ ESC Park รังสิต แล้วพบกัน!
#GWM #GWMThailand #POERSAHARDIESEL #TANKFEST2025 #TOPRANKTANKMODCONTEST
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine




































































































































