• PT Maxnitron Racing Series 2025 เปิดฉากสุดยิ่งใหญ่ ดึงดูดนักแข่งไทยและต่างชาติคับคั่ง

    5 Min Read

    PT Maxnitron Racing Series 2025 เปิดฉากสุดยิ่งใหญ่ ดึงดูดนักแข่งไทยและต่างชาติคับคั่ง

    การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ PT Maxnitron Racing Series 2025 เปิดฤดูกาลอย่างยิ่งใหญ่อย่างเต็มรูปแบบ โดยการตอบรับดีเยี่ยมในวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยและระดับภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของจากนักแข่งทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมการแข่งขันมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา บรรยากาศตลอด 2 วัน ของการแข่งขันเต็มไปด้วยความเร้าใจและสีสัน จากจำนวนรถที่เข้าร่วมหลากหลายรุ่น และการขับเคี่ยวที่เข้มข้น โดยประเดิมสนาม 1 – 2 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์

    PT Maxnitron Racing Series ยังคงมุ่งมั่น และยกระดับมาตรฐานการแข่งขันและส่งเสริมวงการมอเตอร์สปอร์ตในทุกปี เพื่อส่งเสริมและพัฒนาวงการมอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทย โดยในปีนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากพันธมิตรหลัก ได้แก่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG), น้ำมันเครื่อง PT Maxnitron, ศูนย์บริการบำรุงรักษารถยนต์ครบวงจรออโต้แบคส์ (Autobacs), กาแฟพันธุ์ไทย, Subway, Kela, Yokohama, Nexzter, KG Solar, FBT, Max Wash, Wise, BK Clutch, BRD, และ S63 Project นอกจากนี้ บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด ยังให้การสนับสนุนรถ Safety Car และจัดกิจกรรมพิเศษอย่าง Ford Test Drive ให้ผู้สนใจได้ทดลองขับรถ Ford ในรูปแบบ จิมคาน่า (Gymkhana) เพื่อโชว์สมรรถนะของรถอย่างใกล้ชิด นับเป็นครั้งแรกของกิจกรรมในรูปแบบดังกล่าว และยังได้รับความร่วมมือจาก Media Partner ได้แก่ Mono29 , Monomax , Sports1 และ TV Pool สื่อประชาสัมพันธ์ในการเผยแพร่กิจกรรมไปสู่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง สำหรับความพิเศษชองการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ PT Maxnitron Racing Series 2025 ยังคงมีกิจกรรม Support Race จาก Honda City Hatchback One Make Race โดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาร่วมสร้างสีสันในสนามแข่งขัน รวมถึง Club Race จาก Honda Club, Special Racing Club และ TTR Academy Club ซึ่งเป็นรายการที่เหมาะสำหรับนักแข่งมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตอย่างเป็นระบบ โดยมีมาตรฐานการแข่งขันที่ชัดเจน และถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการผลักดันและพัฒนานักแข่งรุ่นใหม่ในวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย

    สำหรับรายการ PT Maxnitron Racing Series 2025 ซึ่งจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 7 – 8 มิถุนายน 2568 มีการแข่งขันทั้งหมด 5 รุ่น ได้แก่

    • Siam GT
    • Siam Truck
    • Siam 1500 Group A
    • Siam Group N
    • Siam Eco

    การแข่งขันโดยเฉพาะรุ่น Siam Eco และ Siam Group N ได้สร้างสีสันและความเร้าใจอย่างมากจากจำนวนรถที่เข้าร่วมแข่งขัน ทำให้เป็นที่จับตาเป็นอย่างยิ่ง และเพื่อยกระดับความมันส์ ในสนามที่ 3 – 5 จะมีการปรับแผนการแข่งขันครั้งสำคัญ ด้วยการแยกการแข่งขันรุ่น Siam Eco และ Siam Group N อย่างเป็นทางการ และขยายเวลาการแข่งขันไปจนถึงช่วงค่ำในรูปแบบ “Twilight Race” ซึ่งจะเพิ่มประสบการณ์ความตื่นเต้นและเร้าใจยิ่งกว่าเดิม

    เตรียมระเบิดความมันกับการแข่งขัน PT Maxnitron Racing Series 2025 สนามที่ 3 – 5 ระหว่างวันที่ 29 – 31 สิงหาคม 2568 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ. บุรีรัมย์ ก่อนจะปิดท้ายฤดูกาลอย่างยิ่งใหญ่กับสนาม 6 – 7 ในรายการ PT Songkhla Grand Prix 2025 ระหว่างวันที่ 16 – 19 ตุลาคม 2568 ณ พีที สงขลา กรังด์ปรีซ์ จ. สงขลา พบกับกิจกรรมความบันเทิงแบบจัดเต็มตลอดทั้งงาน อาทิ Songkhla Balance Bike, Slum Fight และของรางวัลสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Achi Giorno PTRS Edition 2025” ที่ยังคงเปิดโอกาสให้แฟน ๆ ร่วมลุ้นเป็นเจ้าของได้เช่นเคย โดยสามารถรับชมการถ่ายทอดสด และติดตามได้ที่

    Facebook: www.facebook.com/ptmaxnitronmotorsport
    Instagram: /www.instagram.com/pt.maxnitron.motorsport
    YouTube: www.youtube.com/@ptmaxnitronmotorsport87

     

    สำหรับผลการแข่งขัน PT Maxnitron Racing Series 2025 สนามที่ 1 – 2  มีดังนี้

    ผลการแข่งขันอย่างเป็นทางการในแต่ละรุ่น (อันดับที่ 1–3)

    RACE 1 วันที่ 7 มิถุนายน 2568

    • Siam GT (Pro Class 1/2)
    1. พรรณภัทร พรรณทรัพย์ – หมายเลข 32 / R-Addict NTX Team
    2. CLAYTON NELMES – หมายเลข 33 / Kanjo Racing Team By ISM
    3. TIM ZIELINSKI – หมายเลข 12 / Rolling Monkey By AP Motorsport
    • Siam GT (Pro Class 2)
    1. CLAYTON NELMES – หมายเลข 33 / Kanjo Racing Team By ISM
    2. TIM ZIELINSKI – หมายเลข 12 / Rolling Monkey By AP Motorsport
    3. จิตรประพันธ์ แป้นนาบอน – หมายเลข 95 / Phuket Kart Racing Team
    • Siam GT (Amateur)
    1. เมธัส สวนศรี – หมายเลข 54 / Nexzter Rest Club
    2. วุฒา ใจสำราญ – หมายเลข 35 / Boxzaracing Motorsport Team
    3. กรเศก โคร์นิน – หมายเลข 78 / Wtech X Garage My Home By ///RPM Motorsport
    • Siam Truck (Pro A/B)
    1. ธณพล ชูเจริญผล – หมายเลข 15 / ชาบูเถ้าแก่น้อย CNC รักกัญ By ฮู๊ดอ๋องระยอง
    2. บัณฑิต ลัดดาแย้ม – หมายเลข 91 / Fortron Racing Team
    3. ดนุวัศ วรกิติไชย – หมายเลข 45 / Zictunebyaot-Bendixsrt-BRD-Venomracinr
    • Siam Truck (Pro B)
    1. ณัฐวุฒิ พึ่งพรหม – หมายเลข 5 / ทีมอาร์กการยางค์เกาะโพธิ์ชลบุรี
    2. ศรัณญู อ่อนใจเอื้อ – หมายเลข 54 / น้ำมันเครื่องโวโทรนิค อภิชาตฟาร์ม ชาบูเถ้าแก่บิ๊ก เจ๊เอ๋สั่งลุย By อู่ช่างวัฒน์
    3. อนุวัฒน์ มณีอินทร์ – หมายเลข 95 / Isuzu Suphan Yokohama Lioui Moly Racing
    • Siam Truck (Amateur)
    1. กิตติศักดิ์ ชาตะพันธ์วิทยา – หมายเลข 52 / W-Tech Racing Team By Veloil
    2. พิชัย เจียงวิลาวัณย์ – หมายเลข 97 / BKC Motorsport
    3. พลกฤต แซ่เฮ้ง – หมายเลข 74 / Zictunebyaot-Bendixsrt-BRC-Venomracing
    • Siam 1500 Group A (Overall)
    1. ชานน อัศวสังสิทธิ – หมายเลข 39 / IMC Motorsport By MRA
    2. ชนัญชิชา ธนัฐิธาดากุล – หมายเลข 65 / Insane Motorsport By Zic
    3. อนุสรณ์ อาศิรเลิศสิริ – หมายเลข 7 / YK Motorsport
    • Siam 1500 Group A (Pro A/B)
    1. ชานน อัศวสังสิทธิ – หมายเลข 39 / IMC Motorsport By MRA
    2. ชนัญชิชา ธนัฐิธาดากุล – หมายเลข 65 / Insane Motorsport By Zic
    3. อนุสรณ์ อาศิรเลิศสิริ – หมายเลข 7 / YK Motorsport
    • Siam 1500 Group A (Amateur)
    1. KENNETH HO – หมายเลข 22 / Team Supersonic By Rongpo Power Unit
    2. ฤทธิรงค์ บริหารธนานนท์ – หมายเลข 15 / Nailfie Studio บ้านเรือเล็ก สุกี้อินเลิฟ Wise The Hub
    3. ALEXANDER VM. – หมายเลข 93 / Fortron Racing Team

    • Siam Group N (Overall)
    1. ณัฐฐวุฒิ ปลื้มดวง – หมายเลข 71 / Fast-Store
    2. นันทพันธ์ สิริสริตธรากุล – หมายเลข 32 / Wolver By Onlyyone
    3. Enzo Ng – หมายเลข 89 / Ndeo Racing
    • Siam Group N (Pro A/B)
    1. ณัฐฐวุฒิ ปลื้มดวง – หมายเลข 71 / Fast-Store
    2. วงศพัทธ์ เกตุศิริ – หมายเลข 62 / Idemitsu Racing Teamยังไม่เพียงเท่านั่น Thailand By AP X BLC
    3. นิธิวัชร์ ทิพยทัศน์ – หมายเลข 78 / DC Garage With Kuroki Racing

    • Siam Group N (Amateur)
    1. กรณ์ดนัย อมรศักดิ์วรกุล / หมายเลข 32 / Wolver By Onlyone
    2. ENZO NG – หมายเลข 89 / Ndeo Racing
    3. นฤนนท์ภัทร รัตน์ชเลสินธร – หมายเลข 90 / PT Maxnitron X Wise BRD Nexzter Venom By Pongpo Power Unit
    • Siam Eco (Overall)
    1. เมฆรัชคีฏาก์ กะลันตานนท์ – หมายเลข 98 / Ruk Taem PMC52 Winghin Motorsport BK Racing Clutch
    2. บุญทวี นัยจิตร – หมายเลข 56 / Nj Racing TST Motorsport By P1 Auto Motive
    3. รภัทกร วงษ์ศิริ – หมายเลข 87 / ฮอนด้าบางเขน Motul Thailand By Souad Racing Team
    • Siam Eco (Pro A/B)
    1. เมฆรัชคีฏาก์ กะลันตานนท์ – หมายเลข 98 / Ruk Taem PMC52 Winghin Motorsport BK Racing Clutch
    2. ตรีภพ ศิริปุณย์ – หมายเลข 91 / Wise – Nexzter – 9Progress – อาไหลดี By อู่ลุงหนวด
    3. EITAN ZIDKILOV – หมายเลข 81 / Insane Motorsport By Zic
    • Siam Eco (Amateur)
    1. บุญทวี นัยจิตร – หมายเลข 56 / NJ Racing TST Motorsport By P1 Auto Motive
    2. รภัทกร วงษ์ศิริ – หมายเลข 87 / ฮอนด้าบางเขน Motul Thailand By Souad Racing Team
    3. พิศาล สาสะกุล – หมายเลข 65 / Caltex Racing Team Thailand By KTN

     

    ผลการแข่งขันอย่างเป็นทางการในแต่ละรุ่น (อันดับที่ 1–3)

    RACE 2 วันที่ 8 มิถุนายน 2568

    • Siam GT PRO CLASS 1/2
    1. พรรณภัทร พรรณทรัพย์ – หมายเลข 32 / R-Addict NTX team
    2. CLAYTON NELMES – หมายเลข 33 / Kanjo Racing Team by ISM
    3. JAMES RUNACRES – หมายเลข 17 / PT Autobacs Rotary Revolution Team Thailand
    • Siam GT PRO CLASS 2
    1. CLAYTON NELMES – หมายเลข 33 / Kanjo Racing Team by ISM
    2. TIM ZIELINSKI – หมายเลข 12 / Rolling Monkey By Ap Motorsport
    3. จิตรประพันธ์ แป้นนาบอน – หมายเลข 95 / PHUKET KART RACING TEAM
    • Siam GT (Amateur)
    1. ธนกร ชัยภิรมย์ศรี – หมายเลข 45 / Rotary Revolution Thunder Slide On
    2. วุฒา ใจสำราญ – หมายเลข 35 / BoxzaRacing Motorsport Team
    • Siam Truck Pro (A/B)
    1. บัณฑิต ลัดดาแย้ม- หมายเลข 91 /Fortron Racing Team By อู๊ด&อ๋อง ระยอง
    2. ณัฐวุฒิ พึ่งพรหม – หมายเลข 5 / ทีมอาร์ทการยางเกาะโพธิ์ชลบุรี
    3. อนุวัฒน์ มณีอินทร์ – หมายเลข 95 / ISUZU SUPHAN YOKOHAMA LIQUI MOLY RACING
    • Siam Truck Pro (B)
    1. ณัฐวุฒิ พึ่งพรหม – หมายเลข 5 / ทีมอาร์ทการยางเกาะโพธิ์ชลบุรี
    2. อนุวัฒน์ มณีอินทร์ – หมายเลข 95 / ISUZU SUPHAN YOKOHAMA LIQUI MOLY RACING
    3. สุวัฒน์ ลิ้มจิรภิญญา – หมายเลข 59 / ISUZU SUPHAN YOKOHAMA LIQUI MOLY RACING
    • Siam Truck (Amateur)
    1. วุฒิภัทร คงกฤติพงศ์ – หมายเลข 98 / รวมช่างเชียงกง 98Autooption HomeDreamDesign รับสร้างบ้าน นิติโรจน์ฟิตชิ่ง NTP เนี๊ยบรีเเมพ
    2. รุสตา มะลี – หมายเลข 84 / บังต้า จัดหนัก OSUKA OMC เบิร์ดเหม่งโปรการาจ
    3. พิชัย เจียงวิลาวัณย์ – หมายเลข 97 / BKC MOTORSPORT
    • Siam 1500 Group A (Overall)
    1. ชนัญชิชา ธนัฐิธาดากุล – หมายเลข 65 / Insane Motorsport By Zic
    2. ภูเมธา เพชรบดี – หมายเลข 86 / Tornto R Motorsport by Totachi
    3. กัณฐณัฎฐ์ ศักดิ์แพทย์ – หมายเลข 37 | Tuned by EAK Team
    • Siam 1500 Group A Pro (A/B)
    1. ชนัญชิชา ธนัฐิธาดากุล – หมายเลข 65 / Insane Motorsport By Zic
    2. โชติธนินท์ ไชยกิตติลักษณ์ – หมายเลข 66 / Nexzter X RMR Motorsport BY ร่มไม้ริมนา
    3. เกียรติพรรณ ไผ่เจริญ – หมายเลข 16 / Nexzter & Mobil1 by GJmotorsport
    • Siam 1500 Group A (Amateur)
    1. ภูเมธา เพชรบดี – หมายเลข 86 | Tornto R Motorsport by Totachi
    2. กัณฐณัฎฐ์ ศักดิ์แพทย์ – หมายเลข 37 | Tuned by EAK Team
    3. ฤทธิรงค์ บริหารธนานนท์ – หมายเลข 15 / Nailfie Studio บ้านเรือเล็ก สุกี้อินเลิฟ Wise The Hub

    • Siam Group N (Overall)
    1. วงศพัทธ์ เกตุศิริ – หมายเลข 62 / Idemitsu Racing Tean Thailand By AP X BLC
    2. นฤนนท์ภัทร รัตน์ชเลสินธร – หมายเลข 90 / PT Maxnitron X Wise BRD Nexzter Venom By Pongpo Power Unit
    3. จตุพล ธารเลืองทอง – หมายเลข 10 / BK Clutch./Voltronic./ Bast Motorsport
    • Siam Group N Pro (A/B)
    1. วงศพัทธ์ เกตุศิริ – หมายเลข 62 / Idemitsu Racing Team Thailand by AP x BKC Team
    2. จตุพล ธารเลืองทอง – หมายเลข 10 / BK Clutch./Voltronic./ Bast Motorsport
    3. ยศรัญ แสนสุข – หมายเลข 88 / DC Garage With Kuroki Racing
    • Siam Group N (Amateur)
    1. นฤนนท์ภัทร รัตน์ชเลสินธร – หมายเลข 90 / PT Maxnitron X Wise BRD Nexzter Venom By Pongpo Power Unit
    2. ฐนันธร เพ็งอ้น – หมายเลข 24 / P1 Automotive S63 Nexzter Motul BK Clutch By Babyboss Garage
    3. ENZO NG – หมายเลข 89 / NDEO Racing
    • Siam Eco Pro (Overall)
    1. บุญทวี นัยจิตร – หมายเลข 56 / NJ Racing TST Motorsport By P1 Auto Motive
    2. เมฆรัชคีฏาก์ กะลันตานนท์ – หมายเลข 98 / Ruk Taem PMC52 Winghin Motorsport BK Racing Clutch
    3. ตรีภพ ศิริปุณย์ – หมายเลข 91 / Wise – Nexzter – 9Progress – อาไหลดี By อู่ลุงหนวด
    • Siam Eco Pro (A/B)
    1. เมฆรัชคีฏาก์ กะลันตานนท์ – หมายเลข 98 / Ruk Taem PMC52 Winghin Motorsport BK Racing Clutch
    2. ตรีภพ ศิริปุณย์ – หมายเลข 91 / Wise – Nexzter – 9Progress – อาไหลดี By อู่ลุงหนวด
    3. โชคชัย จารุนงคราญ – หมายเลข 35 / BKC Motorsport
    • Siam Eco (Amateur)
    1. บุญทวี นัยจิตร – หมายเลข 56 / NJ Racing TST Motorsport By P1 Auto Motive
    2. ก้องเกียรติ ทรัพย์ศิริอยู่คง – หมายเลข 45 / Topnotch Glass กระจกรถยนต์ X Autopainting by keng
    3. กิตติศักดิ์ เสียงสลัก – หมายเลข 3 / BKC Motorsport

    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ร่วมสืบสานพระราชปณิธาน ผ่านกิจกรรม “เด็กไทย ใฝ่ดี” เพื่อส่งเสริมแนวคิด ‘‘TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน’’

    1 Min Read

    มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ร่วมสืบสานพระราชปณิธาน ผ่านกิจกรรม “เด็กไทย ใฝ่ดี” เพื่อส่งเสริมแนวคิด ‘‘TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน’’

    มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย มุ่งมั่นสืบสานพระราชปณิธาน ผ่านการจัดอบรมให้ความรู้แก่เยาวชนไทย ภายใต้โครงการ “เด็กไทย ใฝ่ดี” พร้อมสนับสนุนและบริจาคสิ่งของจำเป็น เพื่อส่งเสริมแนวคิด “TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน’’ อย่างเป็นรูปธรรม ในการส่งมอบโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตสังคมไทย เมื่อวันพุธที่ 11 มิถุนายน 2568 ณ โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก

    โครงการ “เด็กไทย ใฝ่ดี” ดำเนินโครงการโดยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสืบสานพระราชปณิธาณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มุ่งเน้นพัฒนาเยาวชนไทยให้เติบโตเป็นคนดีของสังคม ด้วยการเสริมสร้างคุณธรรมพื้นฐาน 5 ประการ ได้แก่ ความพอเพียง วินัย ความซื่อสัตย์สุจริต จิตอาสา และความกตัญญู โดยมีเป้าหมายให้เยาวชนมีภูมิคุ้มกันทางใจ รู้เท่าทัน และมีแนวทางดำเนินชีวิตที่เหมาะสม เพื่อวางรากฐานสังคมที่เข้มแข็ง

    มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “เด็กไทย ใฝ่ดี” โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทย ผ่านการให้ความรู้และมอบอุปกรณ์การเรียนแก่เยาวชนจำนวน 150 คน ผ่านกิจกรรม “5 ฐานคุณธรรม” ดังนี้

     

    1. ฐานความพอเพียง : เสริมความรู้ด้านการเงิน ออมเป็น เห็นเงินล้าน 

    โดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

    2. ฐานความซื่อสัตย์ สุจริต ปรับพฤติกรรม ช่างเลือก เลือกเป็น 

    โดย ทีมวิทยากร คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

    3. ฐานจิตอาสา ปฏิบัติการกู้ชีพ 

    โดย ทีมวิทยากร คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

    4. ฐานวินัย : วินัย น้ำใจ 

    โดย โครงการถนนสีขาว บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

    5. ฐานกตัญญู : รักชาติ ศาสนา กษัตริย์ 

    โดย ทีมวิทยากร คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

    โดยฐานวินัย ภายใต้โครงการถนนสีขาว ซึ่งเป็นหนึ่งใน “5 ฐานคุณธรรม” มุ่งให้ความรู้แก่เยาวชนและ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ โดยใช้เครื่องจำลองการขับขี่ที่ออกแบบสถานการณ์เสมือนจริง ผ่าน 3 รูปแบบ ได้แก่ การขับรถเร็ว การขับตัดหน้า และการเมาแล้วขับ เพื่อให้เยาวชนผู้เข้าอบรมตระหนักรู้ถึงอันตราย พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน

    พร้อมกันนี้ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ได้ร่วมมอบสิ่งของจำเป็น อาทิ ข้าวสารจากโรงสีข้าวรัชมงคล จำนวน 450 กิโลกรัม เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลแม่สอด และเรือนจำอำเภอแม่สอด  ภายใต้เป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนตามแนวพระราชปณิธาน

    โตโยต้า มุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ในการส่งมอบโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิต ภายใต้แนวคิด “TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน” ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญขององค์กร ที่มุ่งสร้างความเท่าเทียมด้านความเป็นอยู่และโอกาสทางการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ การพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการ “ให้” ในทุกมิติ

     

    ให้…สุขภาพที่ยั่งยืน

    ให้…ความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน

    ให้…ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน

    ให้…การศึกษาที่ยั่งยืน

     

    มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตสังคมไทย มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • แลนด์โรเวอร์เปิดตัว Defender 110 Trophy Edition รุ่นพิเศษ พร้อมเปิดรับผู้กล้าร่วมการแข่งขันผจญภัยระดับโลก

    1 Min Read

    แลนด์โรเวอร์เปิดตัว Defender 110 Trophy Edition รุ่นพิเศษ พร้อมเปิดรับผู้กล้าร่วมการแข่งขันผจญภัยระดับโลก

    แลนด์โรเวอร์เปิดตัว Defender 110 Trophy Edition รุ่นพิเศษล่าสุด เพื่อตอกย้ำการกลับมาสู่เวทีการแข่งขันผจญภัยระดับนานาชาติอีกครั้ง พร้อมอุปกรณ์เสริมที่คัดสรรมาเป็นพิเศษสำหรับการเดินทางสุดท้าทายในทุกเส้นทาง

     

    Defender Trophy – การผจญภัยครั้งใหม่สำหรับผู้กล้าที่ไม่หยุดนิ่ง

    Defender เปิดตัวการแข่งขัน Defender Trophy โฉมใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกิจกรรม Trophy และ Challenge ในอดีต แต่จะสร้างตำนานบทใหม่ผ่านการฝึกอบรมและการแข่งขัน 3 รอบสุดเข้มข้น ผู้ที่กล้าท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และมีใจรักการอนุรักษ์ธรรมชาติทั่วโลกเท่านั้นที่เหมาะสมในการสมัครเข้าร่วมการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่นี้

    Defender ยานยนต์ที่นักสำรวจและผู้รักการเดินทางเลือกใช้มาอย่างยาวนาน โครงการนี้เชิญชวนผู้สมัครจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โดยการคัดเลือกในประเทศไทยมีกำหนดเริ่มต้นช่วงปลายปี 2025 ก่อนจะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคในช่วงต้นปี 2026 เพื่อเฟ้นหาตัวแทนเข้าชิงชัยในรอบสุดท้ายระดับโลก ที่จะจัดขึ้นร่วมกับ Tusk พันธมิตรด้านการอนุรักษ์ของ Defender ณ แอฟริกา ในปี 2026

     

    Defender Trophy: การแข่งขันเหนือระดับ ที่ไม่เหมือนใคร

    ผู้เข้าแข่งขันจะเผชิญบททดสอบทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งออกแบบมาเพื่อวัดไหวพริบ ความมุ่งมั่น และการทำงานเป็นทีม โดยรอบชิงชนะเลิศระดับโลกในแอฟริกาจะประกอบด้วย 3 ประเภทภารกิจหลัก

    • Driving Challenges: ทดสอบทักษะการขับขี่และการนำทางบนเส้นทางสุดโหด
    • Ingenuity Challenges: ใช้ความคิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการวางกลยุทธ์
    • Physical Challenges: ท้าทายความแข็งแกร่ง ความร่วมมือ และการประสานงานของทีม

    การแข่งขันจะถ่ายทอดให้ผู้ชมทั่วโลกได้ติดตาม พร้อมแนะนำฮีโร่นักผจญภัยรุ่นใหม่ โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับคะแนนในฐานะบุคคล แต่แข่งขันเป็นทีมสองคน และผู้ที่มีคะแนนต่ำสุดในแต่ละรอบจะได้สิทธิ์เลือกคู่แข่งขันก่อน ซึ่งผู้ชนะในรอบสุดท้ายจะได้รับโอกาสร่วมภารกิจด้านการอนุรักษ์ของ Tusk

    สำหรับคุณสมบัติผู้สมัคร ได้แก่ ผู้สมัครต้องมีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่เข้าร่วม อายุ 23 ปีขึ้นไป ว่ายน้ำได้อย่างน้อย 50 เมตร มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และสามารถเดินทางไปต่างประเทศ รวมถึงสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ experience@jaguarlandroverthailand.com

      

    การสร้างตำนานบทใหม่: Defender 110 Trophy Edition

    Defender 110 Trophy Edition ใหม่ เฉลิมฉลองการกลับมาของแบรนด์สู่เวทีการแข่งขันผจญภัยระดับนานาชาติ พร้อมทั้งมาพร้อมชุดอุปกรณ์เสริมแนะนำสำหรับการเดินทาง ที่ทำให้รถคันนี้กลายเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบในทุกภารกิจผจญภัย มาพร้อม 2 สีสุดพิเศษ ได้แก่ Deep Sandglow Yellow สีเหลืองอำพันสื่อถึงเอกลักษณ์ของรถแข่ง Trophy ในอดีต และ สี Keswick Green สีเขียวเข้มที่สื่อถึงการเดินทางสำรวจในชนบทของอังกฤษ

    ตัวรถตกแต่งด้วยโทน Gloss Black ที่ฝากระโปรงหน้า ชายตัวถังด้านล่าง คาลิปเปอร์เบรก และห่วงลากด้านหลัง เสริมความแข็งแกร่งด้วยแผ่นฟิล์มป้องกันเนื้อสีแบบด้าน ที่สามารถเลือกติดตั้งเพิ่มเติมได้ เพื่อปกป้องพื้นผิวรถระหว่างการเดินทางแบบออฟโรด

    Defender 110 Trophy Edition มาพร้อมชุดตกแต่งพิเศษสำหรับสายผจญภัยโดยเฉพาะ โดดเด่นด้วยล้ออัลลอยสีดำเงาขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง All-Terrain เพื่อการยึดเกาะทุกพื้นผิว เสริมด้วยแผ่นกันรอยท้ายรถ คิ้วซุ้มล้อ และแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถด้านหน้าสีดำ เพิ่มความแกร่งและบุคลิกดุดัน

    ไฮไลต์เพิ่มเติม ได้แก่ สติกเกอร์ Trophy ที่ฝากระโปรงหน้าและเสา C, ป้ายรุ่นด้านท้าย, แผ่นกันรอยบันไดส่องสว่างพร้อมโลโก้ Trophy, เบาะหนัง Windsor สีดำสุดหรู และคานขวางในห้องโดยสารสีเดียวกับตัวรถ พร้อมลวดลายเลเซอร์โลโก้ Trophy ที่ปลายคาน

    ความพิเศษของ Defender Trophy Edition ในประเทศไทย

    ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Plug-in Hybrid (PHEV) ให้กำลังสูงสุด 404 แรงม้า พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครันทั้งด้านสมรรถนะ เทคโนโลยี ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ด้านสมรรถนะ มาพร้อม ชุดแต่งออฟโรดขั้นสูง และระบบ Terrain Response 2 ที่ช่วยปรับสมรรถนะให้เหมาะกับสภาพพื้นผิวต่าง ๆ ยกระดับการขับขี่แบบออฟโรดให้มั่นใจยิ่งขึ้น

    ภายในห้องโดยสารมอบประสบการณ์การเดินทางเหนือระดับ ด้วยระบบปรับอากาศแบบแยก 3 โซน, ระบบฟอกอากาศ และเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ พร้อมด้วย กระจกมองหลังดิจิทัล ClearSight, Head-up Display, และ พวงมาลัยปรับไฟฟ้า เพื่อความสะดวกสูงสุด

    เสริมความสบายและปลอดภัยด้วย หลังคาพาโนรามาเลื่อนเปิดได้, ช่องแช่เย็นคอนโซลกลาง, ไฟหน้า Matrix LED พร้อมไฟ DRL, ระบบแจ้งเตือนความเหนื่อยล้า, และ อุปกรณ์ป้องกันล้อถูกขโมย เป็นต้น

    ทั้งนี้ บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์แลนด์โรเวอร์ในประเทศไทย เตรียมเปิดจอง Defender 110 Trophy Edition รุ่นพิเศษอย่างเป็นทางการ โดยมีจำนวนจำกัดเพียง 10 คันเท่านั้น สำหรับผู้ที่หลงใหลในการผจญภัยและต้องการครอบครองยนตรกรรมที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความกล้า เปิดตัวด้วยราคาจำหน่าย 7,799,000 บาท ผู้สนใจสามารถชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.landrover.co.th


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ศึกชิงแชมป์แห่งศักดิ์ศรี ทีม ZIC Tune by AOT คว้า อันดับที่ 3 คะแนนรวมประจำปี 2568 จากการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ Super turbo 2025 สนามที่ 5-6 สนามสุดท้ายเมื่อวันที่ 27-29 มิถุนายนที่ผ่านมานี้

    1 Min Read

    ศึกชิงแชมป์แห่งศักดิ์ศรี ทีม ZIC Tune by AOT คว้า อันดับที่ 3 คะแนนรวมประจำปี 2568 จากการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ Super turbo 2025 สนามที่ 5-6 สนามสุดท้ายเมื่อวันที่ 27-29 มิถุนายนที่ผ่านมานี้

    ทีม ZIC Tune by AOT เข้าร่วมการแข่งขันในรุ่น PICKUP TURBO THA ต่อสู้ตั้งแต่สนามแรกจนสนามสุดท้าย จนคว้าอันดับที่ 3 คะแนนสะสมอยู่ที่ 75 คะแนน ในการแข่งขันครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ความพร้อมของนักแข่งเท่านั้น แต่ยังมีการพัฒนาในเรื่องของทีมช่าง การวางแผนทีมงาน ที่เคร่งขัดมากขึ้นและรวมไปถึงผลิตภัณฑ์หล่อลื่นของ ZIC ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันเครื่อง Racing 10W-50 ที่พร้อมหล่อลื่น ปกป้องเครื่องยนต์ตั้งแต่เริ่มสตาร์ท ไปจนถึงน้ำยาหม้อน้ำที่สำคัญอย่างมากในการควบคุมอุณหภูมิความร้อน ลดจุดเดือด จากรถที่มีการปรับแต่งเพื่อการแข่งขัน โดยเฉพาะรถที่มีการเพิ่มเทอร์โบและปรับจูนอย่าง Isuzu No.2 ที่ใช้การแข่งครั้งนี้ ถ้าพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ไม่ว่าจะเป็นรถแข่งระดับประเทศหรือรถบ้านใช้งานทั่วไปก็พร้อมปกป้องดูแลเครื่องยนต์ ตลอดการใช้งาน


    No Comment
  • อีวี ไพรมัส ชู “WULING BINGUO EV” ทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจเรียกรถบริการ Ride-Hailing ที่กำลังเติบโตของไทย

    1 Min Read

    อีวี ไพรมัส ชู “WULING BINGUO EV” ทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจเรียกรถบริการ Ride-Hailing ที่กำลังเติบโตของไทย

     

    อีวี ไพรมัส ตอกย้ำบทบาทผู้นำรถไฟฟ้า City EV โดยนำ “WULING BINGUO EV” ร่วมแสดงศักยภาพในงานสุดยอดผู้นำธุรกิจบริการเรียกรถแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2025 พร้อมนำเสนอความคุ้มค่าของรถยนต์ไฟฟ้าสู่ธุรกิจบริการเรียกรถ Ride-Hailing Services ที่เติบโตกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท ร่วมผลักดันการเดินทางด้วยรถพลังงานไฟฟ้า

     

    บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบบมัลติแบรนด์ (Multi-Brand EV Distributor) แห่งแรกของไทย และเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์วู่หลิง (WULING) แต่ผู้เดียวในประเทศไทย (Sole Distributor) ได้เข้าร่วมงาน “Southeast Asia Ride-Hailing Industry Summit 2025” โดยอีวี ไพรมัส ได้นำยานยนต์ไฟฟ้า “WULING BINGUO EV” มาจัดแสดงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าเหมาะสำหรับธุรกิจบริการเรียกรถ (Ride-Hailing Service) เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับผู้ขับขี่รถ City EV และเป็นการตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคใหม่ที่ต้องการควบคุมต้นทุน

    นายพิทยา ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด เปิดเผยว่า “อีวี ไพรมัส ในฐานะที่เป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์วู่หลิง (WULING) แต่ผู้เดียวในประเทศไทย เราเลือกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดมาจำหน่ายในประเทศไทย ไม่เพียงแค่สำหรับผู้ใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่ยังรวมถึงการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ด้วย เรามองเห็นคุณภาพที่เหมาะสมของยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเข้ามาพลิกโฉมของธุรกิจบริการรถรับส่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่รถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน ธุรกิจบริการเรียกรถในประเทศไทย”

    ในการเข้าร่วมงานครั้งนี้ อีวี ไพรมัส ได้แนะนำ WULING BINGUO EV ให้กับผู้เข้าร่วมงานซึ่งเป็น City EV เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นต้องการเป็นเจ้าของรถไฟฟ้า ตอบสนองสำหรับผู้ใช้งานในเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น ประสิทธิภาพการขับขี่ได้มาตรฐาน อัตราเร่งที่ดี และช่วงล่างที่นุ่มนวล ซึ่งถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ เหมาะสมกับการขับขี่ในสภาพการจราจรหนาแน่นของกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ตัวรถมีขนาดกว้างนั่งสบายกว่า Eco Car พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยและคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ในราคาที่จับต้องได้จริง ๆ คุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ

    นายพิทยา กล่าวเสริมว่า “ธุรกิจบริการเรียกรถในประเทศไทย หนึ่งในโอกาสสำคัญที่เราต้องการชี้ให้เห็นประเด็นหลักของการใช้รถ EV โดยเฉพาะในแง่ของความคุ้มค่าที่ผู้ประกอบการและผู้ขับขี่จะได้รับจากการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า WULING BINGUO EV ที่มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนค่าใช้จ่าย ทั้งในส่วนของค่าพลังงานไฟฟ้าที่ประหยัดกว่าค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมาก รวมถึงค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่ารถยนต์สันดาปภายใน”

    ที่สำคัญคือรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีมลภาวะ และประหยัดพลังงานมากกว่า Eco Car อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการคำนวณ “ต้นทุนต่อคุณค่า” (Cost-to-Value) ที่ผู้ขับขี่หรือผู้ประกอบการจะได้รับจากการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในธุรกิจบริการเรียกรถ ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากอุตสาหกรรมของธุรกิจเรียกรถบริการ (Ride-Hailing Industry) ยังระบุว่าผู้ขับขี่ในระบบแอปพลิเคชันเรียกรถในไทยมีรายได้เฉลี่ย30,000 บาทต่อเดือน หรือมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำกว่า 250% ซึ่งเมื่อรวมกับต้นทุนที่ลดลงจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ยิ่งส่งผลให้ผู้ขับขี่หรือผู้ประกอบการนั้นสามารถเพิ่มรายได้สุทธิและมีผลกำไรในระยะยาวได้ โดยความคุ้มค่านี้มาพร้อมกับรองรับการใช้งานที่สะดวกสบายด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางและพื้นที่วางขาที่ออกแบบมาอย่างลงตัว (Legroom) ทำให้ผู้โดยสารนั่งสบาย ไม่อึดอัด แม้ในระยะทางที่ต้องใช้เวลานาน ซึ่งไม่ใช่แค่ความคุ้มค่าเพียงเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเท่านั้น ยังรวมถึงลูกค้าที่ต้องการเริ่มใช้รถยนต์ไฟฟ้า จะได้สัมผัสถึงความคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป WULING BINGUO EV จึงไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้าคุ้มค่า แต่ยังเป็นทางเลือกที่พร้อมต่อยอดสู่โอกาสทางธุรกิจ และการเดินทางที่ยั่งยืนในอนาคต”

    งาน Southeast Asia Ride-Hailing Industry Summit 2025 ถือเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้นำในธุรกิจ ผู้กำหนดนโยบาย นักนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินทางจากทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ อภิปรายถึงแนวโน้ม ความท้าทาย และโอกาสในการสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดน โดยมีหัวข้อหลักที่น่าสนใจ เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ความปลอดภัย กรอบการกำกับดูแล และการเติบโตอย่างยั่งยืน

    สำหรับ ตลาดบริการเรียกรถประเทศไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยมูลค่าตลาดรวมที่ Statista.com คาดการณ์ว่าจะสูงถึงกว่า 4.5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ และยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในการใช้บริการจากแพลตฟอร์มชั้นนำต่าง ๆ ที่มีฐานผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองใหญ่ พฤติกรรมการเดินทางของผู้คนกำลังเปลี่ยนไปสู่การพึ่งพาบริการขนส่งสาธารณะและบริการเรียกรถมากขึ้น ลดความจำเป็นในการเป็นเจ้าของรถส่วนตัว ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญของ “Mobility as a Service (MaaS)” ที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • GWM โชว์วิสัยทัศน์แสดงจุดยืนผู้นำ NEV ในอาเซียน บนเวที International NEV Summit 2025ประกาศพลิกเกมขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี Hi-4

    2 Min Read

    GWM โชว์วิสัยทัศน์แสดงจุดยืนผู้นำ NEV ในอาเซียน บนเวที International NEV Summit 2025ประกาศพลิกเกมขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี Hi-4

    GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios)
    ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ได้เข้าร่วมแสดงศักยภาพและวิสัยทัศน์ในฐานะหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับภูมิภาคในงาน International NEV Summit 2025 ครั้งที่ 3 โดย นายชาญศักดิ์ หลายเจริญโชคชัย ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ GWM (Thailand)

    ได้บรรยายพิเศษในประเด็น “เจาะลึกเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนของรถยนต์พลังงานใหม่และแนวโน้มในอาเซียน” (Insight into NEV Powertrain Technology and Trends in ASEAN) โดยเปิดมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบส่งกำลัง (Powertrain) และแนวโน้มยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในอาเซียน ร่วมวิเคราะห์ทิศทางของอุตสาหกรรม โอกาส ความท้าทาย และพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย รวมถึงภูมิภาคอาเซียนพร้อมชูเทคโนโลยีระบบส่งกำลังอัจฉริยะ Hi-4 ที่มอบประสิทธิภาพการขับขี่ระดับสูงและพลิกโฉมประสบการณ์การขับขี่ โดยผสานระหว่างสมรรถนะและความประหยัดพลังงานอย่างชาญฉลาด ตอบโจทย์ตลาดในภูมิภาคอาเซียนที่ต้องการทั้งความแรง ประหยัด และคุ้มค่า โดยงาน International NEV Summit 2025 ครั้งที่ 3 ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 26 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ

    ในงานนี้เป็นการประชุมที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาร่วมอภิปรายในหลายประเด็นทั้งนโยบายเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยี และการลงทุน เพื่อขับเคลื่อนบทบาทของยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) และโอกาสในการดำเนินธุรกิจในกลุ่มของรถยนต์พลังงานใหม่ที่เกี่ยวข้องทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    นายชาญศักดิ์ หลายเจริญโชคชัย ​​ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ GWM (Thailand) วิเคราะห์ข้อมูลตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ทั้งในไทยและในภูมิภาคอาเซียนว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งแรงผลักจากนโยบายโลกร้อน แรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ การพัฒนาด้วยเทคโนโลยีและระบบขับเคลื่อน และความคุ้มค่าด้านต้นทุนพลังงาน รวมถึงบทเรียนสำคัญจากประเทศจีน โดยเฉพาะนโยบาย ที่ใช้ทั้ง  New Energy Vehicle Credit (NEV) และ Passenger Vehicle Corporate Average Fuel Consumption Credit (CAFC) ในการกระตุ้นการผลิตรถยนต์ BEV, PHEV และ FCEV อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้จีนกลายเป็นผู้นำในด้าน NEV และเป็นต้นแบบที่อาเซียนสามารถเรียนรู้และปรับใช้ได้ และคาดว่าภายในปี 2573 สัดส่วนของ BEV และ PHEV ในตลาดจีนจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดย GWM มุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในระยะยาว จากข้อมูลล่าสุดในปี 2567 ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน-5 ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 14% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 5% โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็น รถยนต์ไฮบริด (HEV) 6.5%, รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด (PHEV) 0.5%, และรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) 7% พบว่า รถยนต์ไฮบริด (HEV) ยังครองสัดส่วนในตลาดหลักอย่างไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในเวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนามที่สัดส่วนของรถ BEV มากกว่า HEV ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายการสนับสนุนของรัฐบาลในการพัฒนาและผลิตแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ทั้งนี้ GWM คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 ตลาดอาเซียนจะมีส่วนแบ่งการตลาดของยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) เพิ่มขึ้นเป็น 21% หรือประมาณ 1 ใน 4 ของตลาดรถยนต์ทั้งหมดในภูมิภาคนี้ โดยรถยนต์ไฮบริดจะมีสัดส่วนมากที่สุดประมาณ 10% ตามมาด้วยรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ 9% และรถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด 2% สำหรับในประเทศไทย GWM เล็งเห็นว่ารถยนต์พลังงานใหม่จะเติบโตจาก 35% ในปี 2567 ไปอยู่ที่ 45% ของตลาดรถยนต์รวม ซึ่งสูงกว่าสัดส่วนของภูมิภาคอาเซียน โดยแบ่งเป็น รถยนต์ไฮบริด 23% รถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ 18% และรถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด 4%”

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญจาก GWM ในการแสดงวิสัยทัศน์ครั้งนี้ คือการนำเสนอเทคโนโลยี Hi-4 (Hybrid Intelligent 4WD) ที่ได้รับการวิจัยพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกเพื่อปฏิวัติมาตรฐานการขับเคลื่อนยุคใหม่ โดย GWM ได้ออกแบบให้ระบบสามารถถ่ายทอดแรงบิดสู่ล้อหน้าและหลังอย่างสมดุล เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ในแต่ละสถานการณ์ พร้อมระบบ ITVC (Intelligent Torque Vectoring Control) ที่สามารถปรับแรงบิดของล้อแต่ละข้างได้ภายในเวลาเพียง 0.01 วินาที เพิ่มทั้งความปลอดภัยและสมรรถนะในการขับขี่ทุกสถานการณ์ รองรับการขับขี่ถึง 9 โหมด ครอบคลุมทั้ง EV Mode, Series Range-Extending Mode, Parallel 4WD Mode และโหมดการฟื้นพลังงานจากเพลาหน้า-หลัง โดยใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งคู่หน้าและหลัง ให้กำลังรวมสูงสุด และการตอบสนองที่นุ่มนวลแม้ในเส้นทางที่ท้าทาย พร้อมยกระดับการขับเคลื่อนแบบ 4WD ด้วยต้นทุนพลังงานเท่ากับรถ 2WD อย่างแท้จริง

    GWM Hi4 Technology System หรือกลยุทธ์การออกแบบระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฮบริดที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์การใช้งาน ครอบคลุมตั้งแต่รถครอบครัวในชีวิตประจำวัน รถ SUV ขนาดใหญ่ รถออฟโรดอัจฉริยะ ไปจนถึงรถลุยสายโหดพร้อมระบบขับเคลื่อนขั้นสูงสุด โดย Hi4 Technology แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามระดับสมรรถนะ และรูปแบบการใช้งาน ดังนี้

    • Hi4 ระบบไฮบริดขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะแบบไฟฟ้า ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด มอเตอร์คู่ และโครงสร้างไฮบริดแบบ DHT หลายเกียร์ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบแยกอิสระ (Decoupled Four-Wheel Drive) และระบบล็อกเฟืองขับ (Electric differential lock) โดยมีโหมดการขับเคลื่อน 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมดขยายระยะทาง (Range Extension), โหมดขับเคลื่อนแบบขนาน (Parallel), และโหมดขับเคลื่อนโดยตรง (Direct Drive) ซึ่งสามารถสลับใช้งานได้อย่างชาญฉลาด จึงเหมาะกับทุกสภาพการขับขี่ มอบทั้งความปลอดภัย อัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำ อัตราเร่งที่ทรงพลัง สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และโซลูชันอัจฉริยะในทุกมิติ เหมาะสำหรับรถครอบครัวยุคใหม่ ใช้ในรุ่น GWM HAVAL H7, GWM Haval Xiaolong MAX และ GWM HAVAL Menglong และ GWM WEY 80
    • Hi4-Z ระบบไฮบริดที่ออกแบบเพื่อรองรับการขับขี่แบบออฟโรด เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการขับขี่ที่ให้ระยะทางการใช้งานที่ยาวนานเป็นพิเศษ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริดพละกำลังสูง มอเตอร์คู่ด้านหน้าและด้านหลังกําลังสูงที่วางในแนวตรง ปรับความเร็วได้ 3 ระดับ (Longitudinal 3-speed dual-motor) แบตเตอรี่เฉพาะออฟโรดความจุขนาดใหญ่ และโครงสร้างตัวถังบนเฟรม (Body on Frame) ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการระบบขับเคลื่อนที่ให้พลังต่อเนื่องยาวนาน การตอบสนองที่รวดเร็ว สมรรถนะในการเร่งที่ยอดเยี่ยม รองรับทุกการเดินทางได้อย่างมั่นใจในทุกสภาพเส้นทาง และระยะทางในการขับขี่ที่ไกลเพียงพอสำหรับการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ใช้ในรุ่น GWM TANK 500 Hi4-Z
    • Hi4-T ระบบไฮบริดขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับการขับขี่ออฟโรดแบบฮาร์ดคอร์ แบบ Mechanical 4WD พร้อมล็อกเฟืองขับ 3 จุด (หน้า กลาง และ หลัง) มีให้เลือกทั้งขุมพลัง0T และ 3.0T มอเตอร์ด้านหน้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9HAT พัฒนาขึ้นสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่สายออฟโรด บนพื้นฐานของแพลตฟอร์ม TANK โดยเน้นจุดเด่นด้าน พลังขับเคลื่อนที่แรงต่อเนื่อง การจัดการพลังงานอัจฉริยะที่แม่นยำ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่เชื่อถือได้ สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตร พร้อมโหมดการขับขี่แบบออฟโรดมากถึง 16 รูปแบบ รองรับทุกสภาพภูมิประเทศ ใช้ในรุ่น GWM TANK 300 Hi4-T, GWM TANK 500 Hi4-T, GWM TANK 400 Hi4-T และ GWM TANK 700 Hi4-T

    การเข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นของ GWM ในการยกระดับนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ให้ก้าวไกลสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “GWM Go With More” ที่ไม่หยุดอยู่แค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่เดินหน้าสร้างคุณค่าที่มากกว่า ทั้งในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย และความยั่งยืนในระยะยาว GWM เชื่อว่าเทคโนโลยี Hi-4 คืออีกก้าวสำคัญที่จะพลิกโฉมประสบการณ์การขับขี่ยานยนต์พลังงานใหม่ให้เหนือกว่าที่เคย และนิยามอนาคตแห่งการเดินทางยุคใหม่อย่างแท้จริง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • “ค็อกพิท เอ.บี.สันต์การยาง กรุ๊ป” ฉลองเปิดสาขาใหม่ อัดโปรเด็ด เอาใจลูกค้าชาวมหาสารคาม

    1 Min Read

    “ค็อกพิท เอ.บี.สันต์การยาง กรุ๊ป” ฉลองเปิดสาขาใหม่ อัดโปรเด็ด เอาใจลูกค้าชาวมหาสารคาม

    ค็อกพิท (COCKPIT) ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรฟาสต์ฟิต (Fast Fit) ภายใต้การบริหารงานโดยบริษัท บริดจสโตน เอ.ซี.ที (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองเปิดสาขาใหม่ “ค็อกพิท เอ.บี.สันต์การยาง กรุ๊ป” ตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์อีซูซุ สาขาพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม สร้างจุดหมายใหม่ของการให้บริการด้านรถยนต์ที่ครบครันในที่เดียวภายใต้สโลแกน “คุ้มครบไว อุ่นใจ ที่ค็อกพิท” รองรับการให้บริการลูกค้าในจังหวัดและพื้นที่บริเวณใกล้เคียง จัดโปรโมชันสุดพิเศษตั้งแต่วันที่ 26 – 30 มิถุนายน 2568 (จนกว่าสินค้าจะหมด) ชวนลูกค้ามาใช้บริการแบบจัดเต็ม เมื่อซื้อยาง DAYTON เฉพาะรุ่นและขนาดที่ร่วมรายการครบ 2 เส้น แถมฟรีอีก 2 เส้น สุดคุ้มกับยางแบรนด์ชั้นนำทั้งBRIDGESTONE, FIRESTONE หรือ DAYTON เฉพาะรุ่นและขนาดที่ร่วมรายการ ลดสูงสุดถึง 5,000 บาท พร้อมโปรน้ำมันเครื่องรุ่นที่ร่วมรายการ เริ่มต้นที่ 750 บาท และอื่นๆ อีกมากมาย

    คุณสมิทธ์ แสงไฟ ผู้จัดการส่วนการตลาดค้าปลีก สายงานเครือข่ายโซลูชั่นการค้าปลีก บริษัท บริดจสโตน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ค็อกพิทมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในฐานะศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศไทย โดยค็อกพิท เอ.บี.สันต์การยาง กรุ๊ป เป็นค็อกพิทสาขาที่ 2 ที่เปิดให้บริการในจังหวัดมหาสารคาม ด้วยประสบการณ์ อันยาวนานของเจ้าของร้านในธุรกิจยางรถยนต์ คุณภาพด้านการให้บริการ และราคาที่สมเหตุสมผล เรามุ่งหวังว่าค็อกพิท เอ.บี.สันต์การยาง กรุ๊ป จะสามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้รถยนต์และตอบโจทย์การใช้บริการของคนในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างดี”

    โปรโมชันสุดคุ้มฉลองเปิดสาขาใหม่ ตั้งแต่วันที่ 26-30 มิถุนายน 2568 (จนกว่าสินค้าจะหมด)

    ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์

    • เมื่อซื้อยางรถยนต์ DAYTON เฉพาะรุ่นและขนาดที่ร่วมรายการครบ 2 เส้น แถมฟรีอีก 2 เส้น
    • เมื่อซื้อยางรถยนต์ DAYTON รุ่น DT30 และขนาดที่ร่วมรายการครบ 3 เส้น แถมฟรีอีก 1 เส้น
    • เมื่อซื้อยาง BRIDGESTONE, FIRESTONE หรือ DAYTON เฉพาะรุ่นและขนาดที่ร่วมรายการ
      รับส่วนลดสูงสุด 5,000 บาท
    • ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อซื้อยาง BRIDGESTONE หรือ FIRESTONE เฉพาะรุ่นและขนาดที่ร่วมรายการ
    • ต่อที่ 1: ฟรี! โปรแกรมดูแลยาง B-care One เมื่อยางเสียหายเปลี่ยนให้ฟรี 1 เส้น คุ้มครองนาน 1 ปี
    • ต่อที่ 2: ฟรี! โปรแกรมช่วยเหลือฉุกเฉิน B-24 hrs บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง

    ผลิตภัณฑ์อื่นๆ

    • สุดคุ้มกับชุดน้ำมันเครื่องรุ่นที่ร่วมรายการ เริ่มต้นที่ราคา 750 บาท

    หมายเหตุ: เงื่อนไขของโปรโมชันเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

    สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.cockpit.co.th. หรือ www.facebook.com/CockpitTH
    แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1369

    ข้อมูลค็อกพิท เอ.บี.สันต์การยาง กรุ๊ป
    ที่ตั้ง: 289 หมู่ 12 ตำบลลานสะแก อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์อีซูซุ สาขาพยัคฆภูมิพิสัย
    เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/WKsLUrqRTQhHuqp66
    โทรศัพท์: 098-308-9888
    เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/profile.php?id=61571843030424


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • เบนท์ลีย์ แบงค็อก – บิวตี้ เจมส์ จัดรอบเอ็กซ์คลูซีฟ เชิญแขกวีไอพีเปิดประสบการณ์ ‘The Ultimate Luxury Experience’ สัมผัสยนตรกรรมหรูประดับเพชรสุดเลอค่า

    1 Min Read

    เบนท์ลีย์ แบงค็อก – บิวตี้ เจมส์ จัดรอบเอ็กซ์คลูซีฟ เชิญแขกวีไอพีเปิดประสบการณ์ ‘The Ultimate Luxury Experience’ สัมผัสยนตรกรรมหรูประดับเพชรสุดเลอค่า

    เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร่วมกับ Beauty Gems (บิวตี้ เจมส์) ผู้รังสรรค์อัญมณีและเครื่องประดับระดับไฮจิวเวลรี่แบรนด์คนไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก เชิญแขกเจ้าของรถยนต์เบนท์ลีย์ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในงาน ‘Beauty Gems x Bentley Bangkok the Ultimate Luxury Experience’ สัมผัส Flying ‘B’ Mascot ประดับเครื่องเพชรสุดเลอค่าบนยนตรกรรมหรู รุ่น Flying Spur พร้อมชมความงดงามของเครื่องประดับดีไซน์ใหม่ คอลเลกชันล่าสุดจาก บิวตี้ เจมส์ ณ อีเวนต์ ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ชิดลม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา

    หลังจากงานเปิดตัว Flying ‘B’ Mascot ประดับเครื่องเพชรอย่างเป็นทางการไปเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เบนท์ลีย์ แบงค็อก และบิวตี้ เจมส์ พร้อมสานต่อประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วยการเชิญลูกค้ารถยนต์เบนท์ลีย์มาร่วมสัมผัสกับความงดงามและความหรูหราของงานฝีมือที่ได้ถูกถ่ายทอดผ่านอัญมณีสุดเลอค่าและยนตรกรรมอันทรงพลังในรูปแบบของ Flying ‘B’ Mascot ประดับเครื่องเพชร มูลค่ากว่า 12 ล้านบาทที่ตกแต่งบนฝากระโปรงหน้าของยนตรกรรมซีดานสุดหรู รุ่น Flying Spur ซึ่งตัวผลงานถูกรังสรรค์ขึ้นจากนิลดำ (Black Spinel) น้ำหนักรวม 1.46 กะรัต เพชร น้ำหนักรวม 11.29 กะรัต และทองคำ 18K WG น้ำหนักรวม 39.12 กรัม

    อภิญญา ชัยสันติกุลวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า “หัวใจสำคัญของรถยนต์เบนท์ลีย์ คือ งานฝีมือ Craftmanship และ รายละเอียดความประณีต Details รถยนต์เบนท์ลีย์ทุกคันถือเป็นผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยช่างฝีมือด้วยความใส่ใจในรายละเอียดเพื่อสร้างคุณค่าสูงสุดให้แก่ผู้ที่ครอบครองเช่นเดียวกับผลงานการออกแบบอัญมณี

    “เบื้องหลังการออกแบบส่วนต่างๆ ของรถยนต์เบนท์ลีย์ นักออกแบบนำแรงบันดาลใจมาจาก ‘เพชร’ อัญมณีที่ทรงคุณค่าและแข็งแกร่งที่สุดเพื่อเป็นต้นแบบในรังสรรค์ผลงาน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบคริสตัล LED ที่งดงามดั่งเพชรเจียระไน กระจังหน้าดีไซน์รูปทรงเพชรแบบ Matrix Grille และภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยรูปทรงเพชร และรายละเอียดจุดสัมผัสลวดลายเพชร หรือ Diamond Knurling บริเวณคอนโซลหน้า

     

    “ทั้งหมดนี้ คือ งานฝีมืออันประณีตและความใส่ใจในรายละเอียดที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์ เฉกเช่นเดียวกับการรังสรรค์เครื่องประดับเพชรน้ำงามที่ต้องอาศัยการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผ่านกระบวนการผลิต และสร้างสรรค์ขึ้นโดยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ”

    สำหรับภายในงาน แขกผู้มีเกียรติยังได้สัมผัสกับความหรูหราของรถยนต์เบนท์ลีย์ รุ่น Bentayga Hybrid ในเฉดสีดำ Onyx พร้อมชมความงดงามของเครื่องประดับดีไซน์ใหม่ คอลเลกชันล่าสุดจากบิวตี้เจมส์ นอกจากนี้ แขกภายในงานยังได้ลิ้มรส Iberico Ham จากขาหมูดำฮามอนอิเบริโก แบรนด์ AX by Covap ที่นำเข้าโดย CTI Food Supply ซึ่งวัตถุดิบชั้นเลิศผ่านกรรมวิธีการบ่มเพาะอย่างพิถีพิถันนานกว่า 4 ปีเพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมรังสรรค์โดยเชฟ Jose Sol ที่เคยถวายงานแด่ราชวงศ์อังกฤษและเคยให้บริการแก่บุคคลผู้มีชื่อเสียงมากมายมามอบประสบการณ์แล่ขาหมูดำฮามอนอิเบริโกให้กับแขกภายในงานได้ลิ้มลองควบคู่ไปกับเครื่องดื่มไวน์ขาวและไวน์แดงจาก Penfolds อีกทั้ง แขกภายในงานยังได้เพลิดเพลินไปกับเมนูคานาเป้ที่รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษจากวัตถุดิบชั้นเลิศที่นำเข้าโดย CTI Food Supply โดยเชฟมากฝีมือจาก Your Kitchen Catering by YUU ในบรรยากาศอันแสนโรแมนติกที่ขับกล่อมด้วยดนตรีอันแสนไพเราะตลอดทั้งงาน

    ผู้สนใจครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์กับการออกแบบยนตรกรรมในฝันให้มีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับข้อเสนอพิเศษได้ที่ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • นิสสันเดินหน้าปรับปรุงสายการผลิตในไทย มุ่งเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในอนาคต

    1 Min Read

    นิสสันเดินหน้าปรับปรุงสายการผลิตในไทย มุ่งเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในอนาคต

    นิสสัน เริ่มต้นโครงการปรับปรุงสายการผลิตที่โรงงานในจังหวัดสมุทรปราการอย่างเป็นทางการ โดยมีการจัดพิธีเฉลิมฉลอง บริเวณ สายการผลิตที่ 1 ของโรงงานนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เพื่อแสดงความยินดีกับความสำเร็จด้านการผลิตตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สู่การเริ่มต้นใหม่ของสายการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย

    โทชิฮิโระ ฟูจิคิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย และนิสสัน อาเซียน กล่าวว่า “นิสสันยังคงมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของเราปีนี้คือการยกระดับสายการผลิตที่โรงงานนิสสันในประเทศไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนมากยิ่งขึ้น และพร้อมรองรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในอนาคต ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถส่งมอบรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและตลาดส่งออก”

    โรงงานผลิตแห่งแรกของนิสสันในประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2505 และไม่กี่ปีต่อมา สายการผลิตที่ 1 ของโรงงานนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบัน ได้เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2518 โดยตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา สายการผลิตแห่งนี้ได้ผลิตรถยนต์มากกว่า 2.5 ล้านคัน สำหรับตลาดในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ

    โครงการปรับปรุงสายการผลิตนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568 โดยสายการผลิตใหม่จะรองรับการผลิตรถยนต์รุ่นปัจจุบันที่จำหน่ายในประเทศไทย เช่น อัลเมร่า, คิกส์      อี-พาวเวอร์, นาวารา และ เทอร์ร่า รวมถึงรถยนต์รุ่นใหม่ในอนาคต


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • Lamborghini Temerario เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ก้าวสู่ยุคใหม่ของขุมพลังไฮบริด V8

    1 Min Read

    Lamborghini Temerario เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ก้าวสู่ยุคใหม่ของขุมพลังไฮบริด V8

    เรนาสโซ มอเตอร์ ผู้จำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย เผยโฉม “Temerario” (เทเมราริโอ)[1] ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นล่าสุดจากแบรนด์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์หรูสัญชาติอิตาลี สุดยอดยนตรกรรมหนึ่งเดียวที่มาพร้อมขุมพลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบใหม่ล่าสุด ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบสมรรถนะการเร่งรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 10,000 รอบต่อนาที พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งด้านประสิทธิภาพอันทรงพลัง ประสบการณ์ขับขี่ที่เร้าใจ และสุนทรีย์แห่งการเดินทางอย่างเหนือชั้น

    Temerario โดดเด่นอย่างเหนือชั้นในฐานะยนตรกรรมรุ่นที่สองในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) ของลัมโบร์กินี ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นแห่งประวัติศาสตร์อย่าง Revuelto (เรเวลโต้)[2] ซึ่งมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ผสานกับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีด และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ในขณะที่ Temerario ได้เปิดศักราชใหม่ด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบสุดล้ำ ถือเป็นการเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริดของลัมโบร์กินีอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการเปิดตัว Urus SE (อูรุส เอสอี)[3] ซูเปอร์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์เมื่อปีที่ผ่านมา

     

    งานเปิดตัวในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารระดับสูงของ ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี นำโดย มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มร.เฟเดอริโก ฟอสชินี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด และ มร.ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

    มร. สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี เผยว่า “การเปิดตัวของ Temerario ได้สร้างตำนานบทใหม่ในฐานะผู้บุกเบิกเซกเมนต์ที่นำเสนอไลน์อัปรถยนต์ไฮบริดเต็มรูปแบบเป็นรายแรก Temerario คือยนตรกรรมที่เปี่ยมไปด้วยความโดดเด่นอย่างเหนือชั้น ด้วยขุมพลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบ 920 แรงม้า ที่มอบทั้งสมรรถนะและความสะดวกสบายในระดับสูงสุด เพื่อประสบการณ์ขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ณ ฐานการผลิตของเราใน Sant’Agata Bolognese ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่มุ่งผลักดันความยั่งยืนและสร้างสรรค์เทคโนโลยี โดยผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับงานฝีมือชั้นสูงแบบอิตาเลียนอย่างลงตัว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัว Lamborghini Temerario อย่างยิ่งใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยพลังงานอันมีชีวิตชีวา และได้ร่วมฉลองความสำเร็จครั้งนี้ไปพร้อมกับกลุ่มคนผู้รักลัมโบร์กินีอย่างแท้จริง”

    ด้าน มร.ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “Temerario ได้สะท้อนถึงดีเอนเอแบรนด์สัญชาติอิตาเลียนของเรา ทั้งดีไซน์อันโดดเด่น เทคโนโลยียานยนต์ไฮบริดสุดล้ำ และสมรรถนะระดับสูงสุด ที่มอบสุนทรีย์ในการขับขี่อย่างแท้จริง พร้อมเสียงเครื่องยนต์อันทรงพลังที่บ่งบอกความเป็นลัมโบร์กินีอย่างชัดเจน ความพิเศษอันเหนือชั้นของรถคันนี้ ไม่จำกัดเพียงในด้านสมรรถนะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสบายและพื้นที่ใช้สอยด้วย นับเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่ปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่ทั้งในสนามแข่งและบนถนนจริง ขณะเดียวกันยังมอบพื้นที่สำหรับผู้โดยสารและสัมภาระได้มากกว่ารถรุ่นอื่นๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอยนตรกรรมอันโดดเด่นรุ่นนี้สู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้”

    Temerario ปรากฏโฉมในสีน้ำเงิน Blu Marinus พร้อมผิวสัมผัสแบบแมตต์ที่โดดเด่น สะกดทุกสายตาผู้ร่วมงาน    ซึ่งเป็นแขกกลุ่มแรกที่ได้ยลโฉมและสัมผัสความพิเศษจากความร่วมมือระหว่างลัมโบร์กินีและแบรนด์พันธมิตร   อย่างบริดจสโตน (Bridgestone) พร้อมเปิดประสบการณ์การปรับแต่งรถในแบบฉบับเฉพาะตัวผ่านโปรแกรม   Ad Personam ของลัมโบร์กินี ที่นำเสนอตัวเลือกสีตัวถังภายนอกมากกว่า 400 เฉดสี การตกแต่งภายในที่เข้าชุดอย่างลงตัว และออปชันพิเศษอีกหลากหลายรายการ

     

    ขุมพลังไฟฟ้าที่ปลุกสัมผัสการขับขี่เหนือระดับ  

    Temerario มาพร้อมขุมพลังใหม่ล่าสุด ด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ขนาด 4.0 ลิตร ที่สามารถเร่งรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 10,000 รอบต่อนาที ซึ่งนับเป็นรอบเครื่องยนต์สูงสุดสำหรับรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่ผลิตออกจำหน่ายจริง ให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า และแรงบิด 730 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยติดตั้งที่เพลาหน้า 2 ตัว และในชุดเกียร์ดับเบิลคลัตช์ 8 สปีด อีก 1 ตัว มอบกำลังรวมสูงสุดถึง 920 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ตอบสนองทันที การยึดเกาะถนนที่เหนือกว่า และประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง ที่ยังคงไว้ซึ่งดีเอ็นเอของลัมโบร์กินีอย่างชัดเจน

    สมรรถนะอันโดดเด่นนี้เกิดขึ้นจากการผสานเทคโนโลยีไฮบริดอย่างเต็มรูปแบบ โดย Temerario สามารถเร่งเครื่องยนต์จาก 0–100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 2.7 วินาที และจาก 0–200 กม./ชม. ภายใน 7.4 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 343 กม./ชม. ขณะเดียวกัน มอเตอร์ไฟฟ้าบนเพลาหน้ายังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อน และทำให้ Temerario สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO₂ ได้สูงสุดถึง 50% เมื่อเทียบกับรุ่น Huracán

    ดีไซน์ที่เสริมสมรรถนะเหนือระดับ

    Temerario ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด โดยมุ่งเน้น 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ เสถียรภาพที่ระดับความเร็วสูง การระบายความร้อนที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพการเบรกขั้นสูงสุด ทุกองค์ประกอบได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างแม่นยำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของอากาศ อาทิ ดวงไฟ DRL ทรงหกเหลี่ยมด้านหน้าที่มาพร้อมแผงปรับทางลมและช่องรับลม ไปจนถึงอุปกรณ์สร้างการหมุนเวียนของลมใต้ท้องรถ ล้วนส่งผลให้แรงกดด้านท้ายเพิ่มขึ้นถึง 103% เมื่อเทียบกับรถรุ่น Huracán EVO (ฮูราแคน อีโว) และสามารถเพิ่มได้สูงสุดถึง 158% เมื่อติดตั้งชุดวัสดุ Alleggerita Pack อีกทั้ง ช่องกลางหลังคาที่เชื่อมต่อกับสปอยเลอร์หลังยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการไหลของอากาศ ในขณะที่ขอบฝากระโปรงเครื่องยนต์ด้านข้างที่มีดีไซน์โค้งมนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แนวคิดใหม่ในการระบายความร้อนระบบเบรกยังเข้ามาช่วยยกระดับสมรรถนะโดยรวม ด้วยการระบายความร้อนที่คาลิเปอร์เพิ่มขึ้นถึง 50% และระบายความร้อนจานเบรกได้ดีขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับรุ่น Huracán EVO แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง

    ห้องโดยสารภายใน ‘Feel like a pilot’

    การออกแบบห้องโดยสารภายในของ Temerario สะท้อนแนวคิด ‘Feel like a pilot’ (ความรู้สึกเสมือนเป็นนักบิน) ของลัมโบร์กินีได้อย่างชัดเจน ผ่านตำแหน่งเบาะนั่งที่ต่ำ แดชบอร์ดดีไซน์เพรียวบาง และพวงมาลัยที่เอียงในองศาที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับขี่เข้าถึงสไตล์การขับขี่ได้อย่างเต็มที่ เบาะนั่งสปอร์ตปรับไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มอบความสบายสูงสุด หรือสามารถเลือกเบาะนั่งแบบคาร์บอนไฟเบอร์ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์และปรับแต่งได้หลากหลาย ทั้งระบบทำความร้อน การระบายอากาศ และสีสันที่แตกต่างกัน

     

    ภายในห้องโดยสารสะท้อนดีไซน์ภายนอกอันโดดเด่น โดยผสมผสานประสบการณ์ดิจิทัลเข้ากับประสาทสัมผัสได้อย่างลงตัว โดยลัมโบร์กินีเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงสุด อาทิ คาร์บอน หนัง และไมโครไฟเบอร์ Dinamica® Corsatex Suede ทั่วทั้งห้องโดยสาร พร้อมกันนี้ องค์ประกอบการตกแต่งภายใน เช่น คอนโซลกลาง ช่องระบายอากาศ แผงประตู แดชบอร์ด พวงมาลัย และคอพวงมาลัย ยังมีให้เลือกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาเป็นออปชันเสริมอีกด้วย

     

    นอกจากนี้ ห้องโดยสารของ Temerario ยังสะท้อนประสบการณ์ดิจิทัลที่ล้ำสมัยที่สุดของลัมโบร์กินี ด้วยการจัดวางจอแสดงผล 3 หน้าจอ ได้แก่ แดชบอร์ดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอสัมผัสกลางขนาด 8.4 นิ้ว และหน้าจอสำหรับผู้โดยสารขนาด 9.1 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลรถแบบเรียลไทม์ พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์และฟังก์ชันเสริมประสบการณ์ร่วมขับเสมือนเป็นผู้ช่วยนักบิน ผู้ขับสามารถเข้าถึงกล้องติดรถ ธีมอินเทอร์เฟซที่เปลี่ยนตามโหมดการขับขี่ และฟังก์ชันขั้นสูงอย่าง Telemetry 2.0 ได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านทั้งแดชบอร์ดโฉมใหม่และบริเวณเบาะที่นั่ง ตามปรัชญา “Feel like a pilot” อย่างแท้จริง ช่องระบายอากาศทรงหกเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์และคอนโซลกลางช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด พวงมาลัยติดตั้งปุ่มควบคุมโหมดการขับ ฟังก์ชันยกตัวรถ ปุ่ม “Race Start” ไฟเลี้ยว และ Launch Control เพื่อมอบสมาธิสูงสุดในทุกการขับขี่

     

    สุดยอดประสบการณ์การขับขี่ที่ควบคุมได้ดั่งใจ

    Temerario มอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลายถึง 13 รูปแบบ ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและความเร้าใจบนสนามแข่ง ด้วยความสามารถรอบด้านของซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันนี้ ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่แบบไดนามิกผ่านระบบ ANIMA (Adaptive Network Intelligent Management) ของลัมโบร์กินีได้ 5 โหมดหลัก ได้แก่ Città, Strada, Sport, Corsa และ Corsa Plus แต่ละโหมดจะปรับการส่งกำลัง ระบบช่วงล่าง อากาศพลศาสตร์ และประสิทธิภาพของระบบไฮบริดให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ ตั้งแต่การขับขี่ในเมืองไปจนถึงการเร่งเต็มพิกัดบนสนามแข่ง

    นอกจากนี้ ยังมีโหมดจัดการพลังงานไฮบริดอีก 3 โหมด ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการชาร์จไฟจากแรงเบรก เสริมด้วยโหมดใหม่ล่าสุดอย่าง Drift Mode ที่สามารถควบคุมและปรับแรงบิดได้ 3 ระดับ ช่วยให้การควบคุมการหักเลี้ยวแบบโอเวอร์สเตียร์เป็นไปได้อย่างแม่นยำ มอบประสบการณ์ที่ทั้งเร้าใจและควบคุมได้อย่างมั่นใจ

     

    การปรับแต่งที่ไร้ขีดจำกัด

    Temerario เปิดตัวด้วยสองสีพิเศษใหม่ ได้แก่ สีฟ้า Blu Marinus และสีเขียว Verde Mercurius พร้อมมอบอิสระให้ลูกค้าปรับแต่งรถเพื่อสะท้อนตัวตนได้อย่างไม่รู้จบผ่านโปรแกรม Ad Personam ของลัมโบร์กินี ที่นำเสนอสีตัวถังกว่า 400 เฉด รวมถึงลวดลายพิเศษ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมล้อแมกรุ่นใหม่ถึง 3 ดีไซน์และวัสดุที่แตกต่างกัน พร้อมออปชันคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับตกแต่งทั้งภายในและภายนอกหลากหลายชิ้นส่วน ไม่ว่าจะต้องการสื่อถึงความสปอร์ต ความหรูหรา หรือทั้งสองอย่างในแบบเฉพาะตัว ทุกการคัสตอมคือภาพสะท้อนบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของเจ้าของอย่างแท้จริง

     

    ยางรถ

    ในฐานะพันธมิตรอันยาวนานของลัมโบร์กินี ผู้ผลิตยางรถยนต์แต่เพียงผู้เดียวสำหรับ Temerario บริดจสโตนได้พัฒนาไลน์อัปยางครบวงจรเพื่อดึงสมรรถนะสูงสุดของซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันนี้ ทั้งในและนอกสนามแข่งตลอดทั้งปี พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขับขี่

     

    บริดจสโตนเลือกใช้ยางสมรรถนะสูงระดับไอคอนจากตระกูล Potenza โดยนำเสนอยางรุ่น Potenza Sport และ Potenza Race ที่ออกแบบขึ้นเฉพาะสำหรับ Temerario เพื่อการขับขี่บนถนนและในสนามแข่งขัน ยาง Potenza Sport รุ่นพิเศษนี้มาพร้อมลายดอกยางที่ออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพการควบคุมบนถนนแห้ง การยึดเกาะบนถนนเปียก และสมรรถนะในความเร็วสูง ยกระดับความเร้าใจในการขับขี่สไตล์สปอร์ตให้ถึงขีดสุด

     

    ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ล่าสุดได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่           02-512-5111

    [1] รถยนต์รุ่นนี้ยังไม่ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่อยู่ภายใต้ข้อระเบียบของ Directive 1999/94/EC ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและการปล่อยมลพิษอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติประเภท

    [2] ข้อมูลอัตราการสิ้นเปลืองและการปล่อยมลพิษของ Revuelto: อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย: 10.3 ลิตร/100 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP), อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย: 78.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP), อัตราการปล่อย CO₂ เฉลี่ย: 276 กรัม/กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP)

    [3] ข้อมูลอัตราการสิ้นเปลืองและการปล่อยมลพิษของ Urus SE: อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยรวม: 2.08 ลิตร/100 กิโลเมตร, อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย: 39.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กิโลเมตร, อัตราการปล่อย CO₂ เฉลี่ย: 51.25 กรัม/กิโลเมตร, ระดับประสิทธิภาพการปล่อย CO₂ เฉลี่ยรวม: Class B, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยรวม (แบตเตอรี่ต่ำ): 12.9 ลิตร/100 กิโลเมตร, ระดับประสิทธิภาพการปล่อย CO₂ ขณะแบตเตอรี่ต่ำ: Class G (ตามมาตรฐาน WLTP)


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment