-
ไฮไลท์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 หนึ่งในรถยนต์ตระกูลหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยูมาโดยตลอด พร้อมก้าวสู่อนาคต อีกขั้นกับบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ รถยนต์ซีดานปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานความสปอร์ตและความหรูหราให้เข้ากันอย่างลงตัว ทั้งยังเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าด้วยการอัปเกรดทั้งแบตเตอรี่ ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System รุ่นล่าสุด พร้อมปรับโฉมภายนอกให้สง่างามและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
ไฮไลท์สำคัญในบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ คือแบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 22.3 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่รองรับการชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 11 กิโลวัตต์ และลดเวลาชาร์จเต็มจาก 3 ชั่วโมง 45 นาที เหลือเพียง 2 ชั่วโมง 15 นาที ส่วนระยะทางการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วน (ตามมาตรฐาน WLTP) ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 330e รุ่นก่อนหน้า ด้วยระยะทางสูงสุด 85-101 กิโลเมตรเมื่อขับขี่ในแบบไร้มลภาวะ
แบตเตอรี่ใหม่นี้ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดที่ผ่านการพิสูจน์สมรรถนะบนท้องถนนมาแล้ว ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 80 กิโลวัตต์ / 109 แรงม้า และเกียร์ 8 สปีด Steptronic Sport โดยรวมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ สามารถส่งกำลังสูงสุด 215 กิโลวัตต์ / 292 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร สู่พื้นถนนผ่านระบบขับเคลื่อนล้อหลัง นอกจากนี้ ฟังก์ชัน Sport Boost สามารถเพิ่มสมรรถนะและอัตราเร่ง เสริมความสปอร์ต
ให้เร้าใจยิ่งขึ้นเป็นระยะเวลา 10 วินาที ขณะที่ระบบกันสะเทือน Adaptive M ช่วยเสริมความแม่นยำในทุกจังหวะ ให้คุณ
ขับขี่ได้อย่างมั่นใจบนทุกสภาพถนนภายนอก บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ เสริมความโดดเด่นด้วยล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว แบบ Double Spoke สองสี เข้ากันอย่างลงตัวกับชุดแต่ง M Sport Pro รอบคัน ซึ่งมีทั้ง M Lights Shadowline เติมเฉดสีเข้มให้กับชุดไฟหน้า Adaptive LED ด้านข้างตกแต่งด้วย M High-gloss Shadowline with Extended Contents และสปอยเลอร์ท้ายแบบ M ก่อนเติมความสปอร์ตให้สมบูรณ์แบบด้วยหลังคากระจกระบบไฟฟ้าและคาลิเปอร์เบรกสีแดงเงา
ส่วนห้องโดยสารในรุ่นปรับโฉมนี้ ยังคงเน้นย้ำประสบการณ์อันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ขับขี่ด้วยพวงมาลัยหนังแบบ M ในรูปทรงตัดขอบล่าง ชุดแต่งแผงคอนโซลแบบ Luxury พร้อมการตกแต่งสไตล์ M ทั่วห้องโดยสาร ทั้งเข็มขัดนิรภัย M
เข้าคู่กับเบาะนั่งแบบสปอร์ตด้านหน้า วัสดุตกแต่งภายในแบบ Aluminium Rhombicle Anthracite M และอื่นๆ อีกมากมาย บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 เวอร์ชันล่าสุด
ที่ออกแบบมาให้เข้าถึงการตั้งค่าและฟังก์ชันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น รวมถึง BMW Iconic Sounds Electric ที่ติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 330e เพื่อส่งเสียงเครื่องยนต์แบบจำลองผ่านชุดเครื่องเสียงเซอร์ราวด์ Harman Kardon ขณะขับขี่ในระบบไฟฟ้าล้วน นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ยังครบครันด้วยฟังก์ชันด้านความปลอดภัยและสะดวกสบาย ทั้งระบบ Active Cruise Control with Stop & Go Function, ระบบช่วยจอด Parking Assistant Plus และระบบเสียงเตือนคนเดินเท้า (Acoustic Protection for Pedestrians) ขณะขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ในสีเทา Brooklyn Grey Metallic, น้ำเงิน Portimao Blue Metallic (ทั้งสองสีมาพร้อมเบาะหนัง Vernasca ตกแต่งด้วยตะเข็บสีดำ) ขาว Mineral White Metallic และดำ Black Sapphire Metallic (ทั้งสองสีมาพร้อมเบาะหนัง Vernasca ตกแต่งด้วยตะเข็บสีน้ำตาล)
บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ พร้อมเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring หนึ่งในพี่ใหญ่ของตระกูลซีรีส์ 3 กลับมากับการปรับโฉมที่ตื่นตา
ไม่แพ้กัน โดยยังคงผสมผสานสมรรถนะส่งตรงจากสนามแข่งเข้ากับความอเนกประสงค์ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหนือชั้น และรุ่นปรับโฉมนี้ก็ยกระดับความแรง เสริมลุคสปอร์ตให้เตะตากว่าเดิมไปอีกขั้นในฐานะรถยนต์ทัวริ่งเครื่องยนต์เบนซินรุ่นท็อปของบีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ มอบสมรรถนะมหาศาลอย่างสมศักดิ์ศรีด้วยด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo มีพละกำลังสูงขึ้น 20 แรงม้าจากรุ่นก่อนหน้า ขึ้นมาอยู่ที่ 390 กิโลวัตต์ / 530 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 650
นิวตันเมตรที่ 2,750-5,730 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ 8 สปีด M Steptronic Sport พร้อม Drivelogic ส่งกำลังสู่ล้อทั้งสี่ จึงเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ด้วยแพ็คเกจ M Driver’s Package ที่ติดตั้งมาในรุ่นนี้ก็เพิ่มความเร็วสูงสุดของตัวรถขึ้นไปที่ 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ BMW M xDrive สามารถปรับอัตราส่วนการกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและหลังได้โดยอิสระ เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้อย่างแม่นยำที่สุดในทุกสภาวะการขับขี่ ขณะที่ฟังก์ชัน Boost Control ช่วยเพิ่มอัตราเร่งของ M3 Competition Touring ใหม่ ด้วยการเตรียมระบบส่งกำลังให้พร้อมทำงานเต็มประสิทธิภาพเมื่อรถออกตัว นอกจากระบบเบรกแบบ M compound ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานแล้ว ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค M Carbon เพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่เหนือกว่า
ด้านหน้าของบีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ โดดเด่นด้วยไฟหน้า Adaptive LED ที่ออกแบบใหม่ พร้อมกรอบสีเข้มจากแพ็คเกจ M Lights Shadowline ขนาบข้างกระจังหน้าทรงไตคู่ที่ตกแต่งด้วยแถบคู่แนวนอนสไตล์ M ส่วนซุ้มล้อที่ดูทรงพลังและและราวหลังคาแบบ M high-gloss Shadowline ยังคงติดตั้งมาเช่นเดียวกับรุ่นก่อน เข้าชุดกับล้อแบบ M ดีไซน์ใหม่ในรุ่นปรับโฉม ขนาด 19 และ 20 นิ้ว แบบ Double Spoke พร้อมให้เลือกได้ทั้งแบบสีดำ ดำทูโทน และเทา Orbit Grey ชุดแต่ง M Carbon ยิ่งขับเน้นความแรงของตัวรถให้เด่นในทุกมุมมองด้วยชิ้นส่วนรอบคัน เช่น กรอบช่องรับอากาศด้านหน้า ดิฟฟิวเซอร์ท้ายคัน และฝาครอบกระจกมองข้าง
ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ คงความแรงสไตล์ M ไว้ในทุกมิติ นับตั้งแต่พวงมาลัย M แบบสามก้านในทรงตัดขอบล่าง พร้อมตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์และเครื่องหมายสีแดงที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาเพื่อสื่อถึงพลังที่ขับเคลื่อนตัวรถให้ทะยานไปข้างหน้า เบาะหน้าแบบ M Carbon bucket seat พร้อมให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รู้สึกทุกสัมผัสของความเคลื่อนไหวขณะโลดแล่นบนท้องถนน ปิดท้ายด้วยชุดแต่งภายในแบบ M Carbon Fibre ที่เสริมความสปอร์ตในทุกรายละเอียด ทั้งยังสะดวกสบายบนทุกเส้นทางด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบครบครัน เรียกใช้ได้อย่างง่ายดายผ่านเมนูที่ออกแบบใหม่ในระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5
บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ และรุ่นพิเศษพร้อมอัปเกรดเบรกเซรามิก มีให้เลือกทั้งในสีขาว Alpine White, เหลือง Sao Paulo Yellow, ดำ Black Sapphire, เทา Skyscraper Grey, แดง Aventurine Red, เทา Brooklyn Grey, แดง Toronto Red และเขียว Isle of Man Green รวมถึงสีพิเศษจาก BMW Individual อีกกว่า 100 สี ที่เปิดให้ลูกค้าเลือกสรรได้ที่ https://individual.bmw-m.com/en-US/G81-21GB-448
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ พร้อมระบบเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ เป็นอีกหนึ่งรุ่นจากตระกูล M ที่ได้รับการปรับโฉม เติมสมรรถนะ และยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมล่าสุดจากบีเอ็มดับเบิลยู
คูเป้พลังแรงรุ่นนี้มาพร้อมแพ็คเกจ M Driver’s Package เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพิ่มความเร็วสูงสุดจาก 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็น 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo เพิ่มพละกำลังขึ้นอีก 20 แรงม้าเช่นเดียวกับ M3 Competition Touring ส่งผลให้มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 390 กิโลวัตต์ / 530 แรงม้า พร้อมส่งแรงบิดมหาศาล 650 นิวตันเมตร สู่ล้อทั้งสี่ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ BMW M xDrive และด้วยรูปทรงคูเป้ที่ปราดเปรียวและคล่องตัว M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่จึงเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที
เช่นเดียวกับรุ่น M3 Competition Touring บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ สามารถเลือกอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค M Carbon เพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่ดีที่สุด เสริมความแม่นยำในการขับขี่ร่วมไปกับระบบกันสะเทือน Adaptive M ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน
ไฟหน้าของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ มาในระบบ Adaptive LED ขณะที่ด้านท้ายมาพร้อมระบบไฟท้ายเลเซอร์ที่เคยใช้ในตัวแรงรุ่นน้ำหนักเบาอย่างบีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL สัดส่วนด้านข้างที่โค้งมนและลู่ลม
ปรุงแต่งเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อ M ขนาด 19 และ 20 นิ้ว แบบ Double Spoke ที่มีให้เลือกทั้งในสีเงิน M Silver, ดำ, และดำทูโทน แถมยังมีชุดแต่ง M Carbon มาเพิ่มความเฉียบรอบคันภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ ได้รับการปรับโฉมในทิศเดียวกับ M3 Competition Touring ทั้งพวงมาลัยแบบ M ทรงตัดขอบล่าง และประสบการณ์การใช้งานและตั้งค่าตัวรถที่เหนือกว่า ผ่านระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5
แฟน ๆ BMW M สามารถเป็นเจ้าของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ได้ในสีเหลือง Sao Paulo Yellow, ดำ Black Sapphire, เทา Dravit Grey, เขียว Isle of Man Green, เทา Skyscraper Grey, ขาว Frozen Brilliant White, น้ำเงิน Tanzanite Blue, ขาว Alpine White, น้ำเงิน Portimao Blue, แดง Toronto Red, เทา Brooklyn Grey, แดง Aventurine Red, น้ำเงินด้าน Frozen Portimao Blue รวมถึงสีพิเศษจาก BMW Individual
อีกกว่า 100 สี ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ที่ https://individual.bmw-m.com/en-US/G82-21HK-P7Bบีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ เปิดประตูให้ได้สัมผัสกับความหรูหราของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 แบบปลั๊กอินไฮบริดกันได้ง่ายขึ้น โดยยังรักษาความเนี้ยบสไตล์สปอร์ตที่ทำให้ซีรีส์ 5 ทุกรุ่นเป็นที่ชื่นชอบทั้งสำหรับนักขับและผู้บริหารทั่วโลก
บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ โดดเด่นด้วยความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 สวยสะดุดตาด้วยเส้นสายบนพื้นผิวรอบคัน โดยในรุ่นใหม่นี้ มีชุดแต่ง Titanium Bronze มาเติมความหรูไปอีกสไตล์กับโทนสีบรอนซ์อ่อนบนกระจังหน้าทรงไตคู่ เล่นล้อไปกับแสงส่องสว่างจากระบบไฟ BMW Iconic Glow ส่วนล้อขนาด 20 นิ้วก็ปรับดีไซน์เป็นแบบ Aerodynamic ในโทนสี Multicolour Titanium Bronze เพื่อให้เข้ากับชุดแต่งใหม่นี้อย่างลงตัว
ระบบส่งกำลังแบบไฮบริดที่ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู 530e เป็นที่ชื่นชอบในตลาดรถยนต์สำหรับผู้บริหาร กลับมาอีกครั้งในรุ่น 530e Inspiring โดยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 220 กิโลวัตต์ / 299 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ทำให้เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในโหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 22.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงของบีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ ช่วยให้วิ่งได้ไกล 87-102 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) และทำความเร็วได้สูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า พร้อมเสียงเครื่องยนต์จำลองจากระบบ BMW IconicSounds Electric
ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ ประทับใจตั้งแต่แรกเห็นด้วยโทนสีที่ตัดกันของวัสดุผิวหน้าสีเงินแบบ Dark Silver และโทนไม้ Dark Oak ขณะที่คันเกียร์และปุ่มควบคุมต่างๆ ส่องประกายสะดุดตาด้วยแก้วคริสตัลจากชุดแต่ง BMW CraftedClarity ส่วนแพ็คเกจ BMW Live Cockpit Professional ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฟังก์ชันด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัยมากมายผ่านหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วที่ติดตั้งอยู่ไม่ไกลจากพวงมาลัย นอกจากระบบ Driving Assistant แบบมาตรฐาน (สามารถอัปเกรดเป็น Driving Assistant Plus ผ่าน ConnectedDrive Store) แล้ว ระบบ Parking Assistant Plus ยังทำงานร่วมกับชุดกล้องรอบคันเพื่อช่วยให้จอดรถได้อย่างปลอดภัยและง่ายดายแม้ในพื้นที่จำกัด (สามารถอัปเกรดเป็น Parking Assistant Professional ผ่าน ConnectedDrive Store) ขณะที่ระบบ BMW Head-Up Display ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิกับถนนด้วยการแสดงข้อมูลสำคัญในระดับสายตาธรรมชาติ
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน เสริมความสบายตัวให้ผู้โดยสารทุกคนตลอดเส้นทาง ส่วนกล้องภายในที่เพิ่มเข้ามา สามารถใช้ถ่ายภาพผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พร้อมแชร์ต่อไปยังสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และด้วยอุปกรณ์ Travel & Comfort ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ผู้โดยสารเบาะหลังสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ด้านหลังเบาะหน้า เพื่อความสะดวกในการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวหรือจัดเก็บสิ่งของ
บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ มีให้เลือกในสีดำ Black Sapphire Metallic, ขาว Mineral White Metallic, เทา Oxide Grey Metallic (ทั้งสามสีมาพร้อมเบาะหุ้ม Veganza สีน้ำตาล Espresso) และเขียว Cape York Green (เบาะหุ้ม Veganza สีดำ)
บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ พร้อมเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568หลังจากที่ได้ประกาศเปิดตัวไปในงานแถลงข่าวแผนธุรกิจประจำปีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก็ถึงเวลาแล้วที่บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ จะออกตัวมุ่งสู่ท้องถนนเมืองไทย ทั้งในรุ่นมาตรฐานและรุ่นอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค
บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ สรรสร้างมาในทุกรายละเอียดเพื่อการขับขี่ทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวันและทริปเดินทางไกล ทั้งยังพร้อมมอบสมรรถนะที่เป็นเลิศควบคู่กับทางเลือกในการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วน คุณสมบัติทั้งหมดนี้รวบรวมไว้ภายใต้งานออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งพันธุ์แท้ โดยรูปทรงของตัวถังด้านข้างผ่านการปรับแต่งให้เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นซุ้มล้อที่นูนเด่นหรือเส้นหลังคาที่ทอดยาวไปด้านท้าย ส่วนด้านหน้ารถ แสดงคาแรกเตอร์ความแรงเต็มที่ด้วยช่องรับลมขนาดใหญ่ กระจังหน้าไตคู่แบบ M พร้อมไฟส่องสว่าง BMW Iconic Glow ขณะที่ท้ายรถประดับด้วยแถบไฟท้ายที่โค้งรับกับทุกสัดส่วน ตั้งอยู่เหนือดิฟฟิวเซอร์คู่และชุดท่อไอเสีย 4 ท่อที่ยิ่งขับเน้นความสง่างามและน่าเกรงขามให้ชัดเจน
ระบบขับเคลื่อน M HYBRID ในบีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ ผสานเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.4 ลิตรเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมด้วยชุดเกียร์ 8 สปีด M Steptronic โดยตัวเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวให้กำลังสูงสุด 430 กิโลวัตต์ / 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,400 รอบต่อนาที ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ให้กำลังเพิ่มอีก 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร โดยรวมแล้ว ระบบ M HYBRID ในบีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 535 กิโลวัตต์ / 727 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่น่าทึ่งถึง 1,000 นิวตันเมตร
ด้วยสมรรถนะระดับนี้จากระบบส่งกำลัง บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ จึงต้องมีแชสซีที่ออกแบบมาด้วยนวัตกรรมจากบีเอ็มดับเบิลยู M เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง พร้อมด้วยช่วงล่าง Adaptive M และระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว Integral Active Steering เพื่อมอบความแม่นยำสูงสุดในทุกสภาพถนนและเส้นทาง M5 รุ่นใหญ่คันนี้เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกอัปเกรดประสบการณ์ไปอีกขั้นด้วยระบบเบรกเซรามิก M Carbon ceramic ที่ช่วยลดระยะเบรก เพิ่มความไวในการตอบสนองในกรณีขับขี่เต็มสมรรถนะโดยใช้ทั้งคันเร่งและเบรกคู่กัน
บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบา ขนาด 20 นิ้ว (หน้า) / 21 นิ้ว (หลัง) แบบ Double Spoke ที่มีให้เลือกในสีดำ เทาทูโทน Midnight Grey และดำทูโทน และพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด 1,630 ลิตรพร้อมระบบเปิดประตูท้ายอัตโนมัติ ห้องโดยสารที่ออกแบบมาเพื่อผู้ขับขี่เป็นพิเศษ ครบครันด้วยงานออกแบบสุดสปอร์ตสไตล์ M ทั้งพวงมาลัยหนัง M ที่ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะนั่ง M multifunction พร้อมเข็มขัดนิรภัย M ระบบไฟภายในแบบเฉพาะรุ่น M และระบบเสียงเซอร์ราวด์จาก Bowers & Wilkins โดยทั้งหมดนี้ เสริมความหรูหราโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง Dark Silver M ที่ผสมผสานสีเงินเข้มเข้ากับคาร์บอนไฟเบอร์ได้อย่างพอดี
ระบบควบคุม BMW iDrive เวอร์ชันล่าสุด พร้อมด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 ที่รองรับการควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ผ่านทั้งหน้าจอสัมผัสและการสั่งการด้วยเสียง ติดตั้งมาคู่กับแพ็คเกจ BMW Live Cockpit Professional ซึ่งรวมถึงระบบนำทาง BMW Maps และฟังก์ชัน Augmented View ส่วนระบบช่วยการขับขี่มากมายจาก Driving Assistant Professional ครอบคลุมทั้งระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและรักษาเลน, Active Cruise Control และ Lane Change Assist ขณะที่ระบบ Parking Assistant Professional ช่วยให้ควบคุมการจอดรถผ่านสมาร์ทโฟนจากภายนอกตัวรถได้
MINI John Cooper Works Electric ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568อีกหนึ่งรุ่นที่เตรียมลุยตลาดไทยอย่างเต็มตัวหลังจากที่เผยโฉมไปแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ MINI John Cooper Works Electric ตัวแรงพลังไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกจากตำนานโลกยานยนต์อย่าง จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์
MINI John Cooper Works Electric แบบ 3 ประตู มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าล้วนที่ให้กำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า และแรงบิด 350 นิวตันเมตรที่เรียกใช้งานได้ทันทีแบบไม่มีหน่วง นอกจากจะตอบสนองการส่งกำลังได้อย่างรวดเร็วในแบบรถ BEV แล้ว JCW ไฟฟ้ารุ่นนี้ยังเติมความแรงได้อีกขณะออกตัวด้วยฟังก์ชัน Electric Boost ที่เสริมพลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 20 กิโลวัตต์เป็นระยะสั้นๆ ขณะเร่งความเร็ว ส่วนช่วงล่างก็ผ่านการปรับจูนมาในสไตล์จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ เต็มตัว ให้ความรู้สึก “Go-Kart feeling” ที่เป็นเอกลักษณ์ของมินิในแบบพลังสูง คล่องตัวกับทุกโค้งในแบบที่แฟนๆ มินิชื่นชอบ
การตกแต่งและอุปกรณ์พิเศษเฉพาะรุ่นรอบคัน ทำให้ MINI John Cooper Works Electric เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างประวัติศาสตร์จากโลกมอเตอร์สปอร์ตและอนาคตของวงการยานยนต์ JCW รุ่นใหม่นี้ สวยเฉี่ยวด้วยโลโก้ JCW สีแดง-ขาว-ดำที่ได้แรงบันดาลใจจากธงตาหมากรุก และสปอยเลอร์ท้ายที่สวยเด่นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านอากาศพลศาสตร์ และด้านระยะทางการขับขี่ที่สูงถึง 371 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP
ภายในห้องโดยสาร ยังเต็มไปด้วยโทนสีแดงและดำอันเป็นเอกลักษณ์ของจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ทั้งพวงมาลัยสปอร์ต JCW สีดำที่ตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดงและหุ้มผ้าที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาเพื่อให้จับถนัดมือ เบาะสปอร์ต JCW ให้การรองรับที่มั่นคงระหว่างการขับขี่แบบสุดตัว ตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดงตัดกับหนังสีดำเช่นเดียวกับผิวของคอนโซล นอกจากนี้ โหมด Go-Kart ในระบบ MINI Experience Modes ยังช่วยเติมกลิ่นอายของมอเตอร์สปอร์ตตามสไตล์ JCW ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยโหมดนี้จะตั้งค่าพวงมาลัยให้ไวมากขึ้น คันเร่งตอบสนองเร็วขึ้น และแสดงข้อมูลเพิ่มเติมบนหน้าจอ OLED ทรงกลมด้านหน้า ทั้งแรงบิด กำลังเครื่องยนต์ และแรง G แบบเรียลไทม์
MINI John Cooper Works Electric รุ่นแรกนี้ มีให้เลือกเป็นเจ้าของในสีเทา Legend Grey, แดง Chili Red II, ขาว Nanuq White, ดำ Midnight Black II และน้ำเงิน Blazing Blue
MINI John Cooper Works Aceman ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568น้องใหม่ล่าสุดของครอบครัวมินิอย่าง Aceman ในโฉม 5 ประตูที่พร้อมรับมือทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ในเมือง พร้อมแล้วที่จะก้าวสู่โลกของสมรรถนะเต็มพิกัดด้วยขุมพลังไฟฟ้าตัวแรงในรุ่น MINI John Cooper Works Aceman
MINI John Cooper Works Aceman ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลัง 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า เช่นเดียวกับ MINI John Cooper Works Electric รุ่น 3 ประตู แต่มาพร้อมห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่าและตัวถังที่ยกสูงจากพื้นมากขึ้น
โดยยังคงความแรงไว้อย่างเต็มเปี่ยมด้วยความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 6.4 วินาที แบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 54.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ช่วยให้ MINI John Cooper Works Aceman วิ่งได้ไกลถึง 355 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP) โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ในเวลาเพียง 31 นาทีด้วยระบบชาร์จไฟกระแสตรง 95 กิโลวัตต์ หรือ 5 ชั่วโมง 30 นาทีด้วยระบบชาร์จไฟกระแสสลับ
11 กิโลวัตต์นอกจากดีไซน์เฉพาะตัวแบบจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ อย่างลายคาดสปอร์ตสีแดง-ดำ พร้อมหลังคาและฝาครอบกระจกมองข้างที่ใช้โทนสีเดียวกันแล้ว JCW Aceman ใหม่ ยังโดดเด่นด้วยล้ออัลลอย John Cooper Works ขนาด 19 นิ้ว แบบ Strive Spoke ทูโทน ส่วนห้องโดยสารที่กว้างขวาง ยิ่งดูโปร่งโล่งมากขึ้นด้วยหลังคากระจกพาโนรามา ภายในห้องโดยสารยังคงเอกลักษณ์ของรถตระกูล John Cooper Works ไว้ครบถ้วน ทั้งพวงมาลัย JCW แบบเฉพาะรุ่นและเบาะนั่งสปอร์ต จอแสดงผล OLED ทรงกลม ส่วนฟังก์ชัน MINI Experience Modes ก็รองรับโหมด Go-Kart ที่มีให้สัมผัสกันตามสไตล์รุ่น JCW เช่นกัน
รถยนต์มินิเจเนอเรชั่นใหม่ทุกรุ่น รองรับระบบ Digital Key Plus ช่วยให้ใช้สมาร์ทโฟนเป็นกุญแจรถแบบดิจิทัลได้อย่างสะดวก สามารถล็อกและปลดล็อกรถได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า นอกจากนี้ ทั้ง MINI John Cooper Works Aceman และ John Cooper Works Electric ยังมาพร้อมฟังก์ชัน Remote Parking ที่ช่วยควบคุม
การจอดและนำรถออกจากที่จอดผ่านสมาร์ทโฟนได้MINI John Cooper Works Aceman ใหม่ พร้อมให้เลือกเป็นเจ้าของในสีเทา Legend Grey, แดง Chili Red II, ขาว Nanuq White และดำ Midnight Black II
MINI John Cooper Works ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568MINI John Cooper Works Convertible ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568MINI John Cooper Works เครื่องยนต์เบนซิน กลับมาอีกครั้งในโฉมใหม่ ภายใต้แนวทางการออกแบบของ New MINI Family เจเนอเรชันปัจจุบัน พร้อมมอบประสบการณ์ความสนุกแบบเพียวๆ บนท้องถนนในสไตล์เฉพาะตัวของมินิ และเพิ่มความพิเศษด้วยรุ่นเปิดประทุนที่เติมสีสันให้ทุกการเดินทาง
ทั้ง MINI John Cooper Works และรุ่น Convertible ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ TwinPower Turbo 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ที่ปรับจูนมาเพื่อสมรรถนะสูงสุด ส่งผลให้รุ่น JCW เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6.1 วินาที ส่วนรุ่น JCW Convertible ทำเวลา 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใกล้เคียงกันที่ 6.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดของทั้งสองรุ่นอยู่ที่ 250 และ 245 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามลำดับ เมื่อต้องการโลดแล่นแบบรับลมด้วยการเปิดประทุน หลังคาผ้าของรุ่น JCW Convertible ก็สามารถเปิดออกได้ในเวลาเพียง 18 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งสองรุ่นโดดเด่นด้วยโลโก้ JCW แบบใหม่ที่ด้านหน้า พร้อมกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมสีดำเงาและช่องรับอากาศขนาดใหญ่เพื่อระบายความร้อนจากเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนท้ายรถก็เน้นความสปอร์ตด้วยดิฟฟิวเซอร์สีดำและชุดท่อไอเสียที่ติดตั้งตรงกลาง พร้อมล้ออัลลอย John Cooper Works ขนาด 18 นิ้ว แบบ Lap Spoke ทูโทน
เช่นเดียวกับรุ่นพลังงานไฟฟ้าในตระกูล John Cooper Works ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ทั้ง MINI John Cooper Works และ John Cooper Works Convertible ใหม่ มาพร้อมโหมด Go-Kart ที่ใช้งานได้ผ่าน MINI Experience Modes โดยโหมดนี้จะปรับพวงมาลัยและคันเร่งให้ตอบสนองไวขึ้น และแสดงข้อมูลสมรรถนะเพิ่มเติมบนหน้าจอ OLED ทรงกลม นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังรองรับการเข้าถึงตัวรถด้วยระบบ MINI Digital Key Plus เช่นกัน
MINI Cooper Convertible S ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568แฟนๆ มินิที่ชื่นชอบประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดประทุนในสไตล์คลาสสิก เตรียมพบกับ MINI Cooper Convertible S ใหม่ ที่ผสานความกะทัดรัดเข้ากับบรรยากาศของอิสรภาพจากดีไซน์เปิดประทุนที่คงความสดใหม่ของแนวทางการออกแบบในสไตล์ของ New MINI Family
ไฮไลท์สำคัญของ MINI Cooper Convertible S คือหลังคาผ้าที่สามารถเปิดได้สองรูปแบบ ทั้งแบบซันรูฟและแบบเปิดประทุนเต็มรูปแบบ โดยหลังคาสามารถเปิดอัตโนมัติได้ภายใน 18 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนโหมดซันรูฟสามารถเปิดหลังคาได้ที่ความเร็วใดก็ได้ เมื่อเปิดหลังคาเต็มที่ ตัวหลังคาจะถูกพับเก็บไว้ด้านหลังเบาะหลัง และหน้าจอ OLED ทรงกลมก็จะเริ่มจับเวลาการขับรถแบบเปิดประทุนทันทีในโหมด Always Open Timer
เมื่อเปิดหลังคา MINI Cooper Convertible S จะมีพื้นที่เก็บสัมภาระรวม 160 ลิตร ด้วยระบบพับเก็บหลังคาที่ประหยัดพื้นที่ท้ายรถ และหากปิดหลังคาก็จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 215 ลิตร ส่วนประตูท้ายออกแบบมาให้เปิดลงด้านล่างเพื่อความสะดวกในยกของขึ้นลง สะท้อนความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นของรถเปิดประทุนคันนี้ ด้านความปลอดภัย ระบบป้องกันการพลิกคว่ำจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเซ็นเซอร์ต่างๆ ตรวจพบความเสี่ยงที่รถอาจพลิกคว่ำได้
MINI Cooper Convertible S ใหม่ แตกต่างจากเพื่อนๆ ร่วมตระกูล New MINI Family ด้วยกรอบหน้าต่างที่ลดระดับลงได้แบบอัตโนมัติเมื่อพับหลังคาลง แต่ยังรักษาเอกลักษณ์อื่นๆ ของมินิในเจเนอเรชันนี้ไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ส่วนหน้ารถที่สั้นกะทัดรัด ไฟหน้าทรงกลมอันเป็นเอกลักษณ์ กระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยม ไปจนถึงไฟท้าย LED แนวตั้งและแถบมือจับประตูหลังที่วางในแนวนอน
MINI Cooper Convertible S ใหม่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจกว่าใคร ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.9 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 237 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และด้วยระบบกันสะเทือนที่ปรับจูนมาเพื่อความแม่นยำและคล่องตัวสูง มินิเปิดประทุนรุ่นนี้จึงโลดแล่นในทุกโค้งได้อย่างสนุกไม่แพ้รุ่นมีหลังคา
นอกจากหน้าจอ OLED ทรงกลมแล้ว ภายในห้องโดยสารของ MINI Cooper Convertible S ยังสะท้อนภาษาการออกแบบ “Charismatic Simplicity” ของ New MINI Family ด้วยวัสดุหุ้มเบาะแบบทูโทนแต่งลายถัก ให้สัมผัสนุ่มสบายและดูแลรักษาง่ายไปพร้อมกัน ระบบ MINI Experience Modes ได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับรุ่น Convertible S ด้วยชุดโปรเจคเตอร์สองตัวที่ติดตั้งด้านหลังหน้าจอ เพื่อฉายภาพกราฟิกและแสงไฟลงบนแผงคอนโซลขณะขับขี่แบบปิดหลังคา
แพ็คเกจ Driving Assistant Plus เสริมความสะดวกให้ MINI Cooper Convertible S ด้วยระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและรักษาช่องทางเดินรถ ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ขับขี่ในการนำทาง ส่วนเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว และกล้อง Surround View 4 ตัว ช่วยให้ระบบ Parking Assistant Plus สามารถตรวจหาช่องจอดที่ยังว่างและพารถเข้าช่องจอดแบบอัตโนมัติแม้จะมีพื้นที่จำกัด
MINI Cooper Convertible S ใหม่ พร้อมมอบอิสรภาพและบรรยากาศของการผจญภัยบนท้องถนนทั่วไทยเร็วๆ นี้ โดยมีให้เลือกในสีเทา Copper Grey, ขาว Nanuq White และเหลือง Sunny Side Yellow
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure Option 719 บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure Triple Black บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure
ราคาประมาณการณ์ ระหว่าง 1,250,000 – 1,350,000 บาทมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานที่สรรสร้างขึ้นเพื่อที่สุดแห่งการผจญภัย กลับมาอีกครั้งในบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ ที่ได้รับการออกแบบใหม่เกือบทั้งหมดเพื่อยกระดับประสบการณ์ในการเดินทางระยะไกลบนพาหนะสองล้อให้เหนือระดับกว่าที่เคย
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์สองสูบที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ยังคงเป็นขุมพลังที่ขับเคลื่อน R 1300 GS Adventure ใหม่ ให้ออกโลดแล่น โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้เปิดตัวออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกกับบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS และมีขนาดกะทัดรัดกว่าในรุ่นก่อนหน้าด้วยชุดเกียร์ที่ย้ายมาติดตั้งใต้ตัวเครื่องยนต์ ทั้งยังจัดวางระบบขับเคลื่อนเพลาลูกเบี้ยวแบบใหม่ ขุมพลังนี้ให้สมรรถนะสูงสุด 107 กิโลวัตต์ / 145 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที จึงนับเป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดที่จากสายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู ส่วนระบบ Automated Shift Assistant (ASA) ที่ติดตั้งมาให้ ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้ง่ายและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นด้วยคลัตช์และคันเกียร์ที่ทำงานแบบอัตโนมัติ แต่ยังรักษาอารมณ์และสัมผัสของการขับขี่ไว้อย่างครบถ้วน
ส่วนระบบกันสะเทือนที่ออกแบบใหม่ในรุ่นนี้ มีหัวใจหลักเป็นเฟรมตัวถังที่ทำจากเหล็กกล้า โดยนอกจากจะมีขนาดเล็กลงแล้ว ยังมีความแข็งแกร่งกว่าโครงในรุ่นเดิมอีกด้วย ส่วนช่วงท้ายรถ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ เลือกใช้เฟรมท้ายแบบโครงตาข่ายอลูมิเนียมแทนที่โครงสร้างท่อเหล็กกล้าในรุ่นเดิม ระบบนำทางล้อหน้า EVO Telelever ทำงานผสานกับชิ้นส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมระบบนำทางล้อหลัง EVO Paralever ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ จึงช่วยเพิ่มความแม่นยำในการบังคับเลี้ยวและความมั่นคงในการขับขี่ นอกจากนี้ ระบบ Dynamic Suspension Adjustment (DSA) ใหม่ สามารถปรับความแข็งของสปริงช่วงล่างในส่วนหน้าและท้ายรถได้ตามโหมดการขับขี่ สภาพถนน ทิศทางและความเคลื่อนไหวของตัวรถ หรือแม้แต่น้ำหนักของผู้โดยสารและสัมภาระ สำหรับความสูงของตัวรถก็สามารถปรับแต่งได้แบบอัตโนมัติให้เหมาะกับสภาพการขับขี่และความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ โดยขณะจอดรถหรือขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ตัวรถจะลดระดับความสูงลง 30 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมด เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนที่มี 3 โหมด โหมด “Rain” และ “Road” ช่วยปรับลักษณะการขับขี่ให้เข้ากับสภาพถนนในสถานการณ์ส่วนใหญ่ที่ต้องพบเจอ โหมด “Eco” ช่วยให้วิ่งได้ไกลที่สุดต่อการเติมน้ำมันหนึ่งถัง ส่วนโหมด “Enduro” ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ออฟโรดด้วยการตั้งค่าที่ปรับแต่งมาเฉพาะทาง ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ ยังติดตั้งระบบ Dynamic Cruise Control (DCC) พร้อมฟังก์ชันเบรกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนตัวช่วยขับขี่ Riding Assistant มาพร้อมฟังก์ชันเสริมมากมาย รวมถึง Active Cruise Control (ACC), Front Collision Warning (FCW) และ Lane Change Warning
รูปลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure โดดเด่นด้วยถังน้ำมันอลูมิเนียมขนาด 30 ลิตรที่เปิดให้ทุกสายตาได้สัมผัส ความกว้างของตัวถังนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถออกตัวได้อย่างมั่นใจ ทั้งยังช่วยกันลมจากด้านหน้าได้ดี กระจกหน้าขนาดใหญ่พร้อมแผ่นบังลมใสขนาดใหญ่อีกสองชิ้นยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฝ่าฟันสภาพอากาศต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายและลดเสียงรบกวนไปพร้อมกัน ส่วนด้านซ้ายและขวาของตัวถังส่วนบน มีถาดยางติดตั้งไว้สำหรับวางอุปกรณ์ต่างๆ ขณะแวะจอดพักริมทาง
ด้านหน้า บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ มาพร้อมไฟหน้า LED แบบเมทริกซ์พร้อมไฟส่องสว่างกลางวันในตัว และไฟเสริมในรูปทรงบางเฉียบอีกสองดวง ส่วนชุดไฟเลี้ยว LED ดีไซน์ใหม่ติดตั้งมาบริเวณแฮนด์การ์ดที่ด้านหน้า และผสมผสานเข้ากับดีไซน์ส่วนท้ายรถอย่างกลมกลืน
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ใน 4 รุ่นย่อย ได้แก่ Triple Black (เกียร์ธรรมดา), GS Trophy (เกียร์ธรรมดา), Option 719 Karakorum (เกียร์ธรรมดา) และ Option 719 ASA (เกียร์อัตโนมัติ)
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR
ประกาศราคาเร็วๆ นี้ซูเปอร์ไบค์พันธุ์แท้ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR พร้อมหวนคืนสู่ท้องถนนอีกครั้งในโฉมใหม่ ให้แฟนๆ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดได้ตื่นตาตื่นใจกัน ตามทันควันหลงบรรยากาศการเริ่มฤดูกาลใหม่บนสนามแข่ง
S 1000 RR ใหม่ ถูกปรับแต่งในหลายจุดสำคัญเพื่อยกระดับสมรรถนะในสนามแข่งให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น โดยขุมพลังในรุ่นนี้ยังคงเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงแบบ 4 จังหวะ ขนาด 999cc ตัวเดิม ให้กำลังสูงสุด 154 กิโลวัตต์ / 210 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร และสำหรับการกลับมาในครั้งนี้ ก็มากับการรับรองมาตรฐานมลภาวะ Euro 5+ อย่างเป็นทางการ ส่วนคันเร่งใหม่แบบช่วงชักสั้นก็ให้การตอบสนองฉับไวยิ่งขึ้นในขณะบิดทำความเร็ว ส่วนปีก winglet ที่ติดตั้งมาเพิ่มก็ช่วยกดตัวรถให้เกาะถนนมั่นคงกว่าเดิม ฝาครอบล้อหน้าโฉมใหม่ มีช่องระบายอากาศในตัวสำหรับช่วยทำความเย็นระบบเบรก และแผงด้านข้างตัวถังก็มีการปรับโฉมให้สวยเฉี่ยวกว่าในรุ่นเดิม
โหมดการขับขี่แบบ Pro ถูกติดตั้งมาเป็นฟังก์ชันมาตรฐานในบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ จึงทำให้ผู้ขับขี่สามารถเรียกใช้งานโหมดใหม่อย่าง Race Pro ที่ปรับคันเร่งให้ตอบสนองเร็วขึ้น ปรับจูนทั้งแรงบิดจากเครื่องยนต์ การชะลอความเร็วโดยไม่ใช้เบรก ระบบช่วยออกตัวทางชัน (Hill Start Control Pro) และระบบเบรก ABS ที่เลือกตั้งค่าต่างหากได้ถึง 5 ระดับการทำงาน นอกจากนี้ ระบบช่วยควบคุมเบรก Dynamic Brake Control (DBC) ก็ยังเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ เปิดตัวในประเทศไทยด้วยสีเทา Bluestone metallic และขาว Light white M Motorsport
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยกขบวนยานยนต์สุดตื่นตา จุดกระแสความคึกคักก่อนมุ่งสู่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เตรียมนำทัพยานยนต์รุ่นใหม่สุดตระการตา มุ่งสู่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “สนทนาภาษายานยนต์” โดยทั้งสามแบรนด์ภายใต้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เตรียมนำเสนอรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่ล่าสุดที่ตอบสนองทุกความต้องการของนักขับชาวไทย นับตั้งแต่ความหรูหราขณะโลดแล่นบนท้องถนนในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงที่สุดของสมรรถนะและการผจญภัยออฟโรดอย่างไร้ขีดจำกัด
มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยกล่าวว่า “ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เราได้เผยถึงกระแสตอบรับอันอบอุ่นของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและกลุ่มยานยนต์สมรรถนะสูงของเรา ในมอเตอร์โชว์ปีนี้ เราจึงเตรียมต่อยอดความสำเร็จและกระแสความสนใจของลูกค้าด้วยความตื่นตาจากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลายรุ่น อย่างในตระกูล M ของบีเอ็มดับเบิลยู เรามีทั้งบีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring และ M5 Touring ใหม่ ที่ผสมผสานประสิทธิภาพและความคล่องตัวในระดับสูงสุด เข้ากับรูปลักษณ์สง่างามและประโยชน์ใช้สอยของรถประเภท Touring”
“ทางฝั่งมินิก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน ด้วยรถยนต์สมรรถนะสูงจากตระกูล จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ถึง 4 รุ่น ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึง JCW พลังงานไฟฟ้าสองรุ่นแรก ทั้งในรุ่นแบบ 3 ประตู และรุ่น Aceman แบบ 5 ประตู ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ขนตัวท็อปมาเผยโฉมกันในสองสไตล์ ทั้งสายผจญภัยออฟโรดกับบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure และซูเปอร์ไบค์อย่างบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR”
ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังทำการปรับโฉม เสริมสมรรถนะให้กับรุ่นยอดนิยมของแต่ละแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ที่รองรับการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วนได้ไกลยิ่งขึ้น บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ที่เปิดทางให้ลูกค้าเป็นเจ้าของซีรีส์ 5 ได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงความพรีเมียมในทุกมิติ หรือความเพลิดเพลินจากประสบการณ์
การขับขี่แบบเปิดประทุนกับ MINI Cooper Convertible S นอกจากยานยนต์รุ่นใหม่ที่ยกทัพมาเปิดตัวเป็นครั้งแรก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังมีข้อเสนอพิเศษมากมายจากทั้งสามแบรนด์ ให้ลูกค้าได้สัมผัสที่สุดแห่ง
การขับขี่ระดับพรีเมียมได้อย่างสบายใจมร. แกร์ฮาร์ด กล่าวเสริมว่า “ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรานำมาเปิดตัวในมอเตอร์โชว์ปีนี้ เป็นการเน้นย้ำถึงความสามารถของเราในการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในตลาดรถยนต์พรีเมียม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จของเรา ทั้งในตลาดไทยและบนเวทีโลก เรามีความยินดีที่จะได้เห็นลูกค้าได้สนุกและตื่นเต้นไปกับยานยนต์ของเรา และผมขอให้ทุกท่านจับตารอความเคลื่อนไหวของเราในปีนี้ กับสีสันและความแปลกใหม่ที่ยังรออยู่ข้างหน้าในปี 2568 นี้”
ทั้งนี้ ราคาจำหน่ายของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ประกาศเปิดตัวในวันนี้ จะเผยแพร่อย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2568
ข้อเสนอพิเศษจากบีเอ็มดับเบิลยูในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นที่ร่วมรายการ โดยเลือกใช้ข้อเสนอทางการเงินจากบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส และมีกำหนดรับรถภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 สามารถเลือกรับข้อเสนอสุดพิเศษ* ได้ในงาน ไม่ว่าจะเป็นการรับประกันคุณภาพนานสูงสุด 8 ปี ประกันภัยชั้นหนึ่ง BMW Protect ฟรีสูงสุด 3 ปี อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% และอื่นๆ อีกมากมาย
รุ่น ข้อเสนอพิเศษ บีเอ็มดับเบิลยู X3 20d, X3 M50 ใหม่ · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 32,299 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู 330e ใหม่ · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 23,799 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู M340i ใหม่ · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 33,999 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู 320d · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 23,799 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู iX3 · ฟรี BMW Wall Box · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice
· อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 27,499 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 32,299 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู M และ M Performance (รุ่นที่เข้าร่วม บีเอ็มดับเบิลยู M240i, บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50, บีเอ็มดับเบิลยู M440i (รุ่นก่อนปรับโฉม), บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i, บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60, บีเอ็มดับเบิลยู M3 CS, บีเอ็มดับเบิลยู M3 Touring, บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe (รุ่นก่อนปรับโฉม) และ บีเอ็มดับเบิลยู X4M )
· ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 37,299 บาท/เดือน
· ฟรี แพ็คเกจ BMW Driving Experience ที่เกาหลีใต้ สำหรับรุ่น M240i, i4 M50, i5 M60, M440i (รุ่นก่อนปรับโฉม), Z4 M40i, M3 CS, M3 Touring (รุ่นก่อนปรับโฉม) และ M4 Coupe (รุ่นก่อนปรับโฉม)
บีเอ็มดับเบิลยู 320Li / 330Li · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 19,999 บาท/เดือน
· หรือ ฟรีอัปเกรด BSI Ultimate นานสูงสุด 5 ปีสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 320 Li
บีเอ็มดับเบิลยู X1 · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 15,799 บาท/เดือน (สำหรับรุ่น X1 sDrive20i xLine เท่านั้น)
บีเอ็มดับเบิลยู X3 30e · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 33,099 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู X5 30e · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 46,399 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู รุ่นพลังงานไฟฟ้า (บีเอ็มดับเบิลยู i4, i5, i7, iX2, iX)
· ฟรี BMW Wall Box · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice
· ผ่อนเริ่มต้น 31,099 บาท/เดือน
· ฟรี เครดิตการชาร์จมูลค่า 20,000 บาทที่สถานีชาร์จ Elex by EGAT
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bmw.co.th/th/topics/offers-and-services/promotional-offers/bmw-march-2025-motorshowoffer.html
ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เฟซบุ๊กแฟนเพจ BMW Thailand หรือติดต่อ BMW Contact Centre ที่เบอร์ 1397
ข้อเสนอพิเศษจากมินิในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
พบกับข้อเสนอพิเศษ** ที่พร้อมเปิดทางให้คุณได้โลดแล่นไปกับมินิหลากสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้าขับสนุกหรือรถอเนกประสงค์สำหรับการผจญภัยครั้งใหม่ ด้วยความอุ่นใจจากอัตราผ่อนชำระพิเศษ ประกันภัยชั้นหนึ่ง และอื่นๆ
รุ่น ข้อเสนอพิเศษ MINI Cooper SE และ MINI Aceman SE · ฟรี MINI Wall Box หรือ · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 MINI Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice
· ผ่อนเริ่มต้น 11,555 บาท/เดือน (สำหรับ MINI Cooper SE) และ 15,555 บาท/เดือน (สำหรับ MINI Aceman SE)
MINI Countryman S ALL4 · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 MINI Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ฟรี กล้องหน้ารถ Advanced Car Eye 3.0 สำหรับรุ่น MINI Countryman S ALL4 Classic
· ผ่อนเริ่มต้น 22,099 บาท/เดือน
**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.mini.co.th/en_TH/home/serv/special-offers/the_new_mini_family.html
ข้อเสนอพิเศษจากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
ออกตัวสู่ทุกเส้นทางกับสองล้อคู่ใจคันใหม่จากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ด้วยข้อเสนอพิเศษ*** ที่มีทั้งประกันภัยชั้นหนึ่ง ขยายเวลาบริการหลังการขาย และอัตราดอกเบี้ยพิเศษสุด
รุ่น ข้อเสนอพิเศษ บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Motorrad Protect สูงสุด 1 ปี · ขยายระยะเวลา แพ็คเกจบริการหลังการขาย BMW Motorrad Service Inclusive เป็น 3 ปีเต็ม
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure · เลือกจาก o ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Motorrad Protect สูงสุด 1 ปี
o อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.65% สำหรับลูกค้าเดิมของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เท่านั้น ***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
-
มาสด้าเปิดตัวรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอน NEW MAZADA MX-5 รุ่นลิมิเต็ด ฉลองครบรอบ 35 ปี
มาสด้าแนะนำรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอนเจ้าของตำนานความสนุกสนานในการขับขี่ New Mazda MX-5 35th Anniversary Edition ที่ผลิตขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 35 ปี ของ MX-5 ได้รับการตกแต่งอย่างประณีต มอบความสปอร์ตสไตล์คลาสสิก แฝงด้วยความสปอร์ตทุกรายละเอียด มาพร้อมความพิเศษกับสีภายนอก Artisan Red Premium เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้า ภายในตกแต่งด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan สะท้อนความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม Serial number บ่งบอกความพิเศษที่ผลิตขึ้นจำนวนจำกัด วางราคาจำหน่าย 3,069,000 บาท และแคมเปญพิเศษช่วงเปิดตัว ฟรีประกันชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance และฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี หรือ Mazda Ultimate Service พร้อมเปิดโอกาสให้แฟนพันธุ์แท้ชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้า MX-5 คือรถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนหลังคาไฟฟ้าที่มีน้ำหนักเบา เจ้าของตำนานความสนุกสนานในการขับขี่ แบรนด์ไอคอนของมาสด้าที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก โดยมาสด้า MX-5 เจนเนอเรชั่นแรก เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2532 ในงาน Chicago Auto Show ด้วยการเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์น้ำหนักเบา ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 เจนเนอเรชั่นที่สองก็ได้ถูกเปิดตัว สร้างชื่อเสียงกระหึ่มไปทั่วโลกจนได้รับการบันทึกลงในหนังสือ Guinness World Records ให้เป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบบสองที่นั่งที่ขายดีที่สุดในโลก ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 MX-5 เจนเนอเรชั่นที่สามก็ได้เปิดตัวขึ้น และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โรดสเตอร์ที่มาพร้อมหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลกเพียง 13 วินาที จนกระทั่งในปี 2558 จนถึงปัจจุบัน MX-5 เจนเนอเรชั่นที่สี่ ได้มีการพลิกโฉมอีกครั้ง โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่เฉียบคมและพริ้วไหว ตามแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ทำให้ได้ภาพลักษณ์ที่มีความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวอย่างชัดเจน และยังคงสร้างกระแสความนิยมในกลุ่มแฟน ๆ อย่างไม่เสื่อมคลาย ทำให้การผลิตในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1.2 ล้าน คันทั่วโลก
“การแนะนำ New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษครบรอบ 35 ปี ครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมเฉลิมฉลองไปพร้อม ๆ กับแฟนมาสด้าทั่วโลก นับตั้งแต่รถรุ่นนี้ได้เปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก และยังคงเป็นรถในเจนเนอเรชั่นที่สี่ ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ยอดนิยมของมาสด้าไว้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบที่พรีเมี่ยมสง่างาม ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา มีไดนามิกในการขับขี่ที่ดี พร้อมการควบคุมที่แม่นยำ มาพร้อมกับเครื่องยนต์วางหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง กระจายน้ำหนักหน้า-หลังแบบ 50:50 มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พัฒนาโดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ตามปรัชญา จินบะ-อิไต โดยผลิตจำนวนจำกัดเพื่อให้แฟน ๆ ทั่วโลก และนักสะสมชาวไทยได้ครอบครอง เชื่อว่ารถรุ่นนี้จะเป็นรถอีกโมเดลที่จะมาสร้างความสนุกสนานในการขับขี่ ทำให้แฟน ๆ สปอร์ตโรดสเตอร์ได้ภูมิใจที่ได้ครอบครองอย่างแน่นอน“ นายธีร์ กล่าว
Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี ได้รับการตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์เพื่อถ่ายทอดความพิเศษในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น สีภายนอกพิเศษ Artisan Red Premium ที่ได้รับผสมผสานตามแนวทาง ทาคุมิ-นูริ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการพ่นสีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า โดยเน้นแสงเงาและความมีมิติ ช่วยเพิ่มความสวยงามของตัวถังภายนอกให้โดดเด่นยิ่งขึ้น พร้อมความพิเศษด้วยสัญญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม Serial Number ที่บริเวณด้านข้างตัวถัง บ่งบอกถึงความพิเศษที่มีจำนวนจำกัด รวมถึงหลังคาหลังคาแข็งที่สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สี Bright ที่ถ่ายทอดภาพลักษณ์สปอร์ตพรีเมี่ยมและความพิเศษได้อย่างมีเอกลักษณ์
ภายในห้องโดยสารของ New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี มาพร้อมความสปอร์ตพรีเมี่ยมที่พิเศษแตกต่างจากรุ่นปกติ ด้วยเบาะหุ้มหนังสีพิเศษ Sports Tan พร้อมสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition ที่บริเวณพนักพิงศีรษะ เบาะนั่ง และพรมปูพื้นห้องโดยสาร มาพร้อมพวงมาลัย หัวเกียร์ และเบรกมือหุ้มหนังสีดำ พร้อมด้ายสีพิเศษ Sports Tan กรอบช่องแอร์ตกแต่งด้วยสีพิเศษ Artisan Red Premium แผงคอนโซลและแผงประตูหุ้มด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ ด้วย Apple CarPlay® และ Mazda Connect ที่สามารถแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมมอบสุนทรียภาพในการขับขี่ด้วยระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพงถึง 9 ตำแหน่ง
New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี ยังคงเอกลักษณ์ของมาสด้าด้านความสนุกสนานในการขับขี่ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ตามหลักปรัชญา จินบะ-อิไต (Jinba-Ittai) ที่ถ่ายทอดความรู้สึกความเป็นหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนกับรถ มาพร้อมเครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.0 เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้สมรรถนะความแรงสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมี่ยมอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง ระบบสัญญาณเตือนกันขโมย และระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด นอกจากนั้น รถรุ่นนี้ยังมาพร้อม ระบบความปลอดภัยสุดล้ำ i-Activsense มากมายหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
- ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ แบบ Advance (Advanced Smart Brake Support)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R (Smart Brake Support-Reverse)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
- ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC (Smart Brake Support- Rear Crossing)
New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี มาพร้อมสีภายนอก Artisan Red Premium โดยวางราคาจำหน่ายที่ 3,069,000 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับแฟน ๆ MX-5 ที่สนใจร่วมเป็นหนึ่งกับความภาคภูมิใจไปพร้อมกับแฟนมาสด้าทั่วโลกที่จะได้ครอบครองรถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นพิเศษนี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ผู้จำหน่ายมาสด้าทั่วประเทศ หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.mazda.co.th
รายการตกแต่งพิเศษใน New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี
ลำดับ รายการตกแต่งพิเศษ 1 พวงมาลัย หัวเกียร์ และเบรค มือหุ้มหนัง พร้อมด้ายสีพิเศษ Sports Tan 2 เบาะหนังหุ้มด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan พร้อมสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary 3 กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ (สีแดง อาร์ทิซาน เรด) 4 กรอบช่องแอร์ตกแต่งด้วยสีพิเศษ (สีแดง อาร์ทิซาน เรด) 5 แผงคอนโซล และแผงประตูหุ้มด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan 6 ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว สี Bright ใหม่ 7 สัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม Serial Number 8 พรมปูพื้นห้องโดยสาร พร้อมสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition 9 สีภายนอก สีพิเศษ Artisan Red Premium 10 หลังคา Hardtop
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ปอร์เช่ ประเทศไทย คว้าสองรางวัลอันทรงเกียรติจากงาน Car of the Year 2025
ปอร์เช่ ประเทศไทย ได้รับเกียรติคว้าสองรางวัลอันทรงเกียรติจากงาน Car & Bike of the Year 2025 Award Ceremony ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสมรรถนะยนตรกรรม การออกแบบ และนวัตกรรมในอุตสาหกรรมยานยนต์
รางวัลนี้จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งเป็นการยกย่องยนตรกรรมและจักรยานยนต์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย โดยพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ เช่น สมรรถนะ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย นวัตกรรม ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการออกแบบ ยิ่งไปกว่านั้น รถแต่ละคันต้องผ่านการทดสอบการขับขี่อย่างเข้มข้นในสนามปิด เพื่อประเมินคุณสมบัติที่จำเป็น เช่น การควบคุมพวงมาลัย สมรรถนะของระบบกันสะเทือน กำลังเครื่องยนต์ และอัตราเร่ง
รถที่เข้าร่วมประกวดจะถูกทดสอบและประเมินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งประกอบด้วยนักข่าวสายยานยนต์จากสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์ไทย คณะกรรมการจากสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ สถาบันวิจัยชั้นนำจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญอิสระ
ภายในงาน Car & Bike of the Year 2025 แบรนด์รถสปอร์ตระดับตำนานจากเยอรมนีอย่างปอร์เช่ ได้รับการยกย่องในกลุ่มรถยนต์ซีดานระดับหรู โดย พาราเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) รุ่นใหม่ล่าสุด คว้ารางวัลชนะเลิศในหมวด Best Plug-in Hybrid Sport Sedan ด้วยระบบไฮบริดอันล้ำสมัยที่ผสานการทำงานอย่างชาญฉลาดกับเกียร์อัตโนมัติ PDK และเครื่องยนต์เบนซิน V6 บิทวินเทอร์โบ ขนาด 2.9 ลิตร ซึ่งได้รับการพัฒนาใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ
ในหมวด Sport Sedan EV ซึ่งมีการแข่งขันที่ดุเดือด ไทคานน์ (Taycan) รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการปรับโฉมครั้งใหญ่สามารถเอาชนะคู่แข่งและคว้ารางวัลไปครอง ด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่า ทั้งพลังขับเคลื่อนที่มากขึ้น ระยะทางวิ่งที่ไกลขึ้น อัตราเร่งที่เร็วขึ้น และระบบชาร์จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมเสถียรภาพที่ดียิ่งกว่าเดิม อีกทั้งไทคานน์ (Taycan) ทุกรุ่นยังมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครันและระบบ Porsche Driver Experience รุ่นล่าสุด
รางวัลทั้งสองนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของปอร์เช่ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผสานดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เข้ากับสมรรถนะเหนือระดับ และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจในกลุ่มรถยนต์สมรรถนะสูงระดับลักซ์ชัวรี นอกจากนี้ โครงการระดับภูมิภาคอย่าง Porsche x Shell High Performance Charging Network ยังช่วยให้ลูกค้าชาวไทยสามารถเดินทางไกลด้วยรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร้กังวล ตั้งแต่ประเทศไทยไปจนถึงสิงคโปร์
คุณไมเคิล เวตเตอร์ กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย กล่าวถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในงาน Car & Bike of the Year Award Ceremony ในปีนี้ ปอร์เช่มุ่งมั่นพัฒนาและผลักดันขีดจำกัดของยนตรกรรมอยู่เสมอ โดยผสมผสานนวัตกรรมเข้ากับมรดกอันทรงคุณค่า เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ รางวัลนี้เป็นสิ่งยืนยันถึงความทุ่มเทของเราในการนำเสนอรถยนต์สมรรถนะสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และตอบโจทย์ลูกค้าในประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
คุณชุลีภรณ์ เอื้อดิลกกุลธร ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ปอร์เช่ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จของปอร์เช่ในงาน Car of the Year 2025 ตอกย้ำความสามารถของเราในการกำหนดนิยามใหม่ให้กับความหรูหราและสมรรถนะในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดและไฟฟ้า ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์มุ่งไปสู่การขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปอร์เช่ยังคงเป็นผู้นำในการมอบนวัตกรรมล้ำสมัยและประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจให้กับลูกค้า
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
เปิดแล้ว! OR Space นวมินทร์ ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ครบวงจร เพื่อชุมชนนวมินทร์
คุณพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)(OR) เป็นประธานในพิธีเปิด OR Space นวมินทร์ ซึ่งนับเป็น OR Space สาขาที่ 4 ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมเดินหน้าขยายพื้นที่เชิงพาณิชย์นอกสถานีบริการน้ำมัน พร้อมเป็น Retailed Mixed-use Platform ที่ตอบโจทย์ชุมชนในการเข้าถึงสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน มุ่งสร้างพื้นที่ให้เป็นจุดหมายใหม่สำหรับทุกคนในย่าน นวมินทร์ รามอินทรา สุขาภิบาล และพื้นที่ใกล้เคียง ภายใต้แนวคิด “All Lifestyle Pulse, Community Heartbeat” สอดคล้องกับสโลแกน “พื้นที่ความสุขครบทุกไลฟ์สไตล์ ใกล้บ้านคุณ” พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม (Sustainability)
OR Space นวมินทร์ ตั้งอยู่บนถนนนวมินทร์ บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ โดยเป็นศูนย์กลางที่รวมร้านค้าและบริการที่ครบครันเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคในชุมชน ทั้งด้านความสะดวกสบายและไลฟ์สไตล์ โดดเด่นด้วย Café Amazon Co-Working Space บนชั้น 2 ที่มาพร้อมโต๊ะทำงาน ห้องประชุม รองรับลูกค้ากว่า 60 คน เหมาะสำหรับการทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Working) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน รวมถึงบริการ EV Station PluZ สถานีชาร์จพลังงานทางเลือกสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมี Resoul Pilates ศูนย์ออกกำลังกายในกลุ่ม Health & Wellness ที่ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ พร้อมด้วยร้านค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN ให้การจับจ่ายเป็นเรื่องง่าย ร้านอาหารสัตว์ Golden Pet Shop สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง ร้านแว่นตาท็อปเจริญ ร้านตัดผม Salon Near-Me ร้านสะดวกซัก OTTERI เพื่อความสะดวกสบายของชุมชน และร้าน Krispy Kreme ที่จะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้ พร้อมพื้นที่สีเขียวและโซนส่วนกลางที่เปิดให้ชุมชนสามารถมาทำกิจกรรมร่วมกัน
OR Space นวมินทร์ พร้อมเปิดให้บริการแล้ววันนี้! พิเศษ ฉลองเปิดสาขาใหม่! เพียงรวมใบเสร็จจากร้านค้าหรือบริการภายในโครงการครบ 149 บาท/วัน รับฟรี ถุงผ้า Shopping Bag OR Space ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2568 – 23 มีนาคม 2568 (จำกัด วันละ 120 ชิ้น) ติดตามข่าวสารและโปรโมชันของ OR Space ได้ที่ Facebook: OR Official
#ORSpace #ORSpaceนวมินทร์ #พื้นที่ความสุขครบทุกไลฟ์สไตล์ใกล้บ้านคุณ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
โตโยต้า และเลกซัส ตอกย้ำความเป็นแบรนด์รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี กวาดมากที่สุด 11 รางวัล “CAR OF THE YEAR 2025”
นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นำทีมผู้บริหารขึ้นรับ 11 รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR OF THE YEAR 2025” จาก นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยรางวัลที่ได้รับมีดังต่อไปนี้
- BEST SELLING BRAND – TOYOTA
- BEST EXPORT BRAND – TOYOTA
- BEST SEDAN (UNDER 1,300 CC)
- TOYOTA YARIS ATIV NIGHTSHADE
- BEST HYBRID SEDAN (UNDER 1,800 CC)
- TOYOTA COROLLA ALTIS HEV GR SPORT
- BEST MID-SIZE HYBRID SEDAN (UNDER 2,500 CC)
- TOYOTA CAMRY PREMIUM LUXURY
- BEST HYBRID SUV (UNDER 1,500 CC)
- TOYOTA YARIS CROSS
- BEST 2WD PICKUP (UNDER 2,800 CC)
- TOYOTA HILUX REVO B-CAB 4X2 2.8 ENTRY MT
- BEST 4WD PICKUP (UNDER 2,800 CC)
- TOYOTA HILUX REVO D-CAB 4X4 2.8 GR-S AT WT
- BEST PPV DIESEL 4WD (UNDER 2,800 CC)
- TOYOTA FORTUNER 2.8 GR-S AT
- BEST FUEL ECONOMY PICKUP (UNDER 3,500 CC)
- TOYOTA HILUX REVO
- BEST HYBRID LUXURY MPV
- LEXUS LM 500H 4 SEATER
รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR OF THE YEAR 2025” จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ดีด้านธุรกิจยานยนต์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย โดยจะทำการคัดเลือกรถยนต์ที่มีความโดดเด่นในแต่ละด้าน ทั้งประเภทที่ผลิตในประเทศ และนำเข้า พร้อมทั้งให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริง เพื่อศึกษาเป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ให้เหมาะสมตามเป้าหมายของการใช้งาน
โตโยต้ารู้สึกภาคภูมิใจ และขอขอบคุณคณะผู้จัดงาน การได้รับรางวัลครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาและผลิตยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่าหรือ “Ever-Better Cars” ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานของลูกค้า ภายใต้หลักการ QDR ซึ่งหมายถึง “Quality : คุณภาพ” / “Durability : ความทนทาน” และ “Reliability : ความไว้ใจได้ในการใช้งาน” ที่เรายึดถือมาโดยตลอด เพื่อรักษาความเป็นรถยนต์ยอดนิยมอันดับ 1 ของคนไทยตลอดไป
เรามั่นใจว่าลูกค้ารถยนต์โตโยต้าจะมีความมั่นใจ และอุ่นใจได้ตลอดการใช้รถ ไม่ว่าด้านชิ้นส่วนอะไหล่ในการบำรุงรักษา ศูนย์บริการที่ครอบคลุมทุกจังหวัด และความเป็น “Trusted Services” ด้วยการบริการที่ครบวงจร เช่น Toyota Sure บริการแบบ One Stop Service ในด้านการซื้อ-ขาย Trade-in รถมือสอง / Auction Express แพลตฟอร์มประมูลรถยนต์ออนไลน์ / FixFit ศูนย์บริการทางเลือกที่ได้มาตรฐาน ให้บริการรถทุกยี่ห้อ / T-OPT อะไหล่ทางเลือก คุณภาพระดับ OEM ที่ได้มาตรฐาน / ทางเลือกชุดแต่งดีไซน์เฉียบ คุณภาพดี AAP (Associated Accessories Product) / KINTO อีกหนึ่งทางเลือกของการใช้รถยนต์ ให้ลูกค้ามีรถใช้ ไม่ต้องซื้อ / T-connect แอปพลิเคชันที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ปลอดภัย คุ้มค่า สะดวกสบาย และมีสิทธิประโยชน์มากมาย
โตโยต้าขอขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในโตโยต้า เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อลูกค้าคนสำคัญของเราตลอดไป
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
พีทีที สเตชั่น x ททท. ชวนออกทริปสุดฟิน! กับโครงการ “Fresh Your Feel, Heal Your Soul เติมเต็มเส้นทางฮีลใจ”
คุณพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) และ คุณอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเปิดตัวโครงการ “Fresh Your Feel, Heal Your Soul เติมเต็มเส้นทางฮีลใจ” เชิญชวนทุกคนออกเดินทางพร้อมเติมพลัง เติมความสุขให้เต็มเปี่ยม พร้อมลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษ จากกิจกรรมประกวดภาพถ่าย “เส้นทางท่องเที่ยว ฮีลใจ” สายเที่ยว สายถ่ายภาพ ห้ามพลาด แค่แชร์ ภาพถ่าย เส้นทางท่องเที่ยวฮีลใจ พร้อมบรรยายความประทับใจ ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับ บัตรเติมน้ำมัน PTT Station Privilege Card มูลค่า 500 บาท จำนวน 200 รางวัล สามารถร่วมกิจกรรมง่าย ๆ ได้ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2568 – 5 พฤษภาคม 2568 ผ่านช่องทาง www.freshyourfeel.com/HealingTrip พร้อมตรวจสอบรายชื่อผู้โชคดีผ่านเว็บไซต์ วันที่ 19 พฤษภาคม 2568
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมช้อปเพลิน รับสิทธิ์เติมพลังฟรี! กับ “ทริปฮีลใจ เติมไฟให้ชีวิต” สายเที่ยว สายช้อปมีเฮ! เพียงใช้จ่ายในโครงการ Fresh Your Feel, Heal Your Soul ครบ 5,000 บาทขึ้นไป จากนั้นนำใบเสร็จมาลงทะเบียน 800 ท่านแรก รับฟรี! บัตรเติมน้ำมัน PTT Station Privilege Card มูลค่า 500 บาท ร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2568 – 16 พฤษภาคม 2568 แค่ลงทะเบียนร่วมสนุก และตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านทางเว็บไซต์ www.freshyourfeel.com/giftcard/
เติมพลังให้ทุกการขับขี่ด้วยน้ำมันคุณภาพที่ พีทีที สเตชั่น มั่นใจ เต็มลิตร พร้อมให้บริการทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเกรดมาตรฐาน “เอ็กซ์ตร้า เซฟ” ด้วยคุณสมบัติเด่น คุ้มค่า เพราะไปได้ไกลกว่าเดิม หรือเลือกเติมน้ำมันเกรดพรีเมียม “ซูเปอร์ พาวเวอร์” ให้คุณรู้สึกแรงตั้งแต่ครั้งแรกที่เติม ด้วยสาร Super Booster สาร Additive ที่คิดค้นและพัฒนาโดยบริษัทเคมีภัณฑ์จากประเทศเยอรมนี เพิ่มความแรงให้เครื่องยนต์มากขึ้น 4 เท่า เติมสุขให้ใจ พร้อมเดินทางไปกับ พีทีที สเตชั่น แล้วพบกันบนเส้นทางแห่งความสุข! ติดตามโปรโมชันและกิจกรรมอื่น ๆ ได้ที่ Facebook Fanpage: PTT Station หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1365 Contact Center
#พีทีทีสเตชั่น #เติมเต็มทุกความสุข #เติมเต็มเส้นทางฮีลใจ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
GWM เปิดสเปกจัดเต็มใน ALL NEW GWM HAVAL H6 เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุด! ยกเครื่องอัปเกรดรอบด้าน ดีไซน์ล้ำ สมรรถนะเร้าใจ วิ่งไฟฟ้าล้วนได้ไกลที่สุดในเซกเมนต์ เตรียมเปิดราคาในงาน Motor Show 2025
GWM (Thailand) พร้อมยกระดับการเดินทางสู่มาตรฐานใหม่ ด้วยนวัตกรรมเพื่อการเดินทางรุ่นใหม่ล่าสุด ใน ALL NEW GWM HAVAL H6 ที่พร้อมเปิดราคาและเผยโฉมอย่างเป็นทางการให้ชาวไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดในมหกรรมยานยนต์แห่งปี มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 นี้ โดย GWM (Thailand) ได้เปิดสเปกอย่างเต็มรูปแบบของ
ALL NEW GWM HAVAL H6 ให้แฟน ๆ ชาวไทยได้ทำความรู้จักก่อนสัมผัสคันจริงปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยผ่านการ
อัปเกรดแบบรอบด้าน เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งกว่า สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ปลอดภัยและคุ้มค่ายิ่งกว่าในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งดีไซน์อันล้ำสมัย ผสานการพัฒนาซอฟต์แวร์สุดไฮเทค พร้อมด้วย User Experience (UX) และ User Interface (UI) อันเหนือระดับ ร่วมกับระบบอินโฟเทนเมนต์เต็มรูปแบบ และสมรรถนะที่เร้าใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการตอบรับเสียงของผู้บริโภคผ่านการพัฒนาช่วงล่างใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการด้านการขับขี่ของชาวไทยมากยิ่งขึ้น พร้อมไฮไลต์สำคัญกับการเป็นรถยนต์เอสยูวีปลั๊กอิน-ไฮบริดที่มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้า 100% ที่ไกลที่สุดในเซกเมนต์ ถึง 150 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) เดินหน้าสู่การเป็นรถยนต์เอสยูวีอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่มองหานวัตกรรมสุดล้ำเพื่อการเดินทางแห่งอนาคต ALL NEW GWM HAVAL H6 รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ มาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการขับขี่ที่หลากหลายของชาวไทยด้วยรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด (HEV) 1 รุ่นย่อย รุ่น PRO และรุ่นเครื่องยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด (PHEV) 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น PRO และ รุ่น ULTRA โดยมีไฮไลต์สเปกที่อัปเกรดมาแบบรอบด้าน ดังนี้ปรับโฉมดีไซน์ใหม่ให้ล้ำสมัยยิ่งกว่า ดึงดูดทุกสายตาด้วยสุนทรียศาสตร์รอบคันในทุกมุมมอง
ALL NEW GWM HAVAL H6 ในทั้ง 3 รุ่นย่อย มาพร้อมกับการอัปลุคใหม่ให้ดูทันสมัยยิ่งกว่า เพิ่มความสปอร์ตและความสมาร์ตในทุกองศา ทั้งกระจังหน้าและกันชนหน้า สี Smoke Chrome ร่วมกับไฟหน้า LED อัจฉริยะแบบรมดำ รวมถึงระบบไฟ Signature Light แบบ Waterfall สะท้อนเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและตัวตนของผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน อีกทั้งคิ้วประตู คิ้วฝาท้าย หน้าต่าง ด้านข้างของรถ และราวหลังคาแบบสีเปียโนแบล็ก ระบบไฟท้ายแบบ LED Light Strip แบบรมดำ ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว รมดำลายสปอร์ต พร้อมคาลิเปอร์เบรกสีแดง (เฉพาะ PHEV รุ่น ULTRA) มอบลุคสปอร์ตทันสมัยในทุกการขับขี่ พร้อมปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่จากคำว่า “HAVAL” เป็น “GWM” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แบรนด์ภายใต้ “ONE GWM” เหมือนกันทั่วโลก
อัปเกรดเต็มพิกัดกับระบบปฏิบัติการสุดล้ำ กับ User Experience (UX) และ User Interface (UI) ที่เหนือระดับและความสะดวกสบายที่ยิ่งกว่า
ALL NEW GWM HAVAL H6 มาพร้อมการออกแบบภายในที่ให้ประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น และความบันเทิงที่ครบครันยิ่งกว่าสำหรับทุกคนในครอบครัว
- เพิ่มอรรถรสในการเดินทางด้วย หน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสที่ใหญ่ขึ้นกับขนาด 6 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay* และ Android Auto* (* ระบบจะเปิดให้ใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป) ให้ทุกคนในครอบครัวเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงเต็มรูปแบบ พร้อมระบบเครื่องเสียง Amor luxury hifi system ลำโพงจำนวน 8 ตำแหน่ง และในรุ่น ULTRA มาพร้อม Sub-Woofer ให้คุณภาพเสียงคมชัดทั่วถึงทั้งคัน
- สัมผัสประสบการณ์ใหม่กับ User Experience (UX) และ User Interface (UI) โฉมใหม่ทั้งหมด ผ่าน Coffee OS 0 + QUALCOMM Snapdragon 8155 ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะจาก GWM ที่ให้การใช้งานและการสั่งการเป็นไปได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และลื่นไหลในทุกการขับขี่ ควบคุมทุกฟังก์ชันผ่านหน้าจอ ทั้งประตูท้ายรถ หลังคาซันรูฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย ยกระดับประสบการณ์การขับขี่และการใช้งานภายในรถให้ล้ำสมัย ครบครัน ระบบนำทางของ Huawei Petal Map ช่วยให้การค้นหาเส้นทางแม่นยำและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมพาทุกครอบครัวไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอสั่งการได้ตามความต้องการ พร้อมสามารถ
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ ๆ เข้ามาใช้งานเพิ่มเติมจาก GWM app store ได้อีกด้วย - หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล ขนาด 25 นิ้ว มาพร้อมระบบนำทางและระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Command) เพิ่มความสะดวกและลดการสัมผัสปุ่มขณะขับขี่ ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อถึงความเร็วที่กำหนด ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมตัวกรองอากาศ CN95 และช่องแอร์ด้านหลัง ช่วยให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อไวไฟและระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย (Wireless Charger) สูงถึง 50W
- พวงมาลัยหุ้มหนังแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมเกียร์แบบ Electronic Shifter ชุดเกียร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งบริเวณหลังพวงมาลัยง่ายต่อการใช้งาน
- ประตูหลังเปิด-ปิดไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกสบายในการเปิดและปิดประตูไฟฟ้าให้เป็นไปได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมาพร้อมกับระบบแฮนด์ฟรี* และหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิกเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า* (* เฉพาะใน PHEV รุ่น ULTRA)
- อำนวยความสะดวกในการใช้งานอุปกรณ์เสริมตลอดทั้งเส้นทาง ด้วยช่องต่อ USB Type A และ C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและหลังรวม 5 จุด และช่องต่อ USB สำหรับกล้องบันทึกภาพ 1 จุด และจุดชาร์จไฟ 12V 1 จุด
สมรรถนะที่เร้าใจ มอบระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้า 100% ไกลที่สุดในเซกเมนต์ พร้อมการปรับระบบช่วงล่างจากการรับฟังเสียงของผู้บริโภค
ALL NEW GWM HAVAL H6 มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า มอบพละกำลังสูงสุด 179 กิโลวัตต์ หรือ 243 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร (รุ่น HEV) และพละกำลังสูงสุด 240 กิโลวัตต์ หรือ 326 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร (รุ่น PHEV) มีระบบเกียร์ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) ซึ่งระบบเกียร์ดังกล่าวมีจุดเด่นที่สามารถสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น ช่วยให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพในทุกความเร็ว พร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์ ช่วยลดแรงสั่นสะเทือน มอบความนุ่มนวลในทุกเส้นทาง รองรับทุกสถานการณ์และทุกสภาพถนนสำหรับครอบครัวยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- ALL NEW GWM HAVAL H6 รุ่น PHEV มีระยะทางการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ไกลที่สุดในเซกเมนต์ ถึง 150 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) มาพร้อมกับแบตเตอรี่ Lithium Ion กับความจุแบตเตอรี่ที่ให้มาถึง 54 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ไม่ต้องชาร์จบ่อย ทำให้ยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ อีกทั้งยังมาพร้อมกับหัวชาร์จประเภท CCS Type 2 combo ซึ่งรองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงถึง 41 กิโลวัตต์ รวดเร็วทันใจในการชาร์จกว่ารถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริดในเซกเมนต์เดียวกัน
- ALL NEW GWM HAVAL H6 รุ่น HEV เสริมสมรรถนะการขับขี่ด้วยการปรับเซ็ตระบบช่วงล่างใหม่ที่ถูกพัฒนาจากการรับฟังเสียงของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ตอบโจทย์ความต้องการขับขี่ของชาวไทยมากยิ่งขึ้น มอบการขับขี่ที่มั่นคง มั่นใจ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสบายในทุกสถานการณ์
- ALL NEW GWM HAVAL H6 ทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมกับโหมดการขับขี่ถึง 4 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด และพื้นหิมะ โดยรุ่น PHEV ยังสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้อีก 2 ระบบ ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (น้ำมัน + ไฟฟ้า) และโหมดการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนอีกด้วย
- ALL NEW GWM HAVAL H6 มีมิติตัวรถที่มีความยาว 4,703 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,886 มิลลิเมตร ความสูง 1,730 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,738 มิลลิเมตร ระยะความสูงใต้ท้องรถ 170 มิลลิเมตร ระยะห่างของล้อคู่หน้าและหลัง 1,631 / 1,640 มิลลิเมตร (HEV / PHEV) อีกทั้งยังมาพร้อมกับความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงที่ให้มาถึง 61 ลิตร ในรุ่น HEV และ 55 ลิตร ในรุ่น PHEV มอบประสบการณ์ที่เหนือระดับด้วยมิติตัวรถที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้อย่างลงตัว
เหนือชั้นไปอีกระดับกับกล้อง 540 องศา ทั้งครอบครัวอุ่นใจ มอบความปลอดภัยยิ่งกว่า
ALL NEW GWM HAVAL H6 ทั้ง 3 รุ่น พร้อมเสริมความมั่นใจในทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะกว่า 31 รายการ อาทิ กล้องแสดงภาพความละเอียดสูงรอบทิศทาง 540 องศา (กล้องรอบคันและด้านใต้ท้องรถ) ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK) และอื่น ๆ อีกทั้งยังมีระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA) ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB) และอื่น ๆ (โปรดศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นเพิ่มเติม)
เตรียมพิสูจน์อย่างใกล้ชิดกับมาตรฐานใหม่ของรถยนต์เอสยูวีอเนกประสงค์ กับ ALL NEW GWM HAVAL H6 ทั้ง 3 รุ่น พร้อมเผยราคาอย่างเป็นทางการภายใน มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ที่กำลังจะถึงนี้ สอสบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GWM application, www.gwm.co.th หรือ GWM Contact Center 02-668-8888
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
“ยามาฮ่า” ย้ำบทบาทผู้นำออโตเมติกแฟชั่น เปิดตัว “ฟาซซิโอ้ ไฮบริด คอนเน็กเต็ด ใหม่” เอาใจแฟน 2 รุ่น ยกระดับความทันสมัย
ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ เติมไลน์อัปเอาใจแฟนรถจักรยานยนต์ออโตเมติกแฟชั่น ด้วย “NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED” ชูความโดดเด่นภายใต้บทบาทสกู๊ตเตอร์ดีไซน์แฟชั่นสุดเทรนดี้ การันตีกับรางวัล Mini Bike Best Design จากการประกาศผลรางวัล Thailand Bike of The Year 2025 ยกระดับทั้งในเรื่องรูปโฉมและสมรรถนะการใช้งาน ตอบโจทย์การใช้งานด้วย 2 รุ่นทางเลือก ราคาสุดคุ้ม / ราคาเข้าถึงง่าย ภายใต้ราคาแนะนำเริ่มต้น 50,900 บาท พร้อมการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กม.
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เดินหน้าสานต่อทิศทางอันยอดเยี่ยมของ All New YAMAHA NMAX ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดรถจักรยานยนต์ตั้งแต่ช่วงโค้งแรกของปี สะท้อนความต้องการและความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อออโตเมติกไบค์ เปิดตัว “NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED” ตอกย้ำบทบาทผู้นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติกในตลาดประเทศไทย
ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด คอนเน็กเต็ด ใหม่ ชูความโดดเด่นด้วย เทรนดี้สไตล์แฟชั่น FAZZ IT UP โฉบเฉี่ยวล้ำสมัยด้วยไฟหน้า LED ดีไซน์แคปซูลสุดเก๋ สวยสะดุดตาโดดเด่น สไตล์ใหม่สุดโมเดิร์น ล้ำสมัยทุกมุมมอง สว่างชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน, LCD DIGITAL METER ทรงแคปซูลดีไซน์สุดคูล ดูเท่ทุกครั้งที่ขี่เห็นชัดทุกข้อมูล ที่ออกแบบเพื่อชีวิตที่ทันสมัย ครบทุกฟังก์ชันที่วัยรุ่นต้องการ อ่านค่าได้ง่าย ทั้งความเร็ว เวลา และข้อมูลการประหยัดน้ำมัน แสดงผลครบในจอเดียว พร้อมให้ออกไปสนุกได้ทุกเวลา รวมถึงมี ACCESSORIES PORT เติมสไตล์เท่ได้ไม่ซ้ำใคร แต่งเพิ่มเติมคาแรกเตอร์ให้เท่ได้ในสไตล์ที่ชอบ ด้วยพอร์ตติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่ใช่ แสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังตอบสนองการขับขี่แบบ FULL – ON FUN! สนุกได้เต็มที่ ด้วยเครื่องยนต์ Blue Core Hybrid 125 ซีซี ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้อัตราการเร่งราบรื่น แรง ประหยัด และรักษ์โลกทุกการเดินทาง จะขี่ในเมืองหรือเที่ยวชิล ๆ ก็สบายใจได้ว่าช่วยลดมลพิษ เหมาะกับการใช้ชีวิตสไตล์คนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการใช้งานแบบจัดเต็ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยรุ่นที่อยากใช้ชีวิตแบบคูล ๆ อีกทั้งยังมีขนาดตัวรถ Compact Size ขับขี่ง่าย คล่องตัว สะดวกสบาย ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์วัยรุ่น เหมาะกับการขับขี่ในเมือง เลี้ยวง่าย สะดวกคล่องตัวสุด ๆ จะขี่ไปเรียน ทำงาน หรือแฮงก์เอาท์ ก็ไม่ต้องกลัวติดขัดในที่แคบ จอดง่าย ไม่ว่าซอกซอยไหนก็ไปได้สบาย! พร้อมเสริมความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบ UBS (Unified Brake System) เบรกง่าย มั่นใจในการหยุดทุกเส้นทาง มั่นใจทุกครั้งที่เบรก ด้วยระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ ลดระยะเบรกให้สั้นลง และให้การควบคุมที่สมดุล ช่วยให้หยุดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นในทุกครั้งที่ออกไปสนุกกับชีวิตเมือง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
ล้ำสมัย FILL DIGITAL LIFE! เติมชีวิตดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยี Y-Connect APPLICATION เชื่อมต่อกับรถและแสดงข้อมูลบนสมาร์ทโฟน ช่วยให้ชีวิตสมาร์ทขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่ครบครันสำหรับคนรุ่นใหม่ ทำให้การใช้สกู๊ตเตอร์เป็นเรื่องง่าย สะดวกสบายและคูลไปอีกขั้น ที่พร้อมแสดงข้อมูลได้ถึง 9 ฟังก์ชัน ประกอบด้วย
- SMARTPHONE NOTIFICATIONS ON METER – แจ้งเตือนข้อมูลจากสมาร์ทโฟน
- MAINTENANCE RECOMMENDATIONS – แจ้งเตือนการบำรุงรักษา
- MALFUNCTION NOTIFICATION – แจ้งเตือนเมื่อเครื่องยนต์เกิดปัญหา
- FUEL CONSUMPTION – แสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
- REVS DASHBOARD – แสดงมาตรวัดสมรรถนะขณะขับขี่
- LAST PARKING LOCATION – แสดงตำแหน่งจอดรถล่าสุด
- RANKING – แสดงอันดับในการขับขี่
- RIDING LOG – บันทึกประวัติการขับขี่
- CONTACT FORM – ช่องทางการติดต่อยามาฮ่า
**ทำงานเมื่อเชื่อมต่อ Y–Connect ผ่าน Bluetooth และเปิด Location เพื่อใช้งานเท่านั้น
พร้อมตอบโจทย์การใช้งานอย่างครบครัน FIT FOR ALL! ครบทุกไลฟ์สไตล์ ด้วย SMART KEY SYSTEM ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ สะดวกสไตล์คนรุ่นใหม่ ใช้งานง่ายไม่ต้องเสียบกุญแจ แค่พกไว้ก็พร้อมลุยทุกที่ จัดเต็มทุกฟังก์ชัน ทั้งเปิด-ปิดสวิตช์ และปลดล็อก พร้อมฟังก์ชัน Answer Back หารถได้ง่ายทันทีในทุกที่จอด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยรุ่นอย่างแท้จริง, USB Type-A Mobile Charging พอร์ต USB Type-A สำหรับชาร์จมือถือ พร้อมลุยทุกทริปแบบไร้ขีดจำกัด ด้วยช่องเก็บของด้านหน้า และไม่ต้องกลัวแบตหมดกลางทาง สามารถฟังเพลงหรือคุยกับเพื่อนก็สนุกแบบไม่มีสะดุด ขี่ไปได้ทุกทางแบบมีไฟ! มาพร้อม F-BOX พื้นที่เก็บของใต้เบาะจุใจ ใส่ของได้สบาย ๆ ในกล่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 17.8 ลิตร เก็บของได้หมด ทั้งหมวกกันน็อก กระเป๋า ของช้อปปิ้ง หรือสัมภาระของใช้ส่วนตัว ไม่ต้องหิ้วให้พะรุงพะรัง เก็บได้สบายไม่ต้องพกพา และ DOUBLE HOOK CARABINER เพิ่มที่แขวนของแบบคู่ แขวนได้ 2 จุด เพิ่มความสะดวกสบายในการพกพาทุกสัมภาระ ทั้งของช้อปปิ้ง หรือ อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เหมาะกับสายช้อป พร้อมพื้นที่วางเท้าด้านหน้ากว้างพิเศษ ไม่อึดอัด สะดวก คล่องตัว ขับขี่ได้แบบชิล ๆ นั่งขี่สบายไม่เสียลุค
ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด คอนเน็กเต็ด ใหม่ ตอบสนองการใช้งานด้วย 2 รุ่นทางเลือก ได้แก่ รุ่น Smart Key Version ที่มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ สีขาว-น้ำเงิน Retro White, สีเขียว-ขาว Relax Matt Green และสีน้ำเงิน-ชมพู Neo Dark Blue ที่วางจำหน่ายในราคาแนะนำเริ่มต้น 52,900 บาท และรุ่น Standard มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีดำ Active Black, สีชมพู Neo Mauve และสีเขียว Nomad Green วางจำหน่ายในราคาแนะนำเริ่มต้น 50,900 บาท โดยทั้ง 2 รุ่น พร้อมตอกย้ำคุณภาพสินค้าด้วยการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร
ผู้ที่สนใจ ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด คอนเน็กเต็ดใหม่ สนุกไม่ซ้ำใคร สไตล์…ฟาซซิโอ้…PLAY UNIQUE, PLAY FAZZIO เทรนดี้สกู๊ตเตอร์ แฟชั่นของคนรุ่นใหม่ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263-9999 และสามารถติดตามความเคลื่อนไหว และข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่ Website: www.yamaha-motor.co.th
Facebook : Yamaha Society Thailand
Instagram : @yamahasocietythailand
Youtube : Yamaha Society Thailand
Line OA : @Yamahasociety
TikTok: @yamahasocietythailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
อีซูซุเปิดศึกเจ้าแห่งความเร็วใน ISUZU ONE MAKE RACE 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16
กลุ่มตรีเพชร โดย บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท ฟาอีส ยูไนเต็ด มอเตอร์สปอร์ต จำกัด บริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด บริษัท ไพโอเนียร์ เอ็นจิเนียริ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท ริซไวส์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด และบริษัท บี.เจ.มอเตอร์พาร์ท จำกัด ร่วมกันระเบิดศึกอีซูซุ
ดีแมคซ์ รวม 19 คัน เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าแห่งความเร็วในการแข่งขัน ISUZU ONE MAKE RACE 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ชิงรางวัลถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่น สุทธนารีนาถ พร้อมเงินรางวัลรวม 200,000 บาทมร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “การแข่งขัน ISUZU ONE MAKE RACE เป็นการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยเราได้จัดการแข่งขันกันมายาวนาน และต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ซึ่งการแข่งขันในทุกปีที่ผ่านมานั้นได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ชมที่ติดตามการแข่งขัน และนักแข่งที่เลือกใช้ “อีซูซุ ดีแมคซ์” เป็นรถคู่ใจในการลงสนามประลองความเร็ว ในปีนี้จะมีการแข่งขันแยกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 PRODUCTION GROUP “N” จำนวน 12 คัน ซึ่งใช้เครื่องยนต์ที่ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 5 และ ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 SUPER FULL RACE จำนวน 7 คัน รวม 19 คัน โดยมีนักดนตรีและนักแข่งอย่าง “โดม ราชนันทร์ คุณาริยานุกูล” และการกลับมาอีกครั้งของนักแสดงและนักแข่งชื่อดัง “แอนดรูว์ โคนินทร์” เข้าร่วมการแข่งขันในรุ่น ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 PRODUCTION GROUP “N” สำหรับไฮไลท์ในปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้งเนื่องจากการแข่งขันจัดขึ้นในรูปแบบ “CITY STREET CIRCUIT” ถือเป็นครั้งแรกของ ISUZU ONE MAKE RACE ที่จะนำรถไปวิ่งแข่งขันในสนามเฉพาะกิจกลางเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยการแข่งขันจะจัดขึ้น อีก 2 สนาม คือ สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี และสนามแก่งกระจานเซอร์กิต จังหวัดเพชรบุรี พบกันครั้งแรกกับรถ Safety Car ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE ใหม่! ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ปรับแต่งความแรงแบบไร้ควัน ให้แรงม้าสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 515 นิวตันเมตร นอกจากนี้ขอแสดงความยินดีกับ คุณสุรชัย เพ็งผ่อง จากการคว้าแชมป์ ในรุ่น ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 UNLIMIT และ คุณปกรณ์ ธรรมโชติ ที่คว้าแชมป์ในรุ่น ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 PRODUCTION GROUP “N” รับถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ และเงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท จากการแข่งขัน ISUZU ONE MAKE RACE 2024 ด้วย”
ร่วมพิสูจน์ความมันส์และความแรงสะใจในรายการ “ISUZU ONE MAKE RACE 2025” เพื่อชิงรางวัลถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พร้อมเงินรางวัลรวมมูลค่า 200,000 บาท เริ่มการแข่งขันสนามแรกในวันที่ 28 – 30 มีนาคม 2568 ณ สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี และจะทำการแข่งขันแบบออนทัวร์เพื่อเก็บคะแนนในแต่ละสนาม และจัดลำดับผู้เข้าแข่งขันในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งหนึ่ง เพื่อค้นหาที่สุดเจ้าแห่งความเร็วในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบแห่งปี 2025
สำหรับกำหนดการแข่งขันทั้ง 6 สนาม ดังนี้
สนามที่ 1 วันที่ 28 – 30 มีนาคม 2568 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี
สนามที่ 2 วันที่ 2 – 4 พฤษภาคม 2568 สนามเฉพาะกิจ สนามกีฬาพระยาพิชัยดาบหัก อุตรดิตถ์
สนามที่ 3 วันที่ 20 – 22 มิถุนายน 2568 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี
สนามที่ 4 วันที่ 22 – 24 สิงหาคม 2568 สนามแก่งกระจานเซอร์กิต เพชรบุรี
สนามที่ 5 วันที่ 3 – 5 ตุลาคม 2568 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี
สนามที่ 6 วันที่ 12 – 14 ธันวาคม 2568 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี
ติดตามข้อมูลการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ “ISUZU ONE MAKE RACE 2025” ได้ที่ www.isuzu-tis.com และ www.facebook.com/allnewisuzudmax ชิงรางวัลถ้วยประทานจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พร้อมเงินรางวัลรวม 200,000 บาท และสามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง FACEBOOK และ YOUTUBE ช่อง RACING CAR THAILAND CHANNEL และ AUTO SPICY CHANNEL เวลา 14.00 น. ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ ของทุกสนามที่ทำการแข่งขัน
รูปแบบการแข่งขัน ISUZU 3.0 PRODUCTION GROUP “N” 2025 รุ่นใหม่
การแข่งขันแบบ GROUP “N” ตามกติกาสากล บังคับให้ใช้เครื่องยนต์ที่เป็นมาตรฐานเดิมจากโรงงานผู้ผลิต แต่สามารถปรับเปลี่ยนช่วงล่าง เพิ่มเติมความสวยงาม เช่น ติดตั้งสปอยเลอร์หน้า เปลี่ยนฝากระโปรงแบบ VACUUM ซึ่งช่วยสร้างหลักอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ในส่วนของการเสริมประสิทธิภาพของระบบช่วงล่างและเบรก เปลี่ยนเบรกทั้งคันเป็นแบบ DISC BRAKE 4 ล้อ
ล้อหน้าเป็นคาลิปเปอร์แบบ 8 POT เปลี่ยนข8นาดล้อและยาง โช้คอัพ สปริงหน้าและแหนบ เพื่อให้เหมาะกับการแข่งขัน ทั้งหมดนี้เป็นการเน้นให้เห็นถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ให้ความแรงมาตรฐานโรงงาน ปรับแต่งเพียงแค่ช่วงล่างและเบรก แต่ส่งผลให้รถแข่งมีสมรรถนะสูง ความเร็วต่อรอบเทียบเท่ารถแข่งที่มีแรงม้าสูงรูปแบบการแข่งขัน “ISUZU ONE MAKE RACE 2025”
การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ “ISUZU ONE MAKE RACE 2025” แต่ละสนามจะแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ การควอลิฟายด์, การแข่งขัน RACE 1 และการแข่งขัน RACE 2
การควอลิฟายด์
จะมีขึ้นในวันเสาร์เช้า เป็นการจับเวลาแบบ HOT LAP โดย แข่งขันแยกเป็น 2 รุ่น 2 เรซ คือ ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 PRODUCTION GROUP “N” และ ISUZU ONE MAKE RACE 3.0 SUPER FULL RACE การจับเวลาและแบ่งกลุ่มจะทำให้นักแข่งสามารถแข่งขันในรุ่นของตนเองได้เต็มที่ ทำให้การแข่งขันเข้มข้นเร้าใจในทุกช่วงเวลา
การแข่งขัน RACE 1
จะมีขึ้นในวันเสาร์ช่วงบ่าย ลำดับ START ตามผลการจัดลำดับเวลา และผลการแข่งขันใน RACE 1 จะเป็นการจัดอันดับออก START ใน RACE 2 ของวันอาทิตย์ จะมีคะแนนเก็บให้ตามลำดับที่เข้าแข่งขัน
การแข่งขัน RACE 2
จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ ลำดับ START จะเป็นแบบ Reverse Grid ผลการแข่งขันยังคงรับถ้วยตามกลุ่มการควอลิฟายด์ RACE 2 นี้จะเป็นการตัดสินในการรับถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัล (เงินรางวัลรับตามอันดับ OVERALL)
หมายเหตุ
- รถแข่งทุกคัน จะต้องจอดรวมอยู่ในสถานที่ที่จัดไว้ให้เท่านั้น
- หลังจบการแข่งขันทุกครั้ง รถที่มีตำแหน่งจะถูกตรวจสภาพ
- กรณีที่ซีลและมาร์คเครื่องหมายต่าง ๆ หลุดลอก จะต้องทำการตรวจสภาพใหม่ทั้งหมด
รายชื่อนักแข่ง ISUZU ONE MAKE RACE 2025
ลำดับที่ หมายเลข ชื่อนักแข่ง รุ่นที่แข่ง 1 4 สิริพงศ์ ปภังกรพิทักษ์ GROUP “N” 2 11 ปาณัสม์ อารีรัตนศักดิ์ GROUP “N” 3 13 ภูดิท ธุวะชาวสวน GROUP “N” 4 15 ปกรณ์ ธรรมโชติ GROUP “N” 5 18 วศิน สินเจริญกุล GROUP “N” 6 77 วีร์ธรรศ ลิลิตชัยกุล GROUP “N” 7 30 ราชนันทร์ คุณาริยานุกูล GROUP “N” 8 33 ชาตรี วงษ์น้อย GROUP “N” 9 45 อวิโรธน์ ศิรินทร์วรชัย GROUP “N” FULL RACE 10 78 แอนด์ดรูว์ โคร์นิน GROUP “N” 11 88 จักรณัฎฐ์ มากสัมพันธ์ GROUP “N” 12 99 ฐณะวัฒน์ ตั้งจิตรมณีศักดา GROUP “N” 13 0 สัญญา พลเยี่ยม FULL RACE 14 9 สมร มะปะเข FULL RACE 15 89 สุรชัย เพ็งผ่อง FULL RACE 16 68 พัทธดนย์ แซ่เตียว FULL RACE 17 75 สุนันท์ เหงี่ยมผักแว่น FULL RACE 18 22 อิทธิพงษ์ ลิลิตชัยกุล FULL RACE หมายเหตุ: ข้อมูลรายชื่อนักแข่ง ณ วันที่ 10 มีนาคม 2568 ซึ่งจะมีการปรับเพิ่มเติมระหว่างการแข่งขัน รวม 19 คัน
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine