-
แคตาลิติค (CATALYTIC) รู้จักไว้ไม่เสียหาย
กลับมาพบกันอีกแล้วสำหรับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องรถ สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของระบบไอเสียกันซ้ะหน่อย ในส่วนของ “แคตาลิติค (CATALYTIC)” หลายคนอาจไม่ทราบว่ามันมีหน้าที่อะไร และมีความสำคัญขนาดไหน ทำไมรถที่ออกจากศูนย์ถึงต้องมีติดมาทุกคัน ทั้งที่หลายคนบอกว่ามันทำให้รถอืด วิ่งไม่ดี นู่นนี่นั่นมากมายหลากหลายเหตุผล ควรจะถอดหรือควรจะใส่นั้นเราเข้าไปดูรายละเอียดความสำคัญกันครับ
แคตาลิติค คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กรองไอเสีย หรือทำหน้าที่สะสมความร้อนเพื่อมาเผาไอน้ำมันที่หลงเหลือปะปนมากับไอเสียให้ หมดไป ก่อนที่ไอเสียจะวิ่งผ่านปลายท่อออกสู่ด้านนอก ทำให้อากาศภายนอกมีความสะอาดมากขึ้น หรือมีมลพิษน้อยลง ปกติจะมีอายุการใช้งานยืนยาวมาก ขนาดที่ว่าสามารถใช้งานไปได้เป็นแสน กิโลเมตรกันเลยทีเดียว หากมีการใช้งานรถยนต์คันนั้นอย่างถูกต้อง และมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่สะอาดเพียงพอ ที่บอกว่าแคตาลิติค หรือ แคต ต้องใช้งานอย่างถูกต้อง คือ เมื่อการทำงานของมันต้องอาศัยการสะสมความร้อนมาเพื่อทำการเผาไอเสียอีกครั้ง หนึ่ง ดังนั้นเครื่องยนต์หรือรถยนต์ที่ถูกใช้งานระยะสั้นๆ เช้าติดเครื่องยนต์ขึ้นมาแล้วก็ขับออกไปยังจุดหมายปลายทางที่มีระยะทางสั้นๆ และไม่มีการใช้งานด้วยรอบการทำงานของเครื่องยนต์สูง หรือไม่ได้ใช้งานที่ความเร็วสูงเพียงพอที่จะก่อให้เกิดความร้อนไปสะสมที่ตัว “แคต” ไอหรือกากไอน้ำมันก็จะไม่ถูกเผาไหม้ทิ้งไป แต่จะไปตกสะสมอยู่ที่ตามไส้กรองหรือที่ “แคต” แทน ทำให้ “แคต” ตันขึ้นมาได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกว่าที่ “แคต” จะตันก็ต้องผ่านการใช้งานไปไม่น้อยกว่า 1 แสน กม.อย่างแน่นอน
แคตาลิติคตันอาการเป็นอย่างไร มีอาการเร่งเครื่องไม่ค่อยจะขึ้น อัตราเร่งอืด กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น และเสียงที่ออกจากปลายท่อไอเสียเปลี่ยนไป เหล่านี้คืออาการที่ผู้ใช้รถสามารถนำมาเป็นข้อสังเกตเบื้องต้นได้ แต่หากต้องการความแน่นอนก็ต้องนำรถไปเข้าเครื่องตรวจวัดปริมาณไอเสีย หากพบว่าในปริมาณไอเสียที่ถูกปล่อยออกมา มีกากไอน้ำมันมากกว่าปกติหรือมากเกินที่กำหนดเอาไว้ จึงจะบอกได้ว่าตันหรือไม่
แคตาลิติค (CATALYTIC) ควรมีหรือไม่มีดี ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดนิยมของหลายๆคนที่มีความเป็นกังวลในการใช้รถและคำนึงถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อเป็นหลัก อาจจะทำใจยากกันซ้ะหน่อยสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ข้อดีของการถอดออกก็จะช่วยให้รถมีการระบายไอเสียที่โล่งขึ้นหรือบางคันอาจจะเดินท่อไอเสียในส่วนของแคตาลิติค(ท่อแทนแคต) ใหม่เพื่อให้มีขนาดที่เท่ากัน ส่วนทางด้านของผลเสียนั้นก็จะส่งผลให้มลภาวะเป็นพิษในอากาศเพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ และในรถบางรุ่นอาจจะทำให้ระบบเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติได้ ทางที่ดีควรปรึกษาช่างผู้ชำนาญจะปลอดภัยที่สุดครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของ CATALYTIC จัดว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ติดมากับรถแล้วสร้างคำถามให้หลายคนต้องสับสนกันไปเลยทีเดียว แต่ทางที่ดีที่สุดของเค้ามีมาให้จากโรงงานนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วครับ ในอนาคตข้างหน้าถ้าหากมีปัญหาค่อยปรับปรุงแก้ไขกันไป….
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
OFFSET ล้อแม็กซ์คืออะไร?
กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องรถ ปัจจุบัน รถถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการใช้ชีวิตประจำวันของหลายคน ซึ่งเมื่อเราต้องอยู่กับรถทุกวันจึงทำให้รถเป็นส่วนหนึ่งของเราเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะต้องดูแลและปรับแต่งเพิ่มความสวยงามกันบ้าง แต่จะปรับแต่งอย่างไรให้ถูกต้องและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับรถคันโปรดของเรา ล้อแม็กซ์เป็นส่วนควบอย่างหนึ่งที่นิยมเปลี่ยนกันมากในกลุ่มของผู้รักการแต่งรถ แต่จะเปลี่ยนอย่างไรให้พอดีกับซุ้มล้อ ในคอลัมน์นี้จะพาไปรู้จัก OFFSET ของล้อแม็กซ์กัน ออฟเซ็ตบวกเท่านั้นเท่านี้ ออฟเซ็ตลบเท่านั้นเท่านี้มันคืออะไรนั้นไปดูกันครับ
ก่อนอื่นเรามารู้จักกับออฟเซ็ต (Offset) หรือ ET กันก่อน ออฟเซ็ต คือ ระยะห่างระหว่าง หน้าแปลนยึดดุมล้อ (HUB MOUNTING SURFACE) ภายในล้อแม็กซ์ กับขอบกระทะล้อด้านนอก นับจากจุดกึ่งกลางเป็นจุดตั้ง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
ออฟเซ็ตศูนย์ คือ ตำแหน่งยึดดุมล้ออยู่ศูนย์กลางล้อพอดี (นึกถึงถ้าเราเอาล้อแม็กซ์กว้าง 10 นิ้ว มาผ่าครึ่ง จะวัดได้จุดศูนย์กลางที่ 5 นิ้ว แล้วหน้าแปลนยึดดุมล้อด้านในอยู่ตรงที่ตำแหน่งยึดดุมล้อนั้น อยู่กึ่งกลางพอดี) เรียกว่าออฟเซ็ตศูนย์นั่นเอง
ออฟเซ็คบวก คือ ตำแหน่งยึดดุมล้อ เยื้องออกมาด้านหน้า (ด้านนอกตัวรถ หรือด้านหน้าของแม็กซ์) เริ่มจากจุดศูนย์กลางของล้อ ถ้าหน้าแปลนยึดดุมเริ่มเดินหน้าออกมา ถือว่าเป็น ออฟเซตบวกทันที เช่นเดินหน้าออกจากจุดศูนย์กลางมา 1 มิลลิเมตร เรียก +1 ถ้าเดินหน้าออกมา 10 มิลลิเมตร เรียก + 10 หรือเดินหน้าออกมา 35 มิลิเมตรเรียก + 35 เป็นต้น สังเกตง่ายๆออฟเซ็ตยิ่งติดบวกมาก ลายด้านหน้าของล้อแม็กซ์ ก็จะยื่นออกมามาก หรือแทบออกมาเสมอกับขอบล้อด้านนอกเลย
ออฟเซ็ตลบ คือ ตรงข้ามกับออฟเซ็ตบวกนั่นเองครับ พวกนี้ตำแหน่งยึดดุมล้อจะถอยเข้าไปด้านในของล้อ นับจากจุดศูนย์กลางล้อ ยิ่งถอยเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดลบมากเพียงนั้น ล้อแม็คพวกนี้สังเกตได้คือ ลายด้านหน้าของแม็กซ์จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในจากขอบล้อด้านนอก ยิ่งลึกมากยิ่งติดลบมากหรือที่เรียกๆกันว่า แม็กซ์ออฟลึกนั่นเองครับ
การดูเลขออฟเซตของล้อ ล้อแม็กซ์บางรุ่น หรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลขออฟเซ็ตมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั้มเป็นตัวนูนบ้าง เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดตัวเลข หรือเป็นสติกเกอร์แปะไว้ ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น OFFSET 41 ก็จะเป็น ET41 บ้าง +41 บ้างหรือ 41 เฉยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิตล้อ
จะรู้ได้อย่างไรว่ารถของเราเหมาะกับออฟเซ็ทเท่าไหร่ อันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ เราสามารถเปิดดูจากคู่มือที่ติดมากับรถได้ว่ารถของเราเหมาะกับล้อแม็กว์ออฟเซ็ทเท่าไหร่ หรือไม่ก็ดูที่ด้านหลังของล้อแม็กซ์จะมีตัวเลขปั๊มนูนเอาไว้ หรือถ้าขี้เกียดมุดดูก็ขับรถเข้าไปที่ร้านขายล้อแม็กซ์เลยครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องของ OFFSET ล้อแม็กซ์ เมื่อเราสามารถรู้ค่ามาตรฐานของรถเราแล้ว อยากจะใส่ล้อลายไหน จะให้ยื่นออกมามากน้อยแค่ไหนก็สามารถคำนวณและเลือกเองได้ตามใจชอบ สุดท้ายนี้ทางทีมงาน REALTIME CAR MAGAZING ก็ขอให้เพื่อนๆแต่งรถกันให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วยนะคร๊าบบบบ….สวัสดีครับ…
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
DIESEL COMMONRAIL ทำงานอย่างไร?
เป็นอะไรที่ปฏิเสธกันไม่ได้จริงๆครับสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลสำหรับในยุคนี้ มีการนำมาปรับแต่งโมดิฟายกันอย่างมาก มีให้เห็นกันทุกรูปแบบทุกสเต็ปการแข่งขัน หาดูหาชมกันได้ตามสนามแข่งรถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของรถCIRCUIT และในรูปแบบของรถแดร๊ก แต่ที่นิยมที่สุดในบ้านเราก็คงจะเป็นรูปแบบของแดร๊กแหละครับ ที่ทำเวลาในระยะ 402เมตรได้ดีจนเครื่องยนต์ยนต์บล็อกใหญ่ต้องสะดุ้งสะเทือนกันเลยทีเดียว พื้นฐานของเครื่องยนต์จะเป็นอย่างไรนั้น ในคอลัมน์นี้มีคำตอบมาให้ได้ดูกันครับ
หลักการทำงานขั้นพื้นฐานของเครื่องยนต์ระบบ COMMONRAIL (รางร่วม) เหมือนกันกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะ แต่แตกต่างกันที่วิธีการควบคุมจังหวะและปริมาตรการฉีดเชื้อเพลิงโดยเครื่องยนต์ระบบ COMMONRAIL (รางร่วม) ใช้ความดันของเชื้อเพลิงสูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา (ปั๊มแบบจานจ่ายและแบบแถวเรียง) ประมาณ 7 เท่าขึ้นไป ความดันสูงสะสมอยู่ในรางร่วม มีหัวฉีดไฟฟ้าฉีดเชื้อเพลิงตามการสั่งการของหน่วยควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ที่สุดคือมลพิษต่ำกว่า พลังงานมากกว่า และประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลระบบอื่น
เครื่องยนต์ดีเซล COMMONRAIL (ระบบรางร่วม) จัดอยู่ในประเภทหนึ่งของเครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ คือ
1. เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ แบบหัวฉีดหน่วยเดียวกับปั๊ม (Unit Injector)
-ระบบลูกเบี้ยว (PDE) เคยใช้กับเครื่องยนต์เรือขนาดใหญ่
-ระบบรางร่วมน้ำมันเครื่อง (Oil Common Rail System) เคยใช้กับ Isuzu รุ่น Truper
2. เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ แบบระบบรางร่วม (Common Rail System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ดีกว่าเครื่องยนต์ระบบลูกเบี้ยวและระบบรางร่วมน้ำมันเครื่องกฎหมายควบคุมมลพิษยูโรระดับ 3 (ล่าสุดบางประเทศเตรียมใช้กฎหมายควบคุมมลพิษยูโรระดับ 7) ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ ทั้งนี้เพื่อให้สังคมในเมืองใหญ่ได้สัมผัสกับสภาวะแวดล้อมทางอากาศที่สะอาด ขึ้น เทคโนโลยีใหม่ของเครื่องยนต์ดีเซลจึงต้องเป็นระบบรางร่วม
ในการลดมลพิษให้ต่ำลงได้มากๆ นั้นนอกจากจะต้องใช้เครื่องยนต์ระบบรางร่วมแล้วในส่วนของเครื่องยนต์ยัง ต้องออกแบบให้มีหลายลิ้น (Multi Valve) (เช่น 4 ลิ้น ต่อ 1 สูบ) พร้อมกับใช้ตัวอัดบรรจุอากาศเทอร์โบ เพื่อเพิ่มอากาศช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น ลดเขม่าควันซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล นอกจากนี้แล้วยังต้องมีระบบควบคุมแก๊สพิษ (Emission Control) อีก 2 ระบบเพื่อลดแก๊ส NOX คือต้องมี CAT (Catalytic Converter) หรือเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา และต้องมี EGR (Exhaust Gas Recirculation) หรือการหมุนเวียนไอเสีย ดังนั้นถ้าอุด EGR และผ่า CAT ก็จะเกิดปัญหาต่อสภาวะแวดล้อมด้วยเช่นกัน
เรามาดูหลักการทำงานของระบบCOMMONRAIL(รางร่วม)แบบเข้าใจง่ายๆกัน
เชื้อเพลิง (น้ำมันดีเซล) ป้อนเข้าสู่ปั๊มซึ่งมีอยู่ 2 วิธีคือใช้ปั๊มไฟฟ้าจุ่มในถังเชื้อเพลิง (นิยมใช้กับรถยุโรป) กับแบบกลไกติดตั้งอยู่หน่วยเดียวกับปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง (นิยมใช้กับรถกระบะในประเทศไทย) ปั๊มจ่ายเชื้อเพลิงหรือปั๊มความดันสูงควบคุมความดันด้วยลิ้นควบคุมความดัน หรือลิ้นควบคุมการดูด (Suction Control Valve หรือ SCV) ความดันสูงนี้ถูกส่งไปเก็บสะสมยังท่อความดันสูง หรือรางร่วม (Common Rail) ซึ่งมีรูปร่างอยู่ 2 แบบคือทรงกระบอกยาว กับแบบทรงกระบอกสั้น ดังนั้นหัวฉีดทุกหัวจึงมีความดันเชื้อเพลิงที่สูงมากเท่ากันทุกกระบอกสูบ รออยู่ที่ปลายหัวฉีดพร้อมตลอดเวลาสำหรับการฉีดให้เป็นฝอยละอองที่ละเอียดที่ สุดผ่านรูเล็กๆ ของปลายหัวฉีดลงไปผสมผสานกับอากาศที่ถูกอัดตัวจนมีความดันและอุณหภูมิที่ สูงเหมาะสม ทั้งหมดควบคุมการทำงานโดยหน่วยควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ECU (ELECTRONIC CONTROL UNIT) หรือ ECM (ELECTRONIC CONTROL MODULE) ซึ่งจะรับสัญญาณต่างๆ เช่นสัญญาณตำแหน่งของลูกสูบ ความเร็วรอบ ตำแหน่งคันเร่ง อุณหภูมิน้ำ อุณหภูมิเชื้อเพลิง อุณหภูมิอากาศ ปริมาตรอากาศที่ประจุเข้า ความดันตัวอัดบรรจุอากาศเทอร์โบและความดันบรรยากาศ ความดันเชื้อเพลิง ความเร็วรถยนต์ ตำแหน่งเกียร์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น เมื่อ ECU ประมวลผลแล้วส่งสัญญาณการฉีดไปยังหน่วยส่งแรงขับหัวฉีดหรือ EDU (ELECTRONIC DRIVE UNIT) (บางแบบ ECU และ EDU อยู่ในชุดเดียวกัน) เพื่อเพิ่มแรงเคลื่อนไฟฟ้าจาก 12 โวลต์เป็น 100 โวลต์ (บางแบบ 60 – 150 โวลต์ซึ่งแล้วแต่รุ่นของรถยนต์และแบบของหัวฉีด)
ปั๊มความดันสูงหรือปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงจากถังจะถูกป้อนเข้าปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง ซึ่งปั๊มป้อนเชื้อเพลิงเป็นปั๊มความดันต่ำบางแบบอยู่หน่วยเดียวกับปั๊มจ่าย เชื้อเพลิง แต่บางแบบเป็นปั๊มไฟฟ้าจุ่มในถังเชื้อเพลิง หลักการทำงานของปั๊มจ่ายเชื้อเพลิง จะอาศัยกำลังขับของเฟืองไทมิ่งเพลาข้อเหวี่ยงทำให้เฟืองขับปั๊มจ่ายเชื้อ เพลิงหมุน ลูกเบี้ยวเยื้องศูนย์อัดลูกปั๊มให้ทำงาน โดยปริมาตรการดูดเชื้อเพลิงที่เข้าปั๊มจ่ายเชื้อเพลิงนี้ถูกควบคุมด้วยลิ้น ควบคุมการดูด (Suction Control Valve หรือ SCV) แล้วจากนั้นลูกปั๊มจะถูกอัดกระแทกจากลูกเบี้ยวเยื้องศูนย์ให้อัดเชื้อเพลิง ออกทางลิ้นกันกลับด้านส่ง จ่ายเชื้อเพลิงความดันสูงไปสะสมยังรางร่วม
รางร่วม (Common Rail) หมายถึงท่อร่วมเชื้อเพลิง เป็นท่อหรือห้องสะสมความดันเพื่อจ่ายเชื้อเพลิงไปยังหัวฉีดสูบแต่ละสูบผ่าน ทางท่อฉีดเชื้อเพลิง และที่ปลายด้านหนึ่งของรางร่วมจะมีตัวจำกัดความดัน เพื่อป้องกันมิให้ความดันเชื้อเพลิงมีค่าสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้สูงสุด บางแบบมีลิ้นควบคุมการระบายความดัน หรือ Common Rail มี 2 แบบคือแบบทรงกระบอกยาว (นิยมใช้เป็นส่วนใหญ่) กับแบบทรงกระบอกสั้น
หัวฉีด (INJECTOR) หลักการทำงานของหัวฉีดคือขณะที่ยังไม่ฉีดเชื้อเพลิงในตำแหน่งนี้ลิ้นโซเลนอยด์จะปิดช่องทางของห้องควบคุมความดันสูงของเชื้อเพลิงเข้ากระทำตามลูกศร ซึ่งจะมีพื้นที่หน้าตัดมากกว่าห้องความดันที่ด้านล่างของเข็มหัวฉีด ดังนั้นตรงหน้าลิ้นของเข็มหัวฉีดจึงถูกกดให้อยู่ในตำแหน่งปิดสนิท เชื้อเพลิงความดันสูงไม่อาจรั่วออกไปจากปลายหัวฉีดได้ ในขณะที่มีสัญญาณการฉีดจาก ECU ส่งไปยังหน่วยส่งแรงขับด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EDU) แรงเคลื่อนสูง (ประมาณ 100 V ) จะไหลผ่านเข้าขดลวดโซเลนอยด์ของหัวฉีดครบวงจร ซึ่งจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กเอาชนะแรงของสปริงที่กดอยู่ด้านบนของลิ้นโซเลนอยด์ ลิ้นโซเลนอยด์จึงยกขึ้น เปิดช่องทางของห้องควบคุมทำให้ความดันในห้องควบคุมตกเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นความดันเชื้อเพลิงที่ด้านล่างของเข็มหัวฉีดจะยกเข็มหัวฉีดเปิดช่อง ทางให้เชื้อเพลิงไหลผ่านลิ้นหัวฉีดผ่านรูหัวฉีด (หลายรู) ให้เป็นฝอยละออง
เป็นยังไงกันบ้างครับกับการทำงานของระบบเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลหรือแบบรางร่วมนั่นเองครับ พอจะเห็นภาพกันบ้างหรือยัง คงพอจะนึกกันออกแล้วใช่มั้ยครับว่าทำไมถึงสามารถโมดิฟายให้มันแรงได้อย่างไม่ยากนัก ทางทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเกร็ดความรู้เหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูดองค์ความรู้ให้กับท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย คอลัมน์หน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรนั้นต้องคอยติดตามดูกันครับ….สวัสดีครับ…
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่ากราบสวัสดีแฟนๆ REAL TIME CAR MAGAZINE ที่น่ารักทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับคอลัมน์เกร็ดความรู้กับเรื่องราวของเครื่องยนต์ ที่ผ่านมาก็ได้นำเสนอรายละเอียดของเครื่องยนต์ไปแล้วมากมายหลากหลายค่าย มีให้เห็นทั้งสูบตั้งสูบหมุน ระบบเครื่องยนต์แบบ N/A และแบบ TURBO แต่สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะพาไปรู้จักเครื่องยนต์แบบ นอนยันกันบ้าง…เอ๊ะ!!อะไรนอนยัน ก็คือเครื่องสูบนอนนั่นแหละครับหรือเรียกกันว่า BOXER นั่นเองครับ
ไอ้เจ้าเครื่องยนต์ BOXERตัวนี้เราจะเห็นมันประจำการอยู่ในรถจากค่ายดาวลูกไก่ SUBARU นั่นเองครับ ซึ่งรถค่ายนี้หลายท่านอาจจะคุ้นหูกันในการแข่งขัน RALLY ซึ่งก็เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่โด่งดังใน WOLD RALLY สมรรถนะจะดีแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึงแหละครับถ้าได้ผ่านสนามอันสุดโหดอย่าง WOLD RALLY มาแล้ว
เครื่องยนต์ BOXER มันดีอย่างไร เครื่องยนต์ลูกสูบนอนของซูบารุ (HORIZONTALLY-OPPOSED ENGINES) ทำให้การออกแบบชุดขับเคลื่อนสามารถทำได้จริง ปัจจัยสำคัญในการปรับแต่งเครื่องยนต์แบบนี้คือลูกสูบซึ่งเคลื่อนที่ตรงกัน ข้ามกันช่วยรักษาสมดุลของแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ซึ่งกันและกัน เครื่องยนต์แบบนี้จะให้พลังขับเคลื่อนอย่างนุ่มนวล, ไร้การสะดุดและต่อเนื่องตามรอบการหมุนของเครื่องยนต์ (อีกครั้งหนึ่งการสร้างให้เกิดความสมมาตรเป็นเคล็ดลับที่สำคัญ) ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้น การออกแบบเครื่องยนต์ให้สั้นลงและตื้นมากขึ้นเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์อื่นๆ ทำให้เครื่องยนต์ของซูบารุมีความแน่น, น้ำหนักเบา และแข็งแกร่ง โดยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้เราสามารถติดตั้งเครื่องยนต์ต่ำลงไปในโครงรถยนต์ เพื่อให้เกิดจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงไปอีก เรียกได้ว่าเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ตำแหน่งของเครื่องยนต์วางแบบ LOW CG ส่งผลดีไปถึงเรื่องของการทรงตัวในการขับขี่
เครื่องยนต์ BOXER มีความสมดุลมากกว่า นอกจากจะ มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำแล้ว เครื่องยนต์ BOXER ยังมีโครงสร้างที่มีความสมมาตรซ้าย-ขวา ซึ่งทำให้สามารถกระจายน้ำหนักได้ลงสู่ล้อซ้าย-ขวาได้อย่างสมดุล การที่รถสามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุลนั้น จะส่งผลดีต่อการทรงตัวในขณะเข้าโค้ง และยังเพิ่มความเสถียรในขณะวิ่งทางตรงอีกด้วย
เครื่องยนต์ BOXER มีแรงสั่นสะเทือนที่น้อยกว่า เนื่องจากการเคลื่อนที่ของลูกสูบของเครื่องยนต์ Boxer จะเป็นการเคลื่อนที่ในแนวนอน โดยที่ลูกสูบจะเคลื่อนที่ออกไปด้านข้างทั้งซ้ายและขวาพร้อมๆกัน การเคลื่อนที่แบบสวนทางกันของลูกสูบทั้งสองนี้จะช่วยหักล้างแรงสั่นสะเทือน ที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์ ส่งผลให้เครื่องยนต์มีการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนที่น้อยลง ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น
เครื่องยนต์ BOXER มีน้ำหนักน้อยกว่า ถ้าเปรียบ เทียบกับเครื่องยนต์สูบเรียงแล้ว เครื่องยนต์ BOXERจะมีขนาดกระทัดรัดและเล็กกว่ามาก ส่งผลให้มีน้ำหนักน้อยกว่า สำหรับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์อยู่ที่ตำแหน่งด้านหน้ารถแล้ว การที่เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบาจะส่งผลให้รถสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ทำให้ผู้ขับไม่ต้องออกแรงมากในการหักเลี้ยว ซึ่งจะช่วยให้สามารถหักหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างทันที ซึ่งก็กว่าจะ Design คิดค้นกันมาได้ มันก็ต้องไม่ธรรมดากว่าค่ายอื่นๆอย่างแน่นอน อีกหนึ่งอย่างเครื่องยนต์แบบสูบนอ อย่าง BOXER มีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นขณะสตาร์ทดีกว่าเครื่องยนต์ปกติเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า การสึกหรอของเครื่องยนต์จะเกิดขึ้นมากที่สุดในตอนที่เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ด้วยเหตุที่ว่าน้ำมันเครื่องไม่สามารถไปหล่อลื่นพื้นผิวของกระบอกสูบได้ อย่างทันท่วงที ทำให้ลูกสูบเสียดสีกับผนังกระบอกสูบโดยตรง จึงเกิดการสึกหรอภายในกระบอกสูบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเครื่องยนต์ BOXER แล้วการที่ลูกสูบนอนระนาบไปกับแนวพื้นโลก ทำให้ยังคงมีน้ำมันเครื่องบางส่วนเคลือบอยู่ที่บริเวณผนังกระบอกสูบ เพราะฉะนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว เครื่องยนต์ BOXER จึงมีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นในขณะสตาร์ทดีกว่า เครื่องยนต์โดยทั่วไป ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์มีอายุการใช้งานที่นานกว่า เครื่องยนต์ปกติ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเครื่องยนต์แบบนอนยัน BOXER แหมๆๆๆ…มันดีอย่างนี้นี่เองถึงได้ติดอันดับ WOLD RALLY ทุกปี รู้แบบนี้กันแล้วเพื่อนๆหลายท่านที่กำลังจะซื้อรถใหม่ก็ยังเปลี่ยนใจทันน้ะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ยังคงมีเกร็ดความรู้มาฝากเพื่อนๆกันอีกเช่นเคยครับ สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดคุยกันในเรื่องของแบตเตอรี่รถยนต์ หลายคนอาจจะรู้จักหรืออาจจะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จัก และบางคนไม่รู้ว่ามันมีหน้าที่อะไรและเราควรดูแลรักษามันอย่างไร เพื่อที่จะให้เจ้าแบตเตอรี่มันอยู่กับเราไปนานๆ และแบตเตอรี่มีให้เลือกใช้งานกี่ประเภท แบบไหนเหมาะกับรถคุณ เราจะมาอธิบายให้ได้รู้กันแบบเข้าใจง่ายๆแบบภาษาเช้าบ้านกันเลยครับ
- แบตเตอรี่มีกี่ประเภท ตอบกันแบบสั้นๆง่ายๆครับว่ามี 2ประเภท
1 แบตเตอรี่เปียก แบตเตอรี่ชนิดนี้ถือว่าเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายซึ่งก็จะแบ่งออกได้เป็นสองประเภทก็คือ แบบที่ต้องดูแลเติมน้ำกลั่นบ่อย และแบบที่ไม่ต้องดูแลเติมน้ำกลั่นบ่อย อายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1ปีครึ่ง-2ปี ซึ่งก็ขึ้นอยู่ที่การใช้งานและการดูแลรักษาของแต่ลคนอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อถึงระยะเวลาที่ควรจะเปลี่ยนก็ไม่ควรที่จะยื้อเวลาให้นานเกินไป อาจส่งผลเสียให้กับรถของท่านได้
2 แบตเตอรี่แห้ง แบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถใช้งานกันแบบสบายใจกันไปเลยครับ เปลี่ยนเสร็จก็ใช้กันยาวๆ ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องน้ำกลั่น อายุการใช้งานยาวนาน 5-10ปีกันเลยทีเดียว แต่ราคาค่าตัวก็สูงขึ้นไปตามมาตรฐานนั่นแหละครับ อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนครับ
- ดูแลรักษาอย่างไรให้แบตเตอรี่อยู่กับเราจนครบอายุไข หัวข้อนี้เราจะพูดถึงแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นครับ ด้านบนของแบตเตอรี่จะมีช่องสำหรับเติมน้ำ ให้หมั่นคอยเปิดฝาดูทุกช่องว่าน้ำในแบเตอรี่ยุบลงไปต่ำกว่าขีดหรือไม่ถ้าต่ำกว่าขีดให้เติมน้ำกลั่นได้ทันที ในการเติมน้ำกลั่นทุกครั้งห้ามเติมให้ล้นออกมา ควรเติมให้อยู่ในตำแหน่งที่ระบุไว้
- จะรู้ได้อย่างไรว่าแบตเตอรี่จะหมดอายุ เบื้องต้นดูจากระยะการใช้งานก่อนว่าใกล้ถึงระยะกำหนดที่จะเปลี่ยนหรือยัง วิธีสังเกตอีกหนึ่งอย่างก็คือใช้การฟังเสียงเมื่อเราสตาร์ทรถ ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าเวลาที่เราสตาร์ทรถแล้วเสียงมันดูช้าๆเหนือยๆ ไม่เร็วเหมือนตอนเปลี่ยนไหม่ๆ นั่นคืออาการของแบตเตอรี่เริ่มมีกำลังไฟที่อ่อนลงแล้ว ควรที่จะเปลี่ยนได้ทันที
เมื่อรู้กันแล้วก็อย่าลืมหมั่นเปิดฝากระโปรงรถตรวจเช็คแบตเตอรี่กันด้วยน้ะครับ จะได้ยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีก ช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันหลายวัน ใช้รถใช้ถนนกันด้วยความระมัดระวังน้ะครับ ด้วยความห่วงใยจาก REAL TIME CAR MAGAZINE
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ว่ากันด้วยเรื่องของน้ำมันเครื่อง สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาบอกให้หลายๆท่านได้กระจ่างรู้แจ้งเห็นจริงกันในเรื่องของการเลือกซื้อน้ำมันเครื่อง และความหมายของตัวเลขที่อยู่บนแกลอนน้ำมันเครื่องที่เราซื้อใช้กันอยู่นั้นมันคืออะไร มันบอกอะไรเราจะอธิบายกันแบบให้เข้าใจง่ายๆไม่ซับซ้อนครับ เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่านทุกท่าน
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับตัวน้ำมันเครื่องกันก่อนครับว่ามันมีหน้าที่อะไร ทำไมถึงต้องใส่เข้าไปในเครื่องยนต์ นึกภาพตามง่ายๆน้ะครับ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ผลิตจากวัสดุที่เป็นเหล็กและเมื่อเครื่องยนต์มีการทำงานสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเสียดสีกันครับ และเมื่อมีการเสียดสีกันเป็นเวลานานมากยิ่งขึ้นแน่นอนที่สุดครับ เกิดการสึกหรอขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อลดการสึกหรอของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ จึงต้องมี สารชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่าน้ำมันเครื่องเข้ามาช่วยในเรื่องของการหล่อลื่นและลดการเสียดสี ซึ่งสารตัวนี้จึงต้องมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถทนต่อความร้อนที่เกิดขึ้นได้ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน และยังต้องสามารถรักษาสถานะให้คงอยู่ได้ดีในอุณภูมิปกติหรือต่ำกว่าได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย
การวัดความต้านทานการเป็นไข โดยวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ต่ำลงมาจนถึงจุดเยือกแข็งตั่งแต่ 0 องศา จนถึงต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยมีตัวอักษรระบุไว้เป็นตัวอักษร W หรือ WINTER เช่น
0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
ส่วนเรื่องของค่าความหนืด การวัดค่าความหนืดจะวัดกันที่ 100 องศาเซลเซียส ได้เป็นออกมาเป็นค่าความหนืด แทนค่าออกมาเป็นตัวเลขเรียกว่า เบอร์ของน้ำมันเครื่อง เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก ทุกๆสถาบันจึงได้แทนค่าความหนืด ออกมาเป็นตัวเลขในรูปของเบอร์ของน้ำมันเครื่อง เช่น 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 ค่าตัวเลขยิ่งมากยิ่งมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยยิ่งมีความหนืดน้อยตามลำดับ
ทีนี้เรามาดูกันครับว่าน้ำมันเครื่องที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาดนั้นมีกี่แบบและแบบไหนที่จะเหมาะกับรถของเราครับ
1. น้ำมันเครื่องธรรมดา(มีความหนืด) (Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม สามารถใช้งานได้ประมาณ 3,000-5,000 กม.
2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์(หนืดเล็กน้อย) (Semi Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับน้ำมันเครื่องชนิด สังเคราะห์ สามารถใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กม.
3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์(ใส) (Fully Synthetic) เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์จากน้ำมัน ปิโตรเลียม สามารถใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กม.
สรุปกันแบบเข้าใจง่ายๆน้ะครับ รถยนต์รุ่นใหม่ๆหรือรถที่ยังใหม่อยู่ใช้น้ำมันเครื่องแบบ FULLY Synthetic และ Semi Syntetic ได้ เนื่องจากเครื่องยนต์ยังคงความสดอยู่ไม่มีการสึกหรอ ส่วนรถกลางเก่ากลางใหม่ก็สามารถใช้ Semi Synthetic ได้ ส่วนรถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์รุ่นเก่าควรใช้แบบ Synthetic เนื่องจากเครื่องยนต์มีการใช้งานมานานหลายปีมีความสึกหรอเกิดขึ้นบ้างตามกาลเวลา จึงต้องอาศัยความหนืดของน้ำมันเครื่องเข้ามาช่วงปกป้องเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ที่สุด…แห่งดีไซน์ที่เหนือระดับ
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดหลักคือ “Advanced Energetic Smart Star” ซึ่งเป็นการยกระดับ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ให้เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นในระดับเดียวกัน ด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่โฉบเฉี่ยวในสไตล์สปอร์ตยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ทั้งยังให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม
ให้ความสะดวกสบายขณะขับขี่ และความปลอดภัยตลอดทุกการเดินทาง- สปอร์ต ในทุกมุมมอง ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Man Maximum, Machine Minimum” ที่เน้นความสปอร์ตด้วยรูปทรงที่ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้ แต่ยังคง
ให้ความกว้างขวางและสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร - อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้นำเอาเทคโนโลยีการลดน้ำหนักของตัวรถ
มาใช้ในหลายจุด อาทิ เครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ตัวถังและแชสซีส์ รวมถึงการพัฒนาเครื่องยนต์ภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม และการออกแบบตัวรถให้สอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งช่วย
เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน - ความสะดวกสบายที่ครบครัน ภายในห้องโดยสารของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มีความกว้างขวางและสะดวกสบาย นอกจากนี้ ผู้โดยสารยังสนุกสนานและเพลิดเพลินกับความบันเทิงในระหว่างการเดินทางอีกด้วย
การออกแบบภายนอก
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิดการออกแบบภายนอก “Advanced Energetic Design”
เพื่อสื่อถึงการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาผสมผสานกับการออกแบบตัวถังที่กว้างและต่ำในสไตล์สปอร์ต รวมถึงความโดดเด่นตามแบบฉบับยนตรกรรมซีดาน โดยได้รับการพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกให้ดูหรูหรา และเพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้น อาทิ- ระบบไฟหน้าแบบ LED นับเป็นครั้งแรกของยนตรกรรมซับคอมแพคท์ที่มีการติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ในทุกรุ่น นอกจากนี้ยังติดตั้งไฟหน้าแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)โดยระบบไฟแบบ LED ประกอบไปด้วยแถวหลอด LED ที่เรียงตัวเป็นแนวยาว การสะท้อนแสงจากไฟ LED ด้วย Reflector ภายในโคมไฟ ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนทั้งขณะขับขี่ในเวลากลางคืน หรือขณะ
ฝนตกหนักจนทำให้ทัศนวิสัยด้านหน้าไม่ชัดเจน ซึ่งจะทำงานโดยใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น - ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มาพร้อมล้อลายใหม่ดีไซน์สปอร์ต ได้แก่ ล้ออัลลอยขนาด
15 นิ้ว (เฉพาะรุ่น V และ V+) และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) - กระจังหน้าแบบโครเมียม พร้อมกันชนหน้า-หลัง ดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต
การออกแบบภายในห้องโดยสาร
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายในห้องโดยสารใหม่ ภายใต้แนวคิด “Rich & Sophisticated” เพื่อให้สัมผัสที่หรูหรา และความสปอร์ตที่มากขึ้น พร้อมเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น อาทิ
- ไฟส่องสว่างแบบ LED ได้แก่ ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า (เฉพาะรุ่น SV+) และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV+)
- คอนโซลด้านหน้า ออกแบบโดยการผสมผสานวัสดุที่มีพื้นผิวต่างกันได้อย่างลงตัวระหว่างแผงหน้าปัดพื้นผิวสีดำ และแผงคอนโซลตรงกลางรูปตัว T ในโทนสีเมทัลลิกเข้ม ทำให้ดูโดดเด่นมากขึ้น ขณะที่การตกแต่งตามจุดต่างๆ ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกที่หรูหราในสไตล์สปอร์ตมากยิ่งขึ้นด้วยโทนสีกันเมทัลลิก (Gun Metallic) สำหรับพื้นที่ส่วนบนของแผงหน้าปัดถูกออกแบบให้ดูแบนเรียบ ช่วยเพิ่ม
ทัศนวิสัยในการขับขี่ยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังเพิ่มรายละเอียดในการตกแต่งบริเวณช่องแอร์ รอบบริเวณคันเกียร์ และรอบมาตรวัด ด้วยวงแหวนสีเงิน ทำให้ภายในห้องโดยสารมีความสวยงามโดดเด่นมากยิ่งขึ้น สำหรับมาตรวัดเรืองแสงแบบ 3 วง ได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูมีมิติยิ่งขึ้น พร้อมไฟเรืองแสงสีขาวขณะสตาร์ทรถ ให้ความรู้สึกที่หรูหราและทันสมัย
- เบาะนั่งสไตล์สปอร์ต ด้วยการเลือกใช้วัสดุผ้าที่มีคุณภาพ ให้สัมผัสที่สบาย และออกแบบในสไตล์สปอร์ตด้วยการเดินด้ายเย็บแบบ 2 แถว
นอกจากนี้ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ยังมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+) เบาะที่นั่งด้านหลังปรับพับได้ 60:40 (เฉพาะรุ่น SV+) ลำโพง 8 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) ติดตั้งตามจุดต่างๆ ในห้องโดยสาร อาทิ บริเวณแผงประตูด้านหน้าของเบาะหน้า และด้านหลังของเบาะหลัง ช่องจ่ายไฟสำรองบริเวณด้านหน้า 1 ตำแหน่ง (ทุกรุ่น) และเพิ่มช่องจ่ายไฟสำรองสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)
พร้อมกันนี้ ยังมี HONDA CITY ที่มาพร้อชุดแต่ง Modulo มาให้ชมด้วยนะครับ มาดูกันว่าสวยขนาดไหนนะครับ บอกได้คำเดียว คุณต้องชอบแน่นอน
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine - สปอร์ต ในทุกมุมมอง ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Man Maximum, Machine Minimum” ที่เน้นความสปอร์ตด้วยรูปทรงที่ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้ แต่ยังคง
-
ตัวอักษรควรรู้บนยางรถยนต์
กลับมาพบกันอีกเช่นเคยครับกับคอลัมน์เกร็ดความรู้ในเรื่องของรถยนต์ สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดกันเรื่องของยางรถยนต์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ หลายคนที่ใช้รถอาจจะยังไม่เข้าใจและอาจจะไม่มีความรู้ในเรื่องของการเลือกใช้ยาง เพราะฉะนั้นเราจะมาอธิบายให้เพื่อนๆได้เข้าใจกันแบบง่ายของการเลือกใช้ยางรถยนต์คันโปรดของเรา อย่างน้อยก็จะได้ไม่ไปโดนร้านจำหน่ายยางที่ไม่ซื่อสัตย์หลอกหรือเอาเปรียบเอาได้
-. เลือกใช้ยางอย่างไรให้ถูกประเภท?
ยางรถยนต์ในปัจจุบันมีมากมายหลายยี่ห้อผลิตออกมาให้เหล่าบรรดาผู้ใช้รถได้เลือกซื้อกัน มีมากมายหลายรุ่น ถามว่าแล้วแบบไหนล่ะจะเหมาะกับรถเรามากที่สุด ว่ากันง่ายๆแบบเห็นภาพชัดๆครับ ยางแก้มหนาและยางแก้มบาง แน่นอนที่สุดครับยางที่แก้มหนาย่อมจะมีความนุ่มนวนมากว่าอยู่แล้ว เหมาะกับรถทุกประเภท ยางแบบนี้จะเห็นกันอยู่ทั่วไปกับรถสแตนดาร์ดออกศูนย์ ข้อดีของยางแบบนี้ก็คือความนุ่มนวนในการขับขี่จะสัมผัสได้อย่างชัดเจน ส่วนยางแก้มบางหรือยางแก้มเตี้ย หลายคนอาจเปลี่ยนเพราะความสวยงามแต่หลายคนเปลี่ยนเพราะต้องการสมรรถณะที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งยางแบบนี้จะมีผลดีในเรื่องของการใช้ความเร็ว จะสามารถควบคุมรถได้อย่างแม่ยำมากขึ้น ด้วยแก้มยางที่บางจึงมีการให้ตัวน้อยจึงเป็นผลให้การควบคุมรถดียิ่งขั้นแต่ก็จะสูญเสียความนุ่มนวนไปบ้าง การใส่ยางแก้มเตี้ยเราอาจจะสัมผัสสิ่งที่อยู่บนท้องถนนได้ชัดเจนกว่ายางแก้มหนา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับการใช้งานแหละครับ-.ขนาดของยางดูอย่างไร?
อย่างเช่น 205/45/R17
205 คือความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
45 คือ ความสูงของแก้มยางเท่ากับ 75%ของความกว้างยาง
R คือ ชนิดของยาง ซึ่งตอนนี้ก็จะเป็นเรเดียลเกือบทั้งหมด
17 คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
-.เลือกดูยางอย่างไรไม่ให้เจอยางเก่าเก็บ?
ง่ายนิดเดียวครับสำหรับการดูวันผลิตของยางสังเกตกันง่ายๆ(แต่อาจต้องมองหากันนิดนึง) ตัวเลขบอกวันผลิตนั้นจะอยู่ในกรอบรูปแค๊ปซูลหรือวงรี อย่างเช่น 2804 จะตีความหมายเป็นคู่ คู่แรก28 คือ ผลิตอาทิตย์ที่ 28 บอกได้ว่าผลิตเมื่อเดือนกรกฎาคม ส่วนคู่ที่สอง 04 คือ ปีที่ผลิต 2004 นั่นเองครับ
-.จุดกลมๆสีเหลืองๆที่อยู่บนแก้มยางคืออะไร?
จุดสีเหลืองนี้ เรียกว่าจุด weight mark ซึ่งผู้ผลิตยางรถยนต์ จะทำเครื่องหมายด้วยการแต้มสีลงบนส่วนที่เบาที่สุดของยาง เพื่อให้ช่างทราบว่า ส่วนใดมีน้ำหนักเบาที่สุด บนยางรถยนต์เส้นนี้ และก็ควรใส่ยางโดยเอาจุ๊บลม (ซึ่งมีน้ำหนักถ่วง) ให้ตรงกับจุดสีเหลืองนั้น เพื่อที่จะได้เกิดความสมมาตรมากที่สุด เวลาที่ถ่วงล้อ
เป็นยังไงกันบ้างครับ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเกร็ดความรู้เบื้องต้นเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการเลือกซื้อยางรถยนต์ สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการรู้เรื่องราวของยางหรือข้อมูลรายละเอียดของยางที่ลึกกว่านี้ต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ
-
ที่สุด…แห่งดีไซน์ที่เหนือระดับ
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดหลักคือ “Advanced Energetic Smart Star” ซึ่งเป็นการยกระดับ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ให้เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นในระดับเดียวกัน ด้วยการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่โฉบเฉี่ยวในสไตล์สปอร์ตยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ทั้งยังให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม
ให้ความสะดวกสบายขณะขับขี่ และความปลอดภัยตลอดทุกการเดินทาง- สปอร์ต ในทุกมุมมอง ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Man Maximum, Machine Minimum” ที่เน้นความสปอร์ตด้วยรูปทรงที่ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้ แต่ยังคง
ให้ความกว้างขวางและสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร - อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้นำเอาเทคโนโลยีการลดน้ำหนักของตัวรถ
มาใช้ในหลายจุด อาทิ เครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ตัวถังและแชสซีส์ รวมถึงการพัฒนาเครื่องยนต์ภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม และการออกแบบตัวรถให้สอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งช่วย
เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน - ความสะดวกสบายที่ครบครัน ภายในห้องโดยสารของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มีความกว้างขวางและสะดวกสบาย นอกจากนี้ ผู้โดยสารยังสนุกสนานและเพลิดเพลินกับความบันเทิงในระหว่างการเดินทางอีกด้วย
การออกแบบภายนอก
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิดการออกแบบภายนอก “Advanced Energetic Design”
เพื่อสื่อถึงการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาผสมผสานกับการออกแบบตัวถังที่กว้างและต่ำในสไตล์สปอร์ต รวมถึงความโดดเด่นตามแบบฉบับยนตรกรรมซีดาน โดยได้รับการพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกให้ดูหรูหรา และเพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้น อาทิ- ระบบไฟหน้าแบบ LED นับเป็นครั้งแรกของยนตรกรรมซับคอมแพคท์ที่มีการติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ในทุกรุ่น นอกจากนี้ยังติดตั้งไฟหน้าแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)โดยระบบไฟแบบ LED ประกอบไปด้วยแถวหลอด LED ที่เรียงตัวเป็นแนวยาว การสะท้อนแสงจากไฟ LED ด้วย Reflector ภายในโคมไฟ ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนทั้งขณะขับขี่ในเวลากลางคืน หรือขณะ
ฝนตกหนักจนทำให้ทัศนวิสัยด้านหน้าไม่ชัดเจน ซึ่งจะทำงานโดยใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น - ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มาพร้อมล้อลายใหม่ดีไซน์สปอร์ต ได้แก่ ล้ออัลลอยขนาด
15 นิ้ว (เฉพาะรุ่น V และ V+) และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) - กระจังหน้าแบบโครเมียม พร้อมกันชนหน้า-หลัง ดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต
การออกแบบภายในห้องโดยสาร
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายในห้องโดยสารใหม่ ภายใต้แนวคิด “Rich & Sophisticated” เพื่อให้สัมผัสที่หรูหรา และความสปอร์ตที่มากขึ้น พร้อมเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น อาทิ
- ไฟส่องสว่างแบบ LED ได้แก่ ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า (เฉพาะรุ่น SV+) และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV+)
- คอนโซลด้านหน้า ออกแบบโดยการผสมผสานวัสดุที่มีพื้นผิวต่างกันได้อย่างลงตัวระหว่างแผงหน้าปัดพื้นผิวสีดำ และแผงคอนโซลตรงกลางรูปตัว T ในโทนสีเมทัลลิกเข้ม ทำให้ดูโดดเด่นมากขึ้น ขณะที่การตกแต่งตามจุดต่างๆ ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกที่หรูหราในสไตล์สปอร์ตมากยิ่งขึ้นด้วยโทนสีกันเมทัลลิก (Gun Metallic) สำหรับพื้นที่ส่วนบนของแผงหน้าปัดถูกออกแบบให้ดูแบนเรียบ ช่วยเพิ่ม
ทัศนวิสัยในการขับขี่ยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังเพิ่มรายละเอียดในการตกแต่งบริเวณช่องแอร์ รอบบริเวณคันเกียร์ และรอบมาตรวัด ด้วยวงแหวนสีเงิน ทำให้ภายในห้องโดยสารมีความสวยงามโดดเด่นมากยิ่งขึ้น สำหรับมาตรวัดเรืองแสงแบบ 3 วง ได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูมีมิติยิ่งขึ้น พร้อมไฟเรืองแสงสีขาวขณะสตาร์ทรถ ให้ความรู้สึกที่หรูหราและทันสมัย
- เบาะนั่งสไตล์สปอร์ต ด้วยการเลือกใช้วัสดุผ้าที่มีคุณภาพ ให้สัมผัสที่สบาย และออกแบบในสไตล์สปอร์ตด้วยการเดินด้ายเย็บแบบ 2 แถว
นอกจากนี้ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ยังมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+) เบาะที่นั่งด้านหลังปรับพับได้ 60:40 (เฉพาะรุ่น SV+) ลำโพง 8 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) ติดตั้งตามจุดต่างๆ ในห้องโดยสาร อาทิ บริเวณแผงประตูด้านหน้าของเบาะหน้า และด้านหลังของเบาะหลัง ช่องจ่ายไฟสำรองบริเวณด้านหน้า 1 ตำแหน่ง (ทุกรุ่น) และเพิ่มช่องจ่ายไฟสำรองสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)
พร้อมกันนี้ ยังมี HONDA CITY ที่มาพร้อชุดแต่ง Modulo มาให้ชมด้วยนะครับ มาดูกันว่าสวยขนาดไหนนะครับ บอกได้คำเดียว คุณต้องชอบแน่นอน
- สปอร์ต ในทุกมุมมอง ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Man Maximum, Machine Minimum” ที่เน้นความสปอร์ตด้วยรูปทรงที่ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้ แต่ยังคง