• ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Toyota… แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นที่ครองใจคนทั่วโลก

    3 Min Read

    ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Toyota… แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นที่ครองใจคนทั่วโลก

    เราทุกคนคงจะรู้จัก Toyota กันเป็นอย่างดี หลายๆ คนใช้รถแบรนด์นี้กันอยู่ แต่เรื่องราวเบื้องหลังนั้นหลายๆ คนอาจจะลืมไปแล้วว่ามีจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอุตสาหกรรมยานยนต์เลย สกู๊ตนี้จะเล่าย้อนประวัติศาสตร์ว่า กว่าจะมีวันนี้ได้ Toyota เคยผ่านอะไรมาบ้าง

    เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 1920 นาย Kiichiro Toyoda ที่มีความสนใจในหลักการทำงานของเครื่องทอผ้า จากการที่ นาย Sakichi Toyoda พ่อของ Kiichiro เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตสิ่งทอ Toyoda Boshoku เขาเรียนจบภาควิชาวิศวะเครื่องกล มหาวิทยาลัยโตเกียว โดยตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล” และเรียนต่อในคณะนิติศาสตร์อีกประมาณ 7 เดือน Kiichiro ก็เดินทางกลับมาทำงานในบริษัทของพ่อ ที่เมือง Nagoya

    ต่อมาปี 1921 Kiichiro เดินทางไปศึกษาดูงานอุตสาหกรรมทอผ้าทั้งในยุโรป และอเมริกา แต่สิ่งที่เขาเห็นแล้วต้องเหวอ ก็คือถนนหนทางในเมืองนอก มีแต่รถยนต์เต็มไปหมด ทำให้คิดขึ้นมาว่ายุคสมัยของรถยนต์จะต้องมาถึงญี่ปุ่นในสักวันนึง

    การเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ ในญี่ปุ่นสมัยก่อนนั้นส่วนใหญ่จะเดินทางด้วยรถไฟ จนกระทั่งในปี 1923 ก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.9 ริกเตอร์ขึ้นในเขตภูมิภาค Kanto ขึ้น ทำให้ทางรถไฟหลายสายพังเสียหาย รัฐบาลญี่ปุ่นจึงต้องสั่งซื้อโครงรถกระบะจาก Ford มาทำเป็นรถโดยสารชั่วคราวในชื่อ Ford TT Entarou-Bus ที่นั่งก็จะคล้ายกับรถสองแถว และทำให้แนวคิดของ Henry Ford ว่ารถยนต์ต้องเป็นอะไรที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ใครๆ ก็ซื้อได้ ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย หรู แพง เริ่มมีอิทธิพลมาถึงญี่ปุ่นในที่สุด

    ในปี 1924 Sakichi Toyoda ผู้เป็นพ่อในวัย 57 ปี ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องทอผ้าอัตโนมัติขึ้นมาในชื่อว่า Toyoda Model G ความพิเศษของเครื่องทอผ้าตัวนี้ คือสามารถหยุดการทำงานด้วยตัวเองได้เมื่อเกิดเหตุขัดข้อง ทำให้ช่างสามารถเข้ามาแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ซึ่งต่อมาก็กลายมาเป็นรากฐานให้กับกรรมวิธีในการผลิตรถมาจนถึงปัจจุบัน และถูกจดทะเบียนให้เป็นมรดกทางวิศวกรรมของประเทศญี่ปุ่นในปี 2007

    2 ปีต่อมา ในปี 1926 พ่อ-ลูก ตระกูล Toyoda ก็ได้ก่อตั้งบริษัท Toyoda Automatic Loom Works เพื่อผลิตเครื่องทอผ้าโดยเฉพาะ และ Kiichiro ที่เริ่มสนใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ และลองเอาระบบการผลิตแบบสายพานมาใช้กับการผลิตเครื่องทอผ้า ก่อนจะสั่งนำเข้าเครื่องจักรที่จำเป็นเตรียมไว้สำหรับการผลิตรถในเวลาต่อมา รวมถึงยังซื้อรถ Chevrolet มาทดลองชำแหละชิ้นส่วนและประกอบใหม่ร่วมกับทีมวิศวกร ทำอย่างนี้ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับวิธีการประกอบรถยนต์

    นอกจากนี้ในปี 1929 สิทธิบัตรของเครื่องทอผ้า Toyoda Model G ก็ถูกขายให้กับบริษัท Platt Bros.จากอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสิ่งทอรายใหญ่ที่สุดในโลก ช่วงศตวรรษที่ 19 ด้วยราคา 1 แสนปอนด์ หรือเท่ากับ 270 ล้านบาทไทย ในปัจจุบัน โดยที่ Kiichiro เดินทางไปเซ็นรับรองการโอนสิทธิบัตรด้วยตัวเอง

    ในช่วงที่ Kiichiro เดินทางไปต่างประเทศเป็นรอบที่สองนี้เอง เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนไปเร็วมาก และยังเดินทางไปดูโรงงาน Ford Motor ที่เมือง Detroit รัฐ Michigan สหรัฐอเมริกา

    หลังจากที่เดินทางกลับมาญี่ปุ่น บริษัท Toyoda Automatic Loom Works เกิดปัญหาขึ้นมา เมื่อยอดขายเครื่องทอผ้าลดหายไปกว่าครึ่ง จากปัญหาเศรษฐกิจที่สะสมมาทั้ง สงครามโลกครั้งที่ 1, เหตุแผ่นดินไหวใน Kanto และ วันอังคารทมิฬ แถม Sakichi Toyoda ผู้เป็นพ่อก็ยังจากโลกนี้ไป ในวันที่ 30 ตุลาคม ปี 1930 ด้วยวัย 63 ปี

    รถยนต์ Toyota รุ่นแรก

    Kiichiro ต้องขึ้นมาบริหารบริษัท Toyoda Automatic Loom Works ต่อจากพ่อ และเปิดแผนกยานยนต์ขึ้นมาในวันที่ 1 กันยายน ปี 1933 และพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นแรกในชื่อ Type A เมื่อวันที่ 25 กันยายน ปี 1934 ก่อนจะเปิดตัวรถยนต์ซีดานต้นแบบรุ่นแรกในชื่อ A1 เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1935

    ในวันที่ 25 สิงหาคม ปี 1935 รถบรรทุก G1 ถูกพัฒนาขึ้นและปล่อยออกสู่ท้องตลาดในวันที่ 21 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน โดยมียอดการผลิตทั้งหมด 379 คัน สนนราคาอยู่ที่ 2,900 เยน หรือ 19,500 บาทไทย ในปัจจุบัน

    ถัดมาในเดือนเมษายนปี 1936 รถ A1 รุ่น Minorchange ก็ปล่อยออกสู่ท้องตลาดในชื่อว่า AA สนนราคาอยู่ที่ 3,350 เยน หรือเท่ากับ 22,100 บาทในปัจจุบัน ในเดือนต่อมาเดือนพฤษภาคม โรงงานแห่งใหม่ในเมือง Kariya จังหวัด Aichi ก็ถูกก่อสร้างจนแล้วเสร็จ และในเดือนกรกฎาคม ปี 1936 Toyota มีการส่งออกรถไปวางขายในตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยเริ่มจากเอารถบรรทุก G1 ไปขายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน จนกระทั่งในวันที่ 19 กันยายน ปี 1936 รัฐบาลจักรวรรดิญี่ปุ่น กำหนดให้ Toyoda Automatic Loom Works เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างเป็นทางการ

    จุดเริ่มต้นของชื่อ Toyota

    จากเดิมที่สายการผลิตรถยนต์ถูกผลิตขึ้นภายใต้แบรนด์ที่ชื่อว่า Toyoda ซึ่งเมื่อเขียนเป็นตัวคันจิแล้วจะมีความหมายว่า “นาข้าวที่อุดมสมบูรณ์” จะสังเกตได้จากตัวอักษรตัวหลังที่เป็นช่องสี่เหลี่ยมเหมือนนาข้าว ปัญหาคือ ชื่อมันไม่ตรงกับสายการผลิตรถยนต์ ก็มีการจัดแคมเปญประกวดชื่อและโลโก้ใหม่ขึ้นมา ซึ่งก็มีผู้เข้าร่วมประกวดกว่า 27,000 ราย สุดท้ายมาจบที่ไอเดียของ Rizaburo Toyoda พี่เขยของ Kiichiro ด้วยการเอานามสกุล Toyoda (トヨダ) มาเขียนเป็นตัวอักษรคาตาคานะ ซึ่งจะมีจำนวนเส้นทั้งหมด 10 เส้น ก่อนจะตัดเอาเครื่องหมายเสียงขุ่นที่เรียกว่า てんてん (tenten) ออกให้เหลือ 8 เส้น ทำให้ต้องออกเสียงเป็น Toyota ตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเลข 8 ก็ถือได้ว่าเป็นเลขมงคลตามความเชื่อของหลากหลายวัฒนธรรม รวมถึงประเทศไทยบ้านเราที่สื่อถึง ความโชคดี ความสุขความเจริญ และความสำเร็จ

    หลังจากที่ได้ชื่อนี้ออกมาแล้วก็มีการจดทะเบียนในชื่อ บริษัท Toyota Motor จำกัด ในวันที่ 28 สิงหาคม ปี 1937 พร้อมแต่งตั้งให้ Rizaburo Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการคนแรกของ Toyota Motor ในขณะที่ Kiichiro ผู้ก่อตั้งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการ

    ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

    Toyota Motor กลายมาเป็นหัวเรือใหญ่ในการผลิตรถบรรทุกขนส่งสำหรับใช้งานในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จนวันที่ 14 สิงหาคม ปี 1945 ใน 1 วันก่อนจักรวรรดิญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม โรงงานผลิตรถยนต์ของ Toyota ที่ตั้งอยู่ในเมือง Koromo ถูกกองทัพพันธมิตรทิ้งระเบิดใส่จนพังเสียหาย และหลังจากที่แพ้สงคราม

    กองกำลังยึดครองจากสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกว่า General Headquarter หรือเรียกย่อๆ ว่า GHQ ประกาศสั่งห้ามไม่ให้ Toyota ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังสามารถผลิตรถกระบะ และรถบรรทุกสำหรับพลเรือนได้ แต่เนื่องด้วยสภาพของญี่ปุ่นหลังแพ้สงครามที่ย่ำแย่ ทำให้ Toyota ขาดแคลนวัสดุ และไม่สามารถผลิตรถให้ถึงเป้าที่ 500 คันต่อเดือน นอกจากนี้ทางสหรัฐอเมริกายังอนุญาตให้ Toyota ศึกษาและวิจัยรถยนต์นั่งได้ และยังต้องรับงานซ่อมยานพาหนะของกองทัพสหรัฐฯ

    วิบากกรรมยุคสงครามเย็น

    ในปี 1947 ก็เป็นช่วงที่เกิดสงครามเย็นขึ้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจเสรีประชาธิปไตย ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา และขั้วอำนาจคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ สหภาพโซเวียต ทำให้ GHQ ต้องเปลี่ยนนโยบายจาก การลงโทษ และปฏิรูปการเมืองในญี่ปุ่นให้เป็นประชาธิปไตย กลายมาเป็นนโยบาย Dodge Line ที่เน้นในเรื่องของการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง, ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองขึ้นมา ทำให้ Toyota สามารถกลับมาผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พิกัดเครื่องยนต์ต้องไม่เกิน 1.5 ลิตร และผลิตไม่เกิน 300 คันต่อปี

    ในช่วงเดือนตุลาคม Toyota ก็ออกรถรุ่น SA ซึ่งเป็นรถนั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของยุคหลังสงคราม ภายใต้ชื่อแบรนด์ว่า Toyopet ที่คนไทยหลายๆ คนเรียกติดปากว่า “โตโยเป็ด” ซึ่งเจ้า SA คันนี้เปิดตัวมาด้วยตัวถังที่มีขนาดเล็ก พร้อมเครื่องยนต์ Type S 4 สูบเรียงขนาด 1.0 L 27 แรงม้า ถึงแม้ว่าจะเป็นรถที่มีคำวิจารณ์ออกมาดีก็ตาม แต่ก็ยังทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ ด้วยยอดขายเพียงแต่ 197 คัน ในช่วง 5 เดือนแรกหลังจากเปิดตัว ในขณะที่ตลาดรถกระบะสามารถทำยอดขายได้ดีกว่ามาก ยอดขายมากกว่า 12,000 คัน

    นโยบาย Dodge Line ที่ GHQ บังคับใช้นั้น เนื่องจากเป็นความพยายามในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 360 เยนต่อ 1 USD แต่นั่นกลับทำให้ยิ่งพังมากกว่าเดิม เพราะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นต้องขาดแคลนเงินทุน ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงอัตราการว่างงาน, ความต้องการรถยนต์ในตลาดเริ่มถดถอย, การเช่าซื้อรถกระบะเริ่มปั่นป่วนจากการที่มีลูกค้าผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และธุรกิจต่างๆ กว่า 8,000 แห่งต้องล้มละลายในปี 1949

    Kiichiro หาวิธีการต่างๆ มากมายที่จะช่วยลดต้นทุนกับค่าวัสดุลง แต่ Toyota ต้องประสบกับภาวะขาดดุลถึง 22 ล้านเยนทุกๆ เดือน จนในเดือนสิงหาคม ปี 1949 Kiichiro เสนอข้อตกลงให้มีลดค่าจ้างพนักงานลง 10% และลดเงินเกษียนลงครึ่งหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างพนักงาน ถ้าถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ นั่นก็เพราะว่าเขาเคยประสบปัญหาแบบนี้มาแล้วในช่วงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากเหตุการณ์ต่างๆ ช่วงปี 1930 และไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ต้องกลับมาซ้ำรอยแบบนี้อีก

    Kiichiro ตัดสินใจที่จะตระเวนไปขอกู้เงินตามแบงค์ต่างๆ กว่า 24 แห่งมาใช้เป็นเงินทุนในการฟื้นฟู Toyota ไปทั้งหมด 188.2 ล้านเยน เมื่อเทียบอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันจะเท่ากับ 4,000 – 5,000 ล้านเยน หรือเท่ากับ 1,170 ล้านบาท จนทำให้ Toyota สามารถรอดจากวิกฤตล้มละลายมาได้ แต่ปัญหายังมีต่ออีก เพราะ Feedback ของ Toyota ไม่มีการฟื้นตัวเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า ค่าวัสดุและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ในขณะที่ราคารถย่ำอยู่กับที่ตามนโยบาย Dodge Line ทำให้ Kiichiro ซึ่งเป็นโรคความดันเลือดสูงอยู่แล้ว เครียดมากจนล้มป่วยไป และในวันที่ 22 เมษายนปี 1950 Toyota ประกาศเกษียนพนักงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการผิดคำสัญญาไว้ที่ว่าจะไม่เลิกจ้างพนักงาน และสร้างความไม่พอใจมากจน แห่กันหยุดงานประท้วงยาวถึง 2 เดือน ทำให้อัตราการผลิตรถในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ร่วงลงมา 70% และแล้วเรื่องที่ทำให้คนรักรถ Toyota ในตอนนั้นต้องช็อกก็เกิดขึ้น เมื่อ Kiichiro Toyoda ตัดสินใจลาออกจาก Toyota ในวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1950 เพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทำให้การหยุดงานประท้วงต้องยุติลง

    สงครามเกาหลี กับยุคฟื้นฟู

    ในช่วงสงครามเกาหลีที่กำลังปะทุขึ้นมา ทำให้กองกำลังสหประชาชาติ ต้องสั่งซื้อของมากมายจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กับสนามรบมากที่สุด หนึ่งในนั้นคือการสั่งซื้อรถบรรทุก Toyota BM อย่างเร่งด่วนรวมทั้งหมด 4,679 คัน มูลค่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ 3,660 ล้านเยน หรือ ประมาณ 23,400 ล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก เนื่องจากเป็นช่วงยุคที่อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในช่วงนั้นไม่แน่นอนเอามากๆ ดิ้นอยู่ตลอดเวลา

    Toyota Jeep BJ บรรพบุรุษของ Toyota Land Cruiser

    Toyota จึงกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการยกเลิกนโยบาย Dodge Line ทำให้ Toyota สามารถกำหนดราคารถให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตได้ พร้อมกันนั้นทาง Toyota ยังมีการเอาแบบของ Willys Jeep มาผลิตรถอเนกประสงค์ป้อนให้กองกำลังสหประชาชาติในชื่อว่า Toyota “Jeep” BJ ซึ่งต่อมาเจ้ารถอเนกประสงค์รุ่นนี้ก็กลายมาเป็นบรรพบุรุษของราชาแห่งรถ SUV Toyota Land Cruiser

    ย้อนกลับไป เมื่อต้นปี 1950 Toyota ได้มีการลงนามข้อตกลงกับ Ford ให้รับเอาวิศวกรจำนวน 3 คนมาควบคุมดูแลการผลิตที่ญี่ปุ่น แต่หลังจากที่เกิดสงครามเกาหลี รัฐบาลสหรัฐฯ มีการสั่งห้ามลงทุนในต่างประเทศ และห้ามส่งบุคลากรสำคัญๆ ไปต่างประเทศ ทำให้ข้อตกลงนี้ต้องแก้ไขใหม่ครับเป็นการส่งพนักงานของ Toyota ไปฝึกอบรมในสำนักงานใหญ่ของ Ford ที่สหรัฐอเมริกาแทน หนึ่งในตัวแทนของ Toyota ก็คือ Eiji Toyoda ลูกพี่ลูกน้องของ Kiichiro ซึ่งใช้เวลาฝึกอบรมไปทั้งหมด 1 เดือนครึ่ง แต่ว่าความรู้ที่ได้จากการเดินทางไปดูงานกับ Ford นั้นยังใช้ไม่ได้กับ Toyota ทั้งด้วยเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสต็อกสินค้า และทรัพยากรที่ยังมีไม่มากเพราะยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2

    Taiichi Ohno วิศวกรของ Toyota ที่ได้ไปฝึกอบรมกับ Ford มาเหมือนกันก็เอาไอเดียการจัดเก็บสินค้าตามห้างในสหรัฐอเมริกา และกระบวนการผลิตแบบ Just In Time มาปรับใช้กับแนวคิดเครื่องจักรทำงานอัตโนมัติ และหยุดทำงานได้เองเมื่อเกิดข้อผิดพลาด เหมือนเครื่องทอผ้า Model G ที่ Sakichi Toyoda เคยคิดค้นเมื่อนานมาแล้ว รวมถึงแนวคิดการปรับปรุงกระบวนการทำงานแบบต่อเนื่อง ออกมาเป็นระบบการผลิต Toyota Production System  และปรัชญาการผลิต The Toyota Way หรือ “วิถิแห่งโตโยต้า” นั่นจึงทำให้ Taiichi Ohno ถูกเรียกว่า “บิดาแห่งการผลิตแบบ Toyota”

    Toyota Crown กับความสำเร็จที่ Kiichiro ไม่มีวันได้เห็น

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา การผลิตรถของ Toyota จะเป็นการจ้าง Outsource ตามที่ต่างๆ มาผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และประกอบขึ้นบนเฟรมรถกระบะที่ Toyota ผลิตขึ้นมาเอง จนกระทั่งในปี 1952 Toyopet Crown หรือ Toyota Crown ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรถที่ผลิตโดย Toyota เองทั้งคัน ก็ได้เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกด้วยการทดสอบวิ่งบนเส้นทางที่แคบ ขรุขระ และประสบความสำเร็จ ก่อนจะปล่อยออกสู่ท้องตลาดจริงในเดือนสิงหาคม ปี 1955

    และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แถมได้รีวิวเชิงบวกจากสื่อทั่วโลก แถมยังเป็นรถยนต์ Toyota รุ่นแรกที่ถูกใช้ในงานราชการตำรวจ และ ยังเอามาใช้เป็นรถแท็กซี่อีกด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะก่อนที่ Toyopet Crown คันนี้จะวางขาย Kiichiro Toyoda ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันจากโรคหลอดเลือดสมอง ในวันที่ 27 มีนาคม ปี 1952 ด้วยวัยเพียง 57 ปี

    Toyota Land Cruiser (J20)

    ภายหลังความสำเร็จของ Crown Toyota ก็เริ่มรุกตลาดต่างประเทศอย่างหนักด้วยการส่ง Toyota Land Cruiser รุ่น J20 ซึ่งเป็นโฉมที่ 2 ไปขายในตลาดซาดุดิอาระเบีย โดยมี Sheikh Abdul Latif Jameel เป็นตัวแทนนำเข้า และยังส่งออกไปยังประเทศข้างๆ อย่าง เยเมน ในปี 1956 นั่นจึงทำให้มักจะกลายเป็นภาพจำว่า Toyota Land Cruiser มักจะอยู่คู่กับเศรษฐีตะวันออกกลาง

    Toyota ในตลาดอเมริกา กับเรื่องตลกที่ควรรู้

    ในปี 1958  Toyota ตั้งฐานการผลิตนอกญี่ปุ่นแห่งแรกขึ้นในประเทศบราซิล และเริ่มส่งออกรถ Toyopet Crown ไปขายในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็มีเรื่องตลกที่อย่างนึงครับ คือเมื่อ Toyota มาทำตลาดในสหรัฐอเมริกา ก็มีปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องของการออกเสียงชื่อแบรนด์จากที่ควรจะเป็น To-Yo-Ta ก็เพี้ยนมาเป็น Toy-O-Ta ซึ่งคำว่า “Toy” ในพยางค์แรกนั้นก็แปลว่า “ของเล่น” และมีเรื่องเล่าว่าเมื่อมีการจัดงานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ หรือมีงานประชุมอะไรสักอย่าง บางครั้งก็จะมีคนออกเสียงชื่อแบรนด์ว่า Toy-O-Ta แล้วฝ่ายการตลาดก็จะต้องแก้ไขว่า “No No No No No เราเรียกว่า To-Yo-Ta” จนกลายเป็นเรื่องตลกกันในกลุ่ม หรือนอกจากนี้ยังมีประโยคปั่นๆอีกว่า “ถ้าเรียกว่า Toy-O-Ta แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น” จนกลายเป็นมุขที่เล่นกันระหว่างการโปรโมทและการขาย

    ถึงแม้ Toyopet Crown จะเป็นรถที่ดีมีคุณภาพ แต่เมื่อข้ามทะเลมาที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ปรากฏว่า “ขายไม่ดี” ด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาสูงเกินไป, ถูกออกแบบมาสำหรับวิ่งสมบุกสมบันบนถนนขรุขระของญี่ปุ่น ไม่ได้เน้นแรงม้าเยอะๆ แต่ไม่ตอบโจทย์ถนนของสหรัฐฯ ที่เรียบๆ เหมาะสำหรับวิ่งด้วยความเร็วสูง, ขนาดที่เล็กเกินไปสำหรับรูปร่างของคนอเมริกันส่วนใหญ่ และที่สำคัญครับ ชื่อของ Toyopet ที่สะกดแยกออกมามีคำว่า Toy ที่แปลว่า “ของเล่น” กับ Pet ที่แปลว่า “สัตว์เลี้ยง” ก็ยังสร้างความเข้าใจผิดว่านี่ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ด้วย นั่นจึงทำให้ Toyopet Crown ถูกระงับการขายในช่วงต้นยุค 60

    ยุคปาฏิหาริย์ แห่งเศรษฐกิจ

    หลังจากนั้นมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาผงาดอีกครั้ง เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น” เป็นช่วงยุคที่ผู้คนในญี่ปุ่นเริ่มมีกิน มีใช้ และเข้าถึงรถราคาประหยัดได้ง่ายขึ้น

    และในปี 1962 บริษัท Toyota Motor (ประเทศไทย) จำกัด ก็ถูกก่อตั้งขึ้น เป็นฐานการผลิตรถยนต์ Toyota แห่งแรกในเอเชียนอกเกาะญี่ปุ่น ซึ่งโรงงานแห่งแรกตั้งอยู่ สำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ และในปลายปี 1966 Toyota ก็เปิดตัว Corolla โฉมแรก ในเวลาต่อมาก็กลายมาเป็นรถที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 50 ล้านคัน ทั่วโลก ก่อนที่ต่อมา Eiji Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ในปี 1967 พร้อมกับเข้าซื้อหุ้นของ Daihatsu เพื่อร่วมมือกันพัฒนารถขนาดเล็กตั้งแต่ Kei car ไปจนถึง Kei truck

    ภายในปีนั้นเอง Toyota 2000GT ก็เปิดตัวเป็นครั้งแรกในฐานะ “รถแกรนด์ ทัวร์ริ่ง และ ซูเปอร์คาร์รุ่นแรกของญี่ปุ่น” และกลายมาเป็นรถคลาสสิกในตำนานที่มีราคาประมูลสูงที่สุดของ Toyota

    ในตลาดสหรัฐอเมริกา ปี 1965 Toyota สามารถแก้ตัวได้สำเร็จด้วยการส่ง Corona โฉมที่ 2 ไปขาย ซึ่งมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ทรงพลังมากขึ้น ทำให้ยอดขายรถ Toyota ในตลาดสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 20,000 คัน และกลายเป็นแบรนด์รถยนต์นำเข้าที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับสาม ในปี 1966

    จนมาถึงปี 1971 Toyota ร่วมทุนกับบริษัท Astra ตั้งฐานการผลิตเพิ่มที่ประเทศอินโดนีเซียภายใต้ชื่อ Toyota Astra Motor และผลิตรถยนต์รุ่นต่างๆ ออกมาได้มากกว่า 10,000 คัน ภายใน 3 ปี ก่อนที่ต่อมาในปี 1973 Toyota จับมือกับผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฟิลิปปินส์ Delta Motor ในการผลิตเครื่องยนต์ 12R สำหรับรถ Corona, Hilux และ Hiace

    Toyota Kijang (1976)

    ผ่านไปจนถึงช่วงระหว่างปี 1976-1977 Toyota เปิดตัวรถ Segment ใหม่ที่เรียกว่า Basic Utility Vehicle หรือ BUV เพื่อตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยที่ในตลาดอินโดนีเซียใช้ชื่อว่า Toyota Kijang  และตลาดฟิลิปปินส์ใช้ชื่อว่า Toyota Tamaraw

    ต่อมาในปี 1972 Toyota ได้ทำการเจรจาข้อตกลงกับบริษัท Atlas Fabricators ซึ่งตั้งอยู่ที่ เมือง Long Beach, California เพื่อนำเข้ารถกระบะ Hilux ที่ไม่มีกระบะท้ายมาประกอบในแผ่นดินสหรัฐฯ ตั้งแต่โฉมแรก ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการเสียภาษีไก่ที่เก็บกันบ้าเลือดถึง 25% ดังนั้นภาษีเพียงอย่างเดียวที่จะต้องเสียก็มีเพียงแค่ ภาษีศุลกากร 4% เท่านั้น ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ช่องโหว่ก็ถูกปิดไปภายในเวลาไม่นาน จนทำให้ Toyota ต้องควบรวมกับ Atlas มาเป็นบริษัท Toyota Auto Body และกลายเป็นฐานการผลิตแห่งแรกของอเมริกาเหนือในเวลาต่อมา แต่วิธีการผลิตยังคงเป็นการนำเข้าหัวมาประกอบกับกระบะท้ายเหมือนเดิมจนมาถึงโฉมสุดท้ายนั่นก็คือ โฉมที่ 5 หรือที่ในตลาดประเทศไทยเรียกว่า Mighty-X

    ในปี 1976 Toyota ก่อตั้งแผนก Toyota Racing Development หรือ TRD เพื่อพัฒนารถแข่ง และเอาเทคโนโลยีจากสนามมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ที่ผลิตวางขายทั่วไป โดยเริ่มต้นจากการพัฒนารถแข่งสำหรับการแข่งขัน NASCAR ในสหรัฐอเมริกา ก่อนจะขยายขอบเขตไปที่รายการอื่นๆ อีกเพียบ

    และในปี 1981 Eiji Toyoda ลงจากตำแหน่งประธานกรรมการ พร้อมแต่งตั้งให้ Shoichiro Toyoda ลูกชายของ Kiichiro ขึ้นมาเป็นประธานกรรมการคนใหม่ และ จากเดิมที่ Toyota Motor ในญี่ปุ่นเคยแยกกันเป็น 2 บริษัท โดยที่เจ้าหนึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายขาย และอีกเจ้าหนึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายผลิต และทำงานเข้าขากันได้ไม่ค่อยดีนัก ขนาดที่ว่า Hino Satoshi ยังเคยกล่าวในหนังสือ “ถอดรหัส DNA Toyota” ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2006 เอาไว้ว่า ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 บริษัทย่อยนี้เหมือน “น้ำ กับ น้ำมัน”

    ถอดรหัส DNA โตโยต้า (ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ปี พ.ศ. 2551)

    Shoichiro กลายเป็นคนที่สามารถผนวกรวมทั้ง 2 บริษัทนี้กลายมาเป็นบริษัทเดียวภายใต้ชื่อ Toyota Motor Corporation ได้สำเร็จ หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการไม่ถึงเดือน

    Toyota Sprinter Trueno AE86

    และในช่วงยุคนี้เองที่ Toyota ให้กำเนิดรถยนต์ Coupe และ Sedan ขายดีอีกหลายต่อหลายรุ่น ทั้ง Supra, Mark II, Cresta, Chaser, Celica, Corolla Levin หรือแม้กระทั่ง รถส่งเต้าหู้ Sprinter Trueno AE86

    ต่อมาในเดือนธันวาคม 1984 Toyota ลงนามข้อตกลงร่วมกับ General Motor ก่อตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาในชื่อว่า NUMMI และตั้งฐานการผลิตที่เมือง Fremont, California โดยมี Tatsuro Toyoda น้องชายของ Shoichiro มาดูแลโรงงานแห่งนี้ และรถคันแรกสุดที่ปล่อยออกจากโรงงานนี้คือ Corolla FX16 สีขาว ในวันที่ 7 ตุลาคมปี 1986

    กำเนิด Lexus

    วันเวลาผ่านไปจนถึงปี 1989 Toyota ก็ได้มีการอัปเดต โลโก้ใหม่ ให้เป็นรูปวงรีสามวงซ้อนกันที่หลายๆ คนคุ้นเคยและเรียกติดปากว่า “สามห่วง” ที่สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างตัวรถ กับ ลูกค้า แถมยังเป็นโลโก้ที่ซ่อนชื่อภาษาอังกฤษ ได้แนบเนียนสุดๆ

    Lexus LS400

    พร้อมกันนั้นยังเปิดตัวแบรนด์ลูกเจ้าใหม่ที่มุ่งเน้นตลาดรถระดับพรีเมียมโดยเฉพาะ นั่นก็คือ Lexus นี่เองครับ และรถรุ่นแรกของแบรนด์นี้คือ LS400 ที่สร้างขึ้นจากการระดมสมองของนักออกแบบ 60 คน วิศวกร 1,400 คน แบ่งเป็น 24 ทีม ช่าง 2,300 คน และพนักงานสนับสนุนอีก 220 คน พัฒนารถตัวต้นแบบกว่า 450 แบบ ใช้เงินทุนในการพัฒนามากกว่า 1,000 ล้าน USD หรือมากกว่า 3 หมื่นล้านกว่าบาท และใช้เวลาพัฒนาถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี 1983

    ยุคแห่งพลังงาน Hybrid

    ในปี 1992 Toyota ก็เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเป็นครั้งแรก หรือก็คือ Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) ซึ่งต่อมาก็จะกลายมาเป็นรากฐานในการพัฒนา Toyota Mirai

    Toyota Prius (1997)

    เดือนธันวาคมปี 1997 Toyota ก้าวเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฮบริดด้วยการเปิดตัว Prius และเป็นรถยนต์ HEV รุ่นแรกของโลก และขายเฉพาะในญี่ปุ่นก่อนในช่วง 2 ปีแรก ก่อนที่ในปีต่อมา Toyota ก็เพิ่มการถือหุ้น Daihatsu ขึ้นมาเป็น 51 % ทำให้ Toyota มีอำนาจควบคุม Daihatsu อย่างเต็มตัว ทำให้ในปัจจุบันมีรถยนต์ Toyota ที่เอา Daihatsu มาแปะโลโก้เป็นจำนวนมาก เช่น Copen ที่ขายในชื่อ Toyota Copen GR Sport, Hijet ที่ขายในชื่อ Pixis, Rocky ที่ขายในชื่อ Toyota Raize, Xenia ที่ขายในชื่อ Toyota Avanza และ Veloz และในปี 2001 Toyota จับมือเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันกับผู้ผลิต รถบัส, รถบรรทุก Hino Motor  และตั้งฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศฝรั่งเศสโดยได้รับความร่วมมือจาก Citroen และ Peugeot

    ในปี 2003 Toyota ก่อตั้งแบรนด์ Scion เพื่อเจาะตลาดอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ แต่สุดท้ายก็กลับมาเป็น Toyota เหมือนเดิมในปี 2016

    และในปี 2007 Toyota ที่สร้างผลงานในวงการมอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนาน ก็ก่อตั้งแผนกใหม่ขึ้นมาเพื่อพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูง และฟอร์มทีมแข่งขันสำหรับรายการต่างๆ โดยเฉพาะ นั่นก็คือ Toyota Gazoo Racing โดยในปัจจุบัน มีรถที่เปิดตัวอยู่ภายใต้

    Toyota GR86

     

    Toyota GR Supra

    Toyota GR Yaris

    Toyota GR Corolla

    แบรนด์นี้อยู่ 4 รุ่น ได้แก่ GR Supra, GR Yaris, GR86 และ GR Corolla รวมถึงยังมีรถ Toyota เดิมที่แต่งขึ้นมาเป็นพิเศษอย่าง Gazoo Racing Tuned by “Meister of Nurburgring” หรือในชื่อย่อว่า GRMN ที่เน้นสมรรถนะสูงสุด และมีการปรับแต่งอย่างละเอียดทุกส่วน ผลิตขึ้นมาจำนวนจำกัด และยังมี GR Sport ซึ่งเป็นรถรุ่นตกแต่งพิเศษที่เพิ่มความสปอร์ตทั้งภายนอกและภายในไว้มีโอกาสหน้า เราอาจจะได้เล่าประวัติศาสตร์เรื่องราวของ Gazoo Racing แยกมา

    วิกฤตครั้งใหม่ของ Toyota

    ในปี 2008 Toyota ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลก แซง General Motors ที่ครองแชมป์มา 80 ปี แต่ความสำเร็จนี้ยังมีปัญหาในเงามืดที่ต้องเจอ เมื่อ Toyota ได้รับผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ จนทำให้ประสบภาวะขาดทุนหนักที่สุดในรอบ 70 ปี ทำให้ในเดือนมกราคมปี 2009 Toyota ต้องสั่งหยุดโรงงานทั้งหมดในญี่ปุ่นถึง 11 วัน เพื่อลดอัตราการผลิต และควบคุมปริมาณรถค้างสต็อกให้น้อยที่สุด

    ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2009-2011 Toyota ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เรียกคืนรถยนต์ครั้งใหญ่ทั่วโลกกว่า 9 ล้านคัน ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เรียกคืนรถยนต์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็มี 3 สาเหตุหลัก ทั้งเกิดจากพรมปูพื้นของรถยนต์บางรุ่นเลื่อนออกจากตำแหน่งจนไปติดคันเร่ง ทำให้คันเร่งติดค้าง, คันเร่งไฟฟ้าค้าง ลดความเร็วไม่ได้ และ Toyota Prius รุ่นปี 2010 พบว่าระบบเบรกไฮบริดทำงานผิดปกติจนไม่สามารถควบคุมการเบรกได้

    เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกิดจากอาการผิดปกติของรถไม่ต่ำกว่า 37 ราย และ Toyota ยังถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับเป็นเงินกว่า 1.2 พันล้าน USD จากข้อกล่าวหาที่ว่าจงใจปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องด้านความปลอดภัย

    Akio Toyoda

    จากเรื่องอื้อฉาวที่ว่ามานี้ทำให้ Katsuaki Watanabe ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ Toyota ในตอนนั้นตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ Akio Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนในวันที่ 23 มิถุนายนปี 2009

    ในปี 2011 Toyota ที่ยังไม่ฟื้นตัวดีจากวิกฤตที่ผ่านมาก็ยังถูกซ้ำเติมอย่างหนักด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น และภัยน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย ทำให้สูญเสียกำลังการผลิตกว่า 150,000 คันจากเหตุแผ่นดินไหว และ 240,000 คันจากน้ำท่วม

    ยุคสมัยแห่งพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม

    Toyota Mirai (2014)

    ในเดือนธันวาคม ปี 2014 Toyota Mirai ที่พัฒนาจากเทคโนโลยีพลังงานไฮโดรเจนตั้งแต่ปี 1992 ก็เปิดตัวให้วางขายจริงเป็นโฉมแรก แล้วในปี 2020 Toyota หลังจากที่ต้องผ่านมรสุมต่างๆ มากมายจนไม่อาจเล่าได้ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ทวงคืนตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกกลับมาได้ และขายรถยนต์ไปได้ 9,528,000 คันทั่วโลก ถึงแม้ว่ายอดขายจะลดลงจากเกิด 11.3% เพราะเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดก็ตาม ในวันที่ 2 เมษายน  ของปีนั้น Toyota ลงนามข้อตกลงก่อตั้งบบริษัทร่วมทุนกับผู้ผลิตรถไฟฟ้าสัญชาติจีน BYD เพื่อศึกษาและพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

    ในเดือนมีนาคม 2021 Toyota, Hino และ Isuzu ประกาศร่วมมือกันเพื่อพัฒนารถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจน โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ในชื่อว่า Commercial Japan Partnership Corporation และยังมีการแลกเปลี่ยนหุ้นกันอีกด้วย

    Toyota bZ4X (2023)

    ในเดือนเมษายนปี 2022 Toyota เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก นั่นคือ bZ4X และในเดือนมกราคม 2023 Akio Toyoda สละตำแหน่งประธานกรรมการ และ CEO เพื่อส่งไม้ต่อให้กับ Koji Sato ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ Lexus กับ Gazoo Racing อยู่ ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน

    นี่คือเรื่องราวมหากาพย์ตำนาน 88 ปี ของ Toyota จากเครื่องทอผ้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยีใหม่ มาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ประวัติของ Chevrolet

    2 Min Read

    ประวัติของ Chevrolet

    บัมเบิ้ลบี หุ่นตัวเอกจากมหากาฬหนังชื่อดังที่ทุกคนต่างรู้จักกันดีอย่าง Transformers แต่หากรู้ไม่ว่าหลายๆคนอาจไม่รู้ว่า บัลเบิ้มบี นั้นเป็นรถของแบรนด์ Chevrolet ก่อนที่จะประกาศยุติการจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยในปี 2020 แต่กว่าจะขึ้นเป็น Chevrolet ได้ทุกวันนี้ต้องผ่านเรื่องราวสุดทรหดเป็นมายังไง?

    Chevrolet เริ่มต้นขึ้นมาจากนาย หลุย์ โจเซฟ เชฟโวเลต เกิดในวันคริสต์มาส ปี 1878 ที่เมือง ลาโชเดอฟงส์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยที่ โจเซฟ เฟอร์ริซอร์ท เชฟโวเลต ผู้เป็นพ่อทำงานเป็นช่างทำนาฬิกา และยังเป็นลูกคนที่สองของ 7 พี่น้องตระกูล Chevrolet จนเข้าสู่วัย 8-9 ขวบ และครอบครัวย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในเมือง Beaune ประเทศฝรั่งเศส เมื่อธุรกิจทำนาฬิกาของพ่อมาถึงช่วงขาลง หลุย์ ก็เริ่มพัฒนาทักษะฝีมือช่างกลในวัย 11 ขวบด้วยการซ่อมจักรยาน รวมถึงเข้าแข่งขันจักรยานในรายการต่างๆ

    จุดเปลี่ยนของ หลุย์ เกิดขึ้นเมื่อเขารับงานซ่อมรถจักรไอน้ำ 3 ล้อ ที่โรงแรม “Hôtel de la Poste” ซึ่งรถคันนี้เป็นรถ Made in USA ของมหาเศรษฐีตระกูล แวนเดอร์บิลต์ โดยตระกูลนี้นับว่าเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดเป็นอันดับต้นๆ มาตั้งแต่ยุคทองคำเปลวในสหรัฐอเมริกา เริ่มสร้างตัวครั้งแรกจากการถือหุ้นธุรกิจส่งสินค้า และทางรถไฟ ก่อนที่จะขยายไปยัง อุตสาหกรรมเกษตร เหมืองแร่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยันธุรกิจการเงิน ในธุรกิจปัจจุบันที่เราๆคุ้นเคยกันดี เช่น แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า General Electric หรือ บริการโอนเงินระหว่างประเทศ Western Union เป็นต้น

    อาเธอร์ เชฟโวเลต

    แกสตัน เชฟโวเลต

    งานซ่อมรถในครั้งนี้ทำให้เขาหลงสเน่ห์ในวงการยานยนต์ และซอฟท์พาวเวอร์ของชาวอเมริกันเข้าเต็มๆ หลุย์ จึงตัดสินใจศึกษาหาความรู้เรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายใน พร้อมหางานทำภายในประเทศฝรั่งเศสที่เขาอาศัยอยู่เพื่อเก็บเงินเดินทางไปหางานทำที่เมือง Montreal ประเทศแคนาดา ซึ่งเขาทำงานเป็นคนขับรถและช่างยนต์อยู่ประมาณ 2-3 เดือน ก่อนที่จะเดินทางไปนิวยอร์ก และได้งานทำเป็นช่างให้กับค่ายรถชื่อดัง De Dion-Bouton ในช่วงปี 1900 นอกจากนี้เขายังส่งเงินเก็บไปให้ อาเธอร์ และ แกสตัน เชฟโวเลต ผู้เป็นน้องชาย เพื่อใช้เป็นค่าเดินทางมาหาเขาอีกด้วย

    จนในปี 1902 เมื่อ De Dion-Bouton สาขาอเมริกาปิดตัวลง หลุย์ ได้งานใหม่เป็นคนขับรถให้กับครอบครัวตระกูล เทรโวซ์ นั่นจึงทำให้เขาได้พบรักกับ ซูซันเนะ ลูกสาวของตระกูลนี้ และแต่งงานกันในเดือนกรกฎาคม ปี 1902 พร้อมทั้งให้กำเนิดลูกชายถึง 2 คนได้แก่ ชาร์ลส์ ในปี 1906 และ อัลเฟรด

    ในปี 1912 และในปี 1905 หลุย์ ได้เข้ามาทำงานและเป็นนักแข่งคว้าแชมป์ให้กับค่ายรถ Fiat ในรายการ AAA National Motor Car Championship สนาม Morris Park ซึ่งเป็นสนามแรกของรายการ ก่อนที่ต่อมาในปี 1907 หลุย์ ได้ย้ายไปทำงานกับค่ายรถ Autocar Company ในเมือง Philadelphia และพัฒนารถแข่งขับเคลื่อนล้อหน้า จนเขาได้กลายเป็นนักแข่งให้กับ Buick ในปี 1909 ทำให้เขาสนิทกับ วิลเลียม คราโป ดูแรนท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง General Motor ค่อนข้างมากและยังให้ หลุย์ พัฒนารถแข่งรุ่นใหม่ในชื่อว่า Buick 60 Special หรือในชื่อเล่นว่า “Buick Bug”

    • William C. Durant

    ในส่วนของ วิลเลียม คราโป ดูแรนท์ เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปี 1861 ที่เมือง Boston รัฐ Massachusetts เขาเป็นลูกคนที่ 2 ในตระกูลมั่งคั่งที่อพยพมาจากฝรั่งเศส ฟังดูเหมือนเขาจะมีฐานะที่เพียบพร้อม แต่ความจริงแล้วชีวิตเขากลับมีปัญหาอยู่พอสมควรจากการที่บ้านแตก ต้องย้ายตามแม่มาอยู่ที่เมือง Flint รัฐ Michigan หลังจากที่พ่อและแม่หย่าร้างกันในปี 1869 และเขายังต้องลาออกจากโรงเรียน ม.ปลาย เพื่อทำงานที่ลานไม้ของ เฮนรี่ เอช. คราโป ผู้ซึ่งเป็นตาและยังเป็นอดีตผู้ว่าการรัฐมิชิแกนอีกด้วย และนอกจากนี้ ดูแรนท์ ยังสู้ชีวิตทำงานขายซิการ์ พร้อมทั้งก่อตั้งบริษัทขนส่งซิการ์เป็นของตัวเอง

    จนกระทั่ง ในวันที่ 17 มิถุนายน ปี 1885 ดูแรนท์ ก็ได้แต่งงานกับ คลาร่า มิลเลอร์ พิตต์ และมีลูกด้วยกัน 2 คนได้แก่ มาร์เจอรี่ พิตต์ ดูแรนท์ (24 พ.ค. 1887) และ รัสเซส คลิฟฟ์ฟอร์ด ดูแรนท์ (26 พ.ย. 1890) ก่อนที่ต่อมาทั้งคู่ก็หย่าร้างกันในวันที่ 27 ปี 1908 แล้วในปี 1886 เขาก็จับมือกับ โจเซีย ดัลลัส ดอร์ต เพื่อก่อตั้งบริษัทผลิตรถม้าในชื่อ Flint Road Car Company ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Durant-Dort Carriage Company ในปี 1890 และกลายเป็นแบรนด์รถม้าที่ยักษ์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ณ เวลานั้น

    ทว่าตอนนั้น ดูแรนท์ เป็นคนที่มีความคิดต่อต้านรถยนต์สันดาปค่อนข้างมาก เพราะในยุคสมัยก่อนนั้น รถยนต์มีกลิ่นที่เหม็นมากจากการเผาไหม้น้ำมันเบนซิน และบวกกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังจนน่ารำคาญ จนกระทั่งกระแสต่อต้านของชาวเมือง Flint เริ่มรุนแรงขึ้นในปี 1900

    ดูแรนท์ ก็เริ่มมองเห็นโอกาสที่จะพัฒนารถยนต์ที่แก้ปัญหาตรงจุดนี้ด้วยการซื้อค่ายรถ Buick มาเป็นของตัวเอง และผลักดันจนกลายมาเป็นค่ายรถที่ขายดีที่สุดในอเมริกา ก่อนที่ต่อมาในวันที่ 16 กันยายน ปี 1908 ดูแรนท์ ก็ก่อตั้ง General Motor ขึ้นมาเพื่อควบรวมรถยนต์ค่ายต่างๆ มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ซึ่งวิธีการของ ดูแรนท์ ถือได้ว่าค่อนข้างบ้าระห่ำมาก เพราะเขาใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารมาซื้อค่ายรถหลายต่อหลายเจ้า ทั้ง Oldsmobile ในปี 1908, Pontiac, Cadillac และ GMC ในปี 1909 จนแล้วก็มีภาระหนี้ที่หนักหนาสาหัส ธนาคารต้องก้าวเข้ามารวบอำนาจการบริหารทั้งหมดเพื่อพยุงไม่ให้เจ๊ง และ ดูแรนท์ ก็ต้องวางมือจากการบริหาร GM ทั้งหมดในปี 1910

    • กำเนิด Chevrolet

    จนกระทั่งในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 1911 หลุย์ เชฟโวเลต, อาเธอร์ เชฟโวเลต และ วิลเลียม ซี. ดูแรนท์ ก็ก่อตั้งค่ายรถ Chevrolet ขึ้นมา พร้อมสร้างโรงงานแห่งแรกที่เมือง Flint อยู่อีกฟากของแม่น้ำตรงข้ามมหาวิทยาลัย Kettering ซึ่งในปัจจุบันก็เหลือแต่เป็นที่โล่งๆ ในชื่อว่า “Chevy Commons” รถรุ่นแรกของ Chevrolet ที่เปิดตัวคือ Series C Classic Six มาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ระบบวาล์ว T-Head ขนาด 5.0 ลิตร 40 แรงม้า แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรด้วยราคาที่แพงเกินไป

    • ปริศนาโลโก้ของ Chevrolet

    ต่อมาในปี 1914 ทาง Chevrolet ก็เริ่มมีการใช้โลโก้ Bowtie ในแบบที่เราต่างคุ้นเคยกันดีและน่าแปลกมาก เพราะที่มาที่ไปในการออกแบบโลโก้นี้กลับไม่ชัดเจน และมีการอธิบายออกมาอยู่หลายทฤษฎี โดยที่ ดูแรนท์ กล่าวว่ามาจากลายโบว์ไทด์ บนวอลล์เปเปอร์ผนังโรงแรมแห่งหนึ่งที่เคยไปพักในกรุง Paris ประเทศฝรั่งเศส ส่วน Margery ผู้เป็นลูกสาวก็กล่าวว่า โลโก้นี้ออกแบบในระหว่างที่ทั้งครอบครัวกำลังนั่งทานอาหารค่ำด้วยกัน

    ในขณะที่ คลาร่า ภรรยาเก่าของ ดูแรนท์ ก็กล่าวว่าเขาไปเห็นโลโก้โฆษณาบริษัทถ่านหินที่ชื่อว่า “Coalettes” ในระหว่างที่เขากำลังอ่านข่าวบนหนังสือพิมพ์ ก็เลยเอามาเป็นไอเดียในการออกแบบโลโก้ของ Chevrolet ตั้งแต่ในหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 1911 ทำให้ทฤษฎีที่มาการออกแบบโลโก้นี้ฟังดูมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่ก็มีบางทฤษฎีได้กล่าวว่า โลโก้ของ Chevrolet มีต้นแบบมาจากเครื่องหมายกาชาดบนธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ หลุย์ เชฟโวเลต

    • จุดแตกหัก

    ต่อมาในปี 1915 ก็เกิดปัญหากับ Chevrolet เข้าจนได้ เมื่อ หลุย์ ทะเลาะกับ ดูแรนท์ ในเรื่องของแนวคิดการผลิตรถยนต์ เพราะทาง หลุย์ มีความฝันที่อยากจะสร้างรถสปอร์ต แต่ ดูแรนท์ มองว่าการผลิตรถราคาประหยัด เอื้อมถึงได้ง่าย จะช่วยสร้างยอดขาย ทำกำไรได้ดีกว่า และทั้งบริษัทเองก็สนับสนุนของ ดูแรนท์ มากกว่า จนทำให้ หลุย์ ฟิวส์ขาดและขายหุ้นทิ้งไปในที่สุด

    ในปี 1916 Chevrolet ก็เปิดตัวรถ Series Four-Ninety ที่สร้างยอดขายได้อย่างงดงาม แต่ ดูแรนท์ สามารถเข้าซื้อกิจการ General Motor กลับคืนมาได้ และปิดดีลในปี 1918 พร้อมทั้งยังรวมเอา Chevrolet มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ในปี 1919 Chevrolet ขยายฐานการผลิตไปยังโรงงานอื่นๆ ในเครือ GM ได้แก่ ในเมือง Sleepy Hollow รัฐนิวยอร์ก, เมือง St.Louis รัฐมิสซูรี, เมือง Oakland รัฐแคลิฟอร์เนีย, เมือง Arlington รัฐเท็กซัส และโรงงานในต่างประเทศ ที่เมือง Oshawa รัฐออนแทริโอ ประเทศแคนาดา ภายในปีเดียวกันนี้ก็ได้มีการรีแบรนด์รถกระบะ GMC สำหรับการพาณิชย์ให้ผลิตในนาม Chevrolet อีกด้วย สายการผลิตของรถยนต์ Chevrolet ดำเนินไปอย่างเรื่อยๆ และแข่งขันกับ Ford มาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งการมาถึงของ Plymouth ในปี 1928 ก็ทำให้ทั้ง 3 ค่ายนี้ถูกเรียกรวมกันว่า “Low-priced 3”

    • เกิดอะไรขึ้นกับหลุย์

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่พี่น้องตระกูล Chevrolet แยกตัวออกมา เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้างนั้น ก็เริ่มจากในปี 1915 หลุย์ เข้าสู่วงการรถแข่ง ด้วยการจับมือกับ โฮเวิร์ด อี. บลัด พัฒนารถ Cornelian ไปแข่งขันในสนาม Indianapolis 500 ซึ่งก็จบได้ไม่สวยนักด้วยอันดับที่ 20 จนกระทั่งในปี 1916 หลุย์, แกสตัน และ อาเธอร์ ก็มาก่อตั้งบริษัท Frontenac Motor Corporation เพื่อผลิตอะไหล่สำหรับรถยนต์ Ford Model T กับ รถแข่ง และยังก่อตั้งบริษัท American Motors Corporation ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ควบคู่ไปด้วยเพื่อผลิตรถยนต์ของตัวเอง

    หลุย์ เข้าแข่งขันในสนาม Indianapolis 500 ถึง 4 ครั้งโดยผลงานที่ดีที่สุดที่เคยทำได้อยู่อันดับที่ 7 ในปี 1919 คู่กับ Arthur ส่วน Gaston น้องชายอีกคนนึงของ หลุย์ คว้าแชมป์อันดับที่ 1 ได้ในปี 1920 ต่อมาในปี 1923 American Motors ที่พี่น้อง Chevrolet ก่อตั้งก็ถูกยุบรวมเข้ากับบริษัท Bessemer Motor Truck Company ก่อนที่ต่อมาภายในเวลาไม่ถึงปี ก็ยุบรวมเข้ากับค่าย Winther และ Northway แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบอยู่ดี ในปี 1927 หลุย์ เปิดตัวบริษัทผลิตเครื่องยนต์อากาศยาน Chevrolair แต่กลับประสบความล้มเหลวในสามปีต่อมา และในปี 1929 ซึ่งเป็นช่วงวันอังคารทมิฬพอดี หลุย์ ที่ทำอะไรก็เฟลไปหมดก็เริ่มกลับมาเล้าหลือกับ ดูแรนท์ และสมัครงานเป็นช่างเทคนิคของ Chevrolet ถือได้ว่าดิ่งมาก จากที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลายมาเป็นลูกจ้างในบริษัทที่ตัวเองเป็นคนก่อตั้ง

    ภายในปีเดียวกันนี้เอง Chevrolet ก็เปิดตัวเครื่องยนต์วาล์วเหนือสูบรุ่นใหม่ ในชื่อ Stovebolt ซึ่งเป็นเครื่อง 6 สูบเรียง และเจ้าเครื่องนี้เองที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในด้านการตลาดเป็นอย่างมากด้วยนิยามที่ว่า เครื่อง 6 สูบที่ราคาเท่ากับ 4 สูบ และในช่วงปี 1933 ก็เปิดตัวรถรุ่น Standard Six หรือในอีกชื่อว่า Mercury ในฐานะรถ 6 สูบที่ราคาถูกที่สุด

    และในปี 1935 Chevrolet ก็เปิดตัวรถ Station Wagon รุ่น Carryall Suburban ที่ในเวลาต่อมาก็กลายมาเป็นบรรพบุรุษของรถ SUV ในปัจจุบัน ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Chevrolet ก็เริ่มเน้นออกแบบรถที่ดีไซน์ได้รับอิทธิพลจากศิลปะ Art Deco มากขึ้น เช่น Chevrolet Master, Deluxe หรือ Fleetline และกระแสตอบรับก็ดีอย่างเหลือเชื่อ

    • บั้นปลายของผู้ก่อตั้ง

    หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น เมื่อ หลุย์ เชฟโวเลต จากโลกนี้ไปด้วยวัย 62 ปี ในวันที่ 6 มิถุนายนปี 1941 จากอาการหัวใจวาย ก่อนที่ต่อมาในวันที่ 16 เมษายน ปี 1946 อาเธอร์ เชฟโวเลต ก็จากโลกนี้ไปอีกคนด้วยการจบชีวิตตัวเองภายในบ้านพักที่เมือง Slidell รัฐหลุยเซียนา และในวันที่ 13 มีนาคม ปี 1947 วิลเลียม ซี. ดูแรนท์ ก็จากไปในวัย 85 ปี ด้วยโรคหลอดเลือดสมอง

    • กำเนิด Corvette

    ในปี 1953 Chevrolet กลับมาผงาดในวงการยานยนต์อเมริกันด้วยการเปิดตัวรถ Corvette โฉมแรก และอนาคตเราอาจจะได้เล่าประวัติควบคู่กับ Camaro ไม่วันใดก็วันหนึ่งครับ และในปี 1957 Chevrolet ก็เปิดตัวระบบหัวฉีด Ramjet เป็นครั้งแรก พร้อมติดตั้งให้กับรถ Corvette และ Bel Air ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้ด้วยดีจนมีการเปิดตัวรถรุ่นดังๆ ออกมาเรื่อยๆ

    ในช่วงยุค 1960 เป็นยุคสมัยที่มีการนำเข้ารถยนต์จาก ยุโรป และญี่ปุ่น เยอะมากจนทำให้ค่ายรถต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเสียดุลการค้าไปมหาศาลและแน่นอน ทั้ง Chevrolet และ General Motor ก็ไม่รอดจากเรื่องนี้ รัฐบาลสหรัฐจึงออกภาษีไก่ขึ้นมาเพื่อตอบโต้ในเรื่องนี้ และ General Motor ก็เอารถจากญี่ปุ่นหลายต่อหลายค่ายมาขายภายใต้แบรนด์ของตัวเอง เช่น Suzuki Cultus ที่ถูกขายในชื่อ Chevrolet Sprint, Isuzu Gemini ที่ถูกขายในชื่อ Chevrolet Spectrum, Toyota Sprinter E80 หรือโฉมที่ 5 ที่ถูกขายในชื่อ Chevrolet Nova โฉมที่ 5

    ในช่วงยุค 70-80 Chevrolet ก็เปิดตัวรถของตัวเองที่หลายๆ คนน่าจะคุ้นหู เช่น Vega ในปี 1970, Monza ในปี 1974, Citation ในปี 1980, Cavalier และ Celebrity ในปี 1981 หรือ Corsica ในปี 1987

    จนกระทั่งในช่วงยุค 1990 Chevrolet ก็เปิดตัวรถ Toyota แปะโลโก้ของตัวเองต่อได้แก่ Toyota Sprinter E90, E100 และ Corolla E110 ที่ถูกขายในชื่อ Geo Prism แต่ก็ยังไม่ทิ้งการออกแบบรถของตัวเองอยู่ เพราะในช่วงยุคนี้ก็เปิดตัวรถรุ่นต่างๆ ที่ General Motor ออกแบบเองเยอะมาก เช่น Lumina ในปี 1990, Venture ในปี 1997 และ Trailblazer ในปี 1998 และนอกจากนี้ทาง General Motor ก็เข้าซื้อหุ้นของ Subaru ในปี 1999 พร้อมกับเอารถ Zafira ของ Opel ที่ General Motor เข้าซื้อมาตั้งแต่ปี 1931 มาให้ Subaru ขายในชื่อ Subaru Traviq อีกด้วย

    จนขึ้นสหัสวรรษใหม่อย่างปี 2000 General Motor ก็ปลุกชีพ Impala ขึ้นมาใหม่ใน Segment ใหม่คือ รถซีดาน 4 ประตูขนาดกลางขับเคลื่อนล้อหน้า และกลายมาเป็นรถธงสำหรับการแข่งขัน NASCAR Xfinity Series จนถึงปี 2013 และ NASCAR Canada Series ในปี 2018

    ในปี 2005 General Motors กลับมาทำตลาด Chevrolet ในยุโรปอีกครั้งด้วยการนำเอารถยนต์สัญชาติเกาหลีใต้ Daewoo มาขายภายใต้แบรนด์ Chevrolet จนกระทั่งเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเปิดตัว Chevrolet Volt ในปลายปี 2010 นับได้ว่าเป็นรถยนต์ Plug-in Hybrid รุ่นแรกของ Chevrolet พร้อมกับขายในชื่อ Opel Ampera และ Vauxhall Ampera ในตลาดยุโรป แถมยังได้รับรางวัล North American Car of the Year, European Car of the Year และ World Green Car of the Year ในปี 2012 รวมถึงยังทำยอดขายทั่วโลกจนถึงปีนั้นได้ 31,400 คัน และมากกว่า 1 แสนคันในช่วงปลายปี 2015 จนกระทั่งในปี 2016 รถตระกูล Volt ขึ้นแท่นรถ Plug-in Hybrid ที่ขายดีเป็นอันดับ 3 ของโลก รองลงมาจาก Nissan Leaf และ Tesla Model S

    ในเดือนตุลาคมปี 2016 Chevrolet เปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นแรกในชื่อว่า Bolt ที่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 320 กม.ต่อชาร์จ  และคว้ารางวัลมามากมายในปี 2017 จากสื่อต่างๆ ทั้ง Motor Trend, AutoGuide.com, Green Car Journal และยังติด 25 อันดับสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดบนนิตยสาร Time

    Chevrolet เข้ามาในตลาดประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2000 ภายใต้บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรถรุ่นแรกที่วางขายคือ Zafira และมี Captiva โฉมที่ 2 เป็นรุ่นสุดท้ายก่อนที่จะยุติบทบาทในตลาดไทยตั้งแต่สิ้นปี 2020 และขายโรงงานที่ จ.ระยอง ให้กับ Great Wall Motors ในที่สุด

    ในส่วนของวงการมอเตอร์สปอร์ต Chevrolet มีบทบาทในที่โดดเด่นอยู่หลักๆ 3 รูปแบบ โดยเริ่มจาก NASCAR ที่ในปัจจุบันมีทีมใหญ่ๆ อยู่ 3 ทีม ได้แก่

    – Hendrick Motorsport ที่คว้าแชมป์ 12 สมัย, Richard Childress Racing ที่ได้แชมป์ 6 สมัย และ Trackhouse Racing Team ที่ในปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่สังเวียน MotoGP ด้วยการเข้าซื้อทีม RNF มาตั้งแต่ปลายปี 2023 ที่ผ่านมา

    – ส่วนรถของ Chevrolet ที่เคยใช้แข่งขัน ได้แก่ Impala, Chevelle, Chevelle Laguna, Malibu, Monte Carlo, SS และในปัจจุบันรถที่ใช้ในการแข่งขันก็มี Camaro ZL1 1LE ในรายการ NASCAR Cup, Camaro SS ในรายการ NASCAR Xfinity และ Silverado ในรายการ NASCAR Craftman Truck

    – ต่อมาคือ IndyCar ได้คว้าแชมป์รายการ Indianapolis 500 มา 6 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1986-1993 และคว้าแชมป์ในรายการ CART World Championship มา 5 ครั้งตั้งแต่ปี 1986-1992 จนกระทั่งเข้าสู่ยุคของ NTT IndyCar Series ที่ Chevrolet ขึ้นแท่นเป็นซัพพลายเอร์หลักร่วมกับ Toyota ในส่วนของเครื่องยนต์แทนเพื่อนร่วมชายคาอย่าง Oldsmobile ในปี 2002 จนกระทั่งถอนตัวออกไปทั้งคู่เมื่อปี 2005 และกลับมาอีกครั้งตั้งแต่ปี 2012 เพื่อประชันเครื่องยนต์กับ Honda และอีกรายการคือ FIA World Touring Car Championship หรือ WTCC ที่คว้าแชมป์ 3 ปีติดตั้งแต่ปี 2010-2012 ด้วยรถ Cruze

    สำหรับ ประวัติของ Chevrolet นี้ที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อน เป็นมากกว่ารถยนต์ เพราะนี่คือเรื่องราวที่สืบทอดจากตำนาน สู่เส้นทางที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจไม่สิ้นสุด สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • 6 เรื่องชวนปวดหัวบนท้องถนน

    1 Min Read

    6 เรื่องชวนปวดหัวบนท้องถนน

    เคยเจอกันมั๊ย? เวลาขับรถแล้วเจออะไรที่ทำให้เราหงุดหงิด หัวเสีย หัวร้อน มันเป็นเรื่องที่กวนใจเรามากเลยใช่มั้ยล่ะ แถมยังเสี่ยงอุบัติเหตุทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แล้วในแต่ละวันเราจะเจอพวกเหล่านี้เยอะมาก แล้วเราควรทำยังไงกับสิ่งเหล่านี้กันล่ะ?

     

    1.เล่นโทรศัพท์มือถือในขณะขับรถ

    ผู้คนส่วนใหญ่มักติดมือถือกัน ทำให้มีการเล่นโทรศัพท์มือถือบนท้องถนน มีความเสี่ยงอันตรายสูงมาก และมีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุจนผู้คนเดือดร้อน เพราะเราจะโฟกัสที่หน้าจอจุดเดียว จะทำให้เราไม่ได้สนใจวิสัยทัศน์รอบข้างถนน หรือแม้แต่การเล่นมือถือในระหว่างติดไฟแดงอยู่ แล้วไฟเขียวก็ไม่ออกรถ จนต้องบีบแตรเตือน

    วิธีการรับมือ: บีบแตรเรียกเตือนเพื่อไม่ให้ติดขัดการจราจรกลางท้องถนน หรืออย่าแซงหน้ารถที่ขับไปเล่นมือถือไป

    2.ขับรถซิ่ง

    เราๆมักจะเจอหรือตกใจกับเสียงรถที่ขับด้วยความเร็วสูงที่เกินบนท้องถนน มักจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดยเฉพาะจุดกลับรถต้องระวังรถที่ขับเร็ว อย่างน้อยสุดทำให้บาดเจ็บสาหัสเกือบกระดูกหรือหัก จนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างเราหรือคนอื่น

    วิธีการรับมือ: หลบหรือหลีกเลี่ยงรถที่ขับเร็ว ติดกล้องหน้ารถไว้เสมอ และอย่าไปแข่งเด็ดขาด ถ้าเจอเหตุการณ์ขับหวาดเสียวต่อเนื่องให้รีบแจ้งตำรวจ

    3.เปลี่ยนเลนไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว

    ทุกคนล้วนแล้วจะเจอกันบ่อยเวลาขับรถอยู่ อย่างการขับกำลังตรงไปอยู่จู่ๆก็โดนแซงปาดหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนท้ายรถของอีกฝ่ายได้ สร้างความเดือดร้อนไม่พอและยังเสียเวลาอีกด้วย จุดนี้อาจจะเป็นนิสัยไม่ก็ลืมที่จะเปิดกัน

    วิธีการรับมือ: สังเกตพฤติกรรมล่วงหน้า คอยชะลอความเร็ว และเพิ่มระยะห่าง

    4.คนข้ามถนนในที่ไม่ควรข้าม

    เชื่อว่าข้อนี้ทุกคนที่ขับรถมักจะเจอบ่อยและต้องคอยเบรกหรือระวังไม่ให้ชน จนเกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้คนที่เดินข้าม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่ความมักง่ายกัน ทำให้ผู้ขับขี่ต้องหงุดหงิดมากบนท้องถนนลุบวิ่ง

    วิธีการรับมือ: ตั้งสติและสังเกตพฤติกรรมคนข้างทางตลอดเวลา และลดความเร็วทันทีเมื่อคนกำลังข้ามถนน หรือชะลอความเร็ว

    5.รถจักรยานยนต์วิ่งบนทางเท้า

    ทุกครั้งที่เวลาเราเดินบนทางเท้าดีๆก็จะมีมอเตอร์ไซค์ขับผ่าน จนมีความเสี่ยงที่จะถูกชนหรือเดินไม่ปลอดภัยจนต้องหลบให้วิ่งไป และยังสร้างความหงุดหงิดพอตัว ซึ่งจะเป็นความมักง่ายของผู้ขับที่ใช้ทางลัดย่นเวลา

    วิธีการรับมือ: ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองไว้เสมอ หรือแจ้งตำรวจและถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน

    6.ขับรถเบียด

    สำหรับผู้ขี่มอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ก็ตามต่างก็ต้องเจอไม่มากก็น้อย จากการที่ถูกรถขับเบียดแถบชนหรือล้ม เสี่ยงเป็นอันตรายอย่างมากจนเกิดอุบัติเหตุ และผู้ขับจะเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยและสร้างความหงุดหงิดในภายหลัง

    วิธีการรับมือ: อย่าตอบโต้ด้วยการขับเบียดกลับ คอยเว้นช่องว่างให้มากขึ้น อย่าเอาอารมณ์เข้าแลก และคอยสังเกตและคาดการณ์ไว้ไม่ให้ไปโดนเบียด

    สิ่งเหล่านี้ที่มักจะต้องเจอบ่อยครั้งและจะพาความหงุดหงิดเสมอ แต่เราก็สามารถรับมือได้บ่อยๆ คือ หายใจเข้าลึกๆและบอกกับตัวเองว่า “ใจเย็นไว้” หรือ ฟังเพลงหรือพอดแคสต์ที่ชอบ เป็นต้น ไม่ว่ายังไงก็ควรจะขับขี่อย่างปลอดภัยและเคราพกฎจราจร ขับอย่างมีน้ำใจเพื่อตัวเราเองและผู้อื่น สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • 75 ปีแห่งการผลิตรถยนต์ปอร์เช่ที่ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen)

    1 Min Read

    75 ปีแห่งการผลิตรถยนต์ปอร์เช่ที่ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen)

    ปอร์เช่รุ่น 356 คันแรกที่ผลิตในเยอรมนี เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1950 นับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซุฟเฟนเฮาเซนกลายเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถสปอร์ตของปอร์เช่ ที่นี่ไม่เพียงแต่ผลิตเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการผลิตรถที่มีการปรับแต่งเฉพาะตามความต้องการของลูกค้าอีกด้วย

    การผลิต ปอร์เช่ 356 เริ่มต้นขึ้นที่เมืองสตุ๊ทการ์ทเมื่อ 75 ปีที่แล้ว รถคันแรกของสายการผลิตใหม่นี้เสร็จสมบูรณ์ที่เมืองซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1950 และนี่คือการเริ่มต้นของเรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์รถสปอร์ตของปอร์เช่อย่างไม่สามารถแยกออกจากกัน ไม่ว่าจะเป็น รุ่น 911 ที่เริ่มผลิตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1964, รุ่น 718 และไทคานน์ (Taycan) ที่เป็นรถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า 100% “เมืองซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) คือบ้านเกิดของรถสปอร์ตของเรา มันสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการเป็นผู้บุกเบิก, เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัย และคุณภาพการผลิตในระดับสูงสุด การพัฒนาของสถานที่นี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของปอร์เช่ จากผู้ผลิตรถสปอร์ตขนาดเล็กมาสู่การเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่สร้างสรรค์ยนตรกรรมสุดพิเศษ” กล่าวโดย อัลเบรชต์ ไรโมลด์ (Albrecht Reimold) สมาชิกของคณะกรรมการบริหารฝ่ายการผลิตและโลจิสติกส์ที่ ปอร์เช่ เอจี (Porsche AG)

    จากเมืองเกมุนด์ (Gmünd) สู่ ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen): เส้นทางสู่การผลิตรถยนต์ภายในโรงงานของตัวเอง

    ปอร์เช่เริ่มต้นที่เมืองซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) ในปี 1938 โดยเริ่มต้นจากสำนักงานออกแบบของบริษัท ก่อนจะเริ่มผลิตรถยนต์ภายใต้ชื่อแบรนด์ปอร์เช่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ปี 1948 ปอร์เช่ 356 ‘No.1’ โรดสเตอร์ ได้รับใบอนุญาตการใช้งานอย่างเป็นทางการ รถรุ่นแรกจำนวน 52 คันถูกสร้างขึ้นด้วยมือในออสเตรียระหว่างปี 1948–1950 โดยใช้ตัวถังอะลูมิเนียม วางเครื่องยนต์ด้านหลัง พร้อมเบาะหลังฉุกเฉิน และกลายเป็นต้นแบบของ Porsche 356 ที่จะผลิตในเมืองสตุ๊ทการ์ทในเวลาต่อมา เมื่อปอร์เช่ย้ายกลับมายังแคว้นสวาเบียน (Swabia) โรงงานของปอร์เช่ก็ถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร จึงต้องใช้สำนักงานชั่วคราวในอาคารไม้ริมถนน Schwieberdinger ขณะเดียวกันปอร์เช่ได้เช่าพื้นที่ใน Reutter Plant II ฝั่งตรงข้ามถนนสำหรับการผลิตเครื่องยนต์และประกอบรถยนต์ และว่าจ้างบริษัท Reutter ให้ผลิตตัวถังที่สมบูรณ์ ทั้งพ่นสีและติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ดำเนินการที่ Reutter Plant I บนถนน Augustenstrasse ทางฝั่งตะวันตกของเมืองสตุ๊ทการ์ทจนถึงปี 1953

    ปอร์เช่รุ่น 356 คันแรกเสร็จสมบูรณ์ที่ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1950 โดยในปลายปี 1950 ปอร์เช่ได้ผลิตรถทั้งหมด 317 คัน เนื่องจากความสำเร็จในสนามแข่งและความต้องการที่จากตลาดต่างประเทศ ทำให้ 356 กลายเป็นรถที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ปอร์เช่ หลังจากการส่งมอบ โรงงานหมายเลข 1 ถูกเลื่อนออกไปโดยกองทัพสหรัฐฯ ปอร์เช่จึงว่าจ้างสถาปนิกชื่อดังจากสตุ๊ทการ์ท โรลฟ์ กุตบรอด (Rolf Gutbrod) ให้มาทำการออกแบบ โรงงานหมายเลข 2 โดยอาคารประกอบแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนที่ดินที่ปอร์เช่ซื้อจาก Reutter และเริ่มใช้งานในปี 1952 จากนั้นก็ขยายพื้นที่เพิ่มเติมในปี 1954 ในช่วงปลายปี 1955 ปอร์เช่ก็กลับมาใช้พื้นที่อาคาร โรงงานหมายเลข 1 ของตนเองอีกครั้งในซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) อาคารดังกล่าวจะมีแผนกออกแบบ แผนกธุรกิจ การซ่อมรถยนต์ รวมถึงห้องทดสอบและพัฒนารถแข่ง ขณะที่กระบวนการผลิต การขาย และการจัดหาชิ้นส่วนยังคงดำเนินการที่ โรงงานหมายเลข 2 การผลิตเครื่องยนต์เริ่มต้นที่ โรงงานหมายเลข 3 ในปี 1960 และในวันที่ 1 ธันวาคม 1963 ปอร์เช่ได้ซื้อโรงงานตัวถังของ Reutter พร้อมพนักงานประมาณ 1,000 คน ซึ่งส่งผลให้จำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า และนับแต่นั้นมา ปอร์เช่ก็ได้ครอบครองสถานที่ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) อย่างสมบูรณ์ ในปีเดียวกันนั้นเอง ปอร์เช่ 911 คันแรก ซึ่งในตอนนั้นยังใช้ชื่อ 901 ได้ออกจากสายการผลิตที่ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) โดยในปลายปี 1965 ปอร์เช่ผลิตรุ่น 356 ไปแล้วกว่า 78,000 คัน และในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ปอร์เช่ยังคงพัฒนาและขยายพื้นที่โรงงานแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

    ตั้งแต่ช่วงปี 1950 เป็นต้นมา ปอร์เช่ได้เริ่มใช้หลักการผลิตที่ยังคงยึดถือมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือ “การผลิตที่ยืดหยุ่น” โดยนำรถรุ่นต่าง ๆ มาผลิตบนสายการผลิตเดียวกัน เช่น คูเป้ (Coupé), คาบริโอเล็ต (Cabriolet), โรดสเตอร์ (Roadster) และ สปีดสเตอร์ (Speedster) ของปอร์เช่ 356 ที่สามารถผลิตแบบคู่ขนานและปรับแต่งเฉพาะคันได้ จุดเด่นนี้เองที่ทำให้การผลิตของปอร์เช่ที่สำนักงานใหญ่โดดเด่นในด้านประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และคุณภาพสูงสุด และแม้ในปัจจุบัน ปอร์เช่ 911 ทุกรุ่น ตั้งแต่ คาร์เรร่า (Carrera) ไปจนถึงโมเดล GT ระดับสูงและ Cup car ก็ยังคงถูกผลิตในสายการผลิตเดียวกัน ส่วนกระบวนการตกแต่งภายในก็ทำอย่างพิถีพิถันในแผนกช่างฝีมือประจำโรงงาน

    จาก 356 สู่ 911 – การเติบโตและขยายตัวของปอร์เช่

    ในทศวรรษ 1960 นั้นรุ่น 911 ได้เข้ามาแทนที่รุ่น 356 อย่างเต็มตัว พร้อมกับการขยายกำลังการผลิตและการสร้างอาคารโรงงานใหม่เพิ่มเติม โดยมีการย้ายการผลิตเครื่องยนต์ออกจากพื้นที่หลัก และขยายโรงงาน โรงงานหมายเลข 2 ด้วยการสร้างอาคารประกอบเพิ่มเติม ในปี 1969 Building 41 ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารประกอบขั้นสุดท้ายแบบหลายชั้น เพื่อรองรับสายการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ปอร์เช่ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง

    ในปี 1973 ปอร์เช่มีพนักงานประมาณ 4,000 คน และเมื่อสิ้นทศวรรษ 1980 จำนวนพนักงานก็เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า กระจายอยู่ใน 3 สถานที่หลัก ได้แก่ สายการผลิตที่ ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen), ศูนย์วิจัยและพัฒนาใน ไวซัค (Weissach) และสำนักงานใน ลุดวิกส์บูร์ก (Ludwigsburg) โรงงานซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) ยังคงขยายตัวเรื่อยมาเพื่อตอบรับกับยอดการผลิตที่เติบโตขึ้น โดยในยุค 70 และ 80 ปอร์เช่ผลิตรถที่วางเครื่องยนต์ด้านหน้าอย่างรุ่น 928, 944 และ 968 ควบคู่ไปกับ 911

    ในช่วงทศวรรษ 1980 การผลิตตัวถังที่ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) เริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนั้นโรงงาน โรงงานหมายเลข 5 จึงถูกสร้างขึ้นในปี 1988 เพื่อรอบรับการผลิตตัวถังที่มีความยืดหยุ่นสูง จุดสังเกตที่โดดเด่นของโรงงานแห่งใหม่นี้คือ “สะพานลำเลียงรถ” ซึ่งมีความสูงประมาณ 35 เมตร ใช้สำหรับลำเลียงตัวถังรถยนต์ข้ามถนน Schwieberdinger ที่มีการจราจรคับคั่ง ไปยังสายการประกอบขั้นสุดท้ายที่ โรงงานหมายเลข 2 ฝั่งตรงข้าม

    ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โรงงานที่ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องทั้งการปรับปรุงพื้นที่ การขยายอาคาร และการสร้างใหม่ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเรื่องของความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นในการผลิต ด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์

    การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งในประวัติศาสตร์ของโรงงานคือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเริ่มต้นการผลิตไทคานน์ (Taycan) รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เริ่มการผลิตในสายการผลิตปี 2019 ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ ปอร์เช่ได้สร้างพื้นที่การผลิตใหม่ ได้แก่ โรงงานผลิตตัวถังแห่งใหม่ใน โรงงานหมายเลข 5 และโรงพ่นสีสุดล้ำใน โรงงานหมายเลข 1 ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของ e-mobility พร้อมกันนี้ยังได้สร้างอาคารประกอบสมัยใหม่ใน โรงงานหมายเลข 2 ริมถนน Adestrasse และเพิ่มสะพานลำเลียงแห่งที่สองข้ามถนน Schwieberdinger เพื่อเชื่อมต่อกระบวนการผลิตใหม่ทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพ

    ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) คือสถานที่ซึ่งปอร์เช่ผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยและฝีมือชั้นสูง

    ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) คือหัวใจของการผลิตรถสปอร์ต “ผลิตในซุฟเฟนเฮาเซน (Made in Zuffenhausen)” ที่ผสานระหว่างความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือกับเทคโนโลยีอันล้ำหน้า เช่น ระบบขนส่งไร้คนขับ ระบบคลาวด์กลางของโรงงาน และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ที่นี่ศูนย์กลางการผลิตสำหรับ 911 และ ไทคานน์ (Taycan) รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า 100%

    บนพื้นที่กว่า 1 ตารางกิโลเมตรทางตอนเหนือของเมืองสตุ๊ทการ์ต ยังรวมถึงโรงงานผลิตเครื่องยนต์ 2 แห่งที่รับหน้าที่ผลิตเครื่องยนต์บ็อกเซอร์สำหรับรถสปอร์ต เครื่องยนต์ V8 สำหรับรถสี่ประตูที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับ Taycan และ Macan รุ่นไฟฟ้า

    นอกจากนี้ สถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของการผลิตพิเศษทั้งหมดถึงสามอย่าง ได้แก่ Porsche Exclusive Manufaktur ซึ่งที่นี่ลูกค้าสามารถปรับแต่งรถยนต์ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า, Sonderwunsch แผนกที่สร้างรถยนต์รุ่นพิเศษแบบหนึ่งเดียวในโลก และ CFRP Manufaktur ซึ่งที่นี่จะประกอบชิ้นส่วนตัวถังน้ำหนักเบาแบบพิเศษนอกสายการผลิตหลัก นั่นคือ คาร์บอนไฟเบอร์ที่ผลิตด้วยมือ สำหรับรถรุ่นเฉพาะทางที่เน้นความเบา เช่น 911 S/T และ 911 GT3 RS

    นอกเหนือจาก ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) และ ไวซัค (Weissach) แล้ว อีกหนึ่งสถานที่อย่าง ไลพ์ซิก (Leipzig) ก็มีบทบาทสำคัญในโลกของปอร์เช่เช่นกัน คาเยนน์ (Cayenne) เริ่มผลิตที่นี่ในปี 2002 และผลิตจนถึงปี 2016 และในระหว่างปี 2003 ถึง 2006 คาร์เรร่า จีที (Carrera GT) ก็ได้ถูกผลิตที่นี่เช่นกัน พานาเมร่า (Panamera) สปอร์ตซีดานได้เริ่มผลิตที่นี่ตั้งแต่ปี 2009 และ มาคันน์ (Macan) ก็ได้เริ่มผลิตที่ไลพ์ซิก (Leipzig) ตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งในการผลิต มาคันน์ (Macan) ปอร์เช่ได้ขยายสถานที่ผลิตที่ไลพ์ซิกให้เป็นโรงงานเต็มรูปแบบระหว่างปี 2011 ถึง 2014

    ก้าวสู่อนาคตในวาระครบรอบ

    ที่ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) ปอร์เช่ผสมผสานการผลิตในระดับอุตสาหกรรมเข้ากับความเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตที่ผ่านการสร้างสรรค์อย่างประณีต อัลเบรชต์ ไรโมลด์ (Albrecht Reimold) กล่าว ว่า “ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen) คือบ้านและจะยังคงเป็นบ้านของรถสปอร์ตของเราตลอดไป ที่นี่คือสถานที่ที่เราผลิตรถยนต์ที่ทำให้คนทั้งโลกหลงใหล ด้วยกระบวนการผลิตที่ผสมผสานงานฝีมือและทักษะทางวิศวกรรมชั้นสูงมาตลอดระยะเวลา 75 ปี” ในโอกาสการครบรอบนี้ ปอร์เช่ไม่ได้เพียงแค่เฉลิมฉลองอดีตที่น่าประทับใจเท่านั้น แต่ยังมองไปอนาคต ด้วยความมั่นใจว่า โรงงานผลิตทั้ง 3 สถานที่ ไม่ว่าจะเป็น ซุฟเฟนเฮาเซน (Zuffenhausen), ไวซัค (Weissach) และไลพ์ซิก (Leipzig) จะยังคงเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีล้ำสมัย คุณภาพในการผลิต และความมุ่งมั่นอันยั่งยืนของปอร์เช่เพื่อการผลิตรถสปอร์ตที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ป้ายทะเบียนรถหาย! ต้องทำอย่างไร

    1 Min Read

    ป้ายทะเบียนรถหาย! ต้องทำอย่างไร

    เชื่อว่าหลายท่านต้องเคยประสบปัญหาเรื่อง ป้ายทะเบียนของรถหาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องแจ้งเรื่องหรือดำเนินการอย่างไรบ้างถึงจะได้มีป้ายทะเบียนกลับมาเหมือนเดิม ในคอลัมน์นี้จะมาไขข้อข้องใจนี้กัน

    อย่างแรกที่ต้องบอกกันก่อนเลยคือในกรณีป้ายทะเบียนรถของท่านหาย ไม่ต้องทำเรื่องแจ้งความแต่อย่างใด แค่ใช้บันทึกถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ขนส่งที่รับผิดชอบหรือพูดง่ายๆคือจดในเขตที่จดทะเบียนรถไว้ ไม่สามารถดำเนินเรื่องข้ามเขตได้ โดยเตรียมเอกสาร ดังนี้

    1.สมุดคู่มือจดทะเบียนรถฉบับจริง

    2.สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของรถ

    3.หากไม่สามารถมาดำเนินการด้วยตัวเองได้ ต้องมีหนังสือมอบอำนาจพร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ

     

    กรณีรถติดไฟแนนซ์ แล้วต้องการดำเนินการด้วยตัวเอง

    1.สมุดคู่มือจดทะเบียนรถฉบับจริง

    2.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้เช่าซื้อ

    3.หนังสือรับรองจากบริษัทจัดไฟแนนซ์

    4.หนังสือมอบอำนาจจากไฟแนนซ์ พร้อมสำเนาบัตรผู้รับมอบอำนาจ

    โดยมีค่าบริการที่ต้องชำระคือ ค่าป้ายทะเบียนป้ายละ 100 บาท  ค่าคำขอ 5 บาท และท่านจะได้รับป้ายทะเบียนใหม่ภายใน 15 วัน

     

    ก็เป็นเกร็ดความรู้ที่ได้นำมาฝากกันกับทุกท่านที่เคยเจอกรณีป้ายทะเบียนหายไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตาม ก็สามารถดำเนินการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นและหวังว่าการขับขี่ครั้งแต่ขอให้ทุกท่านระมัดระวังการทำป้ายทะเบียนหล่นหายอีก คงไม่มีท่านไหนอยากให้หล่นหายบ่อยอย่างแน่นอน (ขอขอบคุณข้อมูลจาก กลุ่มประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร กรมการขนส่งทางบก)


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • 6 วิธี แก้ง่วงขณะขับรถทางไกล

    1 Min Read

    6 วิธี แก้ง่วงขณะขับรถทางไกล

    1. นอนหลับให้เพียงพอ การขับรถเดินทางไกล สิ่งสำคัญ คือคุณควรนอนหลับให้เพียงพอต่อการเดินทาง ควรนอนสะสมให้ครบ 8 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำเพื่อลดการง่วงขณะขับขี่ ซึ่งสามารถเป็นต้นเหตุของการหลับในได้
    2. หาเครื่องดื่มมาช่วยเพิ่มความสดชื่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มร้อนหรือเย็น ที่สามารถเพิ่มความสดชื่นและทำให้ตื่นตัวได้เป็นอย่างดี
    3. หาของกินระหว่างขับ เช่น มันฝรั่ง ลูกอม หมากฝรั่ง นอกจากจะคลายหิวแล้ว ยังช่วยร่างกายตื่นตัวอีกด้วย
    4. สร้างความสดชื่นด้วยการลดอุณหภูมิปรับความเย็นแอร์ลงหรือเร่งพัดลมแรงขึ้นหันเข้าหาตัว หรือลดกระจกลงเพื่อรับอากาศจากภายนอกบ้าง และควรเตรียมผ้าชุบน้ำไว้เช็คหน้าด้วย
    5. เปิดเพลงฟัง ชวนคนข้างๆคุย จะช่วยสร้างความครื้นเครงและทำให้ตื่นตัวขณะขับรถ
    6. ขยับร่างกายเปลี่ยนแปลงอิริยาบถ การได้ขยับร่างกายเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยลดการเมื่อยล้า และเมื่อรู้สึกปวดเมื่อยให้ส่ายหัวบ้าง ยกมือ ยกแขน หรือเลื่อนเบาะที่นั่ง ปรับพนักพิง เพื่อไม่ให้อยู่ท่าเดิมนานๆ

    ถ้าหากรู้สึกว่ามีอาการง่วงมาก ๆ และจำเป็นต้องนอนพักในรถยนต์ ควรระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดจากการนอนเปิดแอร์และปิดกระจกในรถยนต์ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งเกิดจากในขณะที่เราสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ ปิดกระจกมิดชิด เท่ากับว่าเป็นการนอนดมก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ โดยที่ก๊าซพิษเหล่านั้นจะไหลเวียนมาจากระบบแอร์ของรถยนต์ ที่มีการดูดอากาศจากภายนอกมาหมุนเวียนภายในรถ ทำให้คนที่นอนอยู่ในรถขาดอากาศหายใจ และอาจเสียชีวิตได้

    ควรหาที่จอดในที่โล่ง เมื่อจอดรถยนต์แล้วดับเครื่องยนต์ แง้มกระจกลงสักนิด 2-3 ซม. เพื่อระบายอากาศและรับลมจากภายนอก ห้ามเปิดแอร์และปิดกระจกโดยเด็ดขาด ให้ใช้พัดลมแอร์ช่วยให้หลับ ซึ่งพัดลมแอร์จะดูดอากาศมาหมุนเวียนในห้องโดยสาร แม้จะไม่เย็นเหมือนแอร์แต่ก็ทำให้หลับได้เช่นกัน และควรนอนพอให้หายอ่อนเพลียประมาณ 30-40 นาที เมื่อพร้อมแล้วจึงเดินทางต่อ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ท่อทางเดินอากาศเปลี่ยนแล้วดีอย่างไร…?

    1 Min Read

    ท่อทางเดินอากาศเปลี่ยนแล้วดีอย่างไร…?

    อุปกรณ์ปรับแต่งรถในบ้านเรา ยิ่งนับวันยิ่งมีการผลิตออกมาจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย มากมายหลากหลายรูปแบบ สามารถตอบสนองความต้องการของเหล่าบรรดาผู้ที่ชื่นชอบการปรับแต่งรถได้เป็นอย่างดี อุปกรณ์บางอย่างผู้ใช้รถอาจไม่คำนึงถึงความสำคัญ หรือมองของแต่งว่าเป็นของฟุ่มเฟือย แต่แท้ที่จริงแล้วอุปกรณ์บางชนิดนั้นช่วยเพิ่มสมรรถนะให้กับรถเราได้เพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่มีข้อเสียอะไร แน่นอนที่สุดครับสำหรับในคอลัมน์นี้จะพาไปรู้จักกับท่อทางเดินอากาศกันครับว่าของเดิมติดรถยังคงใช้งานได้อยู่หรือไม่ แล้วควรจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนดี ไปหาคำตอบได้จากคอลัมน์นี้ครับ

    ท่อทางเดินอากาศหรือที่เราเรียกติดปากกันว่า “ท่ออินเตอร์ฯ” หน้าที่ของมันก็คือ เป็นท่อส่งอากาศเพื่อผ่านไปสู่ห้องเผาไหม้นั่นเองครับ ซึ่งเจ้าท่อทางเดินอากาศนี้จะนำอากาศทางจากระบบอัดอากาศ (TURBO) เข้าสู่อินเตอร์คูลเลอร์ เพื่อลดอุณหภูมิหลังจากนั้นก็เดินทางเข้าไปที่ห้องเผาไหม้ เข้าสู่กระบวนการทำงานของเครื่องยนต์ ส่วนรูปร่างหน้าตาของท่อทางเดินอากาศนั้นก็จะมีขนาดตั้งแต่ 2” ไปจนถึง 4” เรื่องของขนาดควาเล็กหรือใหญ่นั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ และขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน ถ้าเป็นรถบ้านปกติก็จะอยู่ที่ 2” – 2.5” เกินไปจากนี้ก็จะเป็นรถที่มีการปรับแต่งและโมดิฟายเพิ่มเติม

    ท่อทางเดินอากาศเดิมติดที่ติดมากับรถ วัสดุจะเป็นท่อยาง ซึ่งข้อดีของท่อยางนั้นก็คือสามารถให้ตัวได้มีความยืดหยุ่นสูง ถามว่าการใช้งานปกติในชีวิตประจำวันมีปัญหาอะไรมากมายหรือไม่ ในความเป็นจริงแล้วก็คงจะไม่มีอะไรหลอกครับ แต่ในระยะยาวอาจเกิดการเสื่อมสภาพได้ เกิดปัญหาแตกร้าวบิดตัวจากการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ในขณะใช้งาน และสำหรับบางท่านที่ขับขี่ด้วยความเร็วหรือในบางสถานการณ์การขับขี่บางครั้งต้องใช้รอบสูง อาจก่อให้เกิดการเบ่งตัวของท่อทางเดินอากาศได้ เมื่อท่อมีการเบ่งตัวนั่นคือท่อจะมีการขยายตัวใหญ่ขึ้น ผลที่ตามมาก็คือจะทำให้พื้นที่ภายในท่อทางเดินอากาศมีปริมาตรมากขึ้น ทำให้การเดินทางและการรวมตัวกันของอากาศทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์ด้อยลง ทำให้การขับขี่ไม่สมบูรณ์แบบนั่นเองครับ

    แล้วควรจะเปลี่ยนท่อทางเดินอากาศแบบไหนดีถึงจะเหมาะสม ? อันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับ สำหรับรถที่ขับใช้งานปกติไม่ได้มีการปรับแต่งโมดิฟายอะไรก็เปลี่ยนให้มีขนาดเท่าของเดิมหรือใหญ่จากเดิมไม่เกินครึ่งนิ้วก็เพียงพอแล้วครับ ส่วนรถที่มีการปรับแต่งโมดิฟายเพิ่มเติมก็ขึ้นอยู่กับสเต็ปการปรับแต่งแหละครับว่าควรจะเปลี่ยนขนาดไหนเพื่อให้เหมาะสมกับการปรับแต่ง ส่วนเรื่องของวัสดุของท่อทางเดินอากาศนั้นก็มีให้เลือกกันตามชอบใจแล้วแต่งบประมาณของแต่ละคนแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นอลูมิเนียม สเตนเลส ไทเทเนี่ยม ส่วนรูปแบบของการดัดท่อก็ยังคงมีให้ได้เลือกใช้กันตามใจชอบอีกแหละครับ ดัดทราย หรือดัดแบบโชว์ลอยเชื่อมก็มีให้ได้เลือกหากัน

    ท่อสำเร็จกับแบบสั่งตีแบบไหนดีกว่ากัน ? อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานนั่นแหละครับ ถ้าเน้นสะดวกใช้เวลาติดตั้งไม่นานก็ซื้อสำเร็จได้เลยครับ เพราะเดี๋ยวนี้มีจำหน่ายมากมายหลายรุ่น สามารถติดตั้งเองได้เลยใช้เวลาไม่นาน เพียงแค่ถอดของเดิมออกแล้วเอาของใหม่ใส่เข้าไปแทนที่เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ของ BRD บางมดเรซซิ่งจะจัดเอาไว้ให้ครบชุดพร้อมติดตั้งหรืออยากจะสั่งทำแบบตามใจชอบก็สามารถทำได้อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนครับถ้าสั่งตีใหม่ก็อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย กว่าจะวัดขนาดดัดตามรูปแบบก็ใช้เวลานานสักหน่อย

    เปลี่ยนท่อทางเดินอากาศแล้วดีอย่างไร ? จะอธิบายให้ฟังแบบง่ายๆให้เห็นภาพครับ อากาศที่ถูกปั่นจากเทอร์โบมีแรงดันที่สูงมาก เมื่อท่อทางเดินอากาศที่เป็นอลูมิเนียม สเตนเลส หรือไทเทเนี่ยม ไม่มีการขยายตัวหรือเบ่งตัวการรวมตัวกันของอากาศก็จะสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์เมื่อความหนาแน่นของอากาศมีความสมบูรณ์เดินทางเข้าสู่ห้องเผาไหม้ก็จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งที่สัมผัสได้ก็คือรอบต้นติดบูสท์เร็วขึ้น ไม่มีอาการรอรอบ โดยรวมแล้วคือดีกว่าของเดิมนั่นแหละครับ

    เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวของท่อทางเดินอากาศ สำหรับรถใครที่มีเทอร์โบก็ลองพิจารณากันดูครับว่าจะเปลี่ยนแบบไหนดี ท้ายนี้ก็ของฝากกันไว้สักนิดครับเรื่องของการขับขี่รถบนท้องถนน มีมารยาทและให้ทางกันมากๆ เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • 4x4WD ใช้งานอย่างไรให้เหมาะสม…?

    1 Min Read

    4x4WD ใช้งานอย่างไรให้เหมาะสม…?

    ในปัจจุบันรถยนต์นั่งประเภท SUV ถือว่าเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้ใช้รถ และในบางรุ่นสำหรับรถประเภทนี้จะมีระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อให้ได้เลือกใช้กัน เรียกได้ว่าสามารถขับขี่กันได้บนท้องถนนในเมืองไปยันเข้าป่าลุยโคลนกันเลยทีเดียว สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาแนะนำการใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อกันแบบถูกวิธีกันครับ เพื่อที่จะได้ใช้งานในส่วนของระบบขับเคลื่อนที่ติดมากับรถได้อย่างถูกต้อง

    โหมด 2H (ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง)

    โหมดขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง (2H) นับเป็นการใช้งานปกติทั่วไป เช่น ขับขี่ในเมือง สภาพถนนเรียบ ทางคอนกรีตหรือทางที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงทางดำทางฝุ่นที่สภาพไม่ลื่นมาก ระบบนี้จะสามารถใช้งานได้ โดยส่วนใหญ่แล้วรถ SUV รุ่นใหม่ๆ มักจะมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่และควบคุมการทรงตัวต่างๆ มาด้วย เช่น ป้องกันล้อหมุนฟรี, ป้องกันการลื่นไถล, ระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC เป็นต้น จึงขับขี่ได้ทั้งถนนปกติและถนนที่มีการลื่นไถลได้เล็กๆ น้อยๆ สำหรับโหมดนี้มักเป็นค่ามาตรฐานไม่ต้องเปิดปิดหรือปรับปุ่มเลือกรูปแบบการขับขี่ใดๆ

    โหมด 4H (ขับเคลื่อน 4 ล้อใช้ความเร็ว)

    โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วสูงหรือ 4 High คือการเลือกใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อกับสภาพถนนทั่วไป ที่มีลักษณะเปียกลื่นมากขึ้นกว่าปกติ หรือขับขี่ผ่านเส้นทางหุบเขา ทางโค้งที่สภาพถนนเปียกลื่น หรือแม้แต่ทางฝุ่น ลูกรัง กรวด หรือ โคลนตื้นๆ ระบบนี้ก็จะทำงานแปรผันกำลังแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 แบบอัตโนมัติ เพื่อให้ขับขี่ต่อไปได้อย่างปลอดภัย และที่สำคัญสามารถทำความเร็วสูงๆ เกิน 100 กม./ชม. ได้สบายๆ ในโหมดนี้ การใช้งานก็แสนง่ายเพียงหมุนสวิตช์เลือกรูปแบบการขับขี่โดยไม่ต้องจอดรถสนิท หลังจากนั้นก็รอระบบตอบรับการทำงานบนหน้าปัดก็เรียบร้อย ในโหมดนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้ง่ายและแม่นยำมากยิ่งขึ้นในสภาพถนนที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ ซึ่งระบบขับเคลื่อนที่ทำงานพร้อมกันทั้งสี่ล้อนั้นจะช่วยให้การยึดเกาะถนนดียิ่งขึ้น

    โหมด 4L (ขับเคลื่อน 4ล้อความเร็วต่ำ)

    โหมดนี้จะเน้นสมรรถนะการปีนไต่ การตะกุยแบบเต็มรูปแบบของระบบทั้ง 4 ล้อ เพื่อให้ผ่านอุปสรรคต่างๆหรือสภาพผิวทางที่ค่อนข้างต่างระดับไปได้ เช่น โคลนลึก ร่างถนนลึก สภาพถนนเปียกและลื่นมากๆ เมื่อขับผ่านเส้นทางป่าเขา หรือแม้แต่ลุยผ่านร่องน้ำ ลำธาร และไต่ขึ้นทางชันมากๆ เป็นต้น ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีประการณ์มากมายนัก ในโหมดนี้จำเป็นต้องหยุดรถให้สนิทพร้อมใส่เกียร์ว่าง (N) จึงจะสามารถหมุนสวิตช์เลือกรูปแบบขับขี่ได้ และรอให้ไฟเตือนโชว์ขึ้นบนหน้าปัดก่อนก็เป็นอันสมบูรณ์ และตอนปลดระบบออกก็ต้องหยุดรถเช่นกัน

    ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากครับสำหรับการใช้งานระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ติดมากับตัวรถ เนื่องจากรถรุ่นใหม่ๆนี้สามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนได้อย่างง่ายดายจากภายในตัวรถ เพียงแค่เรารู้การทำงานของตำแหน่งต่างๆเพื่อจะได้ใช้งานให้ถูกประเภทเท่านี้ก็พอแล้วครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • กล้องติดรถ…อุปกรณ์ที่ช่วยคุณในสถานการณ์ฉุกเฉิน

    1 Min Read

    กล้องติดรถ…อุปกรณ์ที่ช่วยคุณในสถานการณ์ฉุกเฉิน

    บนท้องถนนในสมัยนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้บ่อยมาก ยิ่งเป็นการจราจรในเมืองหลวงที่มีการจราจรติดขัดและย่อมเกิดอุบัติเหตุตามมามากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และมีอุปกรณ์ที่สามารถช่วยตัวท่านได้นั่นก็คือ กล้องติดรถยนต์ ที่เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยท่านได้ในหลายๆเรื่อง จะเป็นเรื่องอะไรบ้าง ติดตามได้ในคอลัมน์นี้

    กล้องติดรถในสมัยนี้มีมากมายหลายแบรนด์มีทั้งสำหรับติดกับรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์พร้อมทังยังมีอุปกรณ์เสริมอีกมากที่ช่วยให้ปรับเข้ากับรถของท่าน แต่จะมีท่านไหนทราบถึงประโยชน์ของมันบ้าง เราจะมาพูดกัน

    1. เมื่อมีอุบัติเหตุ ทำให้ตรวจสอบผู้กระทำผิดที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยกล้องที่ติดไว้กับตัวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ เพื่อความสะดวกในการดำเนินการตามกฎหมาย

    2. ในบางบริษัทประกันภัยช่วยลดค่าใช้จ่ายและช่วยประหยัดเงินค่าต่อประกันในปีถัดไปของท่านได้ถ้ามีกล้องติดรถ

    3. ช่วยให้ท่านสามารถเก็บภาพการขับขี่ของตัวเองและช่วยปรับปรุงวิธีการขับรถของท่านเองได้

    4. ถ้าหากท่านมีการขับรถในเส้นทางไหนประจำ ไม่ว่าจะเป็นการไปทำงานหรือส่งของ ก็สามารถใช้บันทึกข้อมูลการขับขี่ เพื่อช่วยในการปรับปรุงการขับและลดอุบัติเหตุได้

    5. กล้องติดรถบางรุ่นสามารถใช้ข้อมูล GPS ที่ให้บริการโดย Google ที่แสดงตำแหน่งยานพาหนะและแสดงผลและบันทึกเส้นทางที่อยู่

    6. มั่นใจทุกการเดินทาง เพราะกล้องจะบันทึกการเดินทางของเราตลอด

    7. มีกล้องหลากหลายแบบที่จะช่วยสนับสนุนการเดินทางของท่านทั้งความคมชัดและขนาดความจุและยังสามารถนำภาพไปใช้ได้อีกด้วย

    นี่ก็เป็นประโยชน์คร่าวๆของการมีกล้องติดรถในทุกการเดินทางในปัจจุบันนี้เพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ เมื่อท่านมีกล้องติดกับรถไว้ก็ไม่เสียหาย บางท่านอาจจะคิดว่ามีไปก็ไม่ได้ใช้ แต่ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่า มีไว้แล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แต่ก็ไม่มี


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • REGULATOR ทำงานยังไงไปดูกัน..!!!

    1 Min Read

    REGULATOR ทำงานยังไงไปดูกัน..!!!

    เรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์ คุยยังไงก็ไม่จบไม่สิ้นซะที มีเรื่องราวให้ได้พูดคุยกันทุกเรื่องจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสวยงาม เรื่องของเครื่องยนต์ เรื่องของความแรง ระบบต่างๆภายในตัวรถ รายละเอียดมันชั่งเยอะเหลือเกิน และสำหรับในคอลัมน์นี้ครับ เราจะพาไปทำความรู้จักกับอุปกรณ์หนึ่งชนิดที่อยู่ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ ไปดูกันครับว่ามันมีหน้าที่ทำอะไร ทำไมรถเดิมก็มี รถซิ่งก็ชอบปรับแต่งกันไปหาคำตอบกันครับ

    เรามาทำความรู้จักกับ REGULATOR กันก่อนเลยครับว่ามันมีหน้าที่ ที่สำคัญที่สุดในระบบน้ำมันเชื้อเพลิง โดยจะทำการปรับแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงในรางหัวฉีดให้เหมาะสมกับการทำงานในแต่ละช่วงรอบการทำงานในขณะนั้นๆ โดยการควบคุมแรงดันน้ำมัน ที่ส่งมาจากปั๊มแรงดัน ผ่านกรองเบนซินเข้ายังรางหัวฉีด ผ่านตัวเร็กกูเรเตอร์ และไหลกลับสู่ถังน้ำมันเชื้อเพลิง

    REGULATOR จะทำงานร่วมกับสุญญากาศภายในท่อร่วมไอดี โดยจะสังเกตุว่าเร็กกูเรเตอร์ แต่ละตัวนั้นจะมีท่อสำหรับต่อสายเข้าไปยังท่อร่วมไอดี ด้านหลังลิ้นปีกผีเสื้อ และจะทำงานสัมพันธ์กันกับลิ้นเร่ง ลิ้นเร่งเปิดน้อย สุญญากาศในท่อก็จะมีมาก ลิ้นเร่งเปิดมาก สุญญากาศก็จะน้อย แรงสุญญากาศที่มาก หรือน้อยนี่แหล่ะครับ จะคอยควบคุมแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงให้สม่ำเสมอเพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์ ไม่ว่าลิ้นเร่งจะเปิดมากหรือน้อยเร็กกูเรเตอร์ เริ่มทำงานนับตั้งแต่บิดสวิทช์กุญแจไปที่ “ON” ปั๊มน้ำมันจะส่งน้ำมันมายังรางหัวฉีด และเร็กกูเรเตอร์จะปิด แรงดันในรางหัวฉีดจะสูงมาก ที่เป็นอย่างนั้นเพื่อให้การฉีดน้ำมันในการสตาร์ทเครื่องครั้งแรกมากกว่าปกติ ทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทง่าย และเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ในรอบเดินเบาจะมีสุญญากาศมาก เร็กกูเรเตอร์ก็จะเปิดมากให้น้ำมันเชื้อเพลิงไหลกลับถังมาก ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อเริ่มเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์ต้องการปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น เพื่อเร่งรอบเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น โดยกล่อย ECU จะได้รับข้อมมูลจากเซนเซอร์ต่างๆของเครื่องยนต์มาประมวลผล และสั่งให้หัวฉีดฉีดน้ำมันเพิ่มมากขึ้น แรงดันในรางหัวฉีดจะลดลง ถ้าไม่มีเร็กกูเรเตอร์ ในช่วงที่เร่งรอบเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อจะเปิดกว้างขึ้น ทำให้สุญญากาศในท่อร่วมไอดีลงลง ส่งผลให้เร็กกูเรเตอร์ปล่อยให้น้ำมันไหลกลับถังน้อยลง ทำให้ในรางหัวฉีดมีแรงดันน้ำมันเพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์ เมื่อเราถอนคันเร่ง ในท่อร่วมก็จะมีสุญญากาศมาก เร็กกูเรเตอร์ก็จะปล่อยน้ำมันออกมาก และจำทำงานเช่นนี้ตลอด แรงดันน้ำมันก็จะสูง ต่ำตามความต้องการของเครื่องยนต์

    โดยปกติแล้ว เครื่องยนต์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อนั้นความต้องการแรงดันในรางหัวฉีดนั้นจะแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วแรงดันที่ต้องการจะอยู่ในราวๆ 2.5-3.5 บาร์ หรือราว 36-50 Psi เพื่อให้การจ่ายน้ำมันเข้าห้องเผาไหม้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเร็กกูเรเตอร์จึงเป็นตัวสำคัญในการรักษาแรงดันในรางหัวฉีดให้มีแรงดันสม่ำเสมอตามความต้องการของเครื่องยนต์ในแต่ละช่วงรอบนั้นๆ

    เร็กกูเรเตอร์ก็เหมือนชิ้นส่วนอื่นๆของเครื่องยนต์ที่มีการใช้งานก็อาจเกิดการเสียหายได้เหมือนกัน โดยเฉพาะที่แผ่นไดอะแฟมที่เป็นตัวหลักในการควบคุมแรงดันและต้องสัมผัสกับน้ำมันอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้ผ้าเปื่อยขาด ทำให้วาล์วเปิดค้างหรือเปิดให้น้ำมันไหลน้อย ส่งผลให้แรงดันในรางหัวฉีดผิดปกติ และทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง เร่งไม่ขึ้นและสตาร์ทติดยากได้เหมือนกัน ส่วนการจะเปลี่ยนใช้ของใหม่แทนตัวเก่า หรือจะเปลี่ยนตัวใหม่ ติดตั้งใหม่ อันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกของผู้เป็นเจ้าของรถ และทุนทรัพย์ในการซ่อมบำรุง เร็กกูเรเตอร์ที่ติดมากับเครื่องยนต์นั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้ดีกับเครื่องยนต์ตัวนั้นๆแล้ว และเครื่องยนต์ไม่ได้รับการปรับแต่งโมดิฟายอะไรเพิ่มเติม เร็กกูเรเตอร์ “เดิม”นั้นรับรองว่าเพียงพอกับความต้องการการใช้งานอยู่แล้วครับ

    สำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบที่ต้องการแรงดันในรางหัวฉีดมากกว่าเครื่องยนต์ที่ไม่มีเทอร์โบ ก็มีการติดตั้งเร็กกูเรเตอร์เช่นเดียวกัน แต่จะสร้างแรงดันให้พอเพียงในการบูสท์ของเทอร์โบได้ดี หรือแม้แต่จะเปลี่ยนเทอร์โบลูกใหญ่ขึ้น ปรับบูสท์ให้สูงขึ้น เร็กกูเรเตอร์เดิมสามารถรองรับในจุดนี้ได้เพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์อยู่แล้ว และบางครั้งเร็กกูเรเตอร์เดิมยังทำงานได้ดีกว่าเร็กกูเรเตอร์ปรับได้บางรุ่นเสียอีก ดังนั้นบางครั้งควรมาใส่ใจในเรืองอื่นมากกว่า เช่น การเพิ่มขนาดหัวฉีดให้มีการฉีดน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ท่อทางเดินน้ำมัน กรองเบนซิน หรือปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงครับ

    เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของเร็กกูเรเตอร์ เมื่อได้อ่านบทความกันแล้วก็อย่าลืมนำไปใช้กับรถคันโปรดของท่านอย่างถูกวิธีกันด้วยนะครับ เพื่อที่จะรักษารถให้อยู่กับเราได้นานขึ้นครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment