• ไฟตัดหมอก มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

    1 Min Read

    ไฟตัดหมอก มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

    เมื่อพูดถึงไฟตัดหมอกในรถแบรนด์ต่างๆที่ออกมาเรื่อยๆในปัจจุบันก็มีติดมากับตัวรถแทบทุกคัน หลายๆท่านอาจจะได้ใช้มากน้อยต่างกันแน่นอน แต่จะมีใครสงสัยบ้างว่าไฟตัดหมอกควรใช้สถานการณ์ใดช่วงใด เรามาร่วมหาคำตอบกันได้ในคอลัมน์นี้

    ไฟตัดหมอก เป็นโคมไฟที่ติดมากับรถสมัยใหม่หลายๆแบรนด์เกือบทุกคันซึ่งหลอดไฟนั้นเป็นเสมือนไฟสปอร์ตไลท์ย่อส่วนที่ขนาด 55 วัตต์ความสว่างก็คล้ายๆกับไฟสปอร์ตไลท์ที่จะช่วยในการมองเห็นมากขึ้นในสถานการณ์ที่ควรจะเป็นดังนี้

             บริเวณที่มีหมอกหนา ที่ทำให้ทัศนวิสัยของท่านย่ำแย่ในการขับท่านก็จะสามารถเปิดไฟตัดหมอกได้เพราะช่วยให้มองเห็นดีขึ้นช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้และยังช่วยให้รถที่ขับสวนมาเห็นได้ชัด

             บริเวณฝนตกหนัก ในช่วงที่ในฝนตกหนักมากที่จะทำให้ทัศนวิสัยแย่มากๆ มองถนนไม่ชัดการที่เปิดไฟตัดหมอกช่วยทำให้ท่านสามารถมองเห็นได้ดีขึ้นโดยไฟตัดหมอกจะช่วยกระจายแสงนั่นเอง

             บริเวณที่มีกลุ่มควัน ไม่ว่าควันนั้นเกิดจากการเผา หรือไฟไหม้ป่าที่ทำให้ปิดกั้นทัศนวิสัยที่ทำให้เห็นทางในระยะที่น้อยมากๆ ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกได้ แต่เมื่อผ่านบริเวณนั้นควรปิดทันที

             บริเวณที่ฝนหยุดตกใหม่ๆ อาจจะมีน้ำขังและถนนลื่นอยู่ เมื่อได้ลองเปิดไฟดูอาจจะพบว่าไม่สว่างเท่าที่ควร ทั้งนี้ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกได้ตามความเหมาะสม

    ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์คร่าวๆที่ทุกท่านอาจจะได้พบเจอ ที่จะต้องใช้ไฟตัดหมอกแต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพิจารณาและความเหมาะสมของตัวท่านเอง เพราะถ้าเปิดในสถานการณ์ที่ไม่สมควรอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นและผิดกฎหมายได้ จึงควรใช้กันอย่างระมัดระวังด้วย


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • FLUSH STYLE มันเป็นยังไงไปดูกัน

    1 Min Read

    FLUSH STYLE มันเป็นยังไงไปดูกัน

    รูปแบบและแนวทางการปรับแต่งรถในบ้านเรา ยังคงพัฒนากันอยู่ตลอด ส่วนใครจะหันเหไปทางไหนนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนแหละครับ จะสวย จะแรง จะสูงหรือจะเตี้ยก็สุดแล้วแต่ความชอบครับ แต่สำหรับในคอลัมน์นี้จะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับแนวการแต่งรถเทห์ๆอีกหนึ่งแนว เรียกว่าขับไปไหนมาไหนเนี่ย สาวๆต้องเหลียวหลังกันอย่างแน่นอน ซึ่งก็คือการแต่งรถในแนว FLUSH STYLE ไปดูกันครับว่า FLUSH STYLE มีแบบไหนบ้างและเค้าแต่งกันอย่างไร

              FLUSH STYLE เป็นการแต่งรถสไตล์ FLUSH จะเน้นที่การจัดวางล้อ หรือ STANT N’FITMENT ให้พอดีกับตัวถังโดยไม่ยื่นออกมานอกซุ้มล้อ ซึ่งแตกออกมาได้หลายแบบขึ้นอยู่กับขนาดและอ๊อฟเซ็ทของล้อแม็กซ์ ขนาดยาง ความเตี้ยของตัวรถ ไปจนถึงมุมองศาของล้อที่ทำการ FITMENT ที่แตกต่างกัน

    การแต่งรถแนว FLUSH คือการใช้ล้อหน้ากว้างบวกกับยางหน้าแคบ หรือที่เรียกกันว่า “ล้อกว้าง ยางดึง” ซึ่งทำให้ขอบแม็กซ์ล้นออกมาเลยขอบยาง แล้วทำการโหลดให้ขอบยางด้านนอกลงมาเฉียดกับซุ้มล้อด้านใน โดยการปรับองศาล้อ หรือ มุมแคมเบอร์ช่วย

    – HELLA FLUSH จะเป็นการแต่งที่นิยมมากที่สุดในกลุ่ม FLUSH ซึ่งจะโหลดกับล้อหน้ากว้างมากๆรัดด้วยยางหน้าแคบ แล้วโหลดลงมาให้เตี้ยจนยางเบียดกับซุ้มล้อให้มากที่สุด โดยใช้การแบะล้อช่วยในกรณีที่ล้อยื่นออกมานอกรถ (ยิ่งเฉียด ยิ่งแบะ ยิ่งเท่)

    – HELLA FAIL  จะเป็นการโหลดคล้ายๆกับ HELLA FLUSH แต่จะแบะล้อให้เอียงมากกว่า ไปจนถึงเอียงแบบสุดๆ บางงคันโหลดจนดูเหมือนจะแบนราบไปกับพื้นเลยทีเดียว แบบนี้จะนิยมทำกันเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

    – MAXI FLUSH คือการใส่ล้อผิดออฟเซ็ทเข้ากับยางหน้ากว้างและทำให้ล้อยื่นออกมานอกตัวถัง ทำให้ไม่สามารถ FITMENT ได้ ซึ่งการโหลดลักษณะนี้ที่จริงและไม่ถือว่าเป็นสไตล์ FLUSHแต่จะออกแนวรถแดร็ก หรือพวกแต่งแนว RETRO มากกว่า

    ส่วนพวกที่โหลดโดยใส่ล้อที่มีความสูงและออฟเซ็ทเท่าขนาดแสตนดาร์ด (STORCK) และไม่มีการปรับองศาล้อแต่อย่างใดนั้น แบ่งออกเป็นการโหลดแบบ DROPPED ซึ่งคือการโหลดด้วยสปริงค์โหลด แบบนี้ตัวรถจะเตี้ยลงมาเล็กน้อยประมาณ 1.5 – 2 นิ้ว

    แบบโหลดด้วยโช้คอัพแบบสตรัท ซึ่งโหลดลงมาให้เตี้ยกว่าแบบแรกแต่ไม่มากนัก ซุ้มล้อจะปริ่มขอบยางเล็กน้อย แบบนี้เรียกว่า (DROPPED) เช่นกัน แต่ถ้าปรับโหลดให้เตี้ยลงมาแบบสุดๆ จนซุ้มล้อลงมาระดับขอบแม็กซ์โดยที่มุมล้อยังตั้งตรงอยู่ แบบนี้จะเรียกว่า (SLAMMED)

    เป็นยังไงบ้างละครับสำหรับแนวนี้ บอกได้คำเดียวครับว่าสุด อาจจะขับลำบากไปบ้าง แต่ก็คงไม่เกินความสามารถของคนที่มีใจรักในการแต่งรถอย่างแน่นอน เพราะเมื่อได้ยินเสียงใต้ท้องขูนลูกละนาด มันช่างมีความสุขซะเหลือเกิน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ระบบเบรก ABS เป็นอย่างไร ทำไมถึงต้องมี

    1 Min Read

    ระบบเบรก ABS เป็นอย่างไร ทำไมถึงต้องมี

    รถยนต์เกือบทุกคันในสมัยนี้จะมีระบบเบรกที่ติดตัวรถมาเป็นพื้นฐานที่เรียกว่า ระบบ ABS(Anti-Lock Braking System) หรือเรียกง่ายๆว่าระบบป้องกันล้อล็อค ซึ่งต้องมีติดมากับรถเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน เพื่อป้องกันล้อรถของท่านล็อคจนเสียการควบคุมเราจะมาดูกันว่าทำไมควรมี และถ้ามีแล้วประโยชน์มากน้อยเพียงใด

    ระบบ ABS(Anti-Lock Braking System) เป็นระบบป้องกันล้อล็อกซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่รถทุกคันควรมี ระบบนี้คิดค้นขึ้นมาเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถแล้วเกิดการเบรกกะทันหันจนล้อรถเกิดอาการล็อคจนเสียการควบคุม นำมาซึ่งอุบัติเหตุ

    การทำงานหลักๆคือ เมื่อเราเบรกรถอย่างกะทันหัน เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบริเวณล้อรถทั้ง 4 ล้อ จะตรวจจับอัตราการหมุนของล้อแล้วส่งต่อไปยังกล่องประมวลผลแล้ววางคำสั่งไปยังปั๊มเบรกทำงานลักษณะเดียวกันกับตอนที่เราเหยียบเบรกแบบย้ำๆ ส่งผลให้ล้อยังหมุนอยู่ไม่เกิดการล็อกและทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ เพื่อลดอุบัติเหตุ

     

    ข้อแนะนำ

    1.อย่าตื่นตระหนก เมื่อเราเบรกกะทันหันระบบ ABS จะทำงานทำให้เสียงดังมากๆและแป้นเบรกสั่นสะเทือนจนสามารถทำให้ตกใจได้

    2.ห้ามถอนเท้าจากแป้นเบรกเด็ดขาด ขณะที่ระบบ ABS ทำงานควรควบคุมน้ำหนักของแป้นเบรกไว้ห้ามผ่อนลงเด็ดขาดเพราะจะทำให้เป็นการยกเลิกระบบ ABS และเมื่อเหยียบอีกครั้งระบบเบรกจะทำงานใหม่ ทำให้เสียการควบคุมได้

    3.ระบบ  ABS ไม่เหมาะกับเส้นทางที่มีลักษณะพื้นผิวร่วนซุย อย่างเช่น ทางลูกรัง ทางที่มีเม็ดกรวดหรือเม็ดทราย โคลนเป็นต้น จะส่งผลให้มีระยะเบรกที่ไกลกว่าปกติเมื่อเทียบกับถนนธรรมดา

    จากเกร็ดความรู้ในคอลัมน์นี้หวังว่าทุกท่านจะได้นำไปใช้ในชีวิตจริงเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เพราะจากสถิติในแต่ละปี ประเทศไทยเป็นลำดับต้นๆของโลกที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนท้องถนน แต่เมื่อท่านได้ความรู้จากคอลัมน์นี้และไปปฏิบัติตาม จะช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างแน่นอน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • WASTEGATE…คืออะไรทำไมเค้าติดกัน..?

    1 Min Read

    WASTEGATE…คืออะไรทำไมเค้าติดกัน..?

    สำหรับในคอลัมน์นี้เอาใจสายซิ่งกันซะหน่อย กับเรื่องราวเกร็ดความรู้เกี่ยวกับของแต่งอีกหนึ่งอย่างที่สาวกรถซิ่งติดหอย (TURBO)ต้องมี นั่นก็คือ เวสเกต เชื่อว่าหลายคนคงยังไม่รู้ว่าหน้าที่ของเวสเกตมีไว้ทำอะไร และเวสเกตนั้นมีกี่แบบ แล้วควรจะติดแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับการใช้งาน ในคอลัมน์นี้มีคำตอบให้ขาซิ่งได้ไขข้อข้องใจกันครับ

    เวสเกตคือ อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ทำงานควบคู่กับระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเทอร์โบทุกลูกนั้นไม่มีตัวควบคุมการทำงานคิดตามกันแบบง่ายๆก็คือ ตัวเทอร์โบไม่มีตัวควบคุมการทำงานนั้นเอง ซึ่งถ้าไม่มีการควบคุมปริมาณอากาศ ก็จะส่งผลให้เครื่องยนต์ไม่สามารถรองรับกับแรงบูสท์ได้นั่นเองผลที่ตามมาก็คือเครื่องพังนั่นแหละครับ เพราะเหตุผลนี้จึงต้องมี เวสเกตเข้ามาช่วย เวสเกตมีหน้าที่คุมอัตราการบูสท์ของเทอร์โบ ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมของการปรับจูนเครื่องยนต์ จะบูสท์มากหรือบูสท์น้อยก็สามารถปรับได้ที่ตัวเวสเกต หรือจะให้สะดวกก็ติดตั้งตัวปรับบูสท์เข้ามาปรับที่ภายในห้องโดยสาร

    เวสเกตมี2แบบ

    1. แบบกระป๋อง หรือที่เรียกกันติดปากว่าเวสเกตกระป๋องนั่นเอง เวสเกตชนิดนี้มักจะพบในรถสแตนดาร์ด ซึ่งจะมีหลักการทำงานไม่ซับซ้อน และมีขนาดเล็กไม่ใช้พื้นที่ในห้องเครื่องมากจนเกินไป ตำแหน่งในการติดตั้งจะติดอยู่กับตัวเทอร์โบ ซึ่งจะมีแกนต่อกับโข่งหลัง และมีสปริงที่ด้านในอัตราในการบูสท์ขึ้นอยู่กับค่าของสปริง

    1. แบบแยก หรือที่เรียกกันว่าเวสเกตแยกนั่นเอง เวสเกตแยกมีจำหน่ายอยู่มากมายหลากหลายยี่ห้อ มีให้เลือกทั้งของบ้านเราและของแบรนด์นอก อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่งบประมาณและความพอใจนั่นแหละครับ เวสเกตแยกจะมีขนาดใหญ่ซึ่งภายในจะมีสปริง วาล์ว และแผ่นไดอะแฟรม เป็นชุดกลไกลหลักในการทำงาน หลายคนนิยมติดตั้งกันก็เพราะไอ้เจ้าเวสเกตแยกเนี่ยมันมีท่อคายทิ้ง ซึ่งเมื่อติดบูสท์แล้วเสียงมันก็จะแซด…แซด….ลั่นๆหน่อย เป็นเสียงที่รถเทอร์โบนั้นขาดไม่ได้กันเลยทีเดียว แต่ในบางคันไม่อยากให้มีเสียงแซด…ก็สามารถที่จะต่อเข้าไปที่ท่อไอเสียได้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังและที่สำคัญคือช่วยให้การคายไอเสียเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เวสเกตแยกสามารถปรับตั้งอัตราการบูสท์ของเทอร์โบได้ด้วยการไขที่ด้านบนของเวสเกตแยกเพื่อไปกดสปริง ยิ่งกดให้สปริงแข็งยิ่งบูสท์เยอะ ยิ่งคายออกให้สปริงอ่อนยิ่งบูสท์น้อย หลักการก็มีกันอยู่เท่านี้แหละครับ

    รู้จักการทำงานของเวสเกตกันแล้วก็อย่าลืมเลือกใช้งานกันให้ถูกประเภทละครับ แต่ที่สำคัญ เมื่อแต่งรถให้สวยให้แรงกันแล้วก็นำไปวิ่งกันในสนามนะครับ อย่างออกมาแข่งขันกันบนท้องถนน เดี๋ยวชาวบ้านเค้าจะเดือดร้อน

      


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • มาจับอาการคลัตช์หมดกันว่าเป็นยังไง ?

    1 Min Read

    มาจับอาการคลัตช์หมดกันว่าเป็นยังไง ?

    พบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์นำเสนอเกร็ดความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์ เอาใจผู้ที่ใช้รถยนต์และรถกระบะเกียร์ธรรมดากันซะหน่อย สำหรับผู้ที่ขับขี่รถเกียร์ธรรมดาต้องควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดถึงอาการของคลัตช์หมดว่ามันเป็นยังไง ซึ่งถ้าเรารู้ก่อนหรือสามารถจับอาการได้ก็จะช่วยให้เราแก้ไขได้ทันท่วงที ลดการเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้

    คลัตช์ลื่น ก็เป็นอาการเริ่มต้นที่คุณควรจะสนใจและมันเป็นลางร้ายที่บอกคุณก่อนที่คลัตช์ของคุณจะหมด อาการคลัตช์ลื่นนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ ใน 2 กรณี คือ 1 คลัตช์ใกล้หมด ซึ่งมีสาเหตุใหญ่มาจากผ้าคลัตช์ที่เริ่มบาง และ 2.เครื่องมีกำลังเกินกว่าที่คลัตช์ จะรับได้ ซึ่งมักจะพบในรถยนต์กลุ่มที่มีการโมดิฟายเครื่องยนต์เท่านั้น หากรถคุณไม่ได้โมเครื่อง แน่นอนว่า นี่เป็นสาเหตุของอาการคลัตช์ใกล้หมดที่เริ่มบ่งชี้อาการว่ารถของคุณกำลังไม่ปกติ

    ความเร็วลดลงในรอบเครื่องเท่าเดิม บางครั้งในรถยนต์บางรุ่น คุณอาจไม่พบอาการคลัตช์ลื่นก็เป็นไปได้ และ นี่อาจเป็นอาการที่ 2 ที่คุณอาจ โดยเฉพาะ ในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ที่ยากมากที่คุณจะสังเกตอาการคลัตช์ลื่น บางครั้งถ้าคุณพบว่าที่ความเร็วเท่าเดิม แต่ใช้รอบเครื่องสูงขึ้นกว่าเดิม หรือรอบเครื่องเท่าเดิม แต่ได้ความเร็วต่ำกว่าที่เคยทำได้ นั่นก็เป็นอาการหนึ่งของคลัตช์ลื่นที่ช่วยเตือนคุณก่อนคลัตช์จะหมด

    ขึ้นเนินชันได้ช้ากว่าปกติ บางครั้งทั้ง 2 อาการ ขั้นต้นคุณอาจจะยังไม่พบ แต่ถ้าคุณสามารถสังเกตได้ว่า รถเริ่มไต่เนินได้ช้า หรือต้องลดจังหวะเกียร์เพื่อขึ้นเนิน ทั้งๆที่ เมื่อก่อนไม่จำเป็นนั้น นี่เป็นอาการเริ่มต้นของอาการคลัตช์บาง ที่เป็นต้นเหตุอาการคลัตช์หมด

    clutch 2 clutch 1

                จากหัวข้อทั้งสามหัวข้อที่ได้กล่าวมานั้นก็เป็นอาการที่บ่งบอกได้ว่าคลัตช์มันจะไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนคลัตช์ใหม่ได้แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างมีทางแก้ไขและยังพอมีวิธีช่วยให้ยืดระยะเวลาในการใช้งานของคลัตช์ได้อย่างไม่ยากนัก โดยปกติแล้วคลัตช์จะมีอายุการใช้งาน 150,000-200,000 กิโลเมตร ซึ่งก็อยู่ที่การใช้งานแหละครับว่าเราจะใช้ยังไงให้คลัตช์อยู่กับเราไปนานๆ

    อย่าเลี้ยงคลัตช์ หลายคนมักนิยมเหยียบแช่คลัตช์ หรือที่เราเรียกกันว่า เลี้ยงคลัตช์ โดยเฉพาะใครก็ตามที่นิยมขับรถในเขตเมืองการเหยียบคลัตช์แช่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และสำหรับเกียร์อัตโนมัติ นี่คือคำตอบที่ดีสำหรับ ใครที่ถามว่าทำไมต้องเปลี่ยน D เป็น N ทั้งๆที่ติดไม่นาน เพราะในเจ้าตัว Torque Convertor นั้น มันก็มีคลัตช์เช่นกัน

    ย่าเหยียบคลัตช์โดยไม่จำเป็น ตามปกติแล้ว คลัตช์เราจะต้องใช้งานมันนั้นก็ต่อเมื่อ เราต้องการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวที่เราจะใช้ ดังนั้นใครที่ใช้คลัตช์บ่อยๆโดยไม่จำเป็น ก็จะทำให้คลัตช์หมดไว

    อย่าพักเท้าที่คลัตช์ หลายคนมักจะชอบพักเท้ารอที่คลัตช์ เพื่อรอจังหวะเปลี่ยนเกียร์ แต่ความจริงแล้วมันเป็นพฤติกรรมที่ผิดเพราะเพียงน้ำหนักนิดเดียวที่กดลงแป้นก็อาจทำให้จานกดคลัตช์หนีห่างจากฟลายวิล และทำให้คลัตช์สึกหรอมากกว่าปกติได้

    หลีกเลี่ยงการทำคลัตช์ไหม้ นี่เป็นเรื่องที่ต้องจำเอาไว้เลยสำหรับขาลุยที่ชอบเฮอาตามต่างจังหวัด การขับรถทางไกล โดยเฉพาะใครที่ขึ้นเขาลงห้วยบ่อยๆ พยายามหลีกเลี่ยงการทำคลัตช์ไหม้ให้ดี เพราะการทำคลัตช์ไหม้นี้จะทำให้หน้าสัมผัสของคลัตช์ เสื่อมไวกว่าปกติ และท้ายที่สุด มันก็จะเป็นอาการเรื้อรังไปถึงคลัตช์หมด

    clutch 3 clutch 5 clutch 4

    เมื่ออ่านจบแล้วก็อย่างลืมเปลี่ยนพฤติกรรมการขับรถกันนะครับ สำหรับผู้ที่ใช้รถเกียร์ธรรมดา เพื่อรักษาคลัตช์เอาไว้ใช้งานกันได้นานๆ ลดการเสียหายก่อนกำหนด ยุคนี้เศรษฐกิจไม่ดีต้องช่วยๆกันประหยัดครับอะไรแนะนำกันได้ต้องช่วยกันบอกต่อ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • START & STOP..!!..ให้ถูกวิธีช่วยยืดอายุรถคุณ

    1 Min Read

    START & STOP..!!..ให้ถูกวิธีช่วยยืดอายุรถคุณ

    st1

    เพราะว่ารถคือปัจจัยหนึ่งในการดำเนินชีวิต คอลัมน์เกร็ดความรู้จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องใช้รถในชีวิตประจำวัน แหม…..!!!เปิดมาก็เข้าข้างตัวเองกันเลยทีเดียว แต่มันก็คือเรื่องจริงนั่นแหละครับ เรื่องบางเรื่องเจออยู่ทุกวัน ทำอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่เคยรู้ว่าที่ทำอยู่นั้นมันผิดวิธี เพราะฉะนั้นถ้าได้อ่านคอลัมน์นี้แล้วก็คงจะไม่สายเกินไปอย่างแน่นอน ในยุคสมัยนี้เศรษฐกิจก็ยังคงไม่ค่อยจะสู้ดีมากนักจึงต้องดูแลรถคันโปรดให้มีค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดได้ก็จะดีมากครั[

    อย่างที่เกริ่นกันไปตั้งแต่ตอนต้นนั่นแหละครับ เรื่องบางเรื่องที่ทำกันอยู่ทุกวันโดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าไอ้ที่ทำอยู่เนี่ยมันผิดวิธี เหมือนอย่างที่เค้าว่ากันนั่นแหละครับว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าทำผิดวิธีเป็นเวลานานๆมันก็จะก่อให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกัน นั่นก็คือเรื่องของการสตาร์ทรถและการดับเครื่องรถนั่นเองครับ หลายคนอาจมองว่า ก็แค่สตาร์ทรถและดับเครื่องทำไมต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย จริงๆแล้วบอกได้เลยครับว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญประมาณนึงเลยแหละครับ จริงๆแล้วมันก็คงไม่ต่างกับเวลาเราลุกขึ้นจากที่นอนแล้ววิ่งทันที มันก็จะงงๆมึนๆหน่อยใช่มั้ยละครับ เปรียบเทียบซะเห็นภาพกันเลยทีเดียว เราไปดูกันครับว่าขั้นตอนของการสตาร์ทรถที่ถูกต้องนั้นควรจะทำอย่างไรครับ

    เสียบกุญแจเข้าไป เมื่อเราเสียบกุญแจเข้าไปตำแหน่งแรกคือ Lock ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เวลาเราดับเครื่องยนต์สนิท จากนั้นบิดไปทางขวาที่ตำแหน่ง ACC ตำแหน่งนี้เป็นการเปิดระบบไฟฟ้าในรถให้ทำงาน คุณสามารถเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องเสียงได้ในตำแหน่งนี้ บิดไปทางขวาอีกครั้งคือ On เตรียมพร้อมในการ สตาร์ทรถ และการบิดสุดท้ายคือตำแหน่ง Start เครื่องยนต์จะทำงาน ขณะที่เครื่องยนต์ทำงานไม่ควรกดกุญแจลงไป เพราะเครื่องยนต์จะเสียหายได้

    st2

    เมื่อรถสตาร์ทติดแล้ว อุ่นเครื่องยนต์ 5 -10 นาทีกำลังดีหลังจากที่ สตาร์ทรถแล้วไม่ควรขับทันที เพราะระบบไฟฟ้า ระบบน้ำมันเครื่อง และระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ การขับรถทันทีหลังจากสตาร์ทบ่อยครั้งเป็นบ่อเกิดของการเสียหายของรถอย่าง ลูกสูบติด หัก หรืออาจงอได้ และไม่ควรเหยียบคันเร่งขณะสตาร์ทเพราะจะทำให้เครื่องยนต์กระตุกเครื่องอาจสำลักน้ำมัน เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ ฉะนั้นแล้วเราควรวอร์มเครื่องยนต์ประมาณ 5 -10 นาทีก่อนขับ หรือให้สัญญาณเตือน ไฟรูปเทอร์โมมิเตอร์บนหน้าปัทม์หายไป แสดงว่าตอนนี้อุณหภูมิเครื่องยนต์วอร์มเต็มที่แล้วพร้อมขับได้ หรือดูที่เกจ์วัดค่าความร้อน ถ้าค่าความร้อนเริ่มขยับก็ค่อยเคลื่อนรถได้

     

    เมื่อถึงที่หมายแล้วไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที ควรปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไปก่อนสัก2-3นาทีเเล้วค่อยดับเครื่องยนต์หลังจากถึงที่หมาย เนื่องจากในช่วงที่เราขับรถมา เครื่องยนต์ทำงานอย่างต่อเนื่อง จึงมีความร้อนสะสมอยู่ในส่วนต่างๆ ในช่วงเวลาที่เราปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาอยู่นั้น จะช่วยทำให้ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่และช่วยลดอุณหภูมิของเครื่องยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    st3

    เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวใกล้ตัวที่เชื่อว่าหลายคนมองข้าม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆที่ได้อ่านคอลัมน์นี้แล้วจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และช่วยให้รถคันโปรดอยู่กับเราไปได้นาน เสื่อมสภาพช้าลง คอลัมน์ต่อไปจะเป็นเรื่องราวอะไรนั้นต้องคอยติดตามดูกันต่อไปครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถ…บอกอะไรบ้าง

    1 Min Read

    สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถ…บอกอะไรบ้าง

    10899620_10203531589714277_1451484775_n

    เชื่อว่าคงจะมีหลายคนอย่างแน่นอนที่ไม่รู้ความหมายของสัญลักษณ์บนหน้าปัดเรือนไมล์รถยนต์ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องเจอกันอยู่ทุกวัน เวลาที่บิดกุญแจครั้งที่สองเจ้าสัญลักษณ์เหล่านี้จะแย่งกันโชว์ตัวขึ้นมาบนหน้าปัดกันอย่างพร้อมเพรียง และจะดับลงเมื่อเราสตาร์ท บอกได้เลยครับว่าผู้ขับรถทุกท่านทั้งมือใหม่และมือเก่าควรที่จะรู้เอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยถ้าเกิดความผิดปกติขึ้นกับรถของเรา ก็ยังจะพอเดาทางได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมันมาจากไหน

    สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถนั้นจะติดขึ้นมาพร้อมเพียงกันก็ต่อเมื่อเราบิดกุญแจครั้งที่สองแล้วก็จะดับลงเมื่อเราสตาร์ทรถสัญลักษณ์บางตัวก็จะติดขึ้นเมื่อเราใช้งาน อย่างเช่น เปิดไฟเลี้ยว เปิดไฟหรี่ เปิดไฟหน้า หรือเปิดไฟสูง แต่สัญลักษณ์บางตัวก็จะติดขึ้นมาก็ต่อเมื่อระบบบางอย่างเกิดความผิดปกติ ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่ช่วงต้นแหละครับ ถ้าเราศึกษาเอาไว้ว่าสัญลักษณ์แต่ละตัวนั้นมันบอกถึงอะไร ก็จะช่วยให้เราพอที่จะเดาได้ว่ารถเรามีปัญหาเกิดจากอะไร และที่สำคัญก็คือจะช่วยให้เราไม่โดนช่างที่ไม่ซื่อสัตย์หลอกเอาได้ เราไปดูกันครับว่าสัญลักษณ์แต่ละตัวบนหน้าปัดรถนั้นมีอะไรบ้างที่ควรรู้

    F1

               วัดความเร็ว ถือเป็นมาตรฐานของการใช้งานหน้าปัดเลยครับ เพราะตัวนี้จะคอยบอกว่า ความเร็วของรถในขณะนั้น อยู่ที่เท่าไหร่แล้ว โดยหน่วยการวัดรถในเมืองไทยจะเป็น กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ในรถที่นำเข้ามาจากฝั่งอเมริกา จะเป็น ไมล์/ชั่วโมง ซึ่งจากที่เคยวัดเอาจาก GPS ความเร็วที่หน้าปัด จะเร็วกว่าความเร็วที่วัดกับ GPS เสมอครับ ทั้งนี้เนื่องจากต้องการให้ผู้ใช้รถยนต์ ใช้ความเร็วได้ไม่เกินกฎหมายกำหนด เช่น กฎหมายกำหนดให้ใช้ความเร็ว 120 กม./ชั่วโมง เราก็เหยียบที่ 120 กม./ชั่วโมง แต่ความเร็วจริงจะเป็น 110 กม./ชั่วโมง ช่องว่างนี้จะได้ไม่ทำให้ขับรถเกินกำหนดครับ  ซึ่งการแสดงผลจะมี 2 แบบคือ เป็นเข็มที่หมุนขึ้นไปตามความเร็ว กับแบบดิจิตอลที่บอกเป็นตัวเลข ซึ่งใช้หลายรูปแบบในการวัดความเร็ว ทั้งสายสลิง, แบบแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น และจะวัดในตำแหน่งที่ต่างๆกันในแต่ละรุ่น เช่น วัดจากชุดเกียร์, วัดจากเพลาขับ, วัดจากเฟืองท้าย เป็นต้น

    F2

              วัดรอบตัว วัดรอบนี้จะเป็นตัวที่บอกจำนวนรอบของเครื่องยนต์ในตอนนั้น ซึ่งโดยปกติจะเป็นตัวเลข แล้วคูณด้วย 1,000 ก็จะออกมาเป็นจำนวนรอบ/นาที โดยมีการแสดงผลทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอล ซึ่งมาตรวัดรอบนี้ ส่วนใหญ่จะเอาไว้ดูว่า จำนวนรอบที่ใช้งานตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่ และคอยเตือนไม่ให้เราใช้รอบสูงเกินกว่าที่รถจะรับได้ สังเกตได้จากเส้นสีแดงบนมาตรวัด ถ้าเข็มหรือขีดขึ้นไปถึงเมื่อไหร่ แสดงว่าจะเริ่มเกินขีดจำกัดของเครื่องยนต์แล้ว และสามารถบอกถึงความผิดปกติของเกียร์หรือระบบขับเคลื่อนได้อีกด้วย เช่น ถ้าปกติความเร็ว 100 กม./ชั่วโมง จะใช้รอบที่ 2,000 รอบ/นาที แต่ตอนนี้เครื่องกับใช้ 2,200 รอบ/นาที แสดงว่าชุดเกียร์เริ่มมีปัญหา ต้องเข้าอู่เพื่อให้ช่างดูได้แล้วครับ แต่รถรุ่นใหม่ๆในบางรุ่นกลับตัดมาตรวัดตัวนี้ออก คนออกแบบอาจมองว่าไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วครับ

    F3

              อุณหภูมิเครื่องยนต์ มาตรวัดตัวนี้จะเป็นตัวบอกความร้อนในตัวเครื่องยนต์ โดยมีทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอล แสดงระหว่างตัว C (Cool) และตัว H (Heat) โดยบางรุ่นเมื่ออุณหภูมิปกติ จะอยู่ตรงกลางระหว่าง C และ H แต่ในบางรุ่นจะอยู่ต่ำกว่าครึ่งมานิดหน่อย ซึ่งถ้าเข็มนี้ขึ้นเกินครึ่งมาเมื่อไหร่ แสดงว่าระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์เริ่มมีปัญหา ต้องตรวจสอบหม้อน้ำหรือพัดลมระบายอากาศ เพราะถ้าปล่อยให้เครื่อง Over Heat จนเครื่องยนต์ดับ คราวนี้ต้องซ่อมกันขนานใหญ่แน่นอนครับ

    แต่สำหรับบางรุ่นอาจจะไม่มีมาตรวัดตัวนี้ แต่จะมีสัญลักษณ์แสดงขึ้นมาเมื่อมีความผิดปกติของความร้อนเลย ถ้าแสดงขึ้นมาเมื่อไหร่ ให้รีบหาที่จอดแล้วดับเครื่อง จากนั้นให้ตรวจสอบปัญหาทันทีครับ

     

              ระดับน้ำมัน แน่นอนว่า ถ้าเราไม่รู้ว่ารถเราเหลือน้ำมันอยู่เท่าไหร่ ก็จะต้องขับไปพะวงไปแน่ๆว่าน้ำมันจะหมดกลางทางมั้ย ซี่งการแสดงผลก็มีทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอลเช่นกัน โดยในบางรุ่นสามารถบอกได้ถึงขนาด น้ำมันในถัง จะเหลือให้วิ่งได้อีกไกลแค่ไหน ซึ่งในทุกรุ่น จะมีสัญลักษณ์เป็นตู้จ่ายน้ำมัน พร้อมลูกศรเล็กๆที่อยู่ข้างๆ โดยลูกศรนี้จะเป็นตัวชี้ว่า รถของเราฝาถังน้ำมันอยู่ข้างไหนครับ

    F5

              เตือนระดับน้ำมันต่ำ สัญลักษณ์นี้จะแสดงเป็นรูปตู้จ่ายน้ำมันสีแดงหรือส้มแล้วแต่รุ่น ซึ่งเมื่อแสดงมาเมื่อไหร่ แสดงว่าน้ำมันในถังอยู่ในระดับต่ำแล้ว ให้เติมน้ำมันก่อนที่น้ำมันจะหมด โดยส่วนใหญ่ที่พบ น้ำมันจะเหลืออยู่ในถังอีกประมาณ 10-15% ของความจุถังถึงจะเริ่มแสดงขึ้นมา โดยจะวิ่งต่อได้อีกประมาณ 40-100 กิโลเมตร ขึ้นอยู่ว่าเป็นรถรุ่นไหนครับ

    F6

              วัดระยะทางตัวเลข วัดระยะทาง จะบอกถึงความไกลของรถเราว่าวิ่งมาได้ขนาดไหนแล้ว โดยส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นตัวเลขดิจิตอล 3 ชุดคือ Trip A, Trip B และระยะทางรวม ODO (ในบางรุ่นอาจแตกต่างจากนี้) ซึ่งใน Trip A และ B เราสามารถที่จะ Reset หรือตั้งค่าให้กลับมาเป็น 0 เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ระยะทางรวม ODO นั้น เป็นระยะทางการใช้งานรวมของรถคันนั้น จะไม่สามารถตั้งระยะใหม่ได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าช่างที่มีอุปกรณ์และความชำนาญ ก็จะแก้ไขเลขตัวนี้ได้ไม่ยากครับ

    F7

              ไฟหน้า อุปกรณ์สำคัญที่รถทุกคันต้องมี โดยส่วนใหญ่แล้ว สัญลักษณ์เมื่อเปิดไฟหน้า ตัวดวงไฟจะแสดงเป็นสีเขียวหรือสีส้มอำพัน แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น แต่ถ้ามีดวงไฟสีน้ำเงินหรือฟ้าขึ้นมา แสดงว่าตอนนั้นมีการเปิดไฟสูงไว้ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้งานก็ให้รีบปรับมาเป็นไฟปกติดีกว่าครับ

              ประตู ถ้ามีรูปรถยนต์ที่เปิดประตูค้างไว้แบบนี้เปิดขึ้นมา แสดงว่าต้องมีประตูใดประตูหนึ่งยังไม่ปิด หรือปิดแล้วยังปิดไม่สนิท ให้ตรวจสอบแล้วปิดใหม่อีกครั้งครับ

    F9

              เบรก สัญลักษณ์เบรกนี้ ส่วนใหญ่จะขึ้นใน 2 กรณีคือ เมื่อมีการดึงเบรกมือ หรือลดเบรกมือยังไม่สุด สัญลักษณ์นี้ก็จะติดขึ้นมา แต่ถ้าลดเบรกมือแล้วยังไม่ดับ คงต้องตรวจสอบระบบเบรก ซึ่งอย่างแรกที่ต้องดูคือระดับน้ำมันเบรก เพราะส่วนใหญ่แล้วสัญลักษณ์จะแจ้งเมื่อน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับปกติครับ แต่สำหรับบางรุ่นจะแยกกันระหว่างระบบเบรกกับเบรกมือไว้แยกจากกัน โดยระบบเบรกจะเป็นเครื่องหมายตกใจ ส่วนเบรกมือ จะเป็นตัว P ให้ลองอ่านที่คู่มือประจำรถดูก่อนครับ

    F10

              แบตเตอรี่ หลายคนยังเข้าใจผิดว่า เมื่อมีอาการแบตเตอรี่เสื่อม ตัวสัญลักษณ์นี้จะแดงขึ้นมา จริงๆแล้วสัญลักษณ์นี้จะแสดงขึ้นมา เมื่อการทำงานของไดร์ชาร์จมีความผิดปกติ ไม่จ่ายไฟเข้าไปเก็บที่แบตเตอรี่หรือไม่มีการจ่ายไฟเข้าใช้งานในระบบรถยนต์ เมื่อไฟแบตเตอรี่แสดง ก็เตรียมตัวซ่อมไดร์ชาร์จได้เลยครับ

    F11

              หัวเผาในรถยนต์ดีเซล จะมีสัญลักษณ์เพิ่มเติมขึ้นมาเป็นรูปเหมือนขดลวด ตัวนี้จะแสดงถึงการทำงานของหัวเผา ที่ทำความร้อนก่อนการสตาร์ทเครื่อง เพื่อให้การจุดระเบิดในห้องเครื่องเกิดขึ้นได้ง่าย โดยทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องดีเซล เราควรรอให้สัญลักษณ์นี้ดับไปก่อน ถึงค่อยบิดกุญแจ จะทำให้รถสตาร์ทติดง่ายครับ

    F12

              เข็มขัดนิรภัย สัญลักษณ์นี้ จะกระพริบเมื่อไม่มีการคาดเข็มขัดนิรภัยของที่นั่งฝั่งคนขับหลังสตาร์ทรถ โดยรุ่นใหม่ๆจะมีเสียงเพื่อสร้างความรำคาญใจด้วย  และในบางรุ่นเมื่อมีการนั่งในฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ ก็จะมีการแสดงเตือนด้วยเช่นกัน แต่สัญลักษณ์นี้จะดับไป เมื่อมีการคาดเข็มขัดเรียบร้อยครับ

    F13

              ถุงลมนิรภัย ในรถรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ จะมีอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยอย่างถุงลมนิรภัย หรือ Airbag กันหมดแล้วครับ โดยถ้าสัญลักษณ์นี้แสดงขึ้นมาค้างหลังจากสตาร์ทเครื่องแล้ว ก็ต้องเอารถเข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบการทำงานได้เลยครับ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัยอาจจะไม่ทำงานได้ครับ

    F14

              ABS เช่นเดียวกันกับสัญลักษณ์ถุงลมนิรภัย  ถ้าในรถคันนั้นมีระบบเบรก ABS  แล้วระบบตรวจพบการทำงานที่ผิดปกติ สัญลักษณ์นี้ก็จะแสดงขึ้นมา ให้นำรถเข้าตรวจสอบกับศูนย์บริการหรืออู่ทันทีครับ แต่ระบบเบรกยังสามารถใช้งานได้ปกติอยู่ เพียงแต่เมื่อมีการเบรกกะทันหัน ระบบ ABS อาจจะไม่ทำงานเท่านั้นเองครับ

    F15

              น้ำมันเครื่อง สัญลักษณ์รูปกรวยน้ำมันนี้ จะแสดงขึ้นมาเมื่อระดับน้ำมันเครื่องต่ำมาก ให้รีบตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องแล้วเติมให้อยู่ในระดับปกติทันทีครับ แต่ก็มีโอกาสเป็นอาการอื่นได้อีกเช่น ถ้าเช็คแล้วน้ำมันเครื่องไม่ขาด แต่สัญลักษณ์แสดงขึ้นมา ถ้าแบบนี้ก็เป็นไปได้ว่า ตัวปั๊มน้ำมันเครื่องอาจมีปัญหา ไม่มีแรงดันน้ำมันเครื่องไปหล่อเลี้ยงตามจุดต่างๆ ก็อาจทำให้มีการแจ้งเตือนได้เช่นกันครับ

    F16

              เครื่องยนต์ ถ้าไฟรูปเครื่องโชว์ขึ้นมาแล้วไม่ดับเมื่อไหร่ แสดงว่าการทำงานของเครื่องยนต์เริ่มมีปัญหาแล้วครับ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่ครอบจักรวาลของเครื่องยนต์มากๆ เพราะตัวนี้ตัวเดียว อาจแจ้งความผิดปกติหลายอย่าง เช่น ค่าอ็อกซิเจนผิดปกติ, สายพานเกินระยะกำหนด, ตัว ECU มีปัญหา ฯลฯ ซึ่งถ้าไฟรูปเครื่องติด ต้องทำการตรวจสอบด้วยเครื่องของทางศูนย์บริการหรืออู่ โดยเสียบอุปกรณ์กับช่อง OBD (On-Board Diagnostics) จะมีค่า Error แจ้งมา ก็จะรู้ได้ว่าเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติตรงไหนได้ครับ ซึ่งรถส่วนใหญ่จะยังทำงานได้ปกติ แต่ในบางรุ่น (โดยเฉพาะรถทางฝั่งยุโรป) จะล็อกความเร็วไว้ให้ไม่เกิน 60 กม./ชม. เพื่อให้ผู้ใช้งานนำรถเข้าตรวจสอบที่ศูนย์บริการทันที และป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เสียหายไปมากกว่าเดิมครับ สัญลักษณ์ไฟเตือนนี้ เป็นไฟเตือนเบื้องต้นที่รถยนต์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมีอยู่ครับ แต่สำหรับบางรุ่น อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ไฟตัดหมอก, สถานะ Cruise Control, ECO Mode เป็นต้น ดังนั้นการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นด้วยการอ่านคู่มือประจำรถ ก็จะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้เบื้องต้น ไม่ต้องเสียเวลาไปศูนย์บริการหรืออู่ทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือนนะครับ

              บางคนอ่านคอลัมน์นี้แล้วก็ถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว นี่แหละครับเรียกว่าเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้าม บางสิ่งบางอย่างรู้ไว้ไม่เสียหาย อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง ยังไงก็อย่าลืมขับรถกันด้วยความมีน้ำใจนะครับเพื่อลดปัญหาบนท้องถนน…


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • “ดอกยาง”…คุณสมบัติที่แตกต่าง

    1 Min Read

    “ดอกยาง”…คุณสมบัติที่แตกต่าง

    tire5

    ขึ้นหัวเรื่องมาแบบนี้ แน่นอนที่สุดครับกลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องราวของการใช้รถ ทุกวันนี้จำนวนการใช้รถยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน บางคนใช้รถมานานแต่ไม่มีความรู้เรื่องรถ บางคนไม่ได้ใช้รถแต่ชอบศึกษาเรื่องรถ ก็มีมากมายหลายแบบต่างๆกันไป แต่จะรู้หรือไม่รู้นั้นก็ควรที่จะศึกษาเอาไว้เผื่อในอนาคตข้างหน้ามีเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ เอาละครับเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า สำหรับในคอลัมน์นี้จะมาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับดอกยางรถยนต์กัน ว่ามีกี่แบบ แล้วแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกใช้กันให้ถูกประเภทนั่นเองครับ

    ดอกยางรถยนต์ในปัจจุบันนี้มีให้เห็นกันอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละค่ายแต่ละแบรนด์ต่างก็สร้างความแตกต่างให้กับตัวเองด้วยการออกแบบลายของยางให้สวยงามโดดเด่นพร้อมกับคุณภาพที่มากขึ้น ดอกยางนั้นเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนอยู่ตลอดเวลาในขณะที่รถวิ่ง ลายของยางหรือร่องของยางทำหน้าที่ยึดเกาะถนน เพื่อให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นลายของยางจึงมีผลต่อการขับขี่เป็นอย่างมาก ส่วนร่องของยางจะลึกหรือตื่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับประเภทของยางและการใช้งาน

     

    ดอกยางแบบ 2ทิศทาง (DUAL) ดอกยาง ประเภทนี้ จะสามารถ ทำการ สลับยาง ได้ทุกตำแหน่ง ลักษณะมี ดอกยาง สวนทางกัน จึงไม่เน้นในเรื่องของ ความเร็วสูงมากนัก แต่ก็ใช้ได้อย่าง สะดวกสบาย ซึ่งข้อดีของยางประเภทนี้ก็คือไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ยางสลับด้านกัน สามารถใส่ได้ทั้งสองด้านทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

     

    tire3

    ดอกยางแบบทิศทางเดียว (ROTATION) ดอกยางจะมีลักษณะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังมีสัญลักษณ์ลูกศรแสดงไว้ที่บริเวณแก้มยาง เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่งของการหมุนของล้อให้เราสามารถใส่ได้อย่างถูกต้อง ดอกยางประเภทนี้ ถูกออกแบบมาให้สามารถรีดน้ำได้ดีกว่าประเภทแรก เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการทรงตัวในขณะใช้ความเร็วได้ดี ดอกยางประเภทนี้เหมาะกับการใช้งานทั้งถนนเปียกและถนนแห้ง ครับ

     

    tire4

     

    ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน (ASYSIMATIC) ดอกยางจะมีลักษณะเป็นดอกยางที่ไม่เท่ากัน ด้านหนึ่งจะหนากว่าอีกด้านหนึ่ง เหมาะสำหรับการขับขี่แบบเข้าโค้ง หรือ เหมาะสำหรับในรถยนต์บางยี่ห้อ ที่ออกแบบให้การขับขี่มีการเข้าโค้งในความเร็วสูง แต่สำหรับบ้านเราก็อาจมีไม่มากนัก สำหรับดอกยางประเภทนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานแบบเฉพาะเจาะจงครับ ไม่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือชีวิตคนเมืองอย่างบ้านเรานั่นเองครับ

    เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับผู้ที่ใช้รถในชีวิตประจำวัน และกำลังถึงระยะเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยาง ยังไงก็อย่าลืมเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งานกันด้วยครับ และที่สำคัญอย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทนะครับเพื่อความปลอดภัยกับตัวเองและคนรอบข้าง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • HALOGEN-XENON-LED ต่างกันอย่างไร…?

    1 Min Read

    HALOGEN-XENON-LED ต่างกันอย่างไร…?

    ยุคสมัยเปลี่ยนไป อะไรก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งไฟรถยนต์ก็ยังไม่หยุดพัฒนาปรับเปลี่ยนกันไปตามสมัยนิยม สำหรับผู้ที่ใช้รถมาไม่น้อยกว่าสิบปีก็คงจะเห็นได้อย่างชัดเจนครับว่าหลอดไฟที่ถูกใช้อยู่ในรถแต่ละรุ่นนั้นมีให้เลือกเต็มที่ก็แค่สีเหลือง สีแดง สีเขียว สีฟ้า สีม่วง ก็ว่ากันไปตามแล้วแต่ชอบ หรือไม่ชอบก็แล้วแต่ พอมาถึงยุคนี้มีหลอดไฟให้เลือกกันหลายแบบโดยเฉพาะเรื่องของความสว่าง มีให้เลือกกันจนงงไปหมด ในคอลัมน์นี้จึงได้นำหลอดไฟทั้งสามชนิดมาแยกประเภทให้ดูกันครับว่า HALOGEN,XENON,LED มันมีความแตกต่างกันอย่างไรทั้งคุณภาพและราคา

     

    Halogen หลอดแบบมีไส้ภายในบรรจุก๊าซฮาโลเจน ซึ่งแตกต่างแค่รายละเอียดด้านขนาด รูปทรงของฐาน ความสว่าง หรือจำนวนของไส้ โดยมีรหัสเรียก เช่น H1 H2 H3 H4 มีราคาตั้งแต่หลอดละ50 บาท ไปจนถึงหลอดไฟของแต่ง ราคาหลอดละเป็นพันบาท เปรียบเทียบการทำงานแบบง่ายๆ ของหลอดฮาโลเจน ก็คือ หลอดไฟแบบมีไส้ จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไป ทำให้ไส้ร้อนเปล่งแสงผ่านก๊าซที่ชื่อ ฮาโลเจนที่บรรจุอยู่ในหลอดรอบตัวไส้ ถ้าหลอดแตกจนก๊าซรั่วหรือไส้ขาดก็เสีย รับไฟ 12 โวลต์ตรงๆ จากระบบปกติของรถ

     

    การเปิดให้สว่างก็แค่จ่ายกระแสไฟเข้าไฟแสงจะสว่างขึ้นอย่างฉับไว แบบเดียวกับที่กะพริบไฟสูงหากยังงงให้นึกถึงหลอดไฟที่ใช้ในบ้าน เป็นหลอดกลมๆ ทรงคล้ายน้ำเต้า มีไส้ต่อไฟโดยตรงนั่นเอง แสงของไฟมักจะสว่างแบบอมเหลือง

     

     

    Xenon ส่วนหลอดไฟ XENON ภายในบรรจุก๊าซชื่อ XENON ไม่มีไส้โดยตรงแบบฮาโลเจน ทำงานคล้ายกับหลอดไฟนีออนที่ใช้ในบ้าน ต้องมีตัวแปลงและควบคุมกระแสไฟ เรียกว่า บัลลาร์ด เป็นกล่องคั่นระหว่างสายไฟปกติ ก่อนต่อเข้าตัวหลอด แสงจะออกมานวลๆ การเปิดให้หลอด XENON สว่าง ตัวบัลลาร์ดจะสร้างกระแสไฟฟ้าระดับ 20,000 กว่าโวลต์ ส่งเข้าไปยังตัวหลอดเพื่อจุดในครั้งแรก และในอีกประมาณ 1-2 วินาที ก็จะลดกระแสไฟฟ้าลงเหลือ 12 โวลต์ (หรือไม่กี่สิบโวลต์) ต่อเนื่องไป



      

    สรุปง่ายๆ ว่า ระบบไฟ XENON มีกระแสไฟเป็นหมื่นโวลต์ถูกสร้างขึ้นด้วยกล่องบัลลาร์ดในช่วงสั้นๆ เพื่อจุดหลอดให้สว่างเท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะลดไฟลงมาเหลือไม่กี่สิบโวลต์คงความสว่างไว้ตัวหลอด XENON จะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาที กว่าจะสว่างเต็มที่หลังจากจุดครั้งแรก จึงทำให้ถูกใช้แต่หลอดไฟต่ำแต่ไม่ใช้กับไฟสูง เพราะสว่างไม่ทัน ถ้ามีการกะพริบไฟหรือเปิดไฟสูงในทันที ไฟ XENON ที่มีทั้งไฟต่ำและสูง จึงไม่ใช่เป็นการแยก 2 หลอดจุดหลอดใหม่ แต่ใช้หลอดเดียวต่อข้าง สว่างตลอด และใช้การเลื่อนตัวหลอดหรือตัวบัง ให้เปลี่ยนเป็นไฟต่ำหรือสูงได้ในหลอดที่สว่างตลอดอยู่หลอดเดียว

     

      

              LED ในความเป็นจริงแล้วเป็นหลอดที่มีมานานมากแล้ว เพียงแต่ความสว่างมันยังไม่มากพอต่อการใช้งาน ปัจจุบัน LEDถูกพัฒนาจนสามารถสร้างความสว่างได้มากพอต่อการใช้งานจริง หลักการให้กำเนิดแสงง่ายมากครับ โดยแสงจะเกิดจากชิปของ LED (ไดโอดเปล่งแสง)และควบคุมกระแสด้วยไดรเวอร์ สังเกต LEDที่มีความสว่างมากพอต่อการใช้งานจะต้องมีกล่องไดรเวอร์พ่วงมาด้วยครับ ข้อดีคือสว่างกว่าฮาโลเจนถึง 3-4เท่ากันเลยทีเดียว และที่สำคัญคือความร้อนน้อย อายุการใช้งานยาวกว่าซีนอนและฮาโลเจน ข้อเสียก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของราคาค่าตัวแหละครับ ที่มีราคาค่อนข้างสูงไปสักหน่อย

    ชอบแบบไหนก็เลือกใช้แบบนั้นกันไปครับ เลือกใช้งานให้ถูกประเภท เปลี่ยนแล้วก็อย่าลืมเช็คกันให้ดีครับว่าไปแยงตาเพื่อนร่วมทางหรือป่าว ไม่ใช่ว่าสวยถูกใจเราแต่ลำบากเพื่อนร่วมทาง แบบนี้มีให้เห็นกันเยอะมากครับ ยังไงก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับการปรับแต่งรถนะครับแล้วพบกันไปคอลัมน์หน้า สวัสดีครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • วิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝน

    1 Min Read

    วิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝน

           หลายท่านคงมีความกังวลเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน การขับขี่รถก็ต้องใช้ความระมัดระวังขึ้นเป็นอย่างมากและมักเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง ในคอลัมน์นี้เรามาดูกันว่าขับรถอย่างไรให้ปลอดภัยในช่วงฤดูฝน

    1. เปิดใบปัดน้ำฝน ปรับระดับความเร็วให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้บดบังทัศนวิสัยและถ้าปรับใบปัดน้ำฝนในความเร็วที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้ทัศนวิสัยเบลอได้
    2. ใช้น้ำฉีดกระจก เพื่อใช้ชะล้างคราบโคลนหรือคราบอื่นๆที่บดบังทัศนวิสัยให้ออกไปได้ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน
    3. ใช้ไฟหน้าและไฟท้ายรถ ให้สว่างเพื่อที่จะให้เห็นได้จากระยะไกลได้ชัดเจน
    4. ไม่ขับรถชิดจากท้ายคันหน้ามากเกินไป ให้เว้นระยะจากรถด้านหน้าอย่างน้อย 10-20 เมตร เพื่อที่จะสามารถเบรกรถได้อย่างปลอดภัย
    5. เมื่อรถลื่นไถล ไม่ควรเบรกทันที ให้ลดความเร็วและใช้เกียร์ต่ำแล้วค่อยเบรก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
    6. ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป ควรขับไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อที่จะควบคุมรถได้อย่างสม่ำเสมอ
    7. ควรตรวจสอบสภาพของรถให้พร้อมใช้งาน เพื่อที่จะทำให้รถพร้อมกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เช่น ระบบเบรก ยาง สัญญาณไฟ
    8. ขับช้าๆในช่วงที่มีน้ำท่วมขัง ลดความเร็วลง เพื่อไม่ให้น้ำเข้าในเครื่อง แต่ถ้าน้ำท่วมสูงเกินไป ก็ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้น

        


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment