• เปิดตำนาน “เส้นขอบฟ้า” SKYLINE GT-R

    2 Min Read

    เปิดตำนาน “เส้นขอบฟ้า” SKYLINE GT-R

    ถ้าจะพูดกันถึงรถสปอร์ตจากแดนอาทิตย์อุทัยที่เหล่าบรรดาขาซิ่งในบ้านเราหลายท่านใฝ่ฝันที่จะได้เข้าไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัย นั่นก็คือ NISSAN SKYLINE เป็นรถสายพันธุ์สปอร์ตอีกหนึ่งรุ่นที่มีเส้นสายสวยงามลงตัว รวมไปถึงเรื่องของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนอันมีเสน่ห์ ที่เมื่อได้ยินเสียก็สามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าก๊อตซิล่ามาแล้ว ในคอลัมน์นี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ GT-Rกันแบบทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นกำเนิดจนถึงรุ่นล่าสุดในปัจจุบันกันเลยทีเดียว

    Prince Skyline 1957บริษัทรถยนต์ขนาด เล็กของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองชื่อ Prince MotorCompany (ชื่อดั้งเดิมของบริษัทนี้คือ Tachikawa Aircraft Company)ก่อนหน้าที่จะเข้าควบรวมกิจการกับบริษัท Datson และแปลเปลี่ยนชื่อมาเป็นNissan ในภายหลังเป็นผู้ให้กำเนิดต้นตระกูลของรถ Skyline ในปี คศ 1966ซึ่งมันยังคงเป็นรถสี่ประตูระดับบนสุดคันแรกของ Prince Motor Companyในยุค1957นั้นรถยนต์ทั่วๆไปยังคงมีเครื่องยนต์ที่มีกำลังไม่มากนักและวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้แค่ 120กิโลเมตรเป็นส่วนใหญ่ แต่รถ Prince Skylineสามารทำความเร็วได้ถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากต้นตระกูลของ Skyline คันนี้มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กแค่ 1482 c.c.สี่สูบและมีแรงม้าเพียงน้อยนิดแค่ 60 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100กิโลเมตรใช้เวลาไปถึง 15.0 วินาที

    Prince Skyline Sport Coupe 1962ดีเอนเอของ Skyline รุ่นแรกปี 1957ถูกส่งต่อมายังรุ่นที่สองโดยใช้มันสมองของ Car Designer ระดับโลกอย่างMichelotti ซึ่งทำให้รถรุ่นที่สองนี้มีกลิ่นไอรวมถึงรูปทรงแบบคูเป้ของรถยนต์จากอิตาลีผสมผสานอยู่ Prince Skyline Sport Coupe ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยและผลิตในจำนวนจำกัดแค่ 200คันเท่านั้นความสวยงามของรูปทรงแบบรถสองประตูคูเป้และสมถนะที่ดีขึ้นทำให้มันได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น เครื่องยนต์มีความจุเพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก 1482 c.c.มาเป็น1862 c.c. สี่สูบ 94 แรงม้าโดยยังคงอัตราเร่งเดิมที่ 0-100 กิโลเมตรใน15วินาที

    Prince Skyline 2000 Gt S54 1964เจเนอรเรชั่นที่สามของ Skylineกลับมาใช้รูปแบบของรถยนต์สี่ประตูเหมือนกับรุ่นแรกอีกครั้งนอกจากจะเป็นรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปแล้วมันยังถูกนำไปใช้แข่งขันในสนามแข่งรถยนต์ทางเรียบประเภท Gt ของทีมแข่งในญี่ปุ่นอีกด้วยความแรงของเครื่องยนต์ทำให้มันสามารถกำชัยชนะเหนือรถยนต์จากยุโรปบางค่ายได้จากเครื่องยนต์ที่มีความจุและจำนวนกระบอกสูบเพิ่มขึ้น Skyline 2000 Gt S54ทุกคันติดตั้งเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงขนาด1988 c.c. 162 แรงม้าเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 9.0 วินาที

    Nissan Skyline 2000 Gt-r C10 1969สายเลือดของรถแข่งเริ่มส่งต่อมายัง Skyline 2000 Gt-r C10 ในรุ่นที่สี่และจากการเข้าควบรวมกิจการระหว่าง Nissan กับ Prince Motor Company ในปี1966ทำให้มันกลายไปเป็นรถแข่งชั้นดีที่สามารถใช้แข่งขันได้ทั้งในสนามแข่งรถรวมถึงการแข่งขันแบบแรลลี่ทั่วโลก ถ้วยรางวัลชนะเลิศกว่า 50 ใบเป็นเครื่องมือการันตีประสิทธิภาพของตัวรถได้เป็นอย่างดีวัยรุ่นของญี่ปุ่นที่ชื่นชอบในความเร็วต่างพากันซื้อรถรุ่นนี้และมักจะนำออกมาขับแข่งขันบนท้องถนนในยามค่ำคืนจนเกิดเป็นที่มาของคำว่า Mid NightRacingซึ่งต่อมากลายเป็นจุดศูนย์รวมของพวกบ้าความเร็วที่มักจะรวมตัวกันในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์และพากันตระเวนไปทั่วบนท้องถนนของกรุงโตเกียว 2000 Gt-r C10วางเครื่องยนต์ตัวแรงหกสูบ 1998 c.c. สร้างแรงม้าได้ 160 แรงและมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 8.2วินาทีในเครื่องยนต์เดิมๆจากโรงงานที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับแต่งเพื่อเพิ่ม

    Nissan Skyline 2000 Gt-r 1973อนุกรมของรถ Skyline ถูกส่งต่อมายังรุ่น 2000 Gt-rซึ่งเป็นรถรุ่นที่ห้าของตระกูลโดยการเริ่มต้นนำไฟท้ายแบบทรงกลมสองดวงมาใช้(หรือมักนิยมเรียกขานกันในหมู่นักเลงรถว่า ไฟโดนัท)ต่อมาไฟท้ายแบบนี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ Skyline ทุกรุ่นในยุค 1973จวบจนมาถึงปัจจุบันนี้และจากสภาวะการณ์น้ำมันในตลาดโลกที่มีราคาสูงขึ้นมากกว่าความเป็นจริงในขณะนั้นทำให้ 2000 Gt-r 1973ต้องประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถทำตลาดในเป้าหมายที่วางไว้ได้หลายๆบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องพบกับความตกต่ำของเศรษฐกิจโลกจนเกิดสภาวะที่ซบเซาไปทั่ว Skyline 2000 Gt-r 1973มีเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบขนาดความจุ 1998 c.c. Dohcพร้อมติดตั้งคาร์บูเรเตอร์สามตัว อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรใน 8.3 วินาที

    Nissan Skyline 2000 Gt 1977สายพันธุ์แห่งความแรงรุ่นที่หกของรถ Skyline ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1977ปีที่สภาวะการของราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลงทำให้ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกดีขึ้นวิศวกรของ Nissanจึงได้นำเอาระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบมาใส่ไว้ในเครื่องยนต์ของ Skyline 2000Gt 1977 เพื่อเพิ่มเติมพละกำลังแต่การขับขี่และควบคุมตัวรถกลับทำได้ด้อยลงกว่ารุ่น C10และการออกแบบที่ดูแย่กว่ารุ่น 2000 Gt-r 1973ถึงแม้ว่ามันจะมีการตกแต่งภายในที่ดูดีกว่า Skyline ทุกรุ่นที่ Nissanเคยผลิตออกมาก็ตาม Skyline 2000 Gt 1977ในรุ่นที่หกนี้มีพละกำลังที่ได้มาจากเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบความจุ 1998c.c. เทอร์โบซึ่งดูแล้วน่าจะมีกำลังที่แรงกว่าทุกรุ่นแต่กลับกลายเป็นว่ามันมีแรงม้าเพียงแค่ 130 ตัวเท่านั้น ทำให้ตัวรถที่มีน้ำหนักประมาณ 1100กิโลกรัมอืดอาดและไม่คล่องตัวเท่ากับรุ่นพี่ที่เคยทำมาตรฐานด้านอัตราเร่งแซงและความเร็วสูงสุดเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมากที่สุดของเหล่าบรรดาสาวก Skyline

    Nissan Skyline Rs Turbo 1983 (R 31)เจ้าปีศาจไฟโดนัทรุ่นที่เจ็ดเปิดมิติใหม่ของเครื่องยนต์ติดเทอร์โบพลังแรงสูงใน ยุคนั้นให้ผู้คนได้ตื่นตะลึงในความแรงของตัวรถและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าผู้บริหารรวมถึงบรรดาวิศวกรเครื่องยนต์ของNissan ทำการเปิดแผนก Motor Sport เล็กๆขึ้นภายในบริษัทโดยใช้ชื่อว่าNismoซึ่งต่อมาจะกลายสภาพมาเป็นสำนักงานที่ทำเครื่องยนต์และอุปกรณ์ตกแต่งเพื่อเพิ่มแรงม้าให้กับผู้ใช้รถยนต์ Nissan ที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆของวงการMotor Sport ระดับโลก Skyline Rs Turbo 1983หันกลับมาใช้เครื่องยนต์สี่สูบความจุ 1990 c.c. เทอร์โบโดยมีแรงม้ามากถึง202 แรงม้า และมีอัตราเร่งที่ทำเอา Porsche 911รถสปอร์ตจากแดนกางเขนเหล็กที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแรงของยุค 80ต้องเกิดอาการหนาวๆร้อนๆจากอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรของ Skyline Rs Turboที่ทำเวลาได้เพียง 7.5 วินาทีเท่านั้น

    Nissan Skyline Gt-r 1989 (R 32)ตำแหน่งชนะเลิศทุกรายการในปี 1989 ของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Jtcc (JapaneseTouring Car Championship) ของ Skyline R32ได้มาจากเทคโนโลยีของเครื่องยนต์และตัวรถที่พัฒนาโดยสำนักแต่ง Nismoพ่อมดผู้เสกเป่าความแรงให้กับ Gt-r R32นอกจากนั้นมันยังถูกนำไปแข่งในประเภททางตรงจับเวลาแบบควอเตอร์ไมล์อีกด้วยR32ยังมีระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเพื่อสร้างแรงยึดเกาะกับผิวถนนยามวิ่งด้วยความเร็วสูง เครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นใหม่รหัส RB 26 Dettรวมไปถึงกลีบใบพัดของเทอร์โบที่ทำจากวัสดุเซรามิคเพื่อให้คงทนต่อความร้อนยามใช้งานในรอบเครื่องยนต์สูงๆบนสนามแข่งขัน รถรุ่น R32 1989กลับมาใช้เครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบ 2568 c.c. ทวินเทอร์โบ(เทอร์โบสองตัวที่ทำงานต่างกันโดยตัวแรกจะเริ่มทำงานในรอบเครื่องต่ำและตัวที่สองจะทำงานในรอบเครื่องที่สูงขึ้นทำให้มีอัตราเร่งแบบต่อเนื่องดีขึ้นมาก)ได้แรงม้าจากโรงงานโดยยังไม่ผ่านการโมดิฟายถึง 280ตัวสูงสุดตามกฏหมายของญี่ปุ่นซึ่งมีอัตราเร่งที่ชวนให้ขนหัวลุก 0-100กิโลเมตรเพียง 4.7 วินาทีเท่านั้น

    Nissan Skyline Gt-r 1995 (R33)สายพันธุ์อสูรร้ายในโมเดลที่เก้า ถูกผลิตขึ้นมาเมื่อปี 1995R33เป็นรถที่ถูกปรับแต่งเพื่อเพิ่มเติมพละกำลังให้ถึงขีดสุดในรุ่น V-Specที่สามารถวิ่งได้เร็วถึง 200 ไมล์ต่อชั่วโมงรวมถึงรุ่นพิเศษ 400 Rซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่าสาวก Skyline เนื่องจากมันมีแรงม้าถึง 400แรงม้าจากการปรับจูนเครื่องยนต์ของช่างผู้ชำนาญงานจาก Nissan รถ SkylineR33เป็นที่นิยมมากในบรรดาวัยรุ่นที่ชอบรถสปอร์ตเครื่องแรงและพวกชอบแข่งรถทางตรงแบบจับเวลาควอเตอร์ไมล์เครื่องยนต์ของรุ่นนี้ยังคงเป็นเครื่องหกสูบแถวเรียงรหัส RB26 Dett 2568c.c.ทวินเทอร์โบที่ถูกปรับปรุงกลไกภายในให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่ามีม้าคับคั่งขึ้นถึง 300แรงม้าส่วนอัตราเร่งและความเร็วสุงสุดยังคงใกล้เคียงกับตัวเก่า (R32)

    Nissan Skyline Gt-r 1999 (R34)เจเนอร์เรชั่นที่สิบของตระกูล Gt-r เกิดขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิตอลในยุค2000 R34 ทุกคันติดตั้งจอแสดงผลแบบ Lcdที่สามารถแสดงข้อมูลของเครื่องยนต์และตัวรถในขณะขับใช้งานได้ถึง 7 แบบส่วนรุ่น V-Spec มีโครงรถผสมกันระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์อลูมินัมและเหล็กกล้าฝากระโปรงหน้าทำจากอลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักจึงนับได้ว่ารถรุ่นนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมาก นักเลงรถ Skyline บางคนถึงกับยกให้มันเป็นรถSkyline Gt-r ที่มีรูปทรงสวยงามอมตะและคงความคลาสสิกตลอดกาล R34 Gt-rวางเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบขนาด 2568 c.c.ทวินเทอร์โบ 330แรงม้า เร่งจาก0-100 กิโลเมตรภายในเวลาแค่ 4.5 วินาทีเท่านั้น

    Nissan Gt-r R35 2008หลังจากเสียงก่นด่าของเหล่าบรรดาผู้สื่อข่าวสายรถยนต์ทั่วโลกจากนักทดสอบและวิจารณ์รถยนต์รวมถึงบรรดาสาวกผู้ภักดีของ Gt-r ที่มีต่อ Skyline V35ทำให้ไปกระตุ้นต่อมสมองของผู้บริหาร Nissan ว่าสิ่งที่กระทำลงไปในตัวรถV35 นั้นเหมือนกับการไปทำลายตำนานแห่งความแรงที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของ Gt-rเสียจนแทบสูญสิ้นไปจากความทรงจำและประวัติศาสตร์ของบริษัทรวมไปถึงยอดการขายรถยนต์แบบสปอตร์สองประตูรุ่นสูงสุดของค่ายที่มีตัวเลขหดหายลงไปจนน่าตกใจและส่งแรงสั่นสะเทือนจนไปถึง Carlos Ghosnซึ่งรับหน้าที่เป็นซีอีโอของค่ายเห็นถึงความตกต่ำของรุ่น V35 นายใหญ่ของNissan จึงสั่งการไปยังพลพรรควิศวกรชั้นหัวกระทิของสำนัก Nismoทำการออกแบบและสร้าง Gt-r รุ่นใหม่ล่าสุดให้ออกมาดีกว่าทุกๆรุ่นที่ Nissanเคยสร้างไว้ Gt-r R35 กลับมาเกิดใหม่ด้วยรูปทรงที่ยังคงเอกลักษณ์ของSkyline Gt-r ไว้แทบทั้งหมดไฟท้ายแบบโดนัทก็ยังถูกนำกลับมาใช้เหมือนเดิมหลังจากเสียภาพลักษณ์ไปในรุ่นV35 รวมถึงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อที่ขึ้นชื่อเรื่องการเกาะถนนเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงทวินเทอร์โบรหัส RB26Dettที่มีการพัฒนาจนถึงขีดสุดแล้วในรุ่น R34 ถูกเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์วี 6ทวินเทอร์โบความจุ 3799 c.c. 24 วาว์ล 473แรงม้าที่ 6400 รอบต่อนาทีและมีอัตราเร่งชวนขนหัวลุก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.6 วินาทีแรงเสียจนซุปเปอร์คาร์ในยุคนี้อย่าง Porsche 911 Gt-2, Ferrari599 Gtb,หรือแม้กระทั่ง Lamborghini Lp640ยังต้องหวั่นเกรงในอัตราเร่งและแรงม้าอันท่วมท้นของ Gt-r R35


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • SUPERCHARGER VS TURBO ความเจ๋งที่แตกต่าง…?

    1 Min Read

    SUPERCHARGER VS TURBO ความเจ๋งที่แตกต่าง…?

    ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องราวของความแรง ก็คงจะมีอะไรให้ได้พูดคุยกันแบบยาวๆกันเลยทีเดียว ว่าแล้วเราก็ค่อยๆมาคุยกันที่ละเรื่องจะดีกว่า ว่าใครชอบอะไรแบบไหน แตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะได้เก็บเอาไว้ให้ลูกๆหลานๆยุคหลังได้ศึกษาหาความรู้กัน สำหรับในคอลัมน์นี้จะพาไปดูสารตั้งต้นของความแรงซึ่งก็จะแบ่งกันให้เห็นสองชนิดของสารตั้งต้นความแรง นั่นก็คือ ซุปเปอร์ชาร์จกับเทอร์โบชาร์จ ในคอลัมน์นี้จะพาไปดูรายละเอียดว่าการทำงานของสองชนิดนี้มันทำงานอย่างไร และแบบไหนจะดีกว่ากัน

    SUPERCHARGER คือระบบอัดอากาศอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำหน้าที่เหมือนกับเทอร์โบ แต่แตกต่างตรงที่หลักการทำงานและรูปร่างหน้าตาเพียงเท่านั้น ซึ่ง ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ จะถูกออกแบบมาในลักษณะที่ดูเป็นส่วนประกอบที่กลมกลืนกับเครื่องยนต์และถูกติดตั้งบนตัวเครื่องยนต์ มีช่องทางเพื่อรับอากาศเข้า และทางออกเพื่อส่งอากาศที่ถูกอัดเพิ่มอย่างมหาศาลแล้วลำเลียงผ่านท่อทางเดินผ่านลิ้นปีกผีเสื้อเข้าสู่ห้องเผาไหม้ เพื่อไปใช้ในการจุดระเบิด

    TURBO CHARGER คือระบบอัดอากาศที่มีหน้าตาคล้ายๆก้นหอย โดยที่ช่องทาง อากาศเข้า ไอเสียเข้า อากาศที่ถูกอัดเพิ่มแรงออก ไอเสียที่ใช้งานออก แล้วมีแกนใบพัดที่ถูกติดตั้งทั้งในโข่งหน้าและโข่งหลังบนแกนเดียวกัน เพื่อเป็นการปั่นพลังสร้างแรงลมเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ให้กับเครื่องยนต์ เพื่อใช้เพิ่มแรงในการจุดระเบิดได้มากขึ้น

    SUPERCHARGER มีหลักการทำงานที่แตกต่างจาก TURBO CHARGER คือ ซุปเปอร์ชาร์จจะสร้างแรงลมเพื่ออัดอากาสเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยการใช้สายพานลากกำลังมาจากมู่เล่ย์ ข้อเหวี่ยงหน้าเครื่อง (เหมือนกับสายพานไดร์ชาร์จและคอมเพรสเซอร์แอร์) เพื่อมาหมุนระบบการทำงานภายใน ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ เพื่อสร้างแรงลม จากนั้นอากาศที่ถูกสร้างก็จะลำเลียงเดินทางผ่านอินเตอร์คูลเลอร์ตามลำดับ เพื่อส่งเข้าสู่ห้องเผาไหม้

    ซึ่งระบบ ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ จะแตกต่างจาก เทอร์โบชาร์จเจอร์ อย่างชัดเจนคือ เทอร์โบชาร์จ ใช้ไอเสียมาปั่นแกนใบพัดเพื่อสร้างแรงดันอากาศ ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ ใช้กำลังจำเครื่องยนต์ผ่านสายพานหน้าเครื่อง มาใช้ในการขับเคลื่อนระบบกลไกในตัว ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ เพื่อสร้างแรงดันอากาศ

    TURBO  CHARGER มีหลักการทำงานคือ ระบบเทอร์โบจะใช้ไอเสียที่ผ่านการเผาไหม้เข้ามาเป็นแรงลมในการขับเคลื่อนใบพัดโข่งหลัง จากนั้นที่โข่งหน้าจะเป็นช่องทางที่รับอากาศเข้า การทำงานของตัวเทอร์โบชาร์จ จะใช้ไอเสียเข้ามาปั่นโข่งหลังเพื่อให้แกนใบพัดที่โข่งหน้าหมุนตาม เพื่อสร้างแรงดันและดึงอากาศที่เป็นไอดีจากฝั่งขาเข้า แล้วอัดอากาศให้มีปริมาณที่มากขึ้น จากนั้นอากาศจะถูกลำเลียงผ่านท่อทางเดิน โดยกลางทางจะผ่านอุปกรณ์ที่ป้องกันการเสียหายของเทอร์โบ ที่เรียกว่าโบว์อ๊อฟวาล์ว จากนั้นอากาศที่ถูกเพิ่มแรงดันก็จะเดินทางผ่านเข้าไปยังลิ้นปีกผีเสื้อ เข้าสู่ท่อร่วมไอดีแล้วถูกส่งเข้าสู่ห้องเผาไหม้เพื่อใช้ในการจุดระเบิด จากนั้นอากาศที่ถูกผลักเข้าไปก็จคายออกมาในรูปแบบของไอเสีย ซึ่งไอเสียเหล่านั้นจะถูกวนกลับมาใช้งานในการปั่นที่โข่งหลังต่อ ส่วนไอเสียส่วนเกินก็จะถูกส่งออกมาทางท่อไอเสียท้ายรถเรา และนี่ก็คือวงจรการทำงานของTURBO CHARER

    ในส่วนของข้อดีและข้อเสียก็คงจะแตกต่างกันออกไปอยู่ที่ความชอบของแต่ละคน ซุปเปอร์ชาร์จ มาตั้งแต่กดคันเร่งแต่ต้องดึงกำลังจากเครื่องยนต์มาสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับตัวเอง ส่วนเทอร์โบ รอรอบแต่พอติดบูสท์แล้วดึงสนุกอย่าบอกใครเลยทีเดียว

    ก็ฝากกันเอาไว้ด้วยครับกับเรื่องราวของการปรับแต่งโมดิฟายรถ ใครชอบแบบไหนก็จัดกันไป ที่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องขับขี่กันอย่างมีสติ และไม่ประมาทนะครับ ด้วยความห่วงใยจากทีมงาน REALTIME CAR MAGAZINE


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • สอบใบขับขี่ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง

    1 Min Read

    สอบใบขับขี่ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง

    สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับในช่วงนี้มีการใช้รถยนต์บนท้องถนนเริ่มมีมากขึ้น แน่นอนว่า มีทั้งผู้ที่เรียนเองจากบุคคลที่ขับขี่ได้อยู่แล้ว หรือไปเรียนตามโรงเรียนสอนขับรถสถานที่ต่างๆ แต่แน่นอน ไม่ว่าจะเรียนจากใครมา ทุกคนย่อมต้องทำให้ถูกกฎหมายเช่นกัน นั่นคือการทำใบขับขี่ และในวันนี้ทีมงานRealtime จะขอเสนอเรื่องการเตรียมตัวสำหรับการสอบเพื่อรับใบขับขี่ จะต้องเตรียมและปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ

    การจองคิวเพื่อสอบ

    1.จองด้วยตนเองที่กรมการขนส่งทางบก

    2.จองผ่านการโทรศัพท์ 02-2718888 หรือ 1584

    3.จองผ่านระบบออลไลน์ ebooking.dlt.go.th/ebooking หรือสำหรับในส่วนภูมิภาค จะมีสำนักงานขนส่งประจำจังหวัด ทุกจังหวัด สามารถดูและเช็กเบอร์โทร. ติดต่อได้ที่ dlt.go.th

    หลักฐานที่ต้องเตรียม   

    1.บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง

    2.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  1  ใบ

    3.ใบรับรองแพทย์ อายุใบรับรองไม่เกิน 1 เดือน

    4.ใบรับรองการอบรม(กรณีทำการอบรมเอกชนที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก)

    การสอบข้อเขียน

    ต้องสอบผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 90 % หากไม่ผ่านต้องมาทำการสอบใหม่ในเวลาที่กำหนดไม่เกิน 90 วัน

     

    เข้าการอบรมการใช้รถใช้ถนนและจิตสำนึกการใช้รถใช้ถนน

    หากมีใบรับรองการสอบจากที่อื่นมาแล้วสามารถเข้าสู่สอบภาคปฏิบัติได้เลย แต่หากในแบบปกติต้องเข้าอบรมรวมเวลาทั้งหมด 5 ชั่วโมง

    การสอบภาคปฏิบัติ

    กรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้ทั้งหมด 3 การทดสอบ

     

    1.การทดสอบเดินหน้าถอยหลัง การขับรถเดินหน้าถอยหลังโดยไม่ให้ชน

     

    2.ขับรถเดินหน้าและหยุดรถทางเทียบเท้า ด้านซ้ายของรถห่างจากขอบทางไม่เกินและจอดให้ล้อหน้าและล้อหลังทับเส้นที่กำหนด กันชนหน้ารถห่างจากเส้นหยุดไม่เกิน 1 เมตร

     

    3.ขับรถเข้าซองจุดจอดที่กำหนด ขับรถถอยหลังเข้าจอดและออกจากช่องว่างด้านซ้าย ต้องไม่ชนหรือเบียดเสาในพื้นที่ และเปลี่ยนเกียร์ได้ไม่เกิน 7 ครั้ง

    ชำระค่าธรรมเนียมและถ่ายรูปติดบัตร

    ค่าคำขอ 5 บาท ค่าใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 200 บาท ค่าซองของใบขับขี่(ขอไม่รับก็ได้) 100 รวมทั้งหมด 305 บาท

     

    กรณีบัตรหายควรทำอย่างไร

    1.เตรียมตัวจริงของ บัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน พร้อมด้วยสำเนาอย่างละ 1 ชุด

    2.เดินทางไปติดต่อที่กรมการขนส่งทางบกใกล้บ้าน

    3.ติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์พร้อมแจ้งความประสงค์ต้องการทำบัตรใหม่กรณีบัตรหาย แล้วเจ้าหน้าที่จะให้เขียนใบคำร้อง พร้อมแนบสำเนา รับบัตรคิว

    4.เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล เมื่อข้อมูลตรงและถูกต้องเตรียมการทำบัตรใหม่

    5.เสียค่าธรรมเนียมบัตร 250 และอีก 5 บาท ค่าใบคำร้อง

     

    รู้อย่างนี้แล้ว ก็เตรียมตัวเตรียมเอกสารกันไปให้พร้อมนะครับ ถ้าไปแล้วลืมเอกสารจะทำให้เสียเวลากันไปอีก ต่อไปจะพบกับคอลัมน์อะไรรอติดตามกันได้เลยครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ไฟตัดหมอก มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

    1 Min Read

    ไฟตัดหมอก มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

    เมื่อพูดถึงไฟตัดหมอกในรถแบรนด์ต่างๆที่ออกมาเรื่อยๆในปัจจุบันก็มีติดมากับตัวรถแทบทุกคัน หลายๆท่านอาจจะได้ใช้มากน้อยต่างกันแน่นอน แต่จะมีใครสงสัยบ้างว่าไฟตัดหมอกควรใช้สถานการณ์ใดช่วงใด เรามาร่วมหาคำตอบกันได้ในคอลัมน์นี้

    ไฟตัดหมอก เป็นโคมไฟที่ติดมากับรถสมัยใหม่หลายๆแบรนด์เกือบทุกคันซึ่งหลอดไฟนั้นเป็นเสมือนไฟสปอร์ตไลท์ย่อส่วนที่ขนาด 55 วัตต์ความสว่างก็คล้ายๆกับไฟสปอร์ตไลท์ที่จะช่วยในการมองเห็นมากขึ้นในสถานการณ์ที่ควรจะเป็นดังนี้

             บริเวณที่มีหมอกหนา ที่ทำให้ทัศนวิสัยของท่านย่ำแย่ในการขับท่านก็จะสามารถเปิดไฟตัดหมอกได้เพราะช่วยให้มองเห็นดีขึ้นช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้และยังช่วยให้รถที่ขับสวนมาเห็นได้ชัด

             บริเวณฝนตกหนัก ในช่วงที่ในฝนตกหนักมากที่จะทำให้ทัศนวิสัยแย่มากๆ มองถนนไม่ชัดการที่เปิดไฟตัดหมอกช่วยทำให้ท่านสามารถมองเห็นได้ดีขึ้นโดยไฟตัดหมอกจะช่วยกระจายแสงนั่นเอง

             บริเวณที่มีกลุ่มควัน ไม่ว่าควันนั้นเกิดจากการเผา หรือไฟไหม้ป่าที่ทำให้ปิดกั้นทัศนวิสัยที่ทำให้เห็นทางในระยะที่น้อยมากๆ ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกได้ แต่เมื่อผ่านบริเวณนั้นควรปิดทันที

             บริเวณที่ฝนหยุดตกใหม่ๆ อาจจะมีน้ำขังและถนนลื่นอยู่ เมื่อได้ลองเปิดไฟดูอาจจะพบว่าไม่สว่างเท่าที่ควร ทั้งนี้ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกได้ตามความเหมาะสม

    ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์คร่าวๆที่ทุกท่านอาจจะได้พบเจอ ที่จะต้องใช้ไฟตัดหมอกแต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพิจารณาและความเหมาะสมของตัวท่านเอง เพราะถ้าเปิดในสถานการณ์ที่ไม่สมควรอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นและผิดกฎหมายได้ จึงควรใช้กันอย่างระมัดระวังด้วย


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • FLUSH STYLE มันเป็นยังไงไปดูกัน

    1 Min Read

    FLUSH STYLE มันเป็นยังไงไปดูกัน

    รูปแบบและแนวทางการปรับแต่งรถในบ้านเรา ยังคงพัฒนากันอยู่ตลอด ส่วนใครจะหันเหไปทางไหนนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนแหละครับ จะสวย จะแรง จะสูงหรือจะเตี้ยก็สุดแล้วแต่ความชอบครับ แต่สำหรับในคอลัมน์นี้จะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับแนวการแต่งรถเทห์ๆอีกหนึ่งแนว เรียกว่าขับไปไหนมาไหนเนี่ย สาวๆต้องเหลียวหลังกันอย่างแน่นอน ซึ่งก็คือการแต่งรถในแนว FLUSH STYLE ไปดูกันครับว่า FLUSH STYLE มีแบบไหนบ้างและเค้าแต่งกันอย่างไร

              FLUSH STYLE เป็นการแต่งรถสไตล์ FLUSH จะเน้นที่การจัดวางล้อ หรือ STANT N’FITMENT ให้พอดีกับตัวถังโดยไม่ยื่นออกมานอกซุ้มล้อ ซึ่งแตกออกมาได้หลายแบบขึ้นอยู่กับขนาดและอ๊อฟเซ็ทของล้อแม็กซ์ ขนาดยาง ความเตี้ยของตัวรถ ไปจนถึงมุมองศาของล้อที่ทำการ FITMENT ที่แตกต่างกัน

    การแต่งรถแนว FLUSH คือการใช้ล้อหน้ากว้างบวกกับยางหน้าแคบ หรือที่เรียกกันว่า “ล้อกว้าง ยางดึง” ซึ่งทำให้ขอบแม็กซ์ล้นออกมาเลยขอบยาง แล้วทำการโหลดให้ขอบยางด้านนอกลงมาเฉียดกับซุ้มล้อด้านใน โดยการปรับองศาล้อ หรือ มุมแคมเบอร์ช่วย

    – HELLA FLUSH จะเป็นการแต่งที่นิยมมากที่สุดในกลุ่ม FLUSH ซึ่งจะโหลดกับล้อหน้ากว้างมากๆรัดด้วยยางหน้าแคบ แล้วโหลดลงมาให้เตี้ยจนยางเบียดกับซุ้มล้อให้มากที่สุด โดยใช้การแบะล้อช่วยในกรณีที่ล้อยื่นออกมานอกรถ (ยิ่งเฉียด ยิ่งแบะ ยิ่งเท่)

    – HELLA FAIL  จะเป็นการโหลดคล้ายๆกับ HELLA FLUSH แต่จะแบะล้อให้เอียงมากกว่า ไปจนถึงเอียงแบบสุดๆ บางงคันโหลดจนดูเหมือนจะแบนราบไปกับพื้นเลยทีเดียว แบบนี้จะนิยมทำกันเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

    – MAXI FLUSH คือการใส่ล้อผิดออฟเซ็ทเข้ากับยางหน้ากว้างและทำให้ล้อยื่นออกมานอกตัวถัง ทำให้ไม่สามารถ FITMENT ได้ ซึ่งการโหลดลักษณะนี้ที่จริงและไม่ถือว่าเป็นสไตล์ FLUSHแต่จะออกแนวรถแดร็ก หรือพวกแต่งแนว RETRO มากกว่า

    ส่วนพวกที่โหลดโดยใส่ล้อที่มีความสูงและออฟเซ็ทเท่าขนาดแสตนดาร์ด (STORCK) และไม่มีการปรับองศาล้อแต่อย่างใดนั้น แบ่งออกเป็นการโหลดแบบ DROPPED ซึ่งคือการโหลดด้วยสปริงค์โหลด แบบนี้ตัวรถจะเตี้ยลงมาเล็กน้อยประมาณ 1.5 – 2 นิ้ว

    แบบโหลดด้วยโช้คอัพแบบสตรัท ซึ่งโหลดลงมาให้เตี้ยกว่าแบบแรกแต่ไม่มากนัก ซุ้มล้อจะปริ่มขอบยางเล็กน้อย แบบนี้เรียกว่า (DROPPED) เช่นกัน แต่ถ้าปรับโหลดให้เตี้ยลงมาแบบสุดๆ จนซุ้มล้อลงมาระดับขอบแม็กซ์โดยที่มุมล้อยังตั้งตรงอยู่ แบบนี้จะเรียกว่า (SLAMMED)

    เป็นยังไงบ้างละครับสำหรับแนวนี้ บอกได้คำเดียวครับว่าสุด อาจจะขับลำบากไปบ้าง แต่ก็คงไม่เกินความสามารถของคนที่มีใจรักในการแต่งรถอย่างแน่นอน เพราะเมื่อได้ยินเสียงใต้ท้องขูนลูกละนาด มันช่างมีความสุขซะเหลือเกิน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ระบบเบรก ABS เป็นอย่างไร ทำไมถึงต้องมี

    1 Min Read

    ระบบเบรก ABS เป็นอย่างไร ทำไมถึงต้องมี

    รถยนต์เกือบทุกคันในสมัยนี้จะมีระบบเบรกที่ติดตัวรถมาเป็นพื้นฐานที่เรียกว่า ระบบ ABS(Anti-Lock Braking System) หรือเรียกง่ายๆว่าระบบป้องกันล้อล็อค ซึ่งต้องมีติดมากับรถเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน เพื่อป้องกันล้อรถของท่านล็อคจนเสียการควบคุมเราจะมาดูกันว่าทำไมควรมี และถ้ามีแล้วประโยชน์มากน้อยเพียงใด

    ระบบ ABS(Anti-Lock Braking System) เป็นระบบป้องกันล้อล็อกซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่รถทุกคันควรมี ระบบนี้คิดค้นขึ้นมาเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถแล้วเกิดการเบรกกะทันหันจนล้อรถเกิดอาการล็อคจนเสียการควบคุม นำมาซึ่งอุบัติเหตุ

    การทำงานหลักๆคือ เมื่อเราเบรกรถอย่างกะทันหัน เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบริเวณล้อรถทั้ง 4 ล้อ จะตรวจจับอัตราการหมุนของล้อแล้วส่งต่อไปยังกล่องประมวลผลแล้ววางคำสั่งไปยังปั๊มเบรกทำงานลักษณะเดียวกันกับตอนที่เราเหยียบเบรกแบบย้ำๆ ส่งผลให้ล้อยังหมุนอยู่ไม่เกิดการล็อกและทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ เพื่อลดอุบัติเหตุ

     

    ข้อแนะนำ

    1.อย่าตื่นตระหนก เมื่อเราเบรกกะทันหันระบบ ABS จะทำงานทำให้เสียงดังมากๆและแป้นเบรกสั่นสะเทือนจนสามารถทำให้ตกใจได้

    2.ห้ามถอนเท้าจากแป้นเบรกเด็ดขาด ขณะที่ระบบ ABS ทำงานควรควบคุมน้ำหนักของแป้นเบรกไว้ห้ามผ่อนลงเด็ดขาดเพราะจะทำให้เป็นการยกเลิกระบบ ABS และเมื่อเหยียบอีกครั้งระบบเบรกจะทำงานใหม่ ทำให้เสียการควบคุมได้

    3.ระบบ  ABS ไม่เหมาะกับเส้นทางที่มีลักษณะพื้นผิวร่วนซุย อย่างเช่น ทางลูกรัง ทางที่มีเม็ดกรวดหรือเม็ดทราย โคลนเป็นต้น จะส่งผลให้มีระยะเบรกที่ไกลกว่าปกติเมื่อเทียบกับถนนธรรมดา

    จากเกร็ดความรู้ในคอลัมน์นี้หวังว่าทุกท่านจะได้นำไปใช้ในชีวิตจริงเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เพราะจากสถิติในแต่ละปี ประเทศไทยเป็นลำดับต้นๆของโลกที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนท้องถนน แต่เมื่อท่านได้ความรู้จากคอลัมน์นี้และไปปฏิบัติตาม จะช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างแน่นอน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • WASTEGATE…คืออะไรทำไมเค้าติดกัน..?

    1 Min Read

    WASTEGATE…คืออะไรทำไมเค้าติดกัน..?

    สำหรับในคอลัมน์นี้เอาใจสายซิ่งกันซะหน่อย กับเรื่องราวเกร็ดความรู้เกี่ยวกับของแต่งอีกหนึ่งอย่างที่สาวกรถซิ่งติดหอย (TURBO)ต้องมี นั่นก็คือ เวสเกต เชื่อว่าหลายคนคงยังไม่รู้ว่าหน้าที่ของเวสเกตมีไว้ทำอะไร และเวสเกตนั้นมีกี่แบบ แล้วควรจะติดแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับการใช้งาน ในคอลัมน์นี้มีคำตอบให้ขาซิ่งได้ไขข้อข้องใจกันครับ

    เวสเกตคือ อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ทำงานควบคู่กับระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเทอร์โบทุกลูกนั้นไม่มีตัวควบคุมการทำงานคิดตามกันแบบง่ายๆก็คือ ตัวเทอร์โบไม่มีตัวควบคุมการทำงานนั้นเอง ซึ่งถ้าไม่มีการควบคุมปริมาณอากาศ ก็จะส่งผลให้เครื่องยนต์ไม่สามารถรองรับกับแรงบูสท์ได้นั่นเองผลที่ตามมาก็คือเครื่องพังนั่นแหละครับ เพราะเหตุผลนี้จึงต้องมี เวสเกตเข้ามาช่วย เวสเกตมีหน้าที่คุมอัตราการบูสท์ของเทอร์โบ ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมของการปรับจูนเครื่องยนต์ จะบูสท์มากหรือบูสท์น้อยก็สามารถปรับได้ที่ตัวเวสเกต หรือจะให้สะดวกก็ติดตั้งตัวปรับบูสท์เข้ามาปรับที่ภายในห้องโดยสาร

    เวสเกตมี2แบบ

    1. แบบกระป๋อง หรือที่เรียกกันติดปากว่าเวสเกตกระป๋องนั่นเอง เวสเกตชนิดนี้มักจะพบในรถสแตนดาร์ด ซึ่งจะมีหลักการทำงานไม่ซับซ้อน และมีขนาดเล็กไม่ใช้พื้นที่ในห้องเครื่องมากจนเกินไป ตำแหน่งในการติดตั้งจะติดอยู่กับตัวเทอร์โบ ซึ่งจะมีแกนต่อกับโข่งหลัง และมีสปริงที่ด้านในอัตราในการบูสท์ขึ้นอยู่กับค่าของสปริง

    1. แบบแยก หรือที่เรียกกันว่าเวสเกตแยกนั่นเอง เวสเกตแยกมีจำหน่ายอยู่มากมายหลากหลายยี่ห้อ มีให้เลือกทั้งของบ้านเราและของแบรนด์นอก อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่งบประมาณและความพอใจนั่นแหละครับ เวสเกตแยกจะมีขนาดใหญ่ซึ่งภายในจะมีสปริง วาล์ว และแผ่นไดอะแฟรม เป็นชุดกลไกลหลักในการทำงาน หลายคนนิยมติดตั้งกันก็เพราะไอ้เจ้าเวสเกตแยกเนี่ยมันมีท่อคายทิ้ง ซึ่งเมื่อติดบูสท์แล้วเสียงมันก็จะแซด…แซด….ลั่นๆหน่อย เป็นเสียงที่รถเทอร์โบนั้นขาดไม่ได้กันเลยทีเดียว แต่ในบางคันไม่อยากให้มีเสียงแซด…ก็สามารถที่จะต่อเข้าไปที่ท่อไอเสียได้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังและที่สำคัญคือช่วยให้การคายไอเสียเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เวสเกตแยกสามารถปรับตั้งอัตราการบูสท์ของเทอร์โบได้ด้วยการไขที่ด้านบนของเวสเกตแยกเพื่อไปกดสปริง ยิ่งกดให้สปริงแข็งยิ่งบูสท์เยอะ ยิ่งคายออกให้สปริงอ่อนยิ่งบูสท์น้อย หลักการก็มีกันอยู่เท่านี้แหละครับ

    รู้จักการทำงานของเวสเกตกันแล้วก็อย่าลืมเลือกใช้งานกันให้ถูกประเภทละครับ แต่ที่สำคัญ เมื่อแต่งรถให้สวยให้แรงกันแล้วก็นำไปวิ่งกันในสนามนะครับ อย่างออกมาแข่งขันกันบนท้องถนน เดี๋ยวชาวบ้านเค้าจะเดือดร้อน

      


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • มาจับอาการคลัตช์หมดกันว่าเป็นยังไง ?

    1 Min Read

    มาจับอาการคลัตช์หมดกันว่าเป็นยังไง ?

    พบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์นำเสนอเกร็ดความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์ เอาใจผู้ที่ใช้รถยนต์และรถกระบะเกียร์ธรรมดากันซะหน่อย สำหรับผู้ที่ขับขี่รถเกียร์ธรรมดาต้องควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดถึงอาการของคลัตช์หมดว่ามันเป็นยังไง ซึ่งถ้าเรารู้ก่อนหรือสามารถจับอาการได้ก็จะช่วยให้เราแก้ไขได้ทันท่วงที ลดการเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้

    คลัตช์ลื่น ก็เป็นอาการเริ่มต้นที่คุณควรจะสนใจและมันเป็นลางร้ายที่บอกคุณก่อนที่คลัตช์ของคุณจะหมด อาการคลัตช์ลื่นนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ ใน 2 กรณี คือ 1 คลัตช์ใกล้หมด ซึ่งมีสาเหตุใหญ่มาจากผ้าคลัตช์ที่เริ่มบาง และ 2.เครื่องมีกำลังเกินกว่าที่คลัตช์ จะรับได้ ซึ่งมักจะพบในรถยนต์กลุ่มที่มีการโมดิฟายเครื่องยนต์เท่านั้น หากรถคุณไม่ได้โมเครื่อง แน่นอนว่า นี่เป็นสาเหตุของอาการคลัตช์ใกล้หมดที่เริ่มบ่งชี้อาการว่ารถของคุณกำลังไม่ปกติ

    ความเร็วลดลงในรอบเครื่องเท่าเดิม บางครั้งในรถยนต์บางรุ่น คุณอาจไม่พบอาการคลัตช์ลื่นก็เป็นไปได้ และ นี่อาจเป็นอาการที่ 2 ที่คุณอาจ โดยเฉพาะ ในรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ที่ยากมากที่คุณจะสังเกตอาการคลัตช์ลื่น บางครั้งถ้าคุณพบว่าที่ความเร็วเท่าเดิม แต่ใช้รอบเครื่องสูงขึ้นกว่าเดิม หรือรอบเครื่องเท่าเดิม แต่ได้ความเร็วต่ำกว่าที่เคยทำได้ นั่นก็เป็นอาการหนึ่งของคลัตช์ลื่นที่ช่วยเตือนคุณก่อนคลัตช์จะหมด

    ขึ้นเนินชันได้ช้ากว่าปกติ บางครั้งทั้ง 2 อาการ ขั้นต้นคุณอาจจะยังไม่พบ แต่ถ้าคุณสามารถสังเกตได้ว่า รถเริ่มไต่เนินได้ช้า หรือต้องลดจังหวะเกียร์เพื่อขึ้นเนิน ทั้งๆที่ เมื่อก่อนไม่จำเป็นนั้น นี่เป็นอาการเริ่มต้นของอาการคลัตช์บาง ที่เป็นต้นเหตุอาการคลัตช์หมด

    clutch 2 clutch 1

                จากหัวข้อทั้งสามหัวข้อที่ได้กล่าวมานั้นก็เป็นอาการที่บ่งบอกได้ว่าคลัตช์มันจะไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนคลัตช์ใหม่ได้แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างมีทางแก้ไขและยังพอมีวิธีช่วยให้ยืดระยะเวลาในการใช้งานของคลัตช์ได้อย่างไม่ยากนัก โดยปกติแล้วคลัตช์จะมีอายุการใช้งาน 150,000-200,000 กิโลเมตร ซึ่งก็อยู่ที่การใช้งานแหละครับว่าเราจะใช้ยังไงให้คลัตช์อยู่กับเราไปนานๆ

    อย่าเลี้ยงคลัตช์ หลายคนมักนิยมเหยียบแช่คลัตช์ หรือที่เราเรียกกันว่า เลี้ยงคลัตช์ โดยเฉพาะใครก็ตามที่นิยมขับรถในเขตเมืองการเหยียบคลัตช์แช่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และสำหรับเกียร์อัตโนมัติ นี่คือคำตอบที่ดีสำหรับ ใครที่ถามว่าทำไมต้องเปลี่ยน D เป็น N ทั้งๆที่ติดไม่นาน เพราะในเจ้าตัว Torque Convertor นั้น มันก็มีคลัตช์เช่นกัน

    ย่าเหยียบคลัตช์โดยไม่จำเป็น ตามปกติแล้ว คลัตช์เราจะต้องใช้งานมันนั้นก็ต่อเมื่อ เราต้องการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวที่เราจะใช้ ดังนั้นใครที่ใช้คลัตช์บ่อยๆโดยไม่จำเป็น ก็จะทำให้คลัตช์หมดไว

    อย่าพักเท้าที่คลัตช์ หลายคนมักจะชอบพักเท้ารอที่คลัตช์ เพื่อรอจังหวะเปลี่ยนเกียร์ แต่ความจริงแล้วมันเป็นพฤติกรรมที่ผิดเพราะเพียงน้ำหนักนิดเดียวที่กดลงแป้นก็อาจทำให้จานกดคลัตช์หนีห่างจากฟลายวิล และทำให้คลัตช์สึกหรอมากกว่าปกติได้

    หลีกเลี่ยงการทำคลัตช์ไหม้ นี่เป็นเรื่องที่ต้องจำเอาไว้เลยสำหรับขาลุยที่ชอบเฮอาตามต่างจังหวัด การขับรถทางไกล โดยเฉพาะใครที่ขึ้นเขาลงห้วยบ่อยๆ พยายามหลีกเลี่ยงการทำคลัตช์ไหม้ให้ดี เพราะการทำคลัตช์ไหม้นี้จะทำให้หน้าสัมผัสของคลัตช์ เสื่อมไวกว่าปกติ และท้ายที่สุด มันก็จะเป็นอาการเรื้อรังไปถึงคลัตช์หมด

    clutch 3 clutch 5 clutch 4

    เมื่ออ่านจบแล้วก็อย่างลืมเปลี่ยนพฤติกรรมการขับรถกันนะครับ สำหรับผู้ที่ใช้รถเกียร์ธรรมดา เพื่อรักษาคลัตช์เอาไว้ใช้งานกันได้นานๆ ลดการเสียหายก่อนกำหนด ยุคนี้เศรษฐกิจไม่ดีต้องช่วยๆกันประหยัดครับอะไรแนะนำกันได้ต้องช่วยกันบอกต่อ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • START & STOP..!!..ให้ถูกวิธีช่วยยืดอายุรถคุณ

    1 Min Read

    START & STOP..!!..ให้ถูกวิธีช่วยยืดอายุรถคุณ

    st1

    เพราะว่ารถคือปัจจัยหนึ่งในการดำเนินชีวิต คอลัมน์เกร็ดความรู้จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องใช้รถในชีวิตประจำวัน แหม…..!!!เปิดมาก็เข้าข้างตัวเองกันเลยทีเดียว แต่มันก็คือเรื่องจริงนั่นแหละครับ เรื่องบางเรื่องเจออยู่ทุกวัน ทำอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่เคยรู้ว่าที่ทำอยู่นั้นมันผิดวิธี เพราะฉะนั้นถ้าได้อ่านคอลัมน์นี้แล้วก็คงจะไม่สายเกินไปอย่างแน่นอน ในยุคสมัยนี้เศรษฐกิจก็ยังคงไม่ค่อยจะสู้ดีมากนักจึงต้องดูแลรถคันโปรดให้มีค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดได้ก็จะดีมากครั[

    อย่างที่เกริ่นกันไปตั้งแต่ตอนต้นนั่นแหละครับ เรื่องบางเรื่องที่ทำกันอยู่ทุกวันโดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าไอ้ที่ทำอยู่เนี่ยมันผิดวิธี เหมือนอย่างที่เค้าว่ากันนั่นแหละครับว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าทำผิดวิธีเป็นเวลานานๆมันก็จะก่อให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกัน นั่นก็คือเรื่องของการสตาร์ทรถและการดับเครื่องรถนั่นเองครับ หลายคนอาจมองว่า ก็แค่สตาร์ทรถและดับเครื่องทำไมต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย จริงๆแล้วบอกได้เลยครับว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญประมาณนึงเลยแหละครับ จริงๆแล้วมันก็คงไม่ต่างกับเวลาเราลุกขึ้นจากที่นอนแล้ววิ่งทันที มันก็จะงงๆมึนๆหน่อยใช่มั้ยละครับ เปรียบเทียบซะเห็นภาพกันเลยทีเดียว เราไปดูกันครับว่าขั้นตอนของการสตาร์ทรถที่ถูกต้องนั้นควรจะทำอย่างไรครับ

    เสียบกุญแจเข้าไป เมื่อเราเสียบกุญแจเข้าไปตำแหน่งแรกคือ Lock ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เวลาเราดับเครื่องยนต์สนิท จากนั้นบิดไปทางขวาที่ตำแหน่ง ACC ตำแหน่งนี้เป็นการเปิดระบบไฟฟ้าในรถให้ทำงาน คุณสามารถเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องเสียงได้ในตำแหน่งนี้ บิดไปทางขวาอีกครั้งคือ On เตรียมพร้อมในการ สตาร์ทรถ และการบิดสุดท้ายคือตำแหน่ง Start เครื่องยนต์จะทำงาน ขณะที่เครื่องยนต์ทำงานไม่ควรกดกุญแจลงไป เพราะเครื่องยนต์จะเสียหายได้

    st2

    เมื่อรถสตาร์ทติดแล้ว อุ่นเครื่องยนต์ 5 -10 นาทีกำลังดีหลังจากที่ สตาร์ทรถแล้วไม่ควรขับทันที เพราะระบบไฟฟ้า ระบบน้ำมันเครื่อง และระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ การขับรถทันทีหลังจากสตาร์ทบ่อยครั้งเป็นบ่อเกิดของการเสียหายของรถอย่าง ลูกสูบติด หัก หรืออาจงอได้ และไม่ควรเหยียบคันเร่งขณะสตาร์ทเพราะจะทำให้เครื่องยนต์กระตุกเครื่องอาจสำลักน้ำมัน เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ ฉะนั้นแล้วเราควรวอร์มเครื่องยนต์ประมาณ 5 -10 นาทีก่อนขับ หรือให้สัญญาณเตือน ไฟรูปเทอร์โมมิเตอร์บนหน้าปัทม์หายไป แสดงว่าตอนนี้อุณหภูมิเครื่องยนต์วอร์มเต็มที่แล้วพร้อมขับได้ หรือดูที่เกจ์วัดค่าความร้อน ถ้าค่าความร้อนเริ่มขยับก็ค่อยเคลื่อนรถได้

     

    เมื่อถึงที่หมายแล้วไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที ควรปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไปก่อนสัก2-3นาทีเเล้วค่อยดับเครื่องยนต์หลังจากถึงที่หมาย เนื่องจากในช่วงที่เราขับรถมา เครื่องยนต์ทำงานอย่างต่อเนื่อง จึงมีความร้อนสะสมอยู่ในส่วนต่างๆ ในช่วงเวลาที่เราปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาอยู่นั้น จะช่วยทำให้ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่และช่วยลดอุณหภูมิของเครื่องยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    st3

    เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวใกล้ตัวที่เชื่อว่าหลายคนมองข้าม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆที่ได้อ่านคอลัมน์นี้แล้วจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และช่วยให้รถคันโปรดอยู่กับเราไปได้นาน เสื่อมสภาพช้าลง คอลัมน์ต่อไปจะเป็นเรื่องราวอะไรนั้นต้องคอยติดตามดูกันต่อไปครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถ…บอกอะไรบ้าง

    1 Min Read

    สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถ…บอกอะไรบ้าง

    10899620_10203531589714277_1451484775_n

    เชื่อว่าคงจะมีหลายคนอย่างแน่นอนที่ไม่รู้ความหมายของสัญลักษณ์บนหน้าปัดเรือนไมล์รถยนต์ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องเจอกันอยู่ทุกวัน เวลาที่บิดกุญแจครั้งที่สองเจ้าสัญลักษณ์เหล่านี้จะแย่งกันโชว์ตัวขึ้นมาบนหน้าปัดกันอย่างพร้อมเพรียง และจะดับลงเมื่อเราสตาร์ท บอกได้เลยครับว่าผู้ขับรถทุกท่านทั้งมือใหม่และมือเก่าควรที่จะรู้เอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยถ้าเกิดความผิดปกติขึ้นกับรถของเรา ก็ยังจะพอเดาทางได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมันมาจากไหน

    สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถนั้นจะติดขึ้นมาพร้อมเพียงกันก็ต่อเมื่อเราบิดกุญแจครั้งที่สองแล้วก็จะดับลงเมื่อเราสตาร์ทรถสัญลักษณ์บางตัวก็จะติดขึ้นเมื่อเราใช้งาน อย่างเช่น เปิดไฟเลี้ยว เปิดไฟหรี่ เปิดไฟหน้า หรือเปิดไฟสูง แต่สัญลักษณ์บางตัวก็จะติดขึ้นมาก็ต่อเมื่อระบบบางอย่างเกิดความผิดปกติ ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่ช่วงต้นแหละครับ ถ้าเราศึกษาเอาไว้ว่าสัญลักษณ์แต่ละตัวนั้นมันบอกถึงอะไร ก็จะช่วยให้เราพอที่จะเดาได้ว่ารถเรามีปัญหาเกิดจากอะไร และที่สำคัญก็คือจะช่วยให้เราไม่โดนช่างที่ไม่ซื่อสัตย์หลอกเอาได้ เราไปดูกันครับว่าสัญลักษณ์แต่ละตัวบนหน้าปัดรถนั้นมีอะไรบ้างที่ควรรู้

    F1

               วัดความเร็ว ถือเป็นมาตรฐานของการใช้งานหน้าปัดเลยครับ เพราะตัวนี้จะคอยบอกว่า ความเร็วของรถในขณะนั้น อยู่ที่เท่าไหร่แล้ว โดยหน่วยการวัดรถในเมืองไทยจะเป็น กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ในรถที่นำเข้ามาจากฝั่งอเมริกา จะเป็น ไมล์/ชั่วโมง ซึ่งจากที่เคยวัดเอาจาก GPS ความเร็วที่หน้าปัด จะเร็วกว่าความเร็วที่วัดกับ GPS เสมอครับ ทั้งนี้เนื่องจากต้องการให้ผู้ใช้รถยนต์ ใช้ความเร็วได้ไม่เกินกฎหมายกำหนด เช่น กฎหมายกำหนดให้ใช้ความเร็ว 120 กม./ชั่วโมง เราก็เหยียบที่ 120 กม./ชั่วโมง แต่ความเร็วจริงจะเป็น 110 กม./ชั่วโมง ช่องว่างนี้จะได้ไม่ทำให้ขับรถเกินกำหนดครับ  ซึ่งการแสดงผลจะมี 2 แบบคือ เป็นเข็มที่หมุนขึ้นไปตามความเร็ว กับแบบดิจิตอลที่บอกเป็นตัวเลข ซึ่งใช้หลายรูปแบบในการวัดความเร็ว ทั้งสายสลิง, แบบแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น และจะวัดในตำแหน่งที่ต่างๆกันในแต่ละรุ่น เช่น วัดจากชุดเกียร์, วัดจากเพลาขับ, วัดจากเฟืองท้าย เป็นต้น

    F2

              วัดรอบตัว วัดรอบนี้จะเป็นตัวที่บอกจำนวนรอบของเครื่องยนต์ในตอนนั้น ซึ่งโดยปกติจะเป็นตัวเลข แล้วคูณด้วย 1,000 ก็จะออกมาเป็นจำนวนรอบ/นาที โดยมีการแสดงผลทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอล ซึ่งมาตรวัดรอบนี้ ส่วนใหญ่จะเอาไว้ดูว่า จำนวนรอบที่ใช้งานตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่ และคอยเตือนไม่ให้เราใช้รอบสูงเกินกว่าที่รถจะรับได้ สังเกตได้จากเส้นสีแดงบนมาตรวัด ถ้าเข็มหรือขีดขึ้นไปถึงเมื่อไหร่ แสดงว่าจะเริ่มเกินขีดจำกัดของเครื่องยนต์แล้ว และสามารถบอกถึงความผิดปกติของเกียร์หรือระบบขับเคลื่อนได้อีกด้วย เช่น ถ้าปกติความเร็ว 100 กม./ชั่วโมง จะใช้รอบที่ 2,000 รอบ/นาที แต่ตอนนี้เครื่องกับใช้ 2,200 รอบ/นาที แสดงว่าชุดเกียร์เริ่มมีปัญหา ต้องเข้าอู่เพื่อให้ช่างดูได้แล้วครับ แต่รถรุ่นใหม่ๆในบางรุ่นกลับตัดมาตรวัดตัวนี้ออก คนออกแบบอาจมองว่าไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วครับ

    F3

              อุณหภูมิเครื่องยนต์ มาตรวัดตัวนี้จะเป็นตัวบอกความร้อนในตัวเครื่องยนต์ โดยมีทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอล แสดงระหว่างตัว C (Cool) และตัว H (Heat) โดยบางรุ่นเมื่ออุณหภูมิปกติ จะอยู่ตรงกลางระหว่าง C และ H แต่ในบางรุ่นจะอยู่ต่ำกว่าครึ่งมานิดหน่อย ซึ่งถ้าเข็มนี้ขึ้นเกินครึ่งมาเมื่อไหร่ แสดงว่าระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์เริ่มมีปัญหา ต้องตรวจสอบหม้อน้ำหรือพัดลมระบายอากาศ เพราะถ้าปล่อยให้เครื่อง Over Heat จนเครื่องยนต์ดับ คราวนี้ต้องซ่อมกันขนานใหญ่แน่นอนครับ

    แต่สำหรับบางรุ่นอาจจะไม่มีมาตรวัดตัวนี้ แต่จะมีสัญลักษณ์แสดงขึ้นมาเมื่อมีความผิดปกติของความร้อนเลย ถ้าแสดงขึ้นมาเมื่อไหร่ ให้รีบหาที่จอดแล้วดับเครื่อง จากนั้นให้ตรวจสอบปัญหาทันทีครับ

     

              ระดับน้ำมัน แน่นอนว่า ถ้าเราไม่รู้ว่ารถเราเหลือน้ำมันอยู่เท่าไหร่ ก็จะต้องขับไปพะวงไปแน่ๆว่าน้ำมันจะหมดกลางทางมั้ย ซี่งการแสดงผลก็มีทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอลเช่นกัน โดยในบางรุ่นสามารถบอกได้ถึงขนาด น้ำมันในถัง จะเหลือให้วิ่งได้อีกไกลแค่ไหน ซึ่งในทุกรุ่น จะมีสัญลักษณ์เป็นตู้จ่ายน้ำมัน พร้อมลูกศรเล็กๆที่อยู่ข้างๆ โดยลูกศรนี้จะเป็นตัวชี้ว่า รถของเราฝาถังน้ำมันอยู่ข้างไหนครับ

    F5

              เตือนระดับน้ำมันต่ำ สัญลักษณ์นี้จะแสดงเป็นรูปตู้จ่ายน้ำมันสีแดงหรือส้มแล้วแต่รุ่น ซึ่งเมื่อแสดงมาเมื่อไหร่ แสดงว่าน้ำมันในถังอยู่ในระดับต่ำแล้ว ให้เติมน้ำมันก่อนที่น้ำมันจะหมด โดยส่วนใหญ่ที่พบ น้ำมันจะเหลืออยู่ในถังอีกประมาณ 10-15% ของความจุถังถึงจะเริ่มแสดงขึ้นมา โดยจะวิ่งต่อได้อีกประมาณ 40-100 กิโลเมตร ขึ้นอยู่ว่าเป็นรถรุ่นไหนครับ

    F6

              วัดระยะทางตัวเลข วัดระยะทาง จะบอกถึงความไกลของรถเราว่าวิ่งมาได้ขนาดไหนแล้ว โดยส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นตัวเลขดิจิตอล 3 ชุดคือ Trip A, Trip B และระยะทางรวม ODO (ในบางรุ่นอาจแตกต่างจากนี้) ซึ่งใน Trip A และ B เราสามารถที่จะ Reset หรือตั้งค่าให้กลับมาเป็น 0 เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ระยะทางรวม ODO นั้น เป็นระยะทางการใช้งานรวมของรถคันนั้น จะไม่สามารถตั้งระยะใหม่ได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าช่างที่มีอุปกรณ์และความชำนาญ ก็จะแก้ไขเลขตัวนี้ได้ไม่ยากครับ

    F7

              ไฟหน้า อุปกรณ์สำคัญที่รถทุกคันต้องมี โดยส่วนใหญ่แล้ว สัญลักษณ์เมื่อเปิดไฟหน้า ตัวดวงไฟจะแสดงเป็นสีเขียวหรือสีส้มอำพัน แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น แต่ถ้ามีดวงไฟสีน้ำเงินหรือฟ้าขึ้นมา แสดงว่าตอนนั้นมีการเปิดไฟสูงไว้ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้งานก็ให้รีบปรับมาเป็นไฟปกติดีกว่าครับ

              ประตู ถ้ามีรูปรถยนต์ที่เปิดประตูค้างไว้แบบนี้เปิดขึ้นมา แสดงว่าต้องมีประตูใดประตูหนึ่งยังไม่ปิด หรือปิดแล้วยังปิดไม่สนิท ให้ตรวจสอบแล้วปิดใหม่อีกครั้งครับ

    F9

              เบรก สัญลักษณ์เบรกนี้ ส่วนใหญ่จะขึ้นใน 2 กรณีคือ เมื่อมีการดึงเบรกมือ หรือลดเบรกมือยังไม่สุด สัญลักษณ์นี้ก็จะติดขึ้นมา แต่ถ้าลดเบรกมือแล้วยังไม่ดับ คงต้องตรวจสอบระบบเบรก ซึ่งอย่างแรกที่ต้องดูคือระดับน้ำมันเบรก เพราะส่วนใหญ่แล้วสัญลักษณ์จะแจ้งเมื่อน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับปกติครับ แต่สำหรับบางรุ่นจะแยกกันระหว่างระบบเบรกกับเบรกมือไว้แยกจากกัน โดยระบบเบรกจะเป็นเครื่องหมายตกใจ ส่วนเบรกมือ จะเป็นตัว P ให้ลองอ่านที่คู่มือประจำรถดูก่อนครับ

    F10

              แบตเตอรี่ หลายคนยังเข้าใจผิดว่า เมื่อมีอาการแบตเตอรี่เสื่อม ตัวสัญลักษณ์นี้จะแดงขึ้นมา จริงๆแล้วสัญลักษณ์นี้จะแสดงขึ้นมา เมื่อการทำงานของไดร์ชาร์จมีความผิดปกติ ไม่จ่ายไฟเข้าไปเก็บที่แบตเตอรี่หรือไม่มีการจ่ายไฟเข้าใช้งานในระบบรถยนต์ เมื่อไฟแบตเตอรี่แสดง ก็เตรียมตัวซ่อมไดร์ชาร์จได้เลยครับ

    F11

              หัวเผาในรถยนต์ดีเซล จะมีสัญลักษณ์เพิ่มเติมขึ้นมาเป็นรูปเหมือนขดลวด ตัวนี้จะแสดงถึงการทำงานของหัวเผา ที่ทำความร้อนก่อนการสตาร์ทเครื่อง เพื่อให้การจุดระเบิดในห้องเครื่องเกิดขึ้นได้ง่าย โดยทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องดีเซล เราควรรอให้สัญลักษณ์นี้ดับไปก่อน ถึงค่อยบิดกุญแจ จะทำให้รถสตาร์ทติดง่ายครับ

    F12

              เข็มขัดนิรภัย สัญลักษณ์นี้ จะกระพริบเมื่อไม่มีการคาดเข็มขัดนิรภัยของที่นั่งฝั่งคนขับหลังสตาร์ทรถ โดยรุ่นใหม่ๆจะมีเสียงเพื่อสร้างความรำคาญใจด้วย  และในบางรุ่นเมื่อมีการนั่งในฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ ก็จะมีการแสดงเตือนด้วยเช่นกัน แต่สัญลักษณ์นี้จะดับไป เมื่อมีการคาดเข็มขัดเรียบร้อยครับ

    F13

              ถุงลมนิรภัย ในรถรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ จะมีอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยอย่างถุงลมนิรภัย หรือ Airbag กันหมดแล้วครับ โดยถ้าสัญลักษณ์นี้แสดงขึ้นมาค้างหลังจากสตาร์ทเครื่องแล้ว ก็ต้องเอารถเข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบการทำงานได้เลยครับ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัยอาจจะไม่ทำงานได้ครับ

    F14

              ABS เช่นเดียวกันกับสัญลักษณ์ถุงลมนิรภัย  ถ้าในรถคันนั้นมีระบบเบรก ABS  แล้วระบบตรวจพบการทำงานที่ผิดปกติ สัญลักษณ์นี้ก็จะแสดงขึ้นมา ให้นำรถเข้าตรวจสอบกับศูนย์บริการหรืออู่ทันทีครับ แต่ระบบเบรกยังสามารถใช้งานได้ปกติอยู่ เพียงแต่เมื่อมีการเบรกกะทันหัน ระบบ ABS อาจจะไม่ทำงานเท่านั้นเองครับ

    F15

              น้ำมันเครื่อง สัญลักษณ์รูปกรวยน้ำมันนี้ จะแสดงขึ้นมาเมื่อระดับน้ำมันเครื่องต่ำมาก ให้รีบตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องแล้วเติมให้อยู่ในระดับปกติทันทีครับ แต่ก็มีโอกาสเป็นอาการอื่นได้อีกเช่น ถ้าเช็คแล้วน้ำมันเครื่องไม่ขาด แต่สัญลักษณ์แสดงขึ้นมา ถ้าแบบนี้ก็เป็นไปได้ว่า ตัวปั๊มน้ำมันเครื่องอาจมีปัญหา ไม่มีแรงดันน้ำมันเครื่องไปหล่อเลี้ยงตามจุดต่างๆ ก็อาจทำให้มีการแจ้งเตือนได้เช่นกันครับ

    F16

              เครื่องยนต์ ถ้าไฟรูปเครื่องโชว์ขึ้นมาแล้วไม่ดับเมื่อไหร่ แสดงว่าการทำงานของเครื่องยนต์เริ่มมีปัญหาแล้วครับ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่ครอบจักรวาลของเครื่องยนต์มากๆ เพราะตัวนี้ตัวเดียว อาจแจ้งความผิดปกติหลายอย่าง เช่น ค่าอ็อกซิเจนผิดปกติ, สายพานเกินระยะกำหนด, ตัว ECU มีปัญหา ฯลฯ ซึ่งถ้าไฟรูปเครื่องติด ต้องทำการตรวจสอบด้วยเครื่องของทางศูนย์บริการหรืออู่ โดยเสียบอุปกรณ์กับช่อง OBD (On-Board Diagnostics) จะมีค่า Error แจ้งมา ก็จะรู้ได้ว่าเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติตรงไหนได้ครับ ซึ่งรถส่วนใหญ่จะยังทำงานได้ปกติ แต่ในบางรุ่น (โดยเฉพาะรถทางฝั่งยุโรป) จะล็อกความเร็วไว้ให้ไม่เกิน 60 กม./ชม. เพื่อให้ผู้ใช้งานนำรถเข้าตรวจสอบที่ศูนย์บริการทันที และป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เสียหายไปมากกว่าเดิมครับ สัญลักษณ์ไฟเตือนนี้ เป็นไฟเตือนเบื้องต้นที่รถยนต์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมีอยู่ครับ แต่สำหรับบางรุ่น อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ไฟตัดหมอก, สถานะ Cruise Control, ECO Mode เป็นต้น ดังนั้นการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นด้วยการอ่านคู่มือประจำรถ ก็จะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้เบื้องต้น ไม่ต้องเสียเวลาไปศูนย์บริการหรืออู่ทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือนนะครับ

              บางคนอ่านคอลัมน์นี้แล้วก็ถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว นี่แหละครับเรียกว่าเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้าม บางสิ่งบางอย่างรู้ไว้ไม่เสียหาย อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง ยังไงก็อย่าลืมขับรถกันด้วยความมีน้ำใจนะครับเพื่อลดปัญหาบนท้องถนน…


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment