-
A-ARM มันดียังไง..ต้องไปดู..!!!
มุดลงล่างกันหน่อยช่วงนี้…..อย่างพึ่งตกใจไปครับ มุดดูใต้ท้องรถครับไม่ได้ไปมุดอะไรที่ไหน ก็ต้องตามกระแสกันหน่อยสำหรับสายซิ่งสิงห์ควันดำบ้านเรา แต่ละอู่แต่ละสำนักต่างก็ปรับแต่งเครื่องยนต์กันแรงๆทั้งนั้น สุดท้ายภาระก็มาตกอยู่ที่ช่วงล่างสิครับ จะทำยังไงดีที่จะจับแรงม้าลงพื้นให้ได้ครบทุกตัว นั่นแหละครับคือที่มาของคอลัมน์นี้ จะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับช่วงล่างซิ่งของเหล่าบรรดารถกระบะกันว่าเค้ามีวิธีเซ็ทกันอย่างไรทำไมถึงออกตัวดี วิ่งตรงเป็นไม้บรรทัดกันเลยทีเดียว
A-ARM มีหน้าที่ช่วยยึดเพลาไม่ให้เต้นในขณะที่เกิดแรงบิดในการออกตัว ในขณะที่เราใช้รอบในการออกตัวที่สูงขึ้น แน่นอนที่สุดครับแรงกระทำที่เกิดจากเครื่องยนต์จะส่งกำลังไปสู่ระบบขับเคลื่อน ถ่ายทอดไปสู่พื้นถนนผ่านล้อและยาง เมื่อแรงทุกอย่างถูกถ่ายทอดลงบนพื้นถนนจึงก่อให้เกิดอาการเพลาเต้น เมื่อเพลาเต้นจึงทำให้การถ่ายทอดกำลังลงสู่พื้นทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ เสียการควบคุม แต่เมื่อเราทำการติดตั้ง A-ARM เข้าไป ทำให้ลดอาการเต้นของเพลาเมื่อเพลาไม่สั่นในขณะที่ใช้รอบสูงในการออกตัว ก็จะช่วยให้รถไม่เสียอาการ สามารถขับขี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
A-ARM 1ข้างกับ2ข้างต่างกันอย่างไร สำหรับการติดตั้งแบบข้างเดียวเราก็จะเห็นกันในรถบ้านขับใช้งานอยากเพิ่มประสิทธิภาพให้กับช่วงล่างเหมาะกับรถที่ยังคงสเต็ปใช้งานอยู่ไม่ได้แรงมากถึงขนาดสเต็ปแข่งขัน แต่สำหรับแบบสองข้างนั้นจะเหมาะกับรถที่ใช้ในการแข่งขันมากกว่า เพราะว่าต้องมีการย้ายถังน้ำมันเชื้อเพลิงออก ตำแหน่งของ A-ARM จะต้องใช้พื้นที่ของถังน้ำมันเชื้อเพลิง การติดตั้ง A-ARM คู่ก็จะช่วยให้สามารถจับอาการรถได้สมบูรณ์ขึ้น สำหรับรถที่มีแรงม้าและแรงบิดในสเต็ปแข่งขัน
ติดตั้งA-ARMแล้วมีผลต่อการเข้าโค้งหรือไม่ ตอบได้เลยครับว่ามีผลดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ เนื่องจากการติดตั้งA-ARM จะช่วยให้ลดอาการรถบิดตัวในขณะที่เกิดแรงเหวี่ยงในการเข้าโค้ง เมื่อรถเกิดการบิดตัวน้อยลง หน้าสัมผัสของยางยังคงสัมผัสพื้นถนนแบบเต็มหน้า แน่นอนที่สุดครับ การยึดเกาะถนนเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอนครับ
อาการที่ได้หลังจากติดตั้ง A-ARM ความรู้สึกแรกก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอนครับในเรื่องของเพลาเต้น อาการนี้หายไปอย่างแน่นอน และอีกหนึ่งอย่างที่สัมผัสได้ก็คือ การออกตัวที่ตรงขึ้น ท้ายไม่ดิ้น ทำให้สามารถถ่ายทอดแรงม้าลงสู่พื้นได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงการขับรถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับของแต่งช่วงล่างที่เรียกได้ว่ามีประโยชน์ไม่น้อยกันเลยทีเดียวอย่างชุด A-ARM อยากได้สเต็ปไหนก็ไปเลือกใส่กันเอาครับ จะรถบ้านหรือรถแข่งก็ติดตั้งกันได้ครับ แต่ติดตั้งกันแล้วก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทกันด้วยครับ…
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
เบาะแต่งมีประโยชน์อย่างไร…ทำไมสายซิ่งนิยมใส่กัน ?
ก่อนอื่นต้องกล่าวคำว่า “สวัสดี” แฟนๆ REALTIME CAR MAGAZINE ที่น่ารักทุกท่านช่วงนี้อากาศยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง หนาว1วัน ร้อน 8วัน บางทีน้องฝนก็โผล่มา ประเทศไทยมีหลายฤดูจริงๆเลย แต่ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยน้ะครับ กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์เกร็ดความรู้คู่รถคุณ ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดคุยกันในเรื่องของเบาะซิ่งเบาะแต่งกันซ้ะหน่อย ไม่ใช่มีเงินก็ซื้อใส่ๆกันเข้าไป แต่ไม่เคยรู้ถึงคุณประโยชน์กันซ้ะเลย เบาะแต่ละรุ่นแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมต้องปรับเอนได้ ทำไมต้องหลังแข็ง ทำไมต้องหูกวาง เข้าไปติดตามดูกันครับ
“เบาะ” เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องโดยสาร ในรถยนต์ปกติที่ใช้กันก็จะเป็นทรงธรรมดา เป็นหนังแท้หนังเทียมบ้าง หรือเป็นกำมะหยี่บ้างเป็นผ้าบ้างก็สุดแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน อันนี้ก็เป็นเบาะแบบ STANDARD ติดรถ รถเดิมๆคงไม่มีปัญหาอะไรกับการขับขี่อย่างแน่นอน แต่เมื่อเรามาพูดกันถึงรถแต่งแล้ว เบาะถือว่าเป็นอุปกรณ์จำเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ จำเป็นในที่นี้คือ ของมันต้องมี แต่จริงๆแล้วเบาะจัดว่าเป็นอุปกรณ์อีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยปกป้องเราได้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และที่สำคัญเบาะที่ดีนั้นจะช่วยให้เรามีท่านั่งขับรถได้อย่างถูกวิธี ซึ่งก็จะส่งผลให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์
เบาะแต่งมีแบบไหนบ้าง? เราจะมาอธิบายให้เห็นภาพกันแบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคแต่อย่างใดให้ปวดหัว ความแตกต่างของเบาะแต่งนั้นจะมีความกระชับกว่าเบาะธรรมดา เมื่อนั่งแล้วจะรู้สึกเหมือนมีใครมาโอบอุ้มเราไว้ เริ่มต้นจากด้านล่างที่ช่วงขาทั้งสองข้างด้านซ้ายด้านขวาจะมีปีกขึ้นมารับเอาไว้ ต่อไปเลื่อนขึ้นมาตั้งแต่ส่วนเอวไปจนถึงใต้รักแร้ก็จะมีปีกยื่นออกมาทั้งสองข้างเช่นกันเพื่อรองรับร่างกายส่วนบน เลื่อนขึ้นมาที่ด้านบนอีกคือส่วนหัวไหล่ก็จะมีปีกยื่นออกมาอีกเช่นกัน เรียกได้ว่าเบาะแต่งนั้นสามารถช่วยให้เรายึดติดอยู่กับที่ไม่ดิ้นหลุดไปไหน ถ้าใครเคยขับรถเบาะเดิมแล้วมีการเปลี่ยนเลนด์กระทันหันหรือมีการโดดจั๊มเนินแรงๆ ก็คงจะเคยมีอาการหลุดเบาะกันบ้าง เบาะประเภทนี้สามารถปรับเอนนอนและพับมาด้านหน้าได้ แต่ถ้าขยับขึ้นมาอีกสเต็ปก็จะเป็นแบบเบาะหลังแข็ง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเบาะหลังแข็ง แน่นอนที่สุดครับมันไม่สามารถปรับอะไรได้อย่างแน่นอน นอนจากปรับเดินหน้าถอยหลัง สำหรับคนที่ใช้เบาะหลังแข็งก็จะรู้สึกว่าตัวจะตรงๆหน่อยครับ แต่ถือว่าเป็นท่านั่งที่ถูกวิธีน้ะครับ เบาะชนิดนี้จะไม่ค่อยเหมาะกับการขับขี่เดินทางไกลมาก เพราะร่างกายเราจะถูกบีบบังคับจัดทรงร่างกายด้วยเบาะ อาจจะไม่สะดวกในการปรับเปลี่ยนท่าขับรถได้ ซึ่งจะเหมาะกับกับขับขี่ในรูปแบบของการแข่งขันซ้ะมากกว่า แต่ก็มีหลายคนที่เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะความเท่ห์ของมันหลายคนจึงยอมเมื่อย และอีกหนึ่งรูปแบบของเบาะแต่งก็คือ แบบที่ใช้สำหรับในการแข่งขันเท่านั้น ซึ่งแบบนี้คงไม่เหมาะจริงๆที่จะมาขับขี่บนท้องถนน เราจะเรียกเบาะประเภทนี้ว่าเบาะแบบ FULL BUCKET SEAT เรียกได้ว่าผู้ขับขี่จะถูกเบาะชนิดนี้กลืนกินเข้าไปในเบาะเลยก็ว่าได้ ซึ่งปีกด้านล่างจะค่อนข้างสูง ปีกด้านข้างก็จะกว้างและสุดท้ายที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือช่วงด้านบนส่วนหัวจะถูกออกแบบให้ยื่นออกมาถึงตำแหน่งหูกันเลยทีเดียว หรือที่เราเรียกกันว่าเบาะทรงหูกวางนั่นเองครับ ด้วยทรงเบาะจะถูกบังคับให้คนขับมองแต่ด้านหน้าเท่านั้น ส่วนด้านข้างก็ทำได้เพียงแค่เหล่ๆมองกระจกมองข้างเท่านั้น
เลือกใช้เบาะแบบไหนให้เหมาะกับรถของเรา? อันนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกันครับ เรามาแบ่งประเภทรถกันก่อน คือ รถสี่ประตู รถสองประตู รถแข่ง แบ่งประเภทไว้เท่านี้พอ สำหรับรถสี่ประตูก็ตัดสินใจไม่ยากครับเพราะสามารถเลือกได้ทั้งแบบปรับได้และแบบหลังแข็ง แต่สำหรับรถที่เป็นแบบสองประตูกับหรือรถสปอร์ต ก็ต้องคิดกันก่อนที่จะเปลี่ยนเบาะแหละครับ ถ้าคิดว่าจะขับกันแค่สองคนโดยที่ไม่มีการขึ้น-ลงทางด้านหลังก็สามารถใส่เบาะหลังแข็งได้เลยครับ แต่ถ้าต้องมีการขึ้น-ลงด้านหลังด้วยก็ควรเลือกใส่แบบปรับได้จะดีกว่าครับ ส่วนรถแข่งก็ไม่ต้องคิดมากครับจัดให้เต็มที่กันไปเลย อย่างเช่น RECARO PRO RACER
เบาะแท้ เบาะเทียมแตกต่างกันหรือไม่ ? อันนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกันครับ แน่นอนที่สุดด้วยความแตกต่างกันในเรื่องของราคาค่าตัว ของแท้ราคาหลักหมื่นถึงหลักแสนต่อคู่ ส่วนของเทียบราคาหลักพันถึงหลักหมื่น(ก็มี) ความแตกต่างที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของความคงทนแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา เหล่านี้จะส่งผลชัดเจนในการเกิดอุบัติเหตุ แต่คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ป้องกันไว้ก็ไม่เสียหายอะไร วัสุดที่ใช้ทำเบาะจะมีความคงทนแข็งแรงสูง สามารถรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดีมีมาตรฐาน FIA และที่สำคัญ ผ้าที่ใช้ในการหุ้มเบาะนั้นจะมีคุณสมบัติที่ไม่ติดไฟในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วเกิดมีประกายไฟ ส่วนเบาะที่เป็นของเทียมนั้นจะดีตรงที่มีราคาไม่แพงครับแต่เรื่องของคุณภาพก็ตามราคาครับ ของถูกและดีไม่มีในโลกครับว่ากันไปตามน้ำ
ก็อย่าลืมเลือกใช้กันให้ถูกประเภทครับสำหรับเรื่องราวของเบาะแต่ง จะเป็นแบบปรับได้หรือแบบหลังแข็งหรือแบบ FULL BUCKET SEAT ก็สุดแล้วแต่ความชอบ ส่วนเรื่องของยี่ห้อก็เช่นกันมีให้เลือกมากมายหลายแบรนด์อยางเช่น RECARO,BRIDE,SPARCO KIRKEY, MOMO, OMP สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆมีความสุขสนุกสนานกับการแต่งรถ แต่ก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทนะครับ…สวัสดีครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
กรองเปลือย…เท่ห์อย่างเดียวหรือมีประโยชน์ด้วย
เกร็ดความรู้เรื่องรถยังคงมีมาให้ได้ดูและศึกษากันอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะในชีวิตประจำวันของเรายังคงดำเนินไปพร้อมๆกับรถเพราะรถเป็นยานพาหนะที่สามารถพาเราไปได้ทุกที่ที่อยากไป แต่สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดกันถึงอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่อยู่ภายในห้องเครื่อง และขาซิ่งบ้านเราชอบปรับเปลี่ยนกัน เปลี่ยนเพื่อความเท่ห์หรือเปลี่ยนเพื่อให้ได้ประโยชน์บางคนที่เปลี่ยนก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย สิ่งๆนั้นก็คือกรองเปลือยนั่นเองครับ เราไปหาคำตอบกันครับว่าเปลี่ยนเพื่ออะไร
“กรองเปลือย”หรือ“กรองอากาศ” เปรียบเสมือนผ้าปิดจมูกของเรานั่นเองครับ ซึ่งกรองอากาศมีหน้าที่กรองสิ่งสกปรกไว้ไม่ให้เข้าไปสู่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ในรถ STANDARD ทุกรุ่นทุกยี่ห้อจะมีระบบกรองอากาศติดตั้งไว้ที่ภายในห้องเครื่อง มีลักษณะเป็นกล่อง ภายในจะมีแผ่นกรองที่สามารถดักจับฝุ่นผงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เข้าไปภายในตัวเครื่องยนต์ กรองอากาศที่ติดมากับรถสามารถทำความสะอาดได้ด้วยการนำออกมาใช้ลมแรงๆเป่า แต่เมื่อถึงระยะตามกิโลแล้วก็ต้องทำการเปลี่ยนใหม่ เพราะของเก่าอาจเกิดการอุดตันจากการใช้งานได้ รู้จักหน้าที่ของกรองอากาศกันแล้วเดี๋ยวเราไปดูกันครับว่ากรองอากาศแบบเปลือยมันดีและไม่ดีอย่างไรบ้าง
ทำไมถึงต้องเปลี่ยนกรองเปลือย?…..ตอบแบบง่ายๆสั้นๆครับ มันทำให้ห้องเครื่องดูซิ่งและสวยดีครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วเหตุผลที่แท้จริงของการเปลี่ยนกรองเปลือยก็คือ การต้องการปริมาณอากาศที่เพิ่มมากขึ้นในกรณีที่เราได้ทำการปรับแต่งโมดิฟายเครื่องยนต์ เมื่อเราสามารถเอาอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้เพิ่มมากขึ้นได้ เราก็จะสามารถปรับจูนน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้นได้ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์ สิ่งที่ได้มาก็คืออัตราเร่งที่ดีขึ้นนั่นเองครับ และที่สำคัญก็คือการดูดอากาศที่โล่งขึ้น
รถเดิมๆใส่กรองเปลือยได้ไหม?…..ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนเฉพาะแผ่นกรองอากาศที่มีขนาดและรูปทรงแบบของเดิมนะครับไม่ใช่ว่าเดินท่อทางเดินอากาศใหม่แล้วเป็นกรองเปลือยโดดๆเลย แบบนี้ไม่มีประโยชน์อย่างแน่นอนสำหรับรถ STANDARD แบบที่ควรจะเปลี่ยนก็คือแผ่นกรองอากาศที่สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่นได้และในทางเดียวกันอากาศต้องสามารถผ่านได้โดยที่ไม่ติดขัดด้วยครับ ซึ่งกรองอากาศประเภทนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านประดับยนต์ทั่วไปครับ
กรองเปลือยมีกี่แบบ?กรองเปลือยที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายรูปแบบหลายรูปทรง ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ สามารถเลือกใช้กันได้ตามความเหมาะสม ซึ่งรถบางคันทำการปรับแต่งโมดิฟายมาไม่เหมือนกัน พื้นที่ภายในห้องเครื่องยนต์ก็แตกต่างกันเพราะฉะนั้นรูปทรงของกรองเปลือยจึงมีผลพอสมควรกับการปรับแต่งรถ แต่ละยี่ห้อก็จะเป็นรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างเช่น HKS/A’PEXi/HURRICANE/BLITZ/SIMOTA/หรืออีกมากมายในท้องตลาด
ติดตั้งกรองเปลือยอย่างไรถึงจะเหมาะสม? แน่นอนที่สุดครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องของการติดตั้งกรองเปลือย บางคนอาจมองข้าม คิดตามดูนะครับ เมื่อกรองอากาศเป็นแบบเปลือยแล้วนั่นแสดงว่ามันจะดูดอากาศที่อยู่รอบๆตัวมันเข้าไปในห้องเผาไหม้ สิ่งที่ได้ก็คือการดูเอาความร้อนเข้าไปนั่นเองครับ เพราะภายในห้องเครื่องจะมีความร้อนวนเวียนอยู่ตลอดเวลา การติดตั้งที่ถูกวิธีนั้น ควรที่จะเดินท่อกรองอากาศไปในทิศทางที่เหมาะสมแล้วทำการกั้นห้องกรองเปลือยเพื่อไม่ให้กรองเปลือยดูดความร้อนภายในห้องเครื่องเข้าไปเมื่อกั้นห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ควรที่จะหาท่ออ่อนขนาด 3-4นิ้วดักอากาศจากด้านหน้ารถเพื่อให้มาเป่าที่กรองเปลือย ซึ่งอากาศที่ได้จะเป็นอากาศเย็นทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวของกรองอากาศหรือกรองเปลือย ถ้าเข้าใจกันแล้วก็อย่างลืมไปติดตั้งกันให้ถูกวิธีนะครับ เพื่อจะได้ประโยชน์จากกรองเปลือยอย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับคอลัมน์นี้ต้องขอตัวลากันไปก่อนแล้วกลับมาพบกันใหม่กับเกร็ดความรู้ดีๆแบบนี้จาก REALTIME CAR MAGAZINE
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ก่อนเดินทางไกลควรเช็คอะไรบ้าง
ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลกันแล้ว หลายๆท่านที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างถิ่น หรือบางท่านเตรียมตัวเดินทางเพื่อไปเที่ยวกัน แต่จะไปไหนก็แล้วแต่ถ้าหากต้องเดินทางไกล ขับรถเป็นเวลานานๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความพร้อมของรถนั่นเองครับ และในคอลัมน์นี้แน่นอนที่สุดครับ เราจะมาพูดถึงการตรวจเช็คยานพาหนะของเราก่อนการเดินทางให้พร้อมสมบูรณ์แบบเพื่อความปลอดภัยทั้งคนในครอบครัวและคนรอบข้าง
เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงของวันหยุดยาวมีเทศกาลหลายเทศกาลรออยู่ หลายๆคนก็คงจะมีแผนเดินทางกลับบ้านบ้าง เดินทางท่องเที่ยวบ้าง ก็สุดแล้วแต่แหละครับ หลายท่านที่ต้องใช้รถในการเดินทางก็ไม่ควรที่จะลืมตรวจเช็คสภาพความพร้อมของรถให้พร้อมอยู่เสมอ เรามาดูกันทีละขั้นตอนครับว่าก่อนการเดินทางมีอะไรบ้างที่ต้องทำการปรับเปลี่ยนและตรวจเช็คเพื่อความพร้อม
- เช็คความพร้อมของเครื่องยนต์
อันดับแรกเริ่มต้นด้วยการเปิดฝากระโปรงกันก่อนเลยครับ ตรวจสอบแบตเตอรี่เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับไม่ขาดหรือเกินสำหรับแบตเตอรี่แห้งข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย จากนั้นมาดูกันต่อที่หม้อน้ำตรวจสอบถังพักน้ำว่าปริมาณน้ำอยู่ระหว่างตำแหน่ง MINกับMAXหรือป่าวถ้าพบว่าน้ำขาดก็เติมเข้าไปได้เลยครับ มาดูกันต่อที่กระปุกน้ำมันเบรกให้ตรวจสอบดูว่าปริมาณของน้ำมันเบรกอยู่ระหว่างตำแหน่ง MINกับMAXหรือป่าวถ้ายังคงอยู่ในตำแหน่งก็ไม่ต้องเพิ่มเติมแต่อย่างใด จากนั้นมาดูกันต่อที่การตรวจสอบน้ำมันเครื่องกันบ้างเราสามารถชักก้านน้ำมันเครื่องเพื่อเช็คดูปริมาณน้ำมันเครื่องให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมไม่ควรให้ขาดหรือเกิน สำหรับในส่วนของเครื่องยนต์ก็มีกันแต่เพียงเท่านี้ครับ
- เช็คความพร้อมของระบบช่วงล่าง
ในส่วนของช่วงล่างนั้นมีอะไรที่เราต้องตรวจเช็คบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดครับสามารถทำด้วยตัวเองได้เรามาเริ่มต้นกันที่ระบบโช้คอัพกันก่อนเลยอาจจะลำบากไปสักนิดนึงแต่ก็คงจะไม่เกินความสามารถอย่างแน่นอน ตรวจสอบดูโช้คอัพว่ามีการรั่วซึมหรือป่าว ซึ่งถ้ามีการรั่วซึมจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนที่ตัวกระบอกโช้คจะมีคราบน้ำมันติดอยู่ มาตรวจเช็คกันต่อที่ระบบเบรกอันนี้อาจต้องพึ่งอุปกรณ์กันนิดนึ่งก็คือไฟฉาย ใช้ไฟฉายส่องเข้าไปที่ผ้าเบรกดูว่าผ้าเบรกหมดหรือไม่ จากนั้นก็อย่างลืมตรวจเช็คลมยางกันด้วยรถแต่ละคันแต่ละรุ่นใช้ปริมาณลมยางที่แตกต่างกัน สามารถดูได้ที่ขอบประตูว่าควรจะเติมเท่าไหร่ในรถแต่ละรุ่น สำหรับเรื่องของช่วงล่างก็มีกันแต่เพียงเท่านี้ครับ
- อย่างลืมวางแผนก่อนการเดินทาง
อาจมองดูว่าหัวข้อนี้ไม่สำคัญ แต่ที่จริงแล้วมันก็สำคัญเหมือนกันครับเพราะว่าถ้ามีการวางแผนการเดินทางที่ดี เราก็จะสามารถใช้ระยะทางได้น้อยลง อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงไปได้ไม่มากก็น้อย เพราะในช่วงของเทศกาลต่างคนก็ต้องเดินทางกลับบ้านและไปเที่ยวกัน ถ้าเราหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีความหนาแน่นของรถได้ก็คงจะเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน
- ไม่ควรขนสัมภาระเกินความจำเป็น
อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องขนเอาไปมากครับ เอาไปแต่แค่พอใช้ก็พอ เพื่อจะได้ไม่ต้องแบกน้ำหนักมากจนเกินไป ที่สำคัญคือจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่มากก็น้อย และที่มากไปกว่านั้นก็คือเผื่อที่ไว้ซื้อของฝากกลับมาบ้านด้วยครับ..อันนี้คนไทยขาดไม่ได้จริงๆสำหรับของฝาก
จริงๆแล้วก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดครับสำหรับการตรวจเช็คความพร้อมของตัวรถก่อนการเดินทาง คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณพ่อบ้านอย่างแน่นอน แต่สำหรับคุณแม่บ้านถ้าไม่สะดวกก็สามารถขับรถเข้าไปที่ศูนย์บริการได้เลยครับ เพื่อความสะดวกและความปลอดภัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็อย่าลืมขับรถกันอย่างมีสติ เมาไม่ขับ โทรศัพท์ไม่โทร เวลาขับรถนะคร๊าบบบบบ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
โช้คอัพเสียจะรู้ได้อย่างไร ?
กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์สาระความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้รถยนต์และการขับขี่ยานพาหนะ พบกันเมื่อไหร่เป็นต้องมีความรู้และเคล็ดลับอะไรดีๆมาฝากเพื่อนๆกันอย่างแน่นอน และสำหรับในคอลัมน์นี้จะมาแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบซับแรงกระแทกหรือว่าโช้คอัพนั่นเองครับหรือพูดกันแบบง่ายๆก็คือ โช้คอัพพังหรือเสีย มันมีอาการเป็นอย่างไรนั่นเองครับ หลายคนอาจมองข้าม แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากครับ อาการแบบไหนที่กำลังจะบอกให้เรารับรู้ว่าควรจะเปลี่ยนโช้คอัพได้แล้วต้องไปติดตามดูกันครับ
โช้คอัพหรือระบบซับแรงกระแทก เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ส่วนควบที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากของผู้ใช้รถยนต์ เนื่องจากโช้คอัพนั้นมีหน้าที่รองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับขี่บนพื้นถนนที่มีความแตกระดับกัน โช้คอัพมีหน้าที่รองรับและปรับระดับและการทรงตัวของรถ ซึ่งจะสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์และง่ายดายยิ่งขึ้น เมื่อไหร่ที่โช้คอัพทำงานด้อยลงหรือเกิดการเสียหายขึ้น นั่นก็จะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าเรารู้และสามารถสัมผัสได้ว่าโช้คอัพของเราเริ่มเสื่อมคุณภาพลงแล้ว หรือโช้คอัพเกิดการเสียหายขึ้นแล้ว ก็จะทำให้เราขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น มีวิธีสังเกตอย่างไรบ้างเราไปดูกันที่ละหัวข้อเลยครับ
- ตรวจสอบกระบอกโช้คอัพ
วิธีนี้อาจจะต้องมีการก้มมุดกันบ้าง แต่ชัวแน่นอนครับ ใช้แม่แรงยกรถขึ้นให้สูงจากพื้นเพื่อการก้มมองที่สะดวกและง่ายขึ้น ให้ดูที่กระบอกโช้คอัพว่ามีคราบน้ำมันอยู่หรือไม่ ถ้าเห็นคราบน้ำมัน ให้สันนิฐานได้เลยครับว่าโช้คอัพของเราเกิดอาการรั่วขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ชัวให้เอาผ้าเช็ดตัวโช้คอัพให้สะอาดแล้วลองขับใช้งานสักสองสามวันแล้วค่อยมายกดูใหม่ ถ้ามีคราบน้ำมันให้เห็นให้ฟันธงได้เลยครับว่ารั่วแน่นอน - ใช้มือกดตัวรถที่ด้านหน้าและด้านหลัง
วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการทดสอบอาการของโช้คอัพครับ ว่ายังสมบูรณ์อยู่หรือป่าว ให้ออกแรงกดที่ตัวรถในตำแหน่งของโช้คอัพหรือในตำแหน่งของล้อหน้าหรือล้อหลังนั่นเองครับ ออกแรงกดลงไปหนึ่งครั้งแล้วปล่อยมือออกทันที หลังจากที่ปล่อยมือออกแล้วถ้ารถเด้งขึ้นมาครั้งเดียวอาการแบบนี้คือการทำงานของโช้คอัพปกติครับ แต่ถ้าเราปล่อยมือจากการกดหนึ่งครั้งแล้วสัมผัสจากสายตาได้ว่าตัวรถมีการเด้งขึ้นเด้งลงเหมือนสปริง นั่นแสดงว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อมสภาพลงแล้ว อาจเกิดการรั่วไหลของน้ำมันในกระบอกโช้คก็เป็นได้ จึงทำให้การทำงานของโช้คอัพด้อยลง - ขับด้วยความเร็วรถเริ่มมีอาการไม่นิ่ง
วิธีนี้อาจจะต้องใช้ประสบการณ์กันบ้าง แต่สำหรับผู้ที่ขับรถเป็นประจำก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอนครับสำหรับการจับอาการของรถ เมื่อเราขับรถด้วยความเร็วบนถนนที่เรียบแล้วรู้สึกว่ารถมีอาการที่จะต้องเติมพวงมาลัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปกติถ้าขับบนถนนเรียบๆตรงๆยาวๆ เราจะถือพวงมาลัยนิ่งๆแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าต้องดึงซ้ายทีขวาที นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่ควรจะต้องเข้าทำการตรวจสอบระบบช่วงล่างหรือโช้คอัพกันได้แล้วครับ - จั๊มคอสะพานแล้วเด้งหลายครั้ง
โดยปกติแล้วการทำงานของโช้คอัพที่ยังคงประสิทธิภาพอยู่นั้นเมื่อราขับผ่านเนินที่มีขนาดใหญ่หรือขับขึ้น-ลงคอสะพานที่มีความต่างระดับกันด้วยความเร็วประมาณ 50-60km โช้คอัพจะมีการยุบตัวลงแล้วค่อยๆยืดตัวขึ้นสัมผัสได้ถึงความนิ่มนวนแต่ถ้าอาการของโช้คอัพไม่ปกติ เมื่อลงคอสะพานมาแล้วตัวรถจะเด้งขึ้นเด้งลงจนเราสามารถสัมผัสได้ว่าไม่ปกติ - ขับผ่านทางที่มีหลุมเล็กๆติดต่อกันแล้วรถไม่นิ่ง
อาการแบบนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่คงจะสัมผัสกันได้ไม่ยาก หลายๆท่านคงเคยขับผ่านถนนที่กำลังสร้างหรือทางลูกลังแบบผิวไม่เรียบ เมื่อขับแล้วรู้สึกว่าตัวรถมีอาการเด้งเป็นพิเศษหรือสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนภายในรถ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณบอกว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อสภาพแล้ว
เป็นยังไงบ้างครับ แต่ละอาการที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ใครเคยเจอกันบ้าง สำหรับใครที่ไม่เคยเจอก็ควรที่จะรู้ไว้และควรที่จะสัมผัสอาการความเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพื่อที่จะได้สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีในกรณีที่เกิดความเสียหายกับโช้คอัพของเรา แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ควรที่จะขับรถกันด้วยความไม่ประมาทเพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุกันได้แล้วครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine - ตรวจสอบกระบอกโช้คอัพ
-
ของเหลวในรถมีอะไรบ้างแล้วควรถ่ายเมื่อไหร่ ?
รถยนต์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหน รถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งยานพาหนะที่ช่วยให้เราไปถึงที่หมายได้ด้วยความสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นเรามาดูแลรถยนต์ให้อยู่กับเราไปนานๆ กันดีกว่าครับ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าสำหรับในคอลัมน์นี้ ผู้ที่ใช้รถอยู่เป็นประจำหรือนานๆใช้ทีก็ไม่ควรพลาดครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการถ่ายของเหลวที่อยู่ในรถคู่ใจของเรา มีอะไรบ้างและควรจะถ่ายในระยะกิโลที่เท่าไหร่นั้นต้องไปติดตามดูกันครับ
หลายคนอาจมองข้ามหรือไม่รู้เลยก็ว่าได้ว่าในรถหนึ่งคันนั้นมีอะไรที่เป็นของเหลวบ้างและของเหลวเหล่านี้ที่เป็นกลไกลในการขับเคลื่อนรถมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะกิโลที่กำหนด ถ้าไม่มีการเปลี่ยนถ่ายตามระยะที่กำหนดอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรืออาจจะทำให้การทำงานด้อยประสิทธิภาพลง เพราะฉะนั้นแล้วจึงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผู้ที่ใช้รถไม่ควรมองข้าง ถามว่าของเหลวที่อยู่ในรถมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันทีละอย่างเลยครับ
- น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา 5,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่อง กึ่งสังเคราะห์ 7,500-8,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 10,000-15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่อง น่าจะเป็นของเหลวลำกับต้นๆ ที่คนทั่วไปรู้จักกันอีก เนื่องจากน้ำมันเครื่องยนต์มีรอบ/การเปลี่ยนถ่ายค่อนข้างบ่อย ประกอบกับมีการโฆษณาคุณสมบัติน้ำมันเครื่องยนต์โดยแต่ละผู้ผลิตจำนวนมากตาม สื่อต่างๆ จนทำให้คนเริ่มคุ้นเคยมากขึ้น น้ำมันเครื่องยนต์ปัจจุบัน มีหลายเกรด สิ้นค้า โดยพื้นฐานที่สุด คือน้ำมันเครื่องยนต์ธรรมดา เป็นเกรดแบบที่ใช้พื้นฐานจากน้ำมันตามธรรมชาติมาผสมเพื่อให้ได้การหล่อลื่น และลดความร้อนในระหว่างการทำงานที่ดี ปัจจุบันน้ำมันแบบนี้มีขายน้อยมากแล้วในตลาด แต่ก็ยังมีขายอยู่และได้รับความนิยมบ้างเนื่องจากราคาไม่แพงน้ำมันเครื่องเกรดต่อมา คือ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ น่าจะเรียกว่าเป็นพื้นฐานของน้ำมันเครื่องยนต์ในยุคนี้ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ คือการเอาน้ำมันเครื่องเกรดปกติมาผสมสูตรด้วยส่วนผสมที่ปรุงแต่งขึ้นมา ทำให้ มีราคาแพงกว่าเกรดปกติ แต่มีข้อดี คือระยะเปลี่ยนถ่ายยาวนานขึ้น
- น้ำยาหม้อน้ำ
น้ำยาหม้อน้ำ เปลี่ยนทุกระยะ 50,000 กิโลเมตร น้ำยาหม้อน้ำ หรือบางคนอาจจะเรียกน้ำยาหล่อเย็น เป็นของเหลวที่คุณควรจะใส่ใจเนื่องจากเป็นระบบที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องยนต์ และบ้านเราก็อยู่ในสภาวะพื้นที่อากาศค่อนข้างร้อนพอสมควรน้ำยาหม้อน้ำคือปราการด่านสำคัญ ช่วยลดอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ โดยปกติแล้ว น้ำยาหม้อน้ำ จะต้องเปลี่ยนทุกๆ 50,000 กิโลเมตร เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด ที่สำคัญราคาค่าเปลี่ยนน้ำยาหม้อน้ำ ไม่แพงเท่าการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์ จึงอยากแนะนำให้เปลี่ยนเมื่อถึงเวลา เพราะสามารถป้องกันเครื่องยนต์ฮีทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- น้ำมันเบรก
ระยะเปลี่ยนน้ำมันเบรก ทุก 80,000 กิโลเมตร หรือ 3 ปี น้ำมันเบรก ในรถทุกคัน ใช้เพื่อเป็นแรงดันส่งไปดันแม่ปั้มเบรกเพื่อกดผ้าเบรก ลงบนจานเบรกให้เกิดแรงเสียดทาน และหยุดรถได้โดยสำเร็จ ช่างบางคนมักจะบอกว่า น้ำมันเบรกควรเปลี่ยนเมื่อสกปรก หรือเริ่มดำไม่ใส ทว่าในความเป็นจริงน้ำมันเบรกไมได้สัมผัสกับความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเบรก โดยตรง ทำให้ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเมื่อมีคราบดำในน้ำมัน ผิดกับน้ำมันเครื่องที่ชะและถ่ายเทความร้อนจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์โดย ตรง จนบางคนเข้าใจผิดว่าน้ำมันเบรกต้องเปลี่ยนทันทีเมื่อมีคราบดำในน้ำมัน หรือมีสีไม่ใส เว้นแต่เบรกคุณเริ่มมีอาการแปลกๆในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะ อาการ “เบรกจม” ซึ่งเหมือนคุณเหยียบเบรกแล้วเบรกไม่อยู่ ต้องย้ำเบรก แบบนี้อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกก่อนระยะตามกำหนด หรือ ในบางพื้นที่เบรกถูกใช้งานหนักบ่อยๆ เช่นการขึ้นลงเขา น้ำมันเบรกอาจจะเสื่อมคุณภาพ หากเริ่มมีอาการเบรกเฟดบ่อยขึ้นในระหว่างการใช้งาน ก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างไรก็ดี ถ้าคุณโชคดีว่า ไม่เคยพบปัญหาอะไรในการใช้งาน โดยมาก น้ำมันเบรกจะมีอายุได้ถึง 80,000 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 3 ปี แล้วแต่ว่าอะไรถึงก่อน (ถ้าพ้น 3 ปีแล้ว ควรเปลี่ยนทันทีเนื่องจากน้ำมันเบรกอาจจะเสื่อมคุณภาพในการใช้งาน)
- น้ำมันเพาเวอร์
ระยะเปลี่ยนน้ำมัน พาวเวอร์ทุก 80,000 กิโลเมตรน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ปัจจุบันอาจจะไม่มีในรถบางรุ่นแล้ว เนื่องจากรถยนต์ในปัจจุบัน หันมาใช้พวงมาลัยไฟฟ้าแทน แต่ถ้ารถคุณยังมีอยู่ โดยเฉพาะรถรุ่นเก่าๆ อย่าละเลยเด็ดขาด คุณควรจะเปลี่ยนน้ำมันพาวเวอร์ ทุก 80,000 กิโลเมตร แม้ว่าน้ำมันพาวเวอร์อาจจะไม่ส่งผลอะไรอย่างชัดเจน จนเป็นอันตรายถ้าไม่เปลี่ยนถ่าย .. แต่ถ้าคุณละเลย โดยมากชุดแร็คพาวเวอร์ก็จะพังไปก่อน อย่างไรเสียก็เปลี่ยนน้ำมันพาวเวอร์ให้ไวด้วย
- น้ำมันเกียร์ –น้ำมันเฟืองท้าย
น้ำมันเกียร์-เฟืองท้าย ระยะเปลี่ยนถ่าย 40,000 กิโลเมตรน้ำมันเกียร์ คือน้ำมันที่ทำหน้าที่ในการลดการสึกหรอและความร้อนระหว่างการทำงานของชุด เกียร์ ซึ่งปกติน้ำมันเกียร์ควรจะเปลี่ยนถ่ายโดยช่างผู้เชี่ยวชาญในศูนย์บริการรถ ยนต์ยี่ห้อที่คุณใช้อยู่ระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์จะกระทำทุกๆ 4 หมื่นกิโลเมตร และไม่ควรจะเกินระยะการเปลี่ยนถ่ายดังกล่าว เนื่องจากน้ำมันเกียร์เดิม อาจจะมีคราบเขม่าสะสมจากการใช้งานจำนวนมาก และทำให้การหล่อลื่นอาจจะด้อยประสิทธิภาพในการใช้งานลงไป แถมถ้าเกียร์พังขึ้นมายกเปลี่ยนใหม่ราคานับแสนไม่คุ้มกันหรอกครับจึงไม่แปลกที่บางครั้งคุณเข้าไปเช็คระยะกับศูนย์บริการก่อนระยะ 40,000 กิโลเมตร จะโดนบังคับให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์โดยทันที ไม่ว่าในรถคุณจะเป็นเกียร์ออโต้ คลัทช์คู่ CVT หรือเกียร์ธรรมดา จะอยู่ในระยะเดียวกันนี้หมด ส่วนน้ำมันเฟืองท้าย คือน้ำมันของชุดขับเกียร์ลงล้อ หรือเฟืองขับสุดท้ายก่อนจะยังเพลา ซึ่งจะต้องเปลี่ยนในระยะเดียวกัน แต่จะมีสูตรน้ำมันต่างจากน้ำมันเกียร์ ให้ศึกษาจากศูนย์บริการ หรือคู่มือประจำรถให้ดี
อ่านคอลัมน์นี้จบแล้วทางทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะมีหลายๆท่านต้องวิ่งไปเช็คระยะกิโลรถคันโปรดกันบ้างไม่มากก็น้อยแหละครับ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนถ่ายของเหลวในระยะที่กำหนดก็จะช่วยให้รถคันโปรดอยู่กับเราไปได้นานและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ท้ายที่สุดก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทด้วยนะครับ….สวัสดีครับ…!!
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
แต่งรถยังไงให้พี่จ่าไม่จับ
เปิดมาเจอคอลัมน์นี้เหล่าบรรดาขาซิ่งหรือผู้ที่มีใจรักในการแต่งรถต้องเบรกกันหัวทิ่มหัวต่ำ เลี้ยวเข้ามาอ่านกันเลยทีเดียว เพื่อที่จะได้ขับรถคันโปรดของตัวเองผ่านเข้าด่านได้อย่างสบายใจ ใบขับขี่และเงินในกระเป๋ายังคงอยู่ที่เดิม เรียกได้ว่าแต่งรถได้ดั่งใจ ไม่ขัดใจพี่จ่า ก็อย่างว่าแหละครับบ้านเมืองมีขื่อมีแป จะทำอะไรก็ต้องเคารพกฎหมายกันบ้าง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมาก ว่าแต่ว่าแต่งแบบถูกกฎหมายมันจะทำได้จริงมั้ยต้องเข้าไปดูกันครับในคอลัมน์นี้
จะว่าไปแล้วถ้าพูดกันถึงเรื่องของการแต่งรถนั้น ถ้าจะทำให้มันถูกกฎหมาย ในบางทีบางครั้งมันก็อาจจะดูเหมือนขัดแย้งกันไปบ้าง แต่ที่จริงแล้วถ้าได้มาเจอกันคนละครึ่งทางระหว่างความถูกกฎ กับความถูกใจมันก็พอที่จะจูงมือไปด้วยกันได้ แต่จะแต่งแบบไหนถึงจะถูกต้องนั้นเราไปดูกันทีละหัวข้อเลยครับ
- โหลดเตี้ย เป็นความพยายามและความเข้าใจของคนแต่งรถว่า รถที่เตี้ยต่ำจะยึดเกาะกับถนนได้ดีขึ้นซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทั้งหมด การยึดเกาะที่ดีของรถยนต์ยังเกิดขึ้นจากช่วงล่างที่สมบูรณ์ ยางที่สดใหม่และอยู่ในสภาพดี สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการโหลดรถตาม พรบ.รถยนต์ พ.ศ. 2522ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ารถที่โหลดเตี้ยจะต่ำแค่ไหนก็ได้ โดยยึดหลักเพียงการวัดระยะกึ่งกลางไฟหน้า กับระดับพื้นถนนต้องไม่ต่ำกว่า ถ้าต่ำกว่าถือว่าผิด แต่ถ้าไฟหน้าสูงกว่าแต่รถใส่สปอยเลอร์จนเตี้ยต่ำแทบจะลากพื้น จะใช้กฎการพินิจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนายช่างตรวจสภาพกรมการขนส่งทางบก และผู้วินิจฉัยผล ตรอ. ว่าเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นหรือไม่ ถ้าฟันธงว่าเสี่ยงก็ถือว่าผิดได้เช่นกันครับ
- ยกสูง รถยนต์แบบออฟโรดที่มีสัดส่วนความสูงมากกว่ารถเก๋งเนื่องจากสภาพการใช้งานที่ต้องบุกป่าฝ่าทางวิบาก หากใต้ท้องรถไม่สูงพอก็อาจติดกับร่องทางหรือหล่มโคลนจนไปต่อไม่ได้ ใน พรบ.รถยนต์ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จะยกสูงแค่ไหน แต่ต้องวัดระดับกึ่งกลางไฟหน้ากับพื้นถนนต้องไม่สูงกว่า แต่ถ้าไฟหน้าสูงไม่เกิดแต่รถโด่งมาก มีการดัดแปลงสภาพมากทั้งเสริมโช้คยกตัวถัง การปรับแต่งรถแบบยกสูงมากนั้นต้องมีหนังสือจากวิศวกรรองรับการดัดแปลงสภาพ และต้องแจ้งกับกรมการขนส่งทางบกว่ามีการดัดแปลงเพื่อใช้งานในเขตทุรกันดาน แต่ถ้ายกไม่สูงมาก แต่ใส่ยางใหญ่เกินจนล้นออกมาข้างตัวรถมากๆ เกินบังโคลนล้อ ก็ต้องใช้หลักดุลพินิจอีกเช่นกันว่าเสี่ยงต่อผู้ร่วมใช้ถนนหรือไม่
- ใส่ล้อ 18/19/20/22 แบบเต็มซุ้มเพื่อความหล่อและอำนาจของการยึดเกาะ ในกำหมายไม่มีการระบุขนาดของล้อและขนาดก็ไม่ได้มีผลการเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น จะใส่ล้อใหญ่ขอบ 18/19/20หรือ22ก็สามารถทำได้แบบสะดวก แต่ถ้าใส่แล้วยางล้นเกินออกมานอกบังโคลนล้อข้างละหลายนิ้ว เจ้าหน้าที่ที่ตั้งด้านได้ตรวจพบว่าอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความเดือนร้อนแก่ผู้อื่น ก็ถือว่าผิดได้หรือใส่ล้อใหญ่จนต้องแบะล้อเพื่อหลบซุ้ม การทำแบบนั้นนอกจากรถจะไม่เกาะถนนแล้วยังเป็นการทำร้ายช่วงล่างอย่างรุนแรงอีกด้วย
- ดึงโป่ง WIDE BODY ซึ่งในปัจจุบันเริ่มลดน้อยลงไปมากเนื่องจากรถยนต์สมัยใหม่มีโป่งล้อมาให้แบบจุใจ ในกฎหมายไม่ได้ระบบไว้ชัดเจนในเรื่องของโป่งล้อ แต่ก็มีระบบไว้ว่า ส่วนที่ตียื่นต้องมีลักษณะเป็นชิ้นเดียวกับตัวรถหรือถ้าเป็นวัสดุคนละชิ้นกันต้องมีการยึดติดอย่างแน่นหนา ถ้าไม่แน่นหนาหรือตีโป่งยื่นออกมามาก เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ขอตรวจดูสำเนาการจดทะเบียนว่ามีการดัดแปลงเกินกว่าที่จะทะเบียนไว้หรือไม่ โดยอ้างอิงจากบริษัทผู้ผลิตถึงขนาดตัวรถและฐานล้อ วึ่งต้องใช้วิศวกรรับรองการดัดแปลงสภาพ และต้องแจ้งกับกรมการขนส่งทางบก ถ้าขนส่งตรวจแล้วลงความเห้นว่าผ่านก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ผ่านก็ต้องเลาะออกกันไปตามระเบียบ
- ฝากระโปรงหน้า-หลัดำ ฝากระโปรง หลังคา คาร์บอน นักแต่งรถส่วนมากมักนิยมเปลี่ยนฝากระโปรงแบบเดิมให้กลายเป็นฝาแบบคาร์บอน เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความขลังในมุมมอง หากทำการพ่นเป็นสีเดียวกับตัวรถ ที่จดทะเบียนไว้ถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าเปลี่ยนสีฝากระโปรงเป็นสีดำ หรือสีอื่น ที่ไม่ตรงกับสีตัวรถ เจ้าหน้าที่จะพิจารณาตามกฎที่ว่า รถยนต์ที่จะทะเบียนจะมีการระบุสีตัวรถไว้อย่างชัดเจน ไม่รวมสีของกันชนรถ โดยสีอื่นต้องมีไม่เกินครึ่งหนึ่งของสีหลักที่จดทะเบียนไว้ เช่น ในกรณีรถระบุไว้ในทะเบียนว่าเป็นสีขาวแต่ฝากระโปรงหน้าเป็นสีดำ เจ้าหน้าที่พินิจแล้วไม่เกินครึ่งหนึ่งก็ถือว่าไม่ผิด แต่พินิจว่าผิดก้ถือว่าผิดได้เช่นกัน แต่ถ้าดำทั้งฝากระโปรงหน้าและหลังส่วนมากจะพินิจว่าผิด เกิด 50%ของสีหลัก ซึ่งเจ้าของรถต้องนำรถเข้าไปแจ้งเปลี่ยนสี ว่าเป็นรถสองสี กับกรมการขนส่งทางบกเสียก่อน ถ้าไม่แจ้งก็อาจต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000บาท
- เปลี่ยนท่อไอเสีย/เฮดเดอร์ จะเปลี่ยนท่อใหญ่ 3นิ้ว 4นิ้ว จะมีหม้อพักกี่ใบ หรือจะไม่มีหม้อพักเลยก็ได้แต่หม้อพักต้องปล่อยออกทางท้ายรถเท่านั้น ถ้าออกข้างตัวรถก็ถือว่าผิดทันที ตามกฎหมายจะระบุไว้แค่การวัดเสียงดังที่ปล่อยออกจากปลายท่อตาม พรบ.รถยนต์ระบุว่า รถยนต์ที่เกิน7ปี ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพ ณ สถานตรวจสภาพ เพื่อตรวจวัดระดับเสียงที่ปลายท่อไอเสียด้วยเครื่องวัด ผลที่ได้ต้องไม่เกิด 100เดซิเบล วัดที่ 3/4รอบที่ให้แรงม้าสูงสุด
- ไฟหน้าหลายสี ไฟซี่นอนกำลังส่องสว่างแรงสูง ไฟท้ายขาวใสแนวซิ่ง โคมขาว โคมดำ พ่นสีดำ ที่โคมไฟหน้าและไฟท้าย ปัจจุบันไฟหน้าแบบซีนอน ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับ จึงอนุญาตให้ติดได้ เพียงแต่ติดตั้งแล้วเมื่อแครื่องมือทดสอบโคมไฟลำแสงต้องมีองศาตกลงจากแนวระนาบ ไม่น้อยกว่า 2 องศา และต้องไม่เบนไปทางขวา ถึงเรียกว่าผ่าน ส่วนเรื่องสีของไฟ โคมไฟหน้าทางกรมกำหนดไว้เพียง 2สีเท่านั้น คือสีเหลืองอ่อน และสีขาว ถ้าเป็นสีอื่น เช่น สีฟ้า สีม่วง สีเหลืองเข้มหรือสีเขียว มีความผิดแน่นอน ส่วนไฟเบรกต้องเป็นสีแดง ไฟเลี้ยงต้องเป็นสีเหลืองอำพัน ไฟส่องป้ายทะเบียนต้องเป็นสีขาวมองเห็นป้ายทะเบียนได้ไกลไม่น้อยกว่า 20เมตร
- ไฟสปอร์ตไลต์ และโคมไฟตัดหมอก ติดตั้งอย่างไรถึงจะไม่ผิด โคมไฟสปอร์ตไลต์ หมายถึง โคมไฟแสงพุ่งไกล แบบกระจายวงกล้าง แบบนี้ห้ามติดโดยเด็ดขาดแม้จะมีฝาครอบปิด ผิด พรบ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 ส่วนไฟตัดหมอกมีลักษณะเป็นไฟแสงพุ่งต่ำ ล่าสุดพรบ.ปี 2536 อนุยาตให้รถยนต์ติดไฟสปอร์ตไลต์หรือไฟตัดหมอกเพิ่มได้ข้างละ 1 ดวง ในระดับแนวเดียวกัน ความสูงจากพื้นถนนไม่ตำกว่า และไม่สุงกว่า 135cm.ต้องเป็นแสงสีเหลืองหรือสีขาว กำลังไฟไม่เกิน 55w ไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสงพุ่งไกลและโคมไฟแสงพุ่งต่ำศูนย์รวมแสงต้องต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นราบไม่น้อยกว่า 2องศาในระยะ 7.5เมตรและไม่เฉไปทางขวา
- ตีโรลบาร์แบบรถแข่ง กฎหมายว่าด้วยห้องโดยสารมีเพียงข้อกำหนด เรื่องของจำนวนที่นั่ง มาตราวัดความเร็ว และไฟห้องโดยสารเท่านั้น ส่วนการตีโรลบาร์ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับจึงไม่ผิด แต่การถอดเบาะหลังออกแล้วตีโรลบาร์ จะผิดกฎหมายเรื่องการระบะลักษณะรถ และจำนวนตอน ถือว่าผิดครับ รวมถึงความแน่นหนาความเสี่ยงต่ำการเกิดอุบัติเหตุ ก็ถือว่าผิดได้อีกเช่นกัน ยิ่งถอดเบาะออกเหลือตัวเดียวหรือตัดตัวถังรถออกบางส่วน แล้วตีโรลบาร์ยึดแบบ SPEC FRAME ถือว่าผิดข้อหาดัดแปลงสภาพที่มีผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวรถ
- ใส่กระจกมองข้างซิ่ง ตามกฎหมายระบุไว้ว่า รถยนต์ต้องมีเครื่องส่องหลัง(กระจกมองหลัง)และเครื่องส่องหลังภายนอก(กระจกมองข้าง)อยางน้อย1อัน ซึ่งไม่ได้ระบุถึงขนาดและรูปแบบ ถ้าเปลี่ยนเป็นกระจกมองข้างแบบไฟเบอร์หรือแบบกระจกซิ่งทรงแข่ง ถ้ามี 2ด้านหรือด้านเดียวก็ถือวาถูกกฎหมาย แต่ถ้าไม่มีกระจกมองข้างหรือกระจกมองหลัง หรือเจ้าหน้าที่ตรวจสภาพ ฟันธงว่า มีเครื่องส่องหลังจรองแต่ชำรุดหรือมองเห็นไม่ชัดเจน ก็ถือว่าผิดครับ
- เปลี่ยนเบาะซิ่งใส่เบล 4จุดแบบรถแข่ง เบาะหรือที่นั่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ทาง พรบ.จริงๆแล้วได้ระบุขนาดความกว้างยางของเบาะเอาไว้ด้วย ซึ่งจะเกี่ยวข้องในการระบุจำนวนผู้ดโดยสาร เบาะแต่งหรือเบาะไฟเบอร์ ส่วนมากมีความถูกต้องในเรื่องขนาด แต่ถ้าถอดเบาะออกไม่ว่าเบาะหลัง ถอดเหลือตัวเดียวหรือสั่งทำเบาะขนาดใหญ่พิเศษแบบนี้จะถือว่าผิดส่วนเซฟตี้เบลล์ทางกรมการขนส่งก็ได้กำหนดมาตรฐาน แต่ถ้ามีการยึดแน่นหนา ก็อนุโลมว่าผ่าน
- ปรับแต่งโมดิฟายเครื่องยนต์ การจะมาวัดกำลังอัพ หาขนาดความจุนั้นทำได้ยาก จึงอาศัยการตรวจดูหมายเลขเครื่องยนต์ว่าถูกต้องตามทะเบียนที่แจ้งไว้หรือไม่เท่านั้น ถ้าเลขเครื่องถูกถือว่าไม่ผิด จะขยายความจุเปลี่ยนลูก ยืดข้อ เสริมเสื้อสูบก็ไม่ผิด หรือไม่ว่าจะเปลี่ยนเทอร์โบใหญ่ ใส่กรองเปลือย เปลี่ยนหัวฉีด ติดกล่องเพิ่มแรงม้า ก็ไม่ผิดครับ เพียงแต่อุปกรณ์ภายในห้องเครื่องต้องดูแล้วแน่นหนาและมีความปลอดภัย แต่ถ้าจูนน้ำมันจนหนามาก เจ้าหน้าที่จะใช้ผลการตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียเป็นข้อกำหนดถึงสภาพเครื่องยนต์
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของการปรับแต่งรถให้ขับเข้าด่านได้อย่างสบายใจ ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่ข้างต้นแหละครับ เดินมาเจอกันคนละครึ่งทางเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่าลืมพูดจากันด้วยความสุภาพทั้งผู้ใช้รถและผู้ถือกฎหมาย หนักนิดเบาหน่อยก็ค่อยๆคุยกัน ขอกันดีๆพี่จ่าคงไม่ใจร้ายสำหรับในบางเรื่อง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
จุดเริ่มต้นของเครื่องยนต์ดีเซลจนถึงปัจจุบัน
ห่างหายกันไปนานกับเรื่องราวเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ กลับมาในครั้งนี้เป็นเรื่องของเครื่องยนต์ที่กำลังเป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากในยุคสมัยนี้ จะเป็นเครื่องยนต์อะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เครื่องยนต์ดีเซลนั่นเองครับ ก่อนจะมาเป็นเครื่องคอมมอนเรลที่โด่งดังจนถึงทุกวันนี้ ระบบเครื่องยนต์ดีเซลมีเทคโนโลยียังไงบ้างในคอลัมน์นี้มีให้เพื่อนๆได้ศึกษาหาความรู้กันอย่างแน่นอนครับ
หากคุณอยากรู้เรื่องต้นกำเนิดของระบบคอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่นที่เป็นพัฒนาการล่าสุดของเครื่องยนต์ดีเซลปัจจุบัน คงต้องเริ่มต้นจากทฤษฎี THE THEORY AND CONSTRUCTION OF A RATIONAL HEAT ENGINE นักประดิษฐ์ชาวเยอรมันนามว่า รูดอล์ฟ ดีเซล (RUDOLF DIESEL) คิดค้นขึ้นมาในปี2436 ซึ่งกล่าวถึงเครื่องยนต์ที่จุดระเบิดโดยอาศัยความร้อนที่เกิดจากแรงดันสูงจากลูกสูบโดยไม่ต้องใช้หัวเทียนจนนำไปสู่การผลิตเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกแรกของโลก
วิวัฒนาการของเครื่องยนต์ดีเซลยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของการใช้งานทั้งแรงม้าและแรงบิด ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและทนทาน
จนมาถึงเครื่องยนต์ดีเซลแบบสเวิร์ลแชมเบอร์ (SWIRL CHAMBER) หรือ ห้อเผาไหม้แบบอากาศหมุนวนที่คุ้นเคยในตลาดปิกอัพเมืองไทยมานาน ระบบนี้แบ่งห้องเผาไหม้ออกเป็น 2 ส่วน มีห้องเผาไหม้ล่วงหน้าทำหน้าที่ผสมน้ามันชื้อเพลิงกับอากาศเพื่อเผาไหม้ล่วงหน้า ก่อนที่การเผาไหม้นั้นจะลุกลามไปที่ห้องเผาไหม้หลักเครื่องยนต์ดีเซลแบบนี้มีจุดเด่นในด้านความสะอาจของไอเสีย และได้กำลังอย่างเต็มที่ เพราะอากาศและน้ำมันมีการคลุกเคล้าทั่วถึงกว่าทำให้มีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีดีเซลที่ได้รับการพัฒนาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันคือ ไดเร็คอินเจคชั่น (DIRECT INJECTION)ซึ่งมีห้องเผาไหม้แบบปิดและส่งน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง จุดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล Di คือ ความประหยัดน้ำมัน แต่ก็มีข้อเสียในเรื่องสมรรถนะเสียงดังเครื่องยนต์สั่นสะเทือนมากตลอดจนให้ค่ามลพิษสูงโดยเฉพาะค่าก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ในไอเสีย แต่ทั้ง2ระบบยังถูกพัฒนาต่อไปเพื่อการทำงานที่สมบูรณ์แบบมากด้วยการติดตั้งเทอร์โบเปลี่ยนฝาสูบเป็นแบบทวินแคมหรือนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาควบคุมการทำงาน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่อง
ปัจจุบันพัฒนาการล่าสุดของเครื่องยนต์ดีเซล คือระบบคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่น(COMMONRAIL DIRECT INJECTION : CDI) ซึ่งรวมคุณสมบัติเด่นของทั้ง2ระบบข้างต้นไว้ด้วยกัน โดยการจ่ายน้ำมันผ่านท่อร่วมรางเดี่ยวด้วยปั้มแรงดันสูงภายภายใต้การควบคุมของระบบคอมพิวเตอร์ทำให้มีพล้งขับเคลื่นที่ดียิ่งขึ้น ทั้งแรงม้าและแรงบิด ในทุกรอบเครื่องยนต์มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ มีความทนท่านในการช้งาน และที่สำคัญมีมลพิษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ระบบคอมมอนเรลจึงเป็นเทคโนโลยีดีเซลล่าสุดที่ถูกเลือกใช้ติดตั้งในรถยนต์นั่งระดับหรูหลายยี่ห้อในยุโรปและมีแนวโน้มของการใช้งานจนเกิดกระแสตอบรับจากผู้ใช้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด ถูกติดตั้งอยู่ในรถกระบะพลังแรงที่ใครก็อยากเป็นเจ้าของ
การทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล
ข้ามข้อจำกัดของเครื่องยนต์ดีเซล รุ่นเดิมๆ อย่างระบบสวิร์ลแชมเบอร์และไดเร็คอินเจคชั่น ด้วยความล้ำหน้าของเทคโนโลยีดีเซลสมัยใหม่ที่สามารถตอบสนองต่อการขับชี่ได้อย่างสมบรูณ์แบบ ทั้งด้านสมรรถนะ อัตราความสิ้นเปลืองน้ำเพลิง และความทนทานของการใช้งาน ระบบคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่นหรือ CDI (COMMONRAIL DIRECT INJECTION) ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้งานกับรถยนต์นั่งในระดับหรูหราที่เน้นทั้งแรงม้า-แรงบิดและความนุ่มนวลในการทำงานพื้นฐานความประหยัดน้ำมันชื้อเพลิง ในครั้งนี้เราจะอธิบายหลักการทำงานของเครื่องยนต์คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่น โดยละเอียดมากขึ้น
หัวใจสำคัญของระบบคอมมอนเรล คือ การสร้างแรงดันน้ำมันสูงรอไว้ในท่อเพื่อจ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง น้ำมันที่ถูกฉีดเข้าสู่ห้องเผาไหม้จะมีลักษณะเป็นละอองฝอยคล้ายละอองแป้ง เพื่อเพิ่มความสามารถในการผสมกับไอดี และเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การทำงานทั้งหมดจะเริ่มต้นโดยอาศัยปั้มแรงดันสูงที่สามารถจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยแรงดันที่สูงถึง 1,377 บาร์ หรือสูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซล ไดเร็คอินเจคชั่นทั่วไปถึง 8 เท่าน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกสูบผ่านเข้ามารอในรางน้ำมันคอมมอนเรลด้วยแรงดันน้ำมัน เพื่อทำหน้าที่รักษาและควบคุมแรงดันของน้ำมัน ที่ถูกส่งมาจากปั๊มแรงดันสูงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขับขี่ก่อนที่หัวฉีดอิเล็กทรอนิกศ์ซึ่งมีรูฉีดน้ำมันถึง 6 รูต่อหัว จะจ่ายน้ำมันที่มีลักษณะเป็นฝอยเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง โดยการทำงานของหัวฉีดจะเป็นแบบ 2 ครั้ง ใน 1 จังหวะด้วยการฉีดน้ำมันนำร่องต (PILOT INJECTION) ก่อนทำการฉีดจริง ซึ่งจะช่วยลดระดับเสียงดังที่เกิดจากการจุดระเบิด
นอกจากนั้นการทำงานในทุกขั้นตอนของระบบคอมมอนเรล ไดเร็ลอินเจคชั่น จะถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยข้อมูลที่ถูกส่งมาจากส่วนต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์ของเพลาข้อเหวี่ยงตำแหน่งคันเร่ง อุณหภูมิอากาศ ฯลฯ นำมาประมวลผลเพื่อให้มีการสั่งจ่ายน้ำมันช้อเพลิงอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับความเร็วรอบเครื่องยนต์ส่งผลให้เครื่องมีสมรรถนะดีขึ้น แรง ประหยัดน้ำมัน เงียบ สั่นเทือนน้อย มลพิษในไอเสียเสียต่ำ ค่าบำรุงรักษาต่ำ และมีความทนทานสูง
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ดีเซล กว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลให้สายควันดำได้ขับมันส์ๆในปัจจุบันนี้ มีจุดเริ่มต้นที่ไม่น่าเชื่อกันเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าเครื่องยนต์จะแรงแค่ไหน ก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทละครับ ด้วยความห่วงใยจากทีมงาน REALTIME CAR MAGAZINE
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
น้ำมันเชื้อเพลิงมีกี่ประเภทรู้กันหรือไม่ ?
สำหรับคอลัมน์นี้ว่ากันด้วยเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง ยุคสมัยเปลี่ยนไปอะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหมือนอย่างเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง ในสมัยก่อนจะเติมน้ำมันทีก็ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย มีแค่เบนซินธรรมดากับเบนซินพิเศษ แต่พอมาถึงยุคนี้ซิ่ โอ้..โห..ขับรถเข้าปั๊มทีมีให้เลือกจนตาลายกันเลยทีเดียว ทำเอามือใหม่ต้องงงกันไปบ้างไม่มากก็น้อย ในคอลัมน์นี้เราจะพาไปทำความรู้จักกันครับว่าน้ำมันแต่ละประเภทมันแตกต่างกันอย่างไรและแบบไหนที่จะเหมาะกับรถคุณ
– น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 น้ำมันชนิดนี้ รถทุกคันที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเบนซิน สามารถใช้ได้หมด เนื่องจากเป็นน้ำมันที่ไม่มีส่วนผสมของ เอทิลแอลกอฮอล์ และมีออกเทนที่ให้ค่าสูง มีการเผาไหม้ที่ดีที่สุดของน้ำมันในขณะนี้ และมีการป้องกันการน็อคของเครื่องยนต์สูง การเผาไหม้ของเครื่องยนต์จึงสมบูรณ์ และให้กำลังของการจุดระเบิดสูงตามมา สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว แต่ติดตรงที่มีราคาที่สูงกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ เป็นกฎธรรมชาติที่ว่า ของดีต้องแพงไว้ก่อน
– น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 น้ำมันชนิดนี้ รถทุกคันอาจจะสามารถใช้ได้ ยกเว้นรถที่มีระบุไว้ว่า เติมน้ำมันชนิด เบนซินออกเทน 95 เท่านั้น ซึ่งหากเราฝืนเติมออกเทน 91 เข้าไปในรถที่มีระบุคำว่า เบนซินออกเทน 95 อาการที่รถจะแสดงออกมาให้เราทราบว่าใช้น้ำมันผิดประเภท ก็อาจจะแค่เครื่องยนต์สะดุด เดินเบาไม่เรียบ แต่รถสามารถวิ่งได้ เป็นน้ำมันที่ไม่มีส่วนผสมของ เอทิลแอลกอฮอล์ และมีค่าออกเทนที่ให้ค่าต่ำกว่าออกเทน 95 ลงมา สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว เป็นรอง ออกเทน 95 เล็กน้อย แทบจะไม่เห็นผล ต้องพิสูจน์ด้วยการนำรถเข้า Test ที่ห้องแล็บ จึงจะรู้ได้อย่างชัดเจน น้ำมันชนิดนี้จะหาเติมได้ยาก เพราะบางปั๊มไม่มีให้บริการ เนื่องจากมีชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงอื่นเข้ามาแทนที่ได้ ส่วนราคาสูงรองมาจาก ออกเทน 95
– น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 95 น้ำมันชนิดนี้เป็นการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานมาผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน เบนซินพี้นฐาน 9 ส่วน : เอทานอล 1 ส่วน โดยค่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์จะขึ้นอยู่กับค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินพื้นฐานแต่ละชนิด หากนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานออกเทน 91 จำนวน 9 ส่วน ผสมกับเอทานอล 1 ส่วน จะได้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 สามารถเลือกแก๊สโซฮอล์ตามค่าออกเทนที่ต้องการใช้มาทดแทนน้ำมันเบนซินได้ทันที น้ำมันชนิดนี้ หากรถที่ไม่มีระบุว่า สามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอล์ ออกเทน 95 ได้ ก็ไม่สมควรที่จะใช้ เพราะจะเกิดการกัดกร่อนจากเอทิลแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่วได้ สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็วเทียบเท่ากับน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้น และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้
– น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 น้ำมันชนิดนี้เป็นการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานมาผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน เบนซินพี้นฐาน 9 ส่วน : เอทานอล 1 ส่วน โดยค่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์จะขึ้นอยู่กับค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินพื้นฐานแต่ละชนิด หากนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานออกเทน 88 จำนวน 9 ส่วน ผสมกับเอทานอล 1 ส่วน จะได้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 สามารถเลือกแก๊สโซฮอล์ตามค่าออกเทนที่ต้องการใช้มาทดแทนน้ำมันเบนซินได้ทันที น้ำมันชนิดนี้ หากรถที่ไม่มีระบุว่า สามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 ได้ ก็ไม่สมควรที่จะใช้ เพราะจะเกิดการกัดกร่อนจากเอทิลแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่วได้ สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว เป็นรองจากแก็สโซฮอลล์ออกเทน 95 โดยหากรถระบุว่าสามารถเติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 ชนิดนี้ได้ น้ำมันจากข้อที่ 1-3 สามารถนำมาเติมได้ทั้งหมด แต่ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้น และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้ ข้อดีของน้ำมันชนิดนี้คือ ราคาน้ำมันจะย่อมเยาลงมา
– น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ออกเทน 95 หรือเบนซิน E20 น้ำมันชนิดนี้คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐาน ผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน เบนซิน 80 : เอทานอล 20 ได้เป็นน้ำมัน E20 ซึ่งมีค่าออกเทน 95 ซึ่งมีหลายรายที่นำน้ำมันชนิดนี้มาเติม โดยไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ไม่สามารถรองรับได้ จึงเป็นสิ่งที่คุณควรต้องเช็คก่อนว่ารถยนต์รองรับได้หรือไม่ เนื่องจากเครื่องยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันชนิดนี้ได้ ต้องมีการปรับอุปกรณ์ และปรับอัตราส่วนผสมให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ หากรถที่ไม่ระบุคำว่า ใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ได้ ห้ามนำมาเติมเด็ดขาด เพราะเอทิลแอลกอฮอล์ จะกัดกร่อนทำให้ ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่ว และส่งผลเสียหายเร็วขึ้น เครื่องยนต์จะเร่งไม่ขึ้น มีการสะดุด สตาร์ทติดยาก ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะจะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิง และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้ แต่ถ้าหากรถคุณมีระบุอย่างชัดเจนที่คุ่มือการใช้รถ หรือที่ฝาถังว่าสามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ได้ คำแนะนำคือ หากชอบการประหยัดในการเติมน้ำมัน ไม่เน้นขับรถแบบแรงๆ เติมได้เลยครับไม่มีปัญหาตามมา และน้ำมันตั้งแต่ข้อ 1-4 ก็ยังสามารถใช้กับรถของคุณได้ และมีความประหยัดในการเติมน้ำมันแบบเห็นๆ ส่วนสมรรถนะมีความใกล้เคียงกับออกเทน 95 เนื่องจากเครื่องยนต์มีการออกแบบ และเซ็ทให้สมรรถนะวิ่งได้เหมือนกับ ออกเทน 95 ผลความแตกต่างน้อยมาก แทบจะไม่ค่อยเห็นผล แต่หากเติมเบนซินออกเทน 95 เพียวๆ แล้วเปรียบเทียบดู จะรู้ได้ทันที ในขณะออกตัวหรือเร่งแซง น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ออกเทน 95 จะยังสู้ไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่
– น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 น้ำมันชนิดนี้คือ มีการผสมน้ำมันเบนซินมาตรฐานเข้ากับเอทานอลในสัดส่วน น้ำมันเบนซินพื้นฐาน ผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วนเบนซิน 15 เปอร์เซ็นต์ : เอทานอล 85 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ น้ำมันชนิดนี้จึงถูกเรียกว่า “E85” ซึ่งมีหลายรายที่นำน้ำมันชนิดนี้มาเติม โดยไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ไม่สามารถรองรับได้ จึงเป็นสิ่งที่คุณควรต้องเช็คก่อนว่ารถเราสามารถใช้ได้หรือไม่ เนื่องจากเครื่องยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันชนิดนี้ได้ ต้องมีการปรับอุปกรณ์ และปรับอัตราส่วนผสมให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ หากรถที่ไม่ระบุว่า ใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ ห้ามนำมาเติมเด็ดขาด และจะเป็นอันตรายสุดๆ เพราะเอทิลแอลกอฮอล์ จะกัดกร่อนทำให้ ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่ว และส่งผลความเสียหายเร็วขึ้น เครื่องยนต์จะเร่งไม่ขึ้น สะดุด สตาร์ทติดยาก และอาจจะทำให้สตาร์ทไม่ติดในลำดับต่อมา ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงมากๆ และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้ แต่ถ้าหากรถคุณสามารถใช้ได้ มีระบุอย่างชัดเจนที่คู่มือการใช้รถหรือที่ฝาถังให้ใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ คำแนะนำคือ หากชอบประหยัดในการเติมน้ำมัน ไม่เน้นขับรถแบบแรงๆ เติมได้เลยครับไม่มีปัญหาตามมา และน้ำมันตั้งแต่ข้อ 1-5 สามารถใช้กับรถของคุณได้ คุณจะได้ประทับใจในการเลือกใช้รถรุ่นที่รองรับน้ำมันชนิดนี้ เพราะจะได้ความประหยัดในการเติมน้ำมันแบบสุดๆ สมรรถนะมีความใกล้เคียงกับออกเทน 95 และมีค่าออกเทนที่ได้จากการผสมน้ำมันชนิดนี้อยู่ที่ 107–113 เนื่องจากเครื่องยนต์มีการออกแบบและเซ็ทให้สมรรถนะวิ่งได้เหมือนกับ ออกเทน 95 ผลความแตกต่างน้อยมาก แทบจะไม่ค่อยเห็นผล แต่ข้อเสียคือน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มีผลให้รถยนต์เปลืองน้ำมันมากขึ้น เอทานอลบริสุทธิ์ให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันเบนซินธรรมดา ประมาณ 23% (เอทานอลมีปริมาณหน่วยความร้อน 84,600 บีทียูต่อแกลลอน ส่วนเบนซินบริสุทธิ์ ออกเทน 95 มี 125,000 บีทียูต่อแกลลอน) นั่นหมายถึงจะได้ระยะทางที่วิ่งได้น้อยกว่า แต่หากเติมเบนซินออกเทน 95 เพียวๆ แล้วเปรียบเทียบดู จะรู้ได้ทันที ในขณะออกตัวหรือเร่งแซง น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 จะแตกต่างอยู่บ้าง
เป็นยังไงกันบ้างครับ กระจ่างแจ้งกันแล้วหรือยังว่าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละแบบนั้นมันแตกต่างกันยังไง ทำไมต้องแบ่งแยกกันหลายแบบเหลือเกิน ทางทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้รถได้ไม่มากก็น้อยครับ…
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
โรลบาร์มีประโยชน์อย่างไร….?
กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับสาระความรู้เกี่ยวกับเรื่องรถ สำหรับในคอลัมน์นี้ผมจะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับอุปกรณ์เซฟตี้อีกหนึ่งอย่างที่รู้จักกันในชื่อของ “โรลบาร์” จัดว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ตกแต่งที่ขาซิ่งบ้านเราให้ความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเมื่อใส่เข้าไปแล้วมันได้ฟิลลิ่งในการขับขี่ซ้ะเหลือเกิน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเรื่องของความปลอดภัย ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โรลบาร์เป็นอุปกรณ์อีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยเซฟชีวิตของเราไว้ได้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปทำความรู้จักกันครับ
โรลบาร์เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับภายในห้องโดยสารในขณะที่รถเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งโรลบาร์จะมีหน้าที่ช่วยรับแรงกระแทกในกรณีที่รถเกิดการพลิกคว่ำ ป้องกันไม่ให้หลังคาหรือส่วนต่างๆที่เกิดจากแรงกระแทกยุบตัวเข้ามาถึงภายในห้องโดยสาร โรลบาร์ส่วนใหญ่จะใช้เหล็กขนาด 1.5 นิ้ว – 1.6 นิ้ว โดยเหล็กจะมีความหนาขนาด 22 มิลลิเมตร การขึ้นรูปนั้นจะมีทั้งการขึ้นแบบ 2 จุด คือเป็นรูปตัวยูคว่ำ โดยจะอยู่บริเวณเสา Bของห้องโดยสารส่วนแบบ 4 จุดก็เพิ่มด้านหน้าหรือด้านหลัง แต่ถ้าเป็นแบบ 6 จุด จะมีการยึดค้ำทั้งหมดเลย ไม่ว่า เสา A, เสาBร, และเสา C รวมไปถึงในตำแหน่งของในตำแหน่งของคาดประตูด้านข้าง ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่จะสามารถซับแรงกระแทกที่จะเกิดจากด้านข้างได้ และอีกหนึ่งอย่างที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงก็คือ โรลบาร์สามารถช่วยให้การขับขี่ในการเข้าโค้งแม่นยำและเฉียบคมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากโรลบาร์ช่วยทำให้รถไม่บิดตัวในขณะที่ต้องใช้ความเร็วและความแรงในการเข้าโค้ง
จุดยึดของโรลบาร์นั้นมีสองแบบด้วยกันคือ
- การยึดแบบใช้น๊อตยึดกับพื้นด้านล่างที่ด้านหน้าตรงกับเสา A ,กลางตัวรถ ตรงกับเสาB,และด้านหลังตรงกับเสาC ซึ่งการยึดแบบนี้สามารถถอดออกได้ ไม่ได้เป็นการยึดติดแบบตามตัว
- การยึดแบบติดกับตัวรถ การติดตั้งโรลบาร์แบบนี้จะนิยมใช้กันในรถแข่งซ้ะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทุกจุดจะถูกเชื่อมติดกับตัวรถไม่ว่าจะเป็นในตำแหน่งของเสา A ,เสา B ,เสา C และถ้าสังเกตดีๆจะเป็นว่าในตำแหน่งหลัก สามตำแหน่งนี้จะมีการดามเพิ่มเติมเพื่อความแข็งแรงที่มากขึ้น
มาพูดกันถึงเรื่องของข้อดีและข้อเสียของการติดตั้งโรลบาร์กันบ้าง แน่นอนที่สุดครับในเรื่องของข้อดีก็คือ มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สามารถลดอุบัติเหตุได้ จากหนักกลายเป็นเบาส่วนเรื่องของข้อเสียนั้นก็คงจะเป็นเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อติดตั้งโรลบาร์เข้าไปอย่างเต็มคันแล้ว และอาจจะดูเกะกะไปบ้างสำหรับรถที่ไม่ได้ใช้ในการแข่งขัน
สามารถได้ตั้งได้อย่างไรสำหรับผู้ที่อยากจะติดตั้ง สำหรับในยุคนี้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ ก็มีให้เลือกกันสองช่องทางสำหรับรถบางรุ่นบางยี่ห้อ ช่องทางแรกก็ตามร้านทำท่อไอเสียบางร้านครับ ที่เค้ารับทำก็สามารถเข้าไปปรึกษากันได้ ส่วนอีกหนึ่งช่องทางก็คือชุดสำเร็จในบางรุ่นบางยี่ห้อ มีหลายแบรนด์ที่ผลิตออกมา และเรื่องของราคาค่าตัวก็อาจจะสูงไปบ้าง แต่ถ้าแรกกับคุณภาพและมาตรฐานแล้วก็อย่างไปคิดมากครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับความรู้เรื่องของโรลบาร์ หลายคนติดตั้งเพื่อความสวยงาม และหลายคนติดตั้งเพราะของมันต้องมี แต่จะจุดประสงค์อะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายคือความปลอดภัยครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่างลืมคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่ขับขี่กันด้วยน้ะครับ และที่สำคัญมากไปกว่าสิ่งอื่นใดคือความไม่ประมาทนั่นเองครับ ขอให้เพื่อๆมีความสุขสนุกสนานกับการแต่งรถน้ะครับ สวัสดีครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine