-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Brembo เปิดตัวปั๊มเบรกเพื่อโลก! ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ประสิทธิภาพสูง พร้อมลดการปล่อยคาร์บอน ลง 70%

มิติใหม่แห่งความยั่งยืน: เบรมโบ้ผสานสมรรถนะระดับโลกเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
เบรมโบ้ (Brembo) ผู้นำระดับโลกด้านระบบเบรกประสิทธิภาพสูง ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการเปิดตัวปั๊มเบรก (Brake Caliper) ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% สำหรับลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์ (Original Equipment – OE) รายใหญ่ หลังจากทุ่มเทวิจัยและพัฒนากว่า 5 ปี นวัตกรรมนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเร่งสู่ความยั่งยืนโดยไม่ลดทอนคุณภาพและดีไซน์

ลดการปล่อยคาร์บอน ได้ถึง 70%
หัวใจสำคัญของปั๊มเบรกใหม่นี้คือการใช้วัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่มาจากการรีไซเคิลทั้งหมด ซึ่งจากการศึกษาการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment – LCA) ที่ได้รับการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม พบว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดวงจรชีวิตของปั๊มเบรกได้สูงสุดถึง 70% เมื่อเทียบกับการใช้อะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบดั้งเดิม
อะลูมิเนียมเป็นวัสดุที่ถูกเลือกเพราะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างไม่จำกัด โดยไม่สูญเสียคุณสมบัติเดิม เบรมโบ้จึงเรียกกระบวนการนี้ว่าเป็นการ “Upcycled” หรือการยกระดับวัสดุที่ใช้แล้วให้มีคุณค่าสูงขึ้นกว่าเดิม
ประสิทธิภาพและดีไซน์ยังคงเอกลักษณ์ Brembo
แม้จะเปลี่ยนมาใช้วัสดุรีไซเคิล แต่เบรมโบ้ยืนยันว่า ปั๊มเบรกชุดนี้ยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดในด้านสมรรถนะ (Performance) คุณภาพ (Quality) และดีไซน์ (Design) อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ปั๊มเบรกรุ่นแรกที่เปิดตัวด้วยวัสดุใหม่นี้ เป็นแบบ Monobloc สี่ลูกสูบ (Four-piston Monobloc) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกและสัมผัสที่แป้นเบรก
เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน ปั๊มเบรกที่ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลจะได้รับการประทับตราเครื่องหมายการค้าใหม่ที่จดทะเบียนโดยบริษัท คือโลโก้ “ALU” เพื่อบ่งบอกความแตกต่างอย่างชัดเจน
Daniele Schillaci ซีอีโอของเบรมโบ้ กล่าวว่า “การนำอะลูมิเนียมรีไซเคิลมาใช้ในการผลิตปั๊มเบรกอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โซลูชั่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านสมรรถนะและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม”
อนาคตของการเบรกที่ยั่งยืน
เบรมโบ้ยืนยันว่า นับจากนี้เป็นต้นไป วัสดุรีไซเคิลจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นมาตรฐานสำหรับการพัฒนาปั๊มเบรกใหม่ส่วนใหญ่ของบริษัท ขณะที่ปั๊มเบรกที่อยู่ในสายการผลิตปัจจุบันจะยังคงใช้อะลูมิเนียมแบบเดิมต่อไปจนสิ้นสุดอายุผลิตภัณฑ์ แต่บริษัทจะให้ความสำคัญกับการใช้อะลูมิเนียมที่ผลิตด้วยพลังงานหมุนเวียนก่อน
การเปิดตัวปั๊มเบรกจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% นี้ไม่เพียงแต่เป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ขับขี่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงการก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเบรกในอนาคต ที่ซึ่ง “สมรรถนะระดับพรีเมียม” และ “ความยั่งยืน” สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Yamaha เตรียมเขย่าวงการ! เปิดตัวนวัตกรรมล้ำยุค ทั้ง AI, ไฮบริด, และไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ในงาน Japan Mobility Show 2025

Yamaha Motor Co., Ltd. เตรียมสร้างความตื่นตาตื่นใจครั้งใหญ่ในงาน Japan Mobility Show 2025 โดยขนทัพยานยนต์แห่งอนาคตและนวัตกรรมใหม่รวม 16 รุ่น ซึ่งรวมถึงโมเดลที่เปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกของโลกถึง 6 รุ่น สะท้อนวิสัยทัศน์ในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร และการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน
นี่คือไฮไลท์สำคัญของนวัตกรรมที่ Yamaha เตรียมมาโชว์
MOTOROiD:Λ (แลมบ์ดา) – มอเตอร์ไซค์ AI ที่เรียนรู้และเติบโตได้

นี่คือการก้าวข้ามขีดจำกัดของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักร MOTOROiD:Λ คือการพัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้า โดยต้นแบบใหม่นี้มีความสามารถในการ เรียนรู้และพัฒนาตนเอง อย่างอิสระผ่านเทคโนโลยี Reinforcement Learning (การเรียนรู้แบบเสริมกำลัง) และเทคนิค Sim2Real ที่ฝึกฝนในโลกเสมือนจริงแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในโลกจริง
- ความสามารถหลัก: ขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวที่ “เป็นธรรมชาติ” ซึ่งสร้างขึ้นผ่านการเรียนรู้ด้วย AI และมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการลองผิดลองถูกในระหว่างการเรียนรู้
- นิยามใหม่: MOTOROiD:$\Lambda$ มุ่งมั่นที่จะกำหนดนิยามใหม่ของยานยนต์สองล้อ และบุกเบิกอนาคตที่เครื่องจักรสามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้ใช้งาน
TRICERA Proto – รถ 3 ล้อไฟฟ้าพร้อมระบบบังคับเลี้ยว 3 ล้อ

ต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้า 3 ล้อแบบเปิดประทุนที่มุ่งเน้นการมอบ “ความสุขในการขับขี่รูปแบบใหม่”
- คุณสมบัติเด่น: ใช้ระบบ บังคับเลี้ยวสามล้อ (3WS – 3-Wheel Steering) ที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสิทธิภาพการเข้าโค้งที่เร้าใจและความรู้สึกในการควบคุมที่แตกต่าง โดยเน้นการตอบสนองที่รวดเร็วและการเชื่อมโยงระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักรในโค้ง
- การออกแบบ: มุ่งเน้นไปที่ความสนุกของผู้ขับขี่ โดยปรับแต่งระบบควบคุมการเลี้ยวจากมุมมองของการวิจัยเชิงมนุษย์ เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับรถ
PROTO BEV – ซูเปอร์สปอร์ตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

ต้นแบบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (BEV – Battery Electric Vehicle) ที่สร้างขึ้นบนแนวคิดของ “ความสนุกที่สัมผัสได้จาก EV แบตเตอรี่ความจุสูงเท่านั้น”
- จุดเด่น: เน้นที่น้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด เพื่อให้เป็นรถซูเปอร์สปอร์ต EV ที่ใช้งานง่าย พร้อมคาแร็กเตอร์การขับขี่และความรู้สึกใหม่
ยานยนต์ทางเลือกด้านพลังงานที่หลากหลาย
Yamaha แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเข้าสู่ยุคคาร์บอนเป็นกลางผ่านการนำเสนอต้นแบบที่ใช้พลังงานหลากหลาย:

- PROTO HEV (Hybrid Electric Vehicle): ต้นแบบไฮบริดแบบอนุกรม-ขนาน ที่สามารถสลับโหมดการขับขี่ระหว่าง “สงบ (Serene)” และ “เร้าใจ (Spirited)” ได้อย่างอิสระ

- PROTO PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle): ต้นแบบวิจัยและพัฒนาที่ผสานเสน่ห์ของเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับเทคโนโลยี EV ทำให้สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าเต็มรูปแบบหรือโหมดไฮบริดได้

- H2 Buddy Porter Concept: ต้นแบบรถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย ไฮโดรเจน พัฒนาร่วมกับ Toyota Motor โดยใช้ถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนแรงดันสูงขนาดกะทัดรัดที่ได้รับการรับรองสำหรับรถสองล้อ และเครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่พัฒนาโดย Yamaha
นอกจากนี้ ในบูธของ Yamaha ยังมีการจัดแสดง e-Axle ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเตรียมส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในอนาคต รวมถึงจักรยานไฟฟ้า (eBikes) ในซีรีส์ Y-00B และวีลแชร์ไฟฟ้าอีกด้วย – งาน Japan Mobility Show 2025 จึงเป็นเวทีที่ Yamaha ใช้ในการแสดงวิสัยทัศน์อันกล้าหาญและก้าวล้ำ นำเสนอนวัตกรรมที่หลากหลายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของระบบการเดินทางอย่างแท้จริง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
OMODA & JAECOO จัดงาน International User Summit พร้อมเปิดประสบการณ์สุดล้ำ ‘Next Cool’

OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับพรีเมียม ที่เปิดตัวในประเทศไทยไปเมื่อปี 2567 จัดงาน International User Summit 2025 ที่ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 17-22 ตุลาคมนี้ โดยมีตัวแทนลูกค้าจากประเทศไทยได้รับเชิญเข้าร่วมงานครั้งสำคัญนี้ ภายในงาน OMODA & JAECOO Eco-Expo ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสนวัตกรรมล่าสุดและวิสัยทัศน์ของแบรนด์ที่มุ่งสร้างระบบนิเวศแห่งอนาคต
ไฮไลท์ของงานภายใต้คอนเซ็ปต์ “Next Cool” นำเสนอมุมมองใหม่ที่เหนือกว่ารถยนต์ทั่วไป ด้วยการผสานไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ตั้งแต่การใช้ชีวิตในเมืองไปจนถึงการท่องเที่ยวผจญภัย โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างเทคโนโลยี ผู้ใช้งาน และสิ่งแวดล้อม

ภายในงาน Eco-Expo ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ผ่าน Brand Showroom และกิจกรรมพิเศษ “Day C Night A Exclusive Party” ที่แสดงให้เห็นว่ารถยนต์สามารถเป็นส่วนหนึ่งของทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอแนวคิด “Two Lifestyles, One Store” ที่ตอบโจทย์ทั้งคนรักสัตว์เลี้ยงและสายลุยออฟโรด สะท้อนวิสัยทัศน์ ‘Car + X’ ที่ต้องการให้รถยนต์เป็นมากกว่ายานพาหนะ แต่เป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิต ความบันเทิง และกิจกรรมประจำวัน
นับตั้งแต่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา OMODA & JAECOO ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคที่ชื่นชอบทั้งด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ การจัดงานในครั้งนี้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ที่ต้องการมอบมากกว่ายานพาหนะ แต่เป็นระบบนิเวศที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้น
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Mitsubishi Lancer Evolution ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น

ในโลกของรถสมรรถนะสูง มีไม่กี่ตระกูลที่สร้างตำนานไว้ได้ลึกซึ้งเท่า Mitsubishi Lancer Evolution — รถซีดานขับสี่ที่เกิดจากสนามแข่งแรลลี่ ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจนักซิ่งทั่วโลก “อีโว” ไม่ได้เป็นเพียงแค่รุ่นย่อยของ Lancer แต่มันคือจิตวิญญาณของความเร็ว ความแม่นยำ และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัยที่พา Mitsubishi คว้าแชมป์ WRC มาแล้วนับไม่ถ้วน
จากถนนลูกรังในสนามแข่งสู่ถนนจริงในชีวิตประจำวัน Lancer Evolution ได้หลอมรวมประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตเข้ากับความดิบของเครื่องยนต์เทอร์โบ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค 90s–2000s ที่ยังคงตราตรึงในใจสายซิ่งมาจนถึงวันนี้
นี่คือเรื่องราวของ “ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น” ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ซีดานธรรมดา ให้กลายเป็นอสูรร้ายแห่งทางฝุ่นและถนนดำ ตำนานที่ชื่อว่า Mitsubishi Lancer Evolution.
- กำเนิด ”ราชาทางฝุ่น” (1973-1979)

โดยจะต้องย้อนไปถึงตอนที่ Mitsubishi เปิดตัว Lancer โฉมแรกหรือ “ไฟแอล” ออกมาในปี 1973 ในตอนนั้นยังเป็นรถที่ยังไม่จี๊ดจ๊าดเท่ากับยุคสมัยนี้ เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีความสปอร์ต มีการคำนึงถึงแอโรไดนามิก บอดี้ส่วนบนแคบกว่าส่วนล่าง และยังประกอบบนแชสซี Monocoque ทำให้แข็งแรงทนทานมากๆ แต่ก็ยังเป็นมิตรกับเหล่าบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย และที่สำคัญคือมันยังขึ้นชื่อในเรื่องของเทคโนโลยีระบบไอเสียที่ปล่อยมลพิษน้อยมากๆ อีกด้วย

Andrew Cowan

Tommi Makinen
ในช่วงเวลานี้เองทาง Mitsubishi ที่อยากจากเสริมภาพลักษณ์ทางการตลาดก็ได้ส่งรถตัวเองไปแข่ง และรายการที่ Mitsubishi สนใจมากที่สุดก็คือรายการ WRC นี่เองด้วยความที่เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้วัดกันเพียงแค่ความเร็วอย่างเดียว แต่ยังวัดความอึด ถึก ทน กับทุกสภาพถนนอีกด้วย จึงส่งรถตัวท็อปสุดและสมรรถนะแรงที่สุดในยุคนั้นอย่าง Lancer 1600 GSR ไปแจ้งเกิดในสนาม Australian Southern Cross Rally ฟาดเรียบ 4 อันดับแรก โดยผู้ที่คว้าแชมป์ก็คือ Andrew Cowan จับคู่กับ John Bryson นี่เอง แถมยังคว้าแชมป์ต่อเนื่องถึง 4 ปีติด และ Andrew Cowan ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Ralliart และยังเป็นกุนซือที่สร้างตำนานรุ่นใหม่ๆ มากมายอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ Tommi Makinen นี่เอง

และในปี 1974 เจ้า Lancer รุ่นนี้ก็ถูกส่งไปแข่งในสนาม Safari Rally ที่ประเทศเคนยาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสนามที่ทรหดที่สุดในโลก และความไม่ธรรมดาของรถที่ส่งไปแข่งนั่นก็คือ มีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้แรงกว่าตัวรถเดิมๆ จาก 108 แรงม้าขึ้นไปถึง 169 แรงม้า และแรงบิดสูงขึ้นถึง 162 Nm แถมยังรีดน้ำหนักให้เบาลง เบาลง และก็เบาลง จนไม่รู้จะทำยังไงให้เบาลงได้อีกแล้ว และผู้ที่คว้าแชมป์ในสนามนี้ก็คือนักแข่งเจ้าถิ่น Joginder Singh จับคู่กับ David Doig นี่เอง แล้วจากการที่มันคว้าแชมป์มามากมายหลายสนาม นั่นก็ทำให้เจ้า Lancer 1600 GSR นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของฉายาว่า “ราชาทางฝุ่น” นี่เอง
- Starion Group B ที่ไม่มีวันได้เกิด (1988)

หลังจากที่เจ้า Lancer 1600 GSR ประสบความสำเร็จในสนามมาอย่างยาวนาน Mitsubishi ก็มีเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีกนั่นก็คือการเข้าแข่งขันใน Group B ที่โหดกว่าเดิมด้วยการส่ง Starion ระบบขับ 4 ไปแข่ง แต่ก่อนที่ Starion คันนี้จะเกิด กลับโดนคุมกำเนิดซะก่อนนี่สิ เพราะก่อนที่ตัวรถจะเข้าที่เข้าทางพร้อมแข่งเรียบร้อย กลายเป็นว่ากติกา Group B ถูกยกเลิกไป เพราะปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แล้วจะเอาไปแข่งในรายการไหนได้? Mitsubishi ก็ปรับตัวโดยการย้ายไปแข่งในรุ่น Group A และย้ายเอาระบบขับ 4 กับเครื่องยนต์เทอร์โบไปยัดใส่ตัวถังของ Galant โฉมที่ 6 ออกมาเป็น Galant VR-4 นี่เอง
- Galant VR-4 กับจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่

ถึงแม้ว่าเจ้า Galant VR-4 นั้นจะสร้างผลงานคว้าแชมป์อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1989-1992 แต่ก็ต้องมาปวดหัวตรงที่สนามกลับแคบลง ในขณะที่ตัวรถที่ใหญ่มากก็เริ่มจะแข่งไม่ได้ และเมื่อย้อนกลับมามองคู่แข่งอย่าง Ford ก็ยังต้องเปลี่ยนรถจาก Sierra มาเป็น Escort, Subaru ต้องเปลี่ยนรถจาก Legacy มาเป็น Impreza, Toyota ต้องเปลี่ยนรถจาก Celica มาเป็น Corolla, Hyundai ก็ต้องเปลี่ยนรถจาก Tiburon มาเป็น Accent จะเห็นได้ว่าจากรถเก่าๆ ที่มี 4 ประตูขนาดใหญ่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นรถที่เล็กลง Mitsubishi ก็คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะเอาไส้ในของ Galant VR-4 มายัดใส่ตัวถังของ Lancer โฉมที่ 6 รหัส CD9A หรือที่คนไทยเรียก E-Car
- Mitsubishi Lancer Evolution I

จุดประสงค์เดิมของ Lancer ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นรถสปอร์ตแม่บ้าน ไม่ได้บ้าพลังอะไรมากมาย เน้นประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อยัดทั้งเครื่องยนต์ 4G63 ฝากะปิ 4 สูบเรียงเทอร์โบขนาด 2 ลิตร 250 แรงม้า ปรับจูนโดยสำนัก AMG ที่ทำรถ Mercedes ใส่ทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งช่วงล่างรถแข่ง และทั้งบอดี้คิทรถแข่งเข้าไป กลับกลายเป็นไปขัดกับคอนเซ็ปท์เดิมๆ ที่อยากให้เป็น แล้วทาง Mitsubishi จึงต้องคิดแล้วคิดอีกจนได้ข้อสรุปว่า “อ้ะงั้นก็ แยกออกมาเหมือนเป็นร่างวิวัฒนาการของ Lancer ไปซะเลยสิ” กลายมาเป็น Mitsubishi Lancer Evolution หรือ Evo และตามกติกาของ Group A ที่ต้องมีการผลิตตัวรถออกมาขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 2,500 คันต่อปี ให้คนทั่วไปสามารถซื้อได้ Mitsubishi ก็ผลิตวางขายอยู่ 2 ปี ปีละ 2,500 คัน
นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแยกเจ้า Evo ออกเป็น 2 รุ่นหลักๆ ได้แก่ GSR ที่ขายตามท้องตลาด ใช้ขับขี่บนท้องถนนทั่วไป และ RS ที่เน้นสมรรถนะสูงสุด สำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ตัดทุกออปชั่นอำนวยความสะดวกออกทั้งหมด เพื่อให้น้ำหนักเบาที่สุด และเบากว่า GSR ถึง 70 กิโลกว่าๆ แต่สิ่งเดียวที่เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ “เต็ด” ที่เพลาหลังนี่เอง
- Mitsubishi Lancer Evolution II

ในเดือนมกราคมปี 1994 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo II ที่เหมือนเป็นรุ่นอัปเกรด พร้อมรหัสตัวถัง CE9A ถ้ามองไกลๆ นี่แยกแทบไม่ออกเลย แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่ามันจะมีความแตกต่างอยู่ ทั้งฐานล้อที่ยาวขึ้น 10 มม. ล้อหน้ากว้างขึ้น 15 มม. ล้อหลังกว้างขึ้น 10 มม. ลิ้นกันชนหน้าสีดำ ปีกท้ายใหญ่ขึ้น ฐานปีกท้ายสูงขึ้น และล้อเดิมๆ จากโรงงานที่ให้มาเป็นล้อ OZ 5 ก้านขอบ 15 นิ้ว รวมถึงเครื่องยนต์ 4G63 ก็มีการจูนใหม่ให้แรงขึ้นถึง 256 แรงม้า และผลิตมาทั้งหมด 5,000 คันและขายหมดเกลี้ยงเลยครับภายใน 3 เดือน
- Mitsubishi Lancer Evolution III นักเลง 3 เกียร์

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1995 Evo III ก็ถูกปล่อยออกสู่ท้องตลาดด้วยจำนวนการผลิต 5,000 คัน ซึ่งก็คือรุ่นที่ สุโด เคียวอิจิ ขับนี่เอง และยังเป็น Evo คันแรกที่ Tommi Makinen คว้าแชมป์ WRC

ด้วยตัวถัง CE9A เหมือนเดิมแต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1,260 กก. สาเหตุเกิดมาจากการที่ปรับปรุงอะไรเยอะแยะไปหมด เพื่อทวงคืนบัลลังก์ราชาทางฝุ่นที่ถูกรถ Subaru Impreza และนักแข่ง Collin McRae แย่งไป โดยจุดที่แตกต่างจาก Evo II ก็คือกระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รับอากาศเข้าหม้อน้ำ อินเตอร์คูลเลอร์ และเบรก ได้ดีขึ้น เทอร์โบลูกใหญ่ขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ทรงพลังกว่าเดิมถึง 270 แรงม้า และยังมีลูกเล่นเพิ่มเข้ามานั่นก็คือระบบฉีดน้ำหล่อเย็นเข้าหม้อน้ำ ในส่วนของภายนอกมีการดีไซน์ปีกท้ายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มแรงกดให้มากขึ้น ย้ายไฟเบรกดวงที่ 3 มาไว้ที่ฐานปีกท้าย และยังดีไซน์สเกิร์ตข้างใหม่ กันชนหน้าใหม่ที่ทั้งกว้างและนูนออกมา ครอบไฟเลี้ยวสีส้ม และลิ้นสีเดียวกับตัวถังอีกด้วย

นอกจากนี้ยังเรียกกันติดปากด้วยว่า “รถเฉินหลง” จากการที่มันไปปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง “Thunderbolt เร็วฟ้าผ่า” นี่เอง และด้วยอัตราทดเกียร์ที่แก้ไขใหม่จนโหดกว่าเดิม นั่นจึงทำให้มีอีกฉายานั่นก็คือ “นักเลง 3 เกียร์” อีกด้วย
- Mitsubishi Lancer Evolution IV ท้ายเบนซ์

หลังจากที่ทั้งสองรุ่นที่ผ่านมาผลิตขึ้นบนตัวถัง CE9A จนมาถึงวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1996 Mitsubishi เปิดตัว Evo IV พร้อมขายจริง ในวันเดียวกัน ด้วยตัวถังใหม่ CN9A ท้ายเบนซ์ เครื่องยนต์และเพลาถูกหมุนกลับด้านเพื่อบาลานซ์น้ำหนัก และแก้ปัญหาเรื่องของอาการขาเป๋ Torque Steer รวมถึงมีการเปลี่ยนเทอร์โบเป็น Twin-scroll Turbo ทำให้ได้แรงม้าขึ้นมาเพิ่มเป็น 280 แรงม้า และนอกจากนี้ ตัว GSR ยังเป็น Evo รุ่นแรกที่มี Active Yaw Control นอกจากนี้ยังให้ ”เต็ด” ล้อหน้าที่ช่วยให้เข้าโค้งได้คมขึ้น ระบบเกียร์ที่ใหญ่ขึ้น แข็งแรง ทนทาน ไม่แตกง่ายเท่ารุ่นก่อนๆ พร้อมล้อ OZ ขอบ 16 นิ้ว

อีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ Evo IV เป็นที่จดจำคือไฟตัดหมอกที่ใหญ่เบ้อเริ่ม บริเวณกันชนหน้า แต่ว่าในตัวรุ่น RS นั้นจะยังไม่มีไฟตัดหมอกให้ตั้งแต่แรก จะยังเป็นแผ่นกลมๆ ครอบอยู่เฉยๆ และผลิตมาทั้งหมด 6,000 คัน
- Mitsubishi Lancer Evolution V

ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 1998 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo V พร้อมรหัสตัวถัง CP9A ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงที่ยังพอสังเกตได้จากภายนอกคือ ปีกท้ายทำจากอะลูมิเนียมไม่มีเสากลาง และเพิ่มโป่งข้างให้ดูกว้างขึ้น เพิ่มช่องอากาศให้ใหญ่ขึ้น ภายในให้เบาะ Recaro ที่รุ่นใหม่และดีกว่าเดิมด้วย SR-Series รวมถึงยังเป็น Evo รุ่นแรกที่ให้เบรก Brembo อีกด้วย และยังมีการปรับปรุงเทอร์โบใหม่ให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นจาก 353 Nm เป็น 372.6 Nm ผลิตขายไปทั้งหมด 7,000 คันนี่เอง
- Mitsubishi Lancer Evolution VI

ในวันที่ 7 มกราคมปี 1999 เปิดตัว Evo VI และวางขาย นับได้ว่าเป็น Evo รุ่นสุดท้ายของ Group A ก็ว่าได้ มีจุดเด่นในเรื่องของเครื่องยนต์ที่ทนทานมากขึ้น อินเตอร์คูลเลอร์ และ ออยล์คูลเลอร์ใหญ่ขึ้น พร้อมกับมีการดีไซน์บอดี้คิทใหม่ให้ไฟตัดหมอกมีขนาดเล็กลง และเยื้องออกไปด้านนอกของช่องอากาศเพื่อให้รับอากาศเข้าได้ดีกว่าเดิม, แกนเทอร์ไบน์ และกังหันไอเสียของรุ่น RS ก็มีการเปลี่ยนวัสดุใหม่เป็น ไทเทเนียม-อะลูมิไนด์, ส่วนของไฟท้ายที่ยื่นเข้ามาถึงฝากระโปรงท้ายก็ไม่มีอีกต่อไป และนอกจากนี้รุ่น RS ยังมีแยกย่อยออกมาอีกทั้ง RS2 ที่เพิ่มออปชั่นบางส่วนจากรุ่น GSR และรุ่น RS Sprint ที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัด เป็นรุ่นที่จูนมาเป็นพิเศษโดยทีม Ralliart ให้มีน้ำหนักที่เบาลง และซัดพละกำลังเครื่องได้ถึง 330 แรงม้า

จนกระทั่งในเดือนธันวาคมปี 1999 Evo VI ก็เปิดตัวรุ่นพิเศษของทั้ง GSR และ RS นั่นก็คือ Tommi Makinen Edition หรือที่นิยมเรียกว่า Evo 6.5 นี่เองครับซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างจากปกติก็คือ กันชนหน้าเฉพาะ เบาะ Recaro สีแดงดำปักชื่อ Tommi Makinen, ล้อ Enkei สีขาวขนาด 17 นิ้ว, พวงมาลัย Momo และ หัวเกียร์ หุ้มหนังดีไซน์เฉพาะ, ลดความสูงของรถลง 10 มม. และ อัตราส่วนการหมุนพวงมาลัยที่เร็วขึ้น
- Mitsubishi Lancer Evolution VII

ปี 2001 เดือนสิงหาคม Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo VII ซึ่งมาพร้อมกับตัวถังใหม่จากรุ่น Cedia นั่นก็คือ CT9A ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าเดิมถึง 100 กิโลเมตร แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ Mitsubishi ได้มีการปรับแก้แชสซีส์อยู่หลายจุด แถมยังปรับแก้อะไรหลายๆ อย่างมาก ทั้งเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ฝาครอบกระเดื่องวาล์ว เพลาลูกเบี้ยว และท่อไอเสียสแตนเลส โครงสร้างตัวถังก็มีการพัฒนาจาก Cedia ให้แข็งแรงกว่าเดิมถึงครึ่งหนึ่งด้วยการเชื่อมรอยต่อของโครงถึง 200 จุด
ส่วนในเรื่องของหน้าตาก็มีการทำกันชนหน้าทรงใหม่ที่มีช่องดักอากาศใหญ่เท่านี่ ทำให้มองเห็นอินเตอร์คูลเลอร์ที่ใหญ่ขึ้น 20 มม. ฝากระโปรงหน้าอะลูมิเนียมมีช่องดักอากาศ ทำให้น้ำหนักเบาลง นอกจากนี้การจูนเครื่องยนต์ของ Evo VII ก็ยังทำให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นมาถึง 383 Nm นอกจากนี้ก็ยังเป็นรถรุ่นแรกของโลกที่ ให้ระบบ Active Center Differential (ACD) ซึ่งเป็นระบบเลือกโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนนถึง 3 โหมดทั้ง Tarmac ที่วิ่งบนถนน, Gravel ที่วิ่งบนทางกรวด และ Snow สำหรับวิ่งบนหิมะ แถมเบาะก็ยังเป็นเบาะ Recaro เจ้าเก่าเจ้าเดิม พร้อมพวงมาลัย Momo

จนกระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2002 ก็มีการเปิดตัว Evo VII ตัวใหม่ออกมานั่นก็คือ GT-A หรือก็คือ Evo VII เกียร์ออโต้ แต่ความพิเศษอยู่ตรงที่ระบบ Fuzzy Logic ที่ทำให้เจ้าเกียร์ออโต้ตัวนี้สามารถเรียนรู้ และปรับตัวตามน้ำหนักเท้าของคนขับได้ และยังสามารถชิฟท์เกียร์แบบ Sequential ได้ผ่านปุ่ม +,- บนพวงมาลัยได้อีกด้วย แต่สมรรถนะของรถนั้นกลับสู้รุ่นเกียร์ธรรมดาไม่ได้ เพราะต้องใช้เทอร์โบที่เหมาะสมกับเกียร์ออโต้เท่านั้น นั่นจึงทำให้พละกำลังลดลงเหลือ 272 แรงม้า และแรงบิดลดลงเหลือ 343 Nm
- Mitsubishi Lancer Evolution VIII

หลังจากนั้นมา Mitsubishi ก็ปล่อย Evo VIII ออกมาแบบเล่นใหญ่มาก ด้วยการจัดงานทดสอบที่เมืองไทยถึง 4 คันที่สนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต พัทยา ในช่วงปลายปี 2002 ก่อนจะไปเปิดตัวต่อที่สหรัฐอเมริกาที่งาน Los Angeles Auto Show เมื่อวันที่ 7 มกราคม ปี 2002 และทำตลาดในเดือนกุมภาพันธ์ทันที ถือได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกในตลาดอเมริกันก็ว่าได้ และที่สำคัญยังเป็นรถที่กระแสดีมากๆ จากการโปรโมทผ่านเกม Gran Turismo อีกด้วย

เอกลักษณ์ของ Evo VIII ที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ กระจังหน้าที่มีติ่งทรงสามเหลี่ยมยื่นขึ้นมาจากกันชนหน้า แต่กลับระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นไปอีก และไฟท้ายที่ตัดปลายแหลมด้านบนออก บอดี้คิทชิ้นต่างๆ ยังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ผสมกับพลาสติก ทำให้น้ำหนักเบาลงเข้าไปอีก 2 กก. และยังเปลี่ยนล้อมาใช้ Enkei 6 ก้าน ขอบ 17 นิ้ว ที่น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อน 3.2 กก. พร้อมดีไซน์ที่ลู่ลมมากกว่าเดิม รวมถึงระบบ Active Yaw Control ที่อัปเกรดให้ดีกว่าเดิมพร้อมตั้งชื่อว่า Super Active Yaw Control แต่ก็ต้องขอวงเล็บว่าระบบนี้ไม่มีติดตั้งมาให้ในตลาดสหรัฐอเมริกา
ที่สำคัญคือรุ่นนี้ไม่มีเกียร์ออโต้ แต่มีรุ่นพิเศษอย่าง MR หรือ Mitsubishi Racing มาวางขายแทน ซึ่งให้เกียร์แมนวล 6 สปีด, โช้ค Bilstein, ล้อแม็ก BBS นอกจากนี้รุ่น RS และ MR ยังให้หลังคาที่ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ทำให้จุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างต่ำอีกด้วย

ในตลาดอังกฤษ เจ้า Evo VIII ยังมีการขายรุ่นย่อยออกมาเยอะแยะมาก ตามแรงม้าที่ทำได้ทั้งรุ่น 260, FQ300, FQ320, FQ340 และ FQ400 ซึ่งเจ้าตัว FQ400 นั้นมีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้ซัดได้ถึง 400 แรงม้าอีกด้วย และเรื่องตลกของรถรุ่นเหล่านี้ก็คืออักษรย่อ FQ ที่ Mitsubishi ไม่เคยออกมาเผยเลยว่ามันย่อมาจากอะไร แต่ก็มีแฟนๆ Evo จำนวนมากต่างก็แซวว่ามันย่อมาจาก “F**king Quick” อีก ด้วยความที่เจ้า FQ400 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 282 กม./ชม.
นั่นจึงทำให้ Top Gear นึกคึกเอามาแข่งจับเวลา Power Lap ที่สนามคู่กับ Lamborghini Murcielago แต่เป็นที่น่าเสียดายมากที่เจ้า Evo VIII FQ400 คันนี้ไม่สามารถเค้นสมรรถนะได้เต็มที่เพราะพื้นสนามเปียก ในขณะที่รอบจับเวลาของ Murcielago พื้นสนามยังแห้งอยู่ นั่นจึงทำให้เจ้า Evo คันนี้ทำเวลาไปได้ 1:24.8 นาที ในขณะที่ Murcielago ทำเวลาไปได้ 1:23.7 นาที ช้ากว่าถึง 1.1 วินาที
แต่ว่าในนิตยสาร Evo Magazine ของ Carwow ได้มีการทดสอบ Evo VIII รุ่นนี้ที่สนาม Bedford ผลที่ได้คือสามารถทำเวลาต่อรอบเร็วกว่า Audi RS4 และ Porsche 911 Carrera 4S
- Mitsubishi Lancer Evolution IX

เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมปี 2005 ไฮไลต์เด่นๆ ของรุ่นนี้เลยคือเพิ่มระบบวาล์ว MIVEC ที่ฝั่งไอดี พร้อมปรับปรุงเทอร์โบใหม่ด้วยวัสดุที่น้ำหนักเบาลงจนทำให้เค้นพลังได้สูงถึง 287 แรงม้า แรงบิดสูงขึ้นถึง 392 Nm พร้อมกับปรับปรุงกันชนหน้าใหม่ เอาติ่งทรงสามเหลี่ยมที่โลโก้ออกเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดีมากขึ้น รุ่น RS และรุ่น GT มีการเปลี่ยนวัสดุใบพัดเทอร์โบเป็น ไทเทเนียม และแมกนีเซียมอัลลอยด์ เพื่อให้สู้กับแรงบิดที่สูงขึ้นได้ ส่วนในรุ่น MR นั้นก็ยังคงเอกลักษณ์จาก Evo VIII เหมือนเดิม

นอกจากนี้ทาง Mitsubishi ยังออกรุ่นที่หายากมากอีกรุ่นหนึ่งก็คือ Evo Wagon ซึ่งผลิตบนแชสซีรหัส CT9W ก็มีทั้งรุ่น GT, GT-A และ MR อีกด้วย ซึ่งเจ้ารุ่น GT-A เกียร์ออโต้ยังใช้เครื่องยนต์ 4G63 จาก Evo VIII เหมือนเดิมที่ไม่มีระบบวาล์ว MIVEC และเทอร์โบที่มีขนาดเล็กทำให้แรงบิดลดลงไปพอสมควร
- Mitsubishi Lancer Evolution X

จนกระทั่งในปี 2005 Mitsubishi เปิดตัวรถ Evo รุ่นใหม่ในงาน Tokyo Motor Show ภายใต้ชื่อ Concept-X ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบชาวบอสเนีย Omer Halilhodžić นับได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ออกแบบในยุโรป และเปิดตัวในงาน North American International Auto Show ในปี 2007 ภายใต้ชื่อ Prototype-X ก่อนจะปล่อยขายด้วยชื่อ Mitsubishi Lancer Evolution X ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ปี 2007 ปล่อยขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมกราคมปี 2008 ปล่อยขายในแคนาดาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008 และปล่อยขายในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2008

เจ้า Evo X รุ่นนี้มีดีไซน์ที่ฉีกไปจากเดิมอย่างสุดขั้ว เพราะมันถูกดีไซน์บนแชสซีส์รหัส CZ4A และได้หัวใจใหม่เป็น 4B11T 4 สูบเรียงขนาด 2 ลิตร เทอร์โบ ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม-อัลลอยด์ทั้งตัว เครื่องยนต์รุ่นนี้ออกแบบ และ ผลิตโดยบริษัท Global Engine Manufacturing Alliance หรือ GEMA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Chrysler, Mitsubishi และ Hyundai นี่เอง

Evo X นั้นก็วางขายมาเรื่อยๆ และรุ่นย่อยกับสเปคต่างๆ ก็แตกต่างกันไปตามประเทศที่วางขายอีกด้วย จนในที่สุดก็ปล่อยรุ่น Final Edition ออกมาในปี 2015 เป็นการปิดตำนาน “ราชาทางฝุ่น” ไปในที่สุด
- Mitsubishi E Evolution Concept

ในงาน Tokyo Motor Show ปี 2017 Mitsubishi ได้เผยโฉมรถคอนเซ็ปต์อย่าง Mitsubishi e-Evolution Concept ซึ่งเป็นรถ Crossover พลังงานไฟฟ้าที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ก่อนจะมาโชว์ตัวในงาน Motor Show ที่ประเทศไทยบ้านเราเมื่อปี 2019 สุดท้ายแล้วข่าวก็เงียบไปอยู่ดี ทุกวันนี้ที่เห็นๆ ก็มีแต่ภาพในจินตนาการของศิลปินคนแล้วคนเล่าที่ออกแบบใส่ไอเดียกันสนุกสนาน อนาคตของ Mitsubishi Lancer Evolution จะเป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ไม่อาจรู้ได้นอกจากทาง Mitsubishi จะออกมายืนยันด้วยตัวเอง

แม้ชื่อ Lancer Evolution จะหยุดอยู่ที่รุ่น Evo X แต่จิตวิญญาณของมันไม่เคยหายไปจากหัวใจสายซิ่ง “อีโว” คือสัญลักษณ์แห่งพลัง เทคโนโลยี และความเร้าใจที่เกิดจากสนามแข่งจริง มันพิสูจน์แล้วว่าซีดานธรรมดาก็กลายเป็นตำนานได้ หากมีจิตวิญญาณแห่งความเร็วอยู่ในตัว และต่อให้ยุคสมัยเปลี่ยนไป เสียงเทอร์โบและแรงดึงของขับสี่ยังจะคงอยู่ในความทรงจำ ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น ที่ไม่มีวันเลือนหาย สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
ฮอนด้าเปิดตัว “Super Cub Lite Series” จักรยานยนต์ 110cc พิกัด “รถจักรยานยนต์มาตรฐานใหม่” ในญี่ปุ่นเตรียมทำตลาด 11 ธ.ค. 2025

ฮอนด้า (Honda) สร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในตลาดรถจักรยานยนต์สัญจร (Commuter) ด้วยการประกาศเปิดตัวรถจักรยานยนต์ตระกูล Super Cub สามรุ่นใหม่ ได้แก่ “Super Cub 110 Lite,” “Super Cub 110 Pro Lite,” และ “Cross Cub 110 Lite” ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับ “มาตรฐานใหม่สำหรับรถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1” (เทียบเท่า 50cc เดิมในแง่ของใบอนุญาต) ของญี่ปุ่น โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 11 ธันวาคม 2025 นี้
การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นการตอบรับต่อกฎระเบียบใหม่ของญี่ปุ่นที่อนุญาตให้รถจักรยานยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบสูงกว่า 50cc แต่มีกำลังเครื่องยนต์จำกัด สามารถจัดอยู่ในประเภทเดียวกับรถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1 (ที่ขับขี่ได้ด้วยใบขับขี่รถยนต์ หรือใบขับขี่รถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1)
รายละเอียดสำคัญของ Lite Series
HONDA SUPER CUB110 Lite HONDA SUPER CUB110 PRO Lite HONDA CROSS CUB110 Lite รุ่น “Lite” ทั้งสามรุ่นนี้มีพื้นฐานมาจากรุ่น Super Cub 110, Super Cub 110 Pro, และ Cross Cub 110 โดยมีจุดเด่นที่สำคัญคือ:
เครื่องยนต์ 109cc ที่ปรับจูนใหม่: แม้จะใช้เครื่องยนต์ 109cc เท่าเดิม แต่กำลังสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 4.7 แรงม้า (ต่ำกว่าเกณฑ์สูงสุด 5.4 แรงม้า ของมาตรฐานใหม่) โดยปรับจากการตั้งค่าการจ่ายเชื้อเพลิง (Fuel Injection) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานด้วยใบอนุญาตที่ง่ายขึ้น
ความเหนือกว่าด้านสมรรถนะ:ผู้พัฒนาเน้นย้ำว่า แม้กำลังจะลดลง แต่แรงบิดที่สูงของเครื่องยนต์ 110cc ยังคงอยู่ ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ “ทรงพลังและราบรื่นตั้งแต่รอบต่ำ” ดีกว่ารถ 50cc ดั้งเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในการออกตัวบนทางลาดชัน และยังมีความเงียบกว่า
อุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน: ยังคงมาพร้อมกับชุดล้อแม็ก และดิสก์เบรกหน้า รวมถึงยางแบบไม่มียางใน (Tubeless) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เทียบเท่ากับรุ่น 110cc ระดับพรีเมียม
ความแตกต่างภายนอก (Lite Identity): เนื่องจากจัดอยู่ในประเภทที่ 1 จึงมีการตัดคุณสมบัติของรถประเภทที่ 2 ออก ได้แก่:
- ถอดสติกเกอร์/เทปสีขาวบนบังโคลน (สัญลักษณ์ของรถประเภทที่ 2)
- ถอดที่พักเท้าสำหรับผู้โดยสาร
- แผงมาตรวัดขยายขีดสูงสุดเป็น 60 กม./ชม. พร้อมเพิ่มไฟเตือนความเร็ว และมีจอ LCD แสดงตำแหน่งเกียร์
ราคาและกำหนดการวางจำหน่าย
รถจักรยานยนต์ Lite Series ทุกรุ่นมีราคาถูกกว่ารุ่น 110cc พื้นฐาน 11,000 เยน และจะวางจำหน่ายพร้อมกันในวันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2025
Super Cub 110 Lite ราคา อยู่ที่ 341,000 เยน
Super Cub 110 Pro Lite ราคา อยู่ที่ 385,000 เยน
Cross Cub 110 Lite ราคา อยู่ที่ 401,500 เยน
ผู้พัฒนาฮอนด้าแสดงความภาคภูมิใจในการนำรถในตำนานอย่าง Super Cub มาปรับให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ เพื่อมอบ “ความคล่องตัวและความสะดวกในการใช้งานที่ไม่แตกต่างจากรุ่น 50cc เดิม” แต่มาพร้อมกับ “แรงบิดที่เหนือกว่า” ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้คนในญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
HONDA SUPER CUB110 Lite HONDA SUPER CUB110 Lite HONDA SUPER CUB110 PRO Lite HONDA SUPER CUB110 PRO Lite HONDA CROSS CUB110 Lite -
เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เปิดตัว Flying Spur ‘Ombré’ คันแรกกับออปชันทำสีสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีมูลค่าสูงที่สุดของแบรนด์

เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เปิดตัว Flying Spur ‘Ombré by Mulliner’ สุดยอดยนตรกรรมกับตัวเลือกการทำสีสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีมูลค่าสูงที่สุดของแบรนด์ และถือเป็นการนำมาใช้กับยนตรกรรมแบบ 4 ประตูเป็นครั้งแรก โดยการทำสีแบบ ‘Ombré by Mulliner’ เป็นการผสมผสาน 2 เฉดสีที่แตกต่างกันและทำการไล่เฉดสีแบบแรเงาตลอดความยาวของตัวถังด้วยการพ่นสีโดยช่างฝีมือผู้ชำนาญจากศูนย์ทำสีและตัวถัง ณ โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ สำหรับ Ombré by Mulliner – Full Body Paint Fade ในรถยนต์เครื่องยนต์รุ่น V8 Hybrid ราคา 7,320,000 บาท และ รถยนต์เครื่องยนต์รุ่น V6 Hybrid ราคา 4,461,000 บาท
การทำสี Flying Spur ใหม่ได้ทำการไล่เฉดสีแบบแรเงาจากเฉดสีฟ้า Topaz Blue อันสดใสบริเวณส่วนหน้าสู่เฉดสีน้ำเงิน Windsor Blue ที่เข้มกว่าบริเวณส่วนหลัง โดยสีจะค่อยๆ จางลงตั้งแต่ช่วงกลางตัวถังตลอดแนวประตูห้องโดยสารและหลังคา กระบวนการนี้ใช้เวลากว่า 60 ชั่วโมงผ่านช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 คนที่เริ่มต้นการพ่นสีแต่ละสีที่บริเวณส่วนหน้าและส่วนหลังของตัวถัง และเปลี่ยนเฉดสีบริเวณกึ่งกลางตัวถังด้วยกระบวนการพ่นสีอันเป็นขั้นตอนการใช้สีที่ผ่านการผสมสีแบบดั้งเดิมเพื่อให้ได้เอฟเฟกต์ Ombré ซึ่งถือเป็นเทคนิคพิเศษที่ทำให้การเปลี่ยนสีเป็นไปอย่างสมมาตรทั่วทั้งตัวรถ
เทคนิค Ombré มาพร้อมกับตัวเลือก 2 เฉดสีคู่ใหม่ อันได้แก่ เฉดสีทอง Sunburst Gold กับเฉดสีส้ม Orange Flame และ เฉดสีเทา Tungsten กับ เฉดสีดำ Onyx และเนื่องจากความซับซ้อนของการผสมสีของทั้งสองเฉดสี เบนท์ลีย์ มูลินเนอร์จึงมีการเลือกจับคู่เฉดสีอย่างพิถีพิถันเพื่อให้มั่นใจว่าทั้ง 2 เฉดสีจะไล่สีแบบแรเงาได้อย่างสม่ำเสมอ และเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเฉดสีที่ 3 ระหว่างการไล่สีแบบแรเงาอย่างการไล่สีจากเฉดสีเหลืองสู่เฉดสีน้ำเงินอาจก่อให้เกิดเป็นเฉดสีเขียวอันไม่พึงประสงค์ เพราะการทำสีที่แต่งกันแต่ละสีจะเกิดปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไป ดังนั้นช่างฝีมือจึงต้องจัดการกับปฏิกิริยาในระหว่างการทำสีเพื่อเอกลักษณ์เฉพาะตัวและความสมบูรณ์แบบของรถยนต์เบนท์ลีย์แต่ละคัน
เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ได้เปิดตัว Flying Spur กับตัวเลือกการทำสีแบบ Ombré by Mulliner ในงาน Southampton International Boat Show ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา โดยการทำสีของสุดยอดยนตรกรรมแบบ 4 ประตูนี้ได้ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่น Continental GT คันแรกที่ผ่านการทำสีด้วยเทคนิคใหม่และได้เปิดตัวในงาน Monterey Car Week เมื่อกลางปีที่ผ่านมา
ผู้สนใจครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์กับการออกแบบยนตรกรรมในฝันให้มีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับข้อเสนอพิเศษได้ที่ เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
GWM TANK 300 DIESEL ลุยถึงแอนตาร์กติกา! ร่วมภารกิจสำรวจขั้วโลกของจีนอย่างเป็นทางการ

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด GWM ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการยานยนต์จีน ด้วยการลงนามบันทึกความร่วมมือ “GWM • CAA China Antarctic and Arctic Research Expedition Cooperation Signing Ceremony” ร่วมกับสถาบันวิจัยขั้วโลกของจีน (Polar Research Institute of China: PRIC) ณ ศูนย์เทคโนโลยี GWM เมืองเป่าติ้ง เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ในพิธีดังกล่าวได้มีการแต่งตั้ง GWM TANK 300 DIESEL ให้เป็นรถยนต์ที่ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการสำหรับปฏิบัติภารกิจสำรวจขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ของจีน เพื่อใช้เป็นรถสนับสนุนภารกิจหลักประจำสถานี Great Wall Station ณ ทวีปแอนตาร์กติกา รถยนต์รุ่นนี้ได้ผ่านการทดสอบสมรรถนะในทุกมิติ ทั้งระบบขับเคลื่อน สมรรถนะออฟโรด ความทนทานในสภาวะอุณหภูมิต่ำสุดขั้ว และประสิทธิภาพระบบเชื้อเพลิง จนได้รับการยืนยันว่า GWM คือแบรนด์ที่มีความพร้อมสูงสุดในด้านเทคโนโลยี ความทนทาน และสมรรถนะระดับโลก การร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้จึงไม่เพียงตอกย้ำศักยภาพของ GWM ในฐานะผู้นำยานยนต์อัจฉริยะระดับโลก แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์จีนในการสนับสนุนภารกิจทางวิทยาศาสตร์ระดับชาติสู่การพิชิตพื้นที่สุดขั้วของโลกอย่างทรงพลัง
เหนือทุกขีดจำกัด GWM TANK 300 DIESEL พิสูจน์ความแกร่งจากห้องวิจัยสู่แอนตาร์กติกา

คณะผู้เชี่ยวชาญจาก PRIC เดินทางเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาของ GWM เพื่อประเมินขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและมาตรฐานการทดสอบระดับโลกภายในศูนย์ทดสอบการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อม (Environmental Wind Tunnel Lab) รถยนต์ GWM TANK 300 DIESEL ถูกนำมาทดสอบภายใต้อุณหภูมิติดลบกว่า 30 องศาเซลเซียส พร้อมจำลองสภาพพายุหิมะสุดขั้วเช่นเดียวกับในทวีปแอนตาร์กติกา ผลการทดสอบเผยให้เห็นถึงความเหนือชั้นของระบบวิศวกรรมของ GWM ที่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เพียงสัมผัสเดียวแม้ในสภาพหนาวจัด ระบบละลายน้ำแข็งและทำความร้อนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่กระบวนการตรวจสอบคุณภาพกว่า 2,000 รายการที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งระบบความปลอดภัยเชิงรุก–เชิงรับ (Active & Passive Safety), ระบบการจัดการความร้อน (Thermal Management), เสียงและการสั่นสะเทือน (NVH) รวมถึงความทนทานต่อการใช้งานระยะยาว (Durability) สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะของ GWM ที่พร้อมรองรับทุกภารกิจสุดขั้ว ตั้งแต่ห้องแล็บจนถึงขั้วโลกใต้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เบื้องหลังความสมบูรณ์แบบทางวิศวกรรมที่ไร้ข้อจำกัดของ GWM TANK 300
จากรายงาน 2025 China Automotive Product Quality Performance Study (AQR) ล่าสุด GWM TANK 300 ได้รับการจัดอันดับให้ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งด้านคุณภาพและสมรรถนะในกลุ่มรถ SUV จากผู้ผลิตอิสระของประเทศจีน แสดงถึงความเชื่อมั่นในความทนทาน ความแม่นยำ และความประณีตทางวิศวกรรมของแบรนด์อย่างแท้จริง ตลอดระยะเวลา 4 ปีนับตั้งแต่เปิดตัว GWM TANK 300 ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยการอัปเกรดกว่า 481 รายการ เพื่อเสริมความทนทานและความน่าเชื่อถือ และในรุ่นปี 2025 ยังได้รับการปรับปรุงเพิ่มอีก 43 รายการ โดยเน้นยกระดับสมรรถนะสู่มาตรฐานระดับโลก พร้อมระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่เสถียรและแม่นยำยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยโครงสร้างตัวถังแบบวงแหวน (Ring-shaped Structural Design) ผลิตจากเหล็กกล้าความแข็งแรงสูงกว่า 70% ของทั้งคัน และใช้เหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงที่ระดับ 1,500 MPa อีกกว่า 20% ทำให้หลังคาสามารถรับแรงกดได้มากกว่า 15 ตัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมหลายเท่าตัว ช่วงล่างถูกออกแบบด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงกว่ารถทั่วไปถึง 3 เท่า พร้อมค่าความแข็งแรงในการบิดตัว 284.5 kN·m/rad มอบสมรรถนะการขับขี่ที่มั่นคงในทุกสภาพถนน สมกับฉายา “ผู้พิทักษ์ที่มองไม่เห็น (Invisible Guardian)” ของผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุดที่ผ่านการทดสอบเข้มข้นกว่า 14,000 ชั่วโมงในห้องทดลอง (เทียบเท่าการขับขี่ 4.8 ล้านกิโลเมตร) และการทดสอบภาคสนามด้วยรถต้นแบบกว่า 60 คัน รวมระยะกว่า 4.2 ล้านกิโลเมตร เพื่อพิสูจน์สมรรถนะ ความทนทาน และความเงียบระดับพรีเมียม ด้วยระดับเสียงรอบเดินเบาไม่เกิน 65 เดซิเบล ถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานใหม่ของเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ที่พร้อมพิสูจน์ความเหนือชั้นในทุกสมรภูมิ
จากความสำเร็จระดับโลกสู่การพิชิตขั้วโลกใต้
ณ เดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา GWM TANK 300 ยืนหยัดในฐานะหนึ่งในรถยนต์ระดับโลกที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดด้วยยอดขายสะสมทั่วโลกทะลุ 470,000 คัน โดยกว่า 400,000 คัน เป็นผู้ใช้ในประเทศจีน ซึ่งทั้งหมดได้ร่วมกันขับขี่รวมระยะทางกว่า 17.2 พันล้านกิโลเมตร หรือเทียบเท่าการโคจรรอบโลกกว่า 430,000 รอบ ยืนยันความแข็งแกร่งและความทนทานระดับตำนาน สมฉายา “รถ TANK ที่ไม่มีวันพัง (The Unbreakable TANK)” อย่างแท้จริง ปัจจุบันมีผู้ใช้มากกว่า 22,000 คน ที่ขับขี่เกินระยะทางกว่า 100,000 กิโลเมตรต่อคน ตอกย้ำความไว้วางใจในคุณภาพและความคงทนของยนตรกรรมรุ่นนี้

ขณะเดียวกันในตลาดต่างประเทศ GWM ยังคงสร้างสถิติการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศไทย ที่เพียง 6 เดือนหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ GWM TANK 300 DIESEL ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา รถยนต์ระดับพรีเมียมรุ่นนี้สามารถสร้างยอดขายสะสมทะลุ 5,000 คันทั่วประเทศ พร้อมก้าวขึ้นสู่ 3 อันดับแรกของกลุ่ม PPV และสามารถครองตำแหน่งอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกลาง (SUV-C) ได้อย่างรวดเร็ว ความสำเร็จดังกล่าวตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อสมรรถนะอันทรงพลัง ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ซึ่งสะท้อนถึงเอกลักษณ์แห่งความแกร่งในแบบฉบับของ GWM TANK 300 DIESEL
ขับเคลื่อนโลกด้วยเทคโนโลยี ด้วยเครือข่ายวิจัยระดับโลกของ GWM
ปัจจุบัน GWM ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลกด้วยการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) รวมกว่า 10 แห่งใน 7 ประเทศ ครอบคลุมประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีอย่าง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี สร้างเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก “7 ประเทศ 10 ศูนย์วิจัย” ที่ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในทุกมิติของยนตรกรรมอนาคต โดยมีโครงการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงกว่า 110 โครงการ ครอบคลุมตั้งแต่ระบบขับเคลื่อน พลังงานใหม่ ห้องโดยสารอัจฉริยะ ไปจนถึงระบบขับขี่อัตโนมัติ ทั้งหมดนี้คือพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ GWM สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อัจฉริยะที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง
ด้านเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน GWM ได้พัฒนาสถาปัตยกรรมระบบขับเคลื่อนหลัก 3 รูปแบบ ได้แก่ Hi4, Hi4-Z และ Hi4-T ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการขับขี่ในทุกสภาพเส้นทาง ตั้งแต่การใช้งานในเมืองจนถึงออฟโรดสุดขั้ว โดยเฉพาะเทคโนโลยี Hi4-T ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อสายผจญภัยโดยเฉพาะ ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนด้วยพลังน้ำมัน เสริมประสิทธิภาพด้วยพลังไฟฟ้า” พร้อมระบบเกียร์อัจฉริยะ 9HAT แบบวางตามยาวที่ GWM พัฒนาขึ้นเองเป็นรายแรกของจีน ผสานมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับชุดเกียร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ รองรับทั้งโหมดไฟฟ้าล้วน โหมดน้ำมัน และโหมดไฮบริด มอบสมรรถนะทรงพลัง ควบคู่กับความยืดหยุ่นสูงสุดในทุกสภาพภูมิประเทศ

การเดินทางของ GWM TANK 300 DIESEL สู่สถานี Great Wall Station ในทวีปแอนตาร์กติกา คือสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน ที่พิสูจน์แล้วว่ายานยนต์จีนสามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพแม้ในสภาวะสุดขั้วของโลก GWM ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของเทคโนโลยี ความทนทาน และสมรรถนะระดับโลกอย่างแท้จริง จาก “Great Wall Motor” สู่ “Great Wall Station” ที่ยังคงเดินหน้าสนับสนุนภารกิจการสำรวจขั้วโลกของประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง พร้อมประกาศศักดาให้ทั่วโลกได้เห็นถึงคุณภาพ ความทนทาน และศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน ที่พร้อมพิชิตทุกความท้าทายอย่างทรงพลัง
#GWM #GWMThailand #GWMTANK300 #GWMTANK300DIESEL #Antarctica
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ครั้งแรกของยางรถยนต์สปอร์ตพรีเมียมบริดจสโตนกับการเปิดโลกแห่งความเร็ว รวมตัวนักขับสายสปอร์ตในคอมมูนิตี้ออนไลน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “BRIDGESTONE POTENZA CLUB”

บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าสร้างประสบการณ์ขับขี่ขั้นสุดให้กับนักขับสายซิ่ง สายสปอร์ต และผู้ที่หลงใหลความเร็ว ด้วยการเปิดตัว
คอมมูนิตี้ออนไลน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “BRIDGESTONE POTENZA CLUB” พื้นที่ใหม่สำหรับลูกค้า
ผู้ใช้จริงและแฟนคลับของยางรถยนต์สปอร์ตพรีเมียม BRIDGESTONE POTENZA ได้มาพูดคุย แบ่งปันประสบการณ์ความมันส์ในการขับขี่ แลกเปลี่ยนเทคนิคน่าสนใจ สมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์
มากมายทั้งโปรโมชันพิเศษและเข้าร่วมกิจกรรมสุดมันส์ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่โชว์รถและแชร์ไอเดีย
แต่งรถให้ได้แลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจ พบปะเพื่อนนักขับ รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านยางรถยนต์
จากบริดจสโตนได้ทุกเวลา ทำให้ทุกการขับขี่เต็มไปด้วยความสนุก เร้าใจ และมั่นใจตลอดการเดินทางBRIDGESTONE POTENZA CLUB ไม่ใช่เพียงแค่คอมมูนิตี้ออนไลน์ แต่คือจุดนัดพบของนักขับและสาวกตัวจริงทั่วประเทศที่ชื่นชอบความมันส์ หลงใหลความเร็ว และการควบคุมเหนือชั้นตามแบบฉบับของ
ยางรถยนต์สปอร์ตพรีเมียม BRIDGESTONE POTENZAเป็นเจ้าของยางรถยนต์สปอร์ตพรีเมียม BRIDGESTONE POTENZA และเข้าร่วม Facebook Group: BRIDGESTONE POTENZA CLUB วันนี้ รับสิทธิประโยชน์ คุ้ม 3 ต่อ!
- คุ้มที่ 1: รับสิทธิ์สมัครร่วมอีเวนต์สุดยิ่งใหญ่แห่งปี “2025 Bridgestone Driving Experience: POTENZA Club Party” วันที่ 13 ธันวาคม 25668 ที่ Impact Speed Park เมืองทองธานี
ขับมันส์บนสนามจริงและปาร์ตี้สุดเดือด พร้อมไฮไลต์ภายในงานอีกมากมาย (เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568)
- คุ้มที่ 2: รับฟรี! บัตรเติมน้ำมัน 1,000 บาท เมื่อซื้อยางรถยนต์สปอร์ตพรีเมียม
BRIDGESTONE POTENZA รุ่นใดก็ได้ ครบ 4 เส้น ที่ COCKPIT ทุกสาขาทั่วประเทศ
และลงทะเบียนพร้อมส่งหลักฐานการซื้อและข้อมูลติดต่อให้กับแอดมิน Facebook Group:BRIDGESTONE POTENZA CLUB โดยจำกัดจำนวน 30 ท่านแรก/ เดือน
(ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568)
- คุ้มที่ 3: พิเศษ! เมื่อซื้อยางรถยนต์สปอร์ตพรีเมียม BRIDGESTONE POTENZA Adrenalin RE005 ครบ 4 เส้น รับฟรี! ร่มรุ่นลิมิเต็ด มูลค่า 900 บาท (ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 – 30 ธันวาคม 2568)
นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยางรถยนต์สมรรถนะสูงของบริดจสโตน
และเชื่อมโยงเหล่านักขับทั่วประเทศที่มี passion เดียวกัน ให้มาร่วมสัมผัสพลังแห่งการขับขี่ที่สนุก
และปลอดภัย…จากยางบนสนามแข่งสู่การใช้งานจริงบนถนนในสไตล์ BRIDGESTONE POTENZAเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้คนรัก BRIDGESTONE POTENZA ได้ที่ Facebook Group: BRIDGESTONE POTENZA CLUB https://www.facebook.com/groups/potenzaclub
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News / News Motocycle2 Min Read
New YAMAHA MT-07 “Dawn of a New Darkness” New Hyper Naked จุดกำเนิดแห่งความดาร์คครั้งใหม่ ของ MT-Series

“ยามาฮ่า ไรเดอร์สคลับ” (YAMAHA Riders’ club) ผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าบิ๊กไบค์ในเมืองไทย ภายใต้การบริหารงานโดย บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด พร้อมส่งมอบความเร้าใจ และความคล่องตัวในการขับขี่ จุดกำเนิดแห่งความดาร์คครั้งใหม่ ด้วยการเปิดตัว New YAMAHA MT-07 และ New YAMAHA MT-07 Y-AMT สุดยอด Hyper Naked ที่ถูกพัฒนาได้อย่างลงตัวกับ Generation ที่ 4 ของรุ่นนี้ โดยได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Natural Simplicity for everyone ที่เรียบง่าย และลงตัวยิ่งขึ้น รูปทรง และสัดส่วนตัวเครื่องกระชับ เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สนุกกับการขับขี่แบบเร้าใจแห่งรัตติกาล

สำหรับ New YAMAHA MT-07 New Design ใหม่หมดจดกับ เจนฯ 4 ดุดัน ล้ำสมัย!!! ด้วยชุดแฟริ่งดีไซน์ใหม่ทั้งหมด และไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์เฉียบล้ำที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตระกูล MT–Series และให้การกระจายแสงชัดเจน พร้อมไฟหรี่ Position Light ที่ออกแบบให้กลมกลืนยิ่งขึ้น เพิ่มระบบไฟเลี้ยวอัจฉริยะ 3 ฟังก์ชัน (กระพริบ 3 ครั้ง, กระพริบต่อเนื่อง และตัดไฟเลี้ยวอัตโนมัติ) รวมถึง ไฟเบรกฉุกเฉิน (Emergency Stop Signaling) เมื่อมีการเบรกกะทันหัน ไฟเลี้ยวทั้งสองข้างจะกะพริบพร้อมกัน เพื่อเตือนผู้ขับขี่คนอื่นว่า รถกำลังลดความเร็ว เพื่อความปลอดภัยสูงสุดพร้อมกับการปรับตำแหน่งแฮนด์บาร์ใหม่ เพื่อตอกย้ำแนวคิด “ควบคุมง่าย มั่นใจทุกโค้ง” พร้อมดีไซน์ครอบถังน้ำมันให้มีขนาดที่เล็กลงแต่ยังคงความจุเดิมไว้ที่ 14 ลิตร ช่วยให้ผู้ขับสามารถหนีบถังได้แน่น และมั่นคงยิ่งขึ้น

New YAMAHA MT-07 สมรรถนะสุดเร้าใจของเครื่องยนต์ CP2 690 ซีซี แบบสองสูบเรียง และเสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับการติดตั้งระบบ YAMAHA Chip Control Throttle (YCC-T) ระบบคันเร่งไฟฟ้าในเครื่องยนต์ CP2 ที่ถูกใส่มาเป็นครั้งแรก เพื่อให้การควบคุมคันเร่งมีความแม่นยำ และนุ่มนวลในทุกจังหวะการเปิดปิดคันเร่ง พร้อมรองรับ Quick Shifter แบบขึ้น – ลง สามารถรองรับการขับขี่ในสถานการณ์ที่หลากหลาย และมาพร้อมระบบ Assist & Slipper Clutch ที่ปรับปรุงความรู้สึกตอนเปลี่ยนเกียร์ เพิ่มฟันเฟืองเกียร์ เพื่อช่วยลดแรงกระชากขณะเปลี่ยนเกียร์ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น พร้อมเบรกหน้าแบบ Radial-mount เพิ่มความมั่นใจทุกจังหวะเบรกได้อย่างแม่นยำ มาพร้อมล้อ Spin Forged ที่ถูกออกแบบมาใหม่สำหรับ New YAMAHA MT-07 โดยเฉพาะ มีนํ้าหนักเบาควบคุมง่าย และคล่องตัวยิ่งขึ้น พร้อมยาง Dunlop Sportmax อายุการใช้งานนาน ยึดเกาะดีเยี่ยมทั้งถนนแห้งและเปียก เหมาะกับการขับขี่หลายรูปแบบทั้งแบบสนุกสนานเร้าใจ หรือการเดินทางไกลสไตล์ทัวร์ริ่ง พร้อมโหมดเครื่องยนต์ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ รวมถึงระบบ PWR Mode (การตอบสนองคันเร่ง) และ TCS (Traction Control) เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

New YAMAHA MT-07 ฟีเจอร์สุดล้ำ ตอบโจทย์ทุกการขับขี่ กับจอสีแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว พร้อม 4 ธีม ให้เลือกตามความชอบ และสถานการณ์ในการขับขี่สามารถเชื่อมต่อกับ Smartphone ผ่านแอป Y-connect ที่สามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่ การตั้งค่า Rider Aids ได้ผ่านโทรศัพท์ และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้เช่น ข้อมูลรถ การแจ้งเตือนสายเรียกเข้า หรือข้อความ เปลี่ยนโหมดการตั้งค่าได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับตัวรถผ่านแอปพลิเคชันบน Smartphone เก็บบันทึกการตั้งค่าโหมดการขับขี่ได้มากกว่า 40 แบบ บน application เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของสภาพถนน
นอกจากนี้ New YAMAHA MT-07 มาพร้อมกับทางเลือกใหม่ของระบบเกียร์อัจฉริยะ Y-AMT ในรุ่น New YAMAHA MT-07 Y-AMT มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ Yamaha Automated Manual Transmission (Y-AMT) ที่ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ทั้งโหมด MT (Manual) และ AT (Automatic) ผ่านปุ่มควบคุมบนแฮนด์ โดยไม่ต้องใช้คลัทช์ เหมาะสำหรับทั้งผู้ขับขี่สายสปอร์ตและมือใหม่ และยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกด้วยกันดังนี้…
- MT Mode: Sport / Street /Custom (เหมือนรุ่น STD)
- AT Mode: D+/ D
- D+ รูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะกับการขับขี่แบบสปอร์ตที่รอบเครื่องยนต์สูง
- D รูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะกับการขับขี่ทั่วไปทั้งการขับขี่ในเมือง และแบบสปอร์ต
สำหรับ New YAMAHA MT-07 มีโหมดการขับขี่ด้วยกัน 3 โหมดดังนี้
- Mode Sport การตอบสนองของกำลังของเครื่องยนต์ที่สูง เหมาะกับถนนที่มีทางโค้งหรือในสนามแข่ง
- Mode Street ครอบคลุมการขับขี่บนถนนหลายแบบ และเหมาะกับการขับขี่ในเมือง
- Mode Custom ที่ผู้ขับขี่ปรับสามารถแต่งฟีเจอร์ช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ หรือจะปิดทั้งหมดก็ได้
ทั้งนี้ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้จึงวางราคาจำหน่ายในราคาแนะนำของ New YAMAHA MT-07 ทั้ง 2 รุ่น คือ รุ่น New YAMAHA MT-07 จำหน่ายในราคา 299,000 บาท และรุ่น New YAMAHA MT-07 Y-AMT จำหน่ายในราคา 305,000 บาท โดยทั้ง 2 รุ่น มี 3 สี ให้เลือกคือ Icon black, Teck Black และสีใหม่ Ice Storm
สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ไรเดอร์สคลับ ทั้ง 16 สาขาทั่วประเทศสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263- 9999 ติดตามข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่
Website : www.yamaha-motor.co.th/bigbike
Facebook : Yamaha Riders club Thailand
Instagram : YamahaRidersclubThailand
YouTube : Yamaha Riders club Thailand
TikTok: Yamaha Riders club TH
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
“
ก้อง-สมเกียรติ” พร้อมลุยล่าแต้มต่อเนื่อง โมโตจีพี สนาม 19 “ก๊องส์-ธัชกร” รับข่าวดีคัมแบ็ก โมโตทรี ที่ ออสเตรเลีย 
“ก้อง” สมเกียรติ พร้อมเต็มร้อย มุ่งมั่นเดินหน้าล่าแต้มในศึก โมโตจีพี 2025 สนาม 19 รายการ ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ขณะ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี ดาวรุ่งชาวไทยได้รับข่าวดี ผ่านความฟิตคัมแบ็กสู่สนาม โมโตทรี ครั้งแรกในรอบ 3 เดือน โดยจะลงบิดที่สนาม ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย สุดสัปดาห์นี้

ศึก ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ มีคิวดวลความเร็วระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคมนี้ ท่ามกลางการติดตามของแฟนมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก โดยดาวบิดโมโตจีพีชาวไทยอย่าง “ก้อง-สมเกียรติ” เจ้าของรถแข่ง RC213V หมายเลข 35 จากสังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ ที่คว้าแต้ม 3 สนามติดต่อกัน ก็พร้อมแล้วที่จะลงไล่ล่าแต้มอีกครั้ง โดยล่าสุดเจ้าตัวเดินทางถึงสนามแข่งพร้อมทีมงาน เพื่อเตรียมความพร้อมและลงสำรวจแทร็กเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่แฟนชาวไทยได้รับข่าวดี เมื่อ “ก๊องส์-ธัชกร” ดาวรุ่งชาวไทยหมายเลข 5 จาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย ที่ได้รับบาดเจ็บหัวไหล่และเข้ารับการผ่าตัดจนพลาดลงสนามนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก็ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และผ่านความฟิตลงบิดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนสำหรับศึก โมโตทรี ในสุดสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ศึก ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ จะเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมในวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคมนี้ ก่อนจะจับเวลารอบควอลิฟายและ “สปรินต์เรซ” ในวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคมนี้ ส่วนการแข่งขันรอบ “เมนเรซ” จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคมนี้ เริ่มต้นด้วย โมโตทรี 07.00 น. ต่อด้วย โมโตทู 08.15 น. และปิดท้ายด้วย โมโตจีพี 10.00 น. ถ่ายทอดสดทาง TrueVisions SPOTV
#HondaRacingThailand #RaceToTheDream #MotoGP #HondaBigBike #HondaRC213V #IdemitsuHondaLCR #SC35 #Kong #LCRHonda #HondaTeamAsia #Moto3 #TB5 #Gonz #AustralianGP
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine



























































































































