-
News Car1 Min Read
กรุงศรี ออโต้ เผยอินไซต์ “คนเมืองใช้เงินซื้อเวลา” ชี้ กว่า 49% เลือกซื้อมอเตอร์ไซค์เป็นรถคันที่สอง แม้เป็นเจ้าของรถยนต์

กรุงศรี ออโต้ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยผลสำรวจจาก “KA the Poll” ชี้ว่า 49% เลือกซื้อรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะคันที่สอง แม้มีรถยนต์ส่วนตัว เพราะมองว่า “เวลา” ทุกวินาทีมีมูลค่า และมอเตอร์ไซค์คือ “ตัวช่วยสำคัญ” ที่จะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ชีวิตประจำวันและลดการเสียเวลาบนท้องถนนของคนเมือง โดยข้อมูลนี้สอดคล้องกับแนวโน้มยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 1.5 – 2.5% ต่อปีในช่วงปี 2568 – 2570

“มอเตอร์ไซค์” เครื่องมือทุ่นเวลาของคนเมืองใหญ่
ผลสำรวจจาก “KA the Poll” แบบสำรวจความคิดเห็นภายในองค์กรที่รวบรวมมุมมองจากพนักงานกรุงศรี ออโต้ ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ใช้รถ จำนวนกว่า 1,478 คน พบว่า 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่ารถจักรยานยนต์คือเครื่องมือในการ “บริหารจัดการเวลา” เพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้น ทั้งจากปัญหารถติด หรือแม้กระทั่งปัญหาที่จอดรถ ดังนั้น การตัดสินใจซื้อรถของพวกเขาจึงให้ความสำคัญกับ “การลงทุนเพื่อซื้อเวลา” ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดรถจักรยานยนต์ยังคงเติบโตด้วยจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนสะสมสูงถึง 22 ล้านคัน อ้างอิงตามรายงานของกรมการขนส่งทางบกในปีที่ผ่านมา

ตลาดยังโต แต่ความท้าทาย คือเรื่อง “ความปลอดภัย”
แม้มอเตอร์ไซค์จะตอบโจทย์เรื่องเวลา แต่ความปลอดภัยยังเป็นปัจจัยสำคัญ ผลสำรวจพบว่า เหตุผลอันดับหนึ่งที่คนส่วนใหญ่กว่า 37% ยังไม่เลือกซื้อรถจักรยานยนต์ เกิดจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและทักษะการขับขี่ ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากข้อมูลครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่มีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนสูงถึง 424,206 ราย โดยในจำนวนนี้เกิดจากรถจักรยานยนต์มากถึง 91%

“สินเชื่อที่ยืดหยุ่น” กุญแจเพิ่มการเข้าถึงรถมอเตอร์ไซค์
แบบสำรวจ KA the Poll ยังชี้ว่าปัจจัยสำคัญอันดับสอง ที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์มาจากเงื่อนไขทางสินเชื่อ เช่น ข้อเสนอผ่อนอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือการผ่อนระยะสั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลการเลือกระยะเวลาสินเชื่อ พบว่า 59% ของผู้ใช้รถเลือกผ่อนชำระระยะยาว 2-3 ปี มากกว่าผ่อนการชำระระยะสั้น (21%) หรือการซื้อเงินสด (19%) สะท้อนว่าความยืดหยุ่นทางการเงินคือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คนเมืองเข้าถึงมอเตอร์ไซค์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายจาก ภาระหนี้ครัวเรือนสูงและค่าครองชีพเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างเช่นปัจจุบัน
ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถทุกกลุ่ม “กรุงศรี ออโต้” จึงได้มุ่งพัฒนาสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ที่เข้าถึงง่ายและครบวงจรที่สุดในตลาด เพื่อสร้างโอกาสให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของรถได้จริง และช่วยให้ผู้บริโภค “ซื้อเวลา” ผ่านโซลูชันทางการเงินที่ยืดหยุ่นและออกแบบมาเพื่อตอบรับชีวิตคนเมืองอย่างแท้จริง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
“ค็อกพิท สามไทย ออโต้เซอร์วิส สาขาลำลูกกาคลอง 4” เปิดให้บริการแล้ววันนี้! พร้อมดูแลครบทุกความต้องการของรถคุณ เติมเต็มความมั่นใจตลอดการเดินทาง

ค็อกพิท (COCKPIT) ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรฟาสต์ฟิต ภายใต้การบริหารงานของบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดกับ “ค็อกพิท สามไทย ออโต้เซอร์วิส สาขาลำลูกกาคลอง 4” ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า Big C
ลำลูกกาคลอง 4 จังหวัดปทุมธานี ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง
ได้ใช้บริการอย่างครอบคลุมและสะดวกสบายยิ่งขึ้น มาที่เดียวครบ จบ ทั้งเรื่องรถและเรื่องยาง เพราะที่นี่เรามีผลิตภัณฑ์ชั้นนำคุณภาพสูงครบครันให้เลือกสรรมากมาย พร้อมทีมช่างมืออาชีพที่มอบความใส่ใจ
เป็นพิเศษ ไม่ว่าคุณจะต้องการตรวจเช็ก บำรุงรักษา เปลี่ยนยาง หรือมองหาผลิตภัณฑ์ดูแลรถยนต์
เราพร้อมมอบบริการอย่างครบวงจร ดูแลด้วยความใส่ใจ เพื่อให้คุณมั่นใจตลอดการเดินทาง


บรรยากาศในงานเปิดค็อกพิท สามไทย ออโต้เซอร์วิส สาขาลำลูกกาคลอง 4
คุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ กรรมการผู้จัดการบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมแสดงความยินดีและกล่าวในพิธีเปิดสาขาใหม่อย่างเป็นทางการว่า “ในนามของบริดจสโตน ขอขอบคุณค็อกพิท สามไทย
ออโต้เซอร์วิส ที่มั่นใจและเดินหน้าเติบโตไปพร้อมกับเราจนร่วมเปิดสาขาใหม่ ‘สาขาลำลูกกาคลอง 4’
ซึ่งถือเป็นสาขาที่ 3 ในเครือสามไทย ออโต้เซอร์วิส ที่เปิดให้บริการในจังหวัดปทุมธานี ตอกย้ำปณิธาณ
การเป็นศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรเสมือนเพื่อนรู้ใจของรถยนต์ (Total Car Life Partner) ที่พร้อมอยู่
เคียงข้างตลอดการเดินทางของลูกค้าให้ปลอดภัยและมีความสุขในทุกๆ วัน ด้วยบริการดูแลรถยนต์
ครบวงจร มั่นใจกับผลิตภัณฑ์ชั้นนำคุณภาพสูงครบครันและทันสมัยพร้อมทีมช่างมืออาชีพ
มอบประสบการณ์การเดินทางที่คุ้มค่า สะดวกสบาย และปลอดภัย รองรับความต้องการของผู้ใช้รถยนต์
ในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี”สามารถติดตามโปรโมชันของค็อกพิท สามไทย ออโต้เซอร์วิส สาขาลำลูกกาคลอง 4 และข้อมูลเพิ่มเติม
ที่ www.cockpit.co.th., www.facebook.com/CockpitTH
หรือเฟซบุ๊กของสาขาที่ https://www.facebook.com/cockpitsamthai แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1369

ข้อมูลค็อกพิท สามไทย ออโต้เซอร์วิส สาขาลำลูกกาคลอง 4
ที่ตั้ง: ในศูนย์การค้า Big C ลำลูกกาคลอง 4 ถนนลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน เวลา 8.00 – 20.00 น.
แผนที่: https://maps.app.goo.gl/cEf7xYxbwHGgW2738โทรศัพท์: 02-128-0938 หรือ 092-564-9244
เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/cockpitsamthai
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car2 Min Read
โตโยต้า แนะนำ Fortuner Leader G Plus ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Smart Luxury” ผสมผสานความหรูหราและความคุ้มค่า เสริมทัพผู้นำตลาด PPV

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ใหม่ล่าสุด Fortuner Leader G Plus เติมเต็มไลน์อัพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำตัวจริงในตลาด PPV เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่มีความหรูหราและความคุ้มค่า อัปเกรดสเปกการใช้งานประจำวันให้ครบครันยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ในราคาที่จับต้องได้ง่าย เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงความพรีเมียมของ Fortuner ได้มากกว่าเดิม คุ้มค่าด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย พร้อมกันนี้ในรุ่นย่อย 2.4 Leader ทั้งหมดยังได้ยกระดับ
ระบบช่วยเหลือความปลอดภัยเชิงป้องกัน เพื่อมอบความมั่นใจสูงสุดในการขับขี่ให้แก่ลูกค้า
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ประเภท Pick-Up Passenger Vehicle (PPV) เข้าสู่ตลาดเมืองไทยครั้งแรกในปี พ.ศ.2547 ในนาม “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” ซึ่งประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น ทันสมัย และที่สำคัญสมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยม ตลอดจนอรรถประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า สร้างความภูมิใจในการเป็นเจ้าของด้วยความเหนือระดับอย่างแท้จริง และสร้างปรากฏการณ์เป็นผู้นำตลาด ด้วยยอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้นมากกว่า 466,000 คัน* (*ข้อมูลยอดขายสะสมของฟอร์จูนเนอร์ภายใต้โครงการ IMV ตั้งแต่ปี 2547 – สิงหาคม 2568) ยืนยันความสำเร็จด้วยยอดขาย อันดับ 1 ในตลาด PPV 13 ปีติดต่อกัน (พ.ศ. 2555 – 2567) อีกทั้งยังส่งออกจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงอันเป็นที่ยอมรับในคุณภาพการผลิตมาตรฐานระดับโลก
เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า พร้อมกับตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โตโยต้าเติมเต็มไลน์อัพกับอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่มีความหรูหราและความคุ้มค่า โดยภูมิใจแนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ใหม่ล่าสุด Fortuner Leader G Plus ที่โดดเด่นด้วย ดีไซน์ภายนอก ที่รองรับทุกบทบาทของผู้นำ ความสะดวกสบายรอบด้าน สมรรถนะที่ทรงพลัง และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน
Fortuner Leader G Plus “NEW SMART LUXURY” ราคา 1,439,000 บาท

ดีไซน์ภายนอก รองรับทุกบทบาทของผู้นำ
- ใหม่! ล้ออัลลอยสีพิเศษเฉพาะ Leader G Plus ขนาด 18 นิ้ว
- ไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED พร้อม Daytime Running Lights
- ไฟท้ายแบบ LED Light Guiding

ไว้วางใจกับความสะดวกสบายรอบด้าน
- ใหม่! ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
- เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- หน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
- มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอแสดงข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมแผ่นกรองปรับอากาศ 5
ไว้วางใจด้วยสมรรถนะทรงพลัง
- เครื่องยนต์ดีเซล 4 ลิตร 150 แรงม้า 400 นิวตันเมตร
- ประหยัดน้ำมัน 3 กม. / ลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker)
- ระบบควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็ว
- ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ช่วยซับแรงสั่นสะเทือน
- ช่วงล่างด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง มั่นคงและนุ่มนวลยิ่งขึ้น

ไว้วางใจด้วยระบบความปลอดภัยครบครัน
- ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor 360°
- ใหม่! ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning)
- ใหม่! ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Traffic Movement Notification)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert)
- ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 ตำแหน่ง รอบคัน
พร้อมกันนี้ในรุ่นย่อย 2.4 Leader ทั้งหมดยังได้ยกระดับ ระบบช่วยเหลือความปลอดภัยเชิงป้องกัน เพื่อมอบความมั่นใจสูงสุดในการขับขี่ให้แก่ลูกค้า

ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning)
- ระบบเสียงเตือนที่มีไว้เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่รับรู้ถึงความเสี่ยงในการชนสิ่งกีดขวางด้านหน้า
มาพร้อมช่องจ่ายไฟ USB Type-C
- รุ่นที่ติดตั้ง:4 Leader S / 2.4 Leader G / ใหม่!…2.4 Leader G Plus

ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Traffic Movement Notification)
- ระบบจะช่วยเตือนผู้ขับขี่ด้วยเสียง เมื่อรถของผู้ขับยังคงจอดนิ่ง ขณะที่รถคันหน้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไป
- รุ่นที่ติดตั้ง:4 Leader S / 2.4 Leader G / ใหม่!…2.4 Leader G Plus

ขยายการติดตั้งระบบ TSS (Toyota Safety Sense) สู่รุ่น 2.4 Leader V (ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ)
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-collision System)
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert)
- ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control)

ขยายการติดตั้งระบบ BSM และ RCTA สู่รุ่น 2.4 Leader S
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert)
เลือกเป็นเจ้าของ FORTUNER LEADER มาพร้อม 4 สีให้เลือก
- สีขาว PLATINUM WHITE PEARL
- สีดำ ATTITUDE BLACK MICA
- สีเงิน SILVER METALLIC
- สีเทา DARK GREY METALLIC
(*LEADER S สามารถเลือกได้ 3 สี 1. Platinum White Pearl เพิ่ม 12,000 บาท, 2. Attitude Black Mica, 3.Silver Metallic)
เติมเต็มไลน์อัพ ราคาสุดคุ้ม ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา
2.4 Leader V เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 1,600,000 บาท
2.4 Leader V เกียร์อัตโนมัติ 1,530,000 บาท
ใหม่!…2.4 Leader G Plus เกียร์อัตโนมัติ 1,439,000 บาท 2.4 Leader G เกียร์อัตโนมัติ 1,400,000 บาท
2.4 Leader S เกียร์อัตโนมัติ 1,239,000 บาท
อีกทั้งยังปรับเพิ่มสเปกให้ครบครันยิ่งขึ้นใน Fortuner Leader ทุกรุ่นย่อย
แต่ยังคงราคาจำหน่ายเท่าเดิม เพื่อมอบความคุ้มค่าสูงสุดแก่ลูกค้า
เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นด้วยเงื่อนไขพิเศษ
ทางเลือกที่ 1 : ผ่อนเริ่มต้น 9,884 บาทต่อเดือน*
คำนวณจาก Fortuner รุ่น Leader S ราคา 1,239,000 บาท ที่ดาวน์ 30% ผ่อนนาน 96 เดือน ดอกเบี้ย 3.25% เฉพาะ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
หมายเหตุ *ผ่อนเริ่มต้น 9,884 บาทต่อเดือน สำหรับปีแรก (โดยคำนวณจากการรวมโปรแกรมช่วยผ่อน 1,500 บาทต่อเดือน นาน 12 เดือน) และผ่อน 11,384 บาทต่อเดือน สำหรับปีที่สองถึงปีที่แปด
ทางเลือกที่ 2 : ดอกเบี้ยพิเศษ 0.89% พร้อมประกันภัยชั้นหนึ่ง TOYOTA Care PHYD
*เงื่อนไขทั้งหมดเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด กรุณาตรวจสอบเงื่อนไขและสถาบันการเงินที่ร่วมรายการที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่าย โตโยต้าใกล้บ้านท่าน หรือศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าโตโยต้า 1486 บริการด้วย Voice Bot 24 ชม. ทุกวัน บริการข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต www.toyota.co.th หรือ Line ID : @toyotathailand
แนะนำอุปกรณ์ตกแต่งแท้โตโยต้า ตอบโจทย์หลากหลายการใช้งานอย่างที่ต้องการ พร้อมการรับประกันสูงสุด 3 ปี หรือ 100,000 กม.*
- อุปกรณ์ช่วยผ่อนแรงเปิด-ปิดฝากระโปรงหน้า ราคา 2,400 บาท*
- โลโก้ Fortuner (Hood Emblem) ราคา 1,500 บาท*
- ถาดใส่ของท้ายรถ (Luggage Tray) ราคา 800 บาท*
- อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ราคา 3,990 บาท*
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.toyota.co.th/accessories/fortuner
หมายเหตุ:
* ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แต่ไม่รวมค่าแรงติดตั้ง
** อุปกรณ์ตกแต่งแท้โตโยต้ารับประกันสูงสุด 3 ปีหรือ 100,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน อ้างอิงจากคู่มือรับประกันคุณภาพ
รถยนต์ โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.toyota.co.th/accessories/warranty/tga
Fortuner Leader G Plus มาพร้อมบริการจาก T-Connect ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง
ปลอดภัย อุ่นใจด้วยบริการ Find My Car รู้ตำแหน่งรถยนต์แบบเรียลไทม์ SOS ช่วยประสานงานติดตามรถหายและช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้ง TCFR Plus+ ขยายระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์สูงสุด 8 ปี หรือ 225,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) เมื่อเช็กระยะตามที่กำหนด พร้อมรับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรม ALIVE-X สะสมทุกยอดค่าใช้จ่ายเป็นคะแนน The1 และแลกส่วนลดได้ที่ศูนย์บริการโตโยต้าทั่วประเทศ ประกันภัยขับดี ลดให้ (PHYD) คุ้มค่าด้วยส่วนลดต่อประกันภัยด้วยส่วนลดสูงสุด 40% และอีกกว่า 20 บริการจากแอป T-Connect ดาวน์โหลดฟรี “ใช้แล้วเวิร์ก ใช้ได้ทุกวัน ใช้ T-Connect”
สามารถศึกษาข้อกำหนดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ www.t-connect.in.th
สัมผัสประสบการณ์ขับขี่ใหม่ กับบริการเสริมที่หลากหลาย ผ่านเทคโนโลยี T-CONNECT ด้วย 3 คุณสมบัติหลัก ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง
- Always Located & Protected ให้คุณอุ่นใจ ปลอดภัยไร้กังวลในการเดินทาง
– Find My Car บริการเช็กตำแหน่งรถแบบเรียลไทม์ หมดปัญหาจำที่จอดไม่ได้ หารถไม่เจอ
– TheftTrack บริการตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม และประสานความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง
– SOS บริการประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
– Geo-Fencing บริการแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนออกจากจุดจอดหรือขอบเขตที่คุณกำหนดไว้
- Telematics Care ดูแลรถได้ง่ายๆ สะดวก พร้อมออกเดินทาง
– TCFR Plus+ สิทธิขยายระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์สูงสุด 8 ปี หรือ 225,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)
– Maintenance Reminder บริการแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเข้าศูนย์บริการ พร้อมนัดหมายศูนย์บริการออนไลน์
– Vehicle Information บริการข้อมูลรถ แสดงสถานะรถ เช็กประวัติ และสถานะงานซ่อมเรียลไทม์
– PHYD Insurance ประกันภัย “ขับดี ลดให้” ที่ทำให้ลูกค้าสนุกกับคะแนนการขับขี่และส่วนลดเพิ่มเติม จากค่าเบี้ยประกันภัยพิเศษที่คำนวณจากพฤติกรรมและระยะทางการขับขี่ของลูกค้า
- Happiness Mobility บริการเติมเต็มความสุข ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
– Toyota Alive-X โปรแกรมสะสมคะแนน The 1 ใช้แลกเป็นส่วนลดในการเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการโตโยต้า
– Connect You บริการแจ้งสิทธิพิเศษที่คัดสรรสำหรับลูกค้า T-Connect
– Concierge Services บริการผู้ช่วยส่วนตัว ให้คุณสอบถามเส้นทาง จองร้านอาหาร และอื่นๆอีกมากมาย
หมายเหตุ : การให้บริการของ T-Connect ต้องดาว์โหลดแอปพลิเคชัน และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถเพื่อเข้าใช้งาน สามารถศึกษาข้อกำหนดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ www.t-connect.in.th
KINTO ทางเลือกในการเป็นเจ้าของ Fortuner Leader G Plus รูปแบบใหม่
มีรถใช้ แบบไม่ต้องซื้อ บริการให้เช่ารถยนต์ระยะยาวจากโตโยต้าที่ออกแบบมาเพื่อให้ชีวิตการขับขี่สะดวกสบายและง่ายดายยิ่งขึ้น จ่ายราคาเดียวเท่ากันทุกเดือน ในราคาเริ่มต้นเพียง 22,570 บาท ต่อเดือน พร้อมบริการครบวงจร ประกันภัยชั้น 1 การบำรุงรักษา ต่อ พรบ. ภาษี ให้ตลอดอายุสัญญา
สัมผัสความหรูหรา ความคุ้มค่า และความเหนือระดับแบบผู้นำ ทดลองขับ Fortuner Leader G Plus ได้แล้ววันนี้ ที่ Toyota ALIVE บางนา และโชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ
จองทดลองขับ Fortuner Leader G Plus และรถรุ่นอื่นๆ บนสนามทดสอบ
เต็มรูปแบบได้ที่ https://www.toyota.co.th/alive/testdrive-reservation
พบกับกิจกรรมพิเศษต่างๆ ช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2568
o Fortuner Leader G Plus, The Live Plus Fest
ระหว่างวันที่ 18 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568 ณ โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ
o งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 Thailand International Motor Expo 2025 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี
ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: Toyota Motor Thailand
LINE Official: @ToyotaThailand
TikTok: @ToyotaMotorTH
X: @ToyotaMotorTH
Instagram: @toyotamotorthailandofficial
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro ตัวเลือกที่คุ้มเกินคุ้ม สำหรับคนมองหารถ SUV ช่วงราคา 1 ล้านบาท!

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” จากความสำเร็จของ GWM TANK 300 DIESEL ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้บริโภคชาวไทยจนถึงปัจจุบัน และเตรียมเฉลิมฉลองการส่งมอบครบ 5,000 คัน ในงาน “TANK FEST 2025 and TOP RANK TANK MOD” เร็วๆนี้ ล่าสุดเผยแนวโน้มความต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก (SUV-B) และ ขนาดกลาง (SUV-C) ที่ยังคงได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย ด้วยผู้เล่นหลักที่หลากหลาย ที่ครองใจผู้ใช้ในเมืองมายาวนาน โดยวันนี้มีอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจจาก GWM (Thailand) อย่าง GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro ที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งความคุ้มค่า สมรรถนะ และสไตล์ที่แตกต่าง

Boxy Design ที่ไม่ซ้ำใคร พร้อมพื้นที่ใช้สอยและความสบายเหนือความคาดหมาย เหมาะกับเมืองน้ำอย่างประเทศไทย
GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro มาพร้อมเอกลักษณ์การออกแบบที่สืบทอด DNA ออฟโรดอันแข็งแกร่งของ GWM TANK เส้นสายทรงเหลี่ยม Boxy และบุคลิกที่บึกบึน สะท้อนความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ดึงดูดทุกสายตา แตกต่างจาก SUV กลุ่ม B และ C ทั่วไปที่เน้นความเรียบหรูหรือสปอร์ตเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังเหมาะทั้งการใช้งานในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว หรือการออกไปใช้ชีวิตท่องเที่ยวในวันหยุดกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน และเมื่อเปรียบเทียบกับรถในกลุ่ม SUV B และ C ในช่วงราคา 1 ล้านบาท GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro มอบพื้นที่โดยสารที่กว้างขวาง นั่งสบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สามารถบรรทุกสัมภาระได้มากกว่าที่คาดไว้ ด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระที่ยืดหยุ่น โดยเบาะแถวสองสามารถปรับพนักพิงได้ 2 ระดับ และสามารถพับแยกได้ในอัตราส่วน 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บของได้ หรือแม้แต่การเป็นรถคู่ใจของผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการทั้งความอเนกประสงค์และภาพลักษณ์ที่ช่วยยกระดับความหรูหรา และพรีเมียมไปอีกขั้น และยังเป็นรถเอสยูวีที่มีความสูงใต้ท้องรถ 224 มิลลิเมตร ที่สามารถลุยน้ำได้ลึกถึง 700 มิลลิเมตร ถือเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่ารถ SUV ทั่วไปในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่รองรับได้เพียงระดับพื้นฐาน ทำให้รถคันนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาพอากาศและฝนตกหนักในเมืองไทย ที่ผู้ขับขี่มักต้องเจอกับสถานการณ์น้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro จึงเป็นมากกว่ารถ SUV ธรรมดา แต่คือสัญลักษณ์ของที่มองหารถคู่ใจที่แสดงตัวตนชัดเจนและพร้อมลุยในทุกเส้นทาง

เครื่องยนต์ดีเซลทนทานสูง ค่าใช้จ่ายต่ำ มั่นใจทุกการเดินทาง รับประกันเครื่องยนต์ 1 ล้านกิโลเมตร
ด้วยขุมพลังดีเซล 2.4T ที่ให้ทั้งพละกำลังและความทนทาน GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro จึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ด้วยพละกำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 480 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด มอบการขับขี่ที่ทรงพลัง นิ่ง เงียบ และราบรื่น ใกล้เคียงการขับขี่รถยนต์เครื่องยนต์เบนซิน ประกอบกับระบบขับเคลื่อน 2WD ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองได้คล่องตัว พร้อมรองรับการเดินทางไกลได้อย่างมั่นใจ ด้านค่าใช้จ่ายในการใช้รถและการบำรุงรักษา จากราคาค่าน้ำมันที่ผันผวนและมีราคาสูง เครื่องยนต์ดีเซลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้ผู้ใช้รถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมาก ด้วยราคาน้ำมันต่อลิตรที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์เบนซิน และอัตราการบริโภคน้ำมันที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของตัวรถที่ประมาณ 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ตาม Eco sticker) อีกทั้งเครื่องยนต์ดีเซลยังโดดเด่นด้านความทนทาน ไม่จุกจิกในการใช้งานในระยะยาว นอกจากนี้ GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro ยังมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ ฟรี ค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง สูงสุดไม่เกิน 10 ครั้ง ภายในระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 100,000 กิโลเมตร ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสบายกระเป๋าได้ในระยะยาวภายใต้การดูแลจากทีมช่างผู้เชี่ยวชาญภายใต้มาตรฐานของ GWM ทั้งมอบการรับประกันเครื่องยนต์ดีเซลยาวนานที่สุดในไทยถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี) จึงเป็นจุดแข็งที่แตกต่างจากรถในกลุ่มเดียวกันที่ส่วนใหญ่เลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน ไฮบริด หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้า

อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย คุ้มค่า
นอกจากสมรรถนะในการลุยน้ำที่มั่นใจแล้ว รถรุ่นนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นกล้องรอบคัน 360 องศาพร้อมกับระบบแสดงภาพใต้ท้องรถที่คมชัดและมีความละเอียดสูง, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบช่วยออกตัวบนทางชันและลงทางลาดชัน, เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด ตลอดจนระบบล็อกป้องกันเด็ก เพื่อให้การขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมืองปลอดภัยยิ่งขึ้น อีกทั้งถังน้ำมันขนาดใหญ่ 78 ลิตร ยังช่วยรองรับการเดินทางระยะไกลได้โดยไม่ต้องเติมน้ำมันบ่อย ๆ จึงตอบโจทย์ครบทั้งชีวิตประจำวันและทริปท่องเที่ยวครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์
ท่ามกลางตัวเลือกมากมายในตลาด SUV ในช่วงราคา 1 ล้านบาท GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro พิสูจน์ให้เห็นว่าการมองหารถที่ทั้งคุ้มค่า แข็งแกร่ง และแตกต่าง สามารถเป็นจริงได้ในคันเดียว และนี่คือคำตอบใหม่ของคนเมืองรุ่นใหม่ที่ไม่อยากจำกัดตัวเองไว้กับ SUV แบบเดิม ๆ โดย GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro มอบความคุ้มค่าในราคาเพียง 1,029,000 บาท พร้อมรับส่วนลดเงินสดมูลค่า 20,000 บาท* เมื่อชำระด้วยเงินสดหรือจัดไฟแนนซ์ พร้อมดอกเบี้ย 2.15%* ผ่อนนาน 48 เดือน
เมื่อดาวน์ 25% บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง ฟรีเป็นระยะเวลา 5 ปี มูลค่า 10,000 บาท** ฟรีประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี ฟรีค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง สูงสุดไม่เกิน 10 ครั้ง ภายในระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 100,000 กิโลเมตร การรับประกันคุณภาพรถใหม่ เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ ระยะทาง 1,000,000 กิโลเมตร หรือระยะเวลา 8 ปี (แล้วแต่อย่างใดอย่าง หนึ่งถึงก่อน) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ GWM พาร์ทเนอร์ สโตร์ กว่า 72 แห่งทั่วประเทศ GWM Contact Center 02-668-8888 หรือ และเว็บไซต์ www.gwm.co.th*เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยลอยตัวในปัจจุบัน บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เฉพาะเมื่อจองและส่ง เอกสารทำสัญญาตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนดเท่านั้น หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยพิเศษจะเป็นไปตามที่ บริษัทฯ และสถาบันการเงินที่ร่วมรายการกำหนด
**เงื่อนไขการให้บริการเป็นไปตามที่บริษัทฯ ก าหนด ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.gwm.co.th/services.html
#GWMThailand #NEWGWMTANK300DIESEL #TANK300 #GWMTANK
#2WDPro #TANKDIESEL
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
Repsol Honda HRC เปิดซีซั่นสุดเหนือชั้น คว้าวินเนอร์ เหมาโพเดียม ศึก X-Trial World Championship 2026 ที่อันดอร์ร่า

“โทนี่ โบ” ควง “กาเบียล มาเซลลี่” ทีมเมทจาก Repsol Honda HRC ทำผลงานเปิดฤดูกาลได้อย่างแข็งแกร่ง ในศึก X-Trial World Championship 2026 สนามแรก ที่อันดอร์ร่า คว้าชัยชนะพร้อมเหมาอันดับที่ 1 – 2 บนโพเดียม ต่อสู้เอาชนะคู่แข่งในเกมสุดหินที่อันดอร์ร่า สนามแข่งขันที่ได้รับการยกย่องว่ายากและท้าทายที่สุดสนามหนึ่งในฤดูกาล เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ เป็นการแข่งขันที่สุดกดดัน แต่แชมป์โลก 38 สมัยจาก Repsol Honda HRC อย่าง “โทนี่ โบ” เครื่องร้อนโชว์ความเหนือชั้นได้ทันที แม้ต้องต่อสู้กับอุปสรรคในการแข่งขัน ก่อนคว้าชัยชนะในสนามแรกไปครองได้สำเร็จ และตอกย้ำความเหนือชั้นของนักบิดทีมฮอนด้า ด้วยการคว้าอันดับที่ 2 ของ “กาเบียล มาเซลลี่” ทีมเมทซึ่งทำ 2 นักบิดจากทีมฮอนด้ารั้งอันดับผู้นำในตารางแชมเปี้ยนชิพทันทีตั้งแต่สนามแรก ด้วย 20 คะแนน ของ “โทนี่ โบ” และ“กาเบียล มาเซลลี่” เก็บคะแนนสะสมตามมาติดๆ 15 คะแนน
ทั้งนี้ การแข่งขัน X-Trial World Championship 2026 สนามที่ 2 จะไปแข่งขันกันในรายการ X-Trial Spain ที่มาดริด ประเทศสเปน ในวันที่ 25 ตุลาคม 2568 นี้
#ThaiHonda #HRC #RaceToTheDream #HondaRacingThailand #MotorSport #HondaBigBike #ExcitesTheWorld #HondaRacingCorporation #FIMXTrailGP #XTrailGP2026
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
ไทยฮอนด้า เปิดบ้านต้อนรับสื่อมวลชน จัดงาน “Thai Honda Press-Exclusive Factory Tour” ครบรอบ 60 ปี แห่งความสำเร็จ พร้อมเผยศักยภาพกำลังการผลิ
ตของโรงงานผลิตอันดับต้ นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย สร้างประสบการณ์สุดพิเศษแก่สื่อมวลชน ด้วยการจัดงาน “Thai Honda Press-Exclusive Factory Tour” เปิดบ้านพาชมกระบวนการผลิต ณ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่โรงงานไทยฮอนด้าได้เปิดประตูต้อนรับสื่อ เพื่อสะท้อนเส้นทางกว่า 60 ปีแห่งความสำเร็จ พร้อมประกาศวิสัยทัศน์สู่อนาคตที่ยั่งยืน

บรรยากาศงานเริ่มต้นด้วยคำกล่าวต้อนรับจาก มร.ยูอิจิ ชิมิซุ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ที่ย้ำถึงความภาคภูมิใจในเส้นทางที่องค์กรได้เดินเคียงข้างสังคมไทยมาอย่างยาวนาน พร้อมแสดงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ไทยฮอนด้าได้พัฒนาจากโรงงานขนาดเล็กสู่หนึ่งในฐานการผลิตที่มีศักยภาพการผลิตอันดับต้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับรถจักรยานยนต์กำลังการผลิตสูงสุดกว่า 6,600 คันต่อวัน และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ 11,000 หน่วยต่อวัน โดยมียอดการผลิตสะสมกว่า 90 ล้านหน่วย โดยแบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ 40 ล้านคัน และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ 50 ล้านเครื่อง รุ่นที่ครองใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Honda WAVE110, Honda WAVE125, New Honda Giorno+ รวมถึงกลุ่มบิ๊กไบค์ Honda CB650 CBR500 Honda CB650 และ Honda CBR650 ซึ่งได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
ความสำเร็จนี้เกิดจากมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่ไทยฮอนด้ายึดถือมาโดยตลอด โรงงานดำเนินการภายใต้มาตรฐาน ISO 9001:2015 และระบบ Quality Management System ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำ อาทิ การเชื่อมโครงสร้างด้วยเลเซอร์ (Laser Welding) การพ่นสีด้วยหุ่นยนต์ความเร็วสูง และการตรวจสอบด้วยเครื่องสแกนสามมิติ (3D Scanner) ควบคู่กับการใช้ทักษะและฝีมือของพนักงานไทยในงานที่ต้องการความละเอียด เช่น การประกอบ การเดินสายไฟ และการตรวจสอบขั้นสุดท้าย ซึ่งสะท้อนแนวคิดการผสมผสานระหว่างคนและเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว

ในด้านสิ่งแวดล้อม ไทยฮอนด้ายังเดินหน้าตามเป้าหมาย โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 46% ภายในปี 2573 (เทียบกับปี 2562) และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 ผ่านการดำเนินโครงการพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ การติดตั้ง Hybrid Generator ที่ช่วยลด CO2 ได้กว่า 1,800 ตันตั้งแต่ปี 2021 และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา ที่ช่วยลด CO2 ได้กว่า 1,600 ตันต่อปี พร้อมแผนขยายการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคตเพิ่มอีก
พร้อมกันนี้ ระหว่างการเยี่ยมชมโรงงาน สื่อมวลชนได้สัมผัสกระบวนการผลิตจริงใน 3 สายการผลิตหลัก ได้แก่ 1.) Commuter Line ที่ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กตั้งแต่รุ่น 110 – 300 ซีซี 2.) Global Line รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์ตั้งแต่ 300 ซีซีขึ้นไป รวมถึงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และไอคอนิกโมเดลจาก CUB House 3.) Power Product Line ที่ผลิตเครื่องยนต์อเนกประสงค์ โดยมีคณะผู้บริหารและผู้จัดการทั่วไปเป็นผู้นำบรรยาย ให้เห็นถึงมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวด กระบวนการควบคุมคุณภาพหลายชั้น มาตรการด้านความปลอดภัย รวมถึงการเตรียมความพร้อมสู่การผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการพัฒนาโรงงานไปสู่ Smart Factory

นอกจากนี้ยังมีช่วงถามตอบกับผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ มร.ฮายาโตะ เซกุจิ รองประธานบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด พร้อมด้วย คุณสาวิตรี แก้วพวงงาม กรรมการบริหาร, คุณวิวัฒน์ เลิศผาติ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานขายและการตลาด, คุณณัฐชัย ศรีโสวรรณา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานวางแผนองค์กร, คุณสัมพันธ์ ขวัญใจ ผู้จัดการทั่วไปโรงงานประกอบรถจักรยานยนต์ และคุณเทียนชัย สีตา ผู้จัดการทั่วไปโรงงานผลิตเครื่องยนต์ต้นกำลัง ซึ่งได้อธิบายเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การบริหารจัดการซัพพลายเชน การจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจหลังภาวะวิกฤต และมาตรการยกระดับคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า
งานในครั้งนี้ปิดท้ายด้วยการกล่าวขอบคุณสื่อมวลชนโดย มร.ฮายาโตะ เซกุจิ ที่ย้ำถึงเจตนารมณ์ของไทยฮอนด้าในการยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย เดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพ และพัฒนานวัตกรรมเพื่ออนาคตอย่างยั่งยืน เป็นการปิดฉาก “Thai Honda Press-Exclusive Factory Tour” อย่างสมบูรณ์แบบ
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : www.facebook.com/hondamotorcyclethailand
IG : www.instagram.com/hondamotorcyclethailand
TikTok: www.tiktok.com/@hondamotorcycletha
Youtube: www.youtube.com/HondaMotorcycleTHA
#ThaiHondaPressExclusiveFactoryTour
#ไทยฮอนด้า60ปี #ThaiHonda60TH #ไทยฮอนด้าเคียงข้างสังคมไทย #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #HondaMotorcycleThailand #ไทยฮอนด้า #ThaiHonda
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Scoop / SCOOP CAR / SCOOP MOTOCYCLE2 Min Read
ประวัติ Soichiro Honda ผู้ก่อตั้งแบรนด์ฮอนด้าที่ลุกขึ้นยืนได้เพราะความรักเมีย

“ความสำเร็จของผมที่คนอื่นเห็นมีเพียง 1% อีก 99% ที่เหลือมาจากความล้มเหลว” นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งจากปากของชายคนหนึ่งซึ่งในเวลาต่อมา ก็กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ชายคนนี้คือ Soichiro Honda

ย้อนกลับไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี 1906 ที่จังหวัดชิซูโอกะ คู่สามีภรรยา Gihei Honda และ Mika Honda ได้ให้กำเนิดเด็กชาย Soichiro Honda ขึ้นมา โดยนาย Gihei ผู้เป็นพ่อทำงานเป็นช่างตีเหล็ก และซ่อมจักรยานเก่ามาขาย ส่วน Mika ผู้เป็นแม่ก็ทำงานเป็นช่างทอผ้า Soichiro ในวัยเด็กมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน และได้คลุกคลีกับเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จากการช่วยพ่อซ่อมจักรยาน
จนกระทั่งมีรถ Ford Model T คันหนึ่งขับผ่านหมู่บ้านที่ Soichiro อาศัยอยู่ ทำให้เขาตื่นเต้นมากถึงกับวิ่งไล่ตามรถคันนั้นจนหายลับสายตาไป นับได้ว่าเป็นความทรงจำที่อยู่กับ Soichiro ไปทั้งชีวิต และจุดประกายความฝันที่อยากจะออกแบบ และสร้างรถยนต์ของตัวเอง
วีรกรรมแรกๆ ของ Soichiro ค่อนข้างจะแสบมาก เมื่อเขาแอบจิ๊กเงินจากกล่อง และจักรยานของพ่อ เพื่อเอาไปเข้าชมงานแอร์โชว์ที่สนามบิน ห่างจากบ้านไปประมาณ 20 กม. แต่ว่า ค่าตั๋วดันแพงกว่าที่คิด และเงินที่เอามาก็มีไม่พอ แต่ในเมื่องานแอร์โชว์เป็นงานแสดงบินผาดโผน เขาจึงยืนรอชมนอกสนามบินแทน
ในเรื่องของการเรียนหนังสือ Soichiro เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการอ่านการเขียนในตำราสักเท่าไร เขากลับชอบในการสร้างสรรค์ในงานประดิษฐ์มากกว่า จนเมื่อเขาอายุ 15 ปี Soichiro เห็นโฆษณาประกาศรับสมัครงานของอู่รถยนต์ชั้นนำ Art Shokai บนนิตยสาร Bicycle World Magazine เขาจึงไม่ลังเลที่จะลาออกจากโรงเรียน และส่งจดหมายสมัครงานทันที ในปี 1922

ซึ่งในช่วงเดือนแรกๆ งานที่เขาได้รับจาก Yuzo Sakakibara ผู้เป็นเจ้าของอู่ มีเพียงแค่ทำงานจิปาถะ และเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกของ Sakakibara ซักอย่างงั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ Soichiro ถอดใจเลยสักนิด เขาทุ่มเทและไม่เกี่ยงงานเลยแม้แต่นิดเดียว จนในที่สุดก็ได้เรียนรู้งานช่างซ่อมรถยนต์อย่างที่ตั้งใจไว้ และกลายเป็นช่างยอดฝีมือของอู่ ในปี 1923 Sakakibara ฟอร์มทีมแข่งรถขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของ Soichiro และทีมช่างคนอื่นๆ
13 พฤศจิกายน ปี 1924 ทีมแข่งจากอู่ Art Shokai เข้าแข่งขันในรายการ Japan Motor Car Championship และคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ โดยที่มี Shinichi Sakakibara น้องชายของ Yuzo Sakakibara เป็นนักขับ และ Soichiro Honda เป็นช่างเครื่องนั่งประกบข้างไปด้วยกัน

หลังจากที่ทำงานอยู่ได้ 6 ปี Soichiro ในวัย 21 ปี ที่สำเร็จวิชาจาก Sakakibara ก็ได้รับความไว้วางใจ และส่งเขาไปเปิดสาขาที่บ้านเกิดในปี 1928 ตลอดเวลาที่เขาทำงานอยู่ในอู่นี้เขาได้รับอิสระในการทำงานค่อนข้างมาก จึงทำให้เขามีโอกาสที่จะได้ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ จนได้รับฉายาว่า “เอดิสันแห่งเมืองฮามะมัตซึ” ผลงานของเขาในช่วงเวลานั้นก็มีทั้งรถยนต์ดัดแปลง รถแข่ง หรือแม้กระทั่งเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการทำงาน อย่างเช่น แท่นยกรถยนต์

เดือนตุลาคม ปี 1935 Soichiro ก็ได้แต่งงานกับ Sachi Isobe และในเวลาต่อมา เธอทำงานบัญชีให้กับอู่ Art Shokai สาขาฮามะมัตสึ ที่เติบโตจนมีพนักงานมากกว่า 30 คน
วันที่ 7 เดือนมิถุนายน ปี 1936 Soichiro ประสบอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันเปิดสนาม Tamagawa Speedway สนามแข่งรถแห่งแรกของญี่ปุ่น อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้ Soichiro บาดเจ็บที่ตาซ้าย แต่ Benjiro ผู้เป็นน้องชายและเป็นช่างเครื่องที่ประกบคู่มาด้วยกัน บาดเจ็บรุนแรงกว่า เพราะกระดูกสันหลังหัก แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความบ้าระห่ำของ Soichiro ได้ เพราะต่อมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน Soichiro เข้าแข่งขันรถยนต์ต่อ และจะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายในชีวิต ตามคำขอร้องทั้งน้ำตาของ Sachi ภรรยาสุดที่รัก

หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นต้นมา Soichiro ก็เริ่มคิดว่า งานซ่อมรถยนต์ที่ทำๆ อยู่เริ่มไม่ตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้อีกต่อไป ณ เวลานั้น เขาอยากผลิตอะไหล่รถยนต์ขาย แต่ก็ไม่มีนักลงทุนคนไหนสนับสนุน เพราะมองว่า แค่ซ่อมรถขนาดนี้ก็ทำเงินได้เหลือเฟือแล้ว จะคิดการใหญ่กว่านั้นให้เกินตัวทำไม เขาไม่สนใจคำสบประมาทและได้ก่อตั้ง บริษัท Tokai Seiki Heavy Industries เพื่อผลิตแหวนลูกสูบให้กับ Toyota พร้อมกับเข้าศึกษาใน” สถาบันอุตสาหกรรมฮามะมัตสึ” เป็นเวลา 2 ปี สถาบันนี้ก็ได้กลายมาเป็น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิซุโอกะในปัจจุบัน
การผลิตแหวนลูกสูบ เป็นไปด้วยความน่าผิดหวังมาก เพราะแหวนลูกสูบที่ผลิตส่งไปให้กับทาง Toyota จำนวน 50 ชิ้น กลับผ่านมาตรฐานโรงงานเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ความล้มเหลวในครั้งนั้นทำให้เกิดจากความเชื่อมั่นว่า “ถ้าทฤษฎีทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ตอนนี้พวกอาจารย์คงเป็นนักประดิษฐ์กันหมดแล้ว” บวกกับว่า เขามีความมั่นใจในฝีมือมากเกินไปอีกด้วย
ทำให้เขาต้องลดอีโก้ของตัวเอง และศึกษาดูงานตามโรงงานทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้การควบคุมคุณภาพการผลิตให้มีมาตรฐานมากขึ้น และกลับมาบริหารโรงงานใหม่ ผลิตแหวนลูกสูบได้ทีละเยอะๆ และผ่านมาตรฐานของ Toyota ในที่สุด นอกจากนี้เขายังได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นมาด้วย อย่าง Nakajima Aircraft บริษัทผลิตเครื่องบินที่เวลาต่อมาก็จะกลายมาเป็นแบรนด์รถยนต์ Subaru นั่นเอง

ความท็อปฟอร์มในครั้งนี้ทำให้ บริษัท Tokai Seiki เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีพนักงานมากกว่า 2 พันคน ในขณะที่อนาคตกำลังรุ่งอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นรุ่งริ่งภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เพราะจักรวรรดิญี่ปุ่นก่อสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในปี 1937 ก่อนที่ต่อมาภายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไปห้าวกับสหรัฐอเมริกาด้วยการบุกโจมตีฐานทัพเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม ปี 1941
บริษัท Tokai Seiki ในขณะนั้นก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงยุทโธปกรณ์ ในตอนนั้น Kaichi Kawakami ประธานบริษัท Nippon Gakki หรือ Yamaha ในปัจจุบันก็ร้องขอให้ Soichiro คิดค้นเครื่องจักรที่ช่วยในการผลิตใบพัดเครื่องบินรบได้จำนวนนึง ด้วยอัตราการผลิต 4 ชิ้นต่อชั่วโมง
จากเดิมที่ผลิตด้วยมือกว่าจะได้ชิ้นนึงก็ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ จนในปี 1942 Toyota เข้ามาถือหุ้นของ Tokai Seiki มากกว่า 40% และ Soichiro โดนลดขั้นจากประธานบริษัท มาเป็น กรรมการผู้จัดการอาวุโส หนำซ้ำยังต้องเสียพนักงานชายไปเกือบหมด เพราะถูกเกณฑ์ไปรบในกองทัพ ในขณะที่ผู้หญิงและนักเรียนหญิงก็ถูกเกณฑ์มาเข้าร่วมกองกำลังอาสาสมัคร เพื่อทำงานในโรงงานแทนผู้ชาย Soichiro จึงต้องออกแบบเครื่องจักรที่ช่วยให้ผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์สามารถทำงาน ผลิตได้ง่ายขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น

ในปี 1944 โรงงาน Tokai Seiki ที่ย่านยามะชิตะ โดนลูกหลงจากการที่ เครื่องบิน B-29 ทิ้งระเบิดใส่ จนเหลือแต่ซากปรักหักพัง ก่อนที่จะซวยซ้ำซวยซ้อนต่อในวันที่ 13 มกราคม ปี 1945 เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในเขตมิคาวะ จนทำให้โรงงานในเมืองอิวาตะ พังทลายอีก เป็นเวลา 7 เดือนก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะบึ้มญี่ปุ่นด้วยระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2 ลูก
เกร็ดน่ารู้ : สำหรับเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นในเวลา 03:38 น. มีจุดศูนย์เกิดอยู่ที่ปากอ่าวมิคาวะ ลึกลงไปถึง 11 กม. วัดระดับความรุนแรงได้ถึง 6.8 ริกเตอร์ และกินรัศมีความเสียหายราว 50 กม.เสียชีวิต 1,180 คน บาดเจ็บ 3,866 คน สูญหาย 1,126 คน อาคารบ้านเรือนพังทลายไปทั้งหมด 7,221 หลัง, เสียหายหนัก 16,555 หลัง และเกิดไฟไหม้ 2 หลัง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้มันหนักหนาเกินกว่าจะฟื้นฟูไหว จนต้องตัดสินใจขายโรงงานที่ปั้นมากับมือให้กับ Toyota ด้วยจำนวนเงินกว่า 450,000 เยน หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทในปัจจุบัน บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรง ประชาชนอดอยากปากแห้ง เพราะความพ่ายแพ้ในสงคราม
Soichiro ที่เริ่มท้อและสิ้นหวังก็เริ่มใช้ชีวิต ติดเหล้า เมาหัวราน้ำ ไม่ทำงานทำการอะไรเลยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

ในเดือนตุลาคม ปี 1946 Soichiro ก่อตั้งศูนย์วิจัยขนาดเล็กพื้นที่ 16 ตารางเมตร ในชื่อว่า Honda Gijutsu Kenkyu Sho (Honda Technical Research Laboratory) ( 本田技術研究所) ที่เมืองฮามะมัตสึ ด้วยจำนวนพนักงานเพียง 12 คน เพื่อวิจัยและพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน และเครื่องจักรต่างๆ

สภาพการคมนาคมในญี่ปุ่นหลังสงครามนั้นเป็นไปด้วยความย่ำแย่มาก เพราะขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต้องเดินทางด้วยการเดิน หรือปั่นจักรยาน เมื่อ Soichiro เห็น Sachi ที่ต้องลำบากลำบนขี่จักรยานกลับจากซื้อกับข้าว เขาจึงเดินไปรื้อหาของเก่าๆ จนเจอเข้ากับเครื่องปั่นไฟของกองทัพญี่ปุ่นที่ใช้จ่ายพลังงานให้กับวิทยุไร้สาย ก็นำมา DIY เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาด 50 cc ขับเคลื่อนด้วยสายพาน มาติดตั้งบนจักรยานของ Sachi และยังนำขวดน้ำมาติดตั้งเป็นถังน้ำมัน
Soichiro เอาจักรยานดัดแปลงคันนี้มาให้ Sachi ลองขี่ไปข้างนอก ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากให้เหนื่อยกับการที่ต้องออกแรงปั่นไปซื้อกับข้าวมาเลี้ยงครอบครัว เพราะความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ Soichiro ทุ่มสุดหัวใจ เมื่อ Sachi ลองขี่ไปได้สักพักแล้วกลับมาถึงบ้านก็ได้ชี้ข้อบกพร่องต่างๆ ให้ Soichiro ได้แก้ไขก่อนจะปล่อยออกสู่ท้องตลาดในชื่อว่า Pon-Pon นั่นจึงทำให้ Sachi เป็นผู้หญิงคนแรกที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของฮอนด้านับแต่นั้นมา

หลังจากที่ Soichiro แก้ไขจนเสร็จสมบูรณ์ เขาก็ได้กว้านซื้อเครื่องปั่นไฟเหลือทิ้งมาผลิตเครื่องยนต์สำหรับติดจักรยานขาย ซึ่งก็ขายดีมาก เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างจนตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วญี่ปุ่น แห่มาสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก

Honda A-Type

Honda Dream D-Type
เมื่อวัตถุดิบอย่างเครื่องปั่นไฟเก่าๆ พวกนี้เริ่มหมดลง Soichiro ก็หันมาออกแบบเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง ออกมาเป็น Honda A-Type หรือในชื่อเล่นว่า Bata Bata และก่อตั้งบริษัท Honda Motors ในวันที่ 24 กันยายน ปี 1948 ด้วยเงินทุน 1 ล้านเยน หรือ ประมาณ 17 ล้านบาท พร้อมจ้างพนักงานจำนวน 34 คน ผลิตเครื่องยนต์สำหรับติดตั้งจักรยาน ที่กำลังบูมในญี่ปุ่น ก่อนที่ต่อมาในเดือนสิงหาคมปี 1949 Honda Dream D-Type ถูกผลิตขึ้นมาในฐานะรถมอเตอร์ไซค์อย่างเต็มตัว มาพร้อมเครื่องยนต์ 1 สูบ 2 จังหวะขนาด 98 cc พละกำลังสูงสุด 3 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 4.27 Nm นับได้ว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จของ Honda ที่ Soichiro วาดฝันเอาไว้ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ Dream นั่นเอง

Soichiro Honda (ซ้าย) และ Takeo Fujisawa (ขวา)
ภายในปีเดียวกันนี้เอง Takeo Fujisawa ขึ้นมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เพื่อช่วยเหลือ Soichiro ในเรื่องการเงิน การตลาด และการวางแผนธุรกิจ ถือได้ว่าช่วยเติมเต็มในส่วนที่ Soichiro ไม่ถนัดจริงๆ
ในปี 1950 เกิดสงครามเกาหลีขึ้นทำให้กองกำลังสหประชาชาติ ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา มีความต้องการในการสั่งซื้อเครื่องยนต์ติดจักรยานของฮอนด้ามากขึ้น ทาง Honda จึงต้องเปิดโรงงานและสำนักงานใหม่ในกรุงโตเกียว

ในเดือนมีนาคม 1951 Honda เปิดตัว Dream E-Type รถมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะรุ่นแรกของฮอนด้า และกลายมาเป็นรถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นที่ทำยอดขายได้เยอะที่สุด ณ เวลานั้น

ในปี 1952 Honda เปิดตัวเครื่องยนต์ติดจักรยานรุ่นใหม่ Cub F ที่มาพร้อมสโลแกน “ถังขาวเครื่องแดง” กลายเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก ด้วยดีไซน์ที่สวยงาม เป็นมิตรกับผู้หญิง
Takeo เองก็ริเริ่มแผนการตลาดใหม่เพื่อให้สามารถแซงคู่แข่งได้ ด้วยการหว่านจดหมายประชาสัมพันธ์ไปยังร้านขายจักรยานกว่า 5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งก็มีร้านจำนวน 30,000 แห่งให้ความสนใจ Takeo จึงดำเนินแผนการต่อโดยการเสนอขายเครื่อง Cub F จำนวน 1 เครื่องต่อ 1ร้านตามลำดับ และเมื่อร้านไหนต้องการสั่งซื้อเพิ่มก็สามารถจ่ายได้ด้วยการโอนเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทโดยตรง ถือว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น และทำให้ Takeo ประสบความสำเร็จในเรื่องของการสร้างเครือข่ายการขายแบบอิสระ และทำยอดขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ Takeo ยังเป็นคนที่วางรากฐานการในเรื่องของการ “เช่า-ซื้อ” ให้ผู้บริโภคสามารถผ่อนจ่ายกับศูนย์ได้เป็นเวลา 1 ปีอีกด้วย โดยภายในปีนั้น Honda Cub F สามารถทำยอดขายไปได้ 6,000 เครื่องในเดือนตุลาคม และ 9,000 เครื่องในเดือนธันวาคม

Honda Motor ประสบความสำเร็จจนขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตอันดับต้นๆในประเทศ แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้วยังตามหลังอยู่ ซึ่ง Soichiro เองก็ยอมรับไม่ได้ในเรื่องนี้ เพราะเขาต้องการจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งด้วยการผลิตจำนวนมาก แต่คุณภาพต้องไม่ดรอป และราคาต้องสมเหตุสมผล จึงสั่งนำเข้าเครื่องจักรจากยุโรปและอเมริกา ด้วยเงินลงทุนสูงถึง 450 ล้านเยน หรือ 1,600 ล้านบาทในปัจจุบัน ด้วยความกล้าได้กล้าเสียนี้เองก็ทำให้สามารถผลิตรถมอเตอร์ไซค์ออกมาได้อย่างมีคุณภาพ และมีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมสร้างโรงงานใหม่ และจ้างพนักงานเพิ่มจาก 214 คนเป็น 1,337 คน เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่มากขึ้น และยังมีการออกชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดตา ที่ไม่ว่าจะพนักงานหรือ ผู้บริหารทุกคนต้องใส่ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน และดูแลโรงงานให้สะอาดอยู่เสมอ
ในปี 1953 Soichiro ปลูกฝังนโยบายให้กับพนักงานว่า “คุณภาพของรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า ต้องอยู่เหนือความคาดหวังของลูกค้าเกิน 100% เสมอ” เพราะหากผิดพลาดแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวย่อมส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ ซึ่งนโยบายนี้ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การขาย ไปจนถึงบริการหลังการขาย

เดือนมิถุนายนปี 1954 Soichiro เดินทางไปศึกษาการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ในยุโรป และไฮไลต์สำคัญคือไปชมการแข่งขัน Isle of Man TT เมื่อกลับมาที่ญี่ปุ่น Soichiro ที่ยังไม่หายตื่นเต้นกับวงการมอเตอร์สปอร์ตก็เริ่มลงมือออกแบบรถสำหรับแข่งขัน และลั่นว่าจะต้องส่งรถเข้าแข่งขัน Isle of Man TT ให้ได้
วันเวลาผ่านไปจนถึงปี 1958 Honda Motor ก็ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กที่ต่อมาจะกลายเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล นั่นก็คือ Super Cub และยังกลายมาเป็นบรรพบุรุษของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน อาทิเช่น Monkey, Dream หรือแม้กระทั่งรุ่นยอดฮิตในประเทศไทยอย่าง นานาสารพัด Wave เลย

ในปีต่อมา ปี 1959 บริษัท American Honda Motor ถูกก่อตั้งขึ้นในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา พร้อมสโลแกนว่า “You meet the nicest people on a Honda” หรือ “คนดีขี่ Honda” ที่สื่อถึงภาพลักษณ์ที่สดใส ดูเป็นมิตร ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อเมริกันที่ถูกจดจำในภาพลักษณ์ของ รถมอเตอร์ไซค์คันโตๆ ที่คนขี่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนัง ดูดิบๆ เถื่อนๆ มากกว่า ทำให้ Honda Motor ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์เบอร์ 1 ของโลกในที่สุด

ภายในปีเดียวกันนี้เอง Honda RC142 กลายมาเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ได้เข้าแข่งขันใน Isle of Man TT และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในปี 1961ถึง 2 รุ่นรวด ทั้ง Lightweight และ Ultra-Lightweight รวมถึงยังคว้าแชมป์ในรายการ World Grand Prix หรือก็คือ MotoGP ในปัจจุบัน ทั้งรุ่น 125cc และ 250cc ผลงานที่ผ่านมานี้ทำให้ Honda เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และมีการตั้งฐานการผลิตนอกญี่ปุ่นแห่งแรกขึ้นที่ประเทศเบลเยียม

ถึงแม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าจะกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกไปแล้วก็ตาม แต่ Soichiro ก็ยังไม่ได้สานต่อความฝันที่เคยวาดไว้มาตั้งแต่เด็ก นั่นก็คือการเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ ซึ่งคนรอบข้างเองก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วย และอยากให้เขาทุ่มเทกับรถมอเตอร์ไซค์มากกว่า เพราะ ณ เวลานั้น ค่ายรถต่างๆ มากมายในญี่ปุ่นขับเคี่ยวกันมานานมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ย่างเท้าก้าวเข้าสู่สายการผลิตรถยนต์อย่างเต็มตัวในปี 1963 ด้วยการผลิตรถ Kei-Truck รุ่นแรกในชื่อ T360 ตามมาด้วยรถสปอร์ตเปิดประทุน S500

Honda RA272
จนกระทั่งในปี 1964 Honda Motor ตอบสนองความฝันของ Soichiro ด้วยการพัฒนา และส่งรถแข่งรุ่นแรก RA271 ไปแจ้งเกิดในการแข่งขันฟอร์มูล่าวันสนาม German Grand Prix และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในสนาม Mexican Grand Prix ปี 1965 ด้วยรถ RA272

ก่อนที่ต่อมาในปี 1972 Soichiro ก็อนุมัติให้พัฒนา และปล่อย Honda Civic ออกสู่ท้องตลาด ก่อนที่ในปีต่อมา Soichiro Honda และ Takeo Fujisawa ก็เกษียณไปพร้อมๆ กันในปี 1973 ด้วยวัย 77 ปี แถมยังถูกบรรจุชื่ออยู่ในคอลัมน์ “25 บุคคลที่น่าสนใจที่สุดแห่งปี” บนนิตยสาร People Magazine นอกจากนี้ยังได้รับฉายาว่า “Henry Ford แห่งญี่ปุ่น” อีกด้วย
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 Honda กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น และเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นเจ้าแรกที่ตั้งฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาในปี 1982 ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์รถยนต์อันดับ 3 ของโลกในช่วงปลายทศวรรษ นอกจากนี้ทาง American Society of Mechanical Engineers ยังเอาชื่อของ Soichiro Honda มาเป็นชื่อเหรียญรางวัลสาขาการออกแบบและผลิตยานยนต์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาอีกด้วย
ต่อมาในปี 1989 ชื่อของ Soichiro Honda ก็ได้รับการบรรจุอยู่ใน Automotive Hall of Fame ที่เมือง Dearborn รัฐมิชิแกน ใกล้ๆ กับกรุง Detroit

ในส่วนของชีวิตหลังเกษียณของ Soichiro เขาใช้ชีวิตตามใจอยากกับครอบครัว ทั้งการเล่นสกี ตีกอล์ฟ แข่งรถ ร่อนแฮงค์ไกลเดอร์ หรือแม้กระทั่ง นั่งบอลลูน นอกจากนี้ทั้งตัวเขา และ Takeo ยังทำข้อตกลงด้วยกันว่าจะไม่บังคับให้ลูกชายของตัวเองมาสานต่อธุรกิจของตัวเองอีกด้วยครับ ซึ่งลูกชายของ Soichiro ที่พูดถึงอยู่นี้เขาก็คือ Hirotoshi Honda ผู้ก่อตั้งสำนักแต่ง และทีมแข่ง Mugen Motorsport นั่นเอง

Ayrton Senna (Hungarian Grand Prix ปี 1991)
และแล้วในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 1991 Soichiro Honda ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 84 ปี จากอาการตับวาย เป็นเวลา 1 วันก่อนการแข่งขันฟอร์มูล่าวันสนามฮังการี ซึ่งต่อมา Ayrton Senna นักแข่งฟอร์มูล่าวันทีม McLaren ที่ใช้เครื่องยนต์ของ Honda ก็สามารถคว้าแชมป์เปรียบเสมือนของขวัญอำลา Soichiro ผู้ล่วงลับมาได้สำเร็จ และนอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1 หรือ เคียวกุจิสึ ไดจูโช อีกด้วย
นี่คือเรื่องราวชีวิตของ Soichiro Honda จากเด็กชายตัวน้อยผู้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ผ่านความยากลำบาก ความล้มเหลว และความเจ็บปวดมามากมาย จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์อันดับต้นๆ ของโลก อย่างที่ Soichiro ได้กล่าวไว้ “คุณไม่ควรละทิ้งความฝันของตัวเอง” เพราะความสำเร็จล้วนเกิดมาจากความคาดหวัง หากพบเจออุปสรรคแล้วต้องทิ้งความฝันไป ความสำเร็จย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นจริง สำหรับสกู๊ปนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News Car1 Min Read
เบนท์ลีย์ แบงค็อก ร่วมกับ สิงห์ เอสเตท เปิดประสบการณ์ ‘THE INFINITE CRAFTS’ เชิญลูกค้าสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งงานฝีมือและความหรูหราที่อยู่เหนือกาลเวลา ณ โครงการ S’RIN พรานนก-กาญจนา

เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ (SET: S) เปิดประสบการณ์ ‘The Infinite Crafts’ ภายใต้แนวคิด Let the Magic Fusion Begin เพื่อส่งมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่ลูกค้าคนพิเศษได้สัมผัสถึงมนต์เสน่ห์แห่งงานฝีมือที่สะท้อนความหรูหราและความงดงามที่อยู่เหนือกาลผ่านงานออกแบบยนตรกรรมและสถาปัตยกรรมของโครงการระดับลักชูรี พร้อมเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมมากมายที่ได้มาเติมเต็มความพิเศษให้กับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตท่ามกลางบรรยากาศแบบ Mediterranean Revival ณ โครงการ S’RIN พรานนก-กาญจนา เมื่อวันที่ 27-28 กันยายนที่ผ่านมา

ภายในงาน ‘The Infinite Crafts’ ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสทดลองขับ Bentayga Hybrid ยนตรกรรมแบบอเนกประสงค์ระดับ Ultra Luxury เจ้าของขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินรุ่น V6 แบบไฮบริดที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพและสมรรถนะในการขับขี่ที่โดดเด่นในแบบฉบับรถยนต์เบนท์ลีย์ โดยผู้สนใจทดลองขับยังได้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นจากเทคโนโลยีความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารที่ผสานเข้ากับสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ได้อย่างลงตัวบนเส้นทางที่รายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบเมดิเตอร์เรเนียนอันงดงาม อีกทั้ง ผู้ร่วมงานยังได้ยลโฉมยนตรกรรมรุ่น New Continental GT และ รุ่น New Flying Spur สุดยอดแกรนด์ ทัวเรอร์สมรรถนะสูงโฉมใหม่ ทรงสมรรถนะที่สุดด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ High Performance V8 Hybrid ขนาด 4.0 ลิตร วิวัฒนาการล่าสุดที่จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอันทรงพลังเพื่อส่งมอบพละกำลังกว่า 680 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 930 นิวตันเมตร ซึ่งสุดยอดยนตรกรรมทั้ง 3 รุ่นนี้ได้นิยามความเป็น Everyday Supercar ของแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์ที่เน้นสมรรถนะ พร้อมนำเสนอการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ระหว่างพละกำลังอันมหาศาล เสถียรภาพและความคล่องตัว การออกแบบที่ประณีต และงานฝีมืออันงดงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ เชื่อมโยงค่านิยมของทั้งสองแบรนด์ เบนท์ลีย์ แบงค็อก และ สิงห์ เอสเตทในด้านความพิถีพิถันในการออกแบบและงานฝีมืออันงดงามที่สะท้อนภาพลักษณ์ความหรูหราเพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่แตกต่าง
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายที่ได้มาเติมเต็มความพิเศษให้กับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต อาทิ
- The Art of Living in Balance เสริมพลังบ้านดี ชีวิตดี ด้วยศาสตร์การจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยที่ช่วยสร้างสมดุลและพลังงานให้แก่ผู้อยู่อาศัยจากอาจารย์เอื้อ อัครเทพ พร้อมรับหินสีมงคลเพื่อเพิ่มพลังงานดีๆ ให้แก่ผู้เข้าร่วมงานฯ
- The Art of Flowers & Flow เพลิดเพลินไปกับเวิร์คช็อปจัดดอกไม้ให้เหมาะสมตามสไตล์บ้าน โดย Quattro Design ผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านระดับพรีเมียม
- The Art of Harmonious Wine Pairing เปิดประสาทสัมผัสกับการแพริ่งไวน์ระดับพรีเมียมจาก Penfolds ผู้นำเข้าไวน์ชั้นนำจากประเทศออสเตรเลียสู่มนต์เสน่ห์แห่งดื่มไวน์อันเป็นศิลปะชั้นสูง
- The Art of Strategic Financial Planning ร่วมพูดคุยในหัวข้อ “ศาสตร์และศิลป์ในการวางแผนการเงิน” กับผู้เชี่ยวชาญจาก Baker McKenzie สำนักงานกฎหมายชั้นนำระดับโลก
- The Art of Luxury Travel ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเดินทางด้วยเรือยอร์ชสุดหรู ทำความรู้จักกับ Sunseeker แบรนด์เรือยอร์ชหรูสัญชาติอังกฤษที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน พร้อมชมโมเดลจำลองเรือยอร์ชรุ่นไอคอนนิกจากแบรนด์

‘The Infinite Crafts’ ถือเป็นอีกหนึ่งการสร้างสรรค์ประสบการณ์สุดพิเศษที่ทั้งเบนท์ลีย์ แบงค็อก และ สิงห์ เอสเตท เล็งเห็นคุณค่าร่วมกัน พร้อมเชื่อมโยงไลฟ์สไตล์ระดับลักชูรีในทุกมิติเข้าด้วยกันเพื่อส่งมอบสัมผัสแห่งมนต์เสน่ห์งานฝีมือและความหรูหราที่อยู่เหนือกาลเวลาในโลกของ Luxury Living และ Luxury Mobility ให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ
สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับการเลือกครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์กับเบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับข้อเสนอพิเศษ โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
โตโยต้าร่วมแสดงความยินดี “ธนภัทร – ไชยภัทร – ไหมจักรี” ผู้ชนะ TOYOTA GAZOO RACING THAILAND ESPORT GT CHAMPIONSHIP 2025 พร้อมคว้าสิทธิ์ตัวแทนประเทศไทยลุยศึกชิงแชมป์เอเชีย

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ขอแสดงความยินดีกับ “ธนภัทร พวงพัฒน์ – ไชยภัทร ลิปิกรโกศล – ไหมจักรี อารีกิจเสรี” 3 นักแข่งอีสปอร์ตชาวไทย ผู้คว้าชัยรอบคัดเลือกระดับประเทศ ในการแข่งขัน TOYOTA GAZOO RACING THAILAND ESPORT GT CHAMPIONSHIP 2025 บนเกม Gran Turismo 7 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 พร้อมสิทธิ์ตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมชิงแชมป์ระดับเอเชีย รายการ TOYOTA GAZOO RACING ASIA ESPORT GT CHAMPIONSHIP 2025 ที่จะจัดขึ้น ณ Toyota Alive บางนา ระหว่างวันที่ 22 – 23 พฤศจิกายน 2568
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ส่งเสริมและสนับสนุนกีฬา e-Motorsport มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 ในโครงการ TOYOTA GAZOO RACING THAILAND ESPORT GT CHAMPIONSHIP ภายใต้วัตถุประสงค์ เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลก พร้อมเปิดโอกาสผู้มีความชื่นชอบในกีฬาแข่งรถ ได้สัมผัสประสบการณ์อันตื่นเต้น เร้าใจ กับความท้าทายใหม่ๆ ในโลกเสมือนจริง โดยในปี 2025 นี้ นับเป็นปีที่ 5 ของการจัดการแข่งขันในประเทศไทย สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการพัฒนาวงการ e-Motorsport ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับการแข่งขันปีนี้ ได้มีการนำรถ Toyota GR Supra สายพันธุ์สปอร์ตระดับตำนาน มาใช้ในการแข่งขัน รอบควอลิฟาย และรถ Toyota GR Yaris รถสปอร์ตแฮชแบ็ก สายพันธุ์แรง แชมป์แรลลี่โลก มาใช้ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ตอกย้ำ DNA ความแรงและสมรรถนะของรถยนต์ภายใต้แบรนด์ GR (Toyota Gazoo Racing)
รายชื่อนักแข่งที่ทำคะแนนสะสมสูงสุด 3 คน ในรอบคัดเลือกระดับประเทศ รายการ TOYOTA GAZOO RACING THAILAND ESPORT GT CHAMPIONSHIP 2025 ได้แก่- รางวัลชนะเลิศ ธนภัทร พวงพัฒน์
- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ไชยภัทร ลิปิกรโกศล
- รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ไหมจักรี อารีกิจเสรี
การแข่งขันระดับเอเชีย TOYOTA GAZOO RACING ASIA ESPORT GT CHAMPIONSHIP 2025 ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศไทยในปีนี้ ระหว่างวันที่ 22 – 23 พฤศจิกายน 2568 นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ประเทศไทยได้รับบทบาทเจ้าภาพ โดยขอเชิญชวนแฟนมอเตอร์สปอร์ตและผู้ที่สนใจ ร่วมส่งแรงใจให้นักกีฬาไทย ในการก้าวสู่เวทีระดับเอเชียได้ที่ Toyota Alive บางนา
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2568
- กิจกรรมการแข่งขันพิเศษ E-Sport Team Exhibition Race ระหว่างเวลา 14:45 – 15:15 น.
ร่วมส่งแรงเชียร์นักแข่งเยาวชนไทย 15 คน ที่ทำเวลาได้ดีที่สุดในการแข่งขัน เพื่อเข้าร่วมเก็บเกี่ยวประสบการณ์และพัฒนาทักษะในเวทีระดับภูมิภาค
- การแข่งขัน TOYOTA GAZOO RACING ASIA ESPORT GT CHAMPIONSHIP 2025
รอบชิงแชมป์ระดับเอเชีย ระหว่างเวลา 17:00 – 20:30 น.
ร่วมส่งแรงเชียร์ตัวแทนจากประเทศไทยทั้ง 3 คน สู่เวทีการแข่งขันระดับนานาติ
นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ผมขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคน รวมทั้งผู้ชนะการแข่งขันทั้ง 3 คน ที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันในรอบเอเชียต่อไป ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สัมผัสประสบการณ์และแสดงพลังความแรงของรถแข่งโตโยต้า ที่ผ่านสนามแข่งระดับโลกมาอย่างโชกโชน อีกทั้งยังเป็นการแสดงทักษะการขับขี่และการควบคุมรถอันยอดเยี่ยมของผู้เข้าแข่งขัน และหวังว่าในอนาคตจะได้เห็นตัวแทนประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นสุดยอดนักกีฬา E-sport ในเวทีโลกต่อไป”
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวการแข่งขันได้ที่เพจ Toyota Gazoo Racing Thailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
ได้เวลา! สร้างปรากฏการณ์ “คัสต้อมไบค์ไทย” สู่สายตาชาวโลก Bangkok Hot Rod Custom Show เปิดตัวโปรเจกต์ “Bangkok Boy” ส่งผลงานไทย ลุยเวทีระดับโลก! ที่ประเทศญี่ปุ่น

ถึงเวลาส่งพลังสร้างสรรค์ของช่างไทยให้โลกรู้จัก! Bangkok Hot Rod Custom Show นำโดย นันทพัฒน์ อุ่นพิกุล เจ้าแห่งงานคัสตอมที่ใหญ่ที่สุดในไทย ผนึกกำลังแบรนด์พันธมิตร อาทิ Harley-Davidson, โซดาสิงห์ และ Idemitsu เปิดตัวโปรเจกต์พิเศษ “Bangkok Boy” คัสต้อมไบค์คันแรกที่สร้างในนามประเทศไทย พร้อมประกาศศักดาฝีมือคนไทยบนเวทีระดับโลกที่ 33rd Yokohama Hot Rod Custom Show ประเทศญี่ปุ่น

ในวาระ ครบรอบ 10 ปี ของ Bangkok Hot Rod Custom Show (2016–2026) โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับ Thailand Custom Culture สู่เวทีสากล สื่อสารถึงความสามารถด้านการออกแบบ สร้าง ประกอบ และศิลปะที่หลอมรวมอยู่ในคัสต้อมไบค์คันนี้

“Bangkok Boy” หรือ “เด็กเทพ” คือผลงานที่รวมสุดยอดฝีมือช่างไทยจากทั่วประเทศ นำทีมโดย มาร์ค แห่ง Fat Boy Design แชมป์คัสต้อมยุคบุกเบิกของไทย ซึ่งมาร่วมสร้างรถคันนี้ในคอนเซ็ปต์ “เก่ง เท่ มีสไตล์ และมีหัวใจเป็นไทยแท้”

ชื่อ “Bangkok Boy” มาจากความร่วมมือระหว่าง Bangkok Hot Rod และ Fat Boy Design พร้อมสื่อถึง “เด็กไทยที่มีพรสวรรค์ระดับเทพ” ด้วยรูปลักษณ์ โครงสร้าง สี และลายเส้น ที่สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยอย่างชัดเจน

รถคันนี้ใช้หัวใจเป็นเครื่องยนต์ Harley-Davidson และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรระดับโลกที่เห็นศักยภาพของช่างไทยอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่แค่รถโชว์ แต่เป็นผลงานที่สะท้อนวัฒนธรรม Custom ไทย ที่พร้อมเข้าสู่เวทีการแข่งขันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

“Bangkok Boy” จึงเป็นก้าวสำคัญของวงการคัสต้อมไทย ที่พร้อมประกาศให้โลกรู้ว่า ฝีมือคนไทยไปได้ไกลกว่าที่คิด

ติดตามการเดินทางของ “Bangkok Boy” สู่เวทีโลก และร่วมส่งแรงใจให้ช่างไทยก้าวไกลไปพร้อมกัน กับแคมเปญ #คัสต้อมไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก / สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่https://www.facebook.com/BangkokHotrod
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

















































































































































































