-
News Car2 Min Read
โตโยต้า ประกาศราคา NEW bZ4X – MOTION OF TRUST รถ D-SUV อเนกประสงค์ พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประกาศราคาจำหน่าย NEW bZ4X อย่างเป็นทางการ โดยลูกค้าสามารถจองและซื้อได้ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ขอขอบคุณลูกค้าโตโยต้าทุกท่านที่ให้ความสนใจและตอบรับ NEW bZ4X เป็นอย่างดี ซึ่งทางบริษัทฯ ได้ทำการแนะนำและเปิดลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้า (Pre-registration) ผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจนครบ 2,000 สิทธิ์ สำหรับ New bZ4X ใหม่นี้เป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์อีกขั้น ด้วยดีไซน์การออกแบบที่โดดเด่นและน่าดึงดูด ระบบการชาร์จและพละกำลังสูงสุดได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบในทุกรุ่นย่อย โดย NEW bZ4X นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น มาพร้อมทางเลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น FWD (Front-wheel Drive) และรุ่น AWD (All-wheel Drive) มุ่งตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มตลาด BEV D-SUV ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย
NEW bZ4X สื่อสารภายใต้แนวคิด “MOTION OF TRUST” เมื่อความเชื่อมั่น มาพร้อมเทคโนโลยี ดีไซน์ และสมรรถนะ ผสานกับระบบความปลอดภัยที่ตอบโจทย์หลากหลายมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองที่คุ้นเคย หรือเส้นทางท้าทายที่ต้องเผชิญ bZ4X พร้อมนำพาคุณสู่จุดหมาย…อย่างมั่นใจ
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า “นอกจากการที่ NEW bZ4X มีมาตรฐานคุณภาพระดับโลกของโตโยต้าแล้ว เรายังมีระบบการจัดการชิ้นส่วนอะไหล่และเครือข่ายศูนย์บริการที่ครอบคลุม กับโชว์รูมและศูนย์บริการกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ เราจึงมั่นใจว่า NEW bZ4X จะมอบความอุ่นใจสูงสุดให้กับลูกค้า จึงอาจกล่าวได้ว่า NEW bZ4X จะไม่เพียงแต่มอบความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ยังมอบความสุขให้กับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ในทุกๆ วันอีกด้วย
สำหรับ NEW bZ4X มีเป้าหมายยอดขายที่ 6,000 คันในช่วงปีแรก สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทางบริษัทฯ จะเริ่มทำการส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป และในวันนี้เรายังมีข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่สนใจ TOYOTA bZ4X อีกด้วย”
ราคาอย่างเป็นทางการ
- รุ่น FWD: 1,529,000 บาท*
- รุ่น AWD: 1,649,000 บาท*
*หมายเหตุ
- ราคาข้างต้นเป็นราคาภายใต้มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์ ระยะที่ 2 (EV3.5)
- ราคาข้างต้นยังไม่รวมค่าสีพิเศษ
เลือกเป็นเจ้าของ NEW bZ4X ใน 2 รุ่นย่อย 6 สีภายนอกจับคู่กับสีภายใน ดังนี้
สี Mono-tone 3 สี
- สีภายนอก Precious Metal | สีภายใน Black
- สีภายนอก Platinum White Pearl | สีภายใน Black
- สีภายนอก Attitude Black Mica | สีภายใน Light Gray
สี Two-tone (Black Roof) ราคาเพิ่ม +20,000 บาท
- สีภายนอก Precious Metal / Black Roof | สีภายใน Black
- สีภายนอก Platinum White Pearl / Black Roof | สีภายใน Black
- สีภายนอก Emotional Red 2 / Black Roof | สีภายใน Black
รุ่น FWD
ดีไซน์ภายนอก
- ด้านหน้าดีไซน์ Hammerhead พร้อม Center Lamp
- ไฟหน้า Full LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน
- ไฟท้าย Full LED
- ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วและซุ้มล้อสีดำเงา
ดีไซน์ภายใน
- ภายในกว้างขวาง สะดวกสบาย ด้วยหลักการออกแบบ Open & Relax
- บริเวณที่นั่งผู้ขับขี่ออกแบบสไตล์ Cockpit ช่วยลดการละสายตา มอบทัศนวิสัยดีเยี่ยม
- หลังคา Panoramic Moonroof พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า
- ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ปรับได้ 64 เฉดสี (บริเวณคอนโซลหน้าและบริเวณมือจับประตูด้านใน)
อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
- เบาะนั่งคู่หน้า ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่
- จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่จอสี ขนาด 7 นิ้ว
- หน้าจอสัมผัสขนาด 14 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto
- ลำโพง 6 ตำแหน่ง
- อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger 2 ตำแหน่ง
- ประตุท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วยระบบฟ้าไฟฟ้า พร้อม Kick Activated
- ระบบปรับอากาศ NanoeTM X และระบบกรองฝุ่น 5 ภายในห้องโดยสาร
- สวิตซ์ควบคุมเกียร์แบบ Shift-by-Wire
- ระบบเบรกมือแบบไฟฟ้า (EPB) พร้อมระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ (ABH)
- ช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมพัดลมจากใต้เบาะและพนักพิง และเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า Fast Charge USB Type-C (60W) 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
- กระจกมองหลังแบบดิจิทัล
- ระบบเชื่อมต่อ T-connect
- สายชาร์จแบบพกพา
เทคโนโลยีแบตเตอรี่ และการชาร์จ
- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุสูงสุด 11 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
- รองรับหัวชาร์จแบบ AC Type 2 กำลังสูงสุด 22 กิโลวัตต์
(สำหรับการชาร์จไฟแบบ AC 3 เฟส ด้วยกระแสสูงสุด 32 แอมป์ต่อเฟส รวมสูงสุด 96 แอมป์)
- รองรับหัวชาร์จแบบ DC CCS2 กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์
- ระยะทางวิ่งสูงสุด 600 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 100%
(อ้างอิง Eco Sticker มาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ มีผู้ขับขี่ 1 คน ใช้มาตรฐานการขับแบบ NEDC อุณหภูมิ 20 – 30 °C ปิดระบบปรับอากาศ รับรองผลโดยหน่วยงานรัฐบาลประเทศเบลเยียม)
- ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ โดยใช้ระบบหล่อเย็นร่วมกับระบบปรับอากาศ โดยมีวงจรแยกจากกันกับระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสาร
สมรรถนะการขับขี่ | ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า | ระบบพวงมาลัยและช่วงล่าง
- e-TNGA Platform โครงสร้างที่ออกแบบ มาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ของโตโยต้าโดยเฉพาะ
- จุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทรงตัวดี
- คล่องตัวในการขับขี่ ควบคุมได้อย่างมั่นใจ
- แบตเตอรี่จัดวางภายใต้โครงสร้างที่แข็งแรง ลดความเสี่ยง จากการกระแทกที่แบตเตอรี่โดยตรง
- ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า Front-wheel Drive พร้อมระบบส่งกำลัง e-Axle ส่งแรงขับไปยังเพลารถโดยตรง
- กำลังสูงสุดรวม 165 กิโลวัตต์ (224 PS / 221 HP)
- แรงบิดสูงสุดชุดมอเตอร์หน้า 269 นิวตันเมตร
- ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบดับเบิลวิชโบนพร้อมเหล็กกันโคลง
- แป้นควบคุมแรงหน่วงเบรก (Paddle Shift) เลือกระดับการลดความเร็วได้ 4 ระดับ ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการขับขี่
- ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า (EPS)
- ระบบเบรกแบบดิสก์เบรก ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
- เพิ่มวัสดุลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร เช่น กระจกคู่หน้าแบบ Acoustic, วัสดุโฟมที่โครงตัวถัง, ท่อเก็บเสียงซุ้มล้อในห้องโดยสาร, เพิ่มประสิทธิภาพการซีลของกระจกบานหลัง เป็นต้น
ระบบความปลอดภัย | ระบบช่วยเหลือขณะขับขี่ | ระบบช่วยจอดรถ
- ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense
- ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ พร้อมช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน และช่วยลดความเร็วอัตโนมัติขณะเข้าโค้ง (DRCC)
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (PCS)
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (LDA)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) พร้อมระบบควบคุมไฟสูงอัจฉริยะ (AHS)
- ถุงลมเสริมความปลอดภัย 8 ตำแหน่ง (คู่หน้า, ด้านข้างคู่หน้า, ม่านด้านข้าง, ตรงกลางด้านหน้า และหัวเข่าด้านผู้ขับ)
- กล้องมองรอบคัน (PVM)
- ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Intelligent Parking Assist)
- ระบบช่วยเตือน พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ (PKSB)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (BSM)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (RCTA)
- ระบบแจ้งเตือนลมยาง (TPMS)
- สัญญาณเตือนกะระยะ ด้านหน้า 4 ตำแหน่ง และด้านหลัง 4 ตำแหน่ง
- ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบเสริมแรงเบรก (BA)
- ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC)
- ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
- ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน
รุ่น AWD (เฉพาะสิ่งที่แตกต่างจากรุ่น FWD)
ดีไซน์ภายนอก
- ตราสัญลักษณ์ AWD ที่ด้านหลัง
อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
- ลำโพง 9 ตำแหน่ง พร้อมระบบเครื่องเสียง JBL
เทคโนโลยีแบตเตอรี่ และการชาร์จ
- ระยะทางวิ่งสูงสุด 570 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 100%
(อ้างอิง Eco Sticker มาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ มีผู้ขับขี่ 1 คน ใช้มาตรฐานการขับแบบ NEDC อุณหภูมิ 20 – 30 °C ปิดระบบปรับอากาศ รับรองผลโดยหน่วยงานรัฐบาลประเทศเบลเยียม)
สมรรถนะการขับขี่ | ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า | ระบบพวงมาลัยและช่วงล่าง
- ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ All-wheel Drive
- กำลังสูงสุดรวม 252 กิโลวัตต์ (343 PS / 338 HP)
- แรงบิดสูงสุดชุดมอเตอร์หน้า 269 นิวตันเมตร และชุดมอเตอร์หลัง 170 นิวตันเมตร
- X-MODE โหมดควบคุมการขับขี่แบบออฟโรด เพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ทำงานควบคู่ฟังก์ชัน Grip Control ช่วยรักษาความเร็วให้คงที่ในระดับต่ำ เมื่อขับขี่บนเส้นทางที่ท้าทาย
- SNOW/DIRT ลดกำลังของมอเตอร์ เพื่อลดการลื่นไถลของล้อ
- DEEP SNOW/MUD เพิ่มกำลังให้กับล้อ และควบคุมการยึดเกาะ
เทคโนโลยี T-CONNECT พร้อมบริการเสริมที่หลากหลาย
- Always Located & Protected ให้คุณอุ่นใจ ไร้กังวลในการเดินทาง
- Battery Remaining ตรวจสอบปริมาณแบตเตอรี่ไฟฟ้าคงเหลือ
- Charging Station ค้นหาและนำทางไปยังสถานีชาร์จทั่วประเทศ
- Find My Car บริการเช็กตำแหน่งรถเรียลไทม์
- TheftTrack ติดตามรถหาย
- SOS ช่วยเหลือฉุกเฉิน
- Geo-Fencing กำหนดขอบเขตปลอดภัย
- Telematics Care ดูแลรถได้ง่ายๆ สะดวก พร้อมออกเดินทาง
- TCFR Plus+ สิทธิ์ขยายระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์ พร้อมระดับสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่มากขึ้น ตามการเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนด
- Maintenance Reminder แจ้งเตือนการบำรุงรักษา
- Vehicle Information ข้อมูลรถและการขับ
- PHYD Insurance ประกันภัย “ขับดี ลดให้”
- Happiness Mobility บริการเติมเต็มความสุข ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
- Toyota Alive-X โปรแกรมสะสมคะแนน The 1 ใช้แลกเป็นส่วนลดในการเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการโตโยต้า
- Connect You บริการแจ้งสิทธิพิเศษที่คัดสรรสำหรับลูกค้า T-Connect
- Concierge Services บริการผู้ช่วยส่วนตัว
หมายเหตุ
- การใช้บริการของ T-Connect ต้องดาว์โหลดแอปพลิเคชัน และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถเพื่อเข้าใช้งาน สามารถศึกษาข้อกำหนด และเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.t-connect.in.th/Agreement.aspx
- T-Connect เป็นบริการเสริมซึ่งลูกค้าสามารถลงทะเบียนใช้บริการฟรีในปีแรกจากแคมเปญการซื้อรถใหม่ หลังสิ้นสุดแคมเปญ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จะแจ้งค่าบริการรายปีให้ทราบต่อไป
- T-Connect เป็นการให้บริการบนสัญญาณเครือข่ายผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
มั่นใจได้ในระยะยาวไปกับการรับประกันจากโตโยต้า
- รับประกันแบตเตอรี่ไฟฟ้า และการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ไฟฟ้า 8 ปี หรือ 160,000 กม.
(นับจากวันส่งมอบรถยนต์ แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และมีความจุแบตเตอรี่ขั่นต่ำ 70%)
- รับประกันคุณภาพตัวรถ TCFR Plus+ 5 ปี หรือ 150,000 กม.
(นับจากวันส่งมอบรถยนต์ แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน เมื่อเข้าเช็กระยะตามกำหนดจากโปรแกรม TCFR Plus+)
- มั่นใจกับบริการหลังการขายด้วยศูนย์บริการกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ
(ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2568)
- บริการโดยช่างที่ผ่านการอบรมด้านรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ตามมาตรฐานโตโยต้า
(เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
รับข้อเสนอพิเศษสูงสุด! [7 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2568]
- ลูกค้าจากกิจกรรม NEW bZ4X Pre-registration
- ส่วนลดเงินสด มูลค่า 20,000 บาท*
- ดอกเบี้ยพิเศษ 99%*
- ลูกค้าทั่วไป รับฟรี ประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD*
พร้อมลุ้นรับสูงสุด 3 ต่อ จากกิจกรรม “TOYOTA อาริกาโตะ โปรแจกใหญ่จัดเต็ม”*
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.toyota.co.th/yearend2025
(เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
สอบถามรายละเอียด ทดลองขับ และจอง NEW bZ4X – MOTION OF TRUST
ได้ที่โชว์รูมโตโยต้า พร้อมพบกับกิจกรรมต่างๆ ได้ดังนี้
- วันที่ 29 พ.ย. 2568 – 10 ธ.ค. 2568: มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 Thailand International Motor Expo 2025 ณ Impact Challenger 1-3 เมืองทองธานี
- วันที่ 12 – 14 ธ.ค. 2568: กิจกรรม ณ โชว์รูมโตโยต้า (เฉพาะโชว์รูมที่ร่วมรายการ)
-
News Motocycle1 Min Read
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เผยโฉม Honda WN7 จักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ที่งาน EICMA 2025
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เปิดตัว Honda WN7 จักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน ภายในงาน EICMA 2025 (Milan Motorcycle Shows) ที่จัดขึ้น ณ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 4–5 พฤศจิกายน 2568 สำหรับสื่อมวลชน และวันที่ 6–9 พฤศจิกายน 2568 สำหรับผู้เข้าชมทั่วไป
Honda WN7
ฟีเจอร์หลักของ Honda WN7
แนวคิดการพัฒนา
Honda WN7 เป็นจักรยานยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Naked รุ่นแรกในซีรีส์ “FUN Category” ที่พัฒนาด้วยทิศทางใหม่ในฐานะรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าฮอนด้า ภายใต้แนวคิด “Be the Wind” ถ่ายทอดความสุขของการเคลื่อนไปอย่างอิสระดั่งสายลม พร้อมความเงียบเฉพาะตัวของรถพลังงานไฟฟ้า ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสเสียงและบรรยากาศรอบตัวได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะของผู้คนริมทาง หรือเสียงใบไม้ที่พลิ้วไหว ซึ่งไม่อาจสัมผัสได้บนจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE : internal combustion engine) Honda WN7 ถ่ายทอดความตั้งใจของทีมพัฒนาออกมาเป็นการเร่งความเร็วที่หนักแน่นด้วยแรงบิดเต็มพลัง และการควบคุมที่คล่องตัว มอบความรู้สึกของการเคลื่อนไปอย่างอิสระดั่งสายลมได้อย่างแท้จริง
การออกแบบ
Honda WN7 ออกแบบภายใต้แนวคิดที่มุ่งเน้นการขัดเกลาฟังก์ชันการใช้งานให้สมบูรณ์แบบและสะท้อนตัวตน โดดเด่นด้วยพื้นผิวต่อเนื่องและเรียบลื่นในทุกจุดที่ผู้ขับขี่สัมผัส ผสานเข้ากับรูปทรงที่มีพลังและเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อม “แถบไฟหน้าแนวนอน” (horizontal light bar) ซึ่งจะกลายเป็น “ซิกเนเจอร์” ของจักรยานยนต์ไฟฟ้าฮอนด้าทุกรุ่นในอนาคต
นอกจากนี้ WN7 ยังเปิดตัวชุดสีเฉพาะสำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้าฮอนด้าเป็นครั้งแรก โดยใช้ตัวถังโทนสีดำตัดกับชิ้นส่วนประกอบที่ตกแต่งด้วยสีทอง ฮอนด้าจะใช้ชุดสีนี้กับจักรยานยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทั่วโลก เช่นเดียวกับไฟซิกเนเจอร์
แชสซีแบบไร้เฟรม (Frameless Chassis)
จักรยานยนต์ทั่วไปใช้เฟรมเชื่อมต่อส่วนหน้าและส่วนท้ายของตัวรถเข้าด้วยกัน ในขณะที่โครงสร้างของ Honda WN7 ไม่ใช้เฟรม แต่ใช้กล่องแบตเตอรี่อะลูมิเนียมที่ติดตั้งอยู่กลางตัวรถทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลัก และเชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับ “ส่วนคอ” (head pipe) ที่รองรับระบบบังคับเลี้ยวและ “ขายึดสวิงอาร์ม” (pivot bracket) ที่รับน้ำหนักด้านหลัง ช่วยให้ Honda WN7 มีน้ำหนักเบาเพราะไม่มีเฟรม รวมทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ตัวรถมีสัดส่วนที่เพรียวบางและกะทัดรัดได้
นอกจากนี้ การวางตำแหน่งแบตเตอรี่ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมากไว้บริเวณจุดศูนย์กลางแชสซี ยังช่วยเสริมสมดุลให้มวลน้ำหนักอยู่ตรงกลาง เพิ่มความคล่องตัวในการควบคุม
ชุดมอเตอร์ผนวกอินเวอร์เตอร์ (Integrated Motor-Inverter Unit)
Honda WN7 มาพร้อมมอเตอร์แบบใหม่ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และผนวกอินเวอร์เตอร์เข้าไว้ด้วยกัน โดยให้กำลังสูงสุด 50 กิโลวัตต์ เทียบเท่าจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 600 ซีซี พร้อมแรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับรถขนาด 1000 ซีซี มอบสมรรถนะอันทรงพลังทั้งยังควบคุมได้อย่างมั่นใจ สำหรับการขับขี่ในเมืองและบนทางโล่ง
กระปุกเกียร์ดีไซน์ใหม่ส่งต่อกำลังจากมอเตอร์ไปยังระบบสายพานขับเคลื่อน (belt-drive system) เพื่อถ่ายทอดกำลังสู่ล้อหลังได้อย่างราบรื่นและไม่ส่งเสียงดัง
แบตเตอรี่และมาตรฐานการชาร์จ
Honda WN7 มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบติดตั้งถาวร ขนาด 9.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง รองรับทั้งการชาร์จเร็วแบบ CCS2[1] (Combined Charging System Type 2) และการชาร์จปกติแบบ Type 2[2] ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับเต้ารับไฟบ้านได้ในหลายประเทศ และหากใช้เครื่องชาร์จเร็ว แบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 20% ถึง 80% ได้ภายในเวลาประมาณ 30 นาที ช่วยให้เติมพลังระหว่างการเดินทางได้อย่างรวดเร็ว ลดความกังวลเรื่องเวลารอชาร์จ
สำหรับการชาร์จแบบปกติ สามารถชาร์จเต็มจาก 0% ถึง 100% ได้ในเวลาไม่ถึง 2.4 ชั่วโมง[3] เมื่อเต็มแล้วจะให้ระยะทางขับขี่สูงสุด 140 กิโลเมตร (มาตรฐาน WMTC mode)
ระบบเบรกแบบชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative Braking), ระบบเลือกความหน่วง (Deceleration Selector) และโหมด Walking Speed Mode
ระบบเบรกแบบชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่[4] (Regenerative Braking) คือการที่มอเตอร์ของ Honda WN7 จะทำหน้าที่ชาร์จพลังงานคืนกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ (Energy Regeneration) ขณะชะลอความเร็วเมื่อปล่อยคันเร่ง ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับความหน่วงด้วยสวิตช์ “Deceleration Selector” ที่แฮนด์ซ้าย เพื่อควบคุมความเร็วต่ำได้อย่างราบรื่นโดยแทบไม่ต้องใช้เบรก หรือหากเลือกแรงหน่วงน้อยลง จะรู้สึกเหมือนลอยเคลื่อนไป ซึ่งเป็นประสบการณ์การขับขี่รูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ Honda WN7 ยังมาพร้อมโหมด Walking Speed Mode ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขยับรถไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อย่างช้า ๆ โดยควบคุมผ่านสวิตช์ที่แฮนด์ซ้ายและคันเร่ง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการจอดรถหรือขยับรถในพื้นที่แคบ ๆ ในเมือง
Honda WN7 จะผลิตที่โรงงานของฮอนด้าในเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto Factory) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตจักรยานยนต์ทั่วโลกของบริษัท และจะทยอยเปิดตัวในตลาดประเทศใดก็ตามที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมไปกับการที่บริษัทผลักดันการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
-
News Car1 Min Read
ฮอนด้า นำเสนอเทคโนโลยีเจเนอเรชันใหม่ ในกิจกรรม “Honda Automotive Technology Workshop” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เตรียมเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020
บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด จัดกิจกรรม Honda Automotive Technology Workshop สำหรับสื่อมวลชน เพื่อเผยข้อมูลของเทคโนโลยีเจเนอเรชันใหม่สำหรับรถยนต์ ที่มีแผนจำหน่ายในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020
เทคโนโลยีหลักที่นำเสนอในกิจกรรม ได้แก่ 1) แพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฮบริดเจเนอเรชันใหม่
2) เทคโนโลยีระบบไฮบริด-ไฟฟ้า (Hybrid-Electric System) สำหรับรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่รุ่นใหม่ ที่มีแผนเปิดตัวในอเมริกาเหนือช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020 และ 3) เทคโนโลยีหลักที่จะนำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า Compact รุ่นผลิตจริง โดยอ้างอิงจาก Super-ONE Prototype ที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งาน Japan Mobility Show 2025Next generation hybrid study model
Super-ONE Prototype
ฮอนด้ายึดมั่นในเป้าหมายด้าน “สิ่งแวดล้อม” และ “ความปลอดภัย” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้ฮอนด้าสามารถส่งมอบความสนุกและอิสระแห่งการขับเคลื่อนแก่ผู้คนได้อย่างยั่งยืน
บนพื้นฐานแนวคิดดังกล่าว ฮอนด้าได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวไว้ 2 ประการ ได้แก่ “การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน สำหรับทั้งผลิตภัณฑ์และกิจกรรมองค์กรทั้งหมด” และ “ลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องจากการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์ (Zero Traffic Collision Fatalities) ภายในปี ค.ศ. 2050ในการแถลงแนวทางการดำเนินธุรกิจของฮอนด้า เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฮอนด้าได้ประกาศเดินหน้าพัฒนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) และพร้อมมอบคุณค่าใหม่ให้แก่ลูกค้า ขับเคลื่อนไปสู่ยุคแห่งการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ก้าวล้ำยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ฮอนด้ายังคงเดินหน้าส่งมอบคุณค่า “ความสนุกในการขับขี่” อันเป็นเอกลักษณ์ในยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ขับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า (EV) หรือ รถยนต์ไฮบริด นอกจากนี้ ฮอนด้ายังคงยึดหลักการออกแบบ M/M Concept*1 (Man Maximum, Machine Minimum)
โดยให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความสนุกในการขับขี่ พร้อมด้วยความสะดวกสบายและความสนุกให้แก่ผู้โดยสารภายใต้แนวคิด “Enjoy the Drive” ซึ่งสะท้อนคุณค่าหลักของรถยนต์ฮอนด้า ด้วยแนวคิด M/M Concept และ “ความสนุกในการขับขี่” ฮอนด้ายังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์เจเนอเรชันใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในกิจกรรมครั้งนี้ ฮอนด้าได้เผยโฉมเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อสะท้อนแนวคิดและคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า
■ ภาพรวมของแพลตฟอร์มขนาดกลางเจเนอเรชันใหม่
ฮอนด้าเดินหน้าพัฒนาสมรรถนะของระบบไฮบริด และแพลตฟอร์มไฮบริด ให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น โดยมีแผนเริ่มนำมาใช้ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดตั้งแต่ปี ค.ศ. 2027 เป็นต้นไป
แพลตฟอร์มเจเนอเรชันใหม่นี้ ได้รับการพัฒนาโดยผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยหลากหลายด้าน เพื่อให้ได้ทั้งโครงสร้างตัวถังที่มีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาในระดับสูง รวมถึงแนวคิดการออกแบบที่แบ่งระบบหรือผลิตภัณฑ์ออกเป็นโมดูล ที่ช่วยเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันได้ในหลายรุ่นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ฮอนด้าสามารถยกระดับ “ความสนุกในการขับขี่” อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจสไตล์สปอร์ตและสนุกสนานยิ่งกว่าเดิม
แพลตฟอร์มขนาดกลางเจเนอเรชันใหม่
- เพื่อกำหนดมาตรฐานใหม่ด้านเสถียรภาพในการขับขี่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อสมรรถนะของตัวรถ ฮอนด้าได้พัฒนาแนวทางใหม่ในการจัดการความแข็งแรงของตัวถัง เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ โดยการปรับสมดุลความแข็งแกร่งของตัวถังให้เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้น้ำหนักโดยรวมของตัวรถลดลง พร้อมทั้งสร้างลักษณะการทรงตัวของรถให้มีความยืดหยุ่นขณะเข้าโค้ง ซึ่งจะสามารถควบคุมแรงกดบนยางแต่ละเส้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ผลลัพธ์ คือ รถยนต์ EV รุ่นใหม่จะมอบเสถียรภาพในการขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สปอร์ตและสนุกเร้าใจยิ่งขึ้น
ฮอนด้ามีแผนนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับแพลตฟอร์มรถไฟฟ้าในอนาคตอีกด้วย
ภาพประกอบแนวทางในการจัดการความแข็งแรงของตัวถัง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่
น้ำหนักแพลตฟอร์มของรถไฮบริด จะลดลงถึง 90 กิโลกรัม (198 ปอนด์) เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มรุ่นปัจจุบัน โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างตัวถังและนำวิธีการออกแบบทางวิศวกรรมรูปแบบใหม่มาใช้ ด้วยแพลตฟอร์มรุ่นใหม่นี้ ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนารถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ที่มอบทั้งความสนุกในการขับขี่และประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมไปพร้อมกัน
แนวคิดการออกแบบที่แบ่งระบบหรือผลิตภัณฑ์ออกเป็นโมดูล จะถูกนำมาใช้เพื่อให้ชิ้นส่วนสามารถใช้ร่วมกันได้หลายรุ่น โดยแยกชิ้นส่วนเป็นโมดูลที่ใช้ร่วมกันได้ เช่น ห้องเครื่องยนต์และโครงสร้างใต้ท้องรถส่วนหลัง และโมดูลเฉพาะส่วน เช่น ห้องโดยสารด้านหลัง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนารถรุ่นใหม่ ฮอนด้าตั้งเป้าให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ สามารถใช้ร่วมกันได้มากกว่า 60% ในทุกรุ่นที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรถยนต์และความหลากหลายของรุ่นรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ ช่วยยกระดับประสิทธิภาพทั้งในด้านการพัฒนาและการผลิตให้เพิ่มขึ้น
จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ฮอนด้าได้นำเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ผู้ขับควบคุมรถได้ตามต้องการมาใช้ เช่น ระบบ Motion Management ที่ต่อยอดองค์ความรู้และต้นแบบด้านการควบคุมท่าทาง การพัฒนาหุ่นยนต์เทคโนโลยีต้นแบบ นอกจากนี้ ยังเพิ่มเทคโนโลยี Pitch Control*2 เข้าไปในระบบ Agile Handling Assist ซึ่งเป็นระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้รถมีพฤติกรรมการเข้าโค้งที่ราบรื่น ซึ่งได้ถูกติดตั้งแล้วใน Accord และ Prelude เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างแม่นยำในทุกสถานการณ์ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสภาพถนน ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะยกระดับ “ความสนุกในการขับขี่” ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
■ ภาพรวมของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่สำหรับไฮบริดเจเนอเรชันใหม่
จากความต้องการของตลาด ส่งผลให้รถยนต์ไฮบริดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ฮอนด้าจึงได้วางทิศทางของรถยนต์ไฮบริด โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด (HEV) เจเนอเรชันใหม่ที่จะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป ให้เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่จะมีบทบาทสำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่รถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยมอย่างสูงสุด
โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดหลักของรถยนต์ไฮบริด ซึ่งมีความต้องการรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว ฮอนด้ากำลังทำการพัฒนาระบบไฮบริดรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ทรงพลังและความสามารถในการลากจูงสูง (High Towing Capability) ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้เหมาะสมกับรถยนต์ขนาดใหญ่ในกลุ่ม D-segment ขึ้นไป โดยมีแผนเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020
ในกิจกรรมนี้ ฮอนด้าได้เผยเทคโนโลยีหลักของระบบไฮบริดขนาดใหญ่เจเนอเรชันใหม่ ซึ่งประกอบด้วย เครื่องยนต์ V6 ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด รวมถึง ชุดขับเคลื่อน และชุดแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายทั้งด้านประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมและต้นทุนต่ำ
ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนาอัตราการประหยัดน้ำมันของรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่เจเนอเรชันใหม่ให้ดีขึ้นมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปที่จำหน่ายอยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ฮอนด้าจะผสานเครื่องยนต์ V6 รุ่นใหม่ ที่พัฒนาในเรื่องความประหยัดน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น เข้ากับชุดขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูงเจเนอเรชันใหม่ พร้อมทั้งนำระบบควบคุมพลังงานอัจฉริยะรุ่นใหม่มาใช้ เพื่อปรับโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทรงพลังให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่ ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะ ปรับปรุงสมรรถนะด้านอัตราเร่งและการเร่งความเร็วเมื่อเหยียบคันเร่งแบบเต็มกำลังให้ดีขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปที่จำหน่ายอยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และชุดขับเคลื่อนแต่ละส่วน รวมถึงการใช้พลังงานเสริมจากแบตเตอรี่อีกด้วย
แพลตฟอร์มขนาดใหญ่สำหรับไฮบริดเจเนอเรชันใหม่
■ ภาพรวมของเทคโนโลยีไดนามิก สำหรับรถยนต์ Compact EV ต้นแบบ Super-ONE
รถยนต์รุ่นผลิตจริงที่พัฒนาขึ้นจากรถต้นแบบ Super-ONE เผยโฉมเป็นครั้งแรกในโลก ณ งาน Japan Mobility Show 2025 มีกำหนดเริ่มวางจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2026 เป็นประเทศแรก
ตามมาด้วยสหราชอาณาจักรและประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ที่มีความต้องการรถ Compact EV สูง ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด “e: Dash BOOSTER” โดยสร้างสรรค์ให้เป็นรถไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการเดินทางในชีวิตประจำวัน ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน น่าตื่นเต้น มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความสุขภายในห้องโดยสารและการขับขี่Super-ONE Prototype
แพลตฟอร์มน้ำหนักเบาที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรถในกลุ่ม Honda N Series โดยมีการขยายความกว้างของตัวรถด้วยการใช้พื้นฐานโครงสร้างแชสซีส์ที่มีการขยายระยะห่างระหว่างล้อและซุ้มล้อมาใช้ นอกจากนี้ ยังรวมตำแหน่งของชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมากให้อยู่ในจุดเดียว และลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง ด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่แบบบาง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหลักของรถ EV ไว้ที่ศูนย์กลางใต้ท้องรถ
ด้วยวิธีการนี้ รถต้นแบบ Super-ONE จึงมีน้ำหนักเบาที่สุดรุ่นหนึ่งในกลุ่มรถยนต์ EV ในระดับ
A-segment และมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปขนาด Compact ทั่วไป ซึ่งจากจุดต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้รถต้นแบบ Super-ONE มีการตอบสนองต่อการควบคุมของผู้ขับได้อย่างฉับไว และมอบการควบคุมที่สมดุลและมั่นคงแม้ในขณะเข้าโค้ง โดยให้สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ และมั่นใจตลอดการขับขี่รถรุ่นผลิตจริงที่พัฒนาขึ้นจากรถต้นแบบ Super-ONE จะมาพร้อมกับฟังก์ชัน “Boost Mode” ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้เครื่องยนต์สามารถมอบสมรรถนะได้อย่างเต็มกำลัง พร้อมผสานการทำงานกับระบบจำลองเกียร์ 7 สปีด และระบบ Active Sound Control เพื่อสร้างเสียงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและให้ความรู้สึกการเปลี่ยนเกียร์ที่เฉียบคม เสมือนกำลังขับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่มีระบบเกียร์หลายจังหวะแบบดั้งเดิม
ระบบจำลองเกียร์ 7 สปีด จะมีการคำนวณความเร็วรอบเครื่องยนต์จำลองและตำแหน่งเกียร์แบบเรียลไทม์ โดยอิงจากการควบคุมของผู้ขับ เช่น การเหยียบคันเร่ง สภาพการขับขี่ ความเร็วของรถ รวมถึงพฤติกรรมของรถขณะเข้าโค้ง ด้วยการควบคุมกำลังการขับขี่และการตอบสนองอย่างเหมาะสม ผู้ขับจึงสามารถเพลิดเพลินกับการขับขี่ พร้อมกับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ นอกจากนี้ ระบบเกียร์จำลอง 7 สปีด ยังจำลองแรงกระชากจากการ “คิกดาวน์” ขณะเร่งความเร็ว และจำลองพฤติกรรมของรถขณะเกิด “fuel cut” ซึ่งเป็นการตัดการจ่ายเชื้อเพลิงชั่วคราวเพื่อปกป้องเครื่องยนต์และควบคุมรอบเครื่องให้เหมาะสม
ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ฮอนด้าจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์และเอกลักษณ์การขับขี่ที่มุ่งมั่นพัฒนามาตลอดหลายปีในยุครถสันดาป เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อ Super-ONE โดยเฉพาะ ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะมอบ “ความสนุกในการขับขี่” อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Super-ONE ซึ่งผสมผสานความรู้สึกระหว่างการเร่งความเร็วที่นุ่มนวลอย่างต่อเนื่องของรถ EV เข้ากับประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจของรถสันดาปได้อย่างลงตัว
*1 แนวคิด “man maximum, machine minimum (M/M)” เป็นแนวทางพื้นฐานในการออกแบบรถยนต์ของฮอนด้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ภายในรถ โดยการขยายพื้นที่สำหรับผู้โดยสาร และลดพื้นที่สำหรับชิ้นส่วนกลไกให้เหลือน้อยที่สุด
*2 เทคโนโลยีควบคุมแรงหน่วงให้สอดคล้องกับการหมุนพวงมาลัย เพื่อเพิ่มแรงกดที่ยางล้อหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะของล้อหน้า
*3 รถรุ่นผลิตจริง จะเปิดตัวภายใต้ชื่อที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค โดยในประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย จะใช้ชื่อว่า ‘Super-ONE’ ขณะที่บางประเทศในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย จะใช้ชื่อว่า ‘Honda Super-ONE’ และในสหราชอาณาจักรจะเปิดตัวภายใต้ชื่อ ‘Super-N’
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Motocycle1 Min Read
“ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ดันนักบิดดาวรุ่งไทยแสดงศักยภาพ คว้าท็อป 5 เอเชีย ศึก อิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 ฉายแววพัฒนาต่อยอดสู่ระดับโลก
การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ (Idemitsu Asia Talent Cup) คือรายการแข่งขันที่จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหานักแข่งดาวรุ่งจากเอเชียและโอเชียเนีย โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างเส้นทางสู่โมโตจีพีสำหรับเยาวชนที่มีพรสวรรค์ เช่นเดียวกับ –“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา
ความท้าทายสำคัญของนักบิดที่ลงทำการแข่งขันในรายการนี้คือการใช้รถแข่ง Honda NSF250R แบบ One Make เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบกันในเรื่องของตัวรถ ทุกคนแข่งขันกันด้วยมาตรฐานที่เท่าเทียม นั่นหมายความว่าทุกความสำเร็จและทุกคะแนนจากการแข่งขันจะมาจากทักษะของนักแข่งเอง
อีกทั้งสนามที่ใช้ทำการแข่งขันก็เป็นสนามที่มีมาตรฐานระดับโลกและใช้ในการจัดการแข่งขันโมโตจีพี โดยในปี 2025 รายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ทำหน้าที่เป็นเรซซัพพอร์ตของศึกโมโตจีพี สำหรับในฤดูกาล 2025 มีนักแข่งเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 27 คน โดย “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ส่ง “อุ้ม” นพรุธพงษ์ บุญประเวศ กับ “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง เข้าร่วมการแข่งขันในฐานะนักแข่งหลัก และผลักดัน “เฟอร์” ปัญจรุจน์ จิตวิรุฬห์ฉัตร เข้าร่วมการแข่งขันในฐานะนักแข่งไวลด์การ์ด
โดยนักบิดไทยทั้ง 3 คน สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเริ่มจาก “อุ้ม-นพรุธพงษ์” หมายเลข 20 ที่ลงทำการแข่งขันแบบเต็มฤดูกาลเป็นครั้งแรก สามารถเริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคว้าโพเดียมอันดับ 3 มาครองได้ในเรซแรกของฤดูกาลที่จังหวัดบุรีรัมย์
จากนั้น “อุ้ม-นพรุธพงษ์” ก็สามารถทำผลงานได้ดีต่อเนื่องในสนามที่ 2 ประเทศกาตาร์ เมื่อจบอันดับที่ 7 และ 4 ได้คะแนนสะสมเพิ่มอีก 22 คะแนน และสนามที่ 3 ประเทศมาเลเซีย นักบิดดาวรุ่งไทยก็โชว์ผลงานแซงดุเดือดจนคว้าอันดับที่ 4 และ 8 มาได้ พร้อมเก็บคะแนนสนามนี้ไปกว่า 21 คะแนน
สนามที่ 4 ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นสนามที่ “อุ้ม-นพรุธพงษ์” ได้แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของจิตใจหลังจากที่ไม่จบการแข่งขันในเรซแรกแต่เรซที่ 2 นักบิดดาวรุ่งไทยสามารถจบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 9 เก็บคะแนนสะสมเพิ่มมาอีก 7 คะแนน
สองสนามสุดท้าย “อุ้ม-นพรุธพงษ์” ยังคงทำผลงานได้อย่างน่าชื่นชมเมื่อสามารถจบอันดับที่ 6 และ 4 ที่ประเทศอินโดนีเซีย เก็บคะแนนสะสมได้ 23 คะแนน ก่อนจะส่งท้ายฤดูกาลด้วยการจบอันดับที่ 5 และ 9 ในสนามสุดท้ายที่ประเทศมาเลเซีย เก็บคะแนนสะสมได้ 18 คะแนน
“อุ้ม-นพรุธพงษ์” มีคะแนนสะสมรวม 120 คะแนน คว้าอันดับที่ 5 ของรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 มาครองได้อย่างน่าประทับใจเพียงแค่ฤดูกาลแรกที่ลงทำการแข่งขัน
ด้าน “ออสติน-ธนฉรรต” หมายเลข 5 ลงแข่งขันแบบเต็มฤดูกาลเป็นครั้งที่ 2 ก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน สนามแรกที่บุรีรัมย์ คว้าอันดับที่ 9 และ 6 เก็บคะแนนสะสมได้ 17 คะแนน จากนั้นแม้จะต้องพบกับสถานการณ์ไม่เป็นใจในสนามที่ 2 ประเทศกาตาร์ แต่นักแข่งดาวรุ่งไทยก็มุ่งมั่น และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจนกลับมาได้ในสนามถัดมาที่มาเลเซีย โดยจบอันดับที่ 12 และ 9 เก็บคะแนนสะสมได้ 11 คะแนน
สนามที่ 4 ประเทศญี่ปุ่น “ออสติน-ธนฉรรต” ต้องพบกับสนามที่มีความท้าทายและการแข่งขันที่เข้มข้น แต่นักบิดดาวรุ่งไทยก็จบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 13 และ 10 เก็บคะแนนสะสมได้ 9 คะแนน จากนั้นตามต่อด้วยสนามที่ 5 ประเทศอินโดนีเซีย “ออสติน-ธนฉรรต” แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเมื่อสามารถไล่แซงจนจบอันดับที่ 8 และ 9 เก็บคะแนนสะสมไปกว่า 15 คะแนน
สนามสุดท้ายนักแข่งดาวรุ่งไทยต้องพบกับความร้อน และการจัดการยางอันเป็นอุปสรรคสำคัญ แต่ด้วยเป้าหมายการคว้าท็อป 10 ทำให้ “ออสติน-ธนฉรรต” สู้ไม่มีถอยจนสามารถแก้ไขสถานการณ์ไล่แซงจนกลับมาจบอันดับที่ 14 และ 10 ได้ เก็บคะแนนสะสมเพิ่มไป 8 คะแนน “ออสติน-ธนฉรรต” มีคะแนนสะสมรวม 60 คะแนน คว้าอันดับที่ 11 ของรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025
ขณะที่ “เฟอร์-ปัญจรุจน์” หมายเลข 24 นักแข่งไวลด์การ์ดก็ทำผลงานได้ดีสามารถเรียนรู้และพัฒนาขึ้นมาได้หลังจากที่ต้องพบความผิดหวังในสนามแรกเมื่อไม่สามารถนำรถเข้าเส้นชัยรับธงตราหมากรุกได้ทั้งสองเรซ แต่สนามที่ 2 ประเทศกาตาร์ “เฟอร์-ปัญจรุจน์” บู๊ดุดันจนจบการแข่งขันด้วยอันดับ 8 และ 12 เก็บคะแนนไปได้ 12 คะแนน
จากนั้น “เฟอร์-ปัญจรุจน์” ก็ทำผลงานได้ดีจนเป็นที่จับตามองโดยสนามที่ 3 ประเทศมาเลเซีย นักบิดดาวรุ่งไทยทำผลงานรอบคัดเลือกได้อย่างยอดเยี่ยมก่อนจะจบการแข่งขันด้วยอันดับ 10 และ 6 เก็บไปได้อีก 16 คะแนน
สนามต่อมาที่ประเทศญี่ปุ่น “เฟอร์-ปัญจรุจน์” ต่อสู้อย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะในเรซ 2 ที่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเก็บคะแนนสะสมได้ท่ามกลางการแข่งขันสุดเข้มข้น โดยนักแข่งดาวรุ่งไทยจบการแข่งขันด้วยอันดับ 8 และ 15 เก็บคะแนนสะสมเพิ่มไป 9 คะแนน
สนามที่ 5 ประเทศอินโดนีเซีย เป็นสนามรองสุดท้ายของรายการแต่เป็นสนามสุดท้ายของ “เฟอร์-ปัญจรุจน์” โดยนักบิดดาวรุ่งไทยแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการจากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้อย่างยอดเยี่ยม แม้ต้องพบกับสถานการณ์ที่ท้าทายแต่ “เฟอร์-ปัญจรุจน์” ก็สามารถจบการแข่งขันด้วยอันดับ 16 และ 14 เก็บคะแนนสะสมส่งท้ายได้ 2 คะแนน “เฟอร์-ปัญจรุจน์” มีคะแนนสะสมรวม 39 คะแนน คว้าอันดับที่ 13 ของรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 นับเป็นผลงานที่ได้รับการจับตามองอย่างมากสำหรับนักแข่งไวลด์การ์ดชาวไทย
การแข่งขันรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 ได้ปิดฉากฤดูกาลลงไปเป็นที่เรียบร้อย นักแข่งดาวรุ่งไทยภายใต้การสนับสนุนของ “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่น แม้ต้องเจอการแข่งขันที่เข้มข้น แต่ทุกคนก็พิสูจน์ฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยม
แฟนมอเตอร์สปอร์ตส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ : https://facebook.com/HondaRacingTeamTH
#ThaiHonda #HondaRacingThailand #RaceToTheDream #RoadToMotoGP #Motorsport #AsiaTalentCup #IATC #Austin5 #Aum20 #Fer24
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
ปอร์เช่เปิดตัว มาคันน์ จีทีเอส รุ่นพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ส่งความทรงพลังและเร้าใจเต็มพิกัด
ปอร์เช่ต่อยอดความสำเร็จในกลุ่มรถยนต์ SUV พลังงานไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัว มาคันน์ จีทีเอส (Macan GTS) รุ่นใหม่ ที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตและมอบประสบการณ์การขับขี่อันเร้าใจ มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 420 กิโลวัตต์ (571 แรงม้า) ในโหมดโอเวอร์บูส พร้อมระบบล็อกเฟืองท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า และช่วงล่างถุงลมสปอร์ตที่สามารถปรับระดับความสูง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและการทรงตัวอย่างเหนือระดับ มาคันน์ จีทีเอส ตั้งมาตรฐานใหม่แห่งความคล่องตัวและสมรรถนะการขับขี่ ถ่ายทอดเอกลักษณ์แห่งความสปอร์ตในแบบฉบับจีทีเอสอย่างแท้จริง โดยรุ่นนี้ถือเป็น รุ่นย่อยที่ 5 ของตระกูลมาคันน์ไฟฟ้า โดดเด่นด้วยดีไซน์เฉพาะตัวและการตกแต่งภายนอกด้วยสีดำ สะท้อนถึงพลัง ความหรูหรา และบุคลิกเฉพาะตัวในแบบปอร์เช่
สตุ๊ทการ์ท. จีทีเอส (GTS) สามตัวอักษรที่ครองใจสาวกปอร์เช่มาตั้งแต่การเปิดตัว 904 คาร์เรร่า จีทีเอส (Carrera GTS) ในปี 1963 โดยครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ชื่อ จีทีเอส จะปรากฏบนมาคันน์ รุ่นพลังงานไฟฟ้า โดย มาคันน์ จีทีเอส ใหม่ สามารถถ่ายทอดสมรรถนะการขับขี่และอัตราเร่งที่เหนือระดับ โดยทำความเร็วจาก 0–100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.8 วินาที ทำความเร็วถึง 200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 13.3 วินาที และมีความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
เช่นเดียวกับรุ่น มาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo) มาคันน์ จีทีเอส จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพลาหลังซึ่งทรงพลังที่สุดในตระกูลมาคันน์ โดยชุดขับเคลื่อนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 230 มิลลิเมตร และความยาวแกนมอเตอร์ 210 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับอินเวอร์เตอร์พัลส์แบบซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) ที่มีกระแสไฟฟ้าสูงสุดถึง 900 แอมป์ และมอเตอร์ไฟฟ้าใน มาคันน์ จีทีเอส สามารถสร้างพละกำลังได้สูงสุด 380 กิโลวัตต์ (516 แรงม้า) และเพิ่มขึ้นเป็น 420 กิโลวัตต์ (571 แรงม้า) เมื่อใช้งานในโหมด Launch Control เพื่อเรียกใช้กำลังสูงสุด ส่งแรงบิดสูงสุด 955 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังที่มาพร้อมอัตราทด 9.0:1 ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อรองรับแรงบิดมหาศาลของรถสมรรถนะสูงรุ่นนี้
มาคันน์ จีทีเอส สามารถขับขี่สูงสุดตามมาตรฐาน WLTP ได้ไกลถึง 586 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง และเมื่อชาร์จเร็วแบบ DC แบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) สามารถชาร์จจาก 10 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ได้ภายในเวลา 21 นาที โดยมีความสามารถในการชาร์จสูงสุดถึง 270 กิโลวัตต์ (kW)
แพ็คเกจ Sport Chrono ได้ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน มาคันน์ จีทีเอส และมีการพัฒนาเพิ่มเติมด้วยโหมดแทรค แบบเดียวกันกับบนไทคานน์ เพื่อรองรับการขับขี่ด้วยสมรรถนะสูงสุด ในโหมดนี้จะมีการปรับเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนของแบตเตอรี่ เพื่อลดการสูญเสียกำลังจากความร้อนสะสม (Derating Effect) ซึ่งทำให้สามารถคงประสิทธิภาพการขับขี่ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น
ช่วงล่างถุงลมแบบสปอร์ต ปรับแต่งพิเศษสำหรับรุ่น จีทีเอส
สำหรับ มาคันน์ จีทีเอส ใหม่ ได้ถ่ายทอดสมรรถนะในรูปแบบของรถสปอร์ต ด้วยการผสมผสานและการกระจายน้ำหนักไปล้อหลัง (Rear-biased weight distribution) จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ พร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Porsche Traction Management (ePTM) แบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว และระบบ Porsche Torque Vectoring Plus (PTV Plus) ซึ่งติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนและความคล่องตัวในการเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ระบบล็อกเฟืองท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า (Electronically Controlled Differential Lock) ช่วยเสริมแรงยึดเกาะและความรวดเร็วในการขับขี่ โดยติดตั้งอยู่ด้านหลังมอเตอร์เพลาหลัง เพื่อการกระจายน้ำหนักแบบ 48:52 ที่เน้นไปทางด้านหลัง
มาคันน์ จีทีเอส มาพร้อมกับจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำที่สุดในรุ่นมาคันน์ โดยวิศวกรของปอร์เช่ได้พัฒนาช่วงล่าง
ถุงลมสปอร์ตให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมระบบควบคุมระดับช่วงล่าง และระบบควบคุมการทำงานของช่วงล่างแบบ Porsche Active Suspension Management (PASM) โดยมาคันน์ จีทีเอส มีความสูงจากพื้นลดลง 10 มิลลิเมตร พร้อมโช้คอัพและเหล็กกันโคลงที่ได้รับการปรับตั้งค่าเฉพาะรุ่น เพื่อความคล่องตัวและความแม่นยำในการเข้าโค้ง และสามารถเพิ่มสมรรถนะด้วยระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง ที่มีให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานบุคลิกสปอร์ตอันโดดเด่นของ มาคันน์ จีทีเอส ได้สะท้อนผ่านเสียงจำลองอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยระบบ Porsche Electric Sport Sound (PESS) พร้อมกับเสียงเฉพาะสำหรับรุ่นจีทีเอส 2 รูปแบบ โดยแต่ละเสียงจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งในโหมด Sport และ Sport Plus เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
การตกแต่งภายนอก: การตกแต่งด้วยโทนสีดำและสเกิร์ตข้างดีไซน์พิเศษ
การตกแต่งของ มาคันน์ จีทีเอส ใหม่ มาพร้อมการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยชิ้นส่วนตกแต่งภายนอกด้วยสีดำรอบคัน ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่ ในรุ่นจีทีเอส โดยเฉพาะไฟหน้า Matrix LED แบบรมดำ และเส้นขอบด้านนอกของช่องลมด้านหน้า
ตั้งแต่ต้นปี 2026 เป็นต้นไป ปอร์เช่ เตรียมเปิดตัวชุดตกแต่ง Sport Design ใหม่สำหรับมาคันน์ โดยมาพร้อมกันชนหน้าและกันชนหลังในรูปแบบใหม่ โดย มาคันน์ จีทีเอส จะเป็นรุ่นแรกที่มีการใช้ชุดตกแต่งใหม่นี้ ซึ่งไม่เพียงติดตั้งมาเป็นมาตรฐานเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมการออกแบบเฉพาะตัวในแบบฉบับของจีทีเอส การตกแต่งภายนอกในส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนตกแต่ง, แผงตกแต่งด้านข้างตัวรถ, ขอบซุ้มล้อ และ ขอบสปอยเลอร์หลังแบบปรับได้ ล้วนได้รับตกแต่งในโทนสีดำอย่างมีเอกลักษณ์
สเกิร์ตข้างดีไซน์ใหม่ที่ขยายกว้างขึ้นในส่วนท้าย ช่วยเพิ่มความสปอร์ตและทรงพลัง โดยด้านล่างของกันชนท้ายยังได้รับการออกแบบใหม่อย่างโดดเด่นด้วยชิ้นส่วนตกแต่งสีดำและแผงดิฟฟิวเซอร์ โดยมีไฟท้ายรมดำที่ออกแบบให้เข้ากับไฟหน้าได้อย่างลงตัว พร้อมล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ลาย Macan Design สี Anthracite Grey เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังสามารถเลือกอัปเกรดเป็นล้อขนาด 22 นิ้ว ลาย RS Spyder Design สีเดียวกันได้อีกด้วย
การเปิดตัว มาคันน์ จีทีเอส ใหม่ มาพร้อมตัวเลือกสีตัวถังทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สี Crayon ยอดนิยมที่กลับมาอีกครั้ง สี Carmine Red ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่นจีทีเอส และเป็นครั้งแรกสำหรับมาคันน์กับสี Lugano Blue นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกอีกกว่า 15 เฉดสีผ่าน Porsche Car Configurator พร้อมทางเลือกเพิ่มเติมจาก Porsche Exclusive Manufaktur ที่มีเฉดสีพิเศษกว่า 60 เฉด ผ่านแพ็คแกจ Paint to Sample
การตกแต่งภายใน: เลือกการตัดเย็บในสีที่เข้ากับตัวรถ
เพื่อถ่ายทอดความสปอร์ตจากภายนอกสู่ภายใน มาคันน์ จีทีเอส จะมาพร้อมห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยวัสดุ Race-Tex ผสานกับหนังเรียบสีดำ โดยวัสดุ Race-Tex จะนำมาใช้บนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ GT Sports ที่มาพร้อมระบบทำความร้อน ที่วางแขนบริเวณคอนโซลกลางและแผงประตู รวมถึงแดชบอร์ด นอกจากนี้ เบาะนั่งสปอร์ตแบบปรับได้ 18 ทิศทางยังมาพร้อมเบาะที่หุ้มด้วยวัสดุ Race-Tex ส่วนด้านข้างของเบาะและพนักพิงศีรษะที่ตกแต่งด้วยหนังเรียบ
เป็นครั้งแรกในมาคันน์ ไฟฟ้า ที่มาพร้อมกับแพ็คเกจตกแต่งภายในแบบ GTS Interior Package ซึ่งสามารถเลือกการตกแต่งภายในให้เข้ากับสีภายนอกของตัวรถได้ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 เฉดสี ได้แก่ สี Carmine Red, สี Slate Grey Neo และ สี Lugano Blue โดยจะมีการตกแต่งด้วยตะเข็บด้ายสีตัดกันทั้งบนเบาะนั่ง พวงมาลัย แผงประตู ด้านบนของแผงหน้าปัด รวมถึงเข็มขัดนิรภัย และอักษร ‘GTS’ บนพนักพิงเบาะ และบนพวงมาลัยยังมีการตกแต่งด้วย ตราสัญลักษณ์ ‘GTS’ สีเดียวกับภายนอก รวมถึงในแพ็คเกจยังมี Carbon Interior Package ด้วยการตกแต่งคาร์บอนไฟเบอร์บนพวงมาลัย แผงหน้าปัด และแผงประตูอีกด้วย
เอกลักษณ์ของจีทีเอส ได้ถ่ายทอดสู่ห้องโดยสารดิจิทัลของมาคันน์ จีทีเอส โดยภาพจำลองตัวรถแบบ 3 มิติ บนหน้าจอแสดงผลกลาง จะเป็นสีเดียวกับสีตัวถัง พร้อมกับชุดมาตรวัดที่มีการตกแต่งด้วยอักษร ‘GTS’ นอกจากนี้ ฟังก์ชันต่าง ๆ ของแพ็คเกจ Sport Chrono ได้ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ระบบจับเวลาต่อรอบ การบันทึกข้อมูลเทเลเมทรี และการวิเคราะห์ช่วงเวลาในแต่ละเซกเตอร์ โดยสามารถใช้งานผ่านแอปพลิเคชันบนหน้าจอแสดงผลกลาง
ระบบช่วยขับขี่ ความสะดวกสบาย และความบันเทิงรูปแบบใหม่
มาคันน์ จีทีเอส มาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดที่ได้รับการอัปเดตเช่นเดียวกับรุ่นย่อยอื่น ๆ ในตระกูลมาคันน์ โดยมีการพัฒนาเพิ่มเติมในด้านระบบช่วยขับและฟังก์ชันดิจิทัล ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะรุ่นใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม และความสามารถในการลากจูงสูงสุดเพิ่มเป็น 2,500 กิโลกรัม
มาคันน์ จีทีเอส เปิดรับจองแล้วที่ตัวแทนจำหน่ายของปอร์เช่อย่างเป็นทางการ ในราคาเริ่มต้น 7,290,000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ทางการของปอร์เช่ ประเทศไทย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News Motocycle1 Min Read
เดิมพัน “บัลลังก์แชมป์” ประเทศไทย! NEXZTER BRIC Superbike 2025 ชิงดำสนาม 4 ดวล 2 เรซตัดสิน
ศึกสองล้อเบอร์หนึ่งของไทย “เน็กซ์เตอร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์” เตรียมปิดฉากฤดูกาล 2025 ด้วยสนามตัดสินแชมป์ประจำปี ระหว่างวันที่ 21-23 พ.ย.ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยจะมีการดวลความเร็วถึง 2 เรซ เพื่อชี้ชะตาว่าใครคือ เจ้าของบัลลังก์เจ้าความเร็วประเทศไทยตัวจริง ในทุกรุ่น! พร้อมเปิดตัวครั้งแรกกับการแข่งขันเอ็นดูร้านซ์ สุดท้าทายในรุ่น ซูเปอร์สต็อก 1000 ซีซี 120 นาที บททดสอบความอึดของทีมแข่งไทย!
การแข่งขันรายการ NEXZTER BRIC Superbike Championship ถือเป็นเวทีสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ตสองล้อไทย ด้วยมาตรฐานการจัดการระดับโลก ทั้งในด้านสนาม ทีมแข่ง มีนักบิดชาวไทย-ต่างชาติ ร่วมรายการมากมาย ทำให้การลุ้นแชมป์ประจำปีนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หลังผ่าน 3 สนามที่ผ่านมา สถานการณ์คะแนนสะสมในรุ่นสำคัญมีความเบียดกันอย่างหนัก โดยเฉพาะใน 2 เรซสุดท้ายของปี ที่ทุกแต้มจะมีความหมายต่อการตัดสินบัลลังก์แชมป์ประเทศไทยตัวจริง
สถานการณ์คะแนนสะสม: การช่วงชิงตำแหน่งจ่าฝูงที่ดุเดือด
สำหรับ “คะแนนสะสม” รุ่นซูเปอร์ไบค์ 1000 ซีซี (SB1 Pro) รุ่นใหญ่ที่สุดของไทยยังคงเป็น “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ เจ้าของดีกรีแชมป์เอเชียจาก อีสต์ เอ็นเจที เรซซิ่ง ทีม นำเป็นจ่าฝูง มี 70 คะแนน
ตามด้วย 2 นักบิดที่มีคะแนนเท่ากันที่ 49 คะแนน ได้แก่ “บอล” จักรกฤษณ์ แสวงสวาท จาก ไบค์สตอรี พีทีที ลูบริแคนท์ส ยามาฮ่า เรซซิ่ง ทีม และ “มิกซ์” ธนัช ละอองปลิว นักบิดดาวรุ่งสายเลือดใหม่ อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม คริสมาส กลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การลุ้นแชมป์ต้องไร้เงา “ซุป” อนุชา นาคเจริญศรี นักบิดจอมเก๋า ที่แม้จะทำคะแนนสะสมมาอย่างดี แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บระหว่างแข่งขันสนามที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถลงแข่งขันในสนามที่ 4 นี้ได้ และยังคงอยู่ในช่วงพักรักษาตัว
ด้าน “เบนซ์ เรซซิ่ง” อริย์ธัช วรโรจน์เจริญเดช นักบิดคนดังจาก เรปโซล อาร์-ซีรีส์ ทีม ในรุ่นซูเปอร์ไบค์ 1000 ซีซี (SB2) ยังคงรักษาฟอร์มร้อนแรง รั้งอันดับ 2 บนตารางคะแนนสะสมที่ 61 แต้ม คะแนนไล่จี้ผู้นำ เพียง 4 แต้มเท่านั้น ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่เปิดกว้างอย่างยิ่งสำหรับการช่วงชิงตำแหน่งแชมป์ประจำปีใน 2 เรซตัดสินนี้
ส่วนรุ่นซูเปอร์สต็อก 1000 ซีซี (ST1) “นทีธาร ทองโคตร” จากทีม ยามาฮ่า ทีเอ็นพี พีทีที ลูบริแคนท์ส ทำผลงานยอดเยี่ยมคว้าแชมป์ 3 สนามติดต่อกัน รั้งตำแหน่งผู้นำด้วยคะแนนสะสม 75 คะแนนเต็ม โชว์ผลงานโดดเด่นต่อเนื่องตลอดฤดูกาล ตามมาด้วยอันดับ 2 คือ ตะวัน ตั้งจิตรเจริญกุล จาก ทีเค ฮอนด้า อิเดมิตสึ สิทธิผล ดิเรก ทีมด้วยคะแนน 53 คะแนน และอันดับ 3 คือ อภิเดช บุญศรี จาก จาก ฮานูยา เรซซิ่ง ทีม เพิ่มสินทรานสปอร์ต พรเจริญก่อสร้าง ด้วยคะแนน 45 คะแนน
รุ่นซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี (SS1Pro) ต่อศักดิ์ นวลสาย จาก ยามาฮ่า ทีเอ็นพี พีทีที ลูบริแคนท์ส นำเป็นจ่าฝูงด้วยคะแนนสะสม 61 คะแนน ตามมาด้วย “ไฮเปค” กฤษฎา ธนโชติ ดาวรุ่งจาก อีสต์ เอ็นเจที พีทีที ลูบริแคนท์ส เรซซิ่ง ทีม มี 50 คะแนน อันดับ 3 คือ “จิมมี่” บูรพา วันมูล ดาวรุ่งจาก อาซูจิโร่ อู่ช่างต่อลพบุรี ลิควิโมลี ด้วยคะแนน 46 คะแนน ขณะที่ “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม คริสมาส อยู่ที่อันดับ 4 มี 36 คะแนน
รุ่นซูเปอร์สปอร์ต 250 ซีซี (SS1Pro) พีระพงษ์ หลุยบุญเป็ง นักบิดจอมเก๋าจาก สปีด800 นำเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนนสะสม 61 คะแนน โดยมี วัชรินทร์ ทับทิมอ่อน จากอีสต์ เอ็นเจที พีทีที ลูบริแคนท์ส เรซซิ่ง มี 40 คะแนน และ “เอิร์ธ” ธุรกิจ บัวผา จาก ไฮสปีด เรซซิ่ง ทีม มี 40 คะแนน ไล่กดดันมาติด ๆ ด้วยคะแนนสะสมที่เท่ากัน พร้อมจะแซงบดขยี้กันขึ้นนำได้ใน 2 เรซตัดสินนี้
สำหรับการแข่งขันในรุ่นเล็กอย่าง สปอร์ต โปรดักชั่น 400 ซีซี ที่มีนักบิดต่างชาติลงแข่งขันและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ผู้นำบนตารางคะแนนเป็นของ ทัสมาย คาเรียปปา นักบิดอินเดีย จาก เน็กซ์เตอร์ ลิควิ โมลี ยามาฮ่า โมริเท็ค เอวีอาร์พี เรซซิ่ง มี 45 คะแนน อันดับ 2 หนี เถียน นักบิดจีนจาก ศักดิ์สิริ เรซซิ่ง ทีม บุรีรัมย์ 27 คะแนน อันดับ 3 ลูปิน ทัคคัลละปัลลี นักบิดอินเดียอีกคนจาก เน็กซ์เตอร์ ลิควิ โมลี ยามาฮ่า โมริเท็ค เอวีอาร์พี เรซซิ่ง คะแนนตามติดมี 26 คะแนน
เปิดตัว! ซูเปอร์สต็อก 1000 ซีซี เอ็นดูรานซ์ : บททดสอบ “ความเร็ว ความอึด และทีมเวิร์ก”
นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าววว่า “สนามสุดท้ายคือ ความสำคัญสูงสุดของฤดูกาลนี้ ทุกคะแนนมีค่า และเราจะได้เห็นการทุ่มเทอย่างสุดกำลังของนักแข่งทุกคนเพื่อคว้า บัลลังก์แชมป์ประจำปีมาครอง ”
ความพิเศษของสนามนี้ว่า นอกจากการตัดสินแชมป์ประจำปีที่มี 2 เรซสุดเดือดแล้ว เรายังได้เพิ่มความตื่นเต้นด้วยรุ่นใหม่! ซูเปอร์สต็อก 1000 ซีซี เอ็นดูรานซ์ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ NEXZTER BRIC Superbike นี่คือการแข่งขันที่แตกต่างออกไป เป็นการดวลความอึดต่อเนื่อง 120 นาทีเต็ม ที่ไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วของนักแข่ง แต่คือบทพิสูจน์ของทีมงานทั้งหมด ทั้งกลยุทธ์พิตสต็อป การบริหารเชื้อเพลิง และการทำงานเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ แข่งขันกันในวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย. 2568 นี้ เวลา 15.25 – 17.25 น.
มาร่วมติดตามการแข่งขันและให้กำลังใจนักบิดไทยได้ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยสามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ที่หน้างาน วันเสาร์ที่ 22 พ.ย. และ วันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย. บริเวณทางขึ้น Grandstand ราคาเพียง 100 บาท/วัน, บัตรวีไอพี 500 บาท / 1 วัน! ร่วมกิจกรรมพิตวอล์ค กระทบไหล่นักบิด พร้อมกิจกรรมความสนุก ลุ้นรับของที่ระลึกมากมาย ในวันอาทิตย์ เวลา 11.40-12.10 น. “ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย”
ทั้งนี้ ศึก “เน็กซ์เตอร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์” สนามที่ 4 จะเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมและควอลิฟาย เพื่อจัดอันดับสตาร์ตในวันศุกร์ที่ 21 พ.ย. วันเสาร์ที่ 22 พ.ย. เป็นการชิงชัยในเรซที่ 1 และปิดท้ายรอบชิงชนะเลิศ เรซที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย.นี้
พิเศษ! บัตรชมการแข่งขัน “เน็กซ์เตอร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์” มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่บัตร VIP โค้ง 12 และบัตร Paddock Pass + Official Guide Tour (Paddock Raffle) และบัตร PIT Lane Walk ชมการแข่งขันโมโตจีพี 2026 ในกิจกรรม “Chang Int’s Friend Pass” เพียงถ่ายรูปคู่กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มตราช้าง และบัตรชมการแข่งขัน ภายในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต แล้วโพสต์รูปลง Facebook ส่วนตัวและบรรยายความรู้สึก พร้อมติด #ChangFriendPass และ Tag ไปยังเพจ Chang Circuit Buriram รวมถึงเปิดเป็นสาธารณะ และ Capture ภาพที่โพสต์ส่งมาที่ inbox เพจ Chang Circuit Buriram เพื่อยืนยันร่วมกิจกรรม
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางแฟนเพจ Chang Circuit Buriram และ BRIC Superbike 2025
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ และกลุ่มตรีเพชร ร่วมถวายอาลัย “สมเด็จบรมราชชนนีพันปีหลวง”
คณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด และบริษัทในกลุ่มตรีเพชร ร่วมน้อมถวายอาลัยต่อการเสด็จสู่สวรรคาลัยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ พร้อมจัดกิจกรรมเชิญชวนให้พนักงานทำริบบิ้นดำ และร่วมลงนามถวายอาลัยหน้าพระฉายาลักษณ์ และตกแต่งอาคารด้วยผ้าสีดำ-ขาว บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานใหญ่บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ศูนย์อะไหล่อีซูซุมีนบุรี และอื่น ๆ
ในพิธีถวายอาลัยซึ่งจัดขึ้นที่ห้องประชุมชั้น 20 ของอาคารสำนักงานใหญ่นั้น มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เป็นผู้กล่าวนำ โดยมี คณะผู้บริหารของบริษัทในกลุ่มตรีเพชรร่วมยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 3 นาที หลังจากนั้นได้ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และก้มศีรษะกราบสงบนิ่งเป็นเวลา 30 วินาที เพื่อถวายบังคมและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนีพันปีหลวง ที่ทรงมีต่อทั้งปวงชนชาวไทยและประเทศไทยตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News Car2 Min Read
B-Quik Thailand Super Series และ TSS The Super Series by B-Quik ปูพรมทัพตัวแรง ซิ่งสนั่น “ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต” บุรีรัมย์ ฝ่ามรสุม 3 ฤดู ปิดฉากสมศักศรีดิ์ เกมส์ตัดสินแชมป์ประจำปี 2025
บริษัท เรซซิ่ง สปิริต จำกัด ผู้จัดการแข่งขันกีฬารถยนต์ทางเรียบระดับนานาชาติ ภายใต้การรับรองโดยราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬา (ร.ย.ส.ท.) ภายใต้กฎของสมาพันธ์แข่งขันรถยนต์นานาชาติ (International Sporting Code of FIA) ด้วยมาตรฐานระดับสากลที่ทั่วโลกยอมรับ
รวมพลทัพรถแข่งระดับแนวหน้าของเมืองไทย “B-Quik Thailand Super Series และ TSS The Super Series by B-Quik 2025” เดินหน้าสู่ “ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต” บุรีรัมย์ เปิดศึกนัดสุดท้ายแห่งฤดูกาล 2025
โปรแกรมการแข่งขัน B-Quik Thailand Super Series 2025 เปิดฉากด้วยรุ่น Thailand Super Eco ทำศึกกันถึง 3 สนาม โดยผลงาน “เรซที่ 6” เป็นชัยชนะอันยอดเยี่ยมจากนักแข่งสาวฝีมือฉกาจ “หมายเลข 9 เมฆรัชคีฏาก์ กะลันตานนท์ จาก RUK Racing Team” ส่วนใน “เรซที่ 7” แม้ เมฆรัชคีฏาก์ กะลันตานนท์ จะรั้งตำแหน่งผู้นำมาตลอด แต่เกมส์เปลี่ยนในรอบสุดท้ายกลายเป็น “หมายเลข 89 วรัญชิต วัฒนาธนกุล จาก Wing hin Motorsports X Ruk Team” คว้าชัยชนะไปครอง ปิดท้ายด้วย “เรซที่ 8” อันดุเดือดกับสถานการณ์ที่พลิกผันตลอดเวลา และจบลงด้วยชัยชนะอีกครั้งของ “หมายเลข 89 วรัญชิต วัฒนาธนกุล จาก Wing hin Motorsports X Ruk Team”
รุ่น Super Touring ศึก 60 นาทีสุดมันส์ “เรซที่ 7” มากับผลงานโดดเด่นของ YK Motorsports ทั้งการครองโพล โพสิชั่น โดย หมายเลข 14 จาก YK Motorsports และการคว้าชัยชนะแบบไร้ข้อผิดพลาดของ “หมายเลข 7 ภาสฤทธิ์ พรหมสมบัติ แห่ง YK Motorsports” รวมถึงใน “เรซที่ 8” ซึ่ง “หมายเลข 14 โดย ฐนโรจน์ ธนาสิทธิ์นิธิเกตุ จับคู่ ณัฐนิช ลีวัฒนาวรากุล จาก YK Motorsports” คว้าชัยชนะไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย เก็บแชมป์ไปได้ทั้ง 2 สนาม
Thailand Super Pickup D2 (Class C) เปิดศึกต่อเนื่อง 3 เรซ เช่นกัน โดย “เรซที่ 6” เป็นผลงานของ “หมายเลข 58 ศุภมงคล เดชเพชร จาก ชาบูเถ้าแก่บิ๊ก, Tum Clutch, Mk Sport, Akana, CNC รักกัญ By อู๊ดอ๋องระยอง” สตาร์ทจากโพล โพสิชั่น ขึ้นนำยาวคว้าผู้นำ และชัยชนะไปแบบม้วนเดียบจบ ทางด้าน “เรซที่ 7” สถานการณ์เดือดตลอดช่วงการแข่งขัน ก่อนที่ตำแหน่งแชมป์จะถูกคว้าไปโดย “หมายเลข 90 แสงชัย วรรณทิม จาก 6.9 Ricther Konmeen อู่สีบังมัด Tum Monster Frank Remap” ปิดท้ายด้วย “เรซที่ 8” ซึ่งความเดือดของเกมส์การแข่งขันไม่ด้อยไปกว่ากัน และ “หมายเลข 58 ศุภมงคล เดชเพชร จาก ชาบูเถ้าแก่บิ๊ก, Tum Clutch, Mk Sport, Akana, CNC รักกัญ By อู๊ดอ๋องระยอง” คือผู้ที่สามารถเก็บแชมป์ไปได้อีกครั้ง
ด้านรุ่นใหญ่ Thailand Super Pickup D1 (Class A-B) เริ่มกันที่ “เรซ 6” เจ้าของดีกรีแชมป์หลายสมัย “หมายเลข 15 ธณพล ชูเจริญผล Nexzter, MKSport, HYB, Speed Oil, Motul, AKANA by อู๋ดอ๋องระยอง” รักษาฟอร์มได้ยอดเยี่ยมด้วยการคว้าแชมป์ไปครอง ส่วน “เรซที่ 7” เป็นผลงานของ “หมายเลข 85 อลงกรณ์ แซ่ตั้ง จาก Nexzter, MKSport, HYB, Speed Oil, Motul, AKANA by อู๋ดอ๋องระยอง” ที่สตาร์ทจากโพล โพสิชั่น ขึ้นนำรวดเดียวจบการแข่งขัน ครองแชมป์ไปอย่างสวยงาม และท้ายสุด “เรซที่ 8” อันดุเดือดท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน กับผลงานสุดประทับใจในการคว้าชัยของ “หมายเลข 3 Sandy Stuvik (แซนดี้ สตูวิค) จาก Aurora Ford Thailand Racing”
สำหรับโปรแกรมการแข่งขัน TSS The Super Series by B-Quik 2025 คือ ความดุเดือดของเกมส์ดวลความเร็ว 60 นาทีจาก4 รุ่น Class Supercar เริ่มด้วยรุ่น TSS Supercar GTC “เรซที่ 7” กับ “หมายเลข 88 Damien Hamilton (เดเมียน แฮมิลตัน) จาก SPEED FACTORY-FORD-MILLERS” ผู้นำในรุ่น ที่โชว์ฟอร์มนำม้วนเดียวจบ รับแชมป์ไปครอง ก่อน “อกหัก” ใน “เรซที่ 8” และยกชัยชนะให้ “หมายเลข 9 Toyota Gazoo Racing Thailand โดย อัครพงศ์ อัคนีนิโรธ และ กฤษฏิ์ วสุรัตน์” หนึ่งเดียวในรุ่นไปครอง
TSS Supercar GT4 มากับสถานการณ์ ซึ่งพลิกผันตั้งแต่นาทีแรกทั้ง 2 เรซ โดยใน “เรซที่ 9” “หมายเลข 1 AAS Motorsport โดย คมิก กรรณสูต และ กันตธีร์ กุศิริ” โชว์ฟอร์มดี วิเคราะห์เกมส์ขาด จนสามารถเก็บแชมป์ไปครองได้สำเร็จ แต่ทางด้าน “เรซที่ 10” ต้องยอมรับความพยายามของ “หมายเลข 39 Wing Hin Motorsports โดย Naquib Azlan (นาควิบ อัซลัน) และ Mitchell Cheah Min Jie (มิทเชล เชีย มิน จาย)” ซึ่งสู้ถึงนาทีสุดท้าย จนสามารถเก็บชัยชนะไปครองอย่างสมศักศรีดิ์
สุดท้าย 2 รุ่นใหญ่ TSS Supercar GTM ถือได้ว่าเป็นเวทีเปิดตัวการกลับมาอันยอดเยี่ยมของ “หมายเลข 88 CRE RACING โดย Craig Corliss (เคร็ก คอร์ลิส) และ Jaylyn Robotham (เจย์ลิน โรโบธาม)” อย่างแท้จริง ด้วยฐานะผู้นำของรุ่น ที่ออกสตาร์ทนำแบบม้วนเดียวจบ รับถ้วยแชมป์ไปครองทั้ง “เรซที่ 9” และ “เรซที่ 10” อย่างภาคภูมิใจ
ขณะที่รุ่น TSS Supercar GT3 “หมายเลข 18 AAS Motorsport โดย วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์ และ Laurin Heinrich (เลาริน ไฮน์ริช)” ปิดฉากฤดูกาลด้วยการสตาร์ทจากโพล โพสิชั่น ซิ่งม้วนเดียบจบ คว้าแชมป์ “เรซที่ 9” ไปได้โดยไร้ข้อผิดพลาด และสมศักศรีดิ์ เช่นเดียวกับผลงานของ “หมายเลข 12 Singha Motorsport Team Thailand โดย ปิติ ภิรมย์ภักดี และ กันตศักดิ์ กุศิริ” ใน “เรซที่ 10” ซึ่ง ออกสตาร์ทจากโพล โพสิชั่น ซิ่งม้วนเดียบจบเช่นกัน และคว้าแชมป์ “เรซที่ 10” ไปได้ยิ่งใหญ่ สมฐานะศึกปิดฤดูกาล
สำหรับโปรแกรมการแข่งขัน B-Quik Thailand Super Series และ TSS The Super Series by B-Quik 2025 ซึ่งปิดฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทาง บริษัท เรซซิ่ง สปิริต จำกัด ผู้จัดการแข่งขันกีฬารถยนต์ทางเรียบระดับนานาชาติ ต้องขอขอบคุณการตอบรับอย่างมากมาย ทั้งจากนักแข่ง และทีมแข่ง ในทุกรุ่นการแข่งขันที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกๆ การติดตาม และการสนับสนุนจากแฟนมอเตอร์สปอร์ต และแฟนรายการ B-Quik Thailand Super Series และ TSS The Super Series by B-Quik ซึ่งเปรียบเสมือน “กำลังใจ” ให้ บริษัท เรซซิ่ง สปิริต จำกัด ในฐานะ “ผู้จัด” ให้ก้าวต่อไปเพื่อผลักดัน และพัฒนายกระดับมาตรฐาน “การจัดการแข่งขัน” ในฤดูกาลต่อๆ ไปให้ดียิ่งขึ้น
และจนกว่าจะพบกันใหม่ แฟนรายการที่พลาดรับชมความมันส์ ความดุเดือด ตลอดฤดูกาลของการแข่งขัน B-Quik Thailand Super Series และ TSS The Super Series by B-Quik 2025 สามารถรับชมย้อนหลัง รวมถึงข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้จากหลากหลายช่องทาง อาทิ Facebook Fanpage : Thailand Super Series, www.thailandsuperseries.net, และ Youtube : Thailand Super Series
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
กลุ่มธนบุรี ผนึก GEELY จัดประชุมผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ชูแผนเปิดตัว GEELY EX2 พร้อมยกระดับบริการหลังการขาย
กลุ่มธนบุรี ภายใต้ชื่อ บริษัท ธนบุรีนอยสเติร์น จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ จีลี่ (GEELY) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย จัดงาน GEELY Dealer Conference ภายใต้แนวคิด ‘Ignite the Future’ จุดประกายอนาคตแห่งการขับเคลื่อนใหม่ของ GEELY ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต เผยทิศทางแบรนด์และกลยุทธ์การตลาดแก่พันธมิตรและผู้จำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมผนึกกำลังวางแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ GEELY EX2 ที่เตรียมประกาศราคาครั้งแรกใน Motor Expo 2025 งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ มุ่งขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์สู่เซกเมนต์ใหม่ ควบคู่การยกระดับบริการหลังการขายด้วยประสบการณ์ 85 ปีของกลุ่มธนบุรี เพื่อเสริมศักยภาพเครือข่ายผู้จำหน่ายและสร้างความมั่นใจสูงสุดแก่ลูกค้าชาวไทยในทุกมิติ
นายณรงค์ สีตลายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรีนอยสเติร์น จำกัด เผยว่า “ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของไทยจากการเข้ามาของหลากหลายแบรนด์ใหม่ สิ่งนี้สะท้อนชัดเจนว่าตลาดยังคงมีศักยภาพการเติบโตสูง และนี่คือโอกาสที่ GEELY จะเข้ามาสร้างจุดยืนที่ชัดเจนได้อย่างแท้จริง ความสำเร็จของ GEELY EX5 นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ด้วยยอดจองและการส่งมอบที่เป็นไปตามแผน คือหนึ่งในข้อพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคชาวไทย และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับไลน์ผลิตภัณฑ์พร้อมมอบทางเลือกใหม่ตอบโจทย์หลากหลายเซกเมนต์มากขึ้น เราจึงเตรียมเปิดตัว GEELY EX2 รุ่นพวงมาลัยขวาครั้งแรกในโลก ในช่วงปลายปี 2568 นี้ ขณะเดียวกัน เรายังวางรากฐานระยะยาวผ่านแผนขยายโชว์รูมและศูนย์บริการกว่า 40 แห่งภายในปีนี้ โดยมุ่งยึดมาตรฐานที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั่วประเทศ รวมถึงเตรียมเปิดตัวโชว์รูมระดับเรือธงแห่งแรกในประเทศไทยเร็วๆ นี้ ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการบริการที่สร้างประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างแก่ลูกค้าไทย โดยมุ่งเป้าสร้างการเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรและผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค”
ภายในงานฯ บริษัท ธนบุรีนอยสเติร์น จำกัด ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการประกาศนโยบายและแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยชูจุดเด่นและสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เพียงโดดเด่นด้านคุณภาพและเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชาวไทย โดยทางบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า GEELY รุ่นใหม่เข้าตลาดประเทศไทยอย่างน้อย 1 รุ่นในทุกๆ ปี เสริมความแข็งแกร่งด้วยแผนการขายและการตลาด 360 องศา ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานบริการหลังการขาย ผ่านแผนการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการที่เปิดดำเนินการแล้ว 26 แห่ง โดยมุ่งเน้นการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในทุกมิติ การผสานความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ร่วม 85 ปีของกลุ่มธนบุรี เข้ากับศักยภาพของ GEELY ในฐานะผู้นำยนตรกรรมระดับโลกนี้จะช่วยผลักดันให้ GEELY ก้าวขึ้นสู่แถวหน้าในตลาดอีวีไทยได้อย่างมั่นคง
มร. แดเนียล ต่ง ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท จีลี่ ออโต้ อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น กล่าวเสริมว่า “GEELY มองว่าประเทศไทยคือหนึ่งในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่มีศักยภาพสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ด้วยปัจจัยสนับสนุนทั้งด้านนโยบายจากภาครัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า และความพร้อมของผู้บริโภคที่เปิดรับนวัตกรรมใหม่อย่างเต็มที่ ทำให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการขับเคลื่อนยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ การเปิดตัว GEELY EX2 ในประเทศไทย ไม่เพียงแต่จะสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค แต่ยังเป็นการตอกย้ำว่า GEELY พร้อมสนับสนุนพันธมิตรอย่าง ธนบุรีนอยสเติร์น อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการนำเข้าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการสร้างระบบนิเวศของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียน”
ทั้งนี้ GEELY EX2 ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากการเผยโฉมครั้งแรกในประเทศไทยภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ GEELY Star Wish ยนตรกรรมไฟฟ้าแฮทช์แบ็กขนาดกะทัดรัดที่พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ในตลาดรถไฟฟ้าขนาดเล็กของประเทศไทย โดดเด่นด้วยดีไซน์โค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน ที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีต และยังครบครันด้วยระบบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ซึ่งมีกำหนดประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ที่จะถึงนี้ โดยธนบุรีนอยสเติร์นเชื่อมั่นว่า GEELY EX2 จะเป็นอีกหนึ่งรุ่นสำคัญในการขยายฐานลูกค้าในประเทศไทยสำหรับ GEELY ในอนาคต
สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 02-081-9999 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.thonburineustern.com และ เฟสบุ๊ค Geely Thonburi Thailand
-
News Motocycle2 Min Read
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า นำทัพไลน์อัปในงาน EICMA 2025 ด้วยจักรยานยนต์ CB1000GT รุ่นใหม่ พร้อมเปิดตัวจักรยานยนต์ไฟฟ้า Honda WN7 เป็นครั้งแรกในโลก เพิ่มรุ่นจักรยานยนต์กลุ่ม Honda E-Clutch และชูต้นแบบเครื่องยนต์ V3R 900 E-Compressor
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เผยโฉมไลน์อัปใหม่ที่เสริมทัพความหลากหลายรับปี 2026 ภายในงาน EICMA ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ CB1000GT “สปอร์ตทัวเรอร์” รุ่นใหม่ และ Honda WN7 จักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของฮอนด้า พร้อมกันนี้ รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ยังภูมิใจนำเสนอต้นแบบเครื่องยนต์ V3R 900 E-Compressor Prototype ซึ่งรวมร่างเครื่องยนต์ V3 รุ่นใหม่เข้ากับคอมเพรสเซอร์ชนิดควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ สะท้อนพัฒนาการของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ไม่เคยมีใครในโลกทำได้มาก่อน* โดดเด่นด้วยโครงสร้างแชสซีสะดุดตา ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความมุ่งมั่นในการส่งมอบเทคโนโลยีล้ำสมัยให้เข้าถึงผู้ขับขี่ทุกกลุ่มจึงได้เพิ่มเทคโนโลยี Honda E-Clutch ให้ครอบคลุมจักรยานยนต์ยอดนิยมเพิ่มอีก 5 รุ่น ตามมาด้วยการเผยโฉมจักรยานยนต์รุ่น CB1000F เป็นครั้งแรกในยุโรป, ปรับโฉมจักรยานยนต์รุ่น SH125i ครั้งใหญ่ รวมทั้งเปิดตัวแบรนด์ดิ้งใหม่สำหรับรถ EV และคอลเลกชันเครื่องแต่งกายใหม่หมดจด ตอกย้ำเจตนารมณ์ของฮอนด้าในการตอบสนองทุกความต้องการของผู้ขับขี่ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและครบถ้วนที่สุดในอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
CB1000GT
CB1000GT สปอร์ตทัวเรอร์รุ่นใหม่ล่าสุด เติมเต็มไลน์อัปของฮอนด้าด้วยทางเลือกสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการรถจักรยานยนต์ที่ครบครันทุกฟังก์ชัน อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย มอบความสะดวกสบายสูงสุดในการเดินทางระยะไกล พร้อมความเร้าใจเมื่อเข้าสู่ทางโค้งคดเคี้ยว เครื่องยนต์ขับเคลื่อนได้รับอิทธิพลจากจักรยานยนต์ตระกูล Fireblade ขุมพลังเดียวกับที่ใช้ใน CB1000 Hornet รุ่น GT ผสานทั้งสมรรถนะสปอร์ตและความสบายในการเดินทางไกลได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยดีไซน์ดุดัน โช้กอัป Showa EERA[1] (Electronically Equipped Ride Adjustment) และแฟริ่งที่ออกแบบมาอย่างลงตัวด้วยระบบจำลองการไหลของอากาศด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์และการป้องกันลมฝนอย่างสูงสุด พ่วงด้วยรายการอุปกรณ์มาตรฐานอย่างจัดเต็ม ทั้งระบบคันเร่งไฟฟ้า (Throttle-by-Wire), กล่องสัมภาระด้านหลัง, ระบบควบคุมแรงดันเบรกขณะเข้าโค้ง (cornering ABS) ด้วยเซนเซอร์วัดความเฉื่อย (IMU) แบบ 6 แกน, การ์ดแฮนด์, ขาตั้งกลาง, ระบบเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วโดยไม่ต้องบีบคลัตช์ (Quickshifter), ปลอกแฮนด์อุ่นมือ, ไฟเลี้ยวตัดอัตโนมัติ, ไฟฉุกเฉินกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน (emergency stop signal), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (cruise control) และการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกผ่าน Honda RoadSync
Honda WN7
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เปิดตัว Honda WN7 รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์อย่างเป็นทางการในงาน EICMA ซึ่งพัฒนาให้ขับขี่ได้เงียบ นุ่มนวล และเร่งความเร็วได้ทันใจในแบบเฉพาะของรถไฟฟ้าภายใต้แนวคิด “Be the Wind” โดยผ่านการทดสอบบนถนนมาแล้วทั่วยุโรป เพื่อให้มั่นใจว่า Honda WN7 จะสามารถถ่ายทอดเอกลักษณ์แห่งความสนุก สมดุล และความมั่นคงในสไตล์ของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าได้อย่างเต็มเปี่ยม
Honda WN7 มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 9.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำงานร่วมกับมอเตอร์ขนาด 18 กิโลวัตต์[2] รองรับใบอนุญาตขับขี่ระดับ A2 (A2 Licence Compliant) ให้ระยะทางวิ่งได้ถึง 140 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งนอกจากจะชาร์จไฟบ้านได้แล้ว ยังสามารถชาร์จผ่านระบบ CCS2[3] (Combined Charging System Type 2) แบบเดียวกับของรถยนต์ไฟฟ้าได้ด้วย โดยใช้เวลาเพียง 30 นาทีในการชาร์จจาก 20% เป็น 80% ส่วนด้านสมรรถนะและเทคโนโลยี ครบครันด้วยไฟส่องสว่างแบบ full LED รอบคัน, “ไฟวิ่งกลางวัน” ลายเฉพาะ, แชสซีแบบไร้เฟรม, ระบบช่วยเข็นเดินหน้า/ถอยหลัง, โหมดกำลังขับเคลื่อนหลายระดับ, ระบบเลือกการหน่วงขณะชะลอความเร็วจากการชาร์จพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ (Regenerative Deceleration Selector), โหมดเดินหน้า/ถอยหลังแบบความเร็วเท่าเดิน, ระบบช่วยจำกัดความเร็วแบบปรับตั้งได้ (SSLA : Selectable Speed Limit Assist), ระบบควบคุมแรงดันเบรกขณะเข้าโค้ง (Cornering ABS) และระบบควบคุมแรงบิด Honda Selectable Torque Control (HSTC)
นอกจากจากดีไซน์เพรียว ล้ำอนาคตแล้ว จักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ยังเสริมความสมบูรณ์แบบด้วยตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ฮอนด้าแบบใหม่ สมความล้ำ นับเป็นการเปิดตัวทั้ง Honda WN7 และแบรนด์ดิ้งใหม่สำหรับกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไปพร้อม ๆ กัน
V3R 900 E-Compressor Prototype
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ให้มีขนาดกะทัดรัด ด้วยความจุ 900 ซีซี โดยใช้พื้นฐานการออกแบบจากเครื่องยนต์ V3 ที่ตัวลูกสูบจัดเรียงในมุม 75 องศาแบบตัววีและระบายความร้อนด้วยน้ำ (water-cooled 75-degree V3 engine) ซึ่งเคยเปิดตัวเป็นต้นแบบแล้วในงาน EICMA 2024 ที่ผ่านมา เครื่องยนต์รุ่นนี้มาพร้อมคอมเพรสเซอร์ชนิดควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ นับเป็นครั้งแรกของโลกในรถจักรยานยนต์ ช่วยให้แรงบิดตอบสนองได้ฉับไวตั้งแต่รอบต่ำ ด้วยการควบคุมแรงอัดของอากาศที่ไหลเข้าสู่เครื่องยนต์โดยไม่ขึ้นกับรอบการทำงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ผลักดันให้ฮอนด้ามุ่งพัฒนาเครื่องยนต์ขนาด 900 ซีซี ที่ให้สมรรถนะเหนือระดับเทียบเท่าเครื่องยนต์ 1200 ซีซีได้ พร้อมทั้งยังคงไว้ซึ่งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ต้นแบบรุ่นนี้พัฒนาภายใต้แนวคิด “รถไฟเหาะแบบไม่ต้องพึ่งราง” (“Non-rail Rollercoaster”) สื่อถึงความตั้งใจของฮอนด้าในการสร้างรถที่ผสานสองแนวคิดเข้าด้วยกันคือ “เร้าใจแน่” (guaranteed thrill) และ “สบายใจหายห่วง” (reassuring peace of mind) ตัวรถมาพร้อมแฟริ่งด้านข้างดีไซน์ไม่สมมาตร ถังน้ำมันติดตราสัญลักษณ์ “Honda Flagship Wing” แบบใหม่ที่เริ่มใช้เป็นครั้งแรก ฮอนด้าตั้งใจให้ต้นแบบเครื่องยนต์ V3R 900 E-Compressor Prototype เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายใหม่ในเส้นทางแห่งความท้าทาย เพื่อมอบประสบการณ์ความสนุก ความตื่นเต้น และความภาคภูมิใจของการเป็นเจ้าของในแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่น หลังจากนี้ฮอนด้าพร้อมแล้วที่จะเดินเครื่องสู่การผลิตจริงต่อไป
จักรยานยนต์ XL750 Transalp, CB750 Hornet, NX500, CBR500R และ CB500 Hornet ทั้งหมดนี้ในรุ่นปี 2026 (26YM) มี Honda E-Clutch ให้เลือกแล้ว
สำหรับรุ่นปี 2026 (26YM) ระบบคลัตช์อัตโนมัติ Honda E-Clutch ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในรถ 4 สูบคลาสมิดเดิลเวท (4-cylinder middleweight) อย่าง CBR650R และ CB650R เมื่อปี 2024 จะพร้อมให้เลือกเป็นออปชันในรถอีก 5 รุ่นเป็นครั้งแรก ระบบนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ทำงานได้รวดเร็วและนุ่มนวลยิ่งกว่า Quickshifter (ระบบเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วโดยไม่ต้องบีบคลัตช์) มอบประสบการณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ตเหนือระดับ อีกทั้งยังใช้งานง่าย เพียงใช้เท้าเปลี่ยนเกียร์ ไม่ต้องบีบคลัตช์เวลาออกตัว หยุดรถ หรือเปลี่ยนเกียร์ แต่หากต้องการก็ยังสามารถใช้คลัตช์แบบปกติได้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการขับขี่ สำหรับรุ่น Transalp และ Hornet ระบบ Honda E-Clutch ติดตั้งมาพร้อมระบบคันเร่งไฟฟ้า (Throttle-by-Wire) เป็นครั้งแรก ช่วยให้ระบบสามารถเร่งรอบเครื่องยนต์อัตโนมัติ เพื่อปรับรอบเครื่องให้สัมพันธ์กับความเร็วของล้อหลัง และลดเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลและแม่นยำยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันในรุ่น Transalp ยังได้รับการปรับแต่งให้สามารถเพิ่มเกียร์ได้อย่างราบรื่น แม้ในช่วงที่ล้อหลังกำลังหมุนอยู่ระหว่างการขับขี่แบบออฟโรด โดยระบบ Honda E-Clutch ที่ทำงานร่วมกับระบบคันเร่งไฟฟ้า (Throttle-by-Wire) จะควบคุมการทำงานอย่างแม่นยำจากข้อมูลการตรวจจับความเร็วล้อหน้าและล้อหลัง
นอกจากนี้ ระบบ Honda E-Clutch ยังมีให้เลือกเป็นออปชันในรถคลาส 500 ซีซี ยอดนิยมอีก 3 รุ่น ได้แก่ CB500 Hornet, NX500 และ CBR500R ซึ่งการผสานความสปอร์ต ความง่ายในการใช้งาน และประโยชน์ใช้สอยอเนกประสงค์นี้ นับเป็นการเปิดมิติใหม่ของการขับขี่ให้กับผู้ขับขี่หลากหลายกลุ่มที่ชื่นชอบทั้งสามรุ่นนี้อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยี Honda E-Clutch เข้ามาอยู่ในรถที่รองรับใบอนุญาตขับขี่ระดับ A2 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่รุ่นใหม่ไฟแรงทั่วยุโรปได้สัมผัสสมรรถนะเหนือระดับของเทคโนโลยีนี้อย่างแท้จริง
SH125i
SH125i สกู๊ตเตอร์ยอดนิยมอันดับหนึ่งของยุโรป กลับมาพร้อมโฉมใหม่ในรุ่นปี 2026 (26YM) ภายใต้ดีไซน์ที่เฉียบคมยิ่งขึ้น มาพร้อมลายไฟส่องสว่างใหม่ และหน้าจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว ที่เพิ่มเสน่ห์ให้รุ่นนี้โดดเด่นยิ่งกว่าเดิม ด้านหน้าของตัวรถได้รับการออกแบบใหม่ด้วยแรงบันดาลใจจากรุ่น SH350i เพื่อผสานรูปลักษณ์ของจักรยานยนต์ตระกูล SH ทั้งสามรุ่นให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยทั้งหมดผลิตที่โรงงานในเมืองอาเตสซา (Atessa) ประเทศอิตาลี ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็น “เส้นเดียว” จากหน้าจรดท้าย จักรยานยนต์ตระกูล SH รุ่นปี 2026 (26YM) จึงมีบุคลิกโดดเด่นด้วยความเรียบง่ายแต่สะดุดตา คงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของ SH พร้อมพัฒนาให้ก้าวล้ำไปอีกขั้นจากรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังมีรุ่น SH150i สำหรับจำหน่ายในบางประเทศอีกด้วย
CB1000F มาพร้อมสีใหม่หลายรุ่น
ภายในงาน EICMA รถจักรยานยนต์ฮอนด้ายังได้จัดแสดง CB1000F จักรยานยนต์แนวเรโทรสมรรถนะสูง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นรถประเภท “Big Naked” ที่ควบคุมง่าย ตอบโจทย์ครบเครื่อง รูปลักษณ์เร้าใจ สเปกจัดเต็ม และขุมพลังแรงจากเครื่องยนต์ที่พัฒนาต่อยอดจากจักรยานยนต์ตระกูล Fireblade
นอกจากนี้ ยังมีการเผยโฉมสีใหม่สำหรับ NC750X จักรยานสไตล์ครอสโอเวอร์, SH350i รุ่นเรือธงแห่งตระกูล SH รวมถึง “ทัวเรอร์” ระดับตำนาน ได้แก่จักรยานยนต์ทางไกลรุ่น Gold Wing และ Gold Wing Tour ซึ่งชื่อ Gold Wing นี้กำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่หกของการผลิตอย่างภาคภูมิ
การคอลแล็บกันระหว่างแบรนด์ Honda × Kuromi
อีกหนึ่งไฮไลต์ภายในบูธของฮอนด้าในงาน EICMA คือรถจักรยานยนต์รุ่นพิเศษสองรุ่นที่ตกแต่งลวดลาย “คุโรมิ” (Kuromi) ตัวการ์ตูนยอดนิยมของบริษัท ซานริโอ จำกัด (Sanrio Co., Ltd.) ซึ่งฮอนด้าได้จับมือคอลแล็บเพื่องาน EICMA นี้โดยเฉพาะ ประกอบด้วยรุ่น CB750 Hornet ในโทนสีม่วง-ชมพู และรุ่น CBR1000RR-R Fireblade ในโทนสีดำ-ม่วงในแบบของคุโรมิ สะท้อนความตั้งใจของฮอนด้าในการขยายฐานลูกค้ารถจักรยานยนต์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ทุกกลุ่ม
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์: www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า: www.facebook.com/hondamotorcyclethailand
IG: www.instagram.com/hondamotorcyclethailand
TikTok: www.tiktok.com/@hondamotorcycletha
YouTube: www.youtube.com/HondaMotorcycleTHA
#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #มอเตอร์ไซค์ฮอนด้า #HondaMotorcycle #ThaiHonda #ไทยฮอนด้า
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine












































































































































































