-
PTG ชูธงปี 68 นำทัพด้วยฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus เน้นขยายพอร์ต Non-Oil กาแฟพันธุ์ไทยเป็นอาวุธหนุนเติบโต พร้อมก้าวสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2573
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 2568 ภายใต้ Max World เดินหน้าขยายเครือข่ายธุรกิจในหลากหลายมิติ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ “อยู่ดี มีสุข” ผ่านการพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่เชื่อมโยงทุกไลฟ์สไตล์ และใช้ฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus กว่า 25 ล้านสมาชิก เป็นกลไกสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ Oil และ Non-Oil ตั้งเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2571 มุ่งเน้น กาแฟพันธุ์ไทย เป็นหัวหอกสำคัญ ขยายสู่ 5,000 สาขาทั่วประเทศ และก้าวสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2573
คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยในงาน “ PTG Drive for Tomorrow: Max Card. Max Growth. Max World.” ว่าปี 2567 ที่ผ่านมา PTG สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมี PT Max Card และ PT Max Card Plus กว่า 25 ล้านสมาชิก (คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรไทย) เป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ และกลยุทธ์
ธุรกิจ Oil ของ PTG ทำสถิติใหม่ด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6,548 ล้านลิตร เติบโต 12.9% YoY สูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมกว่า 10 เท่า (ตลาดเติบโต 0.4% YoY) พร้อมครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 21.9% จาก Same-Store Sales Growth (SSSG) กว่า 11.6% YoY โดยมี PT Max Card เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาเติมน้ำมันมากขึ้น บ่อยขึ้น และต่อเนื่องขึ้น นอกจากปริมาณที่เติบโตขึ้นแล้ว PTG ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ โดยเน้นโครงการหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐาน และคุณภาพการบริการ เช่น บริการส่งน้ำมัน Max Service การเช็ดกระจก การดูแลลูกค้า พร้อมกลยุทธ์การเติบโตควบคู่ไปกับลูกค้า ชุมชน และ คู่ค้า ผ่านการพัฒนา Max Enterprise Connect (MEC) โซลูชันสำหรับลูกค้าองค์กร และร่วมมือกับกรมการค้าภายใน เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกับภาครัฐและชุมชน อีกทั้งได้พัฒนาและปรับปรุงสถานีบริการให้เป็น One-Stop Destination รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วให้ทุกสถานีกลายเป็นมากกว่าสถานีเติมน้ำมัน
ขณะเดียวกัน ธุรกิจ Non-Oil เติบโตอย่างแข็งแกร่งครอบคลุมทุกมิติ ในมุมของปริมาณทางฝั่งธุรกิจ Non-Oil มีรายได้เติบโต 31.2% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP 10 เท่า (GDP เติบโต 2.5% YoY) ขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้น 35% YoY โดยมีกาแฟพันธุ์ไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจ Non-Oil ด้วยการเติบโตที่โดดเด่นของกำไรขั้นต้นซึ่งเพิ่มขึ้น 80.2% YoY จากการขยายสาขาเฉลี่ยกว่า 1.3 สาขาต่อวันไปยังสถานีบริการน้ำมันและภายนอกสถานีบริการน้ำมันที่มีศักยภาพ อีกทั้งได้พัฒนาสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยพัฒนาโมเดลร้านให้หลากหลาย รวมถึงการทำแคมเปญที่สอดรับกับการสนับสนุนวัตถุดิบท้องถิ่นอย่าง “ไทยริกาโน” ขณะที่ Autobacs ซึ่งประกอบธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ และศูนย์บริการ มาตรฐานระดับญี่ปุ่น กำไรขั้นต้นเติบโต 70.9% YoY จากการขยายสาขาเป็น 117 สาขาภายในปี 2567 โดยมีรายได้เติบโตด้วยเช่นกันที่ 76% YoY
ทั้งนี้การเติบโตของกาแฟพันธุ์ไทย และ Autobacs เกิดจากพลังของฐานลูกค้าสมาชิกมีการเติบโตสะท้อนจากยอดขายกาแฟพันธ์ไทยกว่า 75% มาจากสมาชิก Max Card และ Max Card Plus โดยสมาชิก Max Card Plus มีการบริโภคกาแฟมากกว่าลูกค้าทั่วไป 7 เท่าต่อเดือน อีกทั้งซื้อกาแฟต่อครั้งมากกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ PTG ยังเติบโตเชิงกลยุทธ์โดยร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง บสย. เพื่อเสริมรากฐานการขยายแฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทยที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังได้มีการร่วมมือกับ กรมป่าไม้ แม่ฟ้าหลวง และ ธกส. ในการพัฒนาและส่งเสริมการปลูกกาแฟอาราบิก้าและพืชเศรษฐกิจยั่งยืนเพื่อรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมในอนาคต รวมถึงการส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดผ่านการรังสรรค์เมนูเครื่องดื่มของกาแฟพันธุ์ไทยเพื่อต่อยอดเพิ่มมูลค่า สนับสนุนเกษตรกร กระจายรายได้สู่ชุมชน และสร้างความยั่งยืนในทุกภูมิภาค
คุณพิทักษ์ กล่าวอีกว่าสำหรับอนาคต PTG มุ่งสู่ Max World ซึ่งเป็นระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่เชื่อมโยงทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้เข้าถึงชีวิตที่ อยู่ดี มีสุข ผ่าน 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่
- ยกระดับคุณภาพให้ลูกค้ามี “ชีวิตดี” ผ่านบัตร Max Card และ Max Card Plus โดยมอบโอกาสให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย และได้รับสิทธิพิเศษมากขึ้น เช่น เข้าพักจุดบริการ PT MAX CAMP ฟรีระหว่างการเดินทาง ส่วนลด 50 สตางค์/ลิตร สำหรับน้ำมันใสหรือ LPG ส่วนลด 50% สำหรับเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยหรือคอฟฟี่เวิลด์ ฟรีค่าบริการจัดส่งน้ำมันฉุกเฉิน มูลค่า 100 บาท เป็นต้น โดยสิทธิประโยชน์เหล่านี้ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม และเกิดการบอกต่ออย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่าทุกสิ่งที่ PTG ขับเคลื่อนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจลูกค้า ดังคำกล่าว “ใครจะเข้าใจคนไทย… ได้ดีกว่าคนไทยด้วยกัน”
- ขยายธุรกิจ Non-Oil ให้ “เติบโต” โดยตั้งเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2571 ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของกําไรขั้นต้น พร้อมกับธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ อีก 25% โดยการเพิ่มในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีปัจจัยมาจากการขยายกาแฟพันธุ์ไทยสู่ 5,000 สาขา ภายในปี พ.ศ. 2571 การขยายสาขานี้จะทําให้กาแฟพันธุ์ไทยเข้าถึงชุมชนและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ในมุมธุรกิจใหม่ Subway ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศธุรกิจของ PTG ผ่านบัตร Max Card โดยใช้ประโยชน์จากฐานสมาชิกกว่า 25 ล้านราย เพื่อมอบความคุ้มค่าและสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ได้กล่าวเสริมว่า PTG ได้ขยายขอบเขตไปยังธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการเชื่อมต่อกับ Max Card ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะในด้าน บริการสินเชื่อที่ PTG ได้ร่วมมือกับ Paisan Capital เพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่ง เสริมศักยภาพในการเข้าถึงสินเชื่อด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการ อีกทั้ง PTG เป็นผู้นำในการนำ Subscription Model มาเชื่อมต่อกับสถานีชาร์จ EV Elex by EGAT PT ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า พร้อมยกระดับสุขอนามัยของคนในชุมชนผ่านธุรกิจบริหารจัดการขยะและ
- PTG ได้ย่อ Max World มาอยู่ในมือลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me เพื่อเพิ่ม “ความสะดวกสบาย” ให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มที่รวมสินค้า บริการ และสิทธิพิเศษไว้ในที่เดียว
นอกจากนี้ PTG ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเติบโตของธุรกิจ แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งมอบคุณค่าให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมา PTG ได้ดำเนินโครงการที่ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการติดตั้ง Solar Roof ในสถานีบริการ, ค่ายอาสาทำจริงไม่ทิ้งกัน, การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจและไม้ยืนต้นร่วมกับการปลูกกาแฟ และการฟื้นฟูป่าชายเลน รวมถึง การร่วมมือกับกรมการค้าภายใน รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรเพื่อนำมาแจกให้ลูกค้าสถานีบริการน้ำมัน
อีกทั้ง PTG ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นด้าน ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส โดยได้รับรอง CAC ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยแนวคิดของ PTG คือ การเติบโตของธุรกิจต้องไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะ PTG ตระหนักดีว่าภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุกภาคส่วนจากวิกฤตน้ำท่วม ไฟป่า ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและต้นทุนคาร์บอนในระดับโลก ปัจจุบัน 140 ประเทศทั่วโลกได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมพลังงานผ่าน นโยบาย COP, ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนให้กับธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ด้วยเหตุนี้ PTG จึงให้คำมั่นในการก้าวสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2030 (Scope 1 และ 2) ผ่าน 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
- Reduce (10%): ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กร (Drive Internal Decarbonization)
- Reforestation (30%): ดูดซับและกักเก็บคาร์บอนผ่านการปลูกป่า การฟื้นฟู และการปกป้องระบบนิเวศชายฝั่ง (Forest Protection & Conservation Actions)
- Readjust Portfolio (60%): ลงทุนใน ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต ที่สามารถชดเชยคาร์บอนและเติบโตในระยะยาว (Deploy investments in a carbon offset portfolio)
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ PTG ที่ไม่ได้มอง ESG เป็นเพียงมาตรฐาน แต่เป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ PTG เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมเชื่อมต่อทุกคนให้เข้าถึง ชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกช่วงของชีวิต ผ่าน Max Card และ Max Card Plus ซึ่งเป็นมากกว่าบัตรสะสมแต้ม แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
GWM ชูนวัตกรรมเครื่องยนต์ดีเซลที่ประสบความสำเร็จมากว่า 30 ปี เตรียมนำ “เครื่อง 2.4T เจนใหม่ล่าสุด” ใส่ใน NEW GWM TANK 300 DIESEL ยืนยันคุณภาพและความทนทาน กล้ารับประกันคุณภาพถึง 1,000,000 กิโลเมตร!
GWM (Thailand) พร้อมยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน เผยนวัตกรรมใหม่กับ “ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด” พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ใน NEW GWM TANK 300 DIESEL เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น โดย GWM ได้เริ่มพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลมาอย่างยาวนานมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเครื่องยนต์ดีเซลถือเป็นความเชี่ยวชาญอันดับต้น ๆ ของแบรนด์ ผ่านการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามาหลากหลายเจนเนอเรชัน ซึ่ง GWM มีการลงทุนในการพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นนี้กว่า 200 ล้านหยวน (ประมาณ 1 พันล้านบาท) มีการพัฒนาห้องปฏิบัติการวิจัยเครื่องยนต์อย่างครบชุด สะท้อนให้เห็นถึงนวัตกรรมและความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือชั้น และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในประเทศจีนและทั่วโลก การันตีด้วยผู้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเกือบ 2 ล้านคน ใน 170 ประเทศและทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศแอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรัสเซีย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยมและความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์ดีเซลของ GWM ในระดับโลก
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด มี 4 จุดเด่นสำคัญที่จะยกระดับทุกประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งกว่าเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิม ๆ ได้แก่ การประหยัดพลังงานที่ดีมากขึ้น ฉีกกฏเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไป ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวลกว่าเคย ประสิทธิภาพการขับขี่ที่สูงขึ้น และการรับประกันคุณภาพที่ยาวนานขึ้น โดยในประเทศจีนได้นำร่องเปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนใหม่นี้ ในรถยนต์ 2 แบรนด์ผลิตภัณฑ์อย่าง GWM TANK และ GWM POER เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเร็ว ๆ นี้ GWM (Thailand) เตรียมนำ NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่นี้ ให้ชาวไทยได้สัมผัสกับขุมพลังดีเซลอันทรงประสิทธิภาพ ผสานความหล่อ เท่ ให้โดดเด่น ครบเครื่องในทุกเส้นทาง เพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่หลากหลายทั้งในเมืองหรือนอกเมือง ออนโรดและออฟโรด
4 จุดเด่นการันตีคุณภาพ เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด
- เพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานได้ดียิ่งขึ้น (High Efficiency & Low Fuel Consumption)
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่นี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน (VGT) ที่มีแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ท่อร่วมไอดีแบบคู่ที่ฝาสูบระบบอิเล็กทรอนิกส์ Exhaust Gas Recirculation (ECR) และระบบปั้มน้ํามันเครื่องแบบแปรผัน ทำให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น ช่วยลดการปล่อย์ไอเสีย NOx และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนั้นเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดที่มีช่วงอัตราทดเกียร์ที่กว้างถึง 8.843 ทำให้รถสามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ 9 ได้ที่ความเร็วเพียง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถปรับอัตราการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในแต่ละสภาพถนน และสอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นออกไป โดยอัตราการบริโภคน้ำมันของ NEW GWM TANK 300 DIESEL อยู่ที่ 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ Eco sticker ในประเทศไทย) สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งน้ำมันหนึ่งถัง (ดีเซล B7) สามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ดังนั้นเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่ของ GWM จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการขับขี่ คุ้มค่า และประหยัดพลังงานได้ดียิ่งขึ้น
- มอบการขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวล ฉีกกฏเครื่องยนต์ดีเซลโดยทั่วไป (Low Noise, Vibration, and Harshness)
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่ของ GWM มาพร้อมกับเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์และการพัฒนาเทคโนโลยีในการลดเสียงรบกวน NVH (Noise, Vibration, Harshness) ที่ยอดเยี่ยม ด้วยการออกแบบใหม่ของท่อไอเสีย เพลาลูกเบี้ยว ปั๊มน้ำมันเครื่อง ท่อน้ำมันแรงดันสูง สายพาน Timing และ Balance Shaft จึงทำให้ห้องโดยสารมีระดับเสียงต่ำกว่า 68 เดซิเบลในช่วง idle speedให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ นิ่ง ไม่สั่น เทียบเคียงได้กับเครื่องยนต์เบนซิน ช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายในทุกสภาพถนน
- พละกำลังและแรงบิดที่ยอดเยี่ยม (High performance)
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T คอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่นชนิดแรงดันสูง ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุดนี้ เป็นเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนามาให้มีประสิทธิภาพสูง มอบพละกำลังสูงสุดถึง 135 กิโลวัตต์ หรือ 181 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดที่สูงถึง 260 นิวตันเมตร ในรอบเครื่องต่ำ และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตรแบบต่อเนื่องหรือแฟตทอร์คที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ทำให้การออกตัวและการขับขี่ในพื้นที่ที่มีความท้าทายเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และยังทำให้การอัตราการบริโภคน้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 11 วินาที การตอบสนองที่ฉับไวนี้ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางหรือเพิ่มความเร็วได้ทันใจในทุกสถานการณ์ และการใช้โครงสร้างช่วงล่างที่แข็งแรงและสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงในทุกสถานการณ์ ทั้งการขับขี่ในเมืองและการขับขี่แบบออฟโรด สร้างความมั่นใจและมอบประสบการณ์การขับขี่เพื่อคนเมืองและสายลุยได้เต็มที่
- ความทนทานสูง รับประกันคุณภาพที่ยาวนานถึง 1 ล้านกิโลเมตร (High durability with Long term warranty)
เพื่อแสดงถึงความใส่ใจในคุณภาพและความทนทานของเครื่องยนต์ GWM ได้ทำการทดสอบเครื่องยนต์นี้ในสภาพอากาศหนาวและร้อนสุดขั้ว 300 ชั่วโมง ทดสอบการทำงานที่ความเร็วรอบสูงสุด 500 ชั่วโมง และในสภาพถนนและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึง 76 รูปแบบทั่วโลก โดยมีระยะทางรวม 6 ล้านกิโลเมตร GWM มุ่งมั่นและใส่ใจในคุณภาพและความทนทานของเครื่องยนต์เป็นอันดับแรก จากโครงสร้างการออกแบบที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน ลดเสียงและการสั่นสะเทือน ทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้มีความทนทานสูง ทั้งการใช้งานแบบขับขี่ในชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยวสุดสัปดาห์ หรือแม้แต่การขับขี่แบบออฟโรดที่ต้องใช้พละกำลังและแรงบิดสูง GWM พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าด้วยการมอบการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในคุณภาพของ GWM ในเครื่องยนต์นี้
ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) กล่าวว่า “GWM มุ่งมั่นส่งมอบเทคโนโลยีใหม่และนวัตกรรมล้ำหน้า เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งกว่า เหนือกว่า และครอบคลุมทุกความต้องการที่มากกว่าเพื่อผู้ใช้งานชาวไทยทุกคน ผ่านแนวคิด GWM Go With More ที่สะท้อนถึงพันธกิจของ GWM ในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีกว่าและเหนือกว่าในทุกมิติของการใช้รถยนต์ที่ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่นี้ เป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นความเชี่ยวชาญของ GWM โดยมีการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลก ทั้งในด้านสมรรถนะ ประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน และความทนทาน พร้อมปฏิวัติการขับขี่เครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิม ๆ สำหรับ NEW GWM TANK 300 DIESEL ขุมพลังใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T คอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่นชนิดแรงดันสูง ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน นี้ จะมาพร้อม 3 รุ่นย่อย ที่ครอบคลุมทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ
ให้แฟน ๆ รถถเอสยูวีสไตล์ Premium BOXY ชาวไทย ได้เลือกคันที่ใช่ เตรียมนับถอยหลังพบกับ NEW GWM TANK 300 DIESEL กันได้เร็ว ๆนี้”และนี่คือ 4 จุดเด่นจากขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ที่ครอบคลุมประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งกว่า เพื่อผู้ใช้งานทั่วโลกและในประเทศไทย ในด้านการประหยัดพลังงานที่ดีมากขึ้น ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวลกว่าเคย ให้การขับขี่ด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และอุ่นใจมากขึ้นกับการรับประกันคุณภาพยาวนานกว่า NEW GWM TANK 300 DIESEL พร้อมแล้วที่จะให้คนไทยสายลุยได้สัมผัสเร็วๆ นี้ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านช่องทาง GWM Application หรือเว็บไซต์ https://www.gwm.co.th
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
คอนติเนนทอล ขับเคลื่อนให้ทุกการเดินทางคือความมั่นใจ ด้วยแคมเปญใหม่ “Make Way for Confidence”
คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) ผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านยางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี ยกระดับมาตรฐานความมั่นใจในการขับขี่ผ่านแคมเปญระดับโลก “Make Way for Confidence” พร้อมตอกย้ำพันธกิจของแบรนด์ในการมอบความอุ่นใจในทุกเส้นทางและทุกสภาพถนน สะท้อนความมุ่งมั่นของคอนติเนนทอลในด้านความปลอดภัย สมรรถนะของยาง และนวัตกรรมอันล้ำสมัย ในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้รับความไว้วางใจ คอนติเนนทอลตระหนักว่าความมั่นใจหลังพวงมาลัยไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้สึก แต่คือความมั่นใจของผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมือง หรือบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ยางคอนติเนนทอลจึงมอบการควบคุมที่เหนือกว่า และความมั่นใจในทุกมิติของการเดินทาง
คอนติเนนทอล ไทร์ส ได้ฉลองครบรอบความสำเร็จ 15 ปี แห่งความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ด้วยสำนักงานในกรุงเทพฯ พร้อมกับโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่จังหวัดระยอง แคมเปญ “Make Way for Confidence” จึงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการมอบเทคโนโลยียางรถยนต์ระดับพรีเมียม ที่สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้ขับขี่ทุกคนความปลอดภัย นวัตกรรม และความอุ่นใจในการขับขี่
ด้วยนวัตกรรมคือหัวใจสำคัญของคอนติเนนทอล บริษัทจึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและการเบรก รวมถึงการยืดอายุการใช้งานของยาง เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ในขณะที่ยังมุ่งเน้นด้านความปลอดภัยเป็นหลัก พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ContiSeal ที่สามารถอุดรอยรั่วขนาดไม่เกิน 5 มม. ได้อัตโนมัติ และ ContiSilent ที่ช่วยลดเสียงรบกวน ทั้งสองเทคโนโลยีนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของสภาพถนนในประเทศไทย รวมถึงการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ คอนติเนนทอลยังเดินเครื่องการผลิตยางในโรงงานที่จังหวัดระยอง ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อให้ยางสามารถรองรับทุกสภาพการขับขี่ในแต่ละภูมิภาค พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน ผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593
มากกว่าการเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์ คอนติเนนทอลยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้รับความไว้วางใจจากการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบริษัทเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งและความสำเร็จในระยะยาว ผ่านการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยานยนต์ และการให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเป็นหลัก ด้วยความร่วมมือนี้ ผสานกับชื่อเสียงด้านประสิทธิภาพของคอนติเนนทอล จึงตอกย้ำบทบาทความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ระดับโลกได้ในทุกมิติการรับประกันและการบริการลูกค้าที่เหนือระดับ
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าไปอีกขั้น คอนติเนนทอลจึงมอบบริการหลังการขายด้วย Total Confidence Plan (TCP) ที่มาพร้อมการยืดระยะเวลาประกันยางยาวนานถึง 369 วัน ซึ่งถือเป็นการรับประกันที่ยาวนานที่สุดในกลุ่มตลาดยางรถยนต์ ครอบคลุมยางคอนติเนนทอลทุกรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าได้รับการดูแลและการบริการในระดับสูงสุดหลังการซื้อ นอกจากนี้ คอนติเนนทอลยังมอบทางเลือกที่ลงตัวให้กับผู้ขับขี่ชาวไทย ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย สมรรถนะการขับขี่ที่มั่นใจได้ และบริการลูกค้าระดับพรีเมียม
มร. คาเรล คูเซรา (Mr. Karel Kucera) กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เราเชื่อว่าความมั่นใจคือปัจจัยสำคัญในการเดินทาง ยางของเราถูกออกแบบมาเพื่อเสริมสมรรถนะของรถยนต์ และมอบความมั่นใจในทุกการเข้าโค้ง การเบรก และการเร่งความเร็ว ในแคมเปญ ‘Make Way for Confidence’ เราพร้อมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับให้กับผู้ขับขี่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถเอสยูวี หรือรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเรา เราเชื่อมั่นว่าทุกการเดินทางจะเต็มไปด้วยความมั่นใจสูงสุด”
“Make Way for Confidence” เป็นแคมเปญที่ครอบคลุมหลายมิติ ทั้งการเสริมสร้างการรับรู้แบรนด์ การกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า และการกระตุ้นยอดขาย โดยตอกย้ำคอนติเนนทอลในฐานะผู้นำด้านความปลอดภัย สมรรถนะของยาง และความยั่งยืน แคมเปญนี้ไม่ใช่เพียงแค่กลยุทธ์ทางการตลาด แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ทุกเส้นทาง
รับชมวิดีโอแคมเปญได้ที่ LINK นี้ พร้อมอัปเดตผลิตภัณฑ์ล่าสุดของคอนติเนนทอลผ่านเว็บไซต์ https://www.continental-tires.com/th/th/ หรือโซเชียลมีเดีย https://www.facebook.com/ContinentalTH/
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
“ขับสนุก วิ่งไกล ชาร์จไว นั่งสบาย พร้อม Lifetime Warranty” กับ 5 ฟีเจอร์เด่น สู่ภาพจำของ e-SUV รุ่นใหม่ NEW MG S5 EV
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เตรียมสร้างความตื่นเต้นครั้งใหม่ให้กับวงการยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการสร้างภาพจำให้ NEW MG S5 EV รถ B-SUV ไฟฟ้าที่เตรียมเปิดตัวในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ กับการเป็นโมเดลที่มอบ 5 จุดเด่นสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของการขับขี่ ด้วยการเป็นรถที่ “ขับสนุก วิ่งไกล ชาร์จไว นั่งสบาย มีการรับประกันแบตเตอรี่และมอเตอร์แบบ Lifetime Warranty” ที่พร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของ รถ SUV ที่เหนือกว่าในทุกการเดินทาง
NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM – โครงสร้างสุดแกร่ง พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะ
NEW MG S5 EV ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM อันล้ำสมัย ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ เอ็มจี พัฒนาเพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายเซกเมนต์ ตั้งแต่รถขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ โดยแพลตฟอร์มนี้ถูกใช้งานครั้งแรกกับ NEW MG4 ซึ่งได้รับการยืนยันจากทั่วโลกว่าเป็นรถที่ขับดีที่สุดในคลาสและส่งต่อ DNA การขับขี่ที่สนุกสนานสู่ NEW MG S5 EV รุ่นใหม่ ที่ผสานสมรรถนะและความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกัน
แพลตฟอร์ม NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM มาพร้อมโครงสร้างที่แข็งแกร่งและออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 100% พัฒนาแบตเตอรี่ที่ติดตั้งในรถคันนี้ให้เป็นแบบ Cell-To-Pack ทำให้ระยะเวลาในการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น และเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขึ้น ห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีโครงสร้างแข็งแรงพิเศษ สามารถดูดซับแรงกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะมีผลต่อสมรรถนะที่เหนือชั้นแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสูงสุด พร้อมระบบปกป้องแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงดันสูง เพื่อมอบความปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ที่ NEW MG S5 EV พร้อมเดินทางไปทุกเส้นทางอย่างมั่นใจ
รถ B-SUV ไฟฟ้าที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง – สมดุลเหนือระดับกับความสนุกของคนขับที่มาพร้อมกับความสบายของคนนั่ง
NEW MG S5 EV ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (DYNAMIC REAR WHEEL DRIVE) ที่ถ่ายทอดพลังสู่พื้นถนนอย่างสมบูรณ์แบบ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าตัวใหม่ประสิทธิภาพสูง Permanent Magnet Synchronous Motor ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มอบพละกำลังและการตอบสนองที่ฉับไวในทุกย่านความเร็ว สมรรถนะที่เหนือชั้นเหล่านี้ช่วยให้ทุกการขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็น การออกตัวที่เฉียบคม การเร่งแซงที่มั่นใจ ด้วยความเร็ว 0-100 กม./ชม. ใน 6.1 วินาที การควบคุมรถที่แม่นยำ หรือการเข้าโค้งในหลากหลายสภาพถนน พร้อมพาผู้ขับขี่ทะยานสู่ทุกจุดหมายได้อย่างมั่นใจ
NEW MG S5 EV ได้รับการออกแบบให้มีการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 ระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง ผสานกับการวางตำแหน่งแบตเตอรี่ที่ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถให้ต่ำลง (Low Centre of Gravity) ส่งผลให้การยึดเกาะถนนเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม เพิ่มเสถียรภาพขณะเข้าโค้งและการเร่งแซง ลดอาการโคลงตัวเมื่อต้องเผชิญกับสภาพถนนที่ท้าทาย เสริมความสมบูรณ์แบบของระบบขับเคลื่อนด้วยระบบช่วงล่างอิสระแบบแมคเฟอร์สันสตรัทด้านหน้า และ 5-Link Suspension ด้านหลัง ที่ได้รับการปรับจูนมาเป็นพิเศษ เพื่อเพิ่มการเกาะถนน รองรับ การเข้าโค้งได้อย่างเฉียบคมและมั่นคง แม้ในความเร็วสูง ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนระหว่างการขับขี่ ให้สมดุลระหว่างความนุ่มนวลและสมรรถนะสูงสุด นอกจากนี้ NEW MG S5 EV ยังมาพร้อมระบบเบรกที่ร่วมพัฒนากับบริษัท Continental ด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมช่องระบายความร้อน มอบพลังเบรกที่ทรงพลัง ทนทานต่อการใช้งานหนัก ได้ดื่มด่ำกับทุกช่วงเวลาของการขับขี่อย่างแท้จริง
ที่สุดกับความสบายใจสำหรับการรับประกันแบตเตอรี่และมอเตอร์ตลอดอายุการใช้งาน – มั่นใจทุกกิโลเมตรที่ขับขี่
ความเร้าใจต้องมาพร้อมกับความอุ่นใจสูงสุดในทุกการใช้งาน NEW MG S5 EV ยกระดับความมั่นใจตลอดอายุ การใช้งานด้วย Lifetime Warranty สำหรับรับประกันแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (High-Voltage Battery) ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน (Electric Drive Unit) และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน (Power Electric Box) ตลอดอายุการใช้งาน แบบไม่จำกัดปี ไม่จำกัดระยะทาง เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์เดียวที่กล้ามอบการรับประกันที่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไปในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ เอ็มจี ในคุณภาพและความทนทานของเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถออกเดินทางได้อย่างไร้กังวล และเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในระยะยาว พร้อมกันนี้ เอ็มจี ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยศูนย์บริการคุณภาพกว่า 140 แห่งทั่วประเทศอีกด้วย
พวงมาลัย Dual Pinion Steering Wheel – ควบคุมแม่นยำ ขับขี่มั่นใจทุกเส้นทาง
NEW MG S5 EV ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมพวงมาลัย Dual Pinion Steering Wheel ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบการขับขี่ที่แม่นยำและมั่นใจในทุกสถานการณ์ ระบบพวงมาลัยนี้ใช้โครงสร้างแบบ Dual Pinion ที่ช่วยเพิ่มความฉับไวในการตอบสนองและให้การควบคุมที่แม่นยำยิ่งขึ้น ลดความพยายามในการบังคับรถ ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น หรือการขับขี่ที่ต้องการ ความคล่องตัว ระบบพวงมาลัยนี้ช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ พร้อมเสริมการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมทั้งในทางตรงและทางโค้งเพิ่มความสนุกและความมั่นใจในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองที่คับคั่งหรือการเดินทางไกลบนทางหลวง
วิ่งไกล 550 กิโลเมตรต่อการชาร์จ พร้อมระบบชาร์จเร็วทันใจ ให้การใช้อีวีง่าย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
NEW MG S5 EV เปิดมิติใหม่แห่งการเดินทางด้วย แบตเตอรี่ขนาด 64 kWh ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มอบระยะทางการขับขี่สุดประทับใจ สูงสุดถึง 550 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ที่วิ่งได้ไกลที่สุดในคลาส ตอบโจทย์ทุกการเดินทางโดยไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทาง นอกจากระยะทางที่เหนือชั้นแล้ว NEW MG S5 EV ยังมาพร้อมกับ ระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 140 kW ช่วยให้ผู้ใช้งานเติมพลังกลับสู่เส้นทางได้ในเวลาอันรวดเร็ว ลดระยะเวลาการรอคอยให้เหลือน้อยที่สุด เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะใช้รถในการเดินทางประจำวันในเมือง หรือขับข้ามจังหวัดเพื่อการเดินทางไกล NEW MG S5 EV จึงไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้า แต่คือ กุญแจสู่อิสรภาพในการเดินทาง ที่ช่วยให้ไปได้ไกลกว่าที่เคย โดยไร้ข้อจำกัดด้านระยะทางและเวลา
เตรียมพบกับยนตรกรรมไฟฟ้าใหม่ในกลุ่ม B-SUV กับ NEW MG S5 EV ที่พร้อมมาฉีกทุกกฎของรถเอสยูวีไฟฟ้า ด้วยดีไซน์และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมทั้งสมรรถนะที่ทรงพลังและการขับขี่ที่เหนือกว่า เตรียมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการขับขี่ยนตรกรรมไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ ภายในงาน Motor Show 2025 นี้แน่นอน!!!
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของ เอ็มจี ได้ที่
Website: www.mgcars.com
Line: @MGThailand
Facebook: www.facebook.com/MGcarsThailand
Twitter: @mg_thailand
Instagram: @mgthailand
Youtube: MG Thailand
TikTok: @mgthailand
Application: MG Thailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
OMODA & JAECOO เชิญลูกค้าร่วมเป็นคนกลุ่มแรกในประเทศไทย เปิดจองสิทธิเป็นเจ้าของ JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) พร้อมรับข้อเสนอราคาสุดพิเศษ
OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก เปิดให้จองสิทธิ์ JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) ยนตรกรรม Plug-in Hybrid รุ่นใหม่ หลังประสบความสำเร็จในการทดสอบระยะไกลสุดท้าทายที่ประเทศแอฟริกาใต้ ที่เป็นบทพิสูจน์ประสิทธิภาพอัน ยอดเยี่ยมและความทนทานของ JAECOO 7 SHS ในฐานะ “Super HEV + EV” ของ OMODA & JAECOO ในสภาพแวดล้อม ที่หลากหลาย โดยเปิดให้จองล่วงหน้าสำหรับลูกค้ากลุ่มแรกในประเทศไทย พร้อมข้อเสนอราคาสุดพิเศษ และรับนาฬิกา JAECOO X GARMIN FORERUNNER 165 มูลค่า 9,900 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 – 23 มีนาคม 2568
JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) รถยนต์ SUV ที่สะท้อนการออกแบบลายเส้นที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ เรียบหรู คลาสิคผสมผสานกันอย่างลงตัว และยังโดดเด่นด้วยนวัตกรรม Super HEV + EV ล้ำสมัยจาก Chery Automobile เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่ปรับการจ่ายเชื้อเพลิงแบบเรียลไทม์ตามสภาพการขับขี่ พร้อมระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง (Thermal Efficiency) ช่วยรักษาสมรรถนะแม้ในสภาวะที่ทำงานหนัก เมื่อผสานกับเครื่องยนต์ 1.5TDGI เจเนอเรชั่นที่ 5 และระบบ Super Electric Hybrid DHT ทำให้ขับขี่นุ่มนวล ไร้รอยต่อ สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนได้ที่ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. เมื่อแบตเตอรี่มากกว่า 25% และมีระยะทางการขับขี่รวมได้ถึง 1,300 กม. (NEDC) ในด้านสมรรถนะการขับเคลื่อน JAECOO 7 SHS มาพร้อมพละกำลังสูงสุดถึง 347 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเจเนอเรชั่นใหม่ ผสานเทคโนโลยีการจัดการพลังงานอัจฉริยะ ส่งผลให้โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะการขับขี่ และอัตราการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม มากกว่า 21.28 กิโลเมตรต่อลิตร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยานยนต์ยุคใหม่ ที่มองหาความคุ้มค่าและความใส่ใจด้านพลังงานในทุกการเดินทาง
ด้านความปลอดภัย มาพร้อมระบบแบตเตอรี่ที่มีการป้องกันรอบด้าน ทั้งความร้อน แรงกระแทก และกันน้ำ พร้อมระบบตัดไฟภายใน 0.002 วินาทีหลังเกิดการชน และระบบรักษาความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ให้ระยะการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 106 กม. (NEDC) และ ยังสามารถใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าฉุกเฉินด้วยความสามารถปล่อยประจุไฟฟ้าภายนอกได้ถึง 3.3 กิโลวัตต์
ร่วมเป็นคนกลุ่มแรกในประเทศไทย ที่จะได้เป็นเจ้าของ JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) ตั้งแต่วันนี้ผ่านผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ 25 สาขา ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1- 23 มีนาคม 2568 นี้เท่านั้น
เตรียมพบกับการเปิดตัว JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการได้ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 วันที่ 26 มีนาคม 2568 – 6 เมษายน 2568 นี้ ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
บริดจสโตนร่วมกับ ม.กรุงเทพ เปิดเวทีชวนน้องๆ นักศึกษา ประชันไอเดียสุดครีเอทีฟ สร้างโปรเจกต์การเดินทางให้โดนใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ในโครงการ “Bridgestone x Bangkok University Young Influencers: Young Event Organizer 2025”
บริดจสโตน ประเทศไทย ร่วมกับ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเวทีให้น้องๆ นักศึกษาสาขาวิชาการผลิตอีเว้นท์ และการจัดการนิทรรศการและการประชุม โชว์ไอเดียสร้างโปรเจกต์ที่เต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ผ่านแคมเปญออนไลน์และกิจกรรมอีเว้นท์ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การเดินทางที่หลากหลายของคนรุ่นใหม่ พร้อมเชื่อมโยงแบรนด์ยางพรีเมียมอย่าง “บริดจสโตน” กับมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย ในโครงการ “Bridgestone x Bangkok University Young Influencers: Young Event Organizer 2025” ซึ่งบริดจสโตนร่วมสนับสนุนงบประมาณตลอดโครงการรวมมูลค่า 400,000 บาท
โดยเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 บริดจสโตนได้เชิญทีมสื่อมวลชนมาร่วมรับชมการนำเสนอผลงานในรอบคัดเลือกของน้องๆ นักศึกษา และมอบเงินรางวัลสนับสนุนแก่น้องๆ จากสองทีมที่ชนะผลการตัดสิน มูลค่า ทีมละ 20,000 บาท สำหรับการจัดแคมเปญออนไลน์และกิจกรรมอีเว้นท์ตามไอเดียที่นำเสนอให้เป็นจริง นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังสายรถยนต์จากช่อง Street Doc และยูทูบเบอร์แถวหน้าของไทยจากช่อง BeerBaiyoke มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆ ได้เตรียมสร้างสรรค์โปรเจกต์รอบปฏิบัติจริงในเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2568
คุณโชทาโร่ คิตะมุระ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจยางรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็ก บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บริดจสโตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สนับสนุนการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของน้องๆ นักศึกษาสาขาวิชาการผลิตอีเว้นท์ และการจัดการนิทรรศการและการประชุมให้ก้าวสู่เส้นทางความสำเร็จผ่านการสร้างสรรค์โปรเจกต์ ทั้งแคมเปญออนไลน์และกิจกรรมอีเว้นท์ สำหรับบริดจสโตน เราได้เดินหน้าปรับกลยุทธ์การสื่อสารการตลาด พร้อมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องๆ นักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพที่เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่จะได้นำความรู้และความสามารถมาประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่เพื่อเป็นอีกหนึ่งเสียงสำคัญที่จะทำให้แบรนด์บริดจสโตนเข้าถึงและเป็นเสมือนเพื่อนคู่ใจ ตอบรับไลฟ์สไตล์การเดินทางของคนรุ่นใหม่ในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว”
ผศ.ดร.อริชัย อรรคอุดม คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า “คณะนิเทศศาสตร์ขอขอบคุณบริดจสโตนและผู้บริหารทุกท่านที่ให้โอกาสนักศึกษาสาขาการผลิตอีเว้นท์ คณะนิเทศศาสตร์ ร่วมสร้างสรรค์แคมเปญออนไลน์และกิจกรรมอีเว้นท์ รวมถึงมอบทุนสนับสนุนให้นักศึกษาได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง โดยบริดจสโตนได้สนับสนุน ให้คำปรึกษา และเป็นโค้ชให้นักศึกษาตลอดโครงการ ทั้งนี้ ผมคาดหวังว่าพลังของนักศึกษาในฐานะคนรุ่นใหม่จะสามารถสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์ เพิ่มมูลค่า และสร้างคุณค่าให้แบรนด์บริดจสโตนได้ตามเป้าหมาย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับทักษะความรู้ และประสบการณ์ของนักศึกษาให้พร้อมทำงานจริงต่อไปในอนาคต รวมถึงยังสร้างโอกาสต่อยอดการส่งเสริมแบรนด์ให้กับบริดจสโตน ผู้นำระดับโลกด้านยางรถยนต์ที่มอบโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ และสนับสนุน คนรุ่นใหม่ต่อไป”
โครงการ “Bridgestone x Bangkok University Young Influencers: Young Event Organizer 2025” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริดจสโตนในการสนับสนุนภาคการศึกษาไทยเพื่อเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่ก้าวสู่เส้นทางอาชีพในอนาคตอย่างมั่นใจ พร้อมทำให้แบรนด์บริดจสโตนเป็นส่วนหนึ่งที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การเดินทางของคนรุ่นใหม่และสนุกกับการชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
“บางกอกมอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 กรังด์ปรีซ์ฯ ผนึกพันธมิตร 54 แบรนด์ดัง ปลุกอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) รวมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 54 แบรนด์ดัง จัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 ภายใต้ธีม “The Talk of Sensuous Automotive” หรือ “สนทนาภาษายานยนต์” ชูไฮไลต์พื้นที่โซนใหม่จัดแสดงอะไหล่รถอีวีและสันดาป หลังปิดดีลเครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายจากประเทศจีน โดยงานจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน พ.ศ.2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี
ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 กล่าวว่า “สำหรับงานมอเตอร์โชว์ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม “The Talk of Sensuous Automotive” หรือ “สนทนาภาษายานยนต์” สื่อถึงปรัชญาแนวทางการออกแบบในโลกยานยนต์ที่สื่อสารเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง ความปรารถนา แรงบันดาลใจ สื่อสารเป็นภาษาของยานยนต์ เพื่อสะท้อนแนวคิด การสร้างสรรค์พัฒนา และประสบการณ์สุนทรียภาพทางอารมณ์อย่างที่คุณค่า”
นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานจัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 “โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการยานยนต์จากยุโรปและเอเชียตอบรับเข้าร่วมออกบูธภายในงานฯ แล้ว 54 ราย แยกเป็นรถยนต์ 41 บริษัท และจักรยานยนต์ 13 สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมออกงานอย่างเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้รับการตอบรับการเข้าร่วมออกงานฯของกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่เป็นแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า ที่เพิ่งเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย อาทิ ZEEKR, OMODA&JAECOO, CHERY, KINGGEN, JUNEYAO , RIDDARA และ GEELY รวมถึงเทคโนโลยีระบบนำทางภายในรถยนต์ HUAWEI นอกจากนี้ยังมีแบรนด์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า YADEA ที่มาเปิดตัวครั้งแรกภายในงานฯ โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 14 ราย”
“ส่วนในไฮไลต์ของการจัดงานฯ ปีนี้ นอกจากมีการเปิดตัวรถยนต์และรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ ทั้งรถสันดาปและรถอีวีของผู้ประกอบการยานยนต์แล้ว บริษัทฯ ได้จัดเตรียมพื้นที่ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พื้นที่กว่า 9,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการออกบูธอุปกรณ์ตกแต่งรถโดยเฉพาะ โดยในปีนี้ได้ขยายฐานผู้ออกบูธแสดงสินค้าสู่กลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถอีวีและสันดาปที่ต้องการขยายตลาดในประเทศไทย เนื่องจากเห็นโอกาสและศักยภาพของงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่เป็นงานจัดแสดงยานยนต์ระดับสากล”
“จึงได้รับความร่วมมือจาก บริษัท หนานจิง ฉ่วงฉี เอ็กซิบิชั่น จากประเทศจีน ได้นำสินค้าอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จากประเทศจีน มาจัดแสดงเพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยที่สนใจเป็นร่วมตัวแทนจำหน่ายอีกด้วย นับได้ว่า เป็นครั้งแรกของการจัดงานแสดงรถยนต์เพื่อผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงทางธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ บนพื้นที่กว่า 3,800 ตารางเมตรภายในฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ระหว่างวันที่ 24 – 30 มีนาคม 2568 มั่นใจได้ว่า จะได้สินค้าที่ตรงตามคุณภาพ ราคาจากผู้ประกอบการโดยตรง”
นอกจากนี้ ยังมีการออกบูธจัดแสดง USED CAR หรือรถมือสองระดับลักชัวรี่ รวมถึง สินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น สินค้ามูเตลู การแข่งขันชิงรางวัล พร้อมกิจกรรมสนุกๆอีกมากมาย ภายในฮอลล์
และอีก 1 งานที่แต่งเติมสีสันให้ล้อกันไปกับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ คือ MU-NIVERSE “เปิดจักรวาลมูเตลูไทย สู่คนรุ่นใหม่” เป็นอีเวนต์ที่รวบรวม เรื่องราวมูเตลูของเมืองไทยในแบบที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยง ความเชื่อม ศิลปะ เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน ระหว่าง วันที่ 2-6 เมษายน 2568 ที่บริเวณฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พบปะกับอ.ลักษณ์ โหราธิบดี และแขกรับเชิญสายมูชื่อดังมากมาย พร้อมกิจกรรมดูดวง ปรึกษาฤกษ์ออกรถ ป้ายทะเบียนมงคล สินค้าเครื่องรางวัตถุมง
คล กิจกรรมแลกเปลี่ยนข้อมูลของดีของสะสมสายมู พร้อมรับสติ๊กเกอร์เสริมดวงรุ่นพิเศษเฉพาะงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เท่านั้น
นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่สายการผลิต บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับกิจกรรมในปีนี้ นอกจากกิจกรรม E-Racing ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์การแข่งขันรถยนต์เสมือนจริงผ่านเครื่องเล่น Simulator แล้ว ทางผู้จัดยังได้รับความร่วมมือจาก R.C.S. (Runbike Championship Series) ประเทศญี่ปุ่น จัดกิจกรรมการแข่งขันจักรยานทรงตัวรายการ “Grandprix Runbike Championship With R.C.S.” ขึ้นภายในงาน โดยเป็นการจัด Pre-Event จำนวน 2 สนาม ซึ่งการจัดการแข่งขันดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันวงการกีฬาสำหรับเยาวชนในประเทศไทย รวมถึงบูธแสดงสินค้าเกี่ยวกับเด็ก กีฬา และไลฟ์สไตล์ ตลอดจนโซนกิจกรรมสำหรับครอบครัวอีกด้วย”
นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาบริษัทฯ ในฐานะผู้จัดงาน ได้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้เข้าร่วมงาน และผู้เข้าชมงานได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี digital transformation เข้ามาอำนวยความสะดวกในการเข้าชมงาน”
“เราได้พัฒนาบัญชี LINE Official Account หรือ Line OA ขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกใช้ในการลงทะเบียน และยังเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทฯ กับผู้บริโภคในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบการให้บริการใหม่ๆ ทั้งกลุ่ม Auto และ กลุ่ม Lifestyle ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นมา เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ”
“นอกจากนี้ เรายังได้จัดทำโปรแกรม Fullloop ที่สามารถเก็บข้อมูลฟีดแบ็กจากผู้เข้าชมได้ในรูปแบบที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ผู้เข้าชมสามารถกรอกแบบสอบถามสั้นๆ เพื่อประเมินการจัดงาน ช่วยให้ผู้จัดงานสามารถรวบรวมข้อมูลได้ทันทีและวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการเก็บฟีดแบ็กจากผู้เข้าชมในงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้จัดงานสามารถปรับปรุงการจัดงานในหลายๆ ด้าน และตอบสนองต่อความต้องการของผู้เข้าชมได้ดียิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการจัดงานฯ ปีนี้จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปีนี้คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนและเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน ประกอบกับสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อรถใหม่และรถมือสอง
สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ผู้จัดงานฯ มีการปรับเพิ่มวันสำหรับสื่อมวลชน หรือ Press day เป็น วันที่ 24 มีนาคม 2568 สือมวลชนสามารถเข้าภายในบริเวณงานได้ตั้งแต่เวลา 7:30 น. โดยรอบนำเสนอของบริษัทแรกจะเริ่มในเวลา 8:00 – 21:00 น. ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมจากแบรนด์ที่ร่วมออกงานฯ โดยสื่อมวลชนที่ไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้า สามารถลงทะเบียนได้ที่กองอำนวยการ ได้ตั้งแต่เวลา 7:00 น. ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 พิธีเปิดการจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 อย่างเป็นทางการ จะเริ่มในเวลา 9:00 – 10:00 น. และ เปิดรอบสำหรับ VIP ตั้งแต่เวลา 10:00 น.- 18:00 น.
การจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 นี้ มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ มั่นใจว่า การจองรถยนต์ ภายในงานครั้งนี้ จะได้รับข้อเสนอที่คุ้มค่า เข้าถึงเทคโนโลยีล่าสุด และสิทธิพิเศษมากมาย ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตัดสินใจ! และ สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่แพ้การจัดงานในอดีตที่ผ่านมา
แคมเปญแจกรถรางวัล สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ เรามี 4 แคมเปญด้วยกัน ดังนี้
- ซื้อบัตรเข้าชมงาน ตอบแบบสอบถาม ลุ้นรับรางวัลรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้า JAECOO 6 EV (2WD) และ รถจักรยานยนต์ 2 รางวัล จากแบรนด์ YAMAHA และ HONDA
- จองรถยนต์ ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ลุ้นรับรถยนต์ไฟฟ้า NETA V-II smart หรือ จองรถจักรยานยนต์ภายในงานฯ ลุ้นรางวัล รถจักรยานยนต์ KAWASAKI W230
- ร่วมกิจกรรมลงทะเบียนบัตรอภินันทนาการ ลุ้นรับรางวัลรถจักรยานยนต์ SUZUKI BURGMAN ได้ที่ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4
- กิจกรรม Shopping มูลค่า 1,000 บาทขึ้นไปภายใน ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ร่วมลุ้นรางวัล E-Scooter YADEA MODERN
สำหรับบัตรเข้าชมงานฯ มีจำหน่ายบริเวณด้านหน้างาน และ ทางออนไลน์ ผ่านไลน์แอปพลิเคชั่น ทั้งนี้นอกจากสิทธิประโยชน์จากการร่วมลุ้นรางวัลรถยนต์และรถจักรยานยนต์แล้ว สามารถนำบัตรเข้าชมงานแบบซื้อที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว มาร่วมกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลต่างๆมากมายได้ที่ บูธกิจกรรมพิเศษ ภายในอาคารฟอรั่ม ฮอลล์4 และ สำหรับการจัดงานฯ ครั้งนี้ ผู้จัดงานฯ ได้จัดเตรียมรถshuttle ไว้อำนวยความสะดวก สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสีชมพู สามารถลงที่สถานีศรีรัช แล้วต่อรถ shuttle ที่ผู้จัดงานฯได้เตรียมไว้ เพื่อเข้าสู่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 เส้นทางศรีรัช – ACTIVE HALL 4 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่ประการใด
มาร่วมสัมผัสนวัตกรรมแห่งยานยนต์ AI ที่จะตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และคุณภาพชีวิตใหม่ของทุกคนได้ที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 นี้ วันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี งานแสดงเทคโนโลยียานยนต์ อันดับ 1 ของเมืองไทย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
PTG โชว์ศักยภาพปี 68 ธุรกิจ Non-Oil โดดเด่น
คุณรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) พร้อมด้วยทีมงานบริษัทฯ ให้การต้อนรับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เนื่องในโอกาสเข้ารับฟังข้อมูลผลการดำเนินงานปี 67 โดยระบุปีที่ผ่านมา PTG มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,042 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 225,813 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณการขายน้ำมันผ่านทุกช่องทางทุบสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 6,708 ล้านลิตร และครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 21.9% ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil เติบโตอย่างโดดเด่นจากกาแฟพันธุ์ไทยที่ขยายสาขาได้เกินเป้า พร้อมประเมินแนวโน้มธุรกิจปี 68 ยังสดใสจากธุรกิจ Non-Oil ที่ขยายตัวโดยเฉพาะกาแฟพันธุ์ไทยที่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญจากแผนขยายสาขาที่ตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีกว่า 2,000 สาขา รวมถึงยอดสมาชิกบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ อาคาร CW ทาวเวอร์รัชดา กรุงเทพฯ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
‘มิชลิน ไพรมาซี่ 5’ เปิดตัวพร้อมแนวคิด “CONFIDENCE MADE TO LAST” ชูจุดเด่นให้สมรรถนะที่ดีเยี่ยมยาวนาน พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ล่าสุด ‘มิชลิน’ ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียางล้อระดับโลก ได้วางตลาด ‘มิชลิน ไพรมาซี่ 5’ (MICHELIN Primacy 5) ยางสำหรับรถยนต์นั่งและรถครอสโอเวอร์ทุกประเภทเครื่องยนต์ ภายใต้แนวคิด “ปลอดภัย มั่นใจในสมรรถนะที่ดีเยี่ยมรอบด้าน แม้เวลาเปลี่ยน” (Confidence Made To Last) ยางรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาให้มีคุณสมบัติเหนือกว่ายางรุ่นก่อนหน้าอย่าง ‘มิชลิน ไพรมาซี่ 4’ โดยมาพร้อมนวัตกรรมล้ำหน้าที่ช่วยให้ยางมีสมรรถนะเพิ่มขึ้น แต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง
นายสรพงษ์ จันทร์นฤกุล, ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ B2C, บริษัท สยามมิชลิน จำกัด เปิดเผยว่า “ยาง ‘มิชลิน ไพรมาซี่ 5’ พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับศักยภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของยานยนต์รุ่นใหม่และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รถยนต์รุ่นใหม่…โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า…มีน้ำหนักมากขึ้นและแรงม้าสูงขึ้น จึงต้องใช้ยางล้อที่มีสมรรถนะสูงขึ้นตามไปด้วย โครงสร้างยางล้อจึงต้องมีประสิทธิภาพที่จะรองรับความต้องการเหล่านี้ได้ ความทนทานต่อการสึกหรอและแรงต้านทานการหมุนของยางล้อที่ดีขึ้นไม่เพียงส่งผลให้ลูกค้ามีต้นทุนในการใช้งานต่ำลง แต่ยังช่วยให้ยางมีสมรรถนะในการยึดเกาะถนนเปียกที่ดียาวนาน จึงให้ความปลอดภัยและอายุการใช้งานที่ยาวนานเหนือกว่า สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย จุดเด่นเหล่านี้ไม่เพียงยกระดับประสบการณ์การขับขี่ แต่ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทำให้ ‘มิชลิน ไพรมาซี่ 5’ เป็นยางที่เลือกใช้งานเพื่อการขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ”
จุดเด่นสำคัญของยาง ‘มิชลิน ไพรมาซี่ 5’ ได้แก่ § ประสบการณ์ขับขี่ที่นุ่มสบายเหนือระดับ ด้วยดีไซน์ดอกยางแบบใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Michelin Silent Rib Gen-3 ซึ่งช่วยลดการสั่นสะเทือน จึงช่วยลดเสียงรบกวนลงและให้การขับขี่ที่นุ่มเงียบสบาย(2) สัมผัสได้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายตลอดการเดินทาง § อายุใช้งานที่ดีเยี่ยมยาวนาน โดยมีอายุใช้งานเฉลี่ยยาวนานกว่ายางระดับพรีเมียมแบรนด์อื่นๆ ถึง 24%(3) ด้วยลายดอกยางสำหรับถนนเปียกที่ให้อายุใช้งานยาวนาน, ร่องรีดน้ำบริเวณไหล่ยาง (Lateral Groove Edges) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และเทคโนโลยี MaxTouch ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสระหว่างยางล้อกับผิวถนน และกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอตลอดหน้ายางขณะเร่งความเร็ว เบรก และเข้าโค้ง ส่งผลให้หน้ายางมีอายุใช้งานนานขึ้นโดยยังคงให้ความปลอดภัยขณะขับขี่ดังเดิม ผู้ขับขี่จึงเพลิดเพลินกับการเดินทางและกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้ยาวนานยิ่งขึ้น…ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง
- ให้ความปลอดภัยบนถนนเปียกยาวนานกว่า โดยมีระยะเบรกสั้นกว่ายางระดับพรีเมียมแบรนด์อื่นๆ ถึง 8% (ยางใหม่) และ 13% (ยางใกล้หมดดอก)(4) ด้วยเนื้อยางสูตรพิเศษ Functional Elastomers 3.0 ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี MICHELIN EverGrip และ MICHELIN EverTread ที่ช่วยให้การรีดน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงให้สมรรถนะการเบรกบนถนนเปียกที่เป็นเยี่ยม เพิ่มความอุ่นใจและปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารในทุกการเดินทาง และ § รองรับการใช้งานร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยสูตรเนื้อยางสมรรถนะสูงบริเวณหน้ายางที่ช่วยลดแรงต้านทานการหมุนของยางล้อลงถึง 13%(5) จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและยืดระยะใช้งานต่อรอบการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากยาง ‘มิชลิน ไพรมาซี่ 5’ จะให้สมรรถนะ ความปลอดภัย และความนุ่มเงียบสบายที่เหนือกว่าแล้ว ยังเคารพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “ความยั่งยืนทุกด้าน” (All Sustainable) ของกลุ่มมิชลิน โดยแรงต้านทานการหมุนของยางล้อ(6) มีประสิทธิภาพดีขึ้น 5% ขณะที่อายุการใช้งาน(7) ยาวนานขึ้น 18% อีกทั้งการออกแบบโดยรวมยังช่วยให้ยางรุ่นนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลงถึง 6%(1)
ปัจจุบัน ‘มิชลิน ไพรมาซี่ 5’ มีวางจำหน่ายแล้ว ณ ร้านตัวแทนจำหน่ายยางอย่างเป็นทางการของมิชลินทั่วประเทศ โดยมีให้เลือกรวมทั้งสิ้น 46 ขนาด ตั้งแต่ขอบ 16 ถึง 20 นิ้ว โดยยางขนาด 18 นิ้วขึ้นไป (21 รายการ) มาพร้อมแก้มยางกำมะหยี่ดีไซน์แบบเต็มวง คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.michelin.co.th
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
PTG ร่วมกับกรมการค้าภายใน ให้ความมั่นใจ เติมน้ำมันเต็มลิตร ที่สถานีบริการน้ำมันพีที
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์ พีที (PT) ร่วมกับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ประกาศเสริมสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนผู้บริโภค ในการเข้าร่วมโครงการ “หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนผู้บริโภคในการใช้บริการสถานีบริการน้ำมันพีที
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เผยว่า “การสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประชาชนผู้บริโภคได้รับเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันที่เติมเงินที่จ่ายไปนั้นถูกต้อง และครบถ้วน ดังนั้นพีทีจี จึงได้เข้าร่วม “โครงการหัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน” ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์พีทีทุกแห่งทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และพร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขของโครงการ โดยจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของหัวจ่ายเป็นประจำทุก 15 วัน ต่อเนื่องกัน 6 เดือน หลังจากนั้นจะเป็นการตรวจสอบเป็นประจำทุกเดือน ทั้งนี้เราตั้งเป้าในการผลักดันให้สถานีบริการน้ำมันพีทีทุกแห่งในประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันพีทีที่ผ่านการรับรองหัวจ่ายมาตรฐานแล้ว 1,680 สถานี เพราะเราตระหนักถึงความสำคัญของความโปร่งใส และการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนผู้บริโภคที่จะได้รับน้ำมันมาตรฐานเต็มลิตร และเต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพ รวมถึงมาตรฐานการให้บริการ เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับบริการที่ดีที่สุด ทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการในสถานีบริการน้ำมันพีที”
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า “ตามที่ทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมฯ กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วม “โครงการหัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน” นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อการสนับสนุน ส่งเสริม และกำกับดูแลมาตรวัดปริมาณเชื้อเพลิงของสถานีบริการน้ำมัน ให้มีความเที่ยงตรง ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกหัวจ่าย สำหรับสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์พีทีนั้น ให้ความร่วมมือในการผลักดัน และปฏิบัติตามกฎหมายพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัดอย่างเข้มงวด โดยสถานีบริการน้ำมันพีทีนั้นสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ได้อย่างถูกต้องต่อเนื่องกัน 6 เดือน จึงได้รับการยกระดับป้ายสัญลักษณ์เป็นสีเงิน (Silver) ดังนั้นผู้บริโภคจึงสามารถมั่นใจได้ว่า ในการเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเครื่องหมายสัญลักษณ์ “โครงการหัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน” จะได้รับปริมาณน้ำมันที่ครบถ้วน ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด”
ทั้งนี้ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) มุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้หลักการเที่ยงธรรม เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ และบริการที่เป็นเยี่ยมสู่ลูกค้าผู้ไว้วางใจ ทั่วประเทศ ปัจจุบันสถานีบริการน้ำมันพีทีมีมากถึง 2,062 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ ครบครันด้วยบริการหลากรูปแบบ อาทิ ร้านค้าสะดวกซื้อ “Max Mart” “ร้านกาแฟ พันธุ์ไทย” รวมทั้ง “Autobacs” ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร มาตรฐานจากญี่ปุ่น ซึ่งสอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของ PTG ในการพัฒนาสังคมให้ “อยู่ดีมีสุข” ต่อไป
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine