-
กล้องติดรถ…อุปกรณ์ที่ช่วยคุณในสถานการณ์ฉุกเฉิน
บนท้องถนนในสมัยนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้บ่อยมาก ยิ่งเป็นการจราจรในเมืองหลวงที่มีการจราจรติดขัดและย่อมเกิดอุบัติเหตุตามมามากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และมีอุปกรณ์ที่สามารถช่วยตัวท่านได้นั่นก็คือ กล้องติดรถยนต์ ที่เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยท่านได้ในหลายๆเรื่อง จะเป็นเรื่องอะไรบ้าง ติดตามได้ในคอลัมน์นี้
กล้องติดรถในสมัยนี้มีมากมายหลายแบรนด์มีทั้งสำหรับติดกับรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์พร้อมทังยังมีอุปกรณ์เสริมอีกมากที่ช่วยให้ปรับเข้ากับรถของท่าน แต่จะมีท่านไหนทราบถึงประโยชน์ของมันบ้าง เราจะมาพูดกัน
1. เมื่อมีอุบัติเหตุ ทำให้ตรวจสอบผู้กระทำผิดที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยกล้องที่ติดไว้กับตัวจะสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ เพื่อความสะดวกในการดำเนินการตามกฎหมาย
2. ในบางบริษัทประกันภัยช่วยลดค่าใช้จ่ายและช่วยประหยัดเงินค่าต่อประกันในปีถัดไปของท่านได้ถ้ามีกล้องติดรถ
3. ช่วยให้ท่านสามารถเก็บภาพการขับขี่ของตัวเองและช่วยปรับปรุงวิธีการขับรถของท่านเองได้
4. ถ้าหากท่านมีการขับรถในเส้นทางไหนประจำ ไม่ว่าจะเป็นการไปทำงานหรือส่งของ ก็สามารถใช้บันทึกข้อมูลการขับขี่ เพื่อช่วยในการปรับปรุงการขับและลดอุบัติเหตุได้
5. กล้องติดรถบางรุ่นสามารถใช้ข้อมูล GPS ที่ให้บริการโดย Google ที่แสดงตำแหน่งยานพาหนะและแสดงผลและบันทึกเส้นทางที่อยู่
6. มั่นใจทุกการเดินทาง เพราะกล้องจะบันทึกการเดินทางของเราตลอด
7. มีกล้องหลากหลายแบบที่จะช่วยสนับสนุนการเดินทางของท่านทั้งความคมชัดและขนาดความจุและยังสามารถนำภาพไปใช้ได้อีกด้วย
นี่ก็เป็นประโยชน์คร่าวๆของการมีกล้องติดรถในทุกการเดินทางในปัจจุบันนี้เพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ เมื่อท่านมีกล้องติดกับรถไว้ก็ไม่เสียหาย บางท่านอาจจะคิดว่ามีไปก็ไม่ได้ใช้ แต่ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่า มีไว้แล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แต่ก็ไม่มี
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
REGULATOR ทำงานยังไงไปดูกัน..!!!
เรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์ คุยยังไงก็ไม่จบไม่สิ้นซะที มีเรื่องราวให้ได้พูดคุยกันทุกเรื่องจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสวยงาม เรื่องของเครื่องยนต์ เรื่องของความแรง ระบบต่างๆภายในตัวรถ รายละเอียดมันชั่งเยอะเหลือเกิน และสำหรับในคอลัมน์นี้ครับ เราจะพาไปทำความรู้จักกับอุปกรณ์หนึ่งชนิดที่อยู่ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ ไปดูกันครับว่ามันมีหน้าที่ทำอะไร ทำไมรถเดิมก็มี รถซิ่งก็ชอบปรับแต่งกันไปหาคำตอบกันครับ
เรามาทำความรู้จักกับ REGULATOR กันก่อนเลยครับว่ามันมีหน้าที่ ที่สำคัญที่สุดในระบบน้ำมันเชื้อเพลิง โดยจะทำการปรับแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงในรางหัวฉีดให้เหมาะสมกับการทำงานในแต่ละช่วงรอบการทำงานในขณะนั้นๆ โดยการควบคุมแรงดันน้ำมัน ที่ส่งมาจากปั๊มแรงดัน ผ่านกรองเบนซินเข้ายังรางหัวฉีด ผ่านตัวเร็กกูเรเตอร์ และไหลกลับสู่ถังน้ำมันเชื้อเพลิง
REGULATOR จะทำงานร่วมกับสุญญากาศภายในท่อร่วมไอดี โดยจะสังเกตุว่าเร็กกูเรเตอร์ แต่ละตัวนั้นจะมีท่อสำหรับต่อสายเข้าไปยังท่อร่วมไอดี ด้านหลังลิ้นปีกผีเสื้อ และจะทำงานสัมพันธ์กันกับลิ้นเร่ง ลิ้นเร่งเปิดน้อย สุญญากาศในท่อก็จะมีมาก ลิ้นเร่งเปิดมาก สุญญากาศก็จะน้อย แรงสุญญากาศที่มาก หรือน้อยนี่แหล่ะครับ จะคอยควบคุมแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงให้สม่ำเสมอเพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์ ไม่ว่าลิ้นเร่งจะเปิดมากหรือน้อยเร็กกูเรเตอร์ เริ่มทำงานนับตั้งแต่บิดสวิทช์กุญแจไปที่ “ON” ปั๊มน้ำมันจะส่งน้ำมันมายังรางหัวฉีด และเร็กกูเรเตอร์จะปิด แรงดันในรางหัวฉีดจะสูงมาก ที่เป็นอย่างนั้นเพื่อให้การฉีดน้ำมันในการสตาร์ทเครื่องครั้งแรกมากกว่าปกติ ทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทง่าย และเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ในรอบเดินเบาจะมีสุญญากาศมาก เร็กกูเรเตอร์ก็จะเปิดมากให้น้ำมันเชื้อเพลิงไหลกลับถังมาก ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อเริ่มเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์ต้องการปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น เพื่อเร่งรอบเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น โดยกล่อย ECU จะได้รับข้อมมูลจากเซนเซอร์ต่างๆของเครื่องยนต์มาประมวลผล และสั่งให้หัวฉีดฉีดน้ำมันเพิ่มมากขึ้น แรงดันในรางหัวฉีดจะลดลง ถ้าไม่มีเร็กกูเรเตอร์ ในช่วงที่เร่งรอบเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อจะเปิดกว้างขึ้น ทำให้สุญญากาศในท่อร่วมไอดีลงลง ส่งผลให้เร็กกูเรเตอร์ปล่อยให้น้ำมันไหลกลับถังน้อยลง ทำให้ในรางหัวฉีดมีแรงดันน้ำมันเพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์ เมื่อเราถอนคันเร่ง ในท่อร่วมก็จะมีสุญญากาศมาก เร็กกูเรเตอร์ก็จะปล่อยน้ำมันออกมาก และจำทำงานเช่นนี้ตลอด แรงดันน้ำมันก็จะสูง ต่ำตามความต้องการของเครื่องยนต์
โดยปกติแล้ว เครื่องยนต์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อนั้นความต้องการแรงดันในรางหัวฉีดนั้นจะแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วแรงดันที่ต้องการจะอยู่ในราวๆ 2.5-3.5 บาร์ หรือราว 36-50 Psi เพื่อให้การจ่ายน้ำมันเข้าห้องเผาไหม้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเร็กกูเรเตอร์จึงเป็นตัวสำคัญในการรักษาแรงดันในรางหัวฉีดให้มีแรงดันสม่ำเสมอตามความต้องการของเครื่องยนต์ในแต่ละช่วงรอบนั้นๆ
เร็กกูเรเตอร์ก็เหมือนชิ้นส่วนอื่นๆของเครื่องยนต์ที่มีการใช้งานก็อาจเกิดการเสียหายได้เหมือนกัน โดยเฉพาะที่แผ่นไดอะแฟมที่เป็นตัวหลักในการควบคุมแรงดันและต้องสัมผัสกับน้ำมันอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้ผ้าเปื่อยขาด ทำให้วาล์วเปิดค้างหรือเปิดให้น้ำมันไหลน้อย ส่งผลให้แรงดันในรางหัวฉีดผิดปกติ และทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง เร่งไม่ขึ้นและสตาร์ทติดยากได้เหมือนกัน ส่วนการจะเปลี่ยนใช้ของใหม่แทนตัวเก่า หรือจะเปลี่ยนตัวใหม่ ติดตั้งใหม่ อันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกของผู้เป็นเจ้าของรถ และทุนทรัพย์ในการซ่อมบำรุง เร็กกูเรเตอร์ที่ติดมากับเครื่องยนต์นั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้ดีกับเครื่องยนต์ตัวนั้นๆแล้ว และเครื่องยนต์ไม่ได้รับการปรับแต่งโมดิฟายอะไรเพิ่มเติม เร็กกูเรเตอร์ “เดิม”นั้นรับรองว่าเพียงพอกับความต้องการการใช้งานอยู่แล้วครับ
สำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบที่ต้องการแรงดันในรางหัวฉีดมากกว่าเครื่องยนต์ที่ไม่มีเทอร์โบ ก็มีการติดตั้งเร็กกูเรเตอร์เช่นเดียวกัน แต่จะสร้างแรงดันให้พอเพียงในการบูสท์ของเทอร์โบได้ดี หรือแม้แต่จะเปลี่ยนเทอร์โบลูกใหญ่ขึ้น ปรับบูสท์ให้สูงขึ้น เร็กกูเรเตอร์เดิมสามารถรองรับในจุดนี้ได้เพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์อยู่แล้ว และบางครั้งเร็กกูเรเตอร์เดิมยังทำงานได้ดีกว่าเร็กกูเรเตอร์ปรับได้บางรุ่นเสียอีก ดังนั้นบางครั้งควรมาใส่ใจในเรืองอื่นมากกว่า เช่น การเพิ่มขนาดหัวฉีดให้มีการฉีดน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ท่อทางเดินน้ำมัน กรองเบนซิน หรือปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของเร็กกูเรเตอร์ เมื่อได้อ่านบทความกันแล้วก็อย่าลืมนำไปใช้กับรถคันโปรดของท่านอย่างถูกวิธีกันด้วยนะครับ เพื่อที่จะรักษารถให้อยู่กับเราได้นานขึ้นครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
IMPREZA “GC”แต่ละVERSION ต่างกันยังไง…!!
เอาใจคอแรลลี่กันซักหน่อยสำหรับคอลัมน์นี้ กับรถจากค่ายดาวลูกไก่อย่าง SUBARU IMPREZA ในบอดี้ GC เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรหัสที่สาวกสูบนอนไม่พลาดที่จะมีไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สุดแสนจะมีเสน่ห์ รวมไปถึงเครื่องยนต์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเรื่องของช่วงล่างแบบหนึบๆตามสไตล์ แรลลี่ โดยเฉพาะในรุ่นของ GCถือว่าเป็นที่กล่าวขานกันอย่างมาก สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะพาไปดูกันครับว่ามีกี่รุ่นและมีกี่เวอร์ชั่นที่ทางซูบารุได้ผลิตออกมา และแต่ละเวอร์ชั่นนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร
ก่อนอื่นเราเราต้องมาดูกันก่อนครับว่า SUBARU IMPREZA ในซีรี่ของ GCนั้นมีกี่รุ่น เรามาแบ่งกันแบบง่ายๆให้เห็นกันชัดๆไปเลย นั่นก็คือ GC3 เป็น รถ 1.6 ขับหน้า 90 แรงม้า แคมเดี่ยว GC6 เป็นรถ 1.8 ขับ4 110แรงม้า แคมเดี่ยว /GC8 เป็นรถ 2.0 2.5 ขับ4 มีทั้ง NA และ turbo
Body ของ impreza นั้น เริ่มเกิดขึ้นปี 1992 โดย จะมี ตัวถังแบ่งออกเป็น 3 แบบ ในส่วนของ sedan คือ GC3,GC6,GC8 โดยGC8 เป็นรถ 2.0 ขับ4 มีทั้ง NA และ turbo WRX ,WRX type RA,STi,STi V limited,STi type RA ,STi type R, STi 22B,STi S201
เรามาดูกันที่ตัวแรกก่อนเลยครับ ขอเน้นไปที่ ตัว STi นะครับ STi version1 ภายนอก ไฟหน้า ยังมนอยู่ครับ ทรงเหมือน รถบ้าน NA บ้านเราครับ เบรกหน้า 2พอต หลัง1พอต หางหลังทรงสูงๆหน่อยครับ ดูตามรูปเลยครับ
เครื่องยนต์
รหัส: EJ20G
อินเตอร์คูลเลอร์:เฉียง
ระบบจุดระเบิด: ไดเร็คคอยล์ สูบละ 1 ชุด
เทอร์โบ: TD05
แรงดันบูสท์: 0.8 บาร์
แรงม้า : 250/6500
แรงบิด : 31.5 kgm/3500ก่อนที่ subaru จะสร้าง impreza STi version 2 ก็ได้ปล่อย WRX STi type RA ออกมาก่อน โดยมีการพัฒนาจาก ตัว version1 มาพอสมควร ทั้ง เกียร์ ที่เป็นเกียร์ 3.9 close มี C.diff แรงม้า 275 คอไอดี ยังไม่เป็นสีแดง
ในช่วงของปี1995เป็น STi version2 และ STi 555 และ STi type RA
เครื่องยนต์
รหัส: EJ20G
อินเตอร์คูลเลอร์:เฉียง (สีเงิน..ของ WRX ธรรมดาเป็นสีดำ ..ท่อทางเข้าต่างกัน)
ระบบจุดระเบิด: ไดเร็คคอยล์ สูบละ 1 ชุด
เทอร์โบ: TD05
แรงดันบูสท์: 0.93 บาร์
แรงม้า : 275/6500
แรงบิด : 32.5 kgm/4000
รอบตัด 7000 เท่า WRX ธรรมดา
ส่วน STi type RA version 2 จะลากรอบได้ถึง 7500 รอบต่อนาทีนะครับ ตัวนี้เป็นคอแดงแล้วครับ ในตัวที่เป็น
STi version2 V-limited ทำออกมา1000คัน
STi version2 typeRA ทำออกมา 555 คันในช่วงปี 1996 subaru ได้ปล่อย STi version3 ภายนอก มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมพอสมควร ทั้งไฟหน้า เป็นมุมเป็นเหลี่ยมเหมือนไฟเพชรที่เราๆใช้กันอยู่ในปัจจุบันเนี่ยล่ะครับ แต่ยังไม่ใช่ไฟเพชรครับ หางหลัง เหมือน version2 ล้อลักยิ้มสีทอง แต่มี ออฟชั่น พิเศษ เป็นล้อ BBS ของ16 มาด้วยนะครับ ก็เพิ่มไลน์การผลิตของตัว2ประตู หรือบางคนเรียก คูเป้ ซึ่ง ชื่อรุ่นของมันคือ STi version3 type R เครื่องยนต์ เปลี่ยนรหัสจาก EJ20G เป็น EJ20K มีการพัตนาตัวเครื่องขึ้นมาพอสมควร ลูกสูบเป็น ฟอร์จ แคมฝั่งไอดี เพิ่มจากเดิม 240 เป็น 246 องศา ลิฟจาก 8.1 เป็น8.2 และฝั่งไอเสียเป็น 248 องศา ลิฟ8.3
เครื่องยนต์
รหัส: EJ20K บ้านเราเรียก คอแดงคอยกลาง
อินเตอร์คูลเลอร์:ตรง สีเงิน STi
ระบบจุดระเบิด: Waste spark คอยล์ 1 ตัวจุด 2 สูบพร้อมกัน
เทอร์โบ: IHI RHF5
แรงดันบูสท์: 1.07 บาร์
อัตราส่วนกำลังอัด: 8.0ต่อ1 (VersionII เป็น 8.5)
แรงม้า : 280/6500
แรงบิด : 35 kgm/4000
รอบตัด : 7900
อีกหนึ่งอย่างที่มีเพิ่มเข้ามาคือ เบรค4พอตครับ ส่วนด้านหลัง ยังเป็น 1พอตเหมือนเดิม และในตัวที่เป็น RA เนี่ยะ เพลาจะใหญ่กว่ารุ่นปกติSTi version3 V-limited ทำออกมา500คัน
STi version3 type R ทำตามออเดอร์เท่านั้นในช่วงต้นปี 1998 subaru ได้ปล่อย STi version4 ออกมาครับ โดยภายนอก แทบไม่มีอะไรแตกต่างจาก STi version3เลยครับ แต่ครับแต่ ในรุ่นนี้ สิ่งที่ มันพิเศษขึ้นมา แปลกใหม่ขึ้นมา แม่มโคตรหลายอย่างเลยครับ เริ่มตั้งแต่ ภายใน คอนโซล มีการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดครับ แต่เบาะยังคงเป็นปีกแดงเหมือน STi version3 ครับ ก็มี เบรคหลัง2พอตเข้ามาเพิ่ม รวมทั้งตัว STi type RA ด้วยครับ ส่วนเรื่องเครื่องยนต์ เหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ด้านในมีนิสหน่อยครับ แรงบิดที่เพิ่มขึ้น แคม ที่มีการเพิ่งองศาในฝั่งของไอดี จากเดิม 246 เป็น248 องศา ลิฟจาก 8.2 เป็น 8.3 ส่วนฝั่งไอเสียเท่ากับ STi version3
เครื่องยนต์
รหัส: EJ20K
อินเตอร์คูลเลอร์:ตรง สีเงิน STi
ระบบจุดระเบิด: Waste spark คอยล์ 1 ตัวจุด 2 สูบพร้อมกัน
เทอร์โบ: IHI RHF5
แรงดันบูสท์: 1.07 บาร์
อัตราส่วนกำลังอัด: 8.0ต่อ1
แรงม้า : 280/6500
แรงบิด : 36 kgm/4000
STi type RA V-limited ทำออกมา 555คัน
STi typeR typeRA V-limited ทำออกมา 555คัน
STi type R V-limited จะทำรุ่นพิเศษ ทุกๆครบรอบ3เดือน ทำตามออเดอร์เท่านั้นในช่วงปลายปี1998 Subaru ได้ปล่อย impreza STi version5 ออกมาครับ ทีนี้ เปลี่ยนใหม่หมดครับภายนอก ไฟหน้า ทรงเดียวกับ version3-4 แต่โคมเป็น เพชรละครับ ใสกิ๊ง กันชนหน้าเปลี่ยนไป เหลือ2ครับ หางหลัง ทรงสูง ล้อลักยิ้มเหมือนเดิมด้านเครื่องยนต์ ได้เปลี่ยน รหัสเป็น EJ207 ครับ
เครื่องยนต์
รหัส: EJ207 บ้านเรา เรียก คอยเฉียงครับ
อินเตอร์คูลเลอร์:ตรง สีเงิน
ระบบจุดระเบิด: Waste spark คอยล์ 1 ตัวจุด 2 สูบพร้อมกัน คอยล์วางตำแหน่งเยื้องไปทางขวา
เทอร์โบ: IHI RHF5
แรงดันบูสท์: 1.0 บาร์
แรงม้า : 280/6500
แรงบิด : 36 kgm/4000
STi type RA V-limited ทำออกมา 1000คัน
STi type R limited ครับรอบ4เดือน จะทำตัว limited ออกมา1ครั้งในช่วงปี1999 subaru ได้ปล่อย STi version6 ออกมาครับ ภายนอก เหมือนversion5 ครับ แต่แตกต่างกันตรง มีลิ้นหน้าเพิ่มเข้ามา หางหลัง คล้ายกัน แต่ มีขั้นของหางเพิ่มเข้ามา
เครื่องยนต์
รหัส: EJ207
อินเตอร์คูลเลอร์:ตรง สีเงิน
ระบบจุดระเบิด: Waste spark คอยล์ 1 ตัวจุด 2 สูบพร้อมกัน คอยล์วางตำแหน่งเยื้องไปทางขวา
เทอร์โบ: IHI RHF5
แรงดันบูสท์: 1.0 บาร์
แรงม้า : 280/6500
แรงบิด : 36 kgm/4000
STi RA limited ทำออกมา 2000คัน
WRX type R limited ทำออกมา 1000คันต่อไป น่าจะเป็น body สุดท้ายของ GC นั่นก็คือ Subaru impreza WRX STi typeRA S201 electra
ชุดบอดี้พาร์ท อลังการงานสร้าง ในแบบที่ GC ไม่เคยมีมาก่อนโดนเฉพาะกันชนหน้า และกันชนหลังเครื่องยนต์
รหัส: EJ207
ความจุ1994
อินเตอร์คูลเลอร์:ตรง สีเงิน
เทอร์โบ: IHI RHF5
แรงม้า : 300.1 PS @ 6500 rpm
แรงบิด : 36kgm @ 4000 rpm
STi S201 ทำออกมา 300คันสำหรับคนที่ชื่นชอบรถจากค่ายดาวลูกไก่ก็คงพอจะได้ความรู้กันไปไม่มากก็น้อย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบอดี้ที่น่ามีไว้ประดับโรงจอดรถที่บ้านซะจริงๆเชียวครับ สำหรับคอลัมน์นี้ต้องขอตัวลากันไปก่อน สวัสดีครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
VIP STYLE เค้าแต่งกันยังไงไปดูกัน…!!
ว่ากันด้วยเรื่องของการแต่งรถ คุยกันไม่จบไม่สิ้นสักที แน่นอนที่สุดครับสำหรับในคอลัมน์นี้ จะพาผู้ที่ชื่นชอบการปรับแต่งรถแนววีไอพีไปทำความรู้จักกันครับว่า เค้าแต่งกันอย่างไร ถึงเรียกว่าแนววีไอพี พื้นฐานของตัวรถต้องเป็นรถประเภทไหนต้องไปติดตามดูกันครับ เรียกได้ว่าก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการปรับแต่งรถที่ได้รับความนิยมกันอย่างมากทั้งในบ้านเราและประเทศเพื่อนบ้าน
เรามาเริ่มต้นกันก่อนเลยครับว่า VIP Style คืออะไร VIP STYLE สไตล์ก็คือการแต่งรถที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า “แนวยากูซ่า” นั่นเองครับ แต่ที่จริงแล้วคำว่า VIP ในที่นี้ ไม่ได้มีความหมายโดยตรงว่า “very important person” ซะหน่อย จึงขออธิบายว่าจริงๆ แล้วรายละเอียดมันเป็นอย่างไรซึ่งแนวทางการแต่งรถให้เป็น VIP Style นั้น ก็จะมีข้อแม้ในการแต่งอยู่พอสมควร เพื่อให้สามารถควบคุมรูปแบบของการปรับแต่งได้จึงต้องมีขอบเขตกันบ้าง จะเป็นยังไงนั้นต้องไปดูกันครับ
โดยส่วนมากแล้วจะเป็นรถ SEDAN บอดี้ใหญ่ ในบ้านเราที่เห็นๆ กันส่วนก็จะมี HONDA ACCORD,TOYOTA CAMRY/ARISTO,NISSAN TEANAและรถรุ่นอื่นๆบ้างที่มีบอดี้ขนาดใหญ่ แต่ในบ้านเรารถขนาดใหญ่นั้นเป็นไปค่อนข้างยากเพราะมีราคาสูงพอสมควรจึงมีการอนุโลมในเงื่อนไขแบบไทยๆ คือ MINI SEDAN, MID SEDAN ก็สามารถทำรถแนว VIP STYLE ได้
ในส่วนของล้อแม็กซ์นั้น ล้อแนว VIP STYLE ไม่ได้หมายถึง ล้อโครเมี่ยมเงาวับหรือล้อโตขอบ 20″ ขึ้นไป แต่มันคือล้อแท้จากสำนักผลิตที่มีมาตรฐาน คุณภาพสุดบรรยาย วัสดุชั้นดี งานสวยที่ของก๊อปปี้เทียบไม่ติด และลายนั้นต้องไม่ใช่แนว RACING พอใส่กับรถแล้วดูสวย หรูหรา เนี๊ยบทำให้รถมีราคาขึ้นมากและดูเป็นผู้ใหญ่
สีของรถควรเป็นสีแนวสุภาพ แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องขาวหรือดำเท่านั้น สีอะไรก็ได้แต่งขอให้อยู่บนพื้นฐานของความเรียบร้อยหรูหรา ดูเป็นผู้ใหญ่ ก็แล้วแต่จะทำกัน ส่วนการเล่นสีสันเจ็บๆ นั้น ทาง VIP CARเขาให้นิยามมาว่า VIP CAR INAKA หรือที่เราเรียกกันว่า อินากะ ในภาษาไทย มันมีที่มาจากการที่รถ VIP CAR ที่อยู่ตามต่างจังหวัดประเทศญี่ปุ่น เขาชอบใช้สีสดๆ ซึ่งมันผิดกับคอนเซ็ปท์ที่กล่าวไว้ตอนต้นนั่นเอง
มาดูกันที่ระดับความสูงของตัวรถกันบ้างครับ แน่นอนที่สุดครับตัวรถต้องมีความเตี้ยพอสมควร ถึงเตี้ยมาก แต่สำหรับประเทศไทยบ้านเรานั้น ถนนขรุขระเหมือนผิวดาวอังคารไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร ความเตี้ยของรถจึงไม่จำเป็นมากเท่าไหร่แต่ก็มีพี่ไทยหลายๆคันที่เตี้ยได้สุดจริงๆครับเรียกได้ว่าท้องแตกก็ยอมเพื่อความเท่
ในส่วนของชุด AERO PART รอบคัน ในเรื่องของชุด AERO PARTนั้นต้องออกแนว VIP STYLE ถ้า AERO PART แนว RACING ก็จะผิดสูตรไม่เข้ากับแนว VIP STYLE จะกลายเป็นการแต่งแบบ RACING ไปเลยสำหรับเพื่อนๆท่านใดที่ชอบการปรับแต่งแนวนี้ก็สามารถนำไปเป็นแนวทางการปรับแต่งรถของตัวเองกันได้เลยนะครับ แต่ที่สำคัญเมื่อปรับแต่งกันแล้วก็อย่างลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทกันด้วยนะครับ จะได้ไม่เดือดร้อนกับตัวเองและเพื่อนร่วมทาง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
EGR คืออะไรทำไมต้องมี !!?
เมื่อรถยนต์มีการพัฒนาขึ้นอยู่ตลอด อุปกรณ์ต่างๆที่ถูกใช้งานควบคู่ไปกับรถยนต์ทุกชนิดจึงต้องมีการพัฒนาตามกันไป แน่นอนที่สุดครับสำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของระบบการนำไอเสีย(บางส่วน)ย้อนกลับไปใช้งานอีกครั้งหรือที่รู้จักกันในชื่อของระบบ EGR นั่นเองครับ มันคืออะไร และหน้าที่ของมันทำอะไรบ้าง ในคอลัมน์นี้มีคำตอบครับ
EGR (EXHAUST GAS RECIRCULATION) ในสองสามปีที่ผ่านมาแรงดันสูง ทำให้การเผาไหม้ได้สมบูรณ์แต่การเผาไหม้รุนแรง ด้วยความร้อนสูง จึงเกิดออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งเป็นสารมลพิษ จึงเกิด EGRขึ้นมาโดยเอาไอเสียส่วนหนึ่งน้อยๆที่มีการควบคุมตามความจำเป็น ไม่ใช่ทั้งหมดของไอเสียกลับเข้าไปเผาไหม้ใหม่ อย่างที่หลายๆคนคิดและเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อไอเสียส่วนน้อยๆเข้าไปในท่อไอดี เพื่อทำให้อากาศในท่อไอดีออกซิเจนต่ำลง การเผาไหม้จึงลดความรุนแรงลง จึงทำให้ลดหรือหมดไปของออกไซด์ของไนโตรเจน รถใหม่ป้ายแดงใช้งานไปในระยะแรกผู้ที่ใช้รถจะไม่รู้สึกว่ามี EGR เพราะระบบยังทำงานเป็นปกติ แต่เมื่อใช้งานไปสักพักได้ยินคำบอกเล่าว่าอุดEGR แล้วจะทำให้รถวิ่งดีขึ้น ควันไม่ดำ แน่นอนเรื่องควันดำ ถ้าEGRเกิดการขัดข้อง ปล่อยให้ไอเสียกลับเข้าในท่อไอดีมากขึ้น
คำถามที่เจอกันบ่อยครั้ง มีอยู่ว่าการอุด EGR จะมีผลเสียกับเครื่องหรือไม่ คำตอบเกือบทั้งหมดจะตอบว่า อุดได้ไม่มีปัญหาเพราะจะได้ไม่ต้องเอา ไอเสียกลับไปเผาไหม้ใหม่มีบางคนถึงกับแนะนำต่อว่า อุด EGR แล้วไม่ทะลวงแคท(แคทาลิติกคอนเวอร์ทเตอร์) เดี๋ยวแคทก็จะตัน เพราะเขม่าไอเสียจะมากขึ้น ระบบ EGR และ แคทาลิติกคอนเวอร์ทเตอร์เป็นอันว่าหมดไปคือไม่มี ระบบ EGRและแคทาลิติกคอนเวอร์ทเตอร์ไม่มีส่วนที่จะเพิ่มสมรรถนะแต่อย่างใด ความจริงทั้ง EGR และ แคทาติกคอนเวอร์ทเตอร์ เป็นมาตรฐานระดับโลกที่บังคับให้ต้องมี ความสำคัญและมีหน้าที่ๆถูกต้องเป็นอย่างไร
แต่ก่อนจะคุยถึงเรื่อง EGR และ แคทาลิติกคอนเวอร์ทเตอร์ นี้จะย้อนรอยถอยหลังไป50ปี เครื่องยนต์ในสมัยนั้น ก็เหมือนกับเครื่องยนต์ในสมัยนี้ คือ สันดาปภายใน แต่ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ระบบไฟแรงสูงเปลี่ยนไป เครื่องยนต์ในสมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้วมา การจ่ายเชื้อเพลิงเป็นแบบคาร์บูเรเตอร์ ช่องเดียว คือมีช่องทางให้อากาศ และเชื้อเพลิงเข้าเพียงช่องเดียว ไฟแรงสูงคือไฟที่จะไปออกหัวเทียนเพื่อจุดระเบิด ที่มาจาก คอยล์ ทำไฟแรงต่ำ 12 โวลท์ มีทองขาวเป็นตัวทำให้คอยล์เกิดไฟแรงสูง 25,000 โวลท์ การปรับตั้งเครื่อง ก็รู้กันแต่เพียงว่าให้เครื่องยนต์ เดินในรอบเดินเบาเดินเรียบในรอบที่ต่ำมาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารอบเดินเบานั้นกี่รอบ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีวัดรอบ แต่จะดูกันที่ใบพัดลม ช่างผู้ใหญ่จะอำช่างเด็กๆว่าไอ้หนูตั้งให้นับใบพัดได้เลยนะ ใบพัดเป็นใบพัดเหล็กมี 4 ใบ แอร์ไม่มี เพาเวอร์ไม่มี ไฟชาร์ทเป็นได AC คือกระแสไฟตรง จะทำไฟเมื่อรอบสูง ในรอบต่ำจึงเป็นการทำงานของเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว ไม่มีอุปกรณ์ใดมาเป็นภาระของเครื่องยนต์ จึงทำให้กำลังของเครื่องยนต์ รอบเดินเบาจึงต่ำมากได้
นอกจากจะดูรอบเครื่องที่เดินเบาแล้ว จะต้องเดินไปที่ท้ายรถดมกลิ่นไอเสียโดยเอามือไปรับไอเสียมาดม ถ้าส่วนผสมไม่ถูกต้องเชื้อเพลิงมากไปเผาไหม้ไม่หมด จะมีกลิ่นน้ำมัน มีอาการแสบจมูกแสบตา ก็ต้องไปตั้งอากาศตั้งจังหวะจุดระเบิดใหม่ จนกว่าจะหาย ถ้าเชื้อเพลิงน้อยไป ไอเสียจะออกมาร้อนแต่ไม่มีกลิ่น การปรับตั้งทำได้แต่ในรอบเดินเบา แล้วรอบสูงเผาไหม้หมดหรือไม่เราไม่รู้ การเผาหมดหรือไม่หมดไม่รู้ แต่ถ้ามีอาการควันดำ ก็ต้องถอดหัวเทียนออกมาดู ถ้าสีของหัวเทียนดำแสดงว่าน้ำมันมากไป แต่ถ้าวิ่งความเร็วสูง มีอาการสะดุดถอดหัวเทียนออกมาดู สีของหัวเทียนเป็นสีขาว แสดงว่าน้ำมันน้อยไป การเผาไหม้ไม่หมดก่อให้เกิดมลพิษอะไรเราก็ไม่รู้ แต่มีผู้คนอีกกลุ่มที่รู้ว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มาสมบูรณ์ทำให้เกิดมลพิษ มลภาวะขึ้นในอากาศ จึงมีการพัฒนาการจ่ายเชื้อเพลิง คาร์บูเรเตอร์ ให้มีสองช่องเพื่อให้อากาศเข้าได้มากขึ้น เครื่องยนต์มีแรงมีกำลังมากขึ้นแต่คงจะแก้ปัญหามลพิษที่เครื่องยนต์ทำให้เกิดขึ้นได้ไม่พอจึงมีการพัฒนาระบบจ่ายเชื้อเพลิง ระบบไฟแรงสูง ขึ้นและต่อมา ระบบจ่ายเชื้อเพลิงไม่ใช้คาร์บูเรเตอร์ เป็นตัวจ่ายเชื้อเพลิงเปลี่ยนเป็นหัวฉีดควบคุมด้วย อิเล็คทรอนิค มีกล่อง อีซียู เป็นตัวควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิง ไฟแรงสูงจาก 25,000 โวลท์ เป็น 35,000โวลท์ ทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ คือการเผาไหม้ที่รุนแรง ก็ทำให้เกิด ออกไซด์ของไนโตรเจน
การเผาไหม้ในเครื่องยนต์สมัยเก่าที่ไม่สมบูรณ์จะก่อให้เกิด คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็น แก๊สพิษ ไม่มีสีไม่มีกลิ่น และไม่มีรส เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ เป็นมลพิษที่ปนออกมากับไอเสียของเครื่องยนต์
การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ เกิดจากการที่อากาศและเชื้อเพลิงผสมกันอย่างถูกต้องทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรงอุณหภูมิสูง ทำให้เกิด ออกไซด์ของไนโตรเจน อันเป็นสารมลพิษ เป็นสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
อุปกรณ์ในรถหลายๆอย่างเมื่อเกิดการขัดข้องยังมีการแก้ไข แล้วทำไมเมื่อระบบ EGRเกิดการขัดข้องทำไมไม่แก้ไข ทั้งๆที่เป็นความจำเป็นที่ต้องมีข้อสำคัญในเครื่องยนต์ ดีเซล ระบบคอมมอนเรล ที่ไอเสียส่วนเล็กๆที่กลับเข้าไปในท่อไอดี จะมีเขม่าเข้าไปเกาะภายในท่อไอดี แต่ส่วนที่สำคัญตรงจุดที่ท่อไอดีเชื่อมต่อกับฝาสูบ ที่เป็นส่วนที่ทางเดินของไอดีที่เล็กก็จะเล็กลงไปอีก มีผลทำให้กำลังเครื่องยนต์ตก ควันดำ ตรงจุดนี้ไม่เคยมีคนคิด ถ้าเครื่องยนต์วิ่งมาได้สัก 150,000 กม จะถอดท่อไอดีออกมาขูดเขม่าออก ก็น่าจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เป็นปกติ กำลังของเครื่องยนต์จะดีขึ้น ควันดำก็จะหายหรือน้อยลง ความประหยัดเชื้อเพลิงมีมากขึ้น ทั้งหมดพอจะเป็นแนวทางให้ท่านที่ใช้รถได้คิด และป้องกันความเสียหายจากความไม่รู้ได้
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
INTERCOOLER คืออะไรทำไมรถซิ่งต้องมี
กลับมาพบกันอีกเช่นเคยครับกับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องรถ สำหรับในคอลัมน์นี้เอาใจผู้ที่ชื่นชอบในการแต่งรถกันซะหน่อย กับเรื่องราวของระบบระบายความร้อนของอากาศ หรือที่เราเรียกติดปากกันว่าชุดอินเตอร์คูลเลอร์นั่นเองครับ ซึ่งไอ้เจ้าอินเตอร์คูลเลอร์เนี่ย มันก็มีอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบหลากหลายขนาด จะเลือกใช้แบบไหนถึงจะเหมาะกับรถของเรา และของเดิมที่มีอยู่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือไม่ ไปหาคำตอบกันครับ
อินเตอร์คูลเลอร์คือ อุปกรณ์สำหรับช่วยระบายความร้อนของอากาศที่ถูกส่งมาจากเทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งอากาศที่ส่งผ่านมานั้นจะมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง และด้วยหลักการทำงานของเครื่องยนต์มีความร้อนสะสมอยู่ตลอดอยู่แล้วเพราะฉะนั้นอากาศที่จะถูกส่งผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้จึงควรที่จะมีอุณหภูมิที่ไม่สูงมากนัก เพื่อที่จะทำให้การเผาไหม้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด อินเตอร์คูลเลอร์จึงมีหน้าที่เข้ามาช่วยลดอุณหภูมิของอากาศก่อนที่จะส่งเข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ เรียกได้ว่าเมื่ออากาศวิ่งผ่านอินเตอร์คูลเลอร์แล้วจะมีอุณหภูมิลดลงทันที
อินเตอร์คูลเลอร์ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ดี จริงๆแล้วจะเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญเท่าความเหมาะสมในการใช้งาน สรุปกันแบบง่ายๆว่า ถ้าเป็นรถที่ไม่ได้ใช้ในการแข่งขันก็ไม่ควรเปลี่ยนอินเตอร์คูลเลอร์ให้มีขนาดใหญ่หรือหนาเกินความจำเป็น ขนาดความหนาที่เหมาะสมก็ไม่ควรจะเกิน 3นิ้ว ซึ่งถ้าเปลี่ยนอินเตอร์ฯให้มีขนาดที่ใหญ่หรือหนาเกินไป แต่ระบบอัดอากาศมีขนาดเล็ก อาจจะส่งผลให้รถวิ่งด้อยลงกว่าเดิมก็ได้ เนื่องจากความหนาแน่นของอากาศไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการใช้งานและสเป็คของเทอร์โบ
ตำแหน่งของอินเตอร์คูลเลอร์ควรอยู่ตรงไหนดี จริงๆแล้วโดยส่วนมากก็จะอยู่ที่ด้านหน้า ในตำแหน่งหลังกันชนหน้า หรือในรถบางรุ่นก็จะอยู่ที่ด้านบนของตัวเครื่อง ซึ่งสองแบบนี้ก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน สำหรับการติดตั้งที่ด้านหน้านั้น ก็จะมีส่วนดีในเรื่องของการระบายความร้อน เนื่องจากจะได้รับแรงปะทะโดยตรงจากลมทางด้านหน้า ก็จะช่วยให้อุณหภูมิไม่สูงมาก แต่ข้อเสียคือ การเดินทางของอากาศจะมีระยะทางที่ไกล ในรถบางรุ่นอาจจะมีอาการรอรอบก็เป็นได้ ส่วนอินเตอร์คูลเลอร์ที่ติดตั้งด้านบนเครื่องยนต์นั้นก็จะดีตรงที่การเดินทางของอากาศใช้ระยะทางน้อย ช่วยให้มีอัตราเร่งที่ดี ติดบูสท์เร็ว ไม่ต้องรอรอบ แต่เรื่องของการระบายความร้อนคงไม่สมบูรณ์เท่าการติดที่ด้านหน้า ถึงแม้จะมีสคู๊ฟดักลมเข้ามาช่วยi
การดูแลรักษา ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับ เพียงแค่เราหมั่นคอยดูไม่ให้มีอะไรเข้าไปติดหรืออุดตัดที่ตัวอินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งถ้ามีฝุ่นผงหรือเศษขยะต่างๆเข้าไปอุดตัดก็จะทำให้การระบายอากาศไม่มีประสิทธิภาพ การดูแลรักษาก็แค่หมั่นเอาน้ำฉีดเข้าไปที่ตัวอินเตอร์คูลเลอร์ หรือใช้น้ำยาฉีดอัดเข้าไป เพื่อให้ไปทำละลายคราบฝุ่นผงหรือไขมันที่ติดอยู่ด้านใน เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้อินเตอร์คูลเลอร์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์และที่สำคัญ ดูสวยงามเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ก็ไม่มีอะไรมากครับสำหรับเรื่องราวของอินเตอร์คูลเลอร์ เพียงแค่เราเลือกใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานและดูแลรักษาให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถใช้รถได้อย่างมีความสุขแล้วครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
เมื่อมีรถฉุกเฉินต้องการผ่าน ควรปฏิบัติอย่างไร
หลายครั้งที่เมื่อขับขี่รถบนท้องถนนก็จะมีเหตุฉุกเฉินที่ที่จะมีรถพยาบาล รถฉุกเฉินหรือรถดับเพลิงผ่านบางคนอาจจะตกใจจนไม่มีสติ ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันถึงแนวทางการปฏิบัติเมื่อมีรถฉุกเฉินผ่าน
1.เมื่อเห็นสัญญาณไฟหรือได้ยินสียงไซเรน มักจะตกใจหรือปฏิบัติไม่ถูกต้อง สิ่งแรกเลยคือพยายามมีสติก่อนเป็นอันดับแรก
2.พยายามมองกระจกหลังเพื่อกะระยะห่างของรถพยาบาล
3.มองรถทางซ้ายและทางขวา เมื่อพบว่าทางไม่มีอันตรายและโล่งให้ขับหลบทางด้านซ้าย
4.ในกรณีที่มีรถแน่นหนาจนไม่สามารถหลบเพื่อให้ทางได้ให้หยุดชะลอรถ แล้วพิจารณาว่าควรหลบด้านซ้ายหรือขวา และเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อให้รถพยาบาลทราบและหาทางวิ่งผ่านรถของท่านไปให้ได้
5.เมื่อรถฉุกเฉินวิ่งผ่านไปแล้ว อย่าขับตามไปทันที ควรเว้นระยะสักครู่
เพียง 5 ขั้นตอนก็สามารถทำให้เหตุการณ์ฉุกเฉินนี้ผ่านไปได้ด้วยดี และสามารถนำผู้ป่วยหรือได้ไปปฏิบัติการได้ทันท่วงที และเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดี่อสังคมในการขับขี่รถบนท้องถนนด้วย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
กฎหมายเบื้องต้น ที่ผู้ขับขี่ทั่วไปควรรู้เกี่ยวกับการจอดรถ
ในทุกวันนี้การใช้รถใช้ถนนนั้นมีมากมายและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีกฎหมายออกมาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยของการใช้รถใช้ถนนของทุกคน และในวันนี้เราจะมาเรียนรู้ข้อกฎหมายเบื้องต้นเพื่อความปลอดภัยและสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมกัน
โดยส่วนใหญ่ที่พบเจอได้ทั่วไปสำหรับที่ห้ามจอด มีดังนี้
1.จอดรถขวางทางเข้าออกหน้าบ้าน
นี่เป็นเรื่องหลักๆที่พบเห็นกันได้บ่อยมากในกรณีนี้ ถือเป็นจิตสำนึกพื้นฐานสำหรับการใช้รถใช้ถนนเบื้องต้น ไม่ว่ากรณีใดๆถือว่ามีความผิด ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มีความผิดทางกฎหมาย ดังนี้
-ความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 397 โทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
-ผู้ที่ใดรับความเดือดร้อนจากการกระทำดังกล่าวสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้
2.จอดขวางทางจราจรหรือเกินพื้นที่บนถนน
ในกรณีนี้ไม่ว่าการจอดแบบใดก็ตามเช่น จอดชิดซ้ายตามกำแพง จอดบนท้องถนน หรือจอดในที่ห้ามจอด เป็นต้น ที่ทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นไม่สะดวกในการสัญจรไปมา สามารถแจ้งความกับตำรวจจราจรได้เพื่อเอาผิดกับเจ้าของรถ เพราะการจอดลักษณะนี้ผิดกฎหมายการจราจรทางบกเต็มๆ ทั้งทางแพ่งและอาญา
3.จอดในที่ห้ามจอด
ในกรณีนี้ เห็นป้ายได้ชัดเจนเพราะป้ายนี้ได้มีการติดไว้อย่างชัดเจนไว้ทุกที่ที่มีการบังคับห้ามจอด ถ้ายังมีการจอดอีก ในกรณีนี้ก็สามารถแจ้งตำรวจจราจรให้เอาผิดได้ทันที เพราะกรณีผิดชัดเจนมาก มีความผิดในมาตรา 55 ในข้อที่ 5 และมาตรา 57 ข้อ 5 มีโทษปรับ 500 บาท
4.จอดในช่องจอดรถคนพิการ
ในกรณีนี้ก็พบเห็นได้บ่อยเหมือนกัน ที่จอดรถสำหรับคนพิการที่อาจจะอำนวยความสะดวกในการขึ้นลงของผู้พิการ แต่ถ้ามีการจอดทั้งๆที่ไม่มีผู้พิการในรถ กรณีนี้ถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบกันอย่างมาก
5.จอดขวางบริเวณหน้าโรงพยาบาลหรือสถานีดับเพลิง
กรณีนี้อาจจะไม่พบเห็นได้บ่อยนัก แต่ก็ยังมีสำหรับผู้ที่จอดแบบนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายได้อย่างใหญ่หลวง เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินเช่น มีการรับส่งผู้ป่วยหรือเกิดเหตุเพลิงไหม้ อาจจะทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที
6.จอดซ้อนคัน
กรณีนี้พบเห็นได้บ่อยเมื่อไปห้างสรรพสินค้าหรือสถานที่ที่มีคนใช้บริการเยอะ การจอดซ้อนคันแบบนี้เกิดความมักง่ายที่ทำให้สะดวกในส่วนตัวเอง แต่จะเดือดร้อนคนอื่นที่จะเข้าออกในช่องทางนั้นและผิดตามมาตรา 57 ข้อ 9ด้วย ผู้ที่จอดกรณีแบบนี้แนะนำให้หาที่จอดที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ถึงจะเดินไกลสักหน่อย แต่จะไม่มีใครด่าแน่นอน
7.จอดบริเวณทางโค้ง ทางเลี้ยวหรือบนทางเท้า
กรณีนี้ก็พบเห็นได้บ่อยเช่นกัน การจอดในกรณีนี้จะอันตรายมากๆ เมื่อมีรถมาในทางปกติของคันนั้นๆ แล้วมีการจอดในจุดหรือมุมที่อับทัศนวิสัยการมองเห็นอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ มีความผิดตามมาตรา 57 อีกด้วยและในกรณีที่ร้ายแรงมากกว่านั้นคือมีการนำรถไปจอดบนทางเท้าด้วย กรณีจอดบนทางเท้าสามารถแจ้งตำรวจจราจรให้ดำเนินการตามกฎหมายได้เลย เพราะเป็นการขวางทางในสัญจรไปของคนที่จะใช้ทางเท้านั้น
จากที่ยกตัวอย่างมาเป็นกรณีที่พบเห็นกันได้บ่อยมาก การกระทำผิดต่างๆที่ได้กล่าวมาเบื้องต้นนั้นทำให้ผู้ที่ใช้เส้นทางเดียวกันเดือดร้อนและอาจจะเกิดการมีปากเสียง เรื่องทะเลาะวิวาทได้ หรืออาจจะร้ายแรงจนถึงขึ้นเกิดเหตุที่อาจจะถึงแก่ชีวิตได้ ขอให้ทุกท่านที่ใช้รถใช้ถนนนึกถึงในข้อนี้ด้วยเพื่อความปลอดภัย เป็นระเบียบเรียบร้อยและสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
แบตเตอรี่ สิ่งที่ควรดูแลที่หลายคนมองข้าม
สิ่งที่ควบคุมระบบไฟต่างๆในรถถือได้ว่าสำคัญอย่างยิ่ง หลายท่านอาจคิดว่าแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ควรจะเปลี่ยนเมื่อไรหลายท่านอาจจะไม่ทราบ เรามาติดตามกันในคอลัมน์นี้พร้อมทั้งวิธีการดูแลรักษา
แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์หลักสำคัญของระบบไฟของรถจักรยานยนต์ เพื่อทำหน้าที่เก็บสะสมพลังงานไปเลี้ยงระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งวิธีการดูแลรักษาที่ไม่ยากดังนี้
1.หมั่นสังเกตที่ขั้วสายว่ามีคราบตะกรัน หรือเกิดอาการหลุดหลวมหรือไม่ ถ้าตรวจสอบแล้วมีคราบตะกรัน เอาเตรียมน้ำอุ่นแล้วนำแปรงจุ่มน้ำอุ่นมาขัดทำให้คราบตะกรันหายได้
2.หมั่นตรวจสอบระดับน้ำในระดับที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป แต่เมื่อรู้ว่ามีระดับที่ต่ำมากควรรีบเติมก่อนที่แบตเตอรีหมดก่อนและเสื่อมสภาพก่อนเวลาที่ควรจะเป็นควรเช็คอยู่ตลอด
3.นอกจากนี้ต้องดูระบบไฟต่างๆที่แบตเตอรี่ได้จ่ายไฟออกไปว่าติดมากน้อยแค่ไหน ตรงไหนสัญญาณไฟดับบ้าง การตรวจเช็คเพื่อความปลอดภัยของท่านเองและของผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนง่ายๆที่ท่านสามารถทำเองได้ ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้ไปอีกยาวนานแต่อย่าลืมตรวจเช็คการบวมหรืออาการผิดปกติของแบตเตอรี่ด้วย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
TURBO TIMER เท่อย่างเดียวหรือมีประโยชน์ด้วย..?
หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการติดตั้งเทอร์โบไทม์เมอร์สักเท่าไหร่นัก ซึ่งบางคนคิดว่าเพียงแค่หน่วงเวลาดับเครื่องยนต์ก็ไม่เห็นจะมีอะไร แต่ที่สำคัญมันดูเท่ดี พอเราลงจากรถล็อครถเสร็จแล้วเดินออกไป แล้วรถก็ดับลงเองตามเวลาที่เราได้ตั้งไว้ ในความเป็นจริงแล้วสำหรับรถที่มีระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบถือว่ามีความสำคัญประมาณหนึ่งเลยแหละครับ จะเป็นอย่างไรนั้นในคอลัมน์นี้มีคำตอบครับ
การวอร์มดาวน์ (Warm Down) ก็คือ การปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานในรอบเดินเบา โดยปราศจากภาระหรือโหลดต่างๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะทำการดับเครื่องยนต์ครับ ซึ่งในเครื่องยนต์ ทั้งเบนซินและดีเซล จะมี ระบบเทอร์โบชาร์จ ซึ่งเจ้าเทอร์โบชาร์จนี้ มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้อัดอากาศให้มีความดันเข้าห้องเผาไหม้ โดยอาศัยหลักการแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ของกังหันไอดีของเทอร์โบ โดยรับแรงขับมาจากกังหันไอเสียซึ้งมีแกนขับต่อถึงกัน ตั้งแต่เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ จนกระทั่งดับเครื่อง เจ้ากังหันเทอร์โบตัวนี้จะทำงานตลอด ด้วยแรงดันของไอเสียที่คายออกมาขับ และเมื่อรอบสูงขึ้น กังหันก็จะยิ่งหมุนเร็วขึ้น แล้วแต่ว่าเจ้าเทอร์โบตัวนั้นจะถูกออกแบบให้กังหันสามารถปั่นไอดี เจ้าแกนเทอร์โบที่ต่อระหว่างกังหันทั้งสองฝั่งนี้จะหมุนได้เป็นหมื่นๆถึงแสนรอบ/นาที ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเกิดความร้อนสะสมเมื่อเราใช้รอบเครื่องเป็นเวลานานๆ อย่างเวลาที่เราวิ่งทางไกล เร่งแซง หรือเครื่องยนต์ใช้รอบรับโหลด เทอร์โบปั่นบูสท์เป็นเวลานานๆ ยิ่งเทอร์โบที่ทำบูสท์สูงมาก ก็ยิ่งหมุนเร็ว และมีความร้อนมาก จึงต้องมีการออกแบบระบบระบายความร้อนของเจ้าแกนเทอร์โบนี้ด้วย ซึ่งก็มีทั้งแบบ ที่ใช้น้ำหล่อเย็นซึ่งไหลเวียนในเครื่องยนต์อยู่แล้ว ต่อท่อมาไหลผ่านหล่อเลี้ยงแกนเทอร์บ ซึ่งน้ำหล่อเย็นที่ไหลเวียนอยู่ในระบบของเครื่องยนต์มันมีการหมุนเวียนได้โดยการขับของปั๊มน้ำ อีกแบบหนึ่งก็คือใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ไหลเวียนในระบบมาหล่อเลี้ยงแกนเทอร์โบ ซึ่งน้ำมันเครื่องนี้ก็มีการหมุนเวียนได้เพราะมีการขับจากปั๊มน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์เหมือนกัน ก็แล้วแต่การออกแบบของผู้ผลิตเทอร์โบแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นครับหรือเทอร์โบบางรุ่นก็มีการหล่อเลี้ยงแกนทั้งสองระบบก็มีครับ….
เมื่อเราดับเครื่องยนต์ ปั๊มน้ำ หรือปั๊มน้ำมันเครื่องก็จะหยุดทำงาน ทำให้ไม่มีน้ำ หรือน้ำมันไปหล่อเลี้ยงที่แกนของเทอร์โบ ซึ่งถ้าเป็นในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานมาอย่างหนัก เช่นเราวิ่งทางไกล ขึ้นเขา ลากจูง ใช้โหลด ใช้รอบในการเร่งแซงมากๆ ในรอบเครื่องยนต์ที่สูงๆเป็นเวลานานๆ เมื่อเราจอดรถแล้วเราดับเครื่องยนต์ทันที เจ้าปั๊มน้ำมันเครื่อง หรือปั๊มน้ำมันก็จะหยุดทำงาน ทำให้การไหลเวียนในระบบหยุดลง ทีนี้ ในเมื่อเจ้าแกนเทอร์โบ ทำงานมาอย่างหนัก หมุนด้วยรอบสูง เกิดความร้อนสะสม เมื่อไม่มีน้ำหรือน้ำมันไปหล่อเลี้ยงแกนเทอร์โบมันก็จะสึกหรอไปไวกว่าปกติ ถ้าสังเกตเวลาขับรถออกต่างจังหวัด เราจะเห็นว่าตามปั๊มน้ำมัน เวลาที่มีรถบรรทุกใหญ่ๆ รถบัส หรือแม้กระทั่งรถตู้ รถกระบะ ที่เขาไม่ค่อยจะดับเครื่องยนต์กัน เมื่อเพิ่งเข้ามาจอดใหม่ๆ ทั้งนี้ เพราะว่า เขากำลังทำการ Warm Down เครื่องยนต์ เพื่อให้น้ำ หรือน้ำมันเครื่องไหลไประบายความร้อนของแกนเทอร์โบ เป็นระยะเวลาสั้นๆก่อนที่จะดับเครื่องหากต้องดับเครื่องยนต์ครับ เพื่อถนอมอายุการใช้งานของเทอร์โบนั่นเอง
ส่วนเวลาในการ Warm Down นั้นก็ตามความเหมาะสม ซัดมาโหดมาก วิ่งมายาวๆ ก็นานหน่อย ถ้าไม่มากก็พอประมาณ โดยทั่วไปสำหรับผมก็คือ 3-5 นาทีครับ หรือถ้าแค่ขับรถเข้ามาเติมน้ำมัน ซึ่งในต่างจังหวัดเราวิ่งเป็นระยะทางไกลๆมาก็ไม่ควรดับเครื่องยนต์ครับ เพราะแกนเทอร์โบ มันยังร้อนอยู่…. ถ้าดับเลย พังไวแน่นอนครับดังนั้นในเจ้าโก้เราก็เหมือนกันครับ ควรจะทำการ Warm Down เมื่อมีการใช้งานวิ่งไกลๆ รอบสูงๆเป็นประจำ ยิ่งถ้าใครโมฯมาเต็มๆด้วยแล้ว เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
Turbo Timer จึงมีหน้าที่ขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป ซึ่งระบบนี้ก็มีทั้งแบบใช้ระบบรีเลย์ไฟฟ้า ตัด-ต่อ การทำงานของสวิตซ์กุญแจ หรือ กระทั่งแบบที่ใช้อิเลคโทรนิคส์ควบคุม มีระบบ Auto ในการตรวจจับสภาวะการใช้งานของรถก่อนหน้า โดยเอาข้อมูลมาจาก ECU กันเลยก็มีครับ อย่างที่นิยมใช้กันในรถยนต์ปัจจุบัน รถยนต์หรูๆ บางยี่ห้อ ก็มีมาให้จากโรงงานเป็นอุปกรณ์ติดรถมาเลยก็มีครับ
เป็นยังไงกันมั่งละครับสำหรับเจ้า Turbo Timer ไม่ได้มีไว้เพื่อความเท่อย่างเดียวแต่มันช่วยรักษาแกนเทอร์โบให้อยู่กับเราไปได้นานแสนนานกันเลยทีเดียวครับ ในคอลัมน์หน้าจะมีเรื่องราวดีๆและมีประโยชน์แบบไหนนั้นต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine