-
News / News Motocycle1 Min Read
ไทยฮอนด้า ฉลองครบรอบ 60 ปี ร่วมส่งมอบหมวกกันน็อก มูลค่า 60 ล้านบาท จำนวน 60,000 ใบ ให้กับสถานศึกษาและหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย ร่วมมือกับภาครัฐนำโดยกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานภาคีเครือข่ายภาครัฐ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนนระดับประเทศ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปี ภายใต้แนวคิด “60 ปี ไทยฮอนด้า ขับขี่ปลอดภัย เพื่อสังคมไทยที่ยั่งยืน” โดยมอบหมวกกันน็อกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) จำนวน 60,000 ใบ รวมมูลค่า 60 ล้านบาท ให้กับสถานศึกษาและหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ ผ่านพิธีแถลงข่าวที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ ห้องราชสีห์ กระทรวงมหาดไทย
ไทยฮอนด้า สานต่อพันธกิจด้านความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับการรณรงค์การสวมหมวกกันน็อกให้เข้าถึงและยั่งยืนยิ่งขึ้น ภายใต้ความร่วมมือครั้งสำคัญกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยจังหวัด (ปภ.) สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันนโยบายด้านความปลอดภัยทางถนนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ
การร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่นี้ มุ่งเน้นการปลูกฝังวัฒนธรรมการสวมหมวกกันน็อกให้กับกลุ่มเยาวชนไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่เริ่มต้นใช้รถจักรยานยนต์ในการเดินทางอย่างแพร่หลาย โดยหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐาน มอก. จำนวน 60,000 ใบ จะถูกส่งมอบผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานด้านการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อนำไปกระจายสู่เด็กและเยาวชนไทย โดยจะเริ่มจัดคาราวานส่งมอบอย่างเป็นทางการทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง ธันวาคม 2568

มร.ยูอิจิ ชิมิซุ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ไทยฮอนด้า เรายึดมั่นในการสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีมาตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ในโอกาสสำคัญนี้ เราต้องการตอบแทนสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการผลักดันวัฒนธรรม ‘สวมหมวกกันน็อก 100%’ ให้เป็นพฤติกรรมพื้นฐานของคนไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ซึ่งมีสถิติการสวมหมวกเพียง 16% เท่านั้น เราหวังว่าการขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างภาครัฐในครั้งนี้ จะสามารถลดอัตราการสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนลงได้จริง ตาม Global Vision ของฮอนด้า ที่มีเป้าหมายลดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลง 50% ภายในปี 2573 และลดเหลือศูนย์ภายในปี 2593”

ดร.อารักษ์ พรประภา ประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวเสริมว่า “60 ปีของไทยฮอนด้าคือ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่นในความปลอดภัย เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเริ่มต้นจากการปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ โครงการนี้จึงมุ่งเน้นไปยังกลุ่มเด็กนักเรียนระดับประถม มัธยม และอาชีวศึกษา ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานการศึกษาและ ปภ. ในแต่ละจังหวัด เพื่อให้หมวกกันน็อก 60,000 ใบนี้ไปถึงมือผู้ใช้จริงทั่วประเทศ เราเชื่อว่าเยาวชนคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง และเราต้องการสร้างอนาคตของประเทศไทยให้แข็งแรงบนพื้นฐานของความปลอดภัยที่ยั่งยืน”

ทางด้าน นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า “จากสถิติที่ผ่านมา เราทราบกันดีว่า เยาวชนเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุบัติเหตุ บนท้องถนน และส่วนใหญ่มักเกิดจากการไม่สวมหมวกกันน็อก การปลูกฝังวินัยจราจรและจิตสำนึก ด้านความปลอดภัยตั้งแต่วัยเรียน จึงเป็นกลไกสำคัญในการลดการสูญเสียในระยะยาว รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งอย่างยิ่ง รวมถึงภาคี เครือค่ายของภาครัฐ

เราขอยืนยันว่า เราจะเดินหน้าทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้“การสวมหมวก กันน็อก” กลายเป็นพฤติกรรมที่ฝังอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย โดยเริ่มต้นจากโรงเรียน ชุมชน และขยาย ไปสู่สังคมในวงกว้าง ขอขอบคุณบริษัท ไทยฮอนด้า ที่ได้มุ่งมั่นผลักดันการขับขี่ปลอดภัยผ่านโครงการต่าง ๆ ตลอดถึงความมุ่งมั่นและความร่วมมือครั้งสำคัญในครั้งนี้”
ในวาระครบรอบ 60 ปี ไทยฮอนด้า พร้อมเดินหน้าเคียงข้างสังคมไทย ด้วยความมุ่งมั่นในการรณรงค์เรื่องความปลอดภัย และสร้างความตระหนักรู้ให้กับคนไทยทุกคน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสังคมไทยให้ปลอดภัย และก้าวสู่เป้าหมายของการเป็นสังคมที่อุบัติเหตุเป็นศูนย์
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับ “60 ปี ไทยฮอนด้า ขับขี่ปลอดภัย เพื่อสังคมไทยที่ยังยืน” ได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : www.facebook.com/hondamotorcyclethailand
IG : www.instagram.com/hondamotorcyclethailand
Tiktok: www.tiktok.com/@hondamotorcycletha
Youtube: www.youtube.com/HondaMotorcycleTHA#ไทยฮอนด้า60ปี #ThaiHonda60TH #ไทยฮอนด้าเคียงข้างสัมคมไทย
#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #HondaMotorcycleThailand #ไทยฮอนด้า #ThaiHonda
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ททท. ส่งแคมเปญ “Burn Out Break” ชวนคนทำงานเติมไฟ ออกเที่ยว 55 เมืองน่าเที่ยวทั่วไทย อัดโปรดีเพียบ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้าใจดีถึงความรู้สึกนี้ เลยจัดแคมเปญสุดปัง “Burn Out Break” มาเอาใจคนทำงานโดยเฉพาะ ภายใต้โครงการ “เมืองน่าเที่ยว Year of Celebration” ที่จะพาคุณไปชะลอจังหวะชีวิต พักกาย พักใจ และเติมพลังให้เต็มที่ใน 55 เมืองน่าเที่ยวทั่วไทย ตลอดหน้าฝนนี้ (มิถุนายน – สิงหาคม 2568)แนวคิดหลักของแคมเปญนี้คือ #JustSlowDown ให้คุณได้หลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ ไปสัมผัสธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เรียบง่าย แถมมีสิทธิพิเศษและโปรโมชันจากพันธมิตรจัดเต็ม ทั้งที่พัก การเดินทาง กิจกรรม และไลฟ์สไตล์

ททท. เผยผลสำรวจที่น่าสนใจว่า พนักงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้ม “หมดไฟ” สูง เพราะภาระงานที่หนักอึ้ง ความรับผิดชอบในระบบราชการ และเวลาส่วนตัวที่จำกัด ทำให้ดูแลสุขภาพจิตได้ไม่เต็มที่ แคมเปญนี้จึงเป็นเหมือน “ทางออก” ให้คนกลุ่มนี้ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง รวมถึงคนทำงานทุกคนที่อยากชาร์จพลังใจให้กลับมาสดใสอีกครั้ง
สิทธิพิเศษแน่นๆ จากเหล่าพันธมิตร
เพื่อให้ทริปพักใจของคุณคุ้มค่าและสบายกระเป๋า ททท. ได้จับมือกับพันธมิตรชั้นนำ มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษมากมาย:
- Patois: ลดทันที 8% สูงสุด 500 บาท สำหรับแพ็คเกจเที่ยว กิจกรรม ที่พักใน 55 เมืองน่าเที่ยว! ลูกค้า Max Card Plus รับ Max Point เพิ่ม x3 และส่วนลดพิเศษอีก 8% (สูงสุด 1,500 บาทตลอดโครงการ)
- นครชัยแอร์: ซื้อตั๋ว 2 ที่นั่งในเส้นทางเมืองน่าเที่ยว รับส่วนลด 50 บาท
- สายการบิน VietJet: ลด 15% สำหรับเส้นทาง กรุงเทพ–เชียงราย / กรุงเทพ–อุบลราชธานี / กรุงเทพ–อุดรธานี
- Local Alike: แพ็คเกจเที่ยวชุมชนสุดฟิน! ลูกค้าทั่วไปลดสูงสุด 10% พิเศษ! พนักงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจลดสูงสุดถึง 20%
- ธนาคารกรุงเทพ (BBL): ใช้บัตรเครดิต BBL ในร้านค้าที่ร่วมโครงการ แลกคะแนนสะสม Thank You Rewards เท่ายอดใช้จ่าย รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 20% (สำหรับบัตรท่องเที่ยว, พินนาเคิล, อินฟินิท, ผู้นำแพลทินัม) และ 13% สำหรับบัตรเครดิตประเภทอื่น
- PTG / Max Card: สมาชิก Max Card รับคะแนนสะสม x2 เมื่อลงทะเบียนและเติมน้ำมันที่ปั๊ม PT ใน 55 เมืองน่าเที่ยว
- ร้านคาเฟ่ท้องถิ่นกว่า 150 ร้าน: พร้อมมอบโปรโมชันและกิจกรรมพิเศษ ให้คุณได้นั่งชิลล์ในคาเฟ่บรรยากาศดีทั่วประเทศ
เที่ยวครบ รับรางวัลใหญ่ “Burn Out Break to the Max”

นอกจากโปรดีๆ แล้ว ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกกับ “Burn Out Break to the Max” ลุ้นรับรางวัลใหญ่รวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท! เพียงสะสมยอดใช้จ่ายจากร้านค้าพันธมิตร (ร้านกาแฟ, ที่พัก, รถทัวร์, สายการบิน, แพ็กเกจเที่ยว) โดยสแกนใบเสร็จผ่าน LINE OA: Burn Out Break
- นักท่องเที่ยวทั่วไป : สะสมยอดครบ 2,500 บาท
- พนักงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ: สะสมยอดครบเพียง 2,000 บาท (พร้อมแสดงหลักฐานยืนยัน)
กิจกรรมนี้มี 3 รอบตลอดแคมเปญ: เดือนมิถุนายน, กรกฎาคม และสิงหาคม 2568 ใครเป็น 1 ใน 10 คนแรกของเดือนที่สะสมยอดครบ รับของรางวัลพิเศษไปเลย!
จำไว้ว่า…การพักผ่อนไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่คือการดูแลใจที่จำเป็น! แคมเปญ “Burn Out Break” คือโอกาสทองที่คุณจะได้ให้รางวัลตัวเอง ออกเดินทางสู่เมืองน่าเที่ยว ชะลอจังหวะชีวิต หยุดพักบ้าง แล้วค่อยก้าวต่อไปอย่างมีพลัง!
สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม เข้าไปดูได้เลยที่เว็บไซต์ www.เมืองน่าเที่ยว2568.com
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Motocycle1 Min Read
“ซาร์โก” ฝ่าฝนคว้าแต้ม สปรินต์เรซ ซัคเซนริง “ก๊องส์-ธัชกร” สตาร์ตกริดแถว 7 ลุ้นเก็บแต้ม โมโตทรี

ศึก โมโตจีพี 2025 สนาม 11 รายการ เยอรมัน กรังด์ปรีซ์ ที่ ซัคเซนริง เซอร์กิต ประเทศเยอรมนีเมื่อวันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
การแข่งขัน “สปรินต์เรซ” ต้องดวลความเร็วท่ามกลางสายฝน แข่งขันทั้งสิ้น 15 รอบสนาม โดย “โยฮันน์ ซาร์โก” นักบิดจอมเก๋าชาวฝรั่งเศส หมายเลข 5 จาก แอลซีอาร์ ฮอนด้า พารถแข่ง RC213V บิดฝ่าสายฝนถึงมีข้อผิดพลาดจังหวะออกตัว แต่สามารถไต่แซงคู่แข่งขึ้นมาเข้าเส้นชัยอันดับ 7 ด้วยเวลารวม 22 นาที 37.837 วินาที

ส่วน “โจอัน เมียร์” หมายเลข 36 นักบิดสแปนิชจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี และทีมเมทชาวอิตาเลียนอย่าง “ลูกา มารินี” หมายเลข 10 เจอปัญหาเล่นงานในแทร็กเปียก ตามเข้าเส้นชัยอันดับ 14 และ 16 ตามหลังผู้ชนะคนละ 23.077 วินาที และ 29.220 วินาที ตามลำดับ

ขณะที่ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี นักบิดดาวรุ่งชาวไทย หมายเลข 5 จาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย พยามอย่างสุดความสามารถ บิดคว้ากริดที่ 21 ในรุ่น โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ มาครอง ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 37.758 วินาที เริ่มไล่ล่าแต้มจากกริดในแถวที่ 7
สำหรับ ศึก เยอรมัน กรังด์ปรีซ์ จะดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศในวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคมนี้ เริ่มต้นด้วย โมโตทรี 16.00 น. ต่อด้วย โมโตทู 17.20 น. และ โมโตจีพี 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ถ่ายทอดสดทาง TrueVisions SPOTV

แฟนมอเตอร์สปอร์ตส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ : https://facebook.com/HondaRacingTeamTH
#HondaRacingThailand #RaceToTheDream #MotoGP #HondaBigBike #HondaRC213V #IdemitsuHondaLCR #LCRHonda #JZ5 #HondaHRC #JM36 #LM10 #HondaTeamAsia #Moto3 #TB5 #Gonz #GermanGP
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Motocycle1 Min Read
“ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” โชว์ผลงานแดนปลาดิบ “ชิพ-นครินทร์” คว้าท็อป 4 รุ่นใหญ่สุดแรง ASB1000 “มิกซ์-ธนัช” ไล่คู่แข่งสุดมันส์ คว้าท็อป 6 SS600 ศึก ARRC 2025 เรซ 2 สนาม 3 ประเทศญี่ปุ่น

ผลการแข่งขันทัพนักแข่งไทยและยอดรถแข่งจาก Honda CBR Series 2025 ในศึก FIM Asia Road Racing Championship 2025 สนาม 3 เรซ 2 ที่โมบิลิตี้ รีสอร์ต โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น

การแข่งขันรุ่น เอเชีย ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี (ASB1000) “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ หมายเลข 41 ทะยานรถแข่ง Honda CBR1000RR-R ออกสตาร์ตจากกริดที่ 5 ขึ้นมาลุ้นอันดับในกลุ่มหน้าทันที พร้อมบวกความเร็วเพื่อล่าคู่แข่งกันอย่างดุเดือด และมีการสลับอันดับกันอย่างต่อเนื่อง “ชิพ-นครินทร์” พยายามที่จะรักษาโอกาสในการขยับตำแหน่งพร้อมกับควบคุมความเสี่ยงไปพร้อมๆ กัน โดยสามารถเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 4 เก็บคะแนนสะสมจากหัวแถวได้อีกครั้งในเรซนี้ พร้อมเก็บคะแนนสะสมรวม 87 คะแนน รั้งอันดับที่ 4 ของตารางชิงแชมป์ประจำปี

รุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี (SS600) ดาวรุ่งไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่องคว้า Honda CBR600RR ยกระดับผลงานขึ้นมาอีกระดับ นำทีมโดย “มิกซ์” ธนัช ละอองปลิว หมายเลข 31 เตรียมตัวมาอย่างดีในเรซที่ 2 ด้วยการปรับเซ็ตอัพและสไตล์การขับเพื่อพัฒนาจากเรซแรก ออกสตาร์ตกริดที่ 13 พัฒนาความเร็วแซงผ่านคู่แข่งขึ้นมาพร้อมกับการควบคุมเกม คว้าอันดับที่ 6 ไปครอง พร้อมทีมเมท “ไฮเปค” กฤษฎา ธนะโชติ หมายเลข 18 เริ่มต้นจากกริดที่ 15 เข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับที่ 11 และ “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร หมายเลข 20 ที่พร้อมเอาชนะความท้าทายในเรซ เริ่มต้น กริดที่ 16 ขยับทำอันดับยกระดับผลงานคว้าที่ 12 ไปครอง

สถานการณ์ในตารางคะแนนสะสมของรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี (SS600) “มิกซ์-ธนัช” อยู่ในอันดับที่ 8 ด้วยคะแนนสะสม 52 คะแนน โดยมี “ไฮเปค-กฤษฎา” อยู่ในอันดับที่ 11 ด้วยคะแนนสะสม 32 คะแนน และ “ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” เก็บไปแล้ว 11 คะแนน รั้งอันดับที่ 17 ของตาราง

ทั้งนี้ การแข่งขันรายการ FIM Asia Road Racing Championship 2025 มีคิวแข่งขันในโปรแกรมสนาม 4 ที่ เปอร์ตามิน่า มัลดาลิกา อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ประเทศอินโดนีเซีย ในระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคม 2568 นี้
แฟนความเร็วชาวไทยสามารถส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้าพร้อมติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ : https://facebook.com/HondaRacingTeamTH
#ThaiHonda #Motorsport #HondaRacingThailand #RaceToTheDream #RaceToTheChampion #ARRC2025 #AsiaRoadRacingChampionship2025 #HondaCBR #Chip41 #Kaowkong20 #Mix31 #HiPeck18 #Idemitsu #Sittipol #KrungsriAuto #YumYum #KELA #Kushitani #SHOWA #SKF #KOWA #NGK #DID #ARAI #RCB #RuamJaiRakHospital #GariGari #EEST #DiosDesign #Nissin
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car
ปอร์เช่ (Porsche) ลุยทดสอบ คาเยนน์ อิเล็กทริค เอสยูวี (Cayenne Electric SUV) โชว์เหนือชั้นทุกสมรรถนะ
1 Min Readปอร์เช่ (Porsche) ลุยทดสอบ คาเยนน์ อิเล็กทริค เอสยูวี (Cayenne Electric SUV) โชว์เหนือชั้นทุกสมรรถนะ

คาเยนน์ อิเล็กทริค (Cayenne Electric) พรางตัวทดสอบสมรรถนะและความอเนกประสงค์ก่อนเปิดตัวสู่สาธารณชน
การทดสอบ ปอร์เช่ คาเยนน์ (Porsche Cayenne) รุ่นใหม่ กำลังเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบทั่วโลก โดยปอร์เช่ได้พัฒนารถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้าเจเนอเรชั่นที่สอง และได้ส่งรถต้นแบบที่ใกล้เคียงรุ่นผลิตจริงลงทดสอบเพื่อเก็บสถิติในด้านต่าง ๆ พร้อมเปิดเผยสมรรถนะและความอเนกประสงค์ที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างรอบด้าน
สตุ๊ทการ์ท. ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ปอร์เช่ คาเยนน์ (Porsche Cayenne) ได้สร้างเอกลักษณ์จากความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ซึ่งในรุ่นขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ คาเยนน์รุ่นใหม่ ก็ยังคงสานต่อจุดแข็งนั้น พร้อมยกระดับการผสานระหว่างสมรรถนะ การใช้งานในชีวิตประจำวัน ความสะดวกในการเดินทางไกล และความสามารถในการลุยเส้นทางออฟโรดให้ลงตัวยิ่งกว่าที่เคย โดยปอร์เช่ได้แจ้งเกิด คาเยนน์ อิเล็กทริค ก่อนเปิดตัวสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ ผ่านการร่วมถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศอังกฤษ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของรถรุ่นใหม่นี้
ช่วงล่างแบบแอคทีฟมอบความเสถียรและความแม่นยำ สู่การทำลายสถิติใหม่
ปอร์เช่ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพสมรรถนะระดับสูงของ คาเยนน์ อิเล็กทริค ที่กำลังจะเปิดตัว ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ นั่นคือ สนามแข่งขึ้นเขาที่สูงชันอย่าง เชลสลี่ย์ วอลช์ (Shelsley Walsh) ซึ่งจัดแข่งขันมาตั้งแต่ปี 1905 และถือเป็นหนึ่งในรายการมอเตอร์สปอร์ตที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยรถต้นแบบที่ใกล้เคียงกับรุ่นผลิตจริงได้เข้าร่วมถ่ายทำ พร้อมกับคลุกคลีอยู่ท่ามกลางผู้เข้าแข่งขันรายการ บริติช ฮิลล์ไคลม์ แชมเปียนชิพ (British Hillclimb Championship) โดยมีผู้ควบคุมพวงมาลัยคือ กาเบรียลา ยิลโคว่า (Gabriela Jílková) นักขับซิมูเลเตอร์และนักพัฒนารถจากทีม แทค ฮอยเออร์ ปอร์เช่ ฟอร์มูลา อี (TAG Heuer Porsche Formula E) ซึ่งได้ขับ คาเยนน์ อิเล็กทริค รุ่นต้นแบบขึ้นเนินแอสฟัลต์ที่มีความกว้างเพียง 3.5 เมตรในบางจุด ความชันสูงสุดถึง 16.7 เปอร์เซ็นต์ และมีความยาวทั้งสิ้น 1,000 หลา (914 เมตร) และในความพยายามครั้งแรก เธอได้ทำลายสถิติเวลาเดิมในกลุ่มรถเอสยูวี โดยทำเวลาเร็วกว่าถึง 4 วินาที “สนามนี้ถือว่าโหดมากและไม่เปิดโอกาสให้พลาดเลย” ยิลโคว่ากล่าว “ไม่มีพื้นที่ run-off และแทบไม่มีที่ให้แก้ไขหากเกิดความผิดพลาด แต่ด้วยช่วงล่างแบบแอคทีฟของคาเยนน์ใหม่ ทำให้รถมั่นคงและควบคุมได้อย่างแม่นยำไร้ที่ติ ทำให้สัมผัสได้ถึงความมั่นใจตลอดเส้นทางอย่างแท้จริง”
คาเยนน์ อิเล็กทริค ที่เข้าทดสอบในครั้งนี้ มาพร้อมระบบกันสะเทือนแบบแอ็คทีฟ (Porsche Active Ride) ซึ่งจะได้รับการติดตั้งในคาเยนน์ อิเล็กทริคเมื่อออกสู่ตลาดจริง ระบบช่วงล่างนี้ช่วยให้ตัวรถทรงตัวได้อย่างสมดุลแม้ในสถานการณ์ที่มีการเบรกหนัก เข้าโค้งเร็ว หรือเร่งความเร็วอย่างฉับพลัน พร้อมรักษาการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมด้วยการกระจายน้ำหนักล้อที่สมมาตร ไมเคิล แช็ทซ์เล (Michael Schätzle) รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ คาเยนน์ กล่าวว่า “ระบบกันสะเทือน Porsche Active Ride ช่วยขยายขีดความสามารถของคาเยนน์ ใหม่ให้กว้างขึ้น ทั้งในด้านไดนามิกการขับขี่และความสะดวกสบายในการเดินทาง”
คาเยนน์ อิเล็กทริค ไม่ได้สร้างความประทับใจแค่ตอนเข้าเส้นชัย แต่ยังสร้างความตื่นตะลึงตั้งแต่จุดสตาร์ท นอกจากจะทำสถิติใหม่ด้วยเวลา 31.28 วินาที แล้ว อีกหนึ่งตัวเลขที่สร้างความฮือฮาในสนามเชลสลี่ย์ วอลช์ คือเวลาที่รถผ่านจุดวัดแรกซึ่งอยู่ห่างจากเส้นสตาร์ทเพียง 60 หลา (18.3 เมตร) โดย คาเยนน์
อิเล็กทริค ใช้เวลาเพียง 1.94 วินาที ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ เพราะก่อนหน้านี้ มีเพียงรถแข่งแบบที่นั่งเดียวและล้อเปิดแบบฟอร์มูล่าที่ใช้ยางสลิคซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษเท่านั้น ที่สามารถทำความเร็วระดับนี้ได้ที่สนามแห่งนี้ แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะอันก้าวล้ำอย่างแท้จริง สะท้อนสมรรถนะการเร่งอันเหนือชั้นของเอสยูวีไฟฟ้ารุ่นใหม่จากปอร์เช่ โดยรถทดสอบครั้งนี้ยังใช้เพียงยางฤดูร้อนทั่วไป ไม่ใช่ยางสเปคสนามแข่งแต่อย่างใด โดยรองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ คาเยนน์ กล่าวเสริมว่า “แม้ยังอยู่ในขั้นตอนปรับจูนขั้นสุดท้ายก่อนการเปิดตัวสู่ตลาด แต่พละกำลังและอุปกรณ์ของ คาเยนน์ อิเล็กทริค คันที่ทำลายสถิตินั้น อยู่ในระดับเดียวกับรุ่นผลิตจริง”สมรรถนะการลากจูงทรงพลังเทียบเท่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาป
ในประเทศอังกฤษ ปอร์เช่ไม่ได้เพียงแค่เผยให้เห็นสมรรถนะของคาเยนน์ อิเล็กทริค เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความอเนกประสงค์ในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันอย่างเต็มรูปแบบ โดย ริชาร์ด แฮมมอนด์ (Richard Hammond) พิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดังของอังกฤษ ได้ใช้รถต้นแบบที่ถูกพรางตัวนี้ในการถ่ายทำรายการ ขณะลากรถคลาสสิกอายุกว่าร้อยปี น้ำหนักมากกว่า 2 ตัน จากเวิร์กช็อปในเมืองเฮียร์ฟอร์ด (Hereford) ไปยังโรงรถส่วนตัว แม้น้ำหนักรวมจะสูงถึงประมาณ 3 ตัน แต่คาเยนน์ อิเล็กทริค สามารถทำภารกิจได้อย่างราบรื่น แฮมมอนด์กล่าวว่า “แม้ต้องลากน้ำหนักไม่น้อยเลยอยู่ด้านหลัง แต่คาเยนน์ควบคุมทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย จนคุณแทบไม่รู้สึกอะไรเลย” สมรรถนะการลากจูงนี้แสดงให้เห็นว่า เอสยูวี ไฟฟ้ารุ่นใหม่จากปอร์เช่ พร้อมรองรับการใช้งานจริงได้อย่างทัดเทียมกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาป ทั้งในเรื่องความมั่นคง ความสะดวกสบาย และแรงบิดที่ส่งต่ออย่างต่อเนื่องแม้ในสภาพการใช้งานที่ท้าทาย
ปอร์เช่ได้ออกแบบคาเยนน์ อิเล็กทริคให้มีความแข็งแกร่งทั้งในด้านโครงสร้าง ระบบขับเคลื่อน และระบบจัดการความร้อนของระบบแบตเตอรี่แรงดันสูง เพื่อให้รถเอสยูวีสามารถตอบสนองทุกความต้องการ และเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกๆ ของโลกที่สามารถลากจูงได้สูงสุดถึง 3.5 ตัน (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ของรถแต่ละคัน) และยังได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างเช่นเดียวกับ คาเยนน์ เครื่องยนต์สันดาปรุ่นปัจจุบัน “ลูกค้าของเราชื่นชมในความอเนกประสงค์ที่หลากหลายของคาเยนน์ มาโดยตลอด” แช็ทซ์เล กล่าวเสริม “เราจึงไม่ต้องการที่จะลดทอนมาตรฐานใดๆ ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่นี้”
สร้างบรรทัดฐานใหม่ด้วยขุมพลังระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า
ไมเคิล แช็ทซ์เล กล่าวว่า “ลูกค้าของเรายังคงมีตัวเลือกเป็นรถยนต์รุ่นเครื่องยนต์สันดาปและระบบไฮบริดที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพไว้ใช้งานไปจนถึงทศวรรษข้างหน้า และเราก็ยังคงลงทุนพัฒนาคาเยนน์รุ่นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สมรรถนะที่เราเพิ่งสาธิตให้เห็นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในอังกฤษนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยศักยภาพของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเท่านั้น คาเยนน์ อิเล็กทริค จะเป็นตัวกำหนดมาตรฐานใหม่ด้านสมรรถนะ โดยไม่ลดทอนความอเนกประสงค์ในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันแม้แต่น้อย” ด้วยพลังของการขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ คาเยนน์ อิเล็กทริค จึงไม่ได้เป็นเพียงก้าวใหม่ของปอร์เช่ในยุคยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการผสานสมรรถนะและการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากสร้างสถิติใหม่ที่สนาม เชลสลี่ย์ วอลช์ ปอร์เช่เตรียมนำคาเยนน์ อิเล็กทริค รุ่นต้นแบบ พรางตัวจัดแสดงอีกครั้งในงาน Goodwood Festival of Speed ระหว่างวันที่ 10–13 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญในการเผยโฉมศักยภาพของรถเอสยูวี ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News Car1 Min Read
‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต คัพ 2 อาร์ เค1’ ยางชั้นเยี่ยมที่พัฒนาขึ้นสำหรับรถไฮเปอร์คาร์ ‘เฟอร์รารี่ เอฟ80’ โดยเฉพาะ

ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต คัพ 2 อาร์ เค1’ (MICHELIN Pilot Sport Cup 2 R K1) สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของมิชลินได้เป็นอย่างดี โดยนวัตกรรมทางเทคโนโลยี, วิศวกรรมที่เหนือชั้น และกระบวนการที่แปลกใหม่ ช่วยผลักดันให้ยางรุ่นนี้ก้าวข้ามขีดจำกัดด้านสมรรถนะบนถนนแห้งเพื่อสุดยอดยนตรกรรมอย่าง ‘เฟอร์รารี่ เอฟ80’

ครั้งแรกกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้เวลาเพียง 15 เดือน
ขั้นตอนค้นคว้าทดลองพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางอย่างเข้มข้นด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริง (Intensive Virtual Exploration Phase) ซึ่งผสานการออกแบบทางดิจิทัล, การจำลองภาพเสมือนจริงในกระบวนการระดับต้นน้ำ (Upstream Simulation) และกระบวนการผลิตพิเศษหนึ่งเดียวในโลกของมิชลินที่เรียกว่า C3M ช่วยลดระยะเวลาพัฒนายางและจำนวนยางต้นแบบที่ต้องผลิตเพื่อทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพลงได้อย่างมาก การผสานรูปแบบการดำเนินงานใหม่ ๆ ดังกล่าวช่วยให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ยางสำหรับจำหน่ายทั่วไปได้เร็วขึ้น โดยสามารถนำคุณสมบัติด้านสมรรถนะของรถ ‘เฟอร์รารี่ เอฟ80’ มาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานได้ตั้งแต่ขั้นตอนวิจัยแรกสุด ที่สำคัญยังช่วยลดจำนวนยางต้นแบบที่ต้องผลิตเพื่อทดสอบลงได้ 20-30% ส่งผลให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงมากตามไปด้วย

ระบบจำลองภาพเสมือนจริง…เพื่อสมรรถนะที่เหนือกว่า
ระบบจำลองภาพเสมือนจริง (Simulation) มักถูกสงวนไว้ใช้ในวงการมอเตอร์สปอร์ต โดยเฉพาะในการพัฒนายางสำหรับรถไฮเปอร์คาร์ แต่มิชลินและเฟอร์รารี่ได้นำระบบดังกล่าวมาใช้ตั้งแต่ขั้นตอนก่อนการพัฒนายาง (Pre-Development Phase) ซึ่งรถยนต์ที่จะใช้งานด้วยยังอยู่ในรูปแบบเสมือนจริงเท่านั้น โดยระบบจำลองภาพที่นำมาใช้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดขนาดยางที่เหมาะสมกับรถที่สุด
การทดลองเสมือนจริง (Virtual Trials) 2 ครั้ง ซึ่งจัดทำโดยใช้ระบบจำลองพลศาสตร์ (Dynamic Simulator) ของเฟอร์รารี่ ณ เมืองมาราเนลโล (Maranello) ประเทศอิตาลี ช่วยยืนยันความเหมาะสมในการนำระบบจำลองภาพเสมือนจริงมาใช้กำหนดขนาดยาง ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างมิชลินและเฟอร์รารี่ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ในขั้นตอนการออกแบบยังมีการจำลองภาพเสมือนจริงเพิ่มอีก 3 ครั้ง ซึ่งช่วยให้สามารถระบุคุณสมบัติของยางที่เหมาะสำหรับสมรรถนะของรถยนต์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ยางที่มาพร้อมสมรรถนะโดดเด่นเพื่อ ‘เฟอร์รารี่ เอฟ80’
เพื่อรองรับขุมพลัง, แรงบิด, แรงกดทางอากาศพลศาสตร์ และการทำความเร็วสูงสุดของรถไฮเปอร์คาร์ ‘เฟอร์รารี่ เอฟ80’ มิชลินได้รังสรรค์เนื้อยางสูตรผสมใหม่โดยใช้กระบวนการผสมเช่นเดียวกับที่ใช้ในยางสำหรับกีฬามอเตอร์สปอร์ต แต่เป็นครั้งแรกที่นำกระบวนการดังกล่าวมาใช้กับยางสำหรับใช้งานบนถนนทั่วไป ทำให้ได้เนื้อยางที่มีคุณสมบัติในการยึดเกาะเป็นเยี่ยมและสามารถรองรับทุกความเร็วในการขับขี่ นอกจากนี้ ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต คัพ 2 อาร์ เค1’ ยังใช้โครงยางเรเดียลแบบ 2 ชั้น (Twin Layer) ที่เสริมความแข็งแกร่งและมีความหนาแน่นสูง จึงรองรับแรงเค้นแนวดิ่ง (Vertical Stress) และแรงเค้นแนวขวาง (Transverse Stress) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยางรุ่นนี้ยังใช้เทคโนโลยีชั้นวัสดุเสริมแรงบริเวณไหล่ยางแบบใหม่ล่าสุด โดยเป็นยางรุ่นแรกที่สามารถลดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ลงได้อย่างเด่นชัด เนื่องจากมีการเพิ่มความหนึบบริเวณไหล่ยางตลอดรอบเส้นยางเพื่อเพิ่มศักยภาพการยึดเกาะในระดับสูงสุด
ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่องค์ประกอบทั้งสามประการข้างต้นถูกนำมาใช้ในยางสำหรับใช้งานบนท้องถนนทั่วไป นอกจากนี้ ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต คัพ 2 อาร์ เค1’ ยังมีขนาดยางแตกต่างจากปกติ คือ 285/30R20 สำหรับยางล้อหน้า และ 345/30R21 สำหรับยางล้อหลัง
C3M: กระบวนการผลิตที่พิเศษไม่เหมือนใคร
เนื่องจากยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต คัพ 2 อาร์ เค1’ มีการออกแบบทางเทคนิคที่ซับซ้อน เพื่อให้การผลิตยางรุ่นนี้เป็นไปอย่างแม่นยำมากที่สุด มิชลินจึงนำกระบวนการผลิต C3M ที่พัฒนาขึ้นเองมาใช้ กระบวนการผลิตนี้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการกำหนดและจัดวางวัสดุแต่ละประเภทอย่างแม่นยำ…คล้ายกับการพิมพ์ 3 มิติ ทั้งยังช่วยให้สามารถผลิตซ้ำได้ตรงตามคุณลักษณะที่กำหนดไว้ในขั้นตอนการพัฒนายางอย่างไม่เคยทำได้มาก่อน และคงความสม่ำเสมอได้ทุกรอบการผลิต ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยี C3M ของมิชลินจึงถือว่ามีความแปลกใหม่อย่างแท้จริง
มิชลินให้ความสำคัญกับสมรรถนะที่ยั่งยืน
การนำระบบจำลองภาพเสมือนจริงมาใช้ในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางร่วมกับเฟอร์รารี่ตั้งแต่ปี 2559 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมิชลินที่มีต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มากขึ้น ทั้งนี้ ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต คัพ 2 อาร์ เค1’ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นสำหรับรถไฮเปอร์คาร์ ‘เฟอร์รารี่ เอฟ80’ (มีสัญลักษณ์ K1 บนแก้มยางเพื่อให้ทราบว่าเป็นยางที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ) ผลิตจากโรงงานในเขตกราวองช์ (Gravanches) เมืองแกลร์มง-แฟร็อง ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโรงงานที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 ทั้งยังเป็นหนึ่งในโรงงานของกลุ่มมิชลินที่มีปริมาณการใช้น้ำต่ำที่สุดอีกด้วย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Lamborghini Temerario GT3 กำเนิดสายพันธุ์เพื่อสนามแข่งขันจากโรงงานซัง’อกาตา

ลัมโบร์กินี (Lamborghini) ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติ เปิดตัว “Temerario GT3” รถยนต์สำหรับแข่งขันโมเดลใหม่ล่าสุดซึ่งพัฒนาต่อยอดจากรุ่นขับบนท้องถนน โดยมีกำหนดลงสนามแข่งขันในหลายรายการทั่วโลก พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์รถแข่งของบริษัท และยังเป็นรถยนต์คันแรกที่ได้รับการออกแบบ พัฒนา และผลิตขึ้นที่โรงงานซัง’อกาตา โบโลนเญส ในประเทศอิตาลีทั้งหมด โปรเจ็กต์ Temerario ถือกำเนิดขึ้นด้วยจุดประสงค์หลักเพื่อการพัฒนาต่อยอดสู่วงการมอเตอร์สปอร์ต ทำให้บริษัทฯ บูรณาการเชิงกลยุทธ์ระบบวิศวกรรมเพื่อมุ่งเน้นการแข่งขันตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการออกแบบ
ด้วยแนวทางอันสร้างสรรค์นวัตกรรมของลัมโบร์กินี ทำให้ GT3 เลือกใช้โครงสร้างอะลูมิเนียมแบบสเปซเฟรม (Spaceframe) ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษให้ตรงตามข้อกำหนดด้านโครงสร้างและแนวทางวิธีการซ่อมบำรุงสำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 Twin-turbo 4 ลิตร เช่นเดียวกับรุ่นที่ผลิตสำหรับผู้บริโภคทั่วไป โดยมีการออกแบบใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของระบบอัดอากาศ พร้อมชิ้นส่วนเทอร์โบชาร์จที่ออกแบบใหม่ให้สอดคล้องตามข้อกำหนดของ GT3 และมอบสมรรถนะสูงสุดในสนามแข่ง

“Temerario GT3 คือรถต้นแบบสำหรับแข่งขันคันแรกจากโปรเจ็กต์ Temerario ซึ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของลัมโบร์กินีที่มีต่อวงการมอเตอร์สปอร์ตในฐานะเครื่องมือสำคัญ เพื่อส่งเสริมรถยนต์รุ่นขับบนท้องถนนของเรา” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าว “หลังจาก ความสำเร็จทั้งในโลกกีฬาและเชิงพาณิชย์ของโปรเจ็กต์ Huracán GT3 ซึ่งเราสามารถคว้าแชมป์มาได้ถึง 96 รายการและมียอดขายมากกว่า 200 คัน เราจึงสานต่อวิสัยทัศน์ในการพัฒนารถต้นแบบสำหรับการแข่งขันในช่วงเริ่มต้นโปรเจ็กต์ Temerario โดย Temerario GT3 จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ที่เหนือแบรนด์คู่แข่ง เช่นเดียวกับที่ Temerario รุ่นขับบนท้องถนนที่ได้สร้างปรากฏการณ์มาก่อนหน้านี้”

“Temerario GT3 ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นหลัก” มร.รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว “ทุกองค์ประกอบผ่านการพิจารณาอย่างรัดกุม ตั้งแต่ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ เส้นโค้งกำลัง รวมไปถึงวิธีการทำงานกับตัวรถของทีมงาน โดยรถยนต์คันนี้มีสมรรถนะที่แตกต่างไปเล็กน้อย เพื่อสร้างสมดุลให้กับรถยนต์ที่มีรูปแบบการใช้งานแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เรามั่นใจว่ารถยนต์รุ่นนี้สามารถแข่งขันได้ในแง่ของเวลาต่อรอบ พร้อมประสิทธิภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมในสถานการณ์ที่หลากหลาย รวมทั้งในยามค่ำคืนและขณะฝนตก ทีมพัฒนาได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความมั่นใจว่ารถยนต์รุ่นนี้มีสมรรถนะที่ครอบคลุม เพื่อให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกับรถยนต์ในสนามแข่งขันได้ดียิ่งขึ้นได้”
ทุกองค์ประกอบของ Temerario GT3 ได้รับการปรับแต่งสำหรับสนามแข่งอย่างพิถีพิถันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยทีมงานออกแบบได้พยายามรักษาแบบฉบับของรถรุ่นผลิตจริงไว้ โปรเจ็กต์นี้ยังได้นำประสบการณ์การทำงานมาจากแผนกมอเตอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีในรุ่น Huracán GT3 ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในการคว้ารางวัลมากถึง 96 รายการตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
โครงแชสซีส์

โครงอะลูมิเนียมแบบสเปซเฟรม (Spaceframe) นำมาจากสายการผลิตของรุ่น Temerario และผ่านการดัดแปลงเพื่อการใช้งานในสนามแข่ง ทั้งการลดน้ำหนักและความซับซ้อนให้น้อยลง โดยเฉพาะการปรับรูปแบบโครงให้เรียบง่ายเพื่อให้สามารถถอดและประกอบซับเฟรมด้านหน้าและด้านหลังได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องทำงานในสนามแข่ง โดยซับเฟรมด้านหลังแบบถอดได้ ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดย Squadra Corse เพื่อรองรับส่วนประกอบของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังแบบใหม่ ในขณะที่ส่วนขายึดทั้งหมดที่ไม่จำเป็น ซึ่งติดตั้งในรุ่นขับบนท้องถนนเพื่อรองรับส่วนประกอบไฮบริด ก็ได้ถูกถอดออกไป เนื่องจากไม่จำเป็นในรุ่นแข่งขัน สำหรับบริเวณส่วนกลางของโครงอะลูมิเนียม ติดตั้งโครงสร้างนิรภัยโรลเคจ (Roll cage) ให้สอดคล้องตามมาตรฐานความปลอดภัยของ FIA GT3 ส่วนซับเฟรมด้านหน้าก็มีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน เพราะมีการนำมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเคยติดตั้งในรุ่นขับบนท้องถนนออกไป
ตัวถัง

ตัวถังแบบใหม่ซึ่งถูกติดตั้งเข้ากับโครงแชสซีส์ ใช้วัสดุคาร์บอนคอมโพสิตเป็นครั้งแรกเพื่อช่วยลดน้ำหนักฐานของรถให้ได้เบาที่สุด การพัฒนาตัวถังนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างทีมอากาศพลศาสตร์ของ Squadra Corse และ Lamborghini Centro Stile โดยมีเป้าหมายคือการรักษาสไตล์ที่โดดเด่นของรถยนต์รุ่นขับบนท้องถนน ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องตามข้อกำหนดด้านเครื่องยนต์และระบบระบายความร้อนเบรกแบบใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสมรรถนะตามที่ต้องการ ทั้งในด้านแรงกดและแรงต้าน ซึ่งจะสร้างความมั่นใจต่อสมดุลอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุด
นอกจากนี้ ตัวถังรถยังได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมให้สามารถถอดและประกอบชิ้นส่วนได้อย่างรวดเร็วในระหว่างการแข่งขันเพื่อลดเวลาการซ่อมรถในช่องพิท โดยตัวถังด้านหน้าและด้านหลังเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกัน ในขณะที่ ดิฟฟิวเซอร์หลัง ฝาครอบเครื่อง และฝากระโปรงหน้า ถูกออกแบบให้ถอดออกได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ไปจนถึงไฟหน้าซึ่งใช้ระบบการถอดประกอบที่รวดเร็ว ส่วนพื้นรถแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ สองส่วนด้านหน้าเพลาหน้า หนึ่งส่วนบริเวณกลางรถ และดิฟฟิวเซอร์หลังอันทรงพลัง โดยส่วนกลางได้รับการออกแบบให้สามารถเปลี่ยนได้เมื่อจำเป็น แม้ในขณะที่รถอยู่บนแม่แรงลมในช่องพิท
ระบบเติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มอัตราการไหลเข้าสู่ถังให้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังเปลี่ยนดีไซน์ถังให้สามารถใช้กับเซ็นเซอร์น้ำมันเชื้อเพลิงแบบใหม่เพื่อให้ผลการวัดที่แม่นยำยิ่งขึ้นสำหรับทีมงาน ระบบอากาศพลศาสตร์ถูกยกระดับเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของรถในขณะเบรกและลดอาการเสียสมดุลขณะเข้าโค้ง และเพื่อจัดการความร้อนให้ดีขึ้นจึงมีการปรับปรุงระบบการไหลเวียนของอากาศไปยังหม้อน้ำด้วย รวมถึงการออกแบบหม้อน้ำด้านหน้าใหม่ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพเป็นหลัก เพราะการนำชุดไฮบริดออกจากเครื่องยนต์ส่งผลให้ต้องใช้เครื่องเทอร์โบชาร์จเจอร์มากขึ้น ทำให้ต้องการการระบายอากาศมากขึ้นเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม
ระบบส่งกำลัง

ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์ V8 Twin-turbo ขนาด 4 ลิตรที่ผลิตขึ้นในโรงงาน โดยถูกพัฒนาขึ้นโดยทีมวิศวกรของลัมโบร์กินี พร้อมด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์และชุดคอมเพรสเซอร์แบบใหม่ และเนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้ต้องสอดคล้องตามข้อกำหนดสากล GT3 ซึ่งไม่อนุญาตให้ใช้ระบบไฮบริด ทำให้ลัมโบร์กินีเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ส่งกำลังขนาด 550 แรงม้า (ขึ้นอยู่กับความสมดุลของสมรรถนะ) แทนที่จะเป็น 800 แรงม้าเหมือนกับเครื่องยนต์ของรุ่นขับบนท้องถนน
ระบบส่งกำลังของรถยนต์ได้รับการพัฒนาโดยทีมวิศวกรฝ่ายวิจัยและพัฒนาของลัมโบร์กินี โดยใช้การออกแบบสถาปัตยกรรมที่เน้นการบูรณาการเข้ากับกีฬามอเตอร์สปอร์ตตั้งแต่แนวคิดตั้งต้น รวมถึงโซลูชันทางวิศวกรรมที่ทันสมัย เช่น เพลาข้อเหวี่ยงระนาบราบมุม 180° ระหว่างหมุดข้อเหวี่ยง โดยเป็นระบบเพลาข้อเหวี่ยงที่มักใช้ในเครื่องยนต์ของรถแข่ง จึงมั่นใจได้ถึงระบบพลศาสตร์ของไหลที่ดีที่สุด ทั้งยังให้ลำดับการจุดระเบิดที่สม่ำเสมอเมื่อเปรียบเทียบกับเพลาข้อเหวี่ยงแบบระนาบไขว้ รวมถึงเสียงคำรามอันน่าประทับใจ ในขณะที่ก้านสูบไทเทเนียมช่วยลดมวลการหมุนรอบแกนและยังมอบคุณสมบัติของวัสดุที่ดีเยี่ยม ทั้งในด้านความแข็งแรงและความเบา ช่วยลดน้ำหนักรถได้อีกทางหนึ่ง
เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบทวินเทอร์โบถูกจับคู่กับเกียร์ 6 สปีด โดยออกแบบกล่องกรองอากาศใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ของเทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในรถแข่งซึ่งแตกต่างจากรุ่นขับบนท้องถนน เครื่องยนต์ได้รับการปรับจูนใหม่ทั้งหมดเพื่อมอบประสิทธิภาพสูงสุดตลอดช่วงรอบเครื่องยนต์ที่กว้างขึ้น โดยรถยนต์รุ่นนี้ถูกพัฒนาให้ใช้น้ำมันเครื่อง Pertamax Turbo สำหรับการแข่งขัน ส่วนระบบไอเสียเป็นโซลูชันเฉพาะทางที่คิดค้นขึ้นสำหรับรุ่น Temerario GT3 โดยเฉพาะ โดยมี Capristo เป็นซัพพลายเออร์
ล้อและระบบกันสะเทือน

รถยนต์รุ่นนี้มีฐานล้อที่ยาวขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และยังมีระยะวิ่งที่กว้างขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพเมื่อเข้าโค้ง นับเป็นครั้งแรกที่ระบบกันสะเทือนมีการใช้โช้คอัป 6 ทิศทางแบบใหม่จากทาง KW ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของโปรเจ็กต์ SC63 LMDh ทำให้จุดยึดของระบบกันสะเทือนไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นคาร์บอนกับแชสซีอีกต่อไป แต่ใช้แผ่นยึดแทน ระบบกันสะเทือนแบบใหม่นี้ยังสามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วในช่องพิท ช่วยย่นเวลาในการทำงานด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์พื้นฐานที่รวดเร็ว ยางติดตั้งกับล้อ 18 นิ้วที่จัดหาโดย Ronal AG โดย Temerario GT3 ยังมาพร้อมกับแร็คพวงมาลัยไฮดรอลิกที่ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้รูปแบบกันสะเทือนที่เหมาะสมที่สุดและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดด้วยผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตยางชั้นนำทุกราย เพื่อให้มั่นใจว่า Temerario GT3 จะได้เปรียบในรายการแข่งขันต่าง ๆ ทั่วโลก
การออกแบบภายใน
การออกแบบประสบการณ์การขับขี่ยังได้รับการสนับสนุนจากนักขับของโรงงานลัมโบร์กินี ทั้งมาร์โก มาเปลลี (Marco Mapelli) และแอนเดรีย คัลดาเรลลี (Andrea Caldarelli) ผู้ซึ่งมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องการปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์ รูปแบบการควบคุม และการใช้งานเมื่อขับขี่แบบสมรรถนะสูง การออกแบบภายในห้องคนขับ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ รวมถึงการผสานรวมฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะทางที่ลัมโบร์กินีปรับแต่งมาโดยตรงได้ เพื่อให้มั่นใจถึงการควบคุมรถที่ดีที่สุด สวิตช์เกียร์ในห้องคนขับยังได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมกราฟิกแบบใหม่ และระบบบันทึกข้อมูลที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น พวงมาลัยได้รับการออกแบบจากทางลัมโบร์กินี โดยอิงตามข้อกำหนดเฉพาะทาง บวกกับการรวบรวมความคิดเห็นจากบรรดานักขับจากโรงงานและลูกค้าของแบรนด์
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
Café Amazon ยกระดับมาตรฐาน เปิดเวทีประชันฝีมือ เฟ้นหาสุดยอดบาริสต้า ผ่าน Cafe Amazon Barista Championship 2025

Café Amazon เดินหน้ายกระดับบาริสต้า ผ่านการแข่งขันสุดเข้มข้น “Café Amazon Barista Championship 2568” เวทีแห่งการเรียนรู้ แสดงความสามารถ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่หลงใหลในกาแฟ ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 9 ภายใต้ความตั้งใจที่จะพัฒนาศักยภาพทีมงานในร้าน Café Amazon ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพในทุกมิติ โดยปีนี้มีตัวแทนบาริสต้าจากร้าน Café Amazon ทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมประชันฝีมือกันอย่างคับคั่ง ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มข้นในแต่ละภูมิภาค ซึ่งครอบคลุมทั้งการสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ อาทิ ความรู้เกี่ยวกับกาแฟความเข้าใจในเมนูเครื่องดื่ม การบริการลูกค้า และเทคนิคบาริสต้า จนได้สุดยอด 50 คนสุดท้าย ร่วมประชันฝีมือในรอบชิงชนะเลิศ ณ ศูนย์ธุรกิจ Café Amazon หรือ Amazon Inspiring Campus (AICA) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ 7–9 กรกฎาคม 2568
คุณไกรพิท เปรมมณี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจไลฟ์สไตล์ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า “ทุกแก้วจากคาเฟ่ อเมซอน ที่ผ่านมือบาริสต้าของเรา คือการส่งต่อคุณภาพ และความตั้งใจ การแข่งขันนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะ แต่เป็นเวทีสำคัญในการ ยกระดับมาตรฐานร้าน Café Amazon ผ่านการสร้างคนคุณภาพ ที่เข้าใจกาแฟ และพร้อมส่งมอบคุณภาพผ่านทุกแก้วที่ถึงมือลูกค้า เราภูมิใจที่เห็นบาริสต้าของเราใช้โอกาสนี้ในการ ท้าทายตัวเอง เรียนรู้ เติบโต และแสดงให้เห็นถึง ความใส่ใจ ความคิดสร้างสรรค์ และ หัวใจของความเป็นมืออาชีพ ที่พร้อมส่งต่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ซึ่งการแข่งขัน Barista Championship ไม่ได้สะท้อนแค่ฝีมือของผู้เข้าแข่งขันเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงหัวใจของแบรนด์ความใส่ใจในรายละเอียด ความคิดสร้างสรรค์ และความตั้งใจที่จะส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกคน”

สำหรับการเฟ้นหาสุดยอดบาริสต้าประจำปี 2568 จากการแข่งขันอันเข้มข้นตลอด 3 วัน โดย
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ คุณอนัญญา ลีจันทึก จาก Café Amazon สาขา สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น บริษัท เอส แอล พี เซอร์วิส จำกัด รับเงินรางวัลมูลค่า 15,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและใบประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ คุณชัชพงศ์ ไชยมงค์ จาก Café Amazon สาขาสามย่านมิตรทาวน์ และ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ คุณคมปกรณ์ พลอยแดงศิริ จาก Café Amazon สาขาโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ด้วยฝีมือที่โดดเด่น มาพร้อมความคิดสร้างสรรค์ และทัศนคติที่ดี เต็มไปด้วยหัวใจของการให้บริการ ซึ่งเป็นค่านิยมสำคัญที่ Café Amazon ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องการแข่งขัน Café Amazon Barista Championship 2568 ไม่เพียงแต่จะเฟ้นหาบาริสต้าที่มีทักษะยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้น แต่ยังย้ำให้เห็นถึงจุดยืนของแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับ “ผู้คน” ไม่แพ้ “กาแฟ” และพร้อมสนับสนุนศักยภาพของพนักงานในทุกขั้นตอน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Café Amazon แล้วคุณจะรู้ว่า ทุกแก้วใน Café Amazon มีเรื่องราว…จากความตั้งใจของบาริสต้าทุกคน!
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Uncategorized1 Min Read
GWM (Thailand) ตอกย้ำกลยุทธ์ User-Centric ร่วมมือแอดมินคลับผู้ใช้จริง ทดสอบ “NEW GWM TANK 500 DIESEL” พรีเมียม PPV ขุมพลังดีเซล 2.4T รุ่นล่าสุด เผยเสียงตอบรับดีเกินคาด

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด เปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จัดกิจกรรมสุดพิเศษสำหรับ GWM Family กลุ่มแรกในประเทศไทยได้ร่วมทดสอบขับ “NEW GWM TANK 500 DIESEL” โดยเชิญเหล่าลูกค้าและแอดมินคลับผู้ใช้งานจริงจากหลาหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น GWM TANK 300, GWM ORA Good Cat, GWM HAVAL H6 และ GWM HAVAL Jolion รวม 17 ท่าน ร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ของรถ PPV พรีเมียมอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ บนเส้นทางกรุงเทพฯ – สระบุรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา พร้อมพิสูจน์การขับขี่อันเหนือระดับ ตอบโจทย์ทุกเส้นทางทั้งในเมืองและนอกเมือง ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม การขับขี่ที่นุ่มนวล นิ่ง เงียบ และอัตราการบริโภคน้ำมันที่เหนือความคาดหมายเมื่อเทียบกับขนาดและน้ำหนักของตัวรถ

กิจกรรมเริ่มต้นขบวนคาราวานที่โชว์รูม GWM ซีซีซี ออโต้ วัชรพล โดยมีการบรรยายให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ GWM (Thailand) ก่อนมุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรี ที่ได้ขับขี่ผ่านเส้นทางที่หลากหลายเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองขับจริง พร้อมทดสอบเทคโนโลยีอัจฉริยะ ฟังก์ชันช่วยขับขี่ และโหมดการขับขี่ต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ตลอดการเดินทางลูกค้าได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศธรรมชาติและจุดพักที่คาเฟ่สไตล์ฟาร์ม ก่อนปิดท้ายด้วยการขับขี่แบบ Free Run ที่เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ในสไตล์ของตนเองอย่างอิสระ บรรยากาศของกิจกรรมเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่าง GWM Family สะท้อนความแข็งแกร่งของคอมมูนิตี้ผู้ใช้รถยนต์ GWM ที่ผูกพันและภาคภูมิใจในแบรนด์เดียวกัน

NEW GWM TANK 500 DIESEL คือ ยนตรกรรมที่พร้อมมอบที่สุดแห่งประสบการณ์การขับขี่อัจฉริยะแบบครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.) ความพรีเมียมตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน 2.) ความสบายเหนือระดับด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย 3.) เทคโนโลยีอัจฉริยะอันล้ำสมัย และ 4.) ความปลอดภัยที่อัดแน่นสร้างความมั่นใจให้ในทุกเส้นทาง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง ทั้งเพื่อธุรกิจ การเดินทางกับครอบครัว หรือทริปผจญภัย โดย NEW GWM TANK 500 DIESEL คือ นิยามมาตรฐานใหม่ของรถ PPV 7 ที่นั่ง ระดับโลกอย่างแท้จริง มาพร้อมขุมพลังดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ สมรรถนะทรงพลัง ขับขี่นิ่ง เงียบ นุ่ม และประหยัดน้ำมัน แม้ตัวรถจะมีขนาดใหญ่กว่ารถ PPV ทั่วไป ผู้ร่วมกิจกรรมต่างชื่นชมถึง ความนั่งสบายของเบาะหลัง การควบคุมที่มั่นใจ และความหรูหราพรีเมียมของดีไซน์ โดยเฉพาะรุ่นตกแต่งพิเศษสีดำ Black Warrior ที่โดดเด่นด้วยลุคเท่ ดุดัน สะกดทุกสายตา

นางสาวศุภรางศุ์ อนุชปรีดา ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร GWM (Thailand) กล่าวว่า “GWM ขอขอบคุณลูกค้าคนสำคัญและแอดมินคลับทุกท่านที่มอบความเชื่อมั่นและไว้วางใจให้กับแบรนด์ของเราด้วยดีเสมอมา กิจกรรมนี้ คือส่วนหนึ่งในการหลอมรวมผู้ใช้รถของเราจากทุกรุ่นมาเป็นครอบครัว GWM Family ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเราในการสร้างชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง สะท้อนถึงแนวทางการพัฒนาแบรนด์และผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืนในประเทศไทยตามแนวคิด ‘ผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง’ หรือ User-Centric อย่างแท้จริง สำหรับ GWM การทดลองขับในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันมีค่าในการรับฟังความคิดเห็น ประสบการณ์ตรง และความต้องการที่แท้จริงจากผู้ใช้ เพื่อนำไปต่อยอดการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง เราพร้อมแล้วที่จะมอบทางเลือกใหม่ให้กับคนไทย ผ่าน NEW GWM TANK 500 DIESEL ยนตรกรรมที่หลอมรวมความหรูหรา สง่างาม ความสะดวกสบายเหนือระดับ เทคโนโลยีอัจฉริยะ และความปลอดภัยอันล้ำสมัย ผ่านพลังขับเคลื่อนอันทรงพลัง พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง รถคันนี้ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่คือสัญลักษณ์ของความก้าวหน้า และความภาคภูมิใจที่เราอยากให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสด้วยตนเอง”
GWM ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและส่งมอบยนตรกรรมที่ตอบโจทย์ครบทุกมิติของชีวิต พร้อมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับลูกค้าผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ของ GWM Family อย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่าชุมชนที่ดี อบอุ่น และสร้างสรรค์จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนและการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น
เตรียมนับถอยหลังสู่งานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “NEW GWM TANK 500 DIESEL” ในเดือนกรกฎาคมนี้ พร้อมยกระดับประสบการณ์ PPV พรีเมียมให้กับผู้บริโภคชาวไทยอย่างแท้จริง สำหรับผู้ที่สนใจสามารถทดลองขับก่อนใครได้แล้ววันนี้ ที่ GWM Partner Store ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GWM Application, www.gwm.co.th หรือ GWM Contact Center 02-668-8888
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
เอ็มจี ส่ง NEW MG MAXUS 9 PLUS ให้คนไทยครอบครอง e-MPV ในราคาที่ “คุ้มค่า” มากขึ้น เพียง 1,799,000* บาท

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย สร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ในตลาดรถ e-MPV ด้วยการแนะนำ NEW MG MAXUS 9 PLUS รถ e-MPV ไฟฟ้า 100% แบบ 7 ที่นั่ง โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ทั้งภายนอกและภายใน ผสานเทคโนโลยีเข้ากับดีไซน์ทันสมัย ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่มองหารถ e-MPV ที่ครบ ทั้งด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเพียง 1,799,000* บาท พร้อมทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้าภายในเดือน สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

NEW MG MAXUS 9 คือรถพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เข้ามาพลิกโฉมตลาดรถยนต์เมืองไทย ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้า e-MPV แบบ 7 ที่นั่ง รุ่นแรกของ เอ็มจี ที่เข้ามาบุกเบิกตลาดรถยนต์ MPV ในประเทศไทย จนกลายเป็นหนึ่งในโมเดลยอดนิยม และในวันนี้ เอ็มจี ได้เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนแนวทางการนำเสนอทางเลือก
ที่หลากหลายให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค โดยเพิ่ม NEW MG MAXUS 9 PLUS ชูจุดเด่น “ความคุ้มค่า”
ซึ่งได้มีการปรับรายละเอียดใหม่ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้มากยิ่งขึ้น อาทิ
ม่านกันแดดด้านข้าง เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวภายในห้องโดยสาร ระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay
และ Android Auto แบบไร้สาย เบาะนั่งแบบ VIP หุ้มหนังสังเคราะห์ พร้อมลวดลายใหม่ หลังคา Sunroof สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า และลำโพงจำนวน 8 ตำแหน่ง พร้อมทั้งยังปรับเปลี่ยนรูปแบบของโต๊ะพับสำหรับผู้โดยสาร
แถวสอง ให้มีความคล่องตัวในการใช้งานมากขึ้น
NEW MG MAXUS 9 PLUS ยังมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ภายนอกให้ล้ำสมัยยิ่งขึ้นด้วยระบบไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ที่พาดยาวเชื่อมไฟหน้าทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ ขนาด 19 นิ้ว ที่มีเส้นสายก้านล้อแบบ Multi-spoke เรียงกันช่วยเสริมภาพลักษณ์ความโฉบเฉี่ยว ขณะเดียวกันยังรองรับการใช้งานนอกสถานที่ด้วยฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) ที่ให้กำลังสูงถึง 6.6 kW สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแนะนำ NEW MG MAXUS 9 PLUS ยังคงจุดเด่นของโมเดลต้นแบบไว้อย่างครบถ้วน ทั้งระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ห้องโดยสารที่กว้างขวางเงียบสงบ และฟีเจอร์อำนวยความสะดวกที่ครอบคลุมทุกการใช้งาน
โดย NEW MG MAXUS 9 PLUS มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาวหลังคาดำ (Pearl White / Black Top)
สีดำ (Black Knight) และสีเทาหลังคาดำ (Granite Grey / Black Top) จัดจำหน่ายในราคาพิเศษเพียง
1,799,000* บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษ ดังนี้- ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. 1 ปี
- รับประกันคุณภาพตัวรถ 5 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- ฟรี MG HOME CHARGER จำนวน 1 ชุด
- ฟรี ค่าติดตั้ง MG HOME CHARGER
- รับประกันแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ตลอดอายุ
การใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) - ฟรี ชุดพรมปูพื้น
- ตั้งแต่ 9 กรกฎาคม ถึง 31 กรกฎาคม 2568
*หมายเหตุ: ราคาดังกล่าวเป็นราคาคาดการณ์ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า
“การเปิดตัว NEW MG MAXUS 9 PLUS ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จในกลุ่มรถ e-MPV ที่โดดเด่น
ด้านความคุ้มค่า โดยมียอดส่งมอบสะสมแล้วกว่า 2,000 คัน ทั้งจากลูกค้ารายบุคคลและองค์กรชั้นนำ ซึ่งสะท้อน
ให้เห็นถึงการตอบรับที่ดีจากตลาดไทย และตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ที่มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพ
ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น รถรุ่นใหม่นี้ยังมีการปรับปรุงฟีเจอร์บางส่วนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ผมเชื่อมั่นว่า NEW MG MAXUS 9 PLUS จะเป็น ‘คำตอบที่ใช่’ สำหรับผู้บริโภคที่มองหา e‑MPV ที่ให้ความคุ้มค่าอย่างแท้จริง”
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine





















































































































