-
News Car1 Min Read
อีซูซุเริ่มผลิตรถปิกอัพไฟฟ้า “อีซูซุ ดีแมคซ์ EV” รุ่นใหม่ในไทย สำหรับประเทศหลักในยุโรป

มร. ชินสุเกะ มินามิ (Mr. Shinsuke Minami) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น (สำนักงานใหญ่เมืองโยโกฮามะ จังหวัดคานางาวะ) ประกาศเริ่มผลิต รถปิกอัพไฟฟ้า “อีซูซุ ดีแมคซ์ EV” ขนาด 1 ตัน รุ่นแรกของอีซูซุในประเทศไทย
รถปิกอัพไฟฟ้า “อีซูซุ ดีแมคซ์ EV” คันแรกของอีซูซุ ได้จัดโชว์ต่อสาธารณชนในฐานะรถต้นแบบ ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45 ในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว อีซูซุได้เริ่มการผลิตรถรุ่นพวงมาลัยซ้ายและส่งไปยังประเทศหลัก ๆ ในยุโรป เพื่อจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568

การผลิตรถรุ่นพวงมาลัยขวาของ รถปิกอัพไฟฟ้า “อีซูซุ ดีแมคซ์ EV” กำหนดจะมีขึ้นช่วงปลายปีนี้ โดยคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ในปี 2569 และจะขยายไปยังประเทศและเขตอื่น ๆ ตามความต้องการของตลาด
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time ซึ่งมี e-Axles ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำงานร่วมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยให้มั่นใจในสมรรถนะอันยอดเยี่ยมบนพื้นที่ทุรกันดาร ระบบนี้ยังให้พลังเร่งแซงสูงแบบคงที่ตามแบบฉบับของรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็ลดเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือน นอกจากนี้ ความสามารถในการลากจูงและน้ำหนักบรรทุกที่สูง จากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลังรวมถึงโครงสร้างและตัวถังที่แข็งแรง ทำให้รถปิกอัพไฟฟ้า “อีซูซุ ดีแมคซ์ EV” สามารถเทียบเคียงกับสมรรถนะของรุ่นดีเซลที่มีอยู่ปัจจุบันได้
กลุ่มอีซูซุมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านการพัฒนายานยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนหลากหลายประเภท ด้วยตระหนักดีว่าลูกค้าผู้ใช้รถปิกอัพมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย รถปิกอัพไฟฟ้า “อีซูซุ ดีแมคซ์ EV” จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้รถทั้งเพื่อการพาณิชย์และส่วนตัว โดยยังคงประสิทธิภาพที่ทนทานตามความคาดหวังของการใช้งานรถปิกอัพ
รายละเอียดผลิตภัณฑ์
รุ่นรถ: รุ่น 4 ประตู สำหรับตลาดยุโรป
น้ำหนัก น้ำหนักตัวรถ (กก.) 2,350 น้ำหนักบรรทุกสูงสุด (กก.) 1,010 ความสามารถในการลากจูงสูงสุด (กก.) 3,500 มิติ ความยาวรวมกันชนหลัง (มม.) 5,280 ความกว้างรวม (มม.) 1,870 ความสูงรวมราวหลังคา (มม.) 1,810 ฐานล้อ (มม.) 3,125 ระยะห่างช่วงล้อ (หน้า/หลัง) (มม.) 1,570 รัศมีวงเลี้ยวต่ำสุด (ม.) 6.1 สมรรถนะ ระบบขับเคลื่อน 4×4 แบบ Full Time กำลังสูงสุด (กิโลวัตต์) 140 แรงบิดสูงสุด (นิวตัน-เมตร) 325 ความเร็วสูงสุด (กม./ ชม.) มากกว่า 130ระยะทางวิ่งต่อชาร์จ (กม.)263 (WLTP)
361 (WLTP City mode)อัตราการสิ้นเปลืองไฟฟ้า
(วัตต์ชั่วโมง/ กม.)255 (WLTP)ประเภทแบตเตอรี่ลิเธียมไออนความจุแบตเตอรี่ (กิโลวัตต์-ชม.)66.9ระยะเวลาในการชาร์จกระแสสลับ ACรองรับสูงสุด 11 กิโลวัตต์
ใช้เวลา 10 ชม. (0-100%)กระแสตรง DCรองรับสูงสุด 50 กิโลวัตต์
ใช้เวลา 1 ชม. (20-80%)
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
NEX จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แบบครบวงจรในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด Drive The Better Future Drive EV นำโดยนายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานกรรมการบริษัท (กลาง) พร้อมคณะกรรมการบริษัท และผู้บริหารของบริษัท ได้เข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ซึ่งจัดในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) ซึ่งมีกรรมการบริษัทเข้าร่วมประชุมที่บริษัท จำนวน 7 ท่าน (ตามภาพ) และเข้าร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 2 ท่าน โดยถ่ายทอดสดจากห้องประชุม Grand Ballroom สำนักงานใหญ่ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ผู้ถือหุ้นรับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปี 2567 รวมถึงอนุมัติการแต่งตั้งกรรมการบริษัท การเพิ่มทุนจดทะเบียน การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อรองรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) และการอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ตามกฎหมาย พร้อมทั้งตอบข้อซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุม เพื่อให้บริษัทพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจัดประชุมได้สำเร็จลุล่วงเป็นไปได้ด้วยดี
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News Car1 Min Read
ฮอนด้าชวนแฟนสายสปอร์ตออกทริป “Honda One Make Race 2025 Exclusive Trip” ลงสนามจริงระดับโลกกับ “Honda Track Experience” พร้อมร่วม “Driving Clinic” เรียนรู้ทักษะการขับขี่จากมืออาชีพ

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ชวนแฟนสายสปอร์ตขับรถยนต์ฮอนด้าคู่ใจรุ่นใดก็ได้ ออกทริป 2 วัน 1 คืนกับ “Honda One Make Race 2025 Exclusive Trip” เพื่อสัมผัสประสบการณ์ความมันสุดเร้าใจกับฤดูกาลแรกของการแข่งขัน “Honda One Make Race 2025” ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นซัพพอร์ตเรซ (Support Race) ในการแข่งขัน “Fanatec GT World Challenge Asia 2025” การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับโลก พร้อมเสริมทักษะและเรียนรู้เทคนิคการขับขี่อย่างสนุกสนานและปลอดภัยทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพกับกิจกรรม “Driving Clinic” ก่อนจับพวงมาลัยลงขับบนสนามแข่งระดับโลกแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับกิจกรรม “Honda Track Experience” พร้อมรับสิทธิพิเศษอื่นๆ โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม – วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568 ร่วมกิจกรรมกับฮอนด้าฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม*
มาร่วมปลุกจิตวิญญาณความสปอร์ตของคุณไปพร้อมกับฮอนด้า! ลูกค้าที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน – 11 พฤษภาคม 2568 เพียงแอด LINE Honda Thailand Official Account (Line ID: @honda-thailand) กรอกข้อมูล พร้อมแนบรูปถ่ายของคุณกับรถยนต์ฮอนด้าที่จะนำมาใช้ในกิจกรรม “Honda One Make Race 2025 Exclusive Trip” และบอกเล่าถึงความสปอร์ตของคุณและรถยนต์ฮอนด้าคู่ใจ จำนวนจำกัดเพียง 30 สิทธิ์เท่านั้น (1 สิทธิ์ 2 ท่าน – ลูกค้ารถยนต์ฮอนด้าที่ได้รับสิทธิ์สามารถพาผู้ติดตามมาร่วมกิจกรรมได้ 1 ท่าน) โดยจะประกาศผลผู้มีสิทธิ์ร่วมกิจกรรมในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ทาง Honda Thailand Official Account
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
OMODA & JAECOO เปิดตัวแคมเปญ “Welcome Home” บริการตรวจเช็คฟรี 15 รายการ พร้อมบริการล้างรถฟรี ทั่วประเทศไทย


OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก เปิดตัวแคมเปญหลังการขาย “Welcome Home” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในบริการหลังการขายและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
ลูกค้าสามารถนำรถยนต์ OMODA & JAECOO เข้ารับบริการตรวจเช็คฟรี 15 รายการ ที่ศูนย์บริการทั้ง 20 แห่งทั่วประเทศ พร้อมบริการล้างรถฟรีที่ศูนย์บริการ 12 แห่ง ตั้งแต่วันนี้ – 21 พฤษภาคม 2568
จักรพันธ์ สิขิวัฒน์ หัวหน้าส่วนงานบริการหลังการขาย บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แคมเปญ ‘Welcome Home’ ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการดูแลลูกค้าหลังการขาย เรามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การบริการที่เหนือความคาดหมาย เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่นำรถกลับมาบ้าน OMODA & JAECOO”
รายการตรวจเช็คฟรี 15 รายการ ประกอบด้วย:
- ไฟเตือนบนหน้าปัด
- เครื่องเสียง และหน้าจอกลาง
- ระบบแตร
- ระบบไฟต่างๆ
- ระบบปัดน้ำฝน
- ระบบแอร์
- กรองอากาศ
- ยางขอบประตู ขอบกระจก ขอบหลังคา
- ระบบเบรก
- ระบบช่วงล่าง
- ล้อและยาง
- แบตเตอรี่ 12 โวลต์
- การรั่วซึมและระดับของเหลว
- แบตเตอรี่แรงดันสูง
- ระบบชาร์จและอุปกรณ์การชาร์จ

ลูกค้าสามารถนัดหมายล่วงหน้าเพื่อรับบริการได้ที่ศูนย์บริการ OMODA & JAECOO ทั้ง 20 สาขาที่ร่วมรายการ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02-020-8888 และเว็บไซต์ WWW.OMODAJAECOO.CO.TH
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
‘ไทร์พลัส’ เปิดตัวสัญลักษณ์ EV READY โชว์ความพร้อมให้บริการรถอีวีด้วยมาตรฐานสูงสุด

ล่าสุด ไทร์พลัส รุกเปิดตัวสัญลักษณ์ EV READY ตอบรับแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรือ “รถอีวี”
ในไทยที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ศูนย์บริการไทร์พลัสที่ผ่านการรับรองด้วยสัญลักษณ์ดังกล่าวพร้อมสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับผู้ขับขี่รถอีวีด้วยพนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นเพื่อให้มีความรู้ความชำนาญในการบริการรถอีวีระดับมืออาชีพ ทั้งการวินิจฉัยปัญหา การดูแลซ่อมบำรุง และการให้คำแนะนำ
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยสำหรับดูแลซ่อมบำรุงรถอีวีโดยเฉพาะอย่างครบครัน ปัจจุบัน ศูนย์บริการไทร์พลัส 115 แห่ง จากทั้งหมด 168 แห่งทั่วประเทศ หรือคิดเป็นสัดส่วน 68% ได้รับสัญลักษณ์
EV READY ที่แสดงความพร้อมในการให้บริการรถวีอีแล้ว โดยไทร์พลัสตั้งเป้าผลักดันให้ศูนย์บริการทุกแห่ง
ทั่วประเทศได้รับสัญลักษณ์ดังกล่าวภายในปี 2569การมอบสัญลักษณ์ EV READY ให้กับเครือข่ายศูนย์บริการไทร์พลัสทั่วประเทศไม่เพียงตอกย้ำจุดยืนของไทร์พลัสในการให้บริการคุณภาพเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของผู้ขับขี่ แต่ยังเป็นหนึ่งในโครงการล่าสุดที่มุ่ง
ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากโครงการริเริ่มอื่น ๆ ขององค์กร
ที่มีเป้าหมายในลักษณะเดียวกัน อาทิ การติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับเครือข่ายสาขาเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ตลอดจนการบริหารจัดการยางรถยนต์ที่หมดอายุใช้งานและน้ำมันเครื่องใช้แล้วเพื่อนำมารีไซเคิลและเปลี่ยนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าอีกครั้งทั้งนี้ สัญลักษณ์ EV READY เป็นเสมือนประกาศนียบัตรรับรองว่าศูนย์บริการไทร์พลัสดังกล่าวให้บริการรถอีวีระดับมืออาชีพโดยพนักงานที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่ไทร์พลัสพัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับสถาบันพัฒนาแรงงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชั้นนำต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์นนทบุรี เขตเหนือ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงใหม่ ดอยสะเก็ด, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ศูนย์การศึกษาหนองระเวียง, วิทยาลัยเทคนิคตรัง ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถวินิจฉัยปัญหา ดูแลซ่อมบำรุง และให้คำแนะนำต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำและเหมาะสม อีกทั้งยังมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยและครบครันสำหรับดูแลซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า หรือ “รถอีวี” ซึ่งมีคุณลักษณะเฉพาะต่างจากรถยนต์แบบดั้งเดิม
บริการสำหรับรถอีวีซึ่งศูนย์บริการไทร์พลัสที่มีสัญลักษณ์ EV READY นำเสนอ ได้แก่ บริการด้านยาง อาทิ
เปลี่ยนยาง ซ่อมยาง สลับยาง ตั้งศูนย์และถ่วงล้อ เนื่องจากการติดตั้งยางที่เหมาะสมให้กับรถอีวีซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าและมีแรงบิดสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างเต็มสมรรถนะ, ขับได้ไกลกว่าต่อการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้งและขับได้ระยะทางมากขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนยางบ่อย ทั้งยังมอบประสบการณ์ขับขี่ที่เงียบสบายเหนือกว่า อีกทั้งการสลับยางหรือถ่วงล้อแต่ละครั้งยังต้องใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อตั้งค่าเซ็นเซอร์จับแรงดันลมยาง (TPMS) ในรถอีวีให้ตรงกับตำแหน่งล้อโดยช่างผู้ชำนาญ;บริการระบบช่วงล่าง ครอบคลุมการซ่อมบำรุงและเปลี่ยนอะไหล่ต่าง ๆ อาทิ โช้คอัพ, สปริงโช้คอัพ, เบ้าโช้คอัพ, ลูกหมากแร็ค, ยางกันฝุ่นแร็ค, ลูกหมากปีกนก และบูชต่าง ๆ เพื่อให้การขับขี่มีความนุ่มนวลสูงสุด; บริการระบบเบรก อาทิ เปลี่ยนผ้าเบรก และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก ทั้งนี้ ระบบเบรกของรถอีวีซึ่งใช้ไฟฟ้าควบคุมมีความซับซ้อนการในการตรวจสอบและบำรุงรักษา จึงต้องใช้เครื่องมือพิเศษที่ทันสมัยและช่างที่มีทักษะในการใช้เครื่องมือดังกล่าว เพื่อประสิทธิภาพการเบรกและความปลอดภัยสูงสุดของผู้ใช้รถ; บริการระบบส่งกำลัง อาทิ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะที่เหมาะสมสำหรับรถอีวีแต่ละรุ่น, เปลี่ยนเพลาขับ ซีลและยางกันฝุ่นเพลาขับ รวมถึงเปลี่ยนลูกปืนล้อหน้าและล้อหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ ช่วยลดภาระยางและยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น;
บริการเกี่ยวกับแบตเตอรี่ 12 โวลต์ อาทิ ตรวจเช็คสุขภาพของแบตเตอรี่ และเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์แบตเตอรี่เฉพาะ ทั้งยังมีแบตเตอรี่แบรนด์ชั้นนำพร้อมรองรับรถอีวีแต่ละคันแบบตรงรุ่น; บริการระบบแอร์ อาทิ ล้างแอร์และเปลี่ยนกรองแอร์ โดยมีผลิตภัณฑ์กรองแอร์จากแบรนด์พันธมิตรชั้นนำให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบมาตรฐานและแบบคาร์บอนที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยดักจับฝุ่น PM2.5 และแบคทีเรีย เพื่ออากาศสะอาดภายในห้องโดยสารและสุขภาพที่ดี; บริการระบบระบายความร้อน อาทิ เปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นตามระยะที่เหมาะสมสำหรับรถอีวีแต่ละรุ่น โดยมีน้ำยาหล่อเย็นสูตรเฉพาะสำหรับรถอีวีจากแบรนด์พันธมิตรชั้นนำให้เลือกใช้ เพื่อการระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
-
News Car2 Min Read
GWM ขนยนตรกรรมกว่า 40 รุ่น จาก 6 แบรนด์หลัก ในงาน Auto Shanghai 2025 นำโดย GWM HAVAL B26, ALL NEW GWM WEY 80, GWM TANK 300 Hook Edition, GWM ORA07 Touring Edition และมอเตอร์ไซค์ GWM SOUO S2000GL สะท้อนการเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก

GWM ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด GWM สร้างความตื่นตาตื่นใจในงาน Shanghai International Automobile Industry Exhibition ครั้งที่ 21 (Auto Shanghai 2025) ด้วยการนำเสนอทัพยนตรกรรมกว่า 40 รุ่นจาก 6 แบรนด์หลัก ได้แก่ GWM HAVAL, GWM WEY, GWM TANK, GWM ORA, GWM POER และ GWM SOUO Motorcycles ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Tech GWM, Off-Road GWM, Global GWM” ที่สะท้อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของแบรนด์ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมแห่งชาติเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน พร้อมทั้งเปิดตัวโลโก้แบรนด์ใหม่ “GWM” เพื่อสื่อถึงแนวคิดระดับโลกอย่าง “GWM Go With More” ซึ่งสะท้อนถึงการขยายการเติบโตในระดับโลกอย่างไม่หยุดยั้ง ตอกย้ำภาพลักษณ์ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พลังงานทางเลือกที่หลากหลายและครอบคลุม และระบบนิเวศของไลฟ์สไตล์ยานยนต์อัจฉริยะของ GWM ได้อย่างครบวงจร




GWM ขนนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามากมายไปจัดแสดง โดยแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Smart Living และกลุ่ม Off-Road Machines เพื่อนำเสนออนาคตแห่งการเดินทางที่ตอบความต้องการของผู้คนยุคใหม่ได้อย่างครอบคลุมในทุกมิติ สำหรับ Smart Living คือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะล้ำสมัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยยนตรกรรมจาก 3 ตระกูล ได้แก่ GWM HAVAL, GWM WEY และ GWM ORA ซึ่งมีรุ่นไฮไลต์ ได้แก่ GWM HAVAL B26 รถเอสยูวีรูปทรง BOXY เครื่องยนต์ไฮบริด 1.5T เจเนอเรชันใหม่ พร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อไฮบริดอัจฉริยะ Hi4 รุ่นล่าสุด มอบทั้งสมรรถนะการขับขี่และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมโหมดการขับขี่ถึง 7 โหมด ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ ADAS ระดับ L2 และฟีเจอร์จอดรถอัตโนมัติที่รองรับการจอดที่ซับซ้อนกว่า 40 รูปแบบ และเทคโนโลยีภายในล้ำสมัยอีกมากมาย นอกจากนี้ ยังรองรับการใช้งานกิจกรรมกลางแจ้งด้วยอุปกรณ์เสริมเฉพาะทางอย่าง ไฟแคมป์ปิ้ง และม่านบังแดดท้ายรถ รวมถึงมีระบบจ่ายไฟภายนอก 3.3 กิโลวัตต์ ตอบโจทย์ทั้งการเดินทางในเมืองและการผจญภัยออฟโรดอย่างแท้จริง ขณะที่ GWM ORA07 Touring Edition เป็นการผสมผสานแฟชั่น ความอัจฉริยะ และความกว้างขวาง มาพร้อมระบบ lidar และระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ NOA (Navigation on Autopilot) ทำให้ผู้ใช้งานขับขี่ได้อย่างมั่นใจทั้งบนทางด่วนและในเมือง นอกจากนี้เพื่อตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของผู้ใช้งานเพื่อการเดินทางแบบครอบครัวและนักธุรกิจ ALL NEW GWM WEY 80 ได้เปิดตัวทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ GWM WEY80 7, GWM WEY80 8 และ GWM WEY80 9 ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Hi4 Performance version ระบบช่วยขับ Coffee Pilot Ultra และ Coffee OS 3.2 สมาร์ทค็อกพิตรุ่นใหม่ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างส้นหลามด้วยยอดจองถล่มทลายไปกว่า 7,848 คัน ภายใน 24 ชั่วโมงแรก




สำหรับกลุ่ม Off-Road Machines ครอบคลุมไปด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ตระกูล GWM TANK, GWM POER และ GWM SOUO Motorcycles เอาใจสายลุยผู้ชื่นชอบการเดินทางเพื่อประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ท้าทาย ผ่านยนตรกรรมออฟโรดด้วยสมรรถนะที่แข็งแกร่ง ดุดัน และพลังอันเปี่ยมล้น โดยยนตรกรรมไฮไลต์ที่โดดเด่นในกลุ่มนี้ ได้แก่ GWM TANK 300 Hook Edition รถยนต์เอสยูวีออฟโรดสมรรถนะสูง พัฒนาร่วมกับเส้นทางออฟโรดระดับโลก “Hook Route” เพื่อพิชิตภูมิประเทศที่ท้าทายที่สุด นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเป็นอย่างมาก รวมถึง GWM POER SAHAR Hi4-T รถกระบะพรีเมียมสายออฟโรดพลังงานใหม่ที่เผยโฉมทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Global Edition และรุ่น Performance Edition สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มออฟโรดซุปเปอร์ไฮบริด Hi4-T และ Shanhai POER Hi4-T ผสมผสานพลังที่แข็งแกร่ง ประสิทธิภาพไฟฟ้าแรงกล้า และการประหยัดน้ำมันมากกว่าที่เคย และตื่นตาตื่นใจไปกับยนตรกรรมสองล้อหนึ่งเดียวของ GWM กับ GWM SOUO Motorcycles บิ๊กไบค์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเหล่านักบิดสายทัวร์ริ่งเปิดตัว GWM SOUO S2000GL “Tengyun Ruishi” Limited Edition ซึ่งมีเครื่องยนต์ Flat 8 แบบแนวนอน จับคู่กับระบบส่งกำลังอัตโนมัติ Dual-Clutch 8 สปีด มาพร้อมกับคุณสมบัติล้ำสมัย เช่น ชิปเซ็ต 8155 และแผงหน้าปัดสมาร์ทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว มอบสมรรถนะที่ทรงพลังและประสบการณ์การขับขี่ระดับไฮเอนด์ที่ทนทานเหนือระดับ
มู่ เฟิง ประธาน GWM กล่าวว่า “ในปี 2025 GWM จะเดินหน้าสู่หมุดหมายสำคัญด้วยการผลิตรถยนต์คันที่ 15 ล้าน นับเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของการพัฒนาแบรนด์สู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันในปีนี้ยังถือเป็นปีแรกของการเดินหน้ากลยุทธ์
‘One GWM’ อย่างเป็นทางการ โดยยึดแนวทางการเติบโตแบบระบบนิเวศควบคู่กับการขยายการเติบโตในระดับท้องถิ่นเพื่อก้าวเข้าสู่สู่ตลาดโลกอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงดีเอ็นเอสายลุยที่เป็นเอกลักษณ์ของ GWM ไปสู่ผู้บริโภคทั่วโลก นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นที่จะสร้างไลฟ์สไตล์แห่งอนาคตที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับผู้คนเพื่อช่วยให้โลกน่าอยู่ยิ่งขึ้น”
ภายในงาน GWM ยังได้ร่วมมือกับ Cerence AI เปิดตัวประสบการณ์ค็อกพิตอัจฉริยะแบบใหม่ภายในรถยนต์ ด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์ม Cerence xUI™ ซึ่งเป็นระบบ AI แบบ agentic ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้อย่างชาญฉลาดและเป็นธรรมชาติ การสาธิตครั้งนี้จัดขึ้นภายในรถยนต์ของ GWM เพื่อเปิดมุมมองใหม่ของประสบการณ์ภายในรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ซึ่งทำงานผสานกันอย่างราบรื่นและไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์ภายในรถยนต์และระบบคลาวด์ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ในการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ล้ำสมัย เชื่อมต่อ และเข้าใจผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น พร้อมตอกย้ำบทบาทของ GWM ในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตที่ไม่เพียงขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม แต่ยังให้ความสำคัญกับการยึดผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางอีกด้วย
ปัจจุบัน GWM มีช่องทางการขายในต่างประเทศมากกว่า 1,400 แห่ง และมีฐานผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 15 ล้านคน โดยในปี 2024 GWM มียอดขายรถใหม่รวม 1,233,292 คัน และมียอดขายในตลาดต่างประเทศถึง 453,141 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ามากถึง 43.39% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ GWM โดยแบรนด์จะยังคงมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์ “Ecological Globalization” ที่ครอบคลุมการวิจัยและพัฒนา การผลิต ซัพพลายเชน การขาย และบริการไปยังตลาดต่างประเทศอย่างครบวงจร เพื่อสร้างระบบอุตสาหกรรมระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ ตอกย้ำจุดยืนของ GWM ในการขับเคลื่อนแบรนด์สู่มาตรฐานระดับโลกอย่างแท้จริง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
“ไม้คิว-เกียรติศักดิ์” นักบิดดาวรุ่งไทย “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” คว้าท็อป 6 ศึกดาวรุ่งชิงแชมป์โลก “โมโตจีพี รุกกีส์คัพ” สนามแรก ที่ สเปน

“ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงศ์ ยอดนักบิดดาวรุ่งชาวไทยวัย 19 ปี จากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” มุ่งปูทางสู่ระดับโลก โชว์ศักยภาพบิดคว้าท็อป 6 ประเดิมสนามแรก ในศึกชิงแชมป์นักบิดดาวรุ่งระดับโลก รายการ เรดบูล โมโตจีพี รุกกีส์คัพ ที่ เซอร์กิโต เด เฮเรซ ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 25-27 เมษายนที่ผ่านมา

ศึก เรดบูล โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ 2025 สนามแรก ถูกบรรจุเป็นซัพพอร์ตเรซของการแข่งขันโมโตจีพี รายการ สแปนิช กรังด์ปรีซ์ ซึ่งนับเป็นฤดูกาลแรกที่ “ไม้คิว-เกียรติศักดิ์” นักบิดเลือดใหม่ลงแข่งขันแบบเต็มฤดูกาล เพื่อดวลกับสุดยอดดาวรุ่งจากทั่วโลกกว่า 25 คน ในสนามที่ท้าทาย ซึ่งสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยคว้ากริดสตาร์ตอันดับที่ 6 มาครองจากรอบควอลิฟาย

การแข่งขันเรซแรก นักบิดไทยหมายเลข 85 เจอบททดสอบอย่างหนักจากการปะทะกับคู่แข่งหลังออกตัวในรอบแรกหลุดออกไปนอกแทร็กรูดลงไปถึงอันดับที่ 23 จบการแข่งขันด้วยการทะยานคว้าอันดับ 12 จากการสามารถนำรถแข่งขึ้นไล่แซงคู่แข่งอย่างสุดมันส์นับสิบคัน

การแข่งขันเรซที่ 2 “ไม้คิว-เกียรติศักดิ์” แก้ไขสถานการณ์การออกตัวได้ดีเกาะกลุ่มนำได้อย่างเหนียวแน่นไล่บี้ลุ้นโพเดียมกับคู่แข่ง จบคว้าอันดับ 6 ตามหลังผู้ชนะเพียง 1.788 วินาที โดยรั้งอันดับที่ 9 บนตารางคะแนนสะสม มีคะแนนทั้งสิ้น 14 คะแนน
ทั้งนี้ ศึก เรดบูล โมโตจีพี รุกกีส์คัพ 2025 โดยสนามถัดไป จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 พฤษภาคมนี้ ที่ เลอ มองส์ เซอร์กิต ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นซัพพอร์ตเรซ ของโมโตจีพีสนามที่ 6 รายการ เฟรนช์ กรังด์ปรีซ์
แฟนๆ กีฬามอเตอร์สปอร์ต ร่วมส่งกำลังใจเชียร์ยอดนักบิดดาวรุ่งไทย และติดตามข่าวสารของ นักบิดฮอนด้าได้ที่เฟซบุ๊กเฟซบุ๊กฮอนด้าเรซทูเดอะดรีม : https://facebook.com/HondaRacingTeamTH
#ThaiHonda #HondaRacingThailand #RaceToTheDream #RoadToMotoGP #Motorsport #RookiesCup #Maikiw #Maikiw85 #KS85
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
“ฮอนด้า” เดินหน้าสร้างผลงาน “มารินี” ท็อปเท็น “ก้อง-สมเกียรติ” อาร์มปั๊มเล่นงาน โมโตจีพี เฮเรซ

“ทัพนักบิดฮอนด้า” เดินหน้าสร้างผลงานคงที่ในศึก โมโตจีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2025 โดยล่าสุด ลูก้า มารินี นักบิดอิตาเลียนจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี คว้าท็อปเท็น จากสนาม 5 รายการ สแปนิช กรังด์ปรีซ์ ที่ เซอร์กิโต เด เฮเรซ – อังเคล นิเอ็ตโต้ ประเทศสเปน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ขณะ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดขวัญใจชาวไทยจาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ เริ่มเกมได้ดีก่อนโดนอาการ “อาร์มปั๊ม” เล่นงาน
ศึก สแปนิช กรังด์ปรีซ์ นับเป็นอีกหนึ่งสนามที่ท้าทายอย่างมากในแง่ทักษะการขับขี่ “ฮอนด้า” ยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักในการพัฒนารถแข่ง Honda RC213V ด้วยการส่ง อเล็กซ์ เอสปาร์กาโร นักบิดทดสอบชาวสแปนิชลงแข่งขันด้วยสิทธิ์ไวลด์การ์ดเป็นครั้งแรก เพื่อเก็บข้อมูลตัวรถที่ได้รับการอัพเกรดเครื่องยนต์ใหม่
ผลการแข่งขันปรากฏว่า ลูก้า มารินี ที่เริ่มเกมจากกริดที่ 16 ไต่เก็บอันดับขึ้นมาในอันดับที่ 10 ด้วยเวลารวม 41 นาที 13.613 วินาที ตามด้วย โยฮันน์ ซาร์โก นักบิดชาวฝรั่งเศสจาก ฮอนด้า แอลซีอาร์ ในอันดับ 11 เก็บคะแนนได้ทั้งคู่

ขณะที่ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา หมายเลข 35 นักบิดไทยจาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ เริ่มเกมจากกริดที่ 21 ทะยานเริ่มต้นการแข่งขันอย่างดุดัน ก่อนจะต้องรีไทร์ในช่วงกลางเรซเนื่องจากปัญหา “อาร์มปั๊ม” กำเริบ ส่วน โจอัน เมียร์ นักบิดสแปนิชจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี ไม่จบการแข่งขัน

ทั้งนี้สนามถัดไปของศึก โมโตจีพี 2025 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 พฤษภาคมนี้ ที่ เลอมองส์ เซอร์กิต ประเทศฝรั่งเศส ในรายการ เฟรนช์ กรังด์ปรีซ์
แฟนมอเตอร์สปอร์ตส่งกำลังใจเชียร์ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ และนักบิดฮอนด้า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กฮอนด้าเรซทูเดอะดรีม: https://facebook.com/HondaRacingTeamTH
#HondaRacingThailand #RaceToTheDream #Motorsport #MotoGP #HondaBigBike #HondaRC213V #HondaHRCCastrol #JM36 #LM10 #LCRHondaTeam #LCRHonda #JZ5 #IdemitsuHondaLCR #SC35 #Kong #TheFirstThaiRiderInMotoGP #SpanishGP
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ จับมือพันธมิตร เปิดตัวโครงการ “TRUST” ร่วมขับเคลื่อนความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทย

มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และพันธมิตรหลายภาคส่วน ได้แก่ โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เพื่อเปิดตัวโครงการ TRUST (Thailand Road Users Safety through Technology) อย่างเป็นทางการ เพื่อทดสอบแนวทางในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงระบบและการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568

นำโดย ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, มร. ซูซุมุ มัตสึดะ ผู้อำนวยการมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้, มร. ศรีนิวาสะ โปปุริ ผู้อำนวยการโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ สำนักงานโครงการกรุงเทพมหานคร, ศาสตราจารย์ ดร.มนูกิจ พานิชกุล รองอธิการบดีของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และ นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้เทคโนโลยีมาทำการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการขับขี่บนท้องถนน เพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุและยกระดับความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทย
โครงการ TRUST มีจุดเริ่มต้นจากความมุ่งมั่นของโตโยต้าในการส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน โดยถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ริเริ่มขึ้นจาก การประชุม Tateshina*¹ ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัทโตโยต้า ณ ประเทศญี่ปุ่น ในการประชุมดังกล่าว โตโยต้าได้เชิญผู้นำจากหลากหลายอุตสาหกรรมเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางความปลอดภัยบนท้องถนน โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนสังคมสู่ “Vision Zero” หรือ เป้าหมายลดอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือศูนย์ในระดับโลก


จากอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในประเทศไทย ประกอบกับความมุ่งมั่นของโตโยต้าที่ต้องการก้าวสู่การเป็น “Best in Town” มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ จึงได้ริเริ่ม โครงการ TRUST โดยผนึกความร่วมมือกับหลากหลายภาคส่วน เพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างยั่งยืน การดำเนินงานของโครงการแบ่งออกเป็นหลายระยะ โดยเน้นการนำข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์เพื่อระบุสาเหตุของอุบัติเหตุ ผ่าน 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ผู้ใช้ถนน ยานพาหนะ ถนนและโครงสร้างพื้นฐาน
ความคิดริเริ่มที่สำคัญ: ระยะนำร่อง (เฟส 1) และการขยายผลสู่เฟส 2
โครงการทดลองระยะที่ 1 (เมษายน 2567 – มิถุนายน 2568)
ในระยะเริ่มต้นของโครงการ มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) ได้ร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ทดลองดำเนินงานในพื้นที่จังหวัด ฉะเชิงเทรา โดยใช้ ข้อมูลจากยานพาหนะของโตโยต้า (Probe Data) เพื่อระบุพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัย การศึกษานี้มุ่งเน้นไปที่ 5 จุดเสี่ยง ในอำเภอพนมสารคามและอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา โดยวิเคราะห์พฤติกรรมต่างๆ เช่น การเบรกกะทันหัน การเร่งเครื่องอย่างรวดเร็ว การเลี้ยวกระทันหัน
ผลการศึกษาในระยะแรกแสดงให้เห็นว่า Probe Data มีศักยภาพในการระบุจุดเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ยังคงมุ่งเน้นไปที่ยานพาหนะสี่ล้อเป็นหลัก ขณะที่อุบัติเหตุทางถนนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมักเกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์ ซึ่งยังคงต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถทำการวิเคราะห์ได้อย่างครอบคลุมและพัฒนาวิธีการการแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ระยะที่ 2 (พฤษภาคม 2568 – เมษายน 2570)
ในระยะที่ 2 ของโครงการ TRUST มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้จะขยายการใช้แหล่งข้อมูล และเครือข่ายความร่วมมือให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งนำการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงและออกแบบมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่เป้าหมายหลักในระยะนี้คือ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุสูง เนื่องจากลักษณะการจราจรที่หนาแน่น และมีโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ครอบคลุมอย่างทั่วถึง
ในระยะนี้ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด (RVP) จะเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ โดยให้ ข้อมูลอุบัติเหตุ ซึ่งจะช่วยเสริมความแม่นยำในการวิเคราะห์ พร้อมนำไปสู่การพัฒนาแนวทางจัดการความปลอดภัยบนท้องถนนที่เหมาะสมกับบริบทของเมืองอย่างแท้จริง


ความสำเร็จของโครงการ TRUST เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของกลุ่มพันธมิตรหลากหลายภาคส่วน โดยบทบาทที่ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) และแบ่งบทบาทที่ชัดเจน ดังนี้
- กรุงเทพมหานคร (BMA) – สนับสนุนด้านฐานข้อมูล, ภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV), และดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัย พร้อมทั้งเป็นผู้ผลักดันโครงการโดยรวม
- โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) – พัฒนาศักยภาพ, สร้างเครือข่ายระดับโลก, และให้ข้อมูลเชิงลึกด้านความปลอดภัยระดับนานาชาติ
- สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) – บริหารจัดการโครงการ, ให้การสนับสนุนทางเทคนิค การวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุและพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงกำกับดูแลด้านวิชาการ
- โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) – ให้ข้อมูล probe data และองค์ความรู้จากโครงการ
- โตโยต้าถนนสีขาว เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน มุ่งเน้นการรณรงค์ ส่งเสริม พัฒนาทักษะจากการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ที่เป็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ
- มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) – สนับสนุนเงินทุนและเทคโนโลยี รวมถึงการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Probe Data, ข้อมูลที่บันทึกเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุ และข้อมูลอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ยังได้รับการสนันสนุนข้อมูลจากพันธมิตร ได้แก่
- บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด (RVP) – ให้การสนับสนุนข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในอดีตเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย
ระยะเวลาดำเนินโครงการและแนวทางการขยายผลในอนาคต
โครงการ TRUST จะเริ่มดำเนินการในดือนพฤษภาคม 2568 ถึง เดือนเมษายน 2570 (ระยะเวลา 2 ปี) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันอุบัติเหตุที่สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ความสำเร็จและข้อมูลเชิงลึกจากโครงการ TRUST จะถูกนำเสนอในเวทีนานาชาติเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาความปลอดภัยบนท้องถนนในระดับสากลต่อไป
มร. ซูซูมุ มัตสึดะ ผู้อำนวยการมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (TMF) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศเปิดตัวโครงการ TRUST ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย โดยอาศัยการใช้ข้อมูลจากยานพาหนะร่วมกับการวิเคราะห์ขั้นสูง เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมบนท้องถนนในกรุงเทพมหานครให้ ปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีความตั้งใจที่จะ ขยายรูปแบบโครงการนี้ไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศไทยในอนาคต วิสัยทัศน์สูงสุดของเราคือการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นศูนย์ ด้วยพลังของ ความร่วมมือ และนวัตกรรมที่สร้างสรรค์”
ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นวาระสำคัญสำหรับกรุงเทพมหานคร และเราต้องดำเนินมาตรการอย่างจริงจังเพื่อลดอุบัติเหตุและรักษาชีวิตผู้คน การจำกัดความเร็ว, ส่งเสริมการสวมหมวกกันน็อกในกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และการปรับปรุงสภาพถนน ล้วนเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้ท้องถนนของเราปลอดภัยยิ่งขึ้น มาตรการเหล่านี้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการปกป้องผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน
นอกเหนือจากนโยบาย เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น ปรับปรุงทางข้ามถนน และใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายจราจร การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ผู้ขับขี่ และประชาชนผู้ใช้ทางเท้า หากเราร่วมมือกัน กรุงเทพมหานครจะกลายเป็นเมืองที่ปลอดภัยและน่าอยู่สำหรับทุกคน”
มร. ศรีนิวาสะ โปปุริ ผู้อำนวยการโครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ สำนักงานกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “เมืองต่างๆ จำเป็นต้องเร่งความพยายามในการพัฒนาความปลอดภัยทางถนนอย่างเร่งด่วน ที่องค์การยูเอ็น-ฮาบิแทต เราเชื่อว่าการใช้ประโยชน์จากโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เมืองมีความปลอดภัยและครอบคลุมมากขึ้น เช่น ความเร็วของยานพาหนะ ปริมาณการจราจร ประเภทของยานพาหนะ และสถานการณ์เสี่ยงที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุ
ศาสตราจารย์ ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “จากการดำเนินงานระยะแรกในจังหวัดฉะเชิงเทรา เราได้ใช้ข้อมูลจาก Probe Data ของยานพาหนะร่วมกับเทคโนโลยี AI ในการรวบรวมและวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุ ควบคู่ไปกับวิธีการดั้งเดิมที่ใช้กันในการศึกษาการเกิดอุบัติเหตุทางจราจร (RC – EXPAND) ซึ่งพบว่ามีข้อได้เปรียบหลายประการที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ หนึ่งในนั้นคือการมีข้อมูลที่ครอบคลุมระยะเวลานานกว่า ซึ่งแตกต่างจากการเก็บข้อมูลโดยมนุษย์ที่มักจำกัดอยู่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อีกทั้งยังช่วยลดอคติจากการประเมินของมนุษย์ นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้ยังให้รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับจราจร เช่น ความเร็วของยานพาหนะ ปริมาณการจราจร ประเภทของยานพาหนะ และสถานการณ์เสี่ยงที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุ”
“อย่างไรก็ตาม เรายังคงเผชิญกับความท้าทายบางประการในการเก็บรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ความรู้และความเชี่ยวชาญของผู้ใช้ข้อมูล อีกทั้งในระยะนี้ เรายังขาดข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การวิเคราะห์ครอบคลุมและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
OMODA & JAECOO สร้างนิยามใหม่ของตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของโลก นำเสนอรถยนต์ตระกูล Super Hybrid System (SHS) พร้อมประกาศกลยุทธ์ในงาน Shanghai Auto Show 2025

Shanghai International Automobile Industry Exhibition หรือ Shanghai Auto Show 2025 เริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 23 เมษายน 2025 ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 2 ปีของ OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ที่จัดขึ้นในหัวข้อ “อยู่ด้วยกัน 2 ปี จากก้าวแรกสู่ก้าวกระโดด – 2 Years 2gather: From Seed to Speed” ในงานครบรอบดังกล่าวนี้ OMODA & JAECOO นำเสนอรถยนต์ Super Hybrid System (SHS) หลายรุ่น เช่นรุ่น OMODA C7 SHS, OMODA C5 SHS และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างรุ่น JAECOO 5 BEV โดยบริษัทฯ พร้อมดำเนินตามวิสัยทัศน์ “Born Global, Born NEV” แม้ว่าจะเป็นแบรนด์รถยนต์ใหม่ในท้องตลาด แต่เป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก

ในโอกาสเดียวกันนี้ คุณชอว์น ฉู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโอโมดา แอนด์ เจคู่ ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาของบริษัทฯ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การเริ่มเข้าสู่ตลาดทวีปยุโรปและขยายตลาดไปทั่วโลก รวมไปจนถึงการได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องตามแนวคิด “Global Standard, Global Quality” ไปจนถึงการก้าวขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีเครื่องยนต์ไฮบริดของโลก OMODA & JAECOO ยกระดับตนเอง “จากก้าวแรกสู่ก้าวกระโดด” นับตั้งแต่การเปิดตัวแบรนด์เป็นครั้งแรกในโลกในงาน Shanghai Auto Show 2023 จนมาถึงหลักชัยสำคัญในงาน Shanghai Auto Show 2025 กล่าวโดยสรุปแล้ว OMODA & JAECOO ก้าวสู่
ยุคสมัยใหม่ของการยกระดับความก้าวหน้าในตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ไปอีกขั้นอย่างเป็นทางการOMODA & JAECOO สร้างนิยามใหม่ของตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดโลก พร้อมปฏิวัติด้านระยะทางการขับขี่

ด้วยความตั้งใจให้เห็นถึงสมรรถนะของ JAECOO 7 SHS ในการขับขี่ที่สามารถขับได้ไกล จึงถูกพิสูจน์ด้วยการจัดกิจกรรมการขับขี่โกลบอลซุเปอร์ไฮบริดมาราธอน นับถึงปัจจุบัน รถยนต์รุ่น JACOO 7 SHS บรรลุเป้าหมายการขับขี่ตามกิจกรรมซุเปอร์ไฮบริดมาราธอนแล้วใน 16 ประเทศ โดยในประเทศไทยได้มีการเข้าร่วมซุปเปอร์ไฮบริดมาราธอน สามารถวิ่งได้ถึง 1,433 กิโลเมตร รวมครบสะสมระยะทางได้กว่า 1 แสนกิโลเมตร ตามสภาพการทดสอบบนท้องถนนจริง เบื้องหลังระยะทางที่เยี่ยมยอดนี้คือเทคโนโลยีระบบซุปเปอร์ไฮบริด Super Hybrid System (SHS) ซึ่ง OMODA & JAECOO เป็นผู้นำของโลกในตลาดปลั๊กอินไฮบริด ที่จะสร้างนิยามใหม่ของการเดินทางด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่า อัตราการใช้พลังงาน และนวัตกรรม
ในฐานะโซลูชั่นพลังงานใหม่ที่ดีที่สุดของโลก เทคโนโลยี Super Hybrid System (SHS) เกิดจากการผสาน 3 แกนหลักอันล้ำหน้าในอุตสาหกรรมมาสู่หนึ่งแพลตฟอร์ม ได้แก่ เครื่องยนต์ไฮบริดแบบเฉพาะ (DHE) 1.5 ทีดีจีไอรุ่นที่ 5 ที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า สำหรับการวิ่งด้วยไฟฟ้า และ 240 แรงม้า สำหรับการวิ่งด้วยน้ำมัน ระบบส่งกำลังไฮบริดต่อเนื่องแบบอัจฉริยะ (DHT) และแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงสำหรับเครื่องยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ การผสานเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้รถยนต์ JAECOO 7 SHS มีประสิทธิภาพด้านการระบายความร้อนดีขึ้นร้อยละ 44.5 มีอัตราการใช้พลังงานน้ำมันและพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ต่ำ
ที่ 3.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และรองรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 151.6 กิโลเมตร หรือใช้ขับขี่ไปทำงานและกลับบ้านนานประมาณ 1 สัปดาห์จากการประจุไฟเพียงครั้งเดียว นอกเหนือไปจากอัตราการใช้พลังงานที่ต่ำ เทคโนโลยีซุเปอร์ไฮบริดยังมีเสียงการทำงานเงียบเทียบเท่ารถพลังงานไฟฟ้า มีอัตราเร่งดี สร้างนิยามใหม่ของการขับขี่รถยนต์ไฮบริดให้เป็นประสบการณ์ที่เหนือข้อจำกัด“เราพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังแล้ว”
ในปี 2025 OMODA & JAECOO จะดำเนินการตามกลยุทธระดับสากลสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านเทคโนโลยีโดยมีระบบ Super Hybrid System (SHS) เป็นแกนกลาง และนำเสนอรถยนต์ที่ใช้ระบบ Super Hybrid System (SHS) ใหม่ตลอดทั้งปีนี้เพื่อเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ได้นำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่อีก 2 รุ่นตามกลยุทธก้าวไปสู่ระดับโลก คือรถยนต์รุ่น OMODA C7 SHS และ JAECOO 5 EV ที่จะวางจำหน่ายในช่วงเวลาหลังจากนี้ รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้จะเป็นกลจักรสำคัญเพื่อสร้างการเติบโตไปอีกขั้น
นอกเหนือไปจากนี้ จากการประกาศกลยุทธ์ในงาน Shanghai Auto Show 2025 ทาง Chery และ OMODA and JAECOO ยังเตรียมจัดงานนำเสนอเทคโนโลยีไฮบริดในประเทศไทย วันที่ 15 พฤษภาคมนี้ โดยรายละเอียดของงานจะประกาศในโอกาสต่อไป
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


















































































