-
EGR คืออะไรทำไมต้องมี !!?
เมื่อรถยนต์มีการพัฒนาขึ้นอยู่ตลอด อุปกรณ์ต่างๆที่ถูกใช้งานควบคู่ไปกับรถยนต์ทุกชนิดจึงต้องมีการพัฒนาตามกันไป แน่นอนที่สุดครับสำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของระบบการนำไอเสีย(บางส่วน)ย้อนกลับไปใช้งานอีกครั้งหรือที่รู้จักกันในชื่อของระบบ EGR นั่นเองครับ มันคืออะไร และหน้าที่ของมันทำอะไรบ้าง ในคอลัมน์นี้มีคำตอบครับ
EGR (EXHAUST GAS RECIRCULATION) ในสองสามปีที่ผ่านมาแรงดันสูง ทำให้การเผาไหม้ได้สมบูรณ์แต่การเผาไหม้รุนแรง ด้วยความร้อนสูง จึงเกิดออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งเป็นสารมลพิษ จึงเกิด EGRขึ้นมาโดยเอาไอเสียส่วนหนึ่งน้อยๆที่มีการควบคุมตามความจำเป็น ไม่ใช่ทั้งหมดของไอเสียกลับเข้าไปเผาไหม้ใหม่ อย่างที่หลายๆคนคิดและเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อไอเสียส่วนน้อยๆเข้าไปในท่อไอดี เพื่อทำให้อากาศในท่อไอดีออกซิเจนต่ำลง การเผาไหม้จึงลดความรุนแรงลง จึงทำให้ลดหรือหมดไปของออกไซด์ของไนโตรเจน รถใหม่ป้ายแดงใช้งานไปในระยะแรกผู้ที่ใช้รถจะไม่รู้สึกว่ามี EGR เพราะระบบยังทำงานเป็นปกติ แต่เมื่อใช้งานไปสักพักได้ยินคำบอกเล่าว่าอุดEGR แล้วจะทำให้รถวิ่งดีขึ้น ควันไม่ดำ แน่นอนเรื่องควันดำ ถ้าEGRเกิดการขัดข้อง ปล่อยให้ไอเสียกลับเข้าในท่อไอดีมากขึ้น
คำถามที่เจอกันบ่อยครั้ง มีอยู่ว่าการอุด EGR จะมีผลเสียกับเครื่องหรือไม่ คำตอบเกือบทั้งหมดจะตอบว่า อุดได้ไม่มีปัญหาเพราะจะได้ไม่ต้องเอา ไอเสียกลับไปเผาไหม้ใหม่มีบางคนถึงกับแนะนำต่อว่า อุด EGR แล้วไม่ทะลวงแคท(แคทาลิติกคอนเวอร์ทเตอร์) เดี๋ยวแคทก็จะตัน เพราะเขม่าไอเสียจะมากขึ้น ระบบ EGR และ แคทาลิติกคอนเวอร์ทเตอร์เป็นอันว่าหมดไปคือไม่มี ระบบ EGRและแคทาลิติกคอนเวอร์ทเตอร์ไม่มีส่วนที่จะเพิ่มสมรรถนะแต่อย่างใด ความจริงทั้ง EGR และ แคทาติกคอนเวอร์ทเตอร์ เป็นมาตรฐานระดับโลกที่บังคับให้ต้องมี ความสำคัญและมีหน้าที่ๆถูกต้องเป็นอย่างไร
แต่ก่อนจะคุยถึงเรื่อง EGR และ แคทาลิติกคอนเวอร์ทเตอร์ นี้จะย้อนรอยถอยหลังไป50ปี เครื่องยนต์ในสมัยนั้น ก็เหมือนกับเครื่องยนต์ในสมัยนี้ คือ สันดาปภายใน แต่ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ระบบไฟแรงสูงเปลี่ยนไป เครื่องยนต์ในสมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้วมา การจ่ายเชื้อเพลิงเป็นแบบคาร์บูเรเตอร์ ช่องเดียว คือมีช่องทางให้อากาศ และเชื้อเพลิงเข้าเพียงช่องเดียว ไฟแรงสูงคือไฟที่จะไปออกหัวเทียนเพื่อจุดระเบิด ที่มาจาก คอยล์ ทำไฟแรงต่ำ 12 โวลท์ มีทองขาวเป็นตัวทำให้คอยล์เกิดไฟแรงสูง 25,000 โวลท์ การปรับตั้งเครื่อง ก็รู้กันแต่เพียงว่าให้เครื่องยนต์ เดินในรอบเดินเบาเดินเรียบในรอบที่ต่ำมาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารอบเดินเบานั้นกี่รอบ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีวัดรอบ แต่จะดูกันที่ใบพัดลม ช่างผู้ใหญ่จะอำช่างเด็กๆว่าไอ้หนูตั้งให้นับใบพัดได้เลยนะ ใบพัดเป็นใบพัดเหล็กมี 4 ใบ แอร์ไม่มี เพาเวอร์ไม่มี ไฟชาร์ทเป็นได AC คือกระแสไฟตรง จะทำไฟเมื่อรอบสูง ในรอบต่ำจึงเป็นการทำงานของเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว ไม่มีอุปกรณ์ใดมาเป็นภาระของเครื่องยนต์ จึงทำให้กำลังของเครื่องยนต์ รอบเดินเบาจึงต่ำมากได้
นอกจากจะดูรอบเครื่องที่เดินเบาแล้ว จะต้องเดินไปที่ท้ายรถดมกลิ่นไอเสียโดยเอามือไปรับไอเสียมาดม ถ้าส่วนผสมไม่ถูกต้องเชื้อเพลิงมากไปเผาไหม้ไม่หมด จะมีกลิ่นน้ำมัน มีอาการแสบจมูกแสบตา ก็ต้องไปตั้งอากาศตั้งจังหวะจุดระเบิดใหม่ จนกว่าจะหาย ถ้าเชื้อเพลิงน้อยไป ไอเสียจะออกมาร้อนแต่ไม่มีกลิ่น การปรับตั้งทำได้แต่ในรอบเดินเบา แล้วรอบสูงเผาไหม้หมดหรือไม่เราไม่รู้ การเผาหมดหรือไม่หมดไม่รู้ แต่ถ้ามีอาการควันดำ ก็ต้องถอดหัวเทียนออกมาดู ถ้าสีของหัวเทียนดำแสดงว่าน้ำมันมากไป แต่ถ้าวิ่งความเร็วสูง มีอาการสะดุดถอดหัวเทียนออกมาดู สีของหัวเทียนเป็นสีขาว แสดงว่าน้ำมันน้อยไป การเผาไหม้ไม่หมดก่อให้เกิดมลพิษอะไรเราก็ไม่รู้ แต่มีผู้คนอีกกลุ่มที่รู้ว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มาสมบูรณ์ทำให้เกิดมลพิษ มลภาวะขึ้นในอากาศ จึงมีการพัฒนาการจ่ายเชื้อเพลิง คาร์บูเรเตอร์ ให้มีสองช่องเพื่อให้อากาศเข้าได้มากขึ้น เครื่องยนต์มีแรงมีกำลังมากขึ้นแต่คงจะแก้ปัญหามลพิษที่เครื่องยนต์ทำให้เกิดขึ้นได้ไม่พอจึงมีการพัฒนาระบบจ่ายเชื้อเพลิง ระบบไฟแรงสูง ขึ้นและต่อมา ระบบจ่ายเชื้อเพลิงไม่ใช้คาร์บูเรเตอร์ เป็นตัวจ่ายเชื้อเพลิงเปลี่ยนเป็นหัวฉีดควบคุมด้วย อิเล็คทรอนิค มีกล่อง อีซียู เป็นตัวควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิง ไฟแรงสูงจาก 25,000 โวลท์ เป็น 35,000โวลท์ ทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ คือการเผาไหม้ที่รุนแรง ก็ทำให้เกิด ออกไซด์ของไนโตรเจน
การเผาไหม้ในเครื่องยนต์สมัยเก่าที่ไม่สมบูรณ์จะก่อให้เกิด คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็น แก๊สพิษ ไม่มีสีไม่มีกลิ่น และไม่มีรส เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ เป็นมลพิษที่ปนออกมากับไอเสียของเครื่องยนต์
การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ เกิดจากการที่อากาศและเชื้อเพลิงผสมกันอย่างถูกต้องทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรงอุณหภูมิสูง ทำให้เกิด ออกไซด์ของไนโตรเจน อันเป็นสารมลพิษ เป็นสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
อุปกรณ์ในรถหลายๆอย่างเมื่อเกิดการขัดข้องยังมีการแก้ไข แล้วทำไมเมื่อระบบ EGRเกิดการขัดข้องทำไมไม่แก้ไข ทั้งๆที่เป็นความจำเป็นที่ต้องมีข้อสำคัญในเครื่องยนต์ ดีเซล ระบบคอมมอนเรล ที่ไอเสียส่วนเล็กๆที่กลับเข้าไปในท่อไอดี จะมีเขม่าเข้าไปเกาะภายในท่อไอดี แต่ส่วนที่สำคัญตรงจุดที่ท่อไอดีเชื่อมต่อกับฝาสูบ ที่เป็นส่วนที่ทางเดินของไอดีที่เล็กก็จะเล็กลงไปอีก มีผลทำให้กำลังเครื่องยนต์ตก ควันดำ ตรงจุดนี้ไม่เคยมีคนคิด ถ้าเครื่องยนต์วิ่งมาได้สัก 150,000 กม จะถอดท่อไอดีออกมาขูดเขม่าออก ก็น่าจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เป็นปกติ กำลังของเครื่องยนต์จะดีขึ้น ควันดำก็จะหายหรือน้อยลง ความประหยัดเชื้อเพลิงมีมากขึ้น ทั้งหมดพอจะเป็นแนวทางให้ท่านที่ใช้รถได้คิด และป้องกันความเสียหายจากความไม่รู้ได้
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
INTERCOOLER คืออะไรทำไมรถซิ่งต้องมี
กลับมาพบกันอีกเช่นเคยครับกับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องรถ สำหรับในคอลัมน์นี้เอาใจผู้ที่ชื่นชอบในการแต่งรถกันซะหน่อย กับเรื่องราวของระบบระบายความร้อนของอากาศ หรือที่เราเรียกติดปากกันว่าชุดอินเตอร์คูลเลอร์นั่นเองครับ ซึ่งไอ้เจ้าอินเตอร์คูลเลอร์เนี่ย มันก็มีอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบหลากหลายขนาด จะเลือกใช้แบบไหนถึงจะเหมาะกับรถของเรา และของเดิมที่มีอยู่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือไม่ ไปหาคำตอบกันครับ
อินเตอร์คูลเลอร์คือ อุปกรณ์สำหรับช่วยระบายความร้อนของอากาศที่ถูกส่งมาจากเทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งอากาศที่ส่งผ่านมานั้นจะมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง และด้วยหลักการทำงานของเครื่องยนต์มีความร้อนสะสมอยู่ตลอดอยู่แล้วเพราะฉะนั้นอากาศที่จะถูกส่งผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้จึงควรที่จะมีอุณหภูมิที่ไม่สูงมากนัก เพื่อที่จะทำให้การเผาไหม้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด อินเตอร์คูลเลอร์จึงมีหน้าที่เข้ามาช่วยลดอุณหภูมิของอากาศก่อนที่จะส่งเข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ เรียกได้ว่าเมื่ออากาศวิ่งผ่านอินเตอร์คูลเลอร์แล้วจะมีอุณหภูมิลดลงทันที
อินเตอร์คูลเลอร์ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ดี จริงๆแล้วจะเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญเท่าความเหมาะสมในการใช้งาน สรุปกันแบบง่ายๆว่า ถ้าเป็นรถที่ไม่ได้ใช้ในการแข่งขันก็ไม่ควรเปลี่ยนอินเตอร์คูลเลอร์ให้มีขนาดใหญ่หรือหนาเกินความจำเป็น ขนาดความหนาที่เหมาะสมก็ไม่ควรจะเกิน 3นิ้ว ซึ่งถ้าเปลี่ยนอินเตอร์ฯให้มีขนาดที่ใหญ่หรือหนาเกินไป แต่ระบบอัดอากาศมีขนาดเล็ก อาจจะส่งผลให้รถวิ่งด้อยลงกว่าเดิมก็ได้ เนื่องจากความหนาแน่นของอากาศไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการใช้งานและสเป็คของเทอร์โบ
ตำแหน่งของอินเตอร์คูลเลอร์ควรอยู่ตรงไหนดี จริงๆแล้วโดยส่วนมากก็จะอยู่ที่ด้านหน้า ในตำแหน่งหลังกันชนหน้า หรือในรถบางรุ่นก็จะอยู่ที่ด้านบนของตัวเครื่อง ซึ่งสองแบบนี้ก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน สำหรับการติดตั้งที่ด้านหน้านั้น ก็จะมีส่วนดีในเรื่องของการระบายความร้อน เนื่องจากจะได้รับแรงปะทะโดยตรงจากลมทางด้านหน้า ก็จะช่วยให้อุณหภูมิไม่สูงมาก แต่ข้อเสียคือ การเดินทางของอากาศจะมีระยะทางที่ไกล ในรถบางรุ่นอาจจะมีอาการรอรอบก็เป็นได้ ส่วนอินเตอร์คูลเลอร์ที่ติดตั้งด้านบนเครื่องยนต์นั้นก็จะดีตรงที่การเดินทางของอากาศใช้ระยะทางน้อย ช่วยให้มีอัตราเร่งที่ดี ติดบูสท์เร็ว ไม่ต้องรอรอบ แต่เรื่องของการระบายความร้อนคงไม่สมบูรณ์เท่าการติดที่ด้านหน้า ถึงแม้จะมีสคู๊ฟดักลมเข้ามาช่วยi
การดูแลรักษา ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับ เพียงแค่เราหมั่นคอยดูไม่ให้มีอะไรเข้าไปติดหรืออุดตัดที่ตัวอินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งถ้ามีฝุ่นผงหรือเศษขยะต่างๆเข้าไปอุดตัดก็จะทำให้การระบายอากาศไม่มีประสิทธิภาพ การดูแลรักษาก็แค่หมั่นเอาน้ำฉีดเข้าไปที่ตัวอินเตอร์คูลเลอร์ หรือใช้น้ำยาฉีดอัดเข้าไป เพื่อให้ไปทำละลายคราบฝุ่นผงหรือไขมันที่ติดอยู่ด้านใน เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้อินเตอร์คูลเลอร์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์และที่สำคัญ ดูสวยงามเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ก็ไม่มีอะไรมากครับสำหรับเรื่องราวของอินเตอร์คูลเลอร์ เพียงแค่เราเลือกใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานและดูแลรักษาให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถใช้รถได้อย่างมีความสุขแล้วครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
เมื่อมีรถฉุกเฉินต้องการผ่าน ควรปฏิบัติอย่างไร
หลายครั้งที่เมื่อขับขี่รถบนท้องถนนก็จะมีเหตุฉุกเฉินที่ที่จะมีรถพยาบาล รถฉุกเฉินหรือรถดับเพลิงผ่านบางคนอาจจะตกใจจนไม่มีสติ ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันถึงแนวทางการปฏิบัติเมื่อมีรถฉุกเฉินผ่าน
1.เมื่อเห็นสัญญาณไฟหรือได้ยินสียงไซเรน มักจะตกใจหรือปฏิบัติไม่ถูกต้อง สิ่งแรกเลยคือพยายามมีสติก่อนเป็นอันดับแรก
2.พยายามมองกระจกหลังเพื่อกะระยะห่างของรถพยาบาล
3.มองรถทางซ้ายและทางขวา เมื่อพบว่าทางไม่มีอันตรายและโล่งให้ขับหลบทางด้านซ้าย
4.ในกรณีที่มีรถแน่นหนาจนไม่สามารถหลบเพื่อให้ทางได้ให้หยุดชะลอรถ แล้วพิจารณาว่าควรหลบด้านซ้ายหรือขวา และเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อให้รถพยาบาลทราบและหาทางวิ่งผ่านรถของท่านไปให้ได้
5.เมื่อรถฉุกเฉินวิ่งผ่านไปแล้ว อย่าขับตามไปทันที ควรเว้นระยะสักครู่
เพียง 5 ขั้นตอนก็สามารถทำให้เหตุการณ์ฉุกเฉินนี้ผ่านไปได้ด้วยดี และสามารถนำผู้ป่วยหรือได้ไปปฏิบัติการได้ทันท่วงที และเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดี่อสังคมในการขับขี่รถบนท้องถนนด้วย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
กฎหมายเบื้องต้น ที่ผู้ขับขี่ทั่วไปควรรู้เกี่ยวกับการจอดรถ
ในทุกวันนี้การใช้รถใช้ถนนนั้นมีมากมายและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีกฎหมายออกมาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยของการใช้รถใช้ถนนของทุกคน และในวันนี้เราจะมาเรียนรู้ข้อกฎหมายเบื้องต้นเพื่อความปลอดภัยและสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมกัน
โดยส่วนใหญ่ที่พบเจอได้ทั่วไปสำหรับที่ห้ามจอด มีดังนี้
1.จอดรถขวางทางเข้าออกหน้าบ้าน
นี่เป็นเรื่องหลักๆที่พบเห็นกันได้บ่อยมากในกรณีนี้ ถือเป็นจิตสำนึกพื้นฐานสำหรับการใช้รถใช้ถนนเบื้องต้น ไม่ว่ากรณีใดๆถือว่ามีความผิด ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มีความผิดทางกฎหมาย ดังนี้
-ความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 397 โทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
-ผู้ที่ใดรับความเดือดร้อนจากการกระทำดังกล่าวสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้
2.จอดขวางทางจราจรหรือเกินพื้นที่บนถนน
ในกรณีนี้ไม่ว่าการจอดแบบใดก็ตามเช่น จอดชิดซ้ายตามกำแพง จอดบนท้องถนน หรือจอดในที่ห้ามจอด เป็นต้น ที่ทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นไม่สะดวกในการสัญจรไปมา สามารถแจ้งความกับตำรวจจราจรได้เพื่อเอาผิดกับเจ้าของรถ เพราะการจอดลักษณะนี้ผิดกฎหมายการจราจรทางบกเต็มๆ ทั้งทางแพ่งและอาญา
3.จอดในที่ห้ามจอด
ในกรณีนี้ เห็นป้ายได้ชัดเจนเพราะป้ายนี้ได้มีการติดไว้อย่างชัดเจนไว้ทุกที่ที่มีการบังคับห้ามจอด ถ้ายังมีการจอดอีก ในกรณีนี้ก็สามารถแจ้งตำรวจจราจรให้เอาผิดได้ทันที เพราะกรณีผิดชัดเจนมาก มีความผิดในมาตรา 55 ในข้อที่ 5 และมาตรา 57 ข้อ 5 มีโทษปรับ 500 บาท
4.จอดในช่องจอดรถคนพิการ
ในกรณีนี้ก็พบเห็นได้บ่อยเหมือนกัน ที่จอดรถสำหรับคนพิการที่อาจจะอำนวยความสะดวกในการขึ้นลงของผู้พิการ แต่ถ้ามีการจอดทั้งๆที่ไม่มีผู้พิการในรถ กรณีนี้ถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบกันอย่างมาก
5.จอดขวางบริเวณหน้าโรงพยาบาลหรือสถานีดับเพลิง
กรณีนี้อาจจะไม่พบเห็นได้บ่อยนัก แต่ก็ยังมีสำหรับผู้ที่จอดแบบนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายได้อย่างใหญ่หลวง เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินเช่น มีการรับส่งผู้ป่วยหรือเกิดเหตุเพลิงไหม้ อาจจะทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที
6.จอดซ้อนคัน
กรณีนี้พบเห็นได้บ่อยเมื่อไปห้างสรรพสินค้าหรือสถานที่ที่มีคนใช้บริการเยอะ การจอดซ้อนคันแบบนี้เกิดความมักง่ายที่ทำให้สะดวกในส่วนตัวเอง แต่จะเดือดร้อนคนอื่นที่จะเข้าออกในช่องทางนั้นและผิดตามมาตรา 57 ข้อ 9ด้วย ผู้ที่จอดกรณีแบบนี้แนะนำให้หาที่จอดที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ถึงจะเดินไกลสักหน่อย แต่จะไม่มีใครด่าแน่นอน
7.จอดบริเวณทางโค้ง ทางเลี้ยวหรือบนทางเท้า
กรณีนี้ก็พบเห็นได้บ่อยเช่นกัน การจอดในกรณีนี้จะอันตรายมากๆ เมื่อมีรถมาในทางปกติของคันนั้นๆ แล้วมีการจอดในจุดหรือมุมที่อับทัศนวิสัยการมองเห็นอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ มีความผิดตามมาตรา 57 อีกด้วยและในกรณีที่ร้ายแรงมากกว่านั้นคือมีการนำรถไปจอดบนทางเท้าด้วย กรณีจอดบนทางเท้าสามารถแจ้งตำรวจจราจรให้ดำเนินการตามกฎหมายได้เลย เพราะเป็นการขวางทางในสัญจรไปของคนที่จะใช้ทางเท้านั้น
จากที่ยกตัวอย่างมาเป็นกรณีที่พบเห็นกันได้บ่อยมาก การกระทำผิดต่างๆที่ได้กล่าวมาเบื้องต้นนั้นทำให้ผู้ที่ใช้เส้นทางเดียวกันเดือดร้อนและอาจจะเกิดการมีปากเสียง เรื่องทะเลาะวิวาทได้ หรืออาจจะร้ายแรงจนถึงขึ้นเกิดเหตุที่อาจจะถึงแก่ชีวิตได้ ขอให้ทุกท่านที่ใช้รถใช้ถนนนึกถึงในข้อนี้ด้วยเพื่อความปลอดภัย เป็นระเบียบเรียบร้อยและสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
แบตเตอรี่ สิ่งที่ควรดูแลที่หลายคนมองข้าม
สิ่งที่ควบคุมระบบไฟต่างๆในรถถือได้ว่าสำคัญอย่างยิ่ง หลายท่านอาจคิดว่าแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ควรจะเปลี่ยนเมื่อไรหลายท่านอาจจะไม่ทราบ เรามาติดตามกันในคอลัมน์นี้พร้อมทั้งวิธีการดูแลรักษา
แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์หลักสำคัญของระบบไฟของรถจักรยานยนต์ เพื่อทำหน้าที่เก็บสะสมพลังงานไปเลี้ยงระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งวิธีการดูแลรักษาที่ไม่ยากดังนี้
1.หมั่นสังเกตที่ขั้วสายว่ามีคราบตะกรัน หรือเกิดอาการหลุดหลวมหรือไม่ ถ้าตรวจสอบแล้วมีคราบตะกรัน เอาเตรียมน้ำอุ่นแล้วนำแปรงจุ่มน้ำอุ่นมาขัดทำให้คราบตะกรันหายได้
2.หมั่นตรวจสอบระดับน้ำในระดับที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป แต่เมื่อรู้ว่ามีระดับที่ต่ำมากควรรีบเติมก่อนที่แบตเตอรีหมดก่อนและเสื่อมสภาพก่อนเวลาที่ควรจะเป็นควรเช็คอยู่ตลอด
3.นอกจากนี้ต้องดูระบบไฟต่างๆที่แบตเตอรี่ได้จ่ายไฟออกไปว่าติดมากน้อยแค่ไหน ตรงไหนสัญญาณไฟดับบ้าง การตรวจเช็คเพื่อความปลอดภัยของท่านเองและของผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนง่ายๆที่ท่านสามารถทำเองได้ ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้ไปอีกยาวนานแต่อย่าลืมตรวจเช็คการบวมหรืออาการผิดปกติของแบตเตอรี่ด้วย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
TURBO TIMER เท่อย่างเดียวหรือมีประโยชน์ด้วย..?
หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการติดตั้งเทอร์โบไทม์เมอร์สักเท่าไหร่นัก ซึ่งบางคนคิดว่าเพียงแค่หน่วงเวลาดับเครื่องยนต์ก็ไม่เห็นจะมีอะไร แต่ที่สำคัญมันดูเท่ดี พอเราลงจากรถล็อครถเสร็จแล้วเดินออกไป แล้วรถก็ดับลงเองตามเวลาที่เราได้ตั้งไว้ ในความเป็นจริงแล้วสำหรับรถที่มีระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบถือว่ามีความสำคัญประมาณหนึ่งเลยแหละครับ จะเป็นอย่างไรนั้นในคอลัมน์นี้มีคำตอบครับ
การวอร์มดาวน์ (Warm Down) ก็คือ การปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานในรอบเดินเบา โดยปราศจากภาระหรือโหลดต่างๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะทำการดับเครื่องยนต์ครับ ซึ่งในเครื่องยนต์ ทั้งเบนซินและดีเซล จะมี ระบบเทอร์โบชาร์จ ซึ่งเจ้าเทอร์โบชาร์จนี้ มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้อัดอากาศให้มีความดันเข้าห้องเผาไหม้ โดยอาศัยหลักการแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ของกังหันไอดีของเทอร์โบ โดยรับแรงขับมาจากกังหันไอเสียซึ้งมีแกนขับต่อถึงกัน ตั้งแต่เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ จนกระทั่งดับเครื่อง เจ้ากังหันเทอร์โบตัวนี้จะทำงานตลอด ด้วยแรงดันของไอเสียที่คายออกมาขับ และเมื่อรอบสูงขึ้น กังหันก็จะยิ่งหมุนเร็วขึ้น แล้วแต่ว่าเจ้าเทอร์โบตัวนั้นจะถูกออกแบบให้กังหันสามารถปั่นไอดี เจ้าแกนเทอร์โบที่ต่อระหว่างกังหันทั้งสองฝั่งนี้จะหมุนได้เป็นหมื่นๆถึงแสนรอบ/นาที ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเกิดความร้อนสะสมเมื่อเราใช้รอบเครื่องเป็นเวลานานๆ อย่างเวลาที่เราวิ่งทางไกล เร่งแซง หรือเครื่องยนต์ใช้รอบรับโหลด เทอร์โบปั่นบูสท์เป็นเวลานานๆ ยิ่งเทอร์โบที่ทำบูสท์สูงมาก ก็ยิ่งหมุนเร็ว และมีความร้อนมาก จึงต้องมีการออกแบบระบบระบายความร้อนของเจ้าแกนเทอร์โบนี้ด้วย ซึ่งก็มีทั้งแบบ ที่ใช้น้ำหล่อเย็นซึ่งไหลเวียนในเครื่องยนต์อยู่แล้ว ต่อท่อมาไหลผ่านหล่อเลี้ยงแกนเทอร์บ ซึ่งน้ำหล่อเย็นที่ไหลเวียนอยู่ในระบบของเครื่องยนต์มันมีการหมุนเวียนได้โดยการขับของปั๊มน้ำ อีกแบบหนึ่งก็คือใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ไหลเวียนในระบบมาหล่อเลี้ยงแกนเทอร์โบ ซึ่งน้ำมันเครื่องนี้ก็มีการหมุนเวียนได้เพราะมีการขับจากปั๊มน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์เหมือนกัน ก็แล้วแต่การออกแบบของผู้ผลิตเทอร์โบแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นครับหรือเทอร์โบบางรุ่นก็มีการหล่อเลี้ยงแกนทั้งสองระบบก็มีครับ….
เมื่อเราดับเครื่องยนต์ ปั๊มน้ำ หรือปั๊มน้ำมันเครื่องก็จะหยุดทำงาน ทำให้ไม่มีน้ำ หรือน้ำมันไปหล่อเลี้ยงที่แกนของเทอร์โบ ซึ่งถ้าเป็นในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานมาอย่างหนัก เช่นเราวิ่งทางไกล ขึ้นเขา ลากจูง ใช้โหลด ใช้รอบในการเร่งแซงมากๆ ในรอบเครื่องยนต์ที่สูงๆเป็นเวลานานๆ เมื่อเราจอดรถแล้วเราดับเครื่องยนต์ทันที เจ้าปั๊มน้ำมันเครื่อง หรือปั๊มน้ำมันก็จะหยุดทำงาน ทำให้การไหลเวียนในระบบหยุดลง ทีนี้ ในเมื่อเจ้าแกนเทอร์โบ ทำงานมาอย่างหนัก หมุนด้วยรอบสูง เกิดความร้อนสะสม เมื่อไม่มีน้ำหรือน้ำมันไปหล่อเลี้ยงแกนเทอร์โบมันก็จะสึกหรอไปไวกว่าปกติ ถ้าสังเกตเวลาขับรถออกต่างจังหวัด เราจะเห็นว่าตามปั๊มน้ำมัน เวลาที่มีรถบรรทุกใหญ่ๆ รถบัส หรือแม้กระทั่งรถตู้ รถกระบะ ที่เขาไม่ค่อยจะดับเครื่องยนต์กัน เมื่อเพิ่งเข้ามาจอดใหม่ๆ ทั้งนี้ เพราะว่า เขากำลังทำการ Warm Down เครื่องยนต์ เพื่อให้น้ำ หรือน้ำมันเครื่องไหลไประบายความร้อนของแกนเทอร์โบ เป็นระยะเวลาสั้นๆก่อนที่จะดับเครื่องหากต้องดับเครื่องยนต์ครับ เพื่อถนอมอายุการใช้งานของเทอร์โบนั่นเอง
ส่วนเวลาในการ Warm Down นั้นก็ตามความเหมาะสม ซัดมาโหดมาก วิ่งมายาวๆ ก็นานหน่อย ถ้าไม่มากก็พอประมาณ โดยทั่วไปสำหรับผมก็คือ 3-5 นาทีครับ หรือถ้าแค่ขับรถเข้ามาเติมน้ำมัน ซึ่งในต่างจังหวัดเราวิ่งเป็นระยะทางไกลๆมาก็ไม่ควรดับเครื่องยนต์ครับ เพราะแกนเทอร์โบ มันยังร้อนอยู่…. ถ้าดับเลย พังไวแน่นอนครับดังนั้นในเจ้าโก้เราก็เหมือนกันครับ ควรจะทำการ Warm Down เมื่อมีการใช้งานวิ่งไกลๆ รอบสูงๆเป็นประจำ ยิ่งถ้าใครโมฯมาเต็มๆด้วยแล้ว เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
Turbo Timer จึงมีหน้าที่ขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป ซึ่งระบบนี้ก็มีทั้งแบบใช้ระบบรีเลย์ไฟฟ้า ตัด-ต่อ การทำงานของสวิตซ์กุญแจ หรือ กระทั่งแบบที่ใช้อิเลคโทรนิคส์ควบคุม มีระบบ Auto ในการตรวจจับสภาวะการใช้งานของรถก่อนหน้า โดยเอาข้อมูลมาจาก ECU กันเลยก็มีครับ อย่างที่นิยมใช้กันในรถยนต์ปัจจุบัน รถยนต์หรูๆ บางยี่ห้อ ก็มีมาให้จากโรงงานเป็นอุปกรณ์ติดรถมาเลยก็มีครับ
เป็นยังไงกันมั่งละครับสำหรับเจ้า Turbo Timer ไม่ได้มีไว้เพื่อความเท่อย่างเดียวแต่มันช่วยรักษาแกนเทอร์โบให้อยู่กับเราไปได้นานแสนนานกันเลยทีเดียวครับ ในคอลัมน์หน้าจะมีเรื่องราวดีๆและมีประโยชน์แบบไหนนั้นต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
TURBO แปรผันทำงานยังไง…ไปดูกัน…!!
ยุคสมัยเปลี่ยนไปอะไรๆก็ต้องปรับเปลี่ยนตามกันไปด้วย กลับมาพบกันอีกเช่นเคยครับกับคอลัมน์เกร็ดความรู้คู่รถคุณ สำหรับในคอลัมน์นี้ครับเราจะพาไปทำความรู้จักกับระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบนั่นเองครับ แต่เป็นเทอร์โบแบบแปรผัน ซึ่งหลายคนคงมีคำถามอยู่ในใจมานานแสนนานว่าไอ้เจ้าเทอร์โบแปรผันเนี่ยมันคืออะไร และมันทำงานยังไง ทำไมถึงเรียกว่าเทอร์โบแปรผัน ก็อย่างว่าแหละครับรถยนต์สมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะต่างก็มีเทอร์โบติดรถมากันแทบจะทุกรุ่นอยู่แล้ว เมื่อใช้งานมันอยู่ทุกวันก็ควรจะรู้จักมันไว้ซ้ะหน่อยว่ามันเป็นยังไง เข้าไปติดตามพร้อมๆกันเลยครับ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนครับว่าแต่ละค่ายให้คำจำกัดความของเทอร์โบแปรผันว่าอะไรกันบ้าง ISUZU จะเรียกว่า VGS TURBO,TOYOTA จะเรียกว่า VN TURBO,MITSUBISHI จะเรียกว่า VG TURBO,MAZDA จะเรียกว่า VGT TURBO เรียกว่าแต่ละค่ายก็ให้คำจำกัดความที่แตกต่างกันออกไป แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ความหมายเดียวกันแหละครับ TURBO ก็เสมือนแค่ตัวอัดลมแบบธรรมดา โดยส่วนของ TURBO นั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนใบพัดไอดี และ ใบพัดไอเสียจะเชื่อมติดในแกนเดียวกัน โดยท่อไอเสียที่ถูกขับออกจากห้องเผาไหม้ แทนที่จะถูกปล่อยออกทางท่อไอเสียโดยตรง ก็จะถูกนำไปขับผ่านใบพัดไอเสียให้หมุน ใบพัดไอเสียนี้จะเชื่อมติดกับเพลาซึ่งมีใบพัดไอดีอยู่ อีกข้างหนึ่ง เมื่อใบพัดไอเสียหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆก็จะยังผลให้ใบพัดไอดีหมุนตามเร็วขึ้นเท่านั้น การหมุนของใบพัดไอดีจะดูดอากาศผ่านไส้กรองอากาศและอัดอากาศให้หนาแน่นขึ้น ก่อนอัดเข้าห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ในเครื่องยนต์เบนซินอากาศที่ถูกอัดจาก TURBO ก่อนเข้าเครื่องยนต์ จึงจำเป็นต้องทำให้อากาศเย็นตัวลงก่อน เพื่อป้องกันการจุดระเบิดก่อนเข้าห้องเผาไหม้ ดังนั้น INTERCOOLER จึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในเครื่องยนต์ โดย Intercooler จะมีลักษณะเหมือนรังผึ้งหม้อน้ำ แต่ใช้อากาศภายนอกเป็นตัวช่วยถ่ายเทความร้อนของอากาศ ภายในหลอดที่ออกจาก TURBO
มาดูเรื่องของความแตกต่างระหว่าง ระบบ TURBO แปรผัน ของเครื่องยนต์เบนซิน และ เครื่องยนต์ดีเซล
ซึ่งในส่วนของ TURBO แปรผันของเครื่องยนต์ดีเซล จะมีทั้งระบบ TURBO และ TURBO INTERCOOLER เนื่องจากชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ดีเซลมีความทนทานและแข็งแรงกว่าเครื่องยนต์เบนซิน และการทำงานของระบบเครื่องยนต์ดีเซลก็ใช้ระบบการเผาไหม้ด้วยช่วงของจังหวะ ซึ่งทำให้การอัดของลูกสูบ ซึ่งต่างจากการใช้ระบบหัวเทียนเป็นตัวจุดระเบิดในเครื่องยนต์เบนซิน ดังนั้นเครื่องยนต์ดีเซลจึงไม่จำเป็นต้องใช้ INTERCOOLER เว้นแต่ผู้ผลิตต้องการให้เครื่องยนต์มีกำลังเพิ่มขึ้นและแรงบิดเครื่องยนต์มากกว่าเดิม ก็สามารถติดตั้งระบบ INTERCOOLER เข้าไปเพิ่ม ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องเพิ่มฺ BOOTS แรงอัดมากขึ้นพร้อมกับการทดการใช้เชื้อเพลิงให้มากขึ้น ก็จะตั้งระบบการจุดระเบิดที่รุนแรงมากขึ้น เป็นการเพิ่มแรงม้าและแรงบิด ทั้งนี้ชิ้นส่วนภายในจะต้องมีความแข็งมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ผู้ผลิตเครื่องยนต์ก็จะต้องลดกำลังอัดของลูกสูบ ตามไปด้วย เมื่อมีการเพิ่มกำลังอัดจาก TURBO เข้าเครื่องยนต์ ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตเครื่องยนต์จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก ทั้งแบบ TURBO ธรรมดาและ TURBO INTERCOOLERเทอร์โบแปรผัน เป็น เทอร์โบ ที่พัฒนามาจาก เทอร์โบ ธรรมดา แต่ต่างกันตรงที่ด้านโข่งไอเสียจะมีครีบที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อเป็นการควบคุมขนาดของโข่งไอเสีย ทำให้ความเร็วของไอเสียที่จะปั่นใบพัดเทอร์โบ เหมาะสมกับเครื่องยนต์ทุกๆรอบ เพราะขนาดของโข่งไอเสียจะเป็นตัวทำให้ เทอร์โบ บูสท์มาไวหรือช้า ซึ่งแต่ก่อนโข่งไอเสียจะถูกจำกัดปริมาตรคงที่ ถ้าโข่งไอเสียเล็กก็จะทำให้เทอร์โบสามารถสร้างแรงดันได้ไว แต่พอรอบเครื่องสูงๆ จะระบายไอเสียได้ไม่ดี ทำให้กำลังเครื่องยนต์ตก ส่วนโข่งไอเสียขนาดใหญ่ ที่รอบสูงจะระบายไอเสียได้ดี แต่ที่รอบเครื่องต่ำๆ กลับสร้างแรงดันได้ช้าเพราะความเร็วของไอเสียต่ำ จากตรงนี้จึงเป็นที่มาของ เทอร์โบแปรผัน ซึ่งก็เหมือนกับมีโข่งไอเสียเล็ก-ใหญ่ในตัวเดียวกันเทอร์โบแปรผัน มีชื่อเรียกต่างๆ ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับบริษัทที่ผลิต โดยอุปกรณ์ที่ควบคุมครีบแปรผันจะมีทั้งแบบมอเตอร์ไฟฟ้า และแบบใช้สูญญากาศควบคุม
ข้อดีของ เทอร์โบแปรผัน
– ลดอาการรอรอบ ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิด และแรงม้าสูงตั้งแต่รอบต่ำ
– การสร้างแรงบิดได้ตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น
– ลดมลพิษ ไม่มีไอเสียที่เหลือปล่อยทิ้ง ทำให้ฝุ่นละอองลดลงข้อเสียของ เทอร์โบแปรผัน
– ราคาสูงกว่า เทอร์โบธรรมดาทั่วๆไปเพราะใช้อุปกรณ์มากกว่า
– การดูแลรักษายากกว่า เพราะมีชิ้นส่วนเพิ่มขึ้นอาการของเทอร์โบมีปัญหาและระยะเวลาที่ควรซ่อม
เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง ใบพัดเทอร์โบเสีย แกนเทอร์โบหลวม มีน้ำมันรั่วออกมาจาก เทอร์โบ แรงดันเทอร์โบ ผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้ เทอร์โบ อัดอากาศเข้าเครื่องยนต์ได้น้อย ทำให้เกิดควันดำ กินน้ำมันมากผิดปกติ หรือรถที่ใช้งานมากกว่า 300,000 กม.หรือ4,000 ชั่วโมงควรมีการเปลี่ยนชุดซ่อมและบาลานซ์แกนใหม่เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของเทอร์โบแปรผัน เข้าใจกันแล้วใช่ไหมครับว่าการทำงานของเทอร์โบชนิดนี้มันมีความแตกต่างยังไงกับเทอร์โบธรรมดา คอลัมน์ต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรนั้นต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ สวัสดีครับ..
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
เลือกประเภทรถอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน
เนื้อหาในคอลัมน์วันนี้จะพูดประเด็นต่อเนื่องมาจากจำนวนลูกสูบของรถมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านมา โดยจำนวนลูกสูบนั้นมีผลต่อจำนวนซีซีที่มีมากน้อยด้วย ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่ารถจำนวนสูบเท่านี้ จำนวนซีซีเท่านี้ จะมีการใช้งานที่เหมาะกับรูปแบบไหนบ้างบนท้องถนน ติดตามกันได้ในคอลัมน์นี้ขับขี่ในเมืองหรือในชีวิตประจำวัน
ที่มีระยะทางที่ไม่ไกลมากเช่น เดินทางไปทำงาน เดินทางไปตลาด เป็นต้น การใช้งานรูปแบบนี้เหมาะกับรถรูปแบบ 1 สูบหรือตั้งแต่ 100 – 150 ซีซีโดยประมาณ หรือจะขยับมาอีกหน่อยเป็น 2 สูบที่มี 250 ซีซี ขึ้นไปแต่อัตรากินน้ำมันจะมากกว่าตามไปด้วย
ขับขี่นอกเมืองที่อาจจะมีการขึ้นเนินลงเขา
ลักษณะเส้นทางในแบบนี้จะเหมาะกับรถที่มีอัตราเร่งช่วงต้นและช่วงกลางที่ค่อนข้างดีเช่นรถรูปแบบ 2 สูบหรือตั้งแต่ 250 ซีซี เพราะมีกำลังเครื่องและอัตราเร่งที่ดีเมื่อเจอกับทางชันและสามารถเดินทางไกลได้พอสมควร
เน้นความสมดุลในรูปแบบต่างๆ
ในรูปแบบนี้จะมีอัตราเร่งช่วงต้นที่ดีอีกทั้งในช่วงกลางก็ดีด้วย แต่อาจจะไม่เทียบเท่าที่เป็นรถสายเฉพาะทางที่เน้นไปทางอัตราเร่งต้นสูงหรือช่วงปลายสูง ทำให้ขับในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น โดยรูปแบบที่เหมาะคือรถ 3 สูบนั่นเอง
เน้นความเร็วช่วงปลายหรือใช้ในการแข่งขัน
จะเป็นรถที่มีอัตราเร่งช่วงกลางถึงปลายที่ดีและมีอัตราความเร็วที่สูงไม่เหมาะกับการนำมาใช้บนท้องถนนทั่วไป โดยในรูปแบบนี้จะเป็น 4 สูบหรือ 400 ซีซีขึ้นไปนั่นเอง
เน้นการเดินทางไกล หรือขับข้ามประเทศ
จะเป็นรถที่มีอัตราความเร็วสูงสุดที่ขับได้ระยะเวลานาน จึงเหมาะกับรถที่มี 6 สูบที่มีจำนวนซีซีสูงและมีถังเชื้อเพลิงมาก พร้อมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย เช่นเบาะที่นุ่ม มีพนักพิง เป็นต้น
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเกร็ดความรู้เรื่องรถที่เหมาะกับการใช้งานของท่านในหลายๆรูปแบบ ท่านไหนที่ต้องการใช้งานรูปแบบไหนก็เลือกมาครอบครองและใช้งานกันตามที่ต้องการได้เลย เพื่อที่จะได้ตอบสนองตามความต้องการได้อย่างสูงสุดและไม่เป็นการสิ้นเปลืองในการใช้เชื้อเพลิงของรถจนเกินเหตุอันควรอีกด้วย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
GROUND WIRE แค่สวยงามหรือมีประโยชน์
พบกันอีกเช่นเคยครับกับคอลัมน์เกร็ดความรู้คู่รถคุณ สำหรับเรื่องราวในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดกันถึง GROUND WIRE ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมและสนใจเป็นอย่างมาก แต่หลายคนยังคงสงสัยอยู่ว่า มีประโยชน์จริงหรือแค่ติดเพื่อความสวยงาม ใครที่กำลังตัดสินใจอยู่ลองหาข้อมูลในคอลัมน์นี้กันได้เลยครับ
ติดแล้วช่วยอะไรได้บ้าง จากที่ได้สัมภาษณ์ผู้ที่ติดตั้งร้อยละเก้าสิบให้ความคิดเห็นว่า อัตราเร่งดีขึ้น เครื่องยนต์เดินเรียบขึ้น มีแนวโน้มประหยัดน้ำมันมากขึ้นแต่ไม่กินมากไปกว่าเดิมแน่ ( ยกเว้นแต่จะกระทืบคันเร่งมากกว่าเดิม ) สตารท์ง่ายขึ้น เสียงดังของอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ปั้มติ๊ก พัดลมแอร์ เสียงกวนวิทยุลดลง และอีกมากมายมีแต่จะดีขึ้น
ประโยชน์ของ GROUND WIRE และ จุดที่จะติดตั้ง ก่อนที่เราจะติดตั้งคุณต้องรู้ก่อนว่าจะติดตั้งที่ไหนเพราะอะไรจึงจะมีประโยชน์สูงสุด และ สิ้นงบประมาณ น้อยที่สุด
1. แบตเตอร์รี่ ที่ขั้วลบเป็นหัวใจหลักของงานเป็นตัวที่เราจะดึงกระแสไฟฟ้า ไปใช้ในส่วนต่างๆ ของ เครื่องยนต์ และ ในรถยนต์2. ขั้วดินของไดชารจ์ ไดชารจ์เป็นตัวสร้างกระแสไฟไปเก็บสะสมไว้ที่แบตเตอร์รี่ ถ้าไฟชาร์จเข้า แบตเตอร์ร ี่ได้ไวขึ้น ไดชาร์จจะตัดการทำงานเป็นการลดภาระของเครื่องยนต์ มีส่วนให้ประหยัดน้ำมัน ได้มากขึ้น
3. ขั้วกราวน์ของกล่องคอมพิวเตอร์ เป็นศูนย์รวมของกระแสลบที่จะต่อเข้าเซนเซอร์ต่างๆ เช่น กล่องควบคุมเครื่องยนต์
, หัวฉีด , คอยล์ , จานจ่าย ,ปั้มน้ำมัน,เซนเซอร์เครื่องยนต์ ฯลฯ ส่วนใหญ่ ่ทุกเครื่องยนต์จะมีสายรวมกราวน์ที่ออกมา จากกล่องคอมพิวเตอร์ เป็นชุดสายไฟยึดลงกราวน์รวมไว้ที่เครื่องโดยอาศัยโลหะตัวเครื่องเป็นตัวส่งกระแสไฟ แต่ตัวเครื่องยนต์นั้นประกอบด้วยโลหะหลายชนิด รวมกันทำให้เกิดความต้านทาน ดังนั้นการต่อไฟตรงจะทำให้กล่อง และเซ็นเซอร์ต่างๆ ควบคุมทำงาน ได้เต็มที่ เครื่องยนต์เดินราบเรียบขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น4. สายกราวน์รวมของตัวถังรถยนต์ สังเกตุว่าโรงงานจะอาศัยตัวถังรถยนต์ที่เป็นเหล็กเป็นส่วนนำไฟฟ้า แต่เนื่องจาก เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ จะมีความต้านทานมากสูญเสียพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นจึงควรมองหา สายดินรวมของตัวถังรถยนต์ ส่วนใหญ่แล้วมักต้องไล่ดูจากชุดสายไฟ จะทำให้ระบบไฟต่างๆ ในรถยนต์ ทำงานดีขึ้น เช่นไฟหน้าสว่างขึ้น พัดลมไฟฟ้าทำงานแรงขึ้น และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
5. สายดินของเครื่องยนต์ แถวๆไดสตาร์ทจะทำให้รถสตาร์ทติดได้ง่ายขึ้น
6. อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องเสียง เพาเวอร์แอมป์ ที่เพิ่มเข้าไปจะทำให้ทุกอย่าง ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
เปิดตำนาน “เส้นขอบฟ้า” SKYLINE GT-R
ถ้าจะพูดกันถึงรถสปอร์ตจากแดนอาทิตย์อุทัยที่เหล่าบรรดาขาซิ่งในบ้านเราหลายท่านใฝ่ฝันที่จะได้เข้าไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัย นั่นก็คือ NISSAN SKYLINE เป็นรถสายพันธุ์สปอร์ตอีกหนึ่งรุ่นที่มีเส้นสายสวยงามลงตัว รวมไปถึงเรื่องของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนอันมีเสน่ห์ ที่เมื่อได้ยินเสียก็สามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าก๊อตซิล่ามาแล้ว ในคอลัมน์นี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ GT-Rกันแบบทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นกำเนิดจนถึงรุ่นล่าสุดในปัจจุบันกันเลยทีเดียว
Prince Skyline 1957บริษัทรถยนต์ขนาด เล็กของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองชื่อ Prince MotorCompany (ชื่อดั้งเดิมของบริษัทนี้คือ Tachikawa Aircraft Company)ก่อนหน้าที่จะเข้าควบรวมกิจการกับบริษัท Datson และแปลเปลี่ยนชื่อมาเป็นNissan ในภายหลังเป็นผู้ให้กำเนิดต้นตระกูลของรถ Skyline ในปี คศ 1966ซึ่งมันยังคงเป็นรถสี่ประตูระดับบนสุดคันแรกของ Prince Motor Companyในยุค1957นั้นรถยนต์ทั่วๆไปยังคงมีเครื่องยนต์ที่มีกำลังไม่มากนักและวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้แค่ 120กิโลเมตรเป็นส่วนใหญ่ แต่รถ Prince Skylineสามารทำความเร็วได้ถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากต้นตระกูลของ Skyline คันนี้มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กแค่ 1482 c.c.สี่สูบและมีแรงม้าเพียงน้อยนิดแค่ 60 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100กิโลเมตรใช้เวลาไปถึง 15.0 วินาที
Prince Skyline Sport Coupe 1962ดีเอนเอของ Skyline รุ่นแรกปี 1957ถูกส่งต่อมายังรุ่นที่สองโดยใช้มันสมองของ Car Designer ระดับโลกอย่างMichelotti ซึ่งทำให้รถรุ่นที่สองนี้มีกลิ่นไอรวมถึงรูปทรงแบบคูเป้ของรถยนต์จากอิตาลีผสมผสานอยู่ Prince Skyline Sport Coupe ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยและผลิตในจำนวนจำกัดแค่ 200คันเท่านั้นความสวยงามของรูปทรงแบบรถสองประตูคูเป้และสมถนะที่ดีขึ้นทำให้มันได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น เครื่องยนต์มีความจุเพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก 1482 c.c.มาเป็น1862 c.c. สี่สูบ 94 แรงม้าโดยยังคงอัตราเร่งเดิมที่ 0-100 กิโลเมตรใน15วินาที
Prince Skyline 2000 Gt S54 1964เจเนอรเรชั่นที่สามของ Skylineกลับมาใช้รูปแบบของรถยนต์สี่ประตูเหมือนกับรุ่นแรกอีกครั้งนอกจากจะเป็นรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปแล้วมันยังถูกนำไปใช้แข่งขันในสนามแข่งรถยนต์ทางเรียบประเภท Gt ของทีมแข่งในญี่ปุ่นอีกด้วยความแรงของเครื่องยนต์ทำให้มันสามารถกำชัยชนะเหนือรถยนต์จากยุโรปบางค่ายได้จากเครื่องยนต์ที่มีความจุและจำนวนกระบอกสูบเพิ่มขึ้น Skyline 2000 Gt S54ทุกคันติดตั้งเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงขนาด1988 c.c. 162 แรงม้าเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 9.0 วินาที
Nissan Skyline 2000 Gt-r C10 1969สายเลือดของรถแข่งเริ่มส่งต่อมายัง Skyline 2000 Gt-r C10 ในรุ่นที่สี่และจากการเข้าควบรวมกิจการระหว่าง Nissan กับ Prince Motor Company ในปี1966ทำให้มันกลายไปเป็นรถแข่งชั้นดีที่สามารถใช้แข่งขันได้ทั้งในสนามแข่งรถรวมถึงการแข่งขันแบบแรลลี่ทั่วโลก ถ้วยรางวัลชนะเลิศกว่า 50 ใบเป็นเครื่องมือการันตีประสิทธิภาพของตัวรถได้เป็นอย่างดีวัยรุ่นของญี่ปุ่นที่ชื่นชอบในความเร็วต่างพากันซื้อรถรุ่นนี้และมักจะนำออกมาขับแข่งขันบนท้องถนนในยามค่ำคืนจนเกิดเป็นที่มาของคำว่า Mid NightRacingซึ่งต่อมากลายเป็นจุดศูนย์รวมของพวกบ้าความเร็วที่มักจะรวมตัวกันในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์และพากันตระเวนไปทั่วบนท้องถนนของกรุงโตเกียว 2000 Gt-r C10วางเครื่องยนต์ตัวแรงหกสูบ 1998 c.c. สร้างแรงม้าได้ 160 แรงและมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 8.2วินาทีในเครื่องยนต์เดิมๆจากโรงงานที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับแต่งเพื่อเพิ่ม
Nissan Skyline 2000 Gt-r 1973อนุกรมของรถ Skyline ถูกส่งต่อมายังรุ่น 2000 Gt-rซึ่งเป็นรถรุ่นที่ห้าของตระกูลโดยการเริ่มต้นนำไฟท้ายแบบทรงกลมสองดวงมาใช้(หรือมักนิยมเรียกขานกันในหมู่นักเลงรถว่า ไฟโดนัท)ต่อมาไฟท้ายแบบนี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ Skyline ทุกรุ่นในยุค 1973จวบจนมาถึงปัจจุบันนี้และจากสภาวะการณ์น้ำมันในตลาดโลกที่มีราคาสูงขึ้นมากกว่าความเป็นจริงในขณะนั้นทำให้ 2000 Gt-r 1973ต้องประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถทำตลาดในเป้าหมายที่วางไว้ได้หลายๆบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องพบกับความตกต่ำของเศรษฐกิจโลกจนเกิดสภาวะที่ซบเซาไปทั่ว Skyline 2000 Gt-r 1973มีเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบขนาดความจุ 1998 c.c. Dohcพร้อมติดตั้งคาร์บูเรเตอร์สามตัว อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรใน 8.3 วินาที
Nissan Skyline 2000 Gt 1977สายพันธุ์แห่งความแรงรุ่นที่หกของรถ Skyline ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1977ปีที่สภาวะการของราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลงทำให้ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกดีขึ้นวิศวกรของ Nissanจึงได้นำเอาระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบมาใส่ไว้ในเครื่องยนต์ของ Skyline 2000Gt 1977 เพื่อเพิ่มเติมพละกำลังแต่การขับขี่และควบคุมตัวรถกลับทำได้ด้อยลงกว่ารุ่น C10และการออกแบบที่ดูแย่กว่ารุ่น 2000 Gt-r 1973ถึงแม้ว่ามันจะมีการตกแต่งภายในที่ดูดีกว่า Skyline ทุกรุ่นที่ Nissanเคยผลิตออกมาก็ตาม Skyline 2000 Gt 1977ในรุ่นที่หกนี้มีพละกำลังที่ได้มาจากเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบความจุ 1998c.c. เทอร์โบซึ่งดูแล้วน่าจะมีกำลังที่แรงกว่าทุกรุ่นแต่กลับกลายเป็นว่ามันมีแรงม้าเพียงแค่ 130 ตัวเท่านั้น ทำให้ตัวรถที่มีน้ำหนักประมาณ 1100กิโลกรัมอืดอาดและไม่คล่องตัวเท่ากับรุ่นพี่ที่เคยทำมาตรฐานด้านอัตราเร่งแซงและความเร็วสูงสุดเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมากที่สุดของเหล่าบรรดาสาวก Skyline
Nissan Skyline Rs Turbo 1983 (R 31)เจ้าปีศาจไฟโดนัทรุ่นที่เจ็ดเปิดมิติใหม่ของเครื่องยนต์ติดเทอร์โบพลังแรงสูงใน ยุคนั้นให้ผู้คนได้ตื่นตะลึงในความแรงของตัวรถและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าผู้บริหารรวมถึงบรรดาวิศวกรเครื่องยนต์ของNissan ทำการเปิดแผนก Motor Sport เล็กๆขึ้นภายในบริษัทโดยใช้ชื่อว่าNismoซึ่งต่อมาจะกลายสภาพมาเป็นสำนักงานที่ทำเครื่องยนต์และอุปกรณ์ตกแต่งเพื่อเพิ่มแรงม้าให้กับผู้ใช้รถยนต์ Nissan ที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆของวงการMotor Sport ระดับโลก Skyline Rs Turbo 1983หันกลับมาใช้เครื่องยนต์สี่สูบความจุ 1990 c.c. เทอร์โบโดยมีแรงม้ามากถึง202 แรงม้า และมีอัตราเร่งที่ทำเอา Porsche 911รถสปอร์ตจากแดนกางเขนเหล็กที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแรงของยุค 80ต้องเกิดอาการหนาวๆร้อนๆจากอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรของ Skyline Rs Turboที่ทำเวลาได้เพียง 7.5 วินาทีเท่านั้น
Nissan Skyline Gt-r 1989 (R 32)ตำแหน่งชนะเลิศทุกรายการในปี 1989 ของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Jtcc (JapaneseTouring Car Championship) ของ Skyline R32ได้มาจากเทคโนโลยีของเครื่องยนต์และตัวรถที่พัฒนาโดยสำนักแต่ง Nismoพ่อมดผู้เสกเป่าความแรงให้กับ Gt-r R32นอกจากนั้นมันยังถูกนำไปแข่งในประเภททางตรงจับเวลาแบบควอเตอร์ไมล์อีกด้วยR32ยังมีระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเพื่อสร้างแรงยึดเกาะกับผิวถนนยามวิ่งด้วยความเร็วสูง เครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นใหม่รหัส RB 26 Dettรวมไปถึงกลีบใบพัดของเทอร์โบที่ทำจากวัสดุเซรามิคเพื่อให้คงทนต่อความร้อนยามใช้งานในรอบเครื่องยนต์สูงๆบนสนามแข่งขัน รถรุ่น R32 1989กลับมาใช้เครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบ 2568 c.c. ทวินเทอร์โบ(เทอร์โบสองตัวที่ทำงานต่างกันโดยตัวแรกจะเริ่มทำงานในรอบเครื่องต่ำและตัวที่สองจะทำงานในรอบเครื่องที่สูงขึ้นทำให้มีอัตราเร่งแบบต่อเนื่องดีขึ้นมาก)ได้แรงม้าจากโรงงานโดยยังไม่ผ่านการโมดิฟายถึง 280ตัวสูงสุดตามกฏหมายของญี่ปุ่นซึ่งมีอัตราเร่งที่ชวนให้ขนหัวลุก 0-100กิโลเมตรเพียง 4.7 วินาทีเท่านั้น
Nissan Skyline Gt-r 1995 (R33)สายพันธุ์อสูรร้ายในโมเดลที่เก้า ถูกผลิตขึ้นมาเมื่อปี 1995R33เป็นรถที่ถูกปรับแต่งเพื่อเพิ่มเติมพละกำลังให้ถึงขีดสุดในรุ่น V-Specที่สามารถวิ่งได้เร็วถึง 200 ไมล์ต่อชั่วโมงรวมถึงรุ่นพิเศษ 400 Rซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่าสาวก Skyline เนื่องจากมันมีแรงม้าถึง 400แรงม้าจากการปรับจูนเครื่องยนต์ของช่างผู้ชำนาญงานจาก Nissan รถ SkylineR33เป็นที่นิยมมากในบรรดาวัยรุ่นที่ชอบรถสปอร์ตเครื่องแรงและพวกชอบแข่งรถทางตรงแบบจับเวลาควอเตอร์ไมล์เครื่องยนต์ของรุ่นนี้ยังคงเป็นเครื่องหกสูบแถวเรียงรหัส RB26 Dett 2568c.c.ทวินเทอร์โบที่ถูกปรับปรุงกลไกภายในให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่ามีม้าคับคั่งขึ้นถึง 300แรงม้าส่วนอัตราเร่งและความเร็วสุงสุดยังคงใกล้เคียงกับตัวเก่า (R32)
Nissan Skyline Gt-r 1999 (R34)เจเนอร์เรชั่นที่สิบของตระกูล Gt-r เกิดขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิตอลในยุค2000 R34 ทุกคันติดตั้งจอแสดงผลแบบ Lcdที่สามารถแสดงข้อมูลของเครื่องยนต์และตัวรถในขณะขับใช้งานได้ถึง 7 แบบส่วนรุ่น V-Spec มีโครงรถผสมกันระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์อลูมินัมและเหล็กกล้าฝากระโปรงหน้าทำจากอลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักจึงนับได้ว่ารถรุ่นนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมาก นักเลงรถ Skyline บางคนถึงกับยกให้มันเป็นรถSkyline Gt-r ที่มีรูปทรงสวยงามอมตะและคงความคลาสสิกตลอดกาล R34 Gt-rวางเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบขนาด 2568 c.c.ทวินเทอร์โบ 330แรงม้า เร่งจาก0-100 กิโลเมตรภายในเวลาแค่ 4.5 วินาทีเท่านั้น
Nissan Gt-r R35 2008หลังจากเสียงก่นด่าของเหล่าบรรดาผู้สื่อข่าวสายรถยนต์ทั่วโลกจากนักทดสอบและวิจารณ์รถยนต์รวมถึงบรรดาสาวกผู้ภักดีของ Gt-r ที่มีต่อ Skyline V35ทำให้ไปกระตุ้นต่อมสมองของผู้บริหาร Nissan ว่าสิ่งที่กระทำลงไปในตัวรถV35 นั้นเหมือนกับการไปทำลายตำนานแห่งความแรงที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของ Gt-rเสียจนแทบสูญสิ้นไปจากความทรงจำและประวัติศาสตร์ของบริษัทรวมไปถึงยอดการขายรถยนต์แบบสปอตร์สองประตูรุ่นสูงสุดของค่ายที่มีตัวเลขหดหายลงไปจนน่าตกใจและส่งแรงสั่นสะเทือนจนไปถึง Carlos Ghosnซึ่งรับหน้าที่เป็นซีอีโอของค่ายเห็นถึงความตกต่ำของรุ่น V35 นายใหญ่ของNissan จึงสั่งการไปยังพลพรรควิศวกรชั้นหัวกระทิของสำนัก Nismoทำการออกแบบและสร้าง Gt-r รุ่นใหม่ล่าสุดให้ออกมาดีกว่าทุกๆรุ่นที่ Nissanเคยสร้างไว้ Gt-r R35 กลับมาเกิดใหม่ด้วยรูปทรงที่ยังคงเอกลักษณ์ของSkyline Gt-r ไว้แทบทั้งหมดไฟท้ายแบบโดนัทก็ยังถูกนำกลับมาใช้เหมือนเดิมหลังจากเสียภาพลักษณ์ไปในรุ่นV35 รวมถึงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อที่ขึ้นชื่อเรื่องการเกาะถนนเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงทวินเทอร์โบรหัส RB26Dettที่มีการพัฒนาจนถึงขีดสุดแล้วในรุ่น R34 ถูกเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์วี 6ทวินเทอร์โบความจุ 3799 c.c. 24 วาว์ล 473แรงม้าที่ 6400 รอบต่อนาทีและมีอัตราเร่งชวนขนหัวลุก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.6 วินาทีแรงเสียจนซุปเปอร์คาร์ในยุคนี้อย่าง Porsche 911 Gt-2, Ferrari599 Gtb,หรือแม้กระทั่ง Lamborghini Lp640ยังต้องหวั่นเกรงในอัตราเร่งและแรงม้าอันท่วมท้นของ Gt-r R35
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine