• Yamaha เตรียมเขย่าวงการ! เปิดตัวนวัตกรรมล้ำยุค ทั้ง AI, ไฮบริด, และไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ในงาน Japan Mobility Show 2025

    1 Min Read

    Yamaha เตรียมเขย่าวงการ! เปิดตัวนวัตกรรมล้ำยุค ทั้ง AI, ไฮบริด, และไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ในงาน Japan Mobility Show 2025

    Yamaha Motor Co., Ltd. เตรียมสร้างความตื่นตาตื่นใจครั้งใหญ่ในงาน Japan Mobility Show 2025 โดยขนทัพยานยนต์แห่งอนาคตและนวัตกรรมใหม่รวม 16 รุ่น ซึ่งรวมถึงโมเดลที่เปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกของโลกถึง 6 รุ่น สะท้อนวิสัยทัศน์ในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร และการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน

    นี่คือไฮไลท์สำคัญของนวัตกรรมที่ Yamaha เตรียมมาโชว์

    MOTOROiD:Λ (แลมบ์ดา) – มอเตอร์ไซค์ AI ที่เรียนรู้และเติบโตได้

    นี่คือการก้าวข้ามขีดจำกัดของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักร MOTOROiD:Λ คือการพัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้า โดยต้นแบบใหม่นี้มีความสามารถในการ เรียนรู้และพัฒนาตนเอง อย่างอิสระผ่านเทคโนโลยี Reinforcement Learning (การเรียนรู้แบบเสริมกำลัง) และเทคนิค Sim2Real ที่ฝึกฝนในโลกเสมือนจริงแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในโลกจริง

    • ความสามารถหลัก: ขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวที่ “เป็นธรรมชาติ” ซึ่งสร้างขึ้นผ่านการเรียนรู้ด้วย AI และมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการลองผิดลองถูกในระหว่างการเรียนรู้
    • นิยามใหม่: MOTOROiD:$\Lambda$ มุ่งมั่นที่จะกำหนดนิยามใหม่ของยานยนต์สองล้อ และบุกเบิกอนาคตที่เครื่องจักรสามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้ใช้งาน

    TRICERA Proto – รถ 3 ล้อไฟฟ้าพร้อมระบบบังคับเลี้ยว 3 ล้อ

    ต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้า 3 ล้อแบบเปิดประทุนที่มุ่งเน้นการมอบ “ความสุขในการขับขี่รูปแบบใหม่”

    • คุณสมบัติเด่น: ใช้ระบบ บังคับเลี้ยวสามล้อ (3WS – 3-Wheel Steering) ที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสิทธิภาพการเข้าโค้งที่เร้าใจและความรู้สึกในการควบคุมที่แตกต่าง โดยเน้นการตอบสนองที่รวดเร็วและการเชื่อมโยงระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักรในโค้ง
    • การออกแบบ: มุ่งเน้นไปที่ความสนุกของผู้ขับขี่ โดยปรับแต่งระบบควบคุมการเลี้ยวจากมุมมองของการวิจัยเชิงมนุษย์ เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับรถ

    PROTO BEV – ซูเปอร์สปอร์ตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

    ต้นแบบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (BEV – Battery Electric Vehicle) ที่สร้างขึ้นบนแนวคิดของ “ความสนุกที่สัมผัสได้จาก EV แบตเตอรี่ความจุสูงเท่านั้น”

    • จุดเด่น: เน้นที่น้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด เพื่อให้เป็นรถซูเปอร์สปอร์ต EV ที่ใช้งานง่าย พร้อมคาแร็กเตอร์การขับขี่และความรู้สึกใหม่

    ยานยนต์ทางเลือกด้านพลังงานที่หลากหลาย

    Yamaha แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเข้าสู่ยุคคาร์บอนเป็นกลางผ่านการนำเสนอต้นแบบที่ใช้พลังงานหลากหลาย:

    • PROTO HEV (Hybrid Electric Vehicle): ต้นแบบไฮบริดแบบอนุกรม-ขนาน ที่สามารถสลับโหมดการขับขี่ระหว่าง “สงบ (Serene)” และ “เร้าใจ (Spirited)” ได้อย่างอิสระ

    • PROTO PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle): ต้นแบบวิจัยและพัฒนาที่ผสานเสน่ห์ของเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับเทคโนโลยี EV ทำให้สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าเต็มรูปแบบหรือโหมดไฮบริดได้

    • H2 Buddy Porter Concept: ต้นแบบรถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย ไฮโดรเจน พัฒนาร่วมกับ Toyota Motor โดยใช้ถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนแรงดันสูงขนาดกะทัดรัดที่ได้รับการรับรองสำหรับรถสองล้อ และเครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่พัฒนาโดย Yamaha

    นอกจากนี้ ในบูธของ Yamaha ยังมีการจัดแสดง e-Axle ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเตรียมส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในอนาคต รวมถึงจักรยานไฟฟ้า (eBikes) ในซีรีส์ Y-00B และวีลแชร์ไฟฟ้าอีกด้วย – งาน Japan Mobility Show 2025 จึงเป็นเวทีที่ Yamaha ใช้ในการแสดงวิสัยทัศน์อันกล้าหาญและก้าวล้ำ นำเสนอนวัตกรรมที่หลากหลายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของระบบการเดินทางอย่างแท้จริง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • Mitsubishi Lancer Evolution ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น

    3 Min Read

    Mitsubishi Lancer Evolution ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น

    ในโลกของรถสมรรถนะสูง มีไม่กี่ตระกูลที่สร้างตำนานไว้ได้ลึกซึ้งเท่า Mitsubishi Lancer Evolution — รถซีดานขับสี่ที่เกิดจากสนามแข่งแรลลี่ ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจนักซิ่งทั่วโลก “อีโว” ไม่ได้เป็นเพียงแค่รุ่นย่อยของ Lancer แต่มันคือจิตวิญญาณของความเร็ว ความแม่นยำ และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัยที่พา Mitsubishi คว้าแชมป์ WRC มาแล้วนับไม่ถ้วน

    จากถนนลูกรังในสนามแข่งสู่ถนนจริงในชีวิตประจำวัน Lancer Evolution ได้หลอมรวมประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตเข้ากับความดิบของเครื่องยนต์เทอร์โบ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค 90s–2000s ที่ยังคงตราตรึงในใจสายซิ่งมาจนถึงวันนี้

    นี่คือเรื่องราวของ “ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น” ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ซีดานธรรมดา ให้กลายเป็นอสูรร้ายแห่งทางฝุ่นและถนนดำ ตำนานที่ชื่อว่า Mitsubishi Lancer Evolution.

    • กำเนิด ”ราชาทางฝุ่น” (1973-1979)

    โดยจะต้องย้อนไปถึงตอนที่ Mitsubishi เปิดตัว Lancer โฉมแรกหรือ “ไฟแอล” ออกมาในปี 1973 ในตอนนั้นยังเป็นรถที่ยังไม่จี๊ดจ๊าดเท่ากับยุคสมัยนี้ เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีความสปอร์ต มีการคำนึงถึงแอโรไดนามิก บอดี้ส่วนบนแคบกว่าส่วนล่าง และยังประกอบบนแชสซี Monocoque ทำให้แข็งแรงทนทานมากๆ แต่ก็ยังเป็นมิตรกับเหล่าบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย และที่สำคัญคือมันยังขึ้นชื่อในเรื่องของเทคโนโลยีระบบไอเสียที่ปล่อยมลพิษน้อยมากๆ อีกด้วย

    Andrew Cowan

    Tommi Makinen

    ในช่วงเวลานี้เองทาง Mitsubishi ที่อยากจากเสริมภาพลักษณ์ทางการตลาดก็ได้ส่งรถตัวเองไปแข่ง และรายการที่ Mitsubishi สนใจมากที่สุดก็คือรายการ WRC นี่เองด้วยความที่เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้วัดกันเพียงแค่ความเร็วอย่างเดียว แต่ยังวัดความอึด ถึก ทน กับทุกสภาพถนนอีกด้วย จึงส่งรถตัวท็อปสุดและสมรรถนะแรงที่สุดในยุคนั้นอย่าง Lancer 1600 GSR ไปแจ้งเกิดในสนาม Australian Southern Cross Rally ฟาดเรียบ 4 อันดับแรก โดยผู้ที่คว้าแชมป์ก็คือ Andrew Cowan จับคู่กับ John Bryson นี่เอง แถมยังคว้าแชมป์ต่อเนื่องถึง 4 ปีติด และ Andrew Cowan ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Ralliart และยังเป็นกุนซือที่สร้างตำนานรุ่นใหม่ๆ มากมายอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ Tommi Makinen นี่เอง

    และในปี 1974 เจ้า Lancer รุ่นนี้ก็ถูกส่งไปแข่งในสนาม Safari Rally ที่ประเทศเคนยาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสนามที่ทรหดที่สุดในโลก และความไม่ธรรมดาของรถที่ส่งไปแข่งนั่นก็คือ มีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้แรงกว่าตัวรถเดิมๆ จาก 108 แรงม้าขึ้นไปถึง 169 แรงม้า และแรงบิดสูงขึ้นถึง 162 Nm แถมยังรีดน้ำหนักให้เบาลง เบาลง และก็เบาลง จนไม่รู้จะทำยังไงให้เบาลงได้อีกแล้ว และผู้ที่คว้าแชมป์ในสนามนี้ก็คือนักแข่งเจ้าถิ่น Joginder Singh จับคู่กับ David Doig นี่เอง แล้วจากการที่มันคว้าแชมป์มามากมายหลายสนาม นั่นก็ทำให้เจ้า Lancer 1600 GSR นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของฉายาว่า “ราชาทางฝุ่น” นี่เอง

    • Starion Group B ที่ไม่มีวันได้เกิด (1988)

    หลังจากที่เจ้า Lancer 1600 GSR ประสบความสำเร็จในสนามมาอย่างยาวนาน Mitsubishi ก็มีเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีกนั่นก็คือการเข้าแข่งขันใน Group B ที่โหดกว่าเดิมด้วยการส่ง Starion ระบบขับ 4 ไปแข่ง แต่ก่อนที่ Starion คันนี้จะเกิด กลับโดนคุมกำเนิดซะก่อนนี่สิ เพราะก่อนที่ตัวรถจะเข้าที่เข้าทางพร้อมแข่งเรียบร้อย กลายเป็นว่ากติกา Group B ถูกยกเลิกไป เพราะปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แล้วจะเอาไปแข่งในรายการไหนได้? Mitsubishi ก็ปรับตัวโดยการย้ายไปแข่งในรุ่น Group A และย้ายเอาระบบขับ 4 กับเครื่องยนต์เทอร์โบไปยัดใส่ตัวถังของ Galant โฉมที่ 6 ออกมาเป็น Galant VR-4 นี่เอง

    • Galant VR-4 กับจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่

    ถึงแม้ว่าเจ้า Galant VR-4 นั้นจะสร้างผลงานคว้าแชมป์อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1989-1992 แต่ก็ต้องมาปวดหัวตรงที่สนามกลับแคบลง ในขณะที่ตัวรถที่ใหญ่มากก็เริ่มจะแข่งไม่ได้ และเมื่อย้อนกลับมามองคู่แข่งอย่าง Ford ก็ยังต้องเปลี่ยนรถจาก Sierra มาเป็น Escort, Subaru ต้องเปลี่ยนรถจาก Legacy มาเป็น Impreza, Toyota ต้องเปลี่ยนรถจาก Celica มาเป็น Corolla, Hyundai ก็ต้องเปลี่ยนรถจาก Tiburon มาเป็น Accent จะเห็นได้ว่าจากรถเก่าๆ ที่มี 4 ประตูขนาดใหญ่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นรถที่เล็กลง Mitsubishi ก็คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะเอาไส้ในของ Galant VR-4 มายัดใส่ตัวถังของ Lancer โฉมที่ 6 รหัส CD9A หรือที่คนไทยเรียก E-Car

    • Mitsubishi Lancer Evolution I

    จุดประสงค์เดิมของ Lancer ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นรถสปอร์ตแม่บ้าน ไม่ได้บ้าพลังอะไรมากมาย เน้นประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อยัดทั้งเครื่องยนต์ 4G63 ฝากะปิ 4 สูบเรียงเทอร์โบขนาด 2 ลิตร 250 แรงม้า ปรับจูนโดยสำนัก AMG ที่ทำรถ Mercedes ใส่ทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งช่วงล่างรถแข่ง และทั้งบอดี้คิทรถแข่งเข้าไป กลับกลายเป็นไปขัดกับคอนเซ็ปท์เดิมๆ ที่อยากให้เป็น แล้วทาง Mitsubishi จึงต้องคิดแล้วคิดอีกจนได้ข้อสรุปว่า “อ้ะงั้นก็ แยกออกมาเหมือนเป็นร่างวิวัฒนาการของ Lancer ไปซะเลยสิ” กลายมาเป็น Mitsubishi Lancer Evolution หรือ Evo และตามกติกาของ Group A ที่ต้องมีการผลิตตัวรถออกมาขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 2,500 คันต่อปี ให้คนทั่วไปสามารถซื้อได้ Mitsubishi ก็ผลิตวางขายอยู่ 2 ปี ปีละ 2,500 คัน

    นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแยกเจ้า Evo ออกเป็น 2 รุ่นหลักๆ ได้แก่ GSR ที่ขายตามท้องตลาด ใช้ขับขี่บนท้องถนนทั่วไป และ RS ที่เน้นสมรรถนะสูงสุด สำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ตัดทุกออปชั่นอำนวยความสะดวกออกทั้งหมด เพื่อให้น้ำหนักเบาที่สุด และเบากว่า GSR ถึง 70 กิโลกว่าๆ แต่สิ่งเดียวที่เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ “เต็ด” ที่เพลาหลังนี่เอง

    • Mitsubishi Lancer Evolution II

    ในเดือนมกราคมปี 1994 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo II ที่เหมือนเป็นรุ่นอัปเกรด พร้อมรหัสตัวถัง CE9A ถ้ามองไกลๆ นี่แยกแทบไม่ออกเลย แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่ามันจะมีความแตกต่างอยู่ ทั้งฐานล้อที่ยาวขึ้น 10 มม. ล้อหน้ากว้างขึ้น 15 มม. ล้อหลังกว้างขึ้น 10 มม. ลิ้นกันชนหน้าสีดำ ปีกท้ายใหญ่ขึ้น ฐานปีกท้ายสูงขึ้น และล้อเดิมๆ จากโรงงานที่ให้มาเป็นล้อ OZ 5 ก้านขอบ 15 นิ้ว รวมถึงเครื่องยนต์ 4G63 ก็มีการจูนใหม่ให้แรงขึ้นถึง 256 แรงม้า และผลิตมาทั้งหมด 5,000 คันและขายหมดเกลี้ยงเลยครับภายใน 3 เดือน

    • Mitsubishi Lancer Evolution III นักเลง 3 เกียร์

    ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1995 Evo III ก็ถูกปล่อยออกสู่ท้องตลาดด้วยจำนวนการผลิต 5,000 คัน ซึ่งก็คือรุ่นที่ สุโด เคียวอิจิ ขับนี่เอง และยังเป็น Evo คันแรกที่ Tommi Makinen คว้าแชมป์ WRC

    ด้วยตัวถัง CE9A เหมือนเดิมแต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1,260 กก. สาเหตุเกิดมาจากการที่ปรับปรุงอะไรเยอะแยะไปหมด เพื่อทวงคืนบัลลังก์ราชาทางฝุ่นที่ถูกรถ Subaru Impreza และนักแข่ง Collin McRae แย่งไป โดยจุดที่แตกต่างจาก Evo II ก็คือกระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รับอากาศเข้าหม้อน้ำ อินเตอร์คูลเลอร์ และเบรก ได้ดีขึ้น เทอร์โบลูกใหญ่ขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ทรงพลังกว่าเดิมถึง 270 แรงม้า และยังมีลูกเล่นเพิ่มเข้ามานั่นก็คือระบบฉีดน้ำหล่อเย็นเข้าหม้อน้ำ ในส่วนของภายนอกมีการดีไซน์ปีกท้ายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มแรงกดให้มากขึ้น ย้ายไฟเบรกดวงที่ 3 มาไว้ที่ฐานปีกท้าย และยังดีไซน์สเกิร์ตข้างใหม่ กันชนหน้าใหม่ที่ทั้งกว้างและนูนออกมา ครอบไฟเลี้ยวสีส้ม และลิ้นสีเดียวกับตัวถังอีกด้วย

    นอกจากนี้ยังเรียกกันติดปากด้วยว่า “รถเฉินหลง” จากการที่มันไปปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง “Thunderbolt เร็วฟ้าผ่า” นี่เอง และด้วยอัตราทดเกียร์ที่แก้ไขใหม่จนโหดกว่าเดิม นั่นจึงทำให้มีอีกฉายานั่นก็คือ “นักเลง 3 เกียร์” อีกด้วย

    • Mitsubishi Lancer Evolution IV ท้ายเบนซ์

    หลังจากที่ทั้งสองรุ่นที่ผ่านมาผลิตขึ้นบนตัวถัง CE9A จนมาถึงวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1996 Mitsubishi เปิดตัว Evo IV พร้อมขายจริง ในวันเดียวกัน ด้วยตัวถังใหม่ CN9A ท้ายเบนซ์ เครื่องยนต์และเพลาถูกหมุนกลับด้านเพื่อบาลานซ์น้ำหนัก และแก้ปัญหาเรื่องของอาการขาเป๋ Torque Steer รวมถึงมีการเปลี่ยนเทอร์โบเป็น Twin-scroll Turbo ทำให้ได้แรงม้าขึ้นมาเพิ่มเป็น 280 แรงม้า และนอกจากนี้ ตัว GSR ยังเป็น Evo รุ่นแรกที่มี Active Yaw Control นอกจากนี้ยังให้ ”เต็ด” ล้อหน้าที่ช่วยให้เข้าโค้งได้คมขึ้น ระบบเกียร์ที่ใหญ่ขึ้น แข็งแรง ทนทาน ไม่แตกง่ายเท่ารุ่นก่อนๆ พร้อมล้อ OZ ขอบ 16 นิ้ว

    อีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ Evo IV เป็นที่จดจำคือไฟตัดหมอกที่ใหญ่เบ้อเริ่ม บริเวณกันชนหน้า แต่ว่าในตัวรุ่น RS นั้นจะยังไม่มีไฟตัดหมอกให้ตั้งแต่แรก จะยังเป็นแผ่นกลมๆ ครอบอยู่เฉยๆ และผลิตมาทั้งหมด 6,000 คัน

    • Mitsubishi Lancer Evolution V

    ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 1998 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo V  พร้อมรหัสตัวถัง CP9A ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงที่ยังพอสังเกตได้จากภายนอกคือ ปีกท้ายทำจากอะลูมิเนียมไม่มีเสากลาง และเพิ่มโป่งข้างให้ดูกว้างขึ้น เพิ่มช่องอากาศให้ใหญ่ขึ้น ภายในให้เบาะ Recaro ที่รุ่นใหม่และดีกว่าเดิมด้วย SR-Series รวมถึงยังเป็น Evo รุ่นแรกที่ให้เบรก Brembo อีกด้วย และยังมีการปรับปรุงเทอร์โบใหม่ให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นจาก 353 Nm เป็น 372.6 Nm ผลิตขายไปทั้งหมด 7,000 คันนี่เอง

    • Mitsubishi Lancer Evolution VI

    ในวันที่ 7 มกราคมปี 1999 เปิดตัว Evo VI และวางขาย นับได้ว่าเป็น Evo รุ่นสุดท้ายของ Group A ก็ว่าได้ มีจุดเด่นในเรื่องของเครื่องยนต์ที่ทนทานมากขึ้น อินเตอร์คูลเลอร์ และ ออยล์คูลเลอร์ใหญ่ขึ้น พร้อมกับมีการดีไซน์บอดี้คิทใหม่ให้ไฟตัดหมอกมีขนาดเล็กลง และเยื้องออกไปด้านนอกของช่องอากาศเพื่อให้รับอากาศเข้าได้ดีกว่าเดิม, แกนเทอร์ไบน์ และกังหันไอเสียของรุ่น RS ก็มีการเปลี่ยนวัสดุใหม่เป็น ไทเทเนียม-อะลูมิไนด์, ส่วนของไฟท้ายที่ยื่นเข้ามาถึงฝากระโปรงท้ายก็ไม่มีอีกต่อไป และนอกจากนี้รุ่น RS ยังมีแยกย่อยออกมาอีกทั้ง RS2 ที่เพิ่มออปชั่นบางส่วนจากรุ่น GSR และรุ่น RS Sprint ที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัด เป็นรุ่นที่จูนมาเป็นพิเศษโดยทีม Ralliart ให้มีน้ำหนักที่เบาลง และซัดพละกำลังเครื่องได้ถึง 330 แรงม้า

    จนกระทั่งในเดือนธันวาคมปี 1999 Evo VI ก็เปิดตัวรุ่นพิเศษของทั้ง GSR และ RS นั่นก็คือ Tommi Makinen Edition หรือที่นิยมเรียกว่า Evo 6.5 นี่เองครับซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างจากปกติก็คือ กันชนหน้าเฉพาะ เบาะ Recaro สีแดงดำปักชื่อ Tommi Makinen, ล้อ Enkei สีขาวขนาด 17 นิ้ว, พวงมาลัย Momo และ หัวเกียร์ หุ้มหนังดีไซน์เฉพาะ, ลดความสูงของรถลง 10 มม. และ อัตราส่วนการหมุนพวงมาลัยที่เร็วขึ้น

    • Mitsubishi Lancer Evolution VII

    ปี 2001 เดือนสิงหาคม Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo VII ซึ่งมาพร้อมกับตัวถังใหม่จากรุ่น Cedia นั่นก็คือ CT9A ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าเดิมถึง 100 กิโลเมตร แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ Mitsubishi ได้มีการปรับแก้แชสซีส์อยู่หลายจุด แถมยังปรับแก้อะไรหลายๆ อย่างมาก ทั้งเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ฝาครอบกระเดื่องวาล์ว เพลาลูกเบี้ยว และท่อไอเสียสแตนเลส โครงสร้างตัวถังก็มีการพัฒนาจาก Cedia ให้แข็งแรงกว่าเดิมถึงครึ่งหนึ่งด้วยการเชื่อมรอยต่อของโครงถึง 200 จุด

    ส่วนในเรื่องของหน้าตาก็มีการทำกันชนหน้าทรงใหม่ที่มีช่องดักอากาศใหญ่เท่านี่ ทำให้มองเห็นอินเตอร์คูลเลอร์ที่ใหญ่ขึ้น 20 มม. ฝากระโปรงหน้าอะลูมิเนียมมีช่องดักอากาศ ทำให้น้ำหนักเบาลง นอกจากนี้การจูนเครื่องยนต์ของ Evo VII ก็ยังทำให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นมาถึง 383 Nm นอกจากนี้ก็ยังเป็นรถรุ่นแรกของโลกที่ ให้ระบบ Active Center Differential (ACD) ซึ่งเป็นระบบเลือกโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนนถึง 3 โหมดทั้ง Tarmac ที่วิ่งบนถนน, Gravel ที่วิ่งบนทางกรวด และ Snow สำหรับวิ่งบนหิมะ แถมเบาะก็ยังเป็นเบาะ Recaro เจ้าเก่าเจ้าเดิม พร้อมพวงมาลัย Momo

    จนกระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2002 ก็มีการเปิดตัว Evo VII ตัวใหม่ออกมานั่นก็คือ GT-A หรือก็คือ Evo VII เกียร์ออโต้ แต่ความพิเศษอยู่ตรงที่ระบบ Fuzzy Logic ที่ทำให้เจ้าเกียร์ออโต้ตัวนี้สามารถเรียนรู้ และปรับตัวตามน้ำหนักเท้าของคนขับได้ และยังสามารถชิฟท์เกียร์แบบ Sequential ได้ผ่านปุ่ม +,- บนพวงมาลัยได้อีกด้วย แต่สมรรถนะของรถนั้นกลับสู้รุ่นเกียร์ธรรมดาไม่ได้ เพราะต้องใช้เทอร์โบที่เหมาะสมกับเกียร์ออโต้เท่านั้น นั่นจึงทำให้พละกำลังลดลงเหลือ 272 แรงม้า และแรงบิดลดลงเหลือ 343 Nm

    • Mitsubishi Lancer Evolution VIII

    หลังจากนั้นมา Mitsubishi ก็ปล่อย Evo VIII ออกมาแบบเล่นใหญ่มาก ด้วยการจัดงานทดสอบที่เมืองไทยถึง 4 คันที่สนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต พัทยา ในช่วงปลายปี 2002 ก่อนจะไปเปิดตัวต่อที่สหรัฐอเมริกาที่งาน Los Angeles Auto Show เมื่อวันที่ 7 มกราคม ปี 2002 และทำตลาดในเดือนกุมภาพันธ์ทันที ถือได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกในตลาดอเมริกันก็ว่าได้ และที่สำคัญยังเป็นรถที่กระแสดีมากๆ จากการโปรโมทผ่านเกม Gran Turismo อีกด้วย

    เอกลักษณ์ของ Evo VIII ที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ กระจังหน้าที่มีติ่งทรงสามเหลี่ยมยื่นขึ้นมาจากกันชนหน้า แต่กลับระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นไปอีก และไฟท้ายที่ตัดปลายแหลมด้านบนออก บอดี้คิทชิ้นต่างๆ ยังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ผสมกับพลาสติก ทำให้น้ำหนักเบาลงเข้าไปอีก 2 กก. และยังเปลี่ยนล้อมาใช้ Enkei 6 ก้าน ขอบ 17 นิ้ว ที่น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อน 3.2 กก. พร้อมดีไซน์ที่ลู่ลมมากกว่าเดิม รวมถึงระบบ Active Yaw Control ที่อัปเกรดให้ดีกว่าเดิมพร้อมตั้งชื่อว่า Super Active Yaw Control แต่ก็ต้องขอวงเล็บว่าระบบนี้ไม่มีติดตั้งมาให้ในตลาดสหรัฐอเมริกา

    ที่สำคัญคือรุ่นนี้ไม่มีเกียร์ออโต้ แต่มีรุ่นพิเศษอย่าง MR หรือ Mitsubishi Racing มาวางขายแทน ซึ่งให้เกียร์แมนวล 6 สปีด, โช้ค Bilstein, ล้อแม็ก BBS นอกจากนี้รุ่น RS และ MR ยังให้หลังคาที่ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ทำให้จุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างต่ำอีกด้วย

    ในตลาดอังกฤษ เจ้า Evo VIII ยังมีการขายรุ่นย่อยออกมาเยอะแยะมาก ตามแรงม้าที่ทำได้ทั้งรุ่น 260, FQ300, FQ320, FQ340 และ FQ400 ซึ่งเจ้าตัว FQ400 นั้นมีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้ซัดได้ถึง 400 แรงม้าอีกด้วย และเรื่องตลกของรถรุ่นเหล่านี้ก็คืออักษรย่อ FQ ที่ Mitsubishi ไม่เคยออกมาเผยเลยว่ามันย่อมาจากอะไร แต่ก็มีแฟนๆ Evo จำนวนมากต่างก็แซวว่ามันย่อมาจาก “F**king Quick” อีก ด้วยความที่เจ้า FQ400 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 282 กม./ชม.

    นั่นจึงทำให้ Top Gear นึกคึกเอามาแข่งจับเวลา Power Lap ที่สนามคู่กับ Lamborghini Murcielago แต่เป็นที่น่าเสียดายมากที่เจ้า Evo VIII FQ400 คันนี้ไม่สามารถเค้นสมรรถนะได้เต็มที่เพราะพื้นสนามเปียก ในขณะที่รอบจับเวลาของ Murcielago พื้นสนามยังแห้งอยู่ นั่นจึงทำให้เจ้า Evo คันนี้ทำเวลาไปได้ 1:24.8 นาที ในขณะที่ Murcielago ทำเวลาไปได้ 1:23.7 นาที ช้ากว่าถึง 1.1 วินาที

    แต่ว่าในนิตยสาร Evo Magazine ของ Carwow ได้มีการทดสอบ Evo VIII รุ่นนี้ที่สนาม Bedford ผลที่ได้คือสามารถทำเวลาต่อรอบเร็วกว่า Audi RS4 และ Porsche 911 Carrera 4S

    • Mitsubishi Lancer Evolution IX

    เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมปี 2005 ไฮไลต์เด่นๆ ของรุ่นนี้เลยคือเพิ่มระบบวาล์ว MIVEC ที่ฝั่งไอดี พร้อมปรับปรุงเทอร์โบใหม่ด้วยวัสดุที่น้ำหนักเบาลงจนทำให้เค้นพลังได้สูงถึง 287 แรงม้า แรงบิดสูงขึ้นถึง 392 Nm พร้อมกับปรับปรุงกันชนหน้าใหม่ เอาติ่งทรงสามเหลี่ยมที่โลโก้ออกเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดีมากขึ้น รุ่น RS และรุ่น GT มีการเปลี่ยนวัสดุใบพัดเทอร์โบเป็น ไทเทเนียม และแมกนีเซียมอัลลอยด์ เพื่อให้สู้กับแรงบิดที่สูงขึ้นได้ ส่วนในรุ่น MR นั้นก็ยังคงเอกลักษณ์จาก Evo VIII เหมือนเดิม

    นอกจากนี้ทาง Mitsubishi ยังออกรุ่นที่หายากมากอีกรุ่นหนึ่งก็คือ Evo Wagon ซึ่งผลิตบนแชสซีรหัส CT9W ก็มีทั้งรุ่น GT, GT-A และ MR อีกด้วย ซึ่งเจ้ารุ่น GT-A เกียร์ออโต้ยังใช้เครื่องยนต์ 4G63 จาก Evo VIII เหมือนเดิมที่ไม่มีระบบวาล์ว MIVEC  และเทอร์โบที่มีขนาดเล็กทำให้แรงบิดลดลงไปพอสมควร

    • Mitsubishi Lancer Evolution X

    จนกระทั่งในปี 2005 Mitsubishi เปิดตัวรถ Evo รุ่นใหม่ในงาน Tokyo Motor Show ภายใต้ชื่อ Concept-X ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบชาวบอสเนีย Omer Halilhodžić นับได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ออกแบบในยุโรป และเปิดตัวในงาน North American International Auto Show ในปี 2007 ภายใต้ชื่อ Prototype-X ก่อนจะปล่อยขายด้วยชื่อ Mitsubishi Lancer Evolution X ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ปี 2007 ปล่อยขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมกราคมปี 2008 ปล่อยขายในแคนาดาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008 และปล่อยขายในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2008

    เจ้า Evo X รุ่นนี้มีดีไซน์ที่ฉีกไปจากเดิมอย่างสุดขั้ว เพราะมันถูกดีไซน์บนแชสซีส์รหัส CZ4A และได้หัวใจใหม่เป็น 4B11T 4 สูบเรียงขนาด 2 ลิตร เทอร์โบ ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม-อัลลอยด์ทั้งตัว เครื่องยนต์รุ่นนี้ออกแบบ และ ผลิตโดยบริษัท Global Engine Manufacturing Alliance หรือ GEMA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Chrysler, Mitsubishi และ Hyundai นี่เอง

    Evo X นั้นก็วางขายมาเรื่อยๆ และรุ่นย่อยกับสเปคต่างๆ ก็แตกต่างกันไปตามประเทศที่วางขายอีกด้วย จนในที่สุดก็ปล่อยรุ่น Final Edition ออกมาในปี 2015 เป็นการปิดตำนาน “ราชาทางฝุ่น” ไปในที่สุด

    • Mitsubishi E Evolution Concept

    ในงาน Tokyo Motor Show ปี 2017 Mitsubishi ได้เผยโฉมรถคอนเซ็ปต์อย่าง Mitsubishi e-Evolution Concept ซึ่งเป็นรถ Crossover พลังงานไฟฟ้าที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ก่อนจะมาโชว์ตัวในงาน Motor Show ที่ประเทศไทยบ้านเราเมื่อปี 2019 สุดท้ายแล้วข่าวก็เงียบไปอยู่ดี ทุกวันนี้ที่เห็นๆ ก็มีแต่ภาพในจินตนาการของศิลปินคนแล้วคนเล่าที่ออกแบบใส่ไอเดียกันสนุกสนาน อนาคตของ Mitsubishi Lancer Evolution จะเป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ไม่อาจรู้ได้นอกจากทาง Mitsubishi จะออกมายืนยันด้วยตัวเอง

    แม้ชื่อ Lancer Evolution จะหยุดอยู่ที่รุ่น Evo X แต่จิตวิญญาณของมันไม่เคยหายไปจากหัวใจสายซิ่ง “อีโว” คือสัญลักษณ์แห่งพลัง เทคโนโลยี และความเร้าใจที่เกิดจากสนามแข่งจริง มันพิสูจน์แล้วว่าซีดานธรรมดาก็กลายเป็นตำนานได้ หากมีจิตวิญญาณแห่งความเร็วอยู่ในตัว และต่อให้ยุคสมัยเปลี่ยนไป เสียงเทอร์โบและแรงดึงของขับสี่ยังจะคงอยู่ในความทรงจำ ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น ที่ไม่มีวันเลือนหาย สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ฮอนด้าเปิดตัว “Super Cub Lite Series” จักรยานยนต์ 110cc ในพิกัด “รถจักรยานยนต์มาตรฐานใหม่” ในญี่ปุ่นเตรียมทำตลาด 11 ธ.ค. 2025

    1 Min Read

    ฮอนด้าเปิดตัว “Super Cub Lite Series” จักรยานยนต์ 110cc พิกัด “รถจักรยานยนต์มาตรฐานใหม่” ในญี่ปุ่นเตรียมทำตลาด 11 ธ.ค. 2025

    ฮอนด้า (Honda) สร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในตลาดรถจักรยานยนต์สัญจร (Commuter) ด้วยการประกาศเปิดตัวรถจักรยานยนต์ตระกูล Super Cub สามรุ่นใหม่ ได้แก่ “Super Cub 110 Lite,” “Super Cub 110 Pro Lite,” และ “Cross Cub 110 Lite” ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับ “มาตรฐานใหม่สำหรับรถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1” (เทียบเท่า 50cc เดิมในแง่ของใบอนุญาต) ของญี่ปุ่น โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 11 ธันวาคม 2025 นี้

    การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นการตอบรับต่อกฎระเบียบใหม่ของญี่ปุ่นที่อนุญาตให้รถจักรยานยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบสูงกว่า 50cc แต่มีกำลังเครื่องยนต์จำกัด สามารถจัดอยู่ในประเภทเดียวกับรถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1 (ที่ขับขี่ได้ด้วยใบขับขี่รถยนต์ หรือใบขับขี่รถจักรยานยนต์ประเภทที่ 1)

    รายละเอียดสำคัญของ Lite Series

    รุ่น “Lite” ทั้งสามรุ่นนี้มีพื้นฐานมาจากรุ่น Super Cub 110, Super Cub 110 Pro, และ Cross Cub 110 โดยมีจุดเด่นที่สำคัญคือ:

    เครื่องยนต์ 109cc ที่ปรับจูนใหม่: แม้จะใช้เครื่องยนต์ 109cc เท่าเดิม แต่กำลังสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 4.7 แรงม้า (ต่ำกว่าเกณฑ์สูงสุด 5.4 แรงม้า ของมาตรฐานใหม่) โดยปรับจากการตั้งค่าการจ่ายเชื้อเพลิง (Fuel Injection) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานด้วยใบอนุญาตที่ง่ายขึ้น

    ความเหนือกว่าด้านสมรรถนะ:ผู้พัฒนาเน้นย้ำว่า แม้กำลังจะลดลง แต่แรงบิดที่สูงของเครื่องยนต์ 110cc ยังคงอยู่ ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ “ทรงพลังและราบรื่นตั้งแต่รอบต่ำ” ดีกว่ารถ 50cc ดั้งเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในการออกตัวบนทางลาดชัน และยังมีความเงียบกว่า

    อุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน: ยังคงมาพร้อมกับชุดล้อแม็ก และดิสก์เบรกหน้า รวมถึงยางแบบไม่มียางใน (Tubeless) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เทียบเท่ากับรุ่น 110cc ระดับพรีเมียม

    ความแตกต่างภายนอก (Lite Identity): เนื่องจากจัดอยู่ในประเภทที่ 1 จึงมีการตัดคุณสมบัติของรถประเภทที่ 2 ออก ได้แก่:

    • ถอดสติกเกอร์/เทปสีขาวบนบังโคลน (สัญลักษณ์ของรถประเภทที่ 2)
    • ถอดที่พักเท้าสำหรับผู้โดยสาร
    • แผงมาตรวัดขยายขีดสูงสุดเป็น 60 กม./ชม. พร้อมเพิ่มไฟเตือนความเร็ว และมีจอ LCD แสดงตำแหน่งเกียร์

    ราคาและกำหนดการวางจำหน่าย

    รถจักรยานยนต์ Lite Series ทุกรุ่นมีราคาถูกกว่ารุ่น 110cc พื้นฐาน 11,000 เยน และจะวางจำหน่ายพร้อมกันในวันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2025

    Super Cub 110 Lite ราคา อยู่ที่ 341,000 เยน
    Super Cub 110 Pro Lite ราคา อยู่ที่ 385,000 เยน
    Cross Cub 110 Lite ราคา อยู่ที่ 401,500 เยน

    ผู้พัฒนาฮอนด้าแสดงความภาคภูมิใจในการนำรถในตำนานอย่าง Super Cub มาปรับให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ เพื่อมอบ “ความคล่องตัวและความสะดวกในการใช้งานที่ไม่แตกต่างจากรุ่น 50cc เดิม” แต่มาพร้อมกับ “แรงบิดที่เหนือกว่า” ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้คนในญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ประวัติศาสตร์ของ Triumph อันยาวนานตลอด 140 ปี

    3 Min Read

    ประวัติศาสตร์ของ Triumph อันยาวนานตลอด 140 ปี

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะไม่รู้จักแน่ว่า บริษัทนำเข้าจักรเย็บผ้าจะกลายมาเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์แบรนด์ดังระดับโลก อย่าง Triumph นั่นเอง

    Triumph คือแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่ยักษ์ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร และแน่นอนว่าคนไทยน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในภาพลักษณ์แนวโมเดิร์น-คลาสสิก จนกระทั่งเมื่อตอนมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวรถสปอร์ตอย่าง Daytona 660 ในประเทศไทยด้วยราคาเริ่มต้น 3 แสนกว่าบาท และหลายต่อหลายคนน่าจะรู้กันดีว่าเป็นแบรนด์รถที่ขึ้นแท่นซัพพลายเออร์หลักในการแข่งขันรุ่น Moto2 มาสักพักใหญ่ๆแล้ว แต่เรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จของรถเมืองผู้ดีค่ายนี้

    ถึงแม้ว่า Triumph จะเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษ แต่ความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่ก่อตั้งแบรนด์กลับเป็นชาวเยอรมัน ซึ่งจุดเริ่มต้นเริ่มจาก Siegfried Bettmann เขาย้ายจากเมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี มาใช้ชีวิตอยู่ที่เมือง Coventry ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1883 ในปีต่อมา นาย Bettmann ในวัย 20 ปีก็ได้ก่อตั้งบริษัท S.Bettmann & Co. Import Export Agency ในกรุงลอนดอนเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายจักรยาน นอกจากนี้ยังนำเข้าจักรเย็บผ้า จากเยอรมนี

    จนกระทั่งเมื่อปี 1886 Bettmann อยากจะตั้งชื่อบริษัทใหม่ให้ดูเจาะจงมากขึ้น จนได้ชื่อว่า Triumph Cycle Company และในปีต่อมา ปี 1887 ก็จดทะเบียนในชื่อ New Triumph Co.,Ltd. โดยมีค่ายยางรถยนต์อย่าง Dunlop มาช่วยซัพพอร์ตเงินทุน แถมยังได้เพื่อนร่วมเชื้อชาติอย่าง Moritz Schulte มาเป็นหุ้นส่วนอีกด้วย และนาย Schulte คนนี้นี่เองที่เป็นคนเสนอให้ Bettmann มาผลิตจักรยานเอง โดยเริ่มจากการยืมตังค์ของครอบครัว และรวมถึงของครอบครัว Schulte มาซื้อที่ดินในเมือง Coventry เพื่อตั้งโรงงานในปี 1888 และ เริ่มผลิตจักรยาน Triumph ขายในปี 1889 วันเวลาผ่านไปในปี 1896 ก็เปิดโรงงานผลิตอีกแห่งในเมืองนูเรมเบิร์ก

    จุดเริ่มต้นของการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อปี 1898 Triumph คิดที่จะขยายธุรกิจจากการผลิตจักรยาน มาผลิตรถมอเตอร์ไซค์ และผลิตออกมาเป็นรถรุ่นแรกซึ่งก็คือการเอา จักรยานมาติดเครื่องยนต์ของ Minerva จากเบลเยียม หลังจากที่รถรุ่นแรกนี้ ทำยอดขายไปได้ 500 คันในปี 1903 Triumph ก็เริ่มผลิตรถรุ่นนี้ต่อที่โรงงานในเมืองนูเรมเบิร์ก จนกระทั่งปี 1904 Triumph จากเดิมที่หยิบยืมดีไซน์ชาวบ้านเขามาผลิต ก็เริ่มหันมาผลิตรถมอเตอร์ไซค์ด้วยดีไซน์ของตัวเอง จนเปิดตัวรถในปี 1905 และทำยอดขายได้ 250 คัน

    ในปี 1907 Triumph มีกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นจนสามารถผลิตรถมอเตอร์ไซค์ได้ 1,000 คัน และยังเปิดตัวแบรนด์ลูกในชื่อว่า Gloria นอกจากนี้ยังมีการรีแบรนด์เพื่อส่งออกรถไปขายในต่างประเทศในชื่อว่า Orial แต่มาติดตรงที่ว่าพอเอามาขายในฝรั่งเศสแล้วขายด้วยชื่อนี้ไม่ได้เลย เพราะในประเทศฝรั่งเศสก็มีธุรกิจนึงที่ใช้ชื่อนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นรถที่ผลิตในเมืองนูเรมเบิร์กจึงต้องมีการรีแบรนด์ใหม่ในชื่อว่า TWN ซึ่งย่อมาจาก Triumph Werke Nürnberg นั่นเอง

    ความสำเร็จของ Triumph เกิดขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 มาถึง บริษัทต้องเร่งการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ทีละเยอะๆ มากกว่า 3 หมื่นคัน เพื่อป้อนให้กับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร หนึ่งในนั้นก็ได้แก่รุ่น Model H นับได้ว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์สมัยใหม่รุ่นแรกของโลก ซึ่งต่อมาก็จะได้รับฉายาว่า “Trusty Triumph”

    หลังจบสงครามก็ดันมีปัญหาติดขัดเล็กน้อย เพราะ Bettmann ดันไม่โอเคกับ Schulte ด้วยการที่ตัวเขาอยากจะเปลี่ยนแนวทางมาผลิตรถยนต์แทน นั่นจึงทำให้ Schulte ตัดสินใจลาออก แต่ความย้อนแย้งมาเกิดขึ้นในช่วงปี 1920 ที่ Triumph ซื้อโรงงานเก่าในเมือง Coventry ที่เคยเป็นของค่ายรถยนต์อย่าง Hillman มาผลิตรถยนต์ในปี 1923 ภายใต้ชื่อบริษัทว่า Triumph Motor Company

    จนกลางทศวรรษที่ 1920 Triumph กลายเป็นผู้ผลิตหลักทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ ในประเทศอังกฤษด้วยพื้นที่โรงงานกว่า 46 ตารางกิโลเมตร รองรับการผลิตรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ กว่า 3 หมื่นคันต่อปี ในส่วนของจักรยานเองก็ส่งออกขายดิบขายดีอย่างถล่มทลาย

    จุดดิ่งของ Triumph เกิดขึ้นเมื่อปี 1929 ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ “วันอังคารทมิฬ” พอดี ทำให้ Triumph ต้องขายกิจการโรงงานในเยอรมนีให้กับบริษัทผลิตเครื่องใช้สำนักงานอย่าง Adler โดยที่ยังผลิตรถมอเตอร์ไซค์ภายใต้แบรนด์ TWN อยู่ ยาวมาจนถึงปี 1957

    ในปี 1932 Triumph ก็ต้องขายแบรนด์จักรยานให้กับ Raleigh Bicycle Company ถึงแม้ว่าจะต้องขายทั้ง 2 อย่างนี้ไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถประคับประคองต่อได้จนทำให้ Bettmann ในวัย 70 ปีถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่งประธานบริษัท และเกษียนในปี 1933

    ในปี 1936 Triumph ถูกแบ่งออกมาเป็น 2 บริษัทย่อยโดยที่เจ้าหนึ่งผลิตรถยนต์ และอีกเจ้าหนึ่งผลิตรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งต่อมาเจ้าที่ผลิตรถยนต์ก็ล้มละลายอีก ในปี 1939 ก่อนจะถูกเทคโอเวอร์ไปโดย Standard Motor Company ส่วนมอเตอร์ไซค์ เพราะถูกซื้อไปโดย นาย John Young Sangster ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์คู่แข่งอย่าง Ariel และภายในปีเดียวกัน Triumph ก็ผลิตรถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่ส่งออกไปขายในสหรัฐอเมริกา ทำให้เติบโตเร็วจนกลายเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์อันดับต้นๆ ภายในเวลาแป๊บเดียว

    และนาย Sangster ยังก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาในชื่อ Triumph Engineering พร้อมเกณฑ์เอาพนักงานเก่าของ Ariel มาทำงานอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ Edward Turner ผู้ที่ออกแบบ Triumph Speed Twin 5T ขนาด 500 cc เปิดตัวในปี 1937 และกลายมาเป็นรถสองสูบคู่เรียงที่ประสบความสำเร็จรุ่นแรกของ Triumph และยังปฏิวัติการออกแบบรถมอเตอร์ไซค์ของ Triumph ไปตลอดกาล

     

    ต่อมาในปี 1939 Triumph เปิดตัว Tiger 100 ที่ทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กม./ชม. และขายได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะต่อมาก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อ แต่คราวนี้พินาศยิ่งกว่าเก่า เพราะทั้งเมือง Coventry และ โรงงานทั้งหมดของ Triumph โดน กองทัพอากาศเยอรมัน Luftwaffe ถล่มจนเละเทะ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ เพราะเครื่องมือ และเครื่องจักร ยังพอจะเก็บกู้และมาตั้งโรงงานใหม่ได้ในปี 1942 ที่เมือง Meriden เทศมณฑล Warwickshire

    หลังสิ้นสุดสงคราม Triumph Speed Twin เริ่มผลิตได้มากขึ้น แต่ 70% ของรถทั้งหมดที่ผลิต ถูกบังคับให้ส่งออกไปขายในสหรัฐอเมริกาตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ใน “นโยบายให้ยืม-เช่า” หรือ “รัฐบัญญัติส่งเสริมการป้องกันสหรัฐ” ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาล Franklin D. Roosewelt บังคับใช้ สำหรับจัดหาอาหาร น้ำมัน และอาวุธ ให้กับประเทศพันธมิตรในช่วงสงคราม ได้แก่ ฝรั่งเศสเสรี, สหราชอาณาจักร, สาธารณรัฐจีน, สหภาพโซเวียต, และชาติพันธมิตรอื่นๆ และเจ้า Speed Twin และ Tiger 100 ที่ผลิตหลังสงครามนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่ระบบช่วงล่างที่ Triumph เป็นคนออกแบบเอง พร้อมกับเปิดตัวรุ่นพิเศษที่ใช้ในการแข่งขันอย่าง Grand Prix อีกด้วย

    ในปี 1948 Triumph ก็เปิดตัวรถรุ่นใหม่ TR5 Trophy ที่ใช้เครื่องปั่นไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาทำเป็นเครื่องยนต์ขนาด 500 cc และสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรายการ International Six Days Trial ปี 1948

    และด้วยความที่ตลาดอเมริกา เค้านิยมรถที่ขับขี่ออกทริปไกลๆ นาย Turner จึงต้องออกแบบรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่าเดิมถึง 650 cc และใช้ดีไซน์ของ Speed Twin เป็นต้นแบบออกมาเป็น Thunderbird ในปี 1949 ซึ่งในเวลาต่อมาลิขสิทธิ์ชื่อของรถรุ่นนี้ก็ถูกแบ่งให้ Ford เอาไปใช้กับรถยนต์ของตัวเอง ความนิยมของรถรุ่นนี้พุ่งขึ้นมาถึงขีดสุดในช่วงราวๆ ปี 1953 เพราะเป็นรถที่สุดยอดนักแสดงระดับโลก Marlon Brando ขี่ในหนังเรื่อง The Wild One ซึ่งต่อมาเขาคนนี้ก็กลายมาเป็นที่จดจำจากผลงานหนังเรื่อง The God Father ในบทของตัวละคร Vito Corleone และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนดังรุ่นต่อๆ มาอย่าง Elvis Presley หรือ James Dean อีกด้วย

    ในปี 1951 Sangster ก็ขายกิจการของ Triumph ให้กับบริษัทผลิตอาวุธปืนยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ Birmingham Small Arms หรือ BSA พร้อมกับขึ้นทำเนียบผู้บริหารไปด้วย ซึ่ง BSA ไม่ได้ผลิตแค่ปืนอย่างเดียว แต่ยังผลิตจักรยาน และรถมอเตอร์ไซค์ เหมือนกับ Triumph อีกด้วย

    ในปี 1954 Triumph ก็ได้เปิดตัวลูกผสมระหว่าง Tiger 100 กับ Thunderbird ออกมาเป็น Tiger 110 โดยมีการหยิบเอาจุดเด่นของทั้ง 2 รุ่นอย่าง เครื่องยนต์ 650 cc จาก Thunderbird มารวมกับความเป็นรถสมรรถนะสูงจาก Tiger 100 และถัดมาในปี 1959 ก็มีการพัฒนา T110 ขึ้นมาใหม่ โดยการจูนคาร์บูเรเตอร์คู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม กลายมาเป็น Bonneville และก็มีคู่แข่งอยู่เจ้านึงครับที่ต้องหนาวเมื่อเจอรถรุ่นนี้นั่นก็คือ Harley-Davidson ที่เริ่มมองว่ารถเดิมๆ เครื่องหลักพัน มันดูไม่สปอร์ตสมกับเป็นรถสมัยใหม่ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดแบบสาหัสสากรรจ์แน่ๆ จึงออกรุ่น Sportster เพื่อมาสู้กับ Bonneville โดยเฉพาะ

    Tina

    Tigress

    ในช่วงทศวรรษที่ 1960 Triumph ก็เริ่มขยายตลาดของตัวเองด้วยการออกรถสกูตเตอร์มา 2 รุ่นได้แก่ Tina เครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาด 100 cc พร้อมคลัทช์ออโต และ Tigress ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 แบบให้เลือกตามความชอบทั้ง สูบเดียว 2 จังหวะ 175 cc หรือ สูบคู่เรียง 4 จังหวะ 250 cc

    เรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อปี 1963 จากเดิมที่ Triumph เน้นผลิตเครื่องยนต์แบบ Pre-Unit ก็เริ่มเดินสายผลิตเครื่องยนต์ Unit Construction หรือ UCE อย่างเต็มตัว และในปี 1969 Malcolm Uphill ก็ขี่ Bonneville พิชิต Isle of Man TT ได้ด้วยการทำความเร็วต่อรอบโดยเฉลี่ยถึง 160.92 กม./ชม. และยังคว้าสถิติต่อเนื่องด้วยความเร็วเฉลี่ย 161.53 กม./ชม. เมื่อแปลงเป็นหน่วยวัด ไมล์ต่อชั่วโมง ก็เท่ากับว่า Bonneville รุ่นนี้เป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกของโลกที่ทำความเร็วเฉลี่ยต่อเกิน 100 ไมล์/ชม. ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม

    มรสุมในช่วงยุคนี้ที่ Triumph และ BSA ต้องเผชิญ คือการมาถึงของรถมอเตอร์ไซค์ค่ายญี่ปุ่นมากหน้าหลายตา ทั้ง Honda, Yamaha หรือแม้กระทั่ง Kawasaki ที่ผลิตรถขนาดเล็กกว่า , ซ่อมบำรุงน้อยกว่า และราคาเข้าถึงง่ายกว่า

    แรงปะทะอันหนักหน่วงนี้ ทำให้ Triumph จึงต้องออกรถที่เล็กลงอย่าง Bandit ในช่วงปี 1970 ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 350 cc เพื่อตอบโต้ตลาดญี่ปุ่นที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ยิ่งทำให้แฟนๆ Triumph ณ เวลานั้นผิดหวังมากขึ้นไปอีก เพราะไม่เหลือเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็น Triumph

    ความผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้ค่ายรถในเครือ BSA Group ทั้งหมดต้องสูญเสียรายได้ไปถึง 8.5 ล้านปอนด์ และล้มละลายไปในปี 1972 จนต้องขายกิจการยกแผงให้กับ Manganese Bronze Holdings เจ้าของแบรนด์ Norton และ Matchless พร้อมกับควบรวมมาเป็น Norton Villiers Triumph หรือ NVT แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยดึง Triumph ขึ้นมาจากปากเหวได้เลย เพราะในเดือนกันยายนปี 1973

    นาย Dennis Poore CEO ของ NVT ก็ประกาศปิดโรงงาน Triumph ในเมือง Meriden ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1974 พร้อมเลิกจ้างพนักงานถึง 3,000 คน จากทั้งหมด 4,500 คน และย้ายฐานการผลิตไปยังเมือง Birmingham เหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนอดีตพนักงานออกมาประท้วง และยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ถึง 2 ปี ต่อมาหลังจากการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในตอนนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ Tony Benn ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีการค้า กับอุตสาหกรรม ทำให้สามารถจัดตั้งสหกรณ์แรงงานขึ้นมาได้ และเป็นดีลเลอร์เจ้าเดียวให้กับ Triumph ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ NVT

    หลังจากที่  NVT ล้มละลายในปี 1977 สหกรณ์นี้ก็เข้าซื้อ Triumph ต่อด้วยเงินทุนที่กู้จากภาครัฐ กลายมาเป็น บริษัท Triumph Motorcycle (Meriden) จำกัด เน้นขายรถรุ่น Bonneville และ Tiger เป็นหลัก โดยรถรุ่นแรกภายใต้เจ้าของใหม่นี้ ที่ประสบความสำเร็จคือ Bonneville T140J Silver Jubilee ปี 1977 ซึ่งเป็นรถรุ่นพิเศษวางขายเพียง 1,000 คันในตลาดอเมริกา 1,000 คันในตลาดสหราชอาณาจักร และอีก 400 คันในเครือจักรภพ และยังเป็นรถรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองรัชดาภิเษกให้กับ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และในปี 1978 Triumph กลายเป็นแบรนด์ยุโรปที่ขายดีที่สุดในตลาดสหรัฐอเมริกา

    T140E

    T140D Special

    ในช่วงปี 1978-1979 Triumph ออก Bonneville รุ่น T140D Special และ T140E ที่มีการปรับปรุงสเปคให้รองรับกับนโยบาย Muskie Act แต่ก็ไปได้ไม่สวยนัก เพราะค่าเงินปอนด์อังกฤษแข็ง ทำให้รถที่ส่งออกไปยังให้อเมริกา ดันราคาแพงขึ้นมามาก ขนาดที่ว่าต่อให้ออกรุ่น T140EX ที่เพิ่มระบบสตาร์ทไฟฟ้าก็ไม่ช่วยอะไรเลย จนมาถึงปี 1980 ภาระหนี้ของ Triumph ที่กู้จากรัฐจากเดิมที่ติดอยู่ 5 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านปอนด์กว่าๆ

    ในเดือนตุลาคม 1980 รัฐบาลใหม่จากพรรคอนุรักษ์นิยมตัดภาระหนี้ที่ Triumph ต้องแบกไป 8.4 ล้านปอนด์ แต่ก็ยังเหลือหนี้อีก 2 ล้านปอนด์ที่ต้องจ่ายให้กับ การเงินเพื่อการส่งออก หรือ UKEF อยู่ดี

    TR7T Tiger Trail

    TR65 Thunderbird

    ภายในปีนั้น Triumph ออกรถรุ่นต่างๆ มากมาย เช่น TR7T Tiger Trail ที่ใช้งานได้อเนกประสงค์ หรือ TR65 Thunderbird ที่ราคาย่อมเยาว์ แต่ก็ยังไม่สามารถประคับประคองไม่ให้ดิ่งไปอีกได้ และยอดขายในตลาดสหรัฐก็ยังร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 1983 Triumph ตัดสินใจซื้อแบรนด์ Hesketh และพัฒนาเครื่องยนต์สูบคู่เรียงขนาด 900 cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ ไปโชว์ในงาน National Exhibition Show เพื่อดึงดูดนักลงทุน จนวันที่ 23 สิงหาคม Triumph ก็ต้องล้มละลายไปในที่สุด

    Bonneville T140 จาก Les Harris

    ภายในปีเดียวกันนี้เอง นาย John Bloor มหาเศรษฐีที่สร้างตัวจากธุรกิจก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพี่แกก็ชุบชีวิต Triumph ให้กลับมารุ่งโรจน์สมชื่ออีกครั้ง โดยการซื้อสิทธิ์ในการผลิตรถ Bonneville T140 จาก Les Harris และผลิตที่โรงงานในเมือง Newton Abbot เทศมณฑล Devonshire เป็นการชั่วคราวถึง 5 ปี พร้อมกับจ้างพนักงานเก่าๆ ของ Triumph ให้กลับมาทำงานอีกครั้ง

    John Bloor

    นอกจากนี้พี่แกยังส่งพนักงานไปศึกษาดูงานถึงญี่ปุ่น และนำเอาความรู้มาพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอีกด้วย ความใจป๋ายังไม่จบเพียงแค่นี้เพราะ นาย Bloor ทุ่มเงินไปถึงเกือบๆ 100 ล้านปอนด์ เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Hinckley เทศมณฑล Leicestershire ด้วยพื้นที่กว่า 40 ตร.กม. เริ่มผลิตรถรุ่นแรกในปี 1991 ทำเงินไปได้อย่างสวยงาม และยังก่อตั้งฐานการผลิตรถ Triumph แยกออกมาอีก 2 เจ้าที่ประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ตามมาด้วย สหรัฐอเมริกาในปี 1994 ก่อนที่หายนะจะเกิดขึ้นต่อมา

    ค่ำคืนที่ 15 มีนาคม ปี 2002 เวลา 3 ทุ่มตรง ในวาระฉลองครบรอบ 100 ปี Triumph โรงงานเกิดไฟไหม้เสียหายไปกว่าครึ่ง ซึ่งต้องใช้รถดับเพลิงกว่า 30 คัน และนักผจญเพลิงถึง 100 คนในการดับไฟ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทาง Triumph ก็ยังไม่ยอมแพ้ ฟื้นฟูโรงงานนี้ได้ภายในเวลาแป๊บๆ เดียว

    ในเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน Triumph ตั้งโรงงานในจังหวัดชลบุรี ประเทศไทยบ้านเรา และกลายมาเป็นฐานการผลิตหลักระดับโลก และมีจำนวนพนักงานกว่า 1,000 คน

    ในปี 2006 ก็มีการตั้งโรงงานแห่งที่ 2 ของอังกฤษภายใต้ดำริของ เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่ง York และตามมาด้วยโรงงานแห่งที่ 3 ในปี 2007 พร้อมขยายกำลังการผลิตให้ได้มากกว่า 130,000 คัน

    ในเดือนมิถุนายน ปี 2009 Digby Jones บารอนแห่ง Birmingham ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารของ Triumph พร้อมประกาศเปิดตัวรถ Thunderbird รุ่นใหม่ขนาด 1,600 cc

    ต้นปี 2011 Nick Bloor ผู้เป็นลูกชายของ John Bloor ขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO ต่อมาในปี 2017 Triumph ลงนามข้อตกลงร่วมมือกับ Bajaj ก่อนที่ต่อมาก็จับมือกับ KTM และ Husqvarna ทำให้ Triumph สามารถผลิตรถขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ของตัวเองได้ และยังให้ Bajaj ช่วยขับเคลื่อนแบรนด์ Triumph ในตลาดอินเดีย

    ในปี 2019 Triumph ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นซัพพลายเออร์หลักในรายการแข่งขัน Moto2 แทน Honda โดยเครื่องยนต์ที่นำมาใช้ในการแข่งขันคือเครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 765 cc ที่พัฒนาจากรถ Street Triple RS พร้อมจูนให้เค้นพละกำลังได้ถึง 136 hp

    Tiger 1200

    Speed Triple

    ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 Triumph ย้ายสายการผลิตรถ Tiger 1200 และ Speed Triple ไปผลิตในเมืองไทย และให้โรงงานในอังกฤษเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนา

    ถัดมาในวันที่ 20 กรกฎาคม 2021 Triumph ร่วมมือกับ Ricky Carmichael แชมป์ AMA Motocross 7 สมัย และ Supercross 5 สมัย และ Ivan Cervantes แชมป์ Enduro 5 สมัย ในการพัฒนารถออฟโรด พร้อมกับการเปิดตัวซีรีส์ให้รับชมใน Youtube ชื่อ “Vision to Reality” ยาวมาจนถึงปัจจุบัน

    Speed 400

    Scrambler 400

    ในเดือนกรกฎาคม 2023 Triumph และ Bajaj เปิดตัวรถที่พัฒนาร่วมกันได้แก่ Speed 400 และ Scrambler 400 ซึ่งทำยอดจองในตลาดอินเดียได้ถล่มทลายด้วยจำนวน 10,000 คันภายใน 10 วัน

    การที่ Triumph โด่งดังขึ้นมาได้นั้น เป็นส่วนหนึ่งมาจากการตลาด Product Placement ในหนังฮอลลีวูดเรื่องต่างๆ รวมถึงยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนดังระดับโลกต่างๆ มากมาย ในหมู่รถอังกฤษด้วยกัน ถ้า Aston Martin คือเจ้าการตลาดรถยนต์บนแผ่นฟิล์มแล้ว รถมอเตอร์ไซค์ก็ต้อง Triumph นี่แหละ

    นอกจากในหนังเรื่อง The Wild One ปี 1953 ที่พูดถึงก่อนหน้านี้ก็ยังมีตัวอย่างเช่น รถ Daytona 955i และ Speed Tripple 955i ในหนังเรื่อง MISSION:IMPOSSIBLE II ปี 2002,

    Bonneville ในหนังเรื่อง The Avengers ปี 2012

    Scrambler ในหนังเรื่อง Jurassic World ปี 2015

    Scrambler 1200 XE ในหนัง James Bond ภาค No Time to Die ปี 2021

    หรือแม้กระทั่ง Bonneville ในหนังสยองขวัญอย่าง Five Nights at Freddy’s ปี 2023

    Triumph Bonneville T120 Elvis Presly Limited Edition

    และยังมีการออกรถรุ่นพิเศษที่รำลึกถึงคนดังระดับตำนานอีกด้วย เช่น Bob Dylan, Elvis Prestley, James Dean หรือแม้กระทั่ง Steve McQueen

    เรื่องราวทั้งหมดนี้คือมหากาพย์ รถมอเตอร์ไซค์ค่ายผู้ดี อายุ 140 ปีที่ล้มมาหลายรอบ แต่ก็ยังกลับมาลุกขึ้นยืนอยู่เสมอ สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • มีอะไรใหม่? กับ Honda ADV 160 รุ่นปี 2026: สกู๊ตเตอร์ SUV พรีเมียมที่มาพร้อมความล้ำหน้าและดีไซน์ที่เฉียบคมยิ่งขึ้น!

    1 Min Read

    มีอะไรใหม่? กับ Honda ADV 160 รุ่นปี 2026: สกู๊ตเตอร์ SUV พรีเมียมที่มาพร้อมความล้ำหน้าและดีไซน์ที่เฉียบคมยิ่งขึ้น!

    แฟน ๆ มอเตอร์ไซค์สายแอดเวนเจอร์เตรียมเฮ! เพราะมีกระแสข่าวการปรับโฉมครั้งสำคัญของ Honda ADV 160 รุ่นปี 2026 ในตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งมาพร้อมกับการอัปเกรดทั้งดีไซน์และเทคโนโลยีสุดล้ำ ก่อนจะถูกคาดหมายว่าจะมาอวดโฉมให้ชาวไทยได้สัมผัสในงาน Motor Expo 2025 ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้

    | ใหม่! ดีไซน์โค้งมน แต่เฉียบคม พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย

    สำหรับ ADV 160 รุ่นปี 2026 นี้ โดดเด่นด้วยการปรับลุคดีไซน์ให้มีความ “โค้งมน แต่เฉียบคมยิ่งขึ้น” ให้ความรู้สึกสปอร์ตและพรีเมียมกว่าเดิม แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือการอัปเกรดแผงหน้าปัดใหม่ โดยใช้ หน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว ที่ให้ข้อมูลคมชัดครบถ้วน และเพิ่มฟีเจอร์การเชื่อมต่ออัจฉริยะด้วยระบบ Honda Roadsync ที่ผู้ขับขี่สามารถ เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับมอเตอร์ไซค์ผ่านบลูทูธ เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัล

    | เอกลักษณ์เดิมที่ยังรักษาไว้! เครื่องยนต์ eSP+ และระบบความปลอดภัยเต็มพิกัด

    แม้จะมีการปรับโฉมภายนอก แต่หัวใจสำคัญของ ADV 160 ยังคงเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องสมรรถนะและความทนทาน โดยยังคงใช้ เครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว ขนาด 160 ซีซี ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 15.8 แรงม้า ที่ 8,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 14.7 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที มอบการขับขี่ที่สนุกและตอบโจทย์ทั้งในเมืองและทางลุย

    ด้านระบบความปลอดภัยและฟีเจอร์อำนวยความสะดวกที่ยังคงมีมาให้อย่างครบครัน ได้แก่

    • HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบควบคุมแรงบิด
    • ESS (Emergency Stop Signal) สัญญาณไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน
    • ISS (Idling Stop System) ระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติ
    • และ กุญแจอัจฉริยะ (Smart Key)

    | สีที่มีขายในตลาดอินโดฯ

    • รุ่น CBS: Solid Matte Red, Solid White, Solid Black

    • รุ่น ABS: Tough Matte Green, Tough Matte Brown, Tough Matte Black

    • รุ่น ABS RoadSync: SUV Brown

    | คาดการณ์ในตลาดไทย

    คาดว่า Honda ADV 160 รุ่นปี 2026 ที่จะทำตลาดในประเทศไทยจะมาพร้อมสเปคและฟีเจอร์หลักที่ใกล้เคียงกับรุ่นที่เปิดตัวในอินโดนีเซีย รวมถึงฟีเจอร์เชื่อมต่อ Honda RoadSync ผ่านหน้าจอ TFT ใหม่นี้ด้วย และมีความเป็นไปได้สูงที่ทาง A.P. Honda จะมีการเปิดตัวรถรุ่นนี้อย่างเป็นทางการภายในงาน Motor Expo 2025 ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ประวัติของ Suzuki Cappucino

    1 Min Read

    ประวัติของ Suzuki Cappucino

    Initial D อนิเมะขับรถชื่อดังที่ทุกคนต่างรู้จักกันเป็นดีอย่าง แต่หากรู้ไม่ว่าหลายๆคนอาจไม่รู้ว่า Initial D นั้นมีรถของแบรนด์ Suzuki อยู่ด้วย นั่นคือ Suzuki Cappucino

    Suzuki Cappucino ผลิตขึ้นมาตั้งแต่ปี 1991-1998 เป็นรถ Kei car ที่ผลิตขึ้นมาในคราบรถสปอร์ต เพื่อให้คนญี่ปุ่นมือใหม่หัดซิ่ง ซื้อได้ง่ายขึ้น ภาษี และเบี้ยประกันถูกลง ตลอดสายการผลิตของเจ้ารถชื่อเหมือนกาแฟรุ่นนี้หน้าตา และสเปคโดยรวมแทบจะไม่มีเปลี่ยนอะไรเท่าไหร่มากนัก นอกจากรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง

    ด้วยน้ำหนักที่เบาถึง 725 กก. ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 3 สูบเทอร์โบ 657 cc เคลมพละกำลังได้ 63 แรงม้าที่ 6,500 rpm ซึ่งไม่เกินเพดานสูงสุดของการผลิต Kei car ที่กฎหมายกำหนดไว้ พร้อมการวางเครื่องยนต์แบบ MF ขับล้อหลัง ที่กระจายน้ำหนักได้ 50/50 บอดี้ที่กว้าง 1,395 มม. และยาว 3,295 มม. มิติที่เล็กพร้อมดีไซน์มนๆ นั่นจึงทำให้มันดูน่ารักปุ๊กปิ๊กถูกใจบรรดาเมียๆ ไม่เบาเลย

    ที่มาที่ไปของ Suzuki Cappucino นั้นเกิดจากว่า เมื่อปี 1987 ทาง Suzuki อยากจะทำรถที่ดูมีอิมเมจความเป็นรถสปอร์ตนี่ เพราะรถ Kei car ส่วนใหญ่จะออกแบบเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยมเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ชดเชยกับขนาดที่เล็กของมัน พอรถทรงนี้ออกมาจนโหล มันก็ทำให้ตลาดรถเล็กดูน่าเบื่อและ 2 ปีต่อมา ปี 1989 Suzuki ก็ปล่อยรถคอนเซ็ปท์ออกมากในงาน Tokyo Motor Show โดยในช่วงแรกๆ Suzuki ไม่ได้คิดที่จะขายต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ จนในเดือนตุลาคมปี 1991 รถเล็กคันนี้ก็เริ่มผลิตจริงในโรงงานที่เมืองโคไซ ภายใต้รหัสโมเดล EA11R ซึ่งก็คือคันที่ Sakamoto ขับในอนิเมะ พร้อมปล่อยออกสู่ท้องตลาดในเดือนพฤศจิกายน ปี 1991 พร้อมคำโปรยว่า “ความฝันที่จะมีรถสปอร์ต 2 ที่นั่งเท่ๆ และราคาจับต้องง่าย เป็นจริงได้แล้ว”

    ตลอด 2 ปีแรก Suzuki Cappucino ผลิตในโรงงานนี้ทั้งหมด 15,113 คัน และขายออกไปได้ถึง 13,318 คัน หรือเท่ากับ 88% ของยอดผลิตในตลาดญี่ปุ่น ด้วยราคาเปิดตัว 1.4 ล้านเยนกว่าๆ ถือว่าค่อนข้างแพงพอสมควร ราคาพอๆ กันกับรถใหญ่ๆ ขนาด 1.5 ลิตร แต่ถ้ามองในแง่ของความเป็นรถสปอร์ตแล้วก็ยังถือว่ายังถูก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าทางใจของเราว่า “ซื้อไม่คิด” หรือ “คิดไม่ซื้อ”

    ในระหว่างที่เจ้า Cappucino ยังทำตลาดอยู่ที่ญี่ปุ่นในปีแรกๆ ทาง Suzuki ที่อังกฤษก็ขอคุยชวนจิบชาดาร์จิลิง กับ Suzuki Motor ที่ญี่ปุ่นว่า “เอามาขายบ้านเราเถอะ คนเมืองผู้ดีเค้าอยากได้” ฝั่งญี่ปุ่นก็เกาหัว “เอาไงดีวะ… ไม่ได้คิดเรื่องจะขายประเทศอื่นด้วยสิ” ซึ่งก็ใช้เวลาเจรจา และปรับแก้นู่นนิดนี่หน่อยไปทั้งหมด 1 ปีครึ่ง จนผ่านการอนุมัติให้ขายในตลาดอังกฤษได้ด้วยการปรับแก้ชิ้นส่วนถึง 23 จุด โดยที่มี Suzuki Import Centre ทำหน้าที่รับผิดชอบการนำเข้าที่อังกฤษ

    ในเดือนตุลาคมปี 1992 Suzuki Cappucino เปิดตัวในต่างประเทศครั้งแรกที่งาน British International Motor Show และชนะรางวัลของสถาบันยานยนต์อังกฤษถึง 2 รางวัลทั้งรางวัล “รถสปอร์ตยอดเยี่ยมในราคาต่ำกว่า 20,000 ปอนด์” และ ”รางวัลรถยอดเยี่ยมภายในงาน” จนมาถึงเดือนตุลาคมปี 1993 เจ้า Cappucino วางขายอย่างเป็นทางการสนนราคาอยู่ที่ 11,995 ปอนด์ แต่ก็ติดในเรื่องของโควต้าการส่งออก-นำเข้าจะญี่ปุ่นไปอังกฤษ ทำให้เวลาจะขายก็ขายได้จริงเพียงแค่ 1,182 คันเท่านั้นจากที่คิดไว้ว่าจะเอาไปขาย 1,500 คัน โดยที่ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง ในขณะที่ตัวสีเงินหาได้น้อยมาก แทบจะต่างกันราวฟ้ากับเหว และภายในปี 1993-1995 รถที่ขายไปทั้งหมด 1,110 คันถูกจดทะเบียนที่อังกฤษในขณะที่คันอื่นๆ ที่เหลือถูกขายและจดทะเบียนผ่านดีลเลอร์ตามประเทศเพื่อนบ้านเช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ หรือ สวีเดน

    จนในปี 1995 เป็นช่วงที่มาตรการควบคุมไอเสียในยุโรปเริ่มเข้มข้นขึ้น Suzuki จึงต้องออก Minorchange ออกมาเป็นรุ่น E21R โดยอัปเดตเครื่องยนต์ใหม่จาก F6A ที่กระบอกสูบช่วงชักยาว ปากแคบๆ และขับแคมชาฟท์คู่ด้วยสายพาน เปลี่ยนมาเป็นเครื่อง K6A ที่กระบอกสูบปากกว้างช่วงชักสั้น และใช้โซ่ขับแคมชาฟท์ ทำให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อยและแรงม้ายังเท่าเดิม แถมยังให้ออปชั่นใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างพวงมาลัยพาวเวอร์ และ เกียร์ออโต้ 3 สปีด สำหรับคนที่แรงมือไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมาย นอกจากนี้ยังมีออปชั่นเสริมความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น ถุงลมนิรภัย, ระบบเบรก ABS ทั้ง 4 ล้อ, เฟืองท้ายหรือ “เต๊ด”หรือแม้แต่ กระจกเปิดปิดด้วยไฟฟ้า นั่นเอง

     

    อีกเสน่ห์ของ Suzuki Cappucino อย่างนึงคือ หลังคา เพราะมันถูกออกแบบมาเป็นหลังคาแข็งที่แบ่งเป็นสามส่วนคือ ปีกซ้าย, ปีกขวา และแกนกลาง ทำให้สามารถเลือกถอดได้หลายรูปแบบตามใจเรา จะเหลือแกนไว้เป็น T-Top ก็ทำได้, จะถอดหมดเป็น Targa ก็ทำได้ หรือจะถอดกระจกหลังให้เป็นเปิดประทุนก็ทำได้ ซึ่งกระจกหลังก็เป็นกระจกจริงๆ และกันฝ้าได้อีกด้วย ส่วนการออกแบบภายในจะเป็นดีไซน์ที่เน้นความเรียบง่ายตามสูตรของ Suzuki ไม่ได้มีอะไรหวือหวา อารมณ์คล้ายๆ Swift หรือ Celerio ในปัจจุบัน

    เพราะความเล็กนี่ทำให้มีปัญหากวนใจอย่างนึง คือ เรื่องของตำแหน่ง ปุ่ม และคันโยกต่างๆที่ดูแปลกๆ เช่น ที่เปิดฝาถังน้ำมันอยู่ในช่องเก็บของใต้ที่พักแขนตรงกลาง หรือคันชักเปิดฝากระโปรงหน้าก็หลบอยู่ในที่เก็บของฝั่งผู้โดยสารจนมองไม่เห็นนี่เอง ทำให้รู้สึกว่ามันไม่อยู่ในที่ๆ ควรอยู่นี่เอง

    ทั้งหมดนี้คือประวัติของ Suzuki Cappucino คันเล็กๆ น่ารักกะปุ๊กกะปิ๊ก อายุ 30 ปี สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ตำนานคืนชีพ! Honda CB400 Four โฉมใหม่ เตรียมเปิดตัว พร้อมนวัตกรรม “E-Clutch” สุดล้ำ

    1 Min Read

    ตำนานคืนชีพ! Honda CB400 Four โฉมใหม่ เตรียมเปิดตัว พร้อมนวัตกรรม “E-Clutch” สุดล้ำ

    Honda เตรียมสร้างความฮือฮาให้กับวงการมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง หลังมีกระแสข่าวหนาหูจากสื่อยานยนต์ชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง Young Machine ว่ากำลังซุ่มพัฒนาและเตรียมเปิดตัว All New Honda CB400 Super Four เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งจะกลับมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงอันเป็นเอกลักษณ์ และที่น่าจับตาที่สุดคือการติดตั้งเทคโนโลยี “Honda E-Clutch” ที่จะพลิกโฉมประสบการณ์การขับขี่ไปจากเดิม

    การกลับมาของตระกูล CB400 Super Four ในครั้งนี้ถือเป็นการตอบรับเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย ที่หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 399 ซีซี และเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งรุ่นเดิมได้ยุติการผลิตไปเนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานไอเสีย

    ตามรายงานของ Young Machine ระบุว่า Honda CB400 Four โฉมใหม่ จะยังคงดีไซน์แนว Neo-Retro Classic ที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับองค์ประกอบที่ทันสมัย แต่จะมีการปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ ให้มีความโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น

    จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดคือการนำระบบ Honda E-Clutch มาใช้กับ CB400 Four ซึ่งเป็นระบบคลัตช์ไฟฟ้าอัตโนมัติที่เคยเปิดตัวและสร้างความประทับใจมาแล้วในรุ่นพี่อย่าง CB650R และ CBR650R ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้คันคลัตช์เลยแม้แต่น้อย (ตั้งแต่เกียร์ 1) ทำให้การขับขี่ในสภาพการจราจรหนาแน่น หรือการเปลี่ยนเกียร์ต่อเนื่องขณะเร่งความเร็วเป็นไปอย่างราบรื่น สะดวกสบาย และเร้าใจยิ่งกว่าเดิม แต่ผู้ขับขี่ก็ยังคงสามารถใช้คันคลัตช์แบบปกติได้หากต้องการ

    นอกจาก E-Clutch แล้ว คาดว่า All New CB400 Four จะได้รับการอัพเกรดในหลายส่วนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมีการวิเคราะห์ว่า ขุมพลัง 4 สูบเรียง 16 วาล์ว DOHC อาจจะถูกปรับจูนใหม่ให้มีกำลังมากกว่า 70 แรงม้า พร้อมกับช่วงล่างที่ทันสมัย เช่น โช้คอัพหน้าแบบหัวกลับ (Upside Down) จาก Showa รุ่น SFF-BP, ระบบดิสก์เบรกคู่ด้านหน้า พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ทั้งหน้าและหลัง และเฟรมรถแบบ Steel Diamond ที่ถูกออกแบบมาใหม่, นอกจากนี้ยังเพิ่มหน้าจอสี TFT และระบบคันเร่งไฟฟ้ามาให้อีกด้วย

    กระแสข่าวดังกล่าวสร้างความตื่นเต้นอย่างมากในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์ 4 สูบเรียงคลาสกลาง และคาดการณ์ว่า Honda อาจจะมีการเพิ่มทางเลือกด้วยรุ่นพิกัด 500 ซีซี เพื่อทำตลาดในบางประเทศด้วย การกลับมาของ CB400 Four พร้อมเทคโนโลยี E-Clutch ถือเป็นสัญญาณว่า Honda กำลังรุกตลาดรถจักรยานยนต์คลาสกลางอย่างจริงจัง เพื่อตอบโต้คู่แข่งในตลาด

    ต้องจับตาดูต่อไปว่า การเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นเมื่อใด และจะมีโอกาสเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือ Honda CB400 Four โฉมใหม่นี้ได้ถูกยกระดับให้เป็นมากกว่าตำนาน แต่คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความคลาสสิกและเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    ที่มา : Young-Machine.com


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


     

    No Comment
  • ประวัติ Mitsubishi เพชรสามเม็ดอายุร้อยปี!

    2 Min Read

    ประวัติ Mitsubishi เพชรสามเม็ดอายุร้อยปี!

    หากว่าจะเอ่ยถึง Mitsubishi เชื่อได้ว่าใครๆ ก็ต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี และมีรถชื่อดังที่หลายๆ คนชอบอยู่หลายต่อหลายคัน และใครๆต่างก็รู้ว่า นอกจากรถยนต์ แล้วยังทำหลายอย่างเยอะแยะมาก ในสกู๊ตนี้จะย้อนประวัติความเป็นมากว่าร้อยปีของเพชร 3 เม็ดในตำนานนี้กัน

    • จุดเริ่มต้นจากธุรกิจเรือสินค้า

    เรื่องราวของ Mitsubishi  ต้องย้อนไปถึงยุคเมจิ มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Yatarou Iwasaki ซึ่งเขาเป็นลูกหลานของอดีตตระกูลซามูไรที่เคยมีบทบาทในสงครามเซกิงาฮาระ หนึ่งในสงครามที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น Yatarou ในวัย 36 ปีได้ก่อตั้งบริษัทขนส่งทางเรือขึ้นมาในชื่อว่า “Tsukumo Shokai” (九十九商会) ในปี 1870 และต่อมาในปี 1873 ชื่อบริษัทก็เปลี่ยนมาเป็น “Mitsubishi Shokai” (三菱) ซึ่งประกอบขึ้นจากตัวคันจิ 2 ตัว คือ Mitsu (三) ที่แปลว่า 3

    อ้างอิงจากตราประจำตระกูล Yamauchi ที่ปกครองแคว้นโทสะ บ้านเกิด ของ Yatarou หรือก็คือ จังหวัดโคชิ ในปัจจุบัน ที่มีลักษณะเป็น รูปใบโอ๊ค 3 ใบแยกเป็น 3 แฉก และตัวคันจิอีกตัวคือ Hishi (菱) ที่แปลว่าลูกเกาลัด หรือรูปทรงข้าวหลามตัด ทำให้ชื่อของ Mitsubishi แปลได้ว่า “เพชรสามเม็ด” และนำความหมายของชื่อนี้มาถ่ายทอดผ่านโลโก้นี่เอง

    การก่อตั้ง Mitsubishi ขึ้นมาในรูปแบบธุรกิจขนส่งทางเรือ ในช่วงหลังการปฏิรูปเมจินี้ ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะในยุคนั้นเป็นยุคที่การขนส่งทางเรือเฟื่องฟูมาก ก่อนจะขยายตัวไปยังธุรกิจเหมืองถ่านหินเพื่อหาเชื้อเพลิงมาใช้ ซื้ออู่ต่อเรือจากภาครัฐมาใช้ซ่อมเรือ ก่อตั้งโรงเหล็กเพื่อผลิตวัสดุสำหรับต่อเรือ หรือแม้กระทั่งเริ่มธุรกิจประกันภัยทางทะเลนั่นเอง

    • จากเรือสู่ธุรกิจไซบัตสึ

    ในเวลาต่อมา Mitsubishi ก็กลายเป็นธุรกิจที่แยกแตกออกมาหลายสาย โดยที่มีญาติๆ ในวงศ์ตระกูลแยกกันดูแลจนกลายมาเป็นธุรกิจประเภท “ไซบัตสึ” นั่นเอง ตัวอย่างธุรกิจที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Mitsubishi ในปัจจุบันที่หลายๆคนควรรู้จัก เช่น

    หัวเรือใหญ่ 3 เจ้า ได้แก่ Mitsubishi UFJ Financial Group ที่รับผิดชอบธุรกิจการเงินและธนาคาร, Mitsubishi Corporation ที่รับผิดชอบการค้าและเป็นสะพานเชื่อมให้กับทุกๆ สายธุรกิจ, Mitsubishi Heavy Industries ที่รับผิดชอบในส่วนของอุตสาหกรรมหนักทุกรูปแบบ

    เครื่องใช้ไฟฟ้า Mitsubishi Electric, บริษัทอุตสาหกรรมกระจก AGC, Tokio Marine ประกันภัย, กล้องถ่ายรูป Nikon, บริษัทขนส่งทางทะเล Nippon Yusen Kabushiki Kaisha หรือ NYK Line ซึ่งในปัจจุบันก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุนในชื่อ Ocean Network Express หรือ ONE, ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น ENEOS หรือแม้แต่ Mitsubishi Motors ด้วย

    จนกระทั่งในปี 1890 ตระกูล Iwasaki เข้าซื้อพื้นที่อสังหาฯ ในย่านมารุโนอุจิ เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว ในเวลาต่อมาก็ก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในชื่อว่า Mitsubishi Estate ส่วนในปัจจุบันก็ยังเป็นที่ตั้งของ ตึกระฟ้ามารูโนอูจิ ที่ว่ากันว่าตั้งอยู่บนที่ดิน ที่ราคาแพงที่สุดของญี่ปุ่นถึง 21 ล้านเยนต่อตารางเมตร หรือเท่ากับ 4 ล้านกว่าบาท

    จนกระทั่งมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Mitsubishi เริ่มมีบทบาทสำคัญในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทั้งการผลิตเครื่องบิน เช่น

    เครื่องบินขับไล่ Mitsubishi A6M (Zero)

    เครื่องบินขับไล่ Mitsubishi A7M (Reppu)

    ที่ออกแบบโดย Jiro Horikoshi พระเอกจากการ์ตูนดังเรื่อง The Wind Rises

    รถถังขนาดกลาง Type 97 Chi-Ha

    รถถังขนาดกลาง Type 3 Chi-Nu

    เรือพิฆาตชั้น Kagerou (ในภาพคือ Yukikaze)

    เรือพิฆาตชั้น Akizuki

    เรือพิฆาตชั้น Yuugumo (ในภาพคือ Kiyoshimo)

    เรือลาดตระเวน Takao

    เรือลาดตระเวน Myoko

    และแน่นอนเรือประจัญบานที่ทุกๆ คนจะต้องรู้จักกันดีอย่าง Musashi นี่เอง

    • จุดเริ่มต้นวงการยานยนต์

    อุตสาหกรรมยานยนต์ ในปี 1917 เมื่ออู่ต่อเรือ Mitsubishi เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกขึ้นมาในชื่อ Model A ซึ่งเป็นรถซีดาน 7 ที่นั่ง ที่เอาต้นแบบมาจาก Fiat Tipo 3 แถมยังผลิตด้วยมือทั้งคันอีกด้วย หลายๆ คนอาจจะงงว่าทำไมหน้าตาแบบนี้ถึงเรียกว่า “ซีดาน” เหตุผลมาจากนิยามของคำว่า “ซีดาน” ในช่วงศตวรรษที่ 20 นั้นไม่เหมือนกับยุคปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของจำนวนที่นั่งที่มี 4 ที่นั่งขึ้นไป มีจำนวนประตูไม่ตายตัว ไม่ได้มีข้อกำหนดในเรื่องของขนาดหรือรูปทรง ตัว Model A คันนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 2.8 ลิตร 35 แรงม้า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เปิดตัวมาและผลิตได้แค่ 22 คันก็ต้องเลิกผลิตไปในปี 1921

    จนกระทั่งในปี 1934 Mitsubishi ก็ยุบเอาแผนกต่อเรือมารวมกับแผนกเครื่องบิน กลายมาเป็น Mitsubishi Heavy Industries เพื่อรับผิดงานผลิตให้กว้างขึ้น มีทั้งเครื่องบิน เรือ รถราง ยันเครื่องจักรอุตสาหกรรม และพัฒนารถซีดานต้นแบบสำหรับกองทัพจักรวรรดิขึ้นมาในชื่อ PX33 นับได้ว่าเป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นแรกของ Mitsubishi มาพร้อมเครื่องยนต์ 6.7 ลิตร 69 แรงม้า แต่สุดท้ายแล้วก็โดนยกเลิกไปในปี 1937 เพื่อไปโฟกัสการผลิตรถบรรทุก กับ รถบัส

    Mitsubishi Mizushima

    Mitsubishi Silver Pigeon

    หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 Mitsubishi กลับมาผลิตรถบัส Fuso ใหม่ พร้อมกับพัฒนารถสามล้อ Mizushima และรถสกูตเตอร์ Silver Pigeon ขึ้นมา และนอกจากนี้ครับยังถูกสั่งห้ามทำธุรกิจแบบ ไซบัตสึ ในปี 1950 อีกด้วย เคสเหมือนกันกับ Subaru เลย ทำให้ Mitsubishi ต้องแยกตัวออกมาเป็น 3 บริษัท ได้แก่ West Japan Heavy-Industries ที่ต่อมาก็กลับมาทำอู่ต่อเรือเหมือนเดิม

    Mitsubishi Jeep

    Central Japan Heavy-Industries ที่เอาแบบของ Jeep CJ รุ่น 3Bs มาผลิตเป็นรถ Mitsubishi Jeep นับได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของ Mitsubishi Triton กับ Pajero ก็ว่าได้ และ East Japan Heavy-Industries ที่นำเข้ารถ Henry J มาจดประกอบในญี่ปุ่น

    ในเวลาต่อมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว บริษัท Central Japan Heavy-Industries ก็กลับมาก่อตั้ง Mitsubishi ใหม่ในชื่อว่า Shin Mitsubishi-Heavy Industries และรื้อฟื้นแฟนกรถยนต์ขึ้นมาใหม่ในปี 1953 พร้อมเปิดตัวรถซีดานขนาดเล็ก Mitsubishi 500 ในงาน Tokyo Motor Show เมื่อปี 1959

    และในปี 1961 ก็เปิดตัวรถบรรทุกพานิชย์ Mitsubishi 360 ซึ่งก็มีทั้งแบบรถตู้ 2 ที่นั่ง, 4 ที่นั่ง, ยันรถกระบะ  ซึ่งก็ขายดีมากจนมียอดผลิตถึง 54,000 คัน และยังเป็นปีแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทยอีกด้วย ด้วยการนำเข้ารถจากญี่ปุ่นมาขายก่อนที่ต่อมาในปี 1962 Mitsubishi เปิดตัวรถ Kei Car ตระกูล Minica รุ่นแรก และเปิดตัว Colt รุ่นแรก จนมาถึงปี 1964 Mitsubishi ออกรถนั่งซีดานที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้นด้วยชื่อ Debonair เพื่อเจาะกลุ่มตลาดรถยนต์หรู และยังเป็นรถประจำตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Mitsubishi อีกด้วย

    ภายในปีนั้นเอง 2 บริษัทที่เหลือก็กลับมารวมตัวกันเป็น Mitsubishi Heavy Industries เหมือนเดิม ก่อนจะสร้างผลงานด้วยยอดการผลิตรถยนต์กว่า 75,000 คันภายใน 3 ปี และในปี 1968 Mitsubishi ก็ออกรถตู้ Delica รุ่นแรก ตามมาด้วยปี 1969 Mitsubishi ก็ออกรถ Galant รุ่นแรก งานนี้ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ด้วยผลงานที่ผ่านๆ มานี้ทำให้เติบโตไวมากครับจนในวันที่ 22 เมษายน ปี 1970 Mitsubishi ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทในเครืออย่าง Mitsubishi Motors เพื่อผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในขนะที่ Mitsubishi Heavy Industries ที่เป็นเฮดใหญ่ก็หันไปทำอย่างอื่นต่อ

    • ก้าวสู่ตลาดโลก

    หลังจากก่อตั้ง Mitsubishi Motors มาได้ 1 ปี เฮดใหญ่อย่าง Mitsubishi Heavy-Industries ก็ขายหุ้น 15% ของผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง Chrysler ให้ไปใช้ลงทุนต่อ ทำให้ Chrysler สามารถเอารถ Galant มาขายในตลาดพี่มะกันได้ในชื่อว่า Dodge Colt และยังขายในชื่อว่า Chrysler Sigma ในตลาดออสเตรเลีย

    Mitsubishi Lancer โฉมที่ 1 (1973)

    และในปี 1973 Mitsubishi Lancer โฉมแรกก็ปล่อยออกสู่ท้องตลาด พร้อมกับสร้างผลงานในการแข่งขัน Australian Souther Cross Rally กินเรียบ 4 อันดับแรก

    ในปี 1977 ดีลเลอร์ของ Mitsubishi ภายใต้ชื่อ Colt เริ่มแพร่กระจายไปทั่วยุโรป เนื่องจาก Mitsubishi มีความตั้งใจที่จะขายในตลาดต่างประเทศเอง ไม่ต้องผ่านค่ายรถเจ้าอื่น ทำให้ยอดการผลิตของรถ Mitsubishi พุ่งสูงขั้นถึง 500,000 คันในปี 1973 และ 965,000 คันในปี 1978

    Mitsubishi Galand Lambda

    ในขณะที่ Chrysler เองก็เอา Mitsubishi Galant Lambda มาขายในแบรนด์ Dodge Challenger และ Plymouth Sapporo ดูเหมือนว่าการรุกตลาดเข้ามาของ Mitsubishi ครั้งนี้ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่าง 2 ค่ายนี้ ไม่มีใครยอมใครเลยครับ ในช่วงปีนี้เอง Mitsubishi ก็ออกรถรุ่น Mirage เป็นโฉมแรก รวมถึงยังเปิดตัวรถกระบะขนาด 1 ตันรุ่นแรกในชื่อว่า L200 อีกด้วย

    จนในช่วงยุค 1980 Mitsubishi Motors บรรลุเป้าหมายในการขยายกำลังการผลิตได้มากถึง 1 ล้านคัน ตัดภาพมาที่ Chrysler กลายเป็นว่านอนพะงาบ จะเจ๊งอยู่รอมร่อ ทำให้ต้องขายฐานการผลิตในออสเตรเลียให้กับ Mitsubishi ไปในที่สุด

    Mitsubishi Tredia

    Mitsubishi Cordia

    Mitsubishi Starion

    ในปี 1982 นี้เอง Mitsubishi ก็ได้เปิดตัวไลน์อัพรถภายใต้แบรนด์ของตัวเองในตลาดสหรัฐอเมริกาทั้ง Tredia, Cordia และ Starion วางขายผ่านดีลเลอร์ 70 แห่งใน 22 รัฐ แต่เนื่องจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่น กับ สหรัฐฯ ทำให้มีการจำกัดจำนวนรถที่ส่งไปขาย ไม่เกิน 30,000 คัน จากที่รวมกับรถของ Chrysler ทั้งหมด 120,000 คัน รวมถึงยังเปิดตัว Pajero รุ่นแรกในญี่ปุ่นอีกด้วยก่อนที่ในปีต่อมาก็เปิดตัว Galant โฉมที่ 5 ซึ่งเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรก ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 Mitsubishi ก็ออกแคมเปญโฆษณาต่างๆ ตามโทรทัศน์ทั่วสหรัฐฯ  และหมายมั่นปั้นมือว่าจะขยายเครือข่ายดีลเลอร์ให้ถึง 340 เจ้า

    ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Mitsubishi กับ Chrysler จะยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ยังมีการตกลงร่วมมือกันตั้งฐานการผลิตในเมือง Normal รัฐ Illinois ในเดือนตุลาคม ปี 1985 โดยลงทุนกันคนละครึ่ง ในเดือนเมษายน ปี 1986 ก็มีการขยายโรงงานจนใหญ่ถึง 177,000 ตรม.และในปี 1987 รถที่ออกมาจากโรงงานนี้ทำยอดขายไปได้ 67,000 คัน และเมื่อโรงงานสร้างจนเสร็จในเดือนมีนาคมปี 1988 ก็ทำให้สามารถผลิตรถออกมาได้ถึง 240,000 คันต่อปี และยังเปิดตัวรถสปอร์ตคูเป้ 4 ที่นั่งถึง 3 คันเหมือนพี่น้องกันเลย ได้แก่ Mitsubishi Eclipse, Eagle Talon และ Plymouth Laser

    Mitsubishi Minicab

    ในขณะที่ตลาดฝั่งเอเชีย Mitsubishi ก็ขอกับ SAIC-GM-Wuling จากเมืองจีน ให้ช่วยผลิตรถ Kei Truck อย่าง Minicab ทำให้กลายเป็นแบรนด์รถญี่ปุ่นรายที่ 3 ที่มีฐานการผลิตรถ Kei Truck ในประเทศจีน ต่อจาก Daihatsu กับ Suzuki

    • ยุคสมัยของรถซิ่ง

    Mitsubishi 3000GT

    ปี 1990 Mitsubishi เปิดตัวรุ่น 3000GT หรือในชื่อว่า GTO รถสปอร์ตซิ่งพร้อมลงสนาม 2 ประตู 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ขุมพลัง V6 ขนาด 3 ลิตรเทอร์โบคู่ พร้อมกันนั้นยังเปิดตัวรถซีดานหรู รุ่น Diamante ถือได้ว่า ทั้ง 2 คันนี้ Mitsubishi มีเท่าไหร่ ใส่หมดจริงๆ ไม่มีกั๊ก ซึ่งเจ้า Diamante นี้เองก็ได้รับรางวัล Car of the Year Japan ถึง 2 ปีติด และในปี 1991 Mitsubishi ก็โชว์เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้มายาวนานมาก นั่นก็คือระบบวาล์วแปรผัน MIVEC นี่เองที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานดีขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้น จนมาถึงปี 1992 Mitsubishi เปิดสายการผลิตในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม แหลมฉบัง

    ในตลาดสหรัฐฯ คราวนี้ Chrysler ตัดสินใจขายโรงงานที่ก่อตั้งมาด้วยกันในปี 1993 ทำให้โรงงานนี้เป็นของ Mitsubishi ไปโดยปริยาย ก่อนที่ต่อมาโรงงานนี้ก็ถูกปิดไปในเดือนพฤษภาคมปี 2016 และถูกขายให้กับแบรนด์สตาร์ทอัพรถกระบะไฟฟ้าน้องใหม่อย่าง Rivian ในปี 2017

    ในปี 1996 Mitsubishi เปิดตัวรถ Lancer Evolution รุ่นแรก และเปิดตัวรถรุ่น FTO ที่มาพร้อมเกียร์ INVECS-II และได้รับรางวัล Car of the Year Japan ตั้งแต่ปี 1996-1997 แต่ในเวลาต่อมากระแสความนิยมรถ SUV จากสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มลามมาที่ญี่ปุ่น แน่นอนว่าไม่มีผู้ผลิตญี่ปุ่นเจ้าไหนสนใจ ยกเว้น Mitsubishi ที่ลองวัดดวง และก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าจริง เพราะหลังจากที่เปิดตัวรถ Pajero Mini และ Delica Space Gear ในปี 1994 Mitsubishi ได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นมาเป็น 11.6% ในปีถัดมา

    • Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance

    ตั้งแต่ในปี 2016 เป็นต้นมา Mitsubishi ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกรายที่สาม ในความร่วมมือระยะยาว Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นความร่วมมือที่มีเพียงแค่ Renault กับ Nissan เท่านั้นตั้งแต่เมื่อปี 1999 ก่อนที่ Nissan จะเข้ามาถือหุ้นใน Mitsubishi ด้วยจำนวน 34% และดึงเอาเข้ามาเป็นสมาชิก ทำให้ผู้ผลิตรถทั้ง 3 เจ้านี้มีโอกาสที่จะได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงยังมีการแชร์ชิ้นส่วนและแพลตฟอร์มรถยนต์ให้ใช้ร่วมกันอีกด้วย จนกลายเป็นพันธมิตรยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยยอดขายรวมกว่า 10 ล้านคันในปี 2017

    ตัวอย่างรถยนต์ Mitsubishi ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือนี้ก็อย่างเช่น รถไฟฟ้า i-MiEV, Outlander รุ่นล่าสุดที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Nissan X-Trail, Xpander, Xpander Cross, Eclipse Cross และ Triton ที่ได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีจากเพื่อนร่วมทีม

    หลังจากที่ Mitsubishi เข้ามาเป็นสมาชิกแล้วก็ยังได้ Carlos Ghosn ขึ้นมาเป็น CEO ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถพลิกบริษัทที่ขาดทุนให้กลับมาทำกำไรได้ในเวลาไม่นาน แต่เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น เมื่อ Ghosn โดนเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นรวบตอนลงจากเครื่องบินส่วนตัวที่สนามบินฮาเนดะ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2018 ด้วยข้อหา รายงานรายได้น้อยกว่าความเป็นจริง และยักยอกเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว หลังจากที่ถูกจับกุมไปได้ 3 วัน เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งประธานของผู้ผลิตรถทั้ง 3 เจ้านี้ทันที และนี่ยังเป็นเพียงคดีแรกเท่านั้น เพราะคดีต่อมา คือ ในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ญี่ปุ่น Ghosn ก็แอบหลบหนีไปฉลองปีใหม่ ปี 2020 ที่เลบานอน เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงกับทั้งแบรนด์รถทั้ง 3 เจ้า ทำให้ยอดขายและกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง และนั่นจึงทำให้ Mitsubishi ต้องดึงเอานาย Osamu Masuko มาเป็น CEO คนใหม่

    และเมื่อล่าสุดวันที่ 27 มกราคม 2022 กลุ่มพันธมิตรนี้ ก็ประกาศแผนใหม่ Alliance 2030 เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า, ระบบขับขี่อัตโนมัติ, เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และการลดต้นทุนในการผลิตนี่เอง แล้วในปี 2023 Mitsubishi ก็เปิดตัวรถรุ่น ASX โฉมที่ 2 ซึ่งพัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกันกับ Renault Captur โฉมที่ 2 และ Colt ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Renault Clio โฉมที่ 5 ซึ่งมาพร้อมระบบ Hybrid และ Plug-in Hybrid ทั้งคู่เลย

    นี่คือเรื่องราวอันยาวนานถึงร้อยปีของ Mitsubishi จากรากเหง้าแห่งความกล้า สู่นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโลก สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ตำนานจิ๋ว “Suzuki VanVan” คืนชีพในร่างไฟฟ้า! “e-VanVan” เตรียมเผยโฉมเต็มพิกัดในงาน Japan Mobility Show 2025!

    1 Min Read

    ตำนานจิ๋ว “Suzuki VanVan” คืนชีพในร่างไฟฟ้า! “e-VanVan” เตรียมเผยโฉมเต็มพิกัดในงาน Japan Mobility Show 2025!

    แฟน ๆ สองล้อทั่วโลกเตรียมเฮ! เมื่อค่ายคนบ้าอย่าง Suzuki เตรียมชุบชีวิตมอเตอร์ไซค์สุดรักในตำนานอย่าง VanVan ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในยุคแห่งพลังงานสะอาด! การกลับมาครั้งนี้มาพร้อมชื่อใหม่สุดล้ำ “Suzuki e-VanVan” มอเตอร์ไซค์คอนเซ็ปต์ไฟฟ้า (BEV Fun Bike) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปลุกจิตวิญญาณแห่งความสนุกและอิสระในการขับขี่ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง!

    ย้อนตำนาน: “VanVan” มินิไบค์ขาลุยที่ไม่มีวันตาย

    ก่อนจะไปตื่นเต้นกับยุคใหม่ เราต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับต้นตำนานอย่าง Suzuki VanVan ที่เปิดตัวครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1970 ในชื่อตระกูล RV Series (เช่น RV50, RV90, RV125) เอกลักษณ์ที่ทำให้ VanVan ไม่เหมือนใครและเป็นที่รักของเหล่าไบค์เกอร์ก็คือ ยางบอลลูน” (Balloon Tire) ขนาดใหญ่และหนาเป็นพิเศษ ที่ไม่ว่าจะเจอกับพื้นผิวทราย ชายหาด ดินลูกรัง หรือถนนทั่วไป ก็สามารถพาผู้ขับขี่ บัง ๆ” (ไปเรื่อย ๆ) ได้อย่างสนุกสนานและมั่นคง ด้วยดีไซน์ไฟหน้ากลม เบาะนั่งยาวเรียบ และรูปลักษณ์ที่ดูขี้เล่น ทำให้ VanVan กลายเป็นสัญลักษณ์ของความชิลล์และความสนุกแบบไม่ผูกมัด มันห่างหายไปพักหนึ่ง ก่อนจะถูกนำกลับมาอีกครั้งในยุค 2000 ในรุ่น RV125 และ VanVan 200 ที่อัพเกรดเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะ พร้อมหัวฉีด แต่ยังคง DNA ความน่ารักและลุยได้ทุกที่ไว้เต็มเปี่ยม

    e-VanVan: เรโทรล้ำยุค! ข้อมูลสำคัญที่ไม่ควรพลาด

    และในปี 2025 นี้! Suzuki ได้ตัดสินใจพาตำนาน VanVan ก้าวเข้าสู่ยุค EV อย่างเต็มตัว ภายใต้ชื่อ e-VanVan! แม้ว่าจะเป็นเพียงคอนเซ็ปต์ไบค์ แต่ข้อมูลเบื้องต้นที่เผยออกมาก็ทำเอาแฟน ๆ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ!

    • แรงบันดาลใจจากยุคแรก: หลายคนอาจจะตกใจว่าทำไมหน้าตาของ e-VanVan ไม่เหมือน VanVan 200 รุ่นที่เราคุ้นเคย? นั่นเพราะดีไซน์นี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก VanVan 90 ในปี 1971 ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นคลาสสิกของตระกูล!
    • โครงสร้างรองรับอนาคต: เพื่อรองรับการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทีมวิศวกรได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเฟรมจากแบบ Backbone ไปเป็นแบบ Cradle (เปล) ซึ่งเป็นการผสานความคลาสสิกของดีไซน์แรกเข้ากับโครงสร้างที่แข็งแรงและทันสมัยของรถ EV อย่างลงตัว
    • สมรรถนะที่น่าจับตา: ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า e-VanVan ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่มีพละกำลัง เทียบเท่ารถคลาส 125 ซีซี ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่ใช่แค่รถขี่เล่น แต่สามารถใช้งานจริงได้อย่างสนุกสนานและคล่องตัวในเมือง!
    • สมรรถนะที่น่าจับตา: ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า e-VanVan ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่มีพละกำลัง เทียบเท่ารถคลาส 125 ซีซี ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่ใช่แค่รถขี่เล่น แต่สามารถใช้งานจริงได้อย่างสนุกสนานและคล่องตัวในเมือง!
    • เทคโนโลยีสมัยใหม่: จากภาพคอนเซ็ปต์ เราได้เห็นรายละเอียดของชุดโช้คอัพหน้าแบบ หัวกลับ (Upside-Down), ดิสก์เบรกหน้า-หลัง พร้อมระบบ ABS เฉพาะด้านหน้า และเรือนไมล์แบบ ดิจิทัลสี ที่คาดว่าจะมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้

    ปักหมุดรอ! การเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่ Tokyo

    สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ การเปิดเผยข้อมูลสำคัญทั้งหมด! ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคอย่างละเอียด (เช่น กำลังขับเคลื่อน, ขนาดแบตเตอรี่, ระยะทางวิ่งต่อชาร์จ) และที่สำคัญที่สุดคือ แผนการผลิตเพื่อจำหน่ายจริงในอนาคต จะถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการในงานใหญ่ประจำปีของญี่ปุ่น Japan Mobility Show 2025 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม นี้!

    นี่ไม่ใช่แค่การเปิดตัวรถใหม่ แต่มันคือการประกาศการกลับมาของตำนานที่ทุกคนคิดถึง ในเวอร์ชันที่เข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว! แฟน ๆ มอเตอร์ไซค์ต้องเกาะติดสถานการณ์นี้ไว้ให้ดี เพราะ e-VanVan อาจเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของ Suzuki และเป็นนิยามใหม่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เน้นความสนุกแบบ “ไม่เร่งรีบ แต่ไม่หยุดนิ่ง”!


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ต้นกำเนิด Forza 750

    1 Min Read

    ต้นกำเนิด Forza 750

    รู้หรือไม่? Forza 750 กับ Forza 350 ถึงชื่อจะเหมือนกันแต่อาจจะไม่ได้เป็นญาติกันอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แม้ว่าในตลาดยุโรป จะมี Forza ตั้งแต่ขนาด 125 cc มาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ตาม ทว่า Forza 750 ไม่ได้ถูกพัฒนามาจาก Forza รุ่นเล็ก แต่มาจากรถสกูตเตอร์อีกรุ่นหนึ่ง

    เรื่องราวของ Honda Forza 750 ต้องเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวของรถ Maxi Scooter รุ่นนึงอย่าง NC700D เมื่อปี 2010 หรือในชื่อเล่นว่า Integra ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับรถสปอร์ตซึ่งชื่อดังรุ่นหนึ่งของฮอนด้าตั้งแต่ยุค 80-90 โดยที่เจ้า Integra รุ่นนี้ยังเป็นเพียงรถต้นแบบเท่านั้น จนกระทั่งทาง Honda เปิดตัวรถรุ่นผลิตจริงในงาน EICMA ปี 2011

    สำหรับจุดเด่นของ Integra คือการออกแบบที่มีพื้นฐานมาจากการออกแบบรถบิ๊กไบค์ NC700X และ NC700S ซึ่งเป็นรถ Dual-Sport ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์และเฟรม แทบจะเรียกได้ว่าคนละเซกเมนต์กันเลย โดยที่เครื่องยนต์เป็น 2 สูบคู่เรียงรุ่น RC61E ขนาด 670 cc 4 จังหวะ แคมเดี่ยว 4 วาล์ว ซึ่งให้พละกำลังสูงสุด 51.1 แรงม้า และบางคันถูกปรับจูนใหม่ให้พละกำลังลดลงเหลือ 47 แรงม้า เพื่อให้รองรับกับใบขับขี่ยุโรประดับ A2

    และที่สำคัญคือการนำระบบเกียร์ DCT (Dual Clutch Transmission) 6 สปีด มาใช้ ทำให้ได้ฟีลลิ่งการขับขี่ในแบบรถสกูตเตอร์ แต่ยังคงให้สมรรถนะของรถบิ๊กไบค์ โดยที่สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 166.9 กม./ชม. เมื่อวัดจาก GPS และทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ 5.6 วินาที จากการทดสอบโดยสื่อรถมอเตอร์ไซค์เยอรมัน Scooter und Sport เมื่อปี 2012

    และในปี 2014 Integra ก็ได้มีการปรับโฉมใหม่โดยการเพิ่มขนาดกระบอกสูบขึ้นมาเป็น 745 cc ทำให้ได้พละกำลังที่สูงขึ้นถึง 54 แรงม้า และเปลี่ยนรหัสรุ่นเป็น NC750D

     

    ถึงแม้ว่าตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทยจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเจ้า Integra นั้นกลับไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตลาดไทยเท่าไหร่นัก เพราะในช่วงยุคนั้น คนไทย ยังชอบรถบิ๊กไบค์แบบมีเกียร์มากกว่า

    ต่อจากนั้นอีกหลายปีจนมาถึงช่วงหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความนิยมในรถสกูตเตอร์ก็เริ่มพุ่งสูงมากขึ้น เนื่องจากความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวันและยังสามารถเดินทางออกทริปไกลๆ ได้ดี ทาง Honda จึงมองเห็นโอกาสที่จะทำตลาดอีกครั้งด้วยการเปลี่ยนชื่อจาก Integra กลายมาเป็น Forza 750

    ในปี 2021 ซึ่งชื่อของ Forza นั้นมีความเป็นไปได้สูงมากว่าเป็นเพราะ อานิสงค์จากความสำเร็จและความนิยมของบิ๊กสกูตเตอร์ Forza ตั้งแต่รุ่น 250 ในช่วงปี 2000 ต้นๆ จนถึงรุ่น 350 ในยุคปัจจุบันนี่เอง นอกจากนี้ Forza 750 ยังมีชื่อรหัสโมเดลว่า NSS750 ซึ่งย่อมาจาก New Standard Scooter

    และ Forza 750 ก็ยังหยิบยกเอาทั้งเครื่องยนต์และระบบเกียร์ DCT มาจากรุ่นพี่อย่าง Integra มาแทบทั้งหมด พร้อมกับใส่ฟีเจอร์ใหม่ๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็น Honda RoadSync, คันเร่งไฟฟ้า, โหมดการขับขี่ที่เยอะกว่า Integra หรือแม้กระทั่งระบบกุญแจ Smart Key

    หลังจากที่เปิดตัวใหม่ในชื่อว่า Forza 750 แล้วก็ยิ่งเป็นที่จับตามองมากขึ้นในตลาดไทย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่ยอมเอาเข้าตลาดไทยสักที จนกระทั่งในปี 2025 งาน Motor Show ที่ผ่านมา Forza 750 ก็เปิดตัวและวางขายในตลาดไทยสมกับการรอคอย ซึ่งปรับเปลี่ยนดีไซน์ไปจากเดิมมาก และวัสดุในการทำชุดสียังเปลี่ยนมาเป็น Durabio (ดูร่าไบโอ) ซึ่งเป็นวัสดุชีวภาพที่มีความทนทานสูง และยังรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนี้ยังให้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ทั้งระบบ Cruise Control, หน้าจอ TFT ที่อัปเกรดให้ดีขึ้น และระบบเกียร์ DCT ที่ปรับปรุงใหม่

    นี่คือเรื่องราวกว่าจะมาเป็น Forza 750 จนถึงทุกวันนี้ จากแนวคิดที่ต้องการผสานความสบายในการขี่กับสมรรถนะระดับสปอร์ต เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ขับทุกครั้งที่บิดคันเร่ง สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment