-
“ดอกยาง”…คุณสมบัติที่แตกต่าง
ขึ้นหัวเรื่องมาแบบนี้ แน่นอนที่สุดครับกลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องราวของการใช้รถ ทุกวันนี้จำนวนการใช้รถยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน บางคนใช้รถมานานแต่ไม่มีความรู้เรื่องรถ บางคนไม่ได้ใช้รถแต่ชอบศึกษาเรื่องรถ ก็มีมากมายหลายแบบต่างๆกันไป แต่จะรู้หรือไม่รู้นั้นก็ควรที่จะศึกษาเอาไว้เผื่อในอนาคตข้างหน้ามีเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ เอาละครับเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า สำหรับในคอลัมน์นี้จะมาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับดอกยางรถยนต์กัน ว่ามีกี่แบบ แล้วแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกใช้กันให้ถูกประเภทนั่นเองครับ
ดอกยางรถยนต์ในปัจจุบันนี้มีให้เห็นกันอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละค่ายแต่ละแบรนด์ต่างก็สร้างความแตกต่างให้กับตัวเองด้วยการออกแบบลายของยางให้สวยงามโดดเด่นพร้อมกับคุณภาพที่มากขึ้น ดอกยางนั้นเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนอยู่ตลอดเวลาในขณะที่รถวิ่ง ลายของยางหรือร่องของยางทำหน้าที่ยึดเกาะถนน เพื่อให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นลายของยางจึงมีผลต่อการขับขี่เป็นอย่างมาก ส่วนร่องของยางจะลึกหรือตื่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับประเภทของยางและการใช้งาน
ดอกยางแบบ 2ทิศทาง (DUAL) ดอกยาง ประเภทนี้ จะสามารถ ทำการ สลับยาง ได้ทุกตำแหน่ง ลักษณะมี ดอกยาง สวนทางกัน จึงไม่เน้นในเรื่องของ ความเร็วสูงมากนัก แต่ก็ใช้ได้อย่าง สะดวกสบาย ซึ่งข้อดีของยางประเภทนี้ก็คือไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ยางสลับด้านกัน สามารถใส่ได้ทั้งสองด้านทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ดอกยางแบบทิศทางเดียว (ROTATION) ดอกยางจะมีลักษณะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังมีสัญลักษณ์ลูกศรแสดงไว้ที่บริเวณแก้มยาง เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่งของการหมุนของล้อให้เราสามารถใส่ได้อย่างถูกต้อง ดอกยางประเภทนี้ ถูกออกแบบมาให้สามารถรีดน้ำได้ดีกว่าประเภทแรก เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการทรงตัวในขณะใช้ความเร็วได้ดี ดอกยางประเภทนี้เหมาะกับการใช้งานทั้งถนนเปียกและถนนแห้ง ครับ
ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน (ASYSIMATIC) ดอกยางจะมีลักษณะเป็นดอกยางที่ไม่เท่ากัน ด้านหนึ่งจะหนากว่าอีกด้านหนึ่ง เหมาะสำหรับการขับขี่แบบเข้าโค้ง หรือ เหมาะสำหรับในรถยนต์บางยี่ห้อ ที่ออกแบบให้การขับขี่มีการเข้าโค้งในความเร็วสูง แต่สำหรับบ้านเราก็อาจมีไม่มากนัก สำหรับดอกยางประเภทนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานแบบเฉพาะเจาะจงครับ ไม่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือชีวิตคนเมืองอย่างบ้านเรานั่นเองครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับผู้ที่ใช้รถในชีวิตประจำวัน และกำลังถึงระยะเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยาง ยังไงก็อย่าลืมเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งานกันด้วยครับ และที่สำคัญอย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทนะครับเพื่อความปลอดภัยกับตัวเองและคนรอบข้าง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
HALOGEN-XENON-LED ต่างกันอย่างไร…?
ยุคสมัยเปลี่ยนไป อะไรก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งไฟรถยนต์ก็ยังไม่หยุดพัฒนาปรับเปลี่ยนกันไปตามสมัยนิยม สำหรับผู้ที่ใช้รถมาไม่น้อยกว่าสิบปีก็คงจะเห็นได้อย่างชัดเจนครับว่าหลอดไฟที่ถูกใช้อยู่ในรถแต่ละรุ่นนั้นมีให้เลือกเต็มที่ก็แค่สีเหลือง สีแดง สีเขียว สีฟ้า สีม่วง ก็ว่ากันไปตามแล้วแต่ชอบ หรือไม่ชอบก็แล้วแต่ พอมาถึงยุคนี้มีหลอดไฟให้เลือกกันหลายแบบโดยเฉพาะเรื่องของความสว่าง มีให้เลือกกันจนงงไปหมด ในคอลัมน์นี้จึงได้นำหลอดไฟทั้งสามชนิดมาแยกประเภทให้ดูกันครับว่า HALOGEN,XENON,LED มันมีความแตกต่างกันอย่างไรทั้งคุณภาพและราคา
Halogen หลอดแบบมีไส้ภายในบรรจุก๊าซฮาโลเจน ซึ่งแตกต่างแค่รายละเอียดด้านขนาด รูปทรงของฐาน ความสว่าง หรือจำนวนของไส้ โดยมีรหัสเรียก เช่น H1 H2 H3 H4 มีราคาตั้งแต่หลอดละ50 บาท ไปจนถึงหลอดไฟของแต่ง ราคาหลอดละเป็นพันบาท เปรียบเทียบการทำงานแบบง่ายๆ ของหลอดฮาโลเจน ก็คือ หลอดไฟแบบมีไส้ จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไป ทำให้ไส้ร้อนเปล่งแสงผ่านก๊าซที่ชื่อ ฮาโลเจนที่บรรจุอยู่ในหลอดรอบตัวไส้ ถ้าหลอดแตกจนก๊าซรั่วหรือไส้ขาดก็เสีย รับไฟ 12 โวลต์ตรงๆ จากระบบปกติของรถ
การเปิดให้สว่างก็แค่จ่ายกระแสไฟเข้าไฟแสงจะสว่างขึ้นอย่างฉับไว แบบเดียวกับที่กะพริบไฟสูงหากยังงงให้นึกถึงหลอดไฟที่ใช้ในบ้าน เป็นหลอดกลมๆ ทรงคล้ายน้ำเต้า มีไส้ต่อไฟโดยตรงนั่นเอง แสงของไฟมักจะสว่างแบบอมเหลือง
Xenon ส่วนหลอดไฟ XENON ภายในบรรจุก๊าซชื่อ XENON ไม่มีไส้โดยตรงแบบฮาโลเจน ทำงานคล้ายกับหลอดไฟนีออนที่ใช้ในบ้าน ต้องมีตัวแปลงและควบคุมกระแสไฟ เรียกว่า บัลลาร์ด เป็นกล่องคั่นระหว่างสายไฟปกติ ก่อนต่อเข้าตัวหลอด แสงจะออกมานวลๆ การเปิดให้หลอด XENON สว่าง ตัวบัลลาร์ดจะสร้างกระแสไฟฟ้าระดับ 20,000 กว่าโวลต์ ส่งเข้าไปยังตัวหลอดเพื่อจุดในครั้งแรก และในอีกประมาณ 1-2 วินาที ก็จะลดกระแสไฟฟ้าลงเหลือ 12 โวลต์ (หรือไม่กี่สิบโวลต์) ต่อเนื่องไป
สรุปง่ายๆ ว่า ระบบไฟ XENON มีกระแสไฟเป็นหมื่นโวลต์ถูกสร้างขึ้นด้วยกล่องบัลลาร์ดในช่วงสั้นๆ เพื่อจุดหลอดให้สว่างเท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะลดไฟลงมาเหลือไม่กี่สิบโวลต์คงความสว่างไว้ตัวหลอด XENON จะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาที กว่าจะสว่างเต็มที่หลังจากจุดครั้งแรก จึงทำให้ถูกใช้แต่หลอดไฟต่ำแต่ไม่ใช้กับไฟสูง เพราะสว่างไม่ทัน ถ้ามีการกะพริบไฟหรือเปิดไฟสูงในทันที ไฟ XENON ที่มีทั้งไฟต่ำและสูง จึงไม่ใช่เป็นการแยก 2 หลอดจุดหลอดใหม่ แต่ใช้หลอดเดียวต่อข้าง สว่างตลอด และใช้การเลื่อนตัวหลอดหรือตัวบัง ให้เปลี่ยนเป็นไฟต่ำหรือสูงได้ในหลอดที่สว่างตลอดอยู่หลอดเดียว
LED ในความเป็นจริงแล้วเป็นหลอดที่มีมานานมากแล้ว เพียงแต่ความสว่างมันยังไม่มากพอต่อการใช้งาน ปัจจุบัน LEDถูกพัฒนาจนสามารถสร้างความสว่างได้มากพอต่อการใช้งานจริง หลักการให้กำเนิดแสงง่ายมากครับ โดยแสงจะเกิดจากชิปของ LED (ไดโอดเปล่งแสง)และควบคุมกระแสด้วยไดรเวอร์ สังเกต LEDที่มีความสว่างมากพอต่อการใช้งานจะต้องมีกล่องไดรเวอร์พ่วงมาด้วยครับ ข้อดีคือสว่างกว่าฮาโลเจนถึง 3-4เท่ากันเลยทีเดียว และที่สำคัญคือความร้อนน้อย อายุการใช้งานยาวกว่าซีนอนและฮาโลเจน ข้อเสียก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของราคาค่าตัวแหละครับ ที่มีราคาค่อนข้างสูงไปสักหน่อย
ชอบแบบไหนก็เลือกใช้แบบนั้นกันไปครับ เลือกใช้งานให้ถูกประเภท เปลี่ยนแล้วก็อย่าลืมเช็คกันให้ดีครับว่าไปแยงตาเพื่อนร่วมทางหรือป่าว ไม่ใช่ว่าสวยถูกใจเราแต่ลำบากเพื่อนร่วมทาง แบบนี้มีให้เห็นกันเยอะมากครับ ยังไงก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับการปรับแต่งรถนะครับแล้วพบกันไปคอลัมน์หน้า สวัสดีครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
วิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝน
หลายท่านคงมีความกังวลเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน การขับขี่รถก็ต้องใช้ความระมัดระวังขึ้นเป็นอย่างมากและมักเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง ในคอลัมน์นี้เรามาดูกันว่าขับรถอย่างไรให้ปลอดภัยในช่วงฤดูฝน
- เปิดใบปัดน้ำฝน ปรับระดับความเร็วให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้บดบังทัศนวิสัยและถ้าปรับใบปัดน้ำฝนในความเร็วที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้ทัศนวิสัยเบลอได้
- ใช้น้ำฉีดกระจก เพื่อใช้ชะล้างคราบโคลนหรือคราบอื่นๆที่บดบังทัศนวิสัยให้ออกไปได้ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน
- ใช้ไฟหน้าและไฟท้ายรถ ให้สว่างเพื่อที่จะให้เห็นได้จากระยะไกลได้ชัดเจน
- ไม่ขับรถชิดจากท้ายคันหน้ามากเกินไป ให้เว้นระยะจากรถด้านหน้าอย่างน้อย 10-20 เมตร เพื่อที่จะสามารถเบรกรถได้อย่างปลอดภัย
- เมื่อรถลื่นไถล ไม่ควรเบรกทันที ให้ลดความเร็วและใช้เกียร์ต่ำแล้วค่อยเบรก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
- ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป ควรขับไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อที่จะควบคุมรถได้อย่างสม่ำเสมอ
- ควรตรวจสอบสภาพของรถให้พร้อมใช้งาน เพื่อที่จะทำให้รถพร้อมกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เช่น ระบบเบรก ยาง สัญญาณไฟ
- ขับช้าๆในช่วงที่มีน้ำท่วมขัง ลดความเร็วลง เพื่อไม่ให้น้ำเข้าในเครื่อง แต่ถ้าน้ำท่วมสูงเกินไป ก็ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้น
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
A-ARM มันดียังไง..ต้องไปดู..!!!
มุดลงล่างกันหน่อยช่วงนี้…..อย่างพึ่งตกใจไปครับ มุดดูใต้ท้องรถครับไม่ได้ไปมุดอะไรที่ไหน ก็ต้องตามกระแสกันหน่อยสำหรับสายซิ่งสิงห์ควันดำบ้านเรา แต่ละอู่แต่ละสำนักต่างก็ปรับแต่งเครื่องยนต์กันแรงๆทั้งนั้น สุดท้ายภาระก็มาตกอยู่ที่ช่วงล่างสิครับ จะทำยังไงดีที่จะจับแรงม้าลงพื้นให้ได้ครบทุกตัว นั่นแหละครับคือที่มาของคอลัมน์นี้ จะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับช่วงล่างซิ่งของเหล่าบรรดารถกระบะกันว่าเค้ามีวิธีเซ็ทกันอย่างไรทำไมถึงออกตัวดี วิ่งตรงเป็นไม้บรรทัดกันเลยทีเดียว
A-ARM มีหน้าที่ช่วยยึดเพลาไม่ให้เต้นในขณะที่เกิดแรงบิดในการออกตัว ในขณะที่เราใช้รอบในการออกตัวที่สูงขึ้น แน่นอนที่สุดครับแรงกระทำที่เกิดจากเครื่องยนต์จะส่งกำลังไปสู่ระบบขับเคลื่อน ถ่ายทอดไปสู่พื้นถนนผ่านล้อและยาง เมื่อแรงทุกอย่างถูกถ่ายทอดลงบนพื้นถนนจึงก่อให้เกิดอาการเพลาเต้น เมื่อเพลาเต้นจึงทำให้การถ่ายทอดกำลังลงสู่พื้นทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ เสียการควบคุม แต่เมื่อเราทำการติดตั้ง A-ARM เข้าไป ทำให้ลดอาการเต้นของเพลาเมื่อเพลาไม่สั่นในขณะที่ใช้รอบสูงในการออกตัว ก็จะช่วยให้รถไม่เสียอาการ สามารถขับขี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
A-ARM 1ข้างกับ2ข้างต่างกันอย่างไร สำหรับการติดตั้งแบบข้างเดียวเราก็จะเห็นกันในรถบ้านขับใช้งานอยากเพิ่มประสิทธิภาพให้กับช่วงล่างเหมาะกับรถที่ยังคงสเต็ปใช้งานอยู่ไม่ได้แรงมากถึงขนาดสเต็ปแข่งขัน แต่สำหรับแบบสองข้างนั้นจะเหมาะกับรถที่ใช้ในการแข่งขันมากกว่า เพราะว่าต้องมีการย้ายถังน้ำมันเชื้อเพลิงออก ตำแหน่งของ A-ARM จะต้องใช้พื้นที่ของถังน้ำมันเชื้อเพลิง การติดตั้ง A-ARM คู่ก็จะช่วยให้สามารถจับอาการรถได้สมบูรณ์ขึ้น สำหรับรถที่มีแรงม้าและแรงบิดในสเต็ปแข่งขัน
ติดตั้งA-ARMแล้วมีผลต่อการเข้าโค้งหรือไม่ ตอบได้เลยครับว่ามีผลดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ เนื่องจากการติดตั้งA-ARM จะช่วยให้ลดอาการรถบิดตัวในขณะที่เกิดแรงเหวี่ยงในการเข้าโค้ง เมื่อรถเกิดการบิดตัวน้อยลง หน้าสัมผัสของยางยังคงสัมผัสพื้นถนนแบบเต็มหน้า แน่นอนที่สุดครับ การยึดเกาะถนนเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอนครับ
อาการที่ได้หลังจากติดตั้ง A-ARM ความรู้สึกแรกก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอนครับในเรื่องของเพลาเต้น อาการนี้หายไปอย่างแน่นอน และอีกหนึ่งอย่างที่สัมผัสได้ก็คือ การออกตัวที่ตรงขึ้น ท้ายไม่ดิ้น ทำให้สามารถถ่ายทอดแรงม้าลงสู่พื้นได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงการขับรถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับของแต่งช่วงล่างที่เรียกได้ว่ามีประโยชน์ไม่น้อยกันเลยทีเดียวอย่างชุด A-ARM อยากได้สเต็ปไหนก็ไปเลือกใส่กันเอาครับ จะรถบ้านหรือรถแข่งก็ติดตั้งกันได้ครับ แต่ติดตั้งกันแล้วก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทกันด้วยครับ…
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
เบาะแต่งมีประโยชน์อย่างไร…ทำไมสายซิ่งนิยมใส่กัน ?
ก่อนอื่นต้องกล่าวคำว่า “สวัสดี” แฟนๆ REALTIME CAR MAGAZINE ที่น่ารักทุกท่านช่วงนี้อากาศยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง หนาว1วัน ร้อน 8วัน บางทีน้องฝนก็โผล่มา ประเทศไทยมีหลายฤดูจริงๆเลย แต่ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยน้ะครับ กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์เกร็ดความรู้คู่รถคุณ ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดคุยกันในเรื่องของเบาะซิ่งเบาะแต่งกันซ้ะหน่อย ไม่ใช่มีเงินก็ซื้อใส่ๆกันเข้าไป แต่ไม่เคยรู้ถึงคุณประโยชน์กันซ้ะเลย เบาะแต่ละรุ่นแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมต้องปรับเอนได้ ทำไมต้องหลังแข็ง ทำไมต้องหูกวาง เข้าไปติดตามดูกันครับ
“เบาะ” เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องโดยสาร ในรถยนต์ปกติที่ใช้กันก็จะเป็นทรงธรรมดา เป็นหนังแท้หนังเทียมบ้าง หรือเป็นกำมะหยี่บ้างเป็นผ้าบ้างก็สุดแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน อันนี้ก็เป็นเบาะแบบ STANDARD ติดรถ รถเดิมๆคงไม่มีปัญหาอะไรกับการขับขี่อย่างแน่นอน แต่เมื่อเรามาพูดกันถึงรถแต่งแล้ว เบาะถือว่าเป็นอุปกรณ์จำเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ จำเป็นในที่นี้คือ ของมันต้องมี แต่จริงๆแล้วเบาะจัดว่าเป็นอุปกรณ์อีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยปกป้องเราได้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และที่สำคัญเบาะที่ดีนั้นจะช่วยให้เรามีท่านั่งขับรถได้อย่างถูกวิธี ซึ่งก็จะส่งผลให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์
เบาะแต่งมีแบบไหนบ้าง? เราจะมาอธิบายให้เห็นภาพกันแบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคแต่อย่างใดให้ปวดหัว ความแตกต่างของเบาะแต่งนั้นจะมีความกระชับกว่าเบาะธรรมดา เมื่อนั่งแล้วจะรู้สึกเหมือนมีใครมาโอบอุ้มเราไว้ เริ่มต้นจากด้านล่างที่ช่วงขาทั้งสองข้างด้านซ้ายด้านขวาจะมีปีกขึ้นมารับเอาไว้ ต่อไปเลื่อนขึ้นมาตั้งแต่ส่วนเอวไปจนถึงใต้รักแร้ก็จะมีปีกยื่นออกมาทั้งสองข้างเช่นกันเพื่อรองรับร่างกายส่วนบน เลื่อนขึ้นมาที่ด้านบนอีกคือส่วนหัวไหล่ก็จะมีปีกยื่นออกมาอีกเช่นกัน เรียกได้ว่าเบาะแต่งนั้นสามารถช่วยให้เรายึดติดอยู่กับที่ไม่ดิ้นหลุดไปไหน ถ้าใครเคยขับรถเบาะเดิมแล้วมีการเปลี่ยนเลนด์กระทันหันหรือมีการโดดจั๊มเนินแรงๆ ก็คงจะเคยมีอาการหลุดเบาะกันบ้าง เบาะประเภทนี้สามารถปรับเอนนอนและพับมาด้านหน้าได้ แต่ถ้าขยับขึ้นมาอีกสเต็ปก็จะเป็นแบบเบาะหลังแข็ง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเบาะหลังแข็ง แน่นอนที่สุดครับมันไม่สามารถปรับอะไรได้อย่างแน่นอน นอนจากปรับเดินหน้าถอยหลัง สำหรับคนที่ใช้เบาะหลังแข็งก็จะรู้สึกว่าตัวจะตรงๆหน่อยครับ แต่ถือว่าเป็นท่านั่งที่ถูกวิธีน้ะครับ เบาะชนิดนี้จะไม่ค่อยเหมาะกับการขับขี่เดินทางไกลมาก เพราะร่างกายเราจะถูกบีบบังคับจัดทรงร่างกายด้วยเบาะ อาจจะไม่สะดวกในการปรับเปลี่ยนท่าขับรถได้ ซึ่งจะเหมาะกับกับขับขี่ในรูปแบบของการแข่งขันซ้ะมากกว่า แต่ก็มีหลายคนที่เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะความเท่ห์ของมันหลายคนจึงยอมเมื่อย และอีกหนึ่งรูปแบบของเบาะแต่งก็คือ แบบที่ใช้สำหรับในการแข่งขันเท่านั้น ซึ่งแบบนี้คงไม่เหมาะจริงๆที่จะมาขับขี่บนท้องถนน เราจะเรียกเบาะประเภทนี้ว่าเบาะแบบ FULL BUCKET SEAT เรียกได้ว่าผู้ขับขี่จะถูกเบาะชนิดนี้กลืนกินเข้าไปในเบาะเลยก็ว่าได้ ซึ่งปีกด้านล่างจะค่อนข้างสูง ปีกด้านข้างก็จะกว้างและสุดท้ายที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือช่วงด้านบนส่วนหัวจะถูกออกแบบให้ยื่นออกมาถึงตำแหน่งหูกันเลยทีเดียว หรือที่เราเรียกกันว่าเบาะทรงหูกวางนั่นเองครับ ด้วยทรงเบาะจะถูกบังคับให้คนขับมองแต่ด้านหน้าเท่านั้น ส่วนด้านข้างก็ทำได้เพียงแค่เหล่ๆมองกระจกมองข้างเท่านั้น
เลือกใช้เบาะแบบไหนให้เหมาะกับรถของเรา? อันนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกันครับ เรามาแบ่งประเภทรถกันก่อน คือ รถสี่ประตู รถสองประตู รถแข่ง แบ่งประเภทไว้เท่านี้พอ สำหรับรถสี่ประตูก็ตัดสินใจไม่ยากครับเพราะสามารถเลือกได้ทั้งแบบปรับได้และแบบหลังแข็ง แต่สำหรับรถที่เป็นแบบสองประตูกับหรือรถสปอร์ต ก็ต้องคิดกันก่อนที่จะเปลี่ยนเบาะแหละครับ ถ้าคิดว่าจะขับกันแค่สองคนโดยที่ไม่มีการขึ้น-ลงทางด้านหลังก็สามารถใส่เบาะหลังแข็งได้เลยครับ แต่ถ้าต้องมีการขึ้น-ลงด้านหลังด้วยก็ควรเลือกใส่แบบปรับได้จะดีกว่าครับ ส่วนรถแข่งก็ไม่ต้องคิดมากครับจัดให้เต็มที่กันไปเลย อย่างเช่น RECARO PRO RACER
เบาะแท้ เบาะเทียมแตกต่างกันหรือไม่ ? อันนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกันครับ แน่นอนที่สุดด้วยความแตกต่างกันในเรื่องของราคาค่าตัว ของแท้ราคาหลักหมื่นถึงหลักแสนต่อคู่ ส่วนของเทียบราคาหลักพันถึงหลักหมื่น(ก็มี) ความแตกต่างที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของความคงทนแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา เหล่านี้จะส่งผลชัดเจนในการเกิดอุบัติเหตุ แต่คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ป้องกันไว้ก็ไม่เสียหายอะไร วัสุดที่ใช้ทำเบาะจะมีความคงทนแข็งแรงสูง สามารถรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดีมีมาตรฐาน FIA และที่สำคัญ ผ้าที่ใช้ในการหุ้มเบาะนั้นจะมีคุณสมบัติที่ไม่ติดไฟในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วเกิดมีประกายไฟ ส่วนเบาะที่เป็นของเทียมนั้นจะดีตรงที่มีราคาไม่แพงครับแต่เรื่องของคุณภาพก็ตามราคาครับ ของถูกและดีไม่มีในโลกครับว่ากันไปตามน้ำ
ก็อย่าลืมเลือกใช้กันให้ถูกประเภทครับสำหรับเรื่องราวของเบาะแต่ง จะเป็นแบบปรับได้หรือแบบหลังแข็งหรือแบบ FULL BUCKET SEAT ก็สุดแล้วแต่ความชอบ ส่วนเรื่องของยี่ห้อก็เช่นกันมีให้เลือกมากมายหลายแบรนด์อยางเช่น RECARO,BRIDE,SPARCO KIRKEY, MOMO, OMP สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆมีความสุขสนุกสนานกับการแต่งรถ แต่ก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทนะครับ…สวัสดีครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
กรองเปลือย…เท่ห์อย่างเดียวหรือมีประโยชน์ด้วย
เกร็ดความรู้เรื่องรถยังคงมีมาให้ได้ดูและศึกษากันอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะในชีวิตประจำวันของเรายังคงดำเนินไปพร้อมๆกับรถเพราะรถเป็นยานพาหนะที่สามารถพาเราไปได้ทุกที่ที่อยากไป แต่สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดกันถึงอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่อยู่ภายในห้องเครื่อง และขาซิ่งบ้านเราชอบปรับเปลี่ยนกัน เปลี่ยนเพื่อความเท่ห์หรือเปลี่ยนเพื่อให้ได้ประโยชน์บางคนที่เปลี่ยนก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย สิ่งๆนั้นก็คือกรองเปลือยนั่นเองครับ เราไปหาคำตอบกันครับว่าเปลี่ยนเพื่ออะไร
“กรองเปลือย”หรือ“กรองอากาศ” เปรียบเสมือนผ้าปิดจมูกของเรานั่นเองครับ ซึ่งกรองอากาศมีหน้าที่กรองสิ่งสกปรกไว้ไม่ให้เข้าไปสู่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ในรถ STANDARD ทุกรุ่นทุกยี่ห้อจะมีระบบกรองอากาศติดตั้งไว้ที่ภายในห้องเครื่อง มีลักษณะเป็นกล่อง ภายในจะมีแผ่นกรองที่สามารถดักจับฝุ่นผงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เข้าไปภายในตัวเครื่องยนต์ กรองอากาศที่ติดมากับรถสามารถทำความสะอาดได้ด้วยการนำออกมาใช้ลมแรงๆเป่า แต่เมื่อถึงระยะตามกิโลแล้วก็ต้องทำการเปลี่ยนใหม่ เพราะของเก่าอาจเกิดการอุดตันจากการใช้งานได้ รู้จักหน้าที่ของกรองอากาศกันแล้วเดี๋ยวเราไปดูกันครับว่ากรองอากาศแบบเปลือยมันดีและไม่ดีอย่างไรบ้าง
ทำไมถึงต้องเปลี่ยนกรองเปลือย?…..ตอบแบบง่ายๆสั้นๆครับ มันทำให้ห้องเครื่องดูซิ่งและสวยดีครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วเหตุผลที่แท้จริงของการเปลี่ยนกรองเปลือยก็คือ การต้องการปริมาณอากาศที่เพิ่มมากขึ้นในกรณีที่เราได้ทำการปรับแต่งโมดิฟายเครื่องยนต์ เมื่อเราสามารถเอาอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้เพิ่มมากขึ้นได้ เราก็จะสามารถปรับจูนน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้นได้ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์ สิ่งที่ได้มาก็คืออัตราเร่งที่ดีขึ้นนั่นเองครับ และที่สำคัญก็คือการดูดอากาศที่โล่งขึ้น
รถเดิมๆใส่กรองเปลือยได้ไหม?…..ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนเฉพาะแผ่นกรองอากาศที่มีขนาดและรูปทรงแบบของเดิมนะครับไม่ใช่ว่าเดินท่อทางเดินอากาศใหม่แล้วเป็นกรองเปลือยโดดๆเลย แบบนี้ไม่มีประโยชน์อย่างแน่นอนสำหรับรถ STANDARD แบบที่ควรจะเปลี่ยนก็คือแผ่นกรองอากาศที่สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่นได้และในทางเดียวกันอากาศต้องสามารถผ่านได้โดยที่ไม่ติดขัดด้วยครับ ซึ่งกรองอากาศประเภทนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านประดับยนต์ทั่วไปครับ
กรองเปลือยมีกี่แบบ?กรองเปลือยที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายรูปแบบหลายรูปทรง ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ สามารถเลือกใช้กันได้ตามความเหมาะสม ซึ่งรถบางคันทำการปรับแต่งโมดิฟายมาไม่เหมือนกัน พื้นที่ภายในห้องเครื่องยนต์ก็แตกต่างกันเพราะฉะนั้นรูปทรงของกรองเปลือยจึงมีผลพอสมควรกับการปรับแต่งรถ แต่ละยี่ห้อก็จะเป็นรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างเช่น HKS/A’PEXi/HURRICANE/BLITZ/SIMOTA/หรืออีกมากมายในท้องตลาด
ติดตั้งกรองเปลือยอย่างไรถึงจะเหมาะสม? แน่นอนที่สุดครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องของการติดตั้งกรองเปลือย บางคนอาจมองข้าม คิดตามดูนะครับ เมื่อกรองอากาศเป็นแบบเปลือยแล้วนั่นแสดงว่ามันจะดูดอากาศที่อยู่รอบๆตัวมันเข้าไปในห้องเผาไหม้ สิ่งที่ได้ก็คือการดูเอาความร้อนเข้าไปนั่นเองครับ เพราะภายในห้องเครื่องจะมีความร้อนวนเวียนอยู่ตลอดเวลา การติดตั้งที่ถูกวิธีนั้น ควรที่จะเดินท่อกรองอากาศไปในทิศทางที่เหมาะสมแล้วทำการกั้นห้องกรองเปลือยเพื่อไม่ให้กรองเปลือยดูดความร้อนภายในห้องเครื่องเข้าไปเมื่อกั้นห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ควรที่จะหาท่ออ่อนขนาด 3-4นิ้วดักอากาศจากด้านหน้ารถเพื่อให้มาเป่าที่กรองเปลือย ซึ่งอากาศที่ได้จะเป็นอากาศเย็นทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวของกรองอากาศหรือกรองเปลือย ถ้าเข้าใจกันแล้วก็อย่างลืมไปติดตั้งกันให้ถูกวิธีนะครับ เพื่อจะได้ประโยชน์จากกรองเปลือยอย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับคอลัมน์นี้ต้องขอตัวลากันไปก่อนแล้วกลับมาพบกันใหม่กับเกร็ดความรู้ดีๆแบบนี้จาก REALTIME CAR MAGAZINE
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ก่อนเดินทางไกลควรเช็คอะไรบ้าง
ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลกันแล้ว หลายๆท่านที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างถิ่น หรือบางท่านเตรียมตัวเดินทางเพื่อไปเที่ยวกัน แต่จะไปไหนก็แล้วแต่ถ้าหากต้องเดินทางไกล ขับรถเป็นเวลานานๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความพร้อมของรถนั่นเองครับ และในคอลัมน์นี้แน่นอนที่สุดครับ เราจะมาพูดถึงการตรวจเช็คยานพาหนะของเราก่อนการเดินทางให้พร้อมสมบูรณ์แบบเพื่อความปลอดภัยทั้งคนในครอบครัวและคนรอบข้าง
เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงของวันหยุดยาวมีเทศกาลหลายเทศกาลรออยู่ หลายๆคนก็คงจะมีแผนเดินทางกลับบ้านบ้าง เดินทางท่องเที่ยวบ้าง ก็สุดแล้วแต่แหละครับ หลายท่านที่ต้องใช้รถในการเดินทางก็ไม่ควรที่จะลืมตรวจเช็คสภาพความพร้อมของรถให้พร้อมอยู่เสมอ เรามาดูกันทีละขั้นตอนครับว่าก่อนการเดินทางมีอะไรบ้างที่ต้องทำการปรับเปลี่ยนและตรวจเช็คเพื่อความพร้อม
- เช็คความพร้อมของเครื่องยนต์
อันดับแรกเริ่มต้นด้วยการเปิดฝากระโปรงกันก่อนเลยครับ ตรวจสอบแบตเตอรี่เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับไม่ขาดหรือเกินสำหรับแบตเตอรี่แห้งข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย จากนั้นมาดูกันต่อที่หม้อน้ำตรวจสอบถังพักน้ำว่าปริมาณน้ำอยู่ระหว่างตำแหน่ง MINกับMAXหรือป่าวถ้าพบว่าน้ำขาดก็เติมเข้าไปได้เลยครับ มาดูกันต่อที่กระปุกน้ำมันเบรกให้ตรวจสอบดูว่าปริมาณของน้ำมันเบรกอยู่ระหว่างตำแหน่ง MINกับMAXหรือป่าวถ้ายังคงอยู่ในตำแหน่งก็ไม่ต้องเพิ่มเติมแต่อย่างใด จากนั้นมาดูกันต่อที่การตรวจสอบน้ำมันเครื่องกันบ้างเราสามารถชักก้านน้ำมันเครื่องเพื่อเช็คดูปริมาณน้ำมันเครื่องให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมไม่ควรให้ขาดหรือเกิน สำหรับในส่วนของเครื่องยนต์ก็มีกันแต่เพียงเท่านี้ครับ
- เช็คความพร้อมของระบบช่วงล่าง
ในส่วนของช่วงล่างนั้นมีอะไรที่เราต้องตรวจเช็คบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดครับสามารถทำด้วยตัวเองได้เรามาเริ่มต้นกันที่ระบบโช้คอัพกันก่อนเลยอาจจะลำบากไปสักนิดนึงแต่ก็คงจะไม่เกินความสามารถอย่างแน่นอน ตรวจสอบดูโช้คอัพว่ามีการรั่วซึมหรือป่าว ซึ่งถ้ามีการรั่วซึมจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนที่ตัวกระบอกโช้คจะมีคราบน้ำมันติดอยู่ มาตรวจเช็คกันต่อที่ระบบเบรกอันนี้อาจต้องพึ่งอุปกรณ์กันนิดนึ่งก็คือไฟฉาย ใช้ไฟฉายส่องเข้าไปที่ผ้าเบรกดูว่าผ้าเบรกหมดหรือไม่ จากนั้นก็อย่างลืมตรวจเช็คลมยางกันด้วยรถแต่ละคันแต่ละรุ่นใช้ปริมาณลมยางที่แตกต่างกัน สามารถดูได้ที่ขอบประตูว่าควรจะเติมเท่าไหร่ในรถแต่ละรุ่น สำหรับเรื่องของช่วงล่างก็มีกันแต่เพียงเท่านี้ครับ
- อย่างลืมวางแผนก่อนการเดินทาง
อาจมองดูว่าหัวข้อนี้ไม่สำคัญ แต่ที่จริงแล้วมันก็สำคัญเหมือนกันครับเพราะว่าถ้ามีการวางแผนการเดินทางที่ดี เราก็จะสามารถใช้ระยะทางได้น้อยลง อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงไปได้ไม่มากก็น้อย เพราะในช่วงของเทศกาลต่างคนก็ต้องเดินทางกลับบ้านและไปเที่ยวกัน ถ้าเราหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีความหนาแน่นของรถได้ก็คงจะเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน
- ไม่ควรขนสัมภาระเกินความจำเป็น
อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องขนเอาไปมากครับ เอาไปแต่แค่พอใช้ก็พอ เพื่อจะได้ไม่ต้องแบกน้ำหนักมากจนเกินไป ที่สำคัญคือจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่มากก็น้อย และที่มากไปกว่านั้นก็คือเผื่อที่ไว้ซื้อของฝากกลับมาบ้านด้วยครับ..อันนี้คนไทยขาดไม่ได้จริงๆสำหรับของฝาก
จริงๆแล้วก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดครับสำหรับการตรวจเช็คความพร้อมของตัวรถก่อนการเดินทาง คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณพ่อบ้านอย่างแน่นอน แต่สำหรับคุณแม่บ้านถ้าไม่สะดวกก็สามารถขับรถเข้าไปที่ศูนย์บริการได้เลยครับ เพื่อความสะดวกและความปลอดภัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็อย่าลืมขับรถกันอย่างมีสติ เมาไม่ขับ โทรศัพท์ไม่โทร เวลาขับรถนะคร๊าบบบบบ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
โช้คอัพเสียจะรู้ได้อย่างไร ?
กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์สาระความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้รถยนต์และการขับขี่ยานพาหนะ พบกันเมื่อไหร่เป็นต้องมีความรู้และเคล็ดลับอะไรดีๆมาฝากเพื่อนๆกันอย่างแน่นอน และสำหรับในคอลัมน์นี้จะมาแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบซับแรงกระแทกหรือว่าโช้คอัพนั่นเองครับหรือพูดกันแบบง่ายๆก็คือ โช้คอัพพังหรือเสีย มันมีอาการเป็นอย่างไรนั่นเองครับ หลายคนอาจมองข้าม แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากครับ อาการแบบไหนที่กำลังจะบอกให้เรารับรู้ว่าควรจะเปลี่ยนโช้คอัพได้แล้วต้องไปติดตามดูกันครับ
โช้คอัพหรือระบบซับแรงกระแทก เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ส่วนควบที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากของผู้ใช้รถยนต์ เนื่องจากโช้คอัพนั้นมีหน้าที่รองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับขี่บนพื้นถนนที่มีความแตกระดับกัน โช้คอัพมีหน้าที่รองรับและปรับระดับและการทรงตัวของรถ ซึ่งจะสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์และง่ายดายยิ่งขึ้น เมื่อไหร่ที่โช้คอัพทำงานด้อยลงหรือเกิดการเสียหายขึ้น นั่นก็จะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าเรารู้และสามารถสัมผัสได้ว่าโช้คอัพของเราเริ่มเสื่อมคุณภาพลงแล้ว หรือโช้คอัพเกิดการเสียหายขึ้นแล้ว ก็จะทำให้เราขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น มีวิธีสังเกตอย่างไรบ้างเราไปดูกันที่ละหัวข้อเลยครับ
- ตรวจสอบกระบอกโช้คอัพ
วิธีนี้อาจจะต้องมีการก้มมุดกันบ้าง แต่ชัวแน่นอนครับ ใช้แม่แรงยกรถขึ้นให้สูงจากพื้นเพื่อการก้มมองที่สะดวกและง่ายขึ้น ให้ดูที่กระบอกโช้คอัพว่ามีคราบน้ำมันอยู่หรือไม่ ถ้าเห็นคราบน้ำมัน ให้สันนิฐานได้เลยครับว่าโช้คอัพของเราเกิดอาการรั่วขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ชัวให้เอาผ้าเช็ดตัวโช้คอัพให้สะอาดแล้วลองขับใช้งานสักสองสามวันแล้วค่อยมายกดูใหม่ ถ้ามีคราบน้ำมันให้เห็นให้ฟันธงได้เลยครับว่ารั่วแน่นอน - ใช้มือกดตัวรถที่ด้านหน้าและด้านหลัง
วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการทดสอบอาการของโช้คอัพครับ ว่ายังสมบูรณ์อยู่หรือป่าว ให้ออกแรงกดที่ตัวรถในตำแหน่งของโช้คอัพหรือในตำแหน่งของล้อหน้าหรือล้อหลังนั่นเองครับ ออกแรงกดลงไปหนึ่งครั้งแล้วปล่อยมือออกทันที หลังจากที่ปล่อยมือออกแล้วถ้ารถเด้งขึ้นมาครั้งเดียวอาการแบบนี้คือการทำงานของโช้คอัพปกติครับ แต่ถ้าเราปล่อยมือจากการกดหนึ่งครั้งแล้วสัมผัสจากสายตาได้ว่าตัวรถมีการเด้งขึ้นเด้งลงเหมือนสปริง นั่นแสดงว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อมสภาพลงแล้ว อาจเกิดการรั่วไหลของน้ำมันในกระบอกโช้คก็เป็นได้ จึงทำให้การทำงานของโช้คอัพด้อยลง - ขับด้วยความเร็วรถเริ่มมีอาการไม่นิ่ง
วิธีนี้อาจจะต้องใช้ประสบการณ์กันบ้าง แต่สำหรับผู้ที่ขับรถเป็นประจำก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอนครับสำหรับการจับอาการของรถ เมื่อเราขับรถด้วยความเร็วบนถนนที่เรียบแล้วรู้สึกว่ารถมีอาการที่จะต้องเติมพวงมาลัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปกติถ้าขับบนถนนเรียบๆตรงๆยาวๆ เราจะถือพวงมาลัยนิ่งๆแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าต้องดึงซ้ายทีขวาที นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่ควรจะต้องเข้าทำการตรวจสอบระบบช่วงล่างหรือโช้คอัพกันได้แล้วครับ - จั๊มคอสะพานแล้วเด้งหลายครั้ง
โดยปกติแล้วการทำงานของโช้คอัพที่ยังคงประสิทธิภาพอยู่นั้นเมื่อราขับผ่านเนินที่มีขนาดใหญ่หรือขับขึ้น-ลงคอสะพานที่มีความต่างระดับกันด้วยความเร็วประมาณ 50-60km โช้คอัพจะมีการยุบตัวลงแล้วค่อยๆยืดตัวขึ้นสัมผัสได้ถึงความนิ่มนวนแต่ถ้าอาการของโช้คอัพไม่ปกติ เมื่อลงคอสะพานมาแล้วตัวรถจะเด้งขึ้นเด้งลงจนเราสามารถสัมผัสได้ว่าไม่ปกติ - ขับผ่านทางที่มีหลุมเล็กๆติดต่อกันแล้วรถไม่นิ่ง
อาการแบบนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่คงจะสัมผัสกันได้ไม่ยาก หลายๆท่านคงเคยขับผ่านถนนที่กำลังสร้างหรือทางลูกลังแบบผิวไม่เรียบ เมื่อขับแล้วรู้สึกว่าตัวรถมีอาการเด้งเป็นพิเศษหรือสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนภายในรถ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณบอกว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อสภาพแล้ว
เป็นยังไงบ้างครับ แต่ละอาการที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ใครเคยเจอกันบ้าง สำหรับใครที่ไม่เคยเจอก็ควรที่จะรู้ไว้และควรที่จะสัมผัสอาการความเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพื่อที่จะได้สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีในกรณีที่เกิดความเสียหายกับโช้คอัพของเรา แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ควรที่จะขับรถกันด้วยความไม่ประมาทเพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุกันได้แล้วครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine - ตรวจสอบกระบอกโช้คอัพ
-
ของเหลวในรถมีอะไรบ้างแล้วควรถ่ายเมื่อไหร่ ?
รถยนต์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหน รถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งยานพาหนะที่ช่วยให้เราไปถึงที่หมายได้ด้วยความสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นเรามาดูแลรถยนต์ให้อยู่กับเราไปนานๆ กันดีกว่าครับ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าสำหรับในคอลัมน์นี้ ผู้ที่ใช้รถอยู่เป็นประจำหรือนานๆใช้ทีก็ไม่ควรพลาดครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการถ่ายของเหลวที่อยู่ในรถคู่ใจของเรา มีอะไรบ้างและควรจะถ่ายในระยะกิโลที่เท่าไหร่นั้นต้องไปติดตามดูกันครับ
หลายคนอาจมองข้ามหรือไม่รู้เลยก็ว่าได้ว่าในรถหนึ่งคันนั้นมีอะไรที่เป็นของเหลวบ้างและของเหลวเหล่านี้ที่เป็นกลไกลในการขับเคลื่อนรถมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะกิโลที่กำหนด ถ้าไม่มีการเปลี่ยนถ่ายตามระยะที่กำหนดอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรืออาจจะทำให้การทำงานด้อยประสิทธิภาพลง เพราะฉะนั้นแล้วจึงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผู้ที่ใช้รถไม่ควรมองข้าง ถามว่าของเหลวที่อยู่ในรถมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันทีละอย่างเลยครับ
- น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา 5,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่อง กึ่งสังเคราะห์ 7,500-8,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 10,000-15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่อง น่าจะเป็นของเหลวลำกับต้นๆ ที่คนทั่วไปรู้จักกันอีก เนื่องจากน้ำมันเครื่องยนต์มีรอบ/การเปลี่ยนถ่ายค่อนข้างบ่อย ประกอบกับมีการโฆษณาคุณสมบัติน้ำมันเครื่องยนต์โดยแต่ละผู้ผลิตจำนวนมากตาม สื่อต่างๆ จนทำให้คนเริ่มคุ้นเคยมากขึ้น น้ำมันเครื่องยนต์ปัจจุบัน มีหลายเกรด สิ้นค้า โดยพื้นฐานที่สุด คือน้ำมันเครื่องยนต์ธรรมดา เป็นเกรดแบบที่ใช้พื้นฐานจากน้ำมันตามธรรมชาติมาผสมเพื่อให้ได้การหล่อลื่น และลดความร้อนในระหว่างการทำงานที่ดี ปัจจุบันน้ำมันแบบนี้มีขายน้อยมากแล้วในตลาด แต่ก็ยังมีขายอยู่และได้รับความนิยมบ้างเนื่องจากราคาไม่แพงน้ำมันเครื่องเกรดต่อมา คือ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ น่าจะเรียกว่าเป็นพื้นฐานของน้ำมันเครื่องยนต์ในยุคนี้ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ คือการเอาน้ำมันเครื่องเกรดปกติมาผสมสูตรด้วยส่วนผสมที่ปรุงแต่งขึ้นมา ทำให้ มีราคาแพงกว่าเกรดปกติ แต่มีข้อดี คือระยะเปลี่ยนถ่ายยาวนานขึ้น
- น้ำยาหม้อน้ำ
น้ำยาหม้อน้ำ เปลี่ยนทุกระยะ 50,000 กิโลเมตร น้ำยาหม้อน้ำ หรือบางคนอาจจะเรียกน้ำยาหล่อเย็น เป็นของเหลวที่คุณควรจะใส่ใจเนื่องจากเป็นระบบที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องยนต์ และบ้านเราก็อยู่ในสภาวะพื้นที่อากาศค่อนข้างร้อนพอสมควรน้ำยาหม้อน้ำคือปราการด่านสำคัญ ช่วยลดอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ โดยปกติแล้ว น้ำยาหม้อน้ำ จะต้องเปลี่ยนทุกๆ 50,000 กิโลเมตร เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด ที่สำคัญราคาค่าเปลี่ยนน้ำยาหม้อน้ำ ไม่แพงเท่าการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์ จึงอยากแนะนำให้เปลี่ยนเมื่อถึงเวลา เพราะสามารถป้องกันเครื่องยนต์ฮีทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- น้ำมันเบรก
ระยะเปลี่ยนน้ำมันเบรก ทุก 80,000 กิโลเมตร หรือ 3 ปี น้ำมันเบรก ในรถทุกคัน ใช้เพื่อเป็นแรงดันส่งไปดันแม่ปั้มเบรกเพื่อกดผ้าเบรก ลงบนจานเบรกให้เกิดแรงเสียดทาน และหยุดรถได้โดยสำเร็จ ช่างบางคนมักจะบอกว่า น้ำมันเบรกควรเปลี่ยนเมื่อสกปรก หรือเริ่มดำไม่ใส ทว่าในความเป็นจริงน้ำมันเบรกไมได้สัมผัสกับความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเบรก โดยตรง ทำให้ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเมื่อมีคราบดำในน้ำมัน ผิดกับน้ำมันเครื่องที่ชะและถ่ายเทความร้อนจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์โดย ตรง จนบางคนเข้าใจผิดว่าน้ำมันเบรกต้องเปลี่ยนทันทีเมื่อมีคราบดำในน้ำมัน หรือมีสีไม่ใส เว้นแต่เบรกคุณเริ่มมีอาการแปลกๆในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะ อาการ “เบรกจม” ซึ่งเหมือนคุณเหยียบเบรกแล้วเบรกไม่อยู่ ต้องย้ำเบรก แบบนี้อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกก่อนระยะตามกำหนด หรือ ในบางพื้นที่เบรกถูกใช้งานหนักบ่อยๆ เช่นการขึ้นลงเขา น้ำมันเบรกอาจจะเสื่อมคุณภาพ หากเริ่มมีอาการเบรกเฟดบ่อยขึ้นในระหว่างการใช้งาน ก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างไรก็ดี ถ้าคุณโชคดีว่า ไม่เคยพบปัญหาอะไรในการใช้งาน โดยมาก น้ำมันเบรกจะมีอายุได้ถึง 80,000 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 3 ปี แล้วแต่ว่าอะไรถึงก่อน (ถ้าพ้น 3 ปีแล้ว ควรเปลี่ยนทันทีเนื่องจากน้ำมันเบรกอาจจะเสื่อมคุณภาพในการใช้งาน)
- น้ำมันเพาเวอร์
ระยะเปลี่ยนน้ำมัน พาวเวอร์ทุก 80,000 กิโลเมตรน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ปัจจุบันอาจจะไม่มีในรถบางรุ่นแล้ว เนื่องจากรถยนต์ในปัจจุบัน หันมาใช้พวงมาลัยไฟฟ้าแทน แต่ถ้ารถคุณยังมีอยู่ โดยเฉพาะรถรุ่นเก่าๆ อย่าละเลยเด็ดขาด คุณควรจะเปลี่ยนน้ำมันพาวเวอร์ ทุก 80,000 กิโลเมตร แม้ว่าน้ำมันพาวเวอร์อาจจะไม่ส่งผลอะไรอย่างชัดเจน จนเป็นอันตรายถ้าไม่เปลี่ยนถ่าย .. แต่ถ้าคุณละเลย โดยมากชุดแร็คพาวเวอร์ก็จะพังไปก่อน อย่างไรเสียก็เปลี่ยนน้ำมันพาวเวอร์ให้ไวด้วย
- น้ำมันเกียร์ –น้ำมันเฟืองท้าย
น้ำมันเกียร์-เฟืองท้าย ระยะเปลี่ยนถ่าย 40,000 กิโลเมตรน้ำมันเกียร์ คือน้ำมันที่ทำหน้าที่ในการลดการสึกหรอและความร้อนระหว่างการทำงานของชุด เกียร์ ซึ่งปกติน้ำมันเกียร์ควรจะเปลี่ยนถ่ายโดยช่างผู้เชี่ยวชาญในศูนย์บริการรถ ยนต์ยี่ห้อที่คุณใช้อยู่ระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์จะกระทำทุกๆ 4 หมื่นกิโลเมตร และไม่ควรจะเกินระยะการเปลี่ยนถ่ายดังกล่าว เนื่องจากน้ำมันเกียร์เดิม อาจจะมีคราบเขม่าสะสมจากการใช้งานจำนวนมาก และทำให้การหล่อลื่นอาจจะด้อยประสิทธิภาพในการใช้งานลงไป แถมถ้าเกียร์พังขึ้นมายกเปลี่ยนใหม่ราคานับแสนไม่คุ้มกันหรอกครับจึงไม่แปลกที่บางครั้งคุณเข้าไปเช็คระยะกับศูนย์บริการก่อนระยะ 40,000 กิโลเมตร จะโดนบังคับให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์โดยทันที ไม่ว่าในรถคุณจะเป็นเกียร์ออโต้ คลัทช์คู่ CVT หรือเกียร์ธรรมดา จะอยู่ในระยะเดียวกันนี้หมด ส่วนน้ำมันเฟืองท้าย คือน้ำมันของชุดขับเกียร์ลงล้อ หรือเฟืองขับสุดท้ายก่อนจะยังเพลา ซึ่งจะต้องเปลี่ยนในระยะเดียวกัน แต่จะมีสูตรน้ำมันต่างจากน้ำมันเกียร์ ให้ศึกษาจากศูนย์บริการ หรือคู่มือประจำรถให้ดี
อ่านคอลัมน์นี้จบแล้วทางทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะมีหลายๆท่านต้องวิ่งไปเช็คระยะกิโลรถคันโปรดกันบ้างไม่มากก็น้อยแหละครับ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนถ่ายของเหลวในระยะที่กำหนดก็จะช่วยให้รถคันโปรดอยู่กับเราไปได้นานและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ท้ายที่สุดก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทด้วยนะครับ….สวัสดีครับ…!!
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
แต่งรถยังไงให้พี่จ่าไม่จับ
เปิดมาเจอคอลัมน์นี้เหล่าบรรดาขาซิ่งหรือผู้ที่มีใจรักในการแต่งรถต้องเบรกกันหัวทิ่มหัวต่ำ เลี้ยวเข้ามาอ่านกันเลยทีเดียว เพื่อที่จะได้ขับรถคันโปรดของตัวเองผ่านเข้าด่านได้อย่างสบายใจ ใบขับขี่และเงินในกระเป๋ายังคงอยู่ที่เดิม เรียกได้ว่าแต่งรถได้ดั่งใจ ไม่ขัดใจพี่จ่า ก็อย่างว่าแหละครับบ้านเมืองมีขื่อมีแป จะทำอะไรก็ต้องเคารพกฎหมายกันบ้าง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมาก ว่าแต่ว่าแต่งแบบถูกกฎหมายมันจะทำได้จริงมั้ยต้องเข้าไปดูกันครับในคอลัมน์นี้
จะว่าไปแล้วถ้าพูดกันถึงเรื่องของการแต่งรถนั้น ถ้าจะทำให้มันถูกกฎหมาย ในบางทีบางครั้งมันก็อาจจะดูเหมือนขัดแย้งกันไปบ้าง แต่ที่จริงแล้วถ้าได้มาเจอกันคนละครึ่งทางระหว่างความถูกกฎ กับความถูกใจมันก็พอที่จะจูงมือไปด้วยกันได้ แต่จะแต่งแบบไหนถึงจะถูกต้องนั้นเราไปดูกันทีละหัวข้อเลยครับ
- โหลดเตี้ย เป็นความพยายามและความเข้าใจของคนแต่งรถว่า รถที่เตี้ยต่ำจะยึดเกาะกับถนนได้ดีขึ้นซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทั้งหมด การยึดเกาะที่ดีของรถยนต์ยังเกิดขึ้นจากช่วงล่างที่สมบูรณ์ ยางที่สดใหม่และอยู่ในสภาพดี สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการโหลดรถตาม พรบ.รถยนต์ พ.ศ. 2522ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ารถที่โหลดเตี้ยจะต่ำแค่ไหนก็ได้ โดยยึดหลักเพียงการวัดระยะกึ่งกลางไฟหน้า กับระดับพื้นถนนต้องไม่ต่ำกว่า ถ้าต่ำกว่าถือว่าผิด แต่ถ้าไฟหน้าสูงกว่าแต่รถใส่สปอยเลอร์จนเตี้ยต่ำแทบจะลากพื้น จะใช้กฎการพินิจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนายช่างตรวจสภาพกรมการขนส่งทางบก และผู้วินิจฉัยผล ตรอ. ว่าเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นหรือไม่ ถ้าฟันธงว่าเสี่ยงก็ถือว่าผิดได้เช่นกันครับ
- ยกสูง รถยนต์แบบออฟโรดที่มีสัดส่วนความสูงมากกว่ารถเก๋งเนื่องจากสภาพการใช้งานที่ต้องบุกป่าฝ่าทางวิบาก หากใต้ท้องรถไม่สูงพอก็อาจติดกับร่องทางหรือหล่มโคลนจนไปต่อไม่ได้ ใน พรบ.รถยนต์ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จะยกสูงแค่ไหน แต่ต้องวัดระดับกึ่งกลางไฟหน้ากับพื้นถนนต้องไม่สูงกว่า แต่ถ้าไฟหน้าสูงไม่เกิดแต่รถโด่งมาก มีการดัดแปลงสภาพมากทั้งเสริมโช้คยกตัวถัง การปรับแต่งรถแบบยกสูงมากนั้นต้องมีหนังสือจากวิศวกรรองรับการดัดแปลงสภาพ และต้องแจ้งกับกรมการขนส่งทางบกว่ามีการดัดแปลงเพื่อใช้งานในเขตทุรกันดาน แต่ถ้ายกไม่สูงมาก แต่ใส่ยางใหญ่เกินจนล้นออกมาข้างตัวรถมากๆ เกินบังโคลนล้อ ก็ต้องใช้หลักดุลพินิจอีกเช่นกันว่าเสี่ยงต่อผู้ร่วมใช้ถนนหรือไม่
- ใส่ล้อ 18/19/20/22 แบบเต็มซุ้มเพื่อความหล่อและอำนาจของการยึดเกาะ ในกำหมายไม่มีการระบุขนาดของล้อและขนาดก็ไม่ได้มีผลการเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น จะใส่ล้อใหญ่ขอบ 18/19/20หรือ22ก็สามารถทำได้แบบสะดวก แต่ถ้าใส่แล้วยางล้นเกินออกมานอกบังโคลนล้อข้างละหลายนิ้ว เจ้าหน้าที่ที่ตั้งด้านได้ตรวจพบว่าอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความเดือนร้อนแก่ผู้อื่น ก็ถือว่าผิดได้หรือใส่ล้อใหญ่จนต้องแบะล้อเพื่อหลบซุ้ม การทำแบบนั้นนอกจากรถจะไม่เกาะถนนแล้วยังเป็นการทำร้ายช่วงล่างอย่างรุนแรงอีกด้วย
- ดึงโป่ง WIDE BODY ซึ่งในปัจจุบันเริ่มลดน้อยลงไปมากเนื่องจากรถยนต์สมัยใหม่มีโป่งล้อมาให้แบบจุใจ ในกฎหมายไม่ได้ระบบไว้ชัดเจนในเรื่องของโป่งล้อ แต่ก็มีระบบไว้ว่า ส่วนที่ตียื่นต้องมีลักษณะเป็นชิ้นเดียวกับตัวรถหรือถ้าเป็นวัสดุคนละชิ้นกันต้องมีการยึดติดอย่างแน่นหนา ถ้าไม่แน่นหนาหรือตีโป่งยื่นออกมามาก เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ขอตรวจดูสำเนาการจดทะเบียนว่ามีการดัดแปลงเกินกว่าที่จะทะเบียนไว้หรือไม่ โดยอ้างอิงจากบริษัทผู้ผลิตถึงขนาดตัวรถและฐานล้อ วึ่งต้องใช้วิศวกรรับรองการดัดแปลงสภาพ และต้องแจ้งกับกรมการขนส่งทางบก ถ้าขนส่งตรวจแล้วลงความเห้นว่าผ่านก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ผ่านก็ต้องเลาะออกกันไปตามระเบียบ
- ฝากระโปรงหน้า-หลัดำ ฝากระโปรง หลังคา คาร์บอน นักแต่งรถส่วนมากมักนิยมเปลี่ยนฝากระโปรงแบบเดิมให้กลายเป็นฝาแบบคาร์บอน เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความขลังในมุมมอง หากทำการพ่นเป็นสีเดียวกับตัวรถ ที่จดทะเบียนไว้ถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าเปลี่ยนสีฝากระโปรงเป็นสีดำ หรือสีอื่น ที่ไม่ตรงกับสีตัวรถ เจ้าหน้าที่จะพิจารณาตามกฎที่ว่า รถยนต์ที่จะทะเบียนจะมีการระบุสีตัวรถไว้อย่างชัดเจน ไม่รวมสีของกันชนรถ โดยสีอื่นต้องมีไม่เกินครึ่งหนึ่งของสีหลักที่จดทะเบียนไว้ เช่น ในกรณีรถระบุไว้ในทะเบียนว่าเป็นสีขาวแต่ฝากระโปรงหน้าเป็นสีดำ เจ้าหน้าที่พินิจแล้วไม่เกินครึ่งหนึ่งก็ถือว่าไม่ผิด แต่พินิจว่าผิดก้ถือว่าผิดได้เช่นกัน แต่ถ้าดำทั้งฝากระโปรงหน้าและหลังส่วนมากจะพินิจว่าผิด เกิด 50%ของสีหลัก ซึ่งเจ้าของรถต้องนำรถเข้าไปแจ้งเปลี่ยนสี ว่าเป็นรถสองสี กับกรมการขนส่งทางบกเสียก่อน ถ้าไม่แจ้งก็อาจต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000บาท
- เปลี่ยนท่อไอเสีย/เฮดเดอร์ จะเปลี่ยนท่อใหญ่ 3นิ้ว 4นิ้ว จะมีหม้อพักกี่ใบ หรือจะไม่มีหม้อพักเลยก็ได้แต่หม้อพักต้องปล่อยออกทางท้ายรถเท่านั้น ถ้าออกข้างตัวรถก็ถือว่าผิดทันที ตามกฎหมายจะระบุไว้แค่การวัดเสียงดังที่ปล่อยออกจากปลายท่อตาม พรบ.รถยนต์ระบุว่า รถยนต์ที่เกิน7ปี ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพ ณ สถานตรวจสภาพ เพื่อตรวจวัดระดับเสียงที่ปลายท่อไอเสียด้วยเครื่องวัด ผลที่ได้ต้องไม่เกิด 100เดซิเบล วัดที่ 3/4รอบที่ให้แรงม้าสูงสุด
- ไฟหน้าหลายสี ไฟซี่นอนกำลังส่องสว่างแรงสูง ไฟท้ายขาวใสแนวซิ่ง โคมขาว โคมดำ พ่นสีดำ ที่โคมไฟหน้าและไฟท้าย ปัจจุบันไฟหน้าแบบซีนอน ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับ จึงอนุญาตให้ติดได้ เพียงแต่ติดตั้งแล้วเมื่อแครื่องมือทดสอบโคมไฟลำแสงต้องมีองศาตกลงจากแนวระนาบ ไม่น้อยกว่า 2 องศา และต้องไม่เบนไปทางขวา ถึงเรียกว่าผ่าน ส่วนเรื่องสีของไฟ โคมไฟหน้าทางกรมกำหนดไว้เพียง 2สีเท่านั้น คือสีเหลืองอ่อน และสีขาว ถ้าเป็นสีอื่น เช่น สีฟ้า สีม่วง สีเหลืองเข้มหรือสีเขียว มีความผิดแน่นอน ส่วนไฟเบรกต้องเป็นสีแดง ไฟเลี้ยงต้องเป็นสีเหลืองอำพัน ไฟส่องป้ายทะเบียนต้องเป็นสีขาวมองเห็นป้ายทะเบียนได้ไกลไม่น้อยกว่า 20เมตร
- ไฟสปอร์ตไลต์ และโคมไฟตัดหมอก ติดตั้งอย่างไรถึงจะไม่ผิด โคมไฟสปอร์ตไลต์ หมายถึง โคมไฟแสงพุ่งไกล แบบกระจายวงกล้าง แบบนี้ห้ามติดโดยเด็ดขาดแม้จะมีฝาครอบปิด ผิด พรบ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 ส่วนไฟตัดหมอกมีลักษณะเป็นไฟแสงพุ่งต่ำ ล่าสุดพรบ.ปี 2536 อนุยาตให้รถยนต์ติดไฟสปอร์ตไลต์หรือไฟตัดหมอกเพิ่มได้ข้างละ 1 ดวง ในระดับแนวเดียวกัน ความสูงจากพื้นถนนไม่ตำกว่า และไม่สุงกว่า 135cm.ต้องเป็นแสงสีเหลืองหรือสีขาว กำลังไฟไม่เกิน 55w ไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสงพุ่งไกลและโคมไฟแสงพุ่งต่ำศูนย์รวมแสงต้องต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นราบไม่น้อยกว่า 2องศาในระยะ 7.5เมตรและไม่เฉไปทางขวา
- ตีโรลบาร์แบบรถแข่ง กฎหมายว่าด้วยห้องโดยสารมีเพียงข้อกำหนด เรื่องของจำนวนที่นั่ง มาตราวัดความเร็ว และไฟห้องโดยสารเท่านั้น ส่วนการตีโรลบาร์ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับจึงไม่ผิด แต่การถอดเบาะหลังออกแล้วตีโรลบาร์ จะผิดกฎหมายเรื่องการระบะลักษณะรถ และจำนวนตอน ถือว่าผิดครับ รวมถึงความแน่นหนาความเสี่ยงต่ำการเกิดอุบัติเหตุ ก็ถือว่าผิดได้อีกเช่นกัน ยิ่งถอดเบาะออกเหลือตัวเดียวหรือตัดตัวถังรถออกบางส่วน แล้วตีโรลบาร์ยึดแบบ SPEC FRAME ถือว่าผิดข้อหาดัดแปลงสภาพที่มีผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวรถ
- ใส่กระจกมองข้างซิ่ง ตามกฎหมายระบุไว้ว่า รถยนต์ต้องมีเครื่องส่องหลัง(กระจกมองหลัง)และเครื่องส่องหลังภายนอก(กระจกมองข้าง)อยางน้อย1อัน ซึ่งไม่ได้ระบุถึงขนาดและรูปแบบ ถ้าเปลี่ยนเป็นกระจกมองข้างแบบไฟเบอร์หรือแบบกระจกซิ่งทรงแข่ง ถ้ามี 2ด้านหรือด้านเดียวก็ถือวาถูกกฎหมาย แต่ถ้าไม่มีกระจกมองข้างหรือกระจกมองหลัง หรือเจ้าหน้าที่ตรวจสภาพ ฟันธงว่า มีเครื่องส่องหลังจรองแต่ชำรุดหรือมองเห็นไม่ชัดเจน ก็ถือว่าผิดครับ
- เปลี่ยนเบาะซิ่งใส่เบล 4จุดแบบรถแข่ง เบาะหรือที่นั่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ทาง พรบ.จริงๆแล้วได้ระบุขนาดความกว้างยางของเบาะเอาไว้ด้วย ซึ่งจะเกี่ยวข้องในการระบุจำนวนผู้ดโดยสาร เบาะแต่งหรือเบาะไฟเบอร์ ส่วนมากมีความถูกต้องในเรื่องขนาด แต่ถ้าถอดเบาะออกไม่ว่าเบาะหลัง ถอดเหลือตัวเดียวหรือสั่งทำเบาะขนาดใหญ่พิเศษแบบนี้จะถือว่าผิดส่วนเซฟตี้เบลล์ทางกรมการขนส่งก็ได้กำหนดมาตรฐาน แต่ถ้ามีการยึดแน่นหนา ก็อนุโลมว่าผ่าน
- ปรับแต่งโมดิฟายเครื่องยนต์ การจะมาวัดกำลังอัพ หาขนาดความจุนั้นทำได้ยาก จึงอาศัยการตรวจดูหมายเลขเครื่องยนต์ว่าถูกต้องตามทะเบียนที่แจ้งไว้หรือไม่เท่านั้น ถ้าเลขเครื่องถูกถือว่าไม่ผิด จะขยายความจุเปลี่ยนลูก ยืดข้อ เสริมเสื้อสูบก็ไม่ผิด หรือไม่ว่าจะเปลี่ยนเทอร์โบใหญ่ ใส่กรองเปลือย เปลี่ยนหัวฉีด ติดกล่องเพิ่มแรงม้า ก็ไม่ผิดครับ เพียงแต่อุปกรณ์ภายในห้องเครื่องต้องดูแล้วแน่นหนาและมีความปลอดภัย แต่ถ้าจูนน้ำมันจนหนามาก เจ้าหน้าที่จะใช้ผลการตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียเป็นข้อกำหนดถึงสภาพเครื่องยนต์
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของการปรับแต่งรถให้ขับเข้าด่านได้อย่างสบายใจ ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่ข้างต้นแหละครับ เดินมาเจอกันคนละครึ่งทางเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่าลืมพูดจากันด้วยความสุภาพทั้งผู้ใช้รถและผู้ถือกฎหมาย หนักนิดเบาหน่อยก็ค่อยๆคุยกัน ขอกันดีๆพี่จ่าคงไม่ใจร้ายสำหรับในบางเรื่อง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine