• Little Bastard ตำนานรถสยองต้องสาป ผู้คร่าชีวิตดาราดังระดับตำนาน James Dean

    2 Min Read

    Little Bastard ตำนานรถสยองต้องสาป ผู้คร่าชีวิตดาราดังระดับตำนาน James Dean

    อุบัติเหตุทางรถยนต์ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่ และ ทุกเวลา แต่ถ้าหากสาเหตุเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ จะสยองขนาดไหน นี่คือเรื่องราวของรถสยองต้องคำสาป Little Bastard ที่คร่าชีวิตดาราดัง

     

    Little Bastard เป็นรถยนต์รุ่น Porsche 550 Spyder ของนักแสดงยุค 50 อย่าง James Dean ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานหนังเรื่อง East of Eden และ Giant แถมยังเป็นดาราที่นำเทรนด์ในเรื่องของการแต่งตัวที่ดูเท่ไม่ตกยุค แม้ว่าจะผ่านมาเป็นเวลายาวนานมากกว่า 60 ปีแล้วก็ตาม นอกจากนี้เขายังเป็นนักซึ่งที่หาตัวจับยากมาก อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่ถูกพูดถึงกันมาจนถึงปัจจุบัน คือ เขายังเป็นคนแรกที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมหลังจากที่เขาเสียชีวิต และสาเหตุการเสียชีวิตก็เกี่ยวข้องกับรถคันนี้โดยตรง

     

    สำหรับ Porsche 550 Spyder เป็นสปอร์ตสุดคลาสสิกที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น 356 และยังถูกออกแบบมาเพื่อซิ่งโดยเฉพาะ เปิดตัวครั้งแรกในงาน Paris Auto Show ในปี 1953 และยังสร้างตำนานจากการที่ Hans Herrmann อดีตนักแข่งฟอร์มูล่าวัน ขับมุดใต้ราวกั้นทางรถไฟ ในรายการแข่งขัน Mille Miglia ปี 1954 และนอกจากนี้ยังสร้างชื่อจากการคว้าแชมป์รุ่นในรายการแข่งขัน 24Hr of Le Mans และรายการ Carrera Panamericana ทำให้ความสำเร็จของรถรุ่นนี้ถูกส่งต่อมาเป็นชื่อรถรุ่น Carrera จนถึงปัจจุบันนั่นเอง

     

    สำหรับสเปคของ Little Bastard ที่ James Dean ขับ เป็นรถ 90 คันแรกในสายการผลิตที่ได้ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบนอน Fuhrmann Type 547 1.5 ลิตร 108 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 121 Nm พร้อมคาร์บูคู่ค่าย Solex และจับคู่กับเกียร์แมนวล 5 สปีด ความพิเศษของรถคันนี้นอกจากจะเป้นหนึ่งในรถ 90 คันแรก แล้วยังได้หมายเลขตัวถังสวยๆ อย่าง 550-0055 อีกด้วย

     

    จุดเริ่มต้นความสยองเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังถ่ายทำหนังเรื่อง Rebel Without a Cause… James Dean ในวัย 24 ปีที่อยากได้รถ Porsche 550 Spyder ซึ่งเร็ว แรง และน้ำหนักเบากว่ารถรุ่น 356 ที่เขามีอยู่ ก็ปุบปับเอารถ 356 มาแลกกับรถคันนี้ที่ร้าน Competition Motors พร้อมกับแต่งรถคันนี้ด้วยเบาะ Tartan Seat ติดสติกเกอร์เลข 130 บนประตู, ฝากระโปรง และหน้าห้องเครื่อง พร้อมพ่นสีชื่อ Little Bastard หรือแปลได้ว่า “ไอ้สารเลวตัวน้อย” ซึ่งที่มาของชื่อนี้คาดว่ามาจากคำเรียกเจ้าตัวที่ William Hickman นักแสดงสตั้นท์ที่เป็นเพื่อนสนิทชอบเรียกเขานั่นเอง หรืออีกที่มาก็คาดว่ามาจาการที่ประธานค่ายหนัง Warner Bros. อย่าง Jack Leonard Warner เคยเรียกเขาว่า Little Bastard เพราะในระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง East of Eden เขาถูกห้ามไม่ให้แข่งรถ ซึ่งทาง Warner เขาหวังดี หากเขาเป็นอะไรขึ้นมางานแสดงหนังอาจหยุดชะงักได้ แต่ Dean ก็ไม่สนใจข้อห้ามนั่นเลยและก็ยังแข่งรถอยู่เรื่อยๆ

     

    Dean ที่กำลังเห่อรถคันนี้ก็เอาไปอวดคนรอบข้างจนกระทั่งตัดภาพมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในวันที่ 23 กันยายน 1955 เมื่อเขาได้เจอกับ Alec Guinness เพื่อนสนิทผู้เป็นเจ้าของบท Obi-Wan Kenobi จากหนัง Star Wars ภาค 4-6 เรื่องผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อ Guinness ที่ได้เห็นเจ้า Porsche 550 Spyder คันนี้ แทนที่เขาจะมีอาการตื่นเต้นเหมือนคนอื่นๆ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเหมือนเขาเห็นอะไรบางอย่าง

     

    Lew Bracker เพื่อนสนิทของ Dean ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ผมจำหน้าตาของ Alec ในตอนนั้นได้แม่นมาก หลังจากที่ดูรถของ Dean แล้ว แกก็เดินกลับเข้าร้านด้วยสีหน้าที่ซีเผือด ผมก็เลยถามแกว่า “เห้ยเพื่อน นายโอเครึเปล่า?”

     

    และ Guinness ที่กำลังขนลุกซู่ ก็เตือนกับ Dean ว่า “อย่าขับรถคันนี้เด็ดขาด ตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงเช้าของวันที่ 23 กันยายน 1955 ถ้านายขับรถคันนี้ นายจะสู่ขิตแน่ๆ ภายในเวลาเดียวกันของอาทิตย์หน้า” ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ คิดว่าต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ

     

    จนกระทั่งตอนเช้า ในวันที่ 30 กันยายน 1955 Dean ขับเจ้าสารเลวตัวน้อยคันนี้ไปทีมช่างเยอรมัน เพื่อเดินทางจาก Hollywood ไปเข้าร่วมการแข่งขันที่สนาม Salinas ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง San Jose แทนที่จะเอาขึ้นรถพ่วงเหมือนอย่างที่เคยทำๆ มาตลอด เนื่องจากต้องเก็บสะสมไมล์ให้ครบตามที่รายการแข่งขันกำหนด ก่อนจะแวะปั๊มในเมือง Sherman Oaks ตอนบ่าย 2 และออกเดินทางต่อตามทางหลวง Interstate หมายเลข 5

     

    ในเวลาบ่ายสามครึ่ง Dean ก็ถูกตำรวจเรียกให้มารับใบสั่ง เพราะขับด้วยความเร็วเกินกำหนด ก่อนจะออกเดินทางต่อ และแวะพักที่ชุมชน Blackwells Corner ซึ่งที่นั่นเอง Dean ก็ได้เจอกับเพื่อนนักแข่งอย่าง Lance Reventlow กับ Bruce Kessler พวกเขาตกลงจะนัดกินข้าวเย็นกันที่เมือง Paso Robles และออกเดินทางออกจาก Blackwells Corner ในเวลา 5 โมง 15 นาที

     

    จนกระทั่งมาถึงสามแยก ในเวลา 5 โมง 45 นาที รถ Ford Tudor รุ่นปี 1950 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 41 ตัดหน้าเจ้า Little Bastard ของ Dean ที่ขับมาตามทางหลวงหมายเลข 466 ซึ่งเป็นทางเอกและชนประสานงาเข้าอย่างจัง นาย John Robert White พยานที่เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ให้การว่า รถของ Dean กลิ้งออกข้างทาง 2-3 ตลบ ก่อนจะปะทะเข้ากับเสาไฟ

     

    Dean กับ Rolf Wutherich หนึ่งในทีมช่างชาวเยอรมันที่นั่งมาด้วยกัน บาดเจ็บสาหัสและต้องส่งเข้าโรงพยาบาล Paso Robles War Memorial ซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุไปประมาณ 45 กม. แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายไปแล้วครับ เพราะ James Dean เสียชีวิตหลังจากมาถึงโรงพยาบาลในเวลา 6 โมง 20 นาที

     

    การเสียชีวิตของ James Dean นี่เองก็ทำให้คำเตือนของ Alec Guinness ถูกหยิบมาพูดถึงอีกครั้งเพราะมันตรงกับ 1 สัปดาห์ที่ว่ามาจริงๆ หลังจากที่ซากถูกขายต่อให้ให้ George Barris ช่างเครื่องที่รับผิดชอบในการปรับแต่ง และทำสีรถคันนี้ เก็บไว้โชว์โดยที่ถอดเอาเครื่องยนต์ และเกียร์ออก ปรากฎว่าดันเกิดอุบัติเหตุหล่นทับคนงานบาดเจ็บสาหัส และความเฮี้ยนก็ยังไม่จบแค่นี้เพราะต่อมา นายแพทย์ Troy McHenry มาขอซื้อเครื่องยนต์เพื่อเอามาใส่ในรถแข่งของตัวเอง และนายแพทย์ William F. Eschrid มาขอซื้อเกียร์เพื่อเอามาใส่รถแข่งของตัวเองเช่นกัน สุดท้ายแล้วก็เสียชีวิตกันทั้งคู่

     

    สามปีต่อมาในปี 1958 ซากของ Little Bastard ที่ถูกเก็บเอาไว้ ไม่ได้เอามาทำอะไรอีก ก็มีคนออกความเห็นว่าอยากจะเอามาบูรณะเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึง James Dean ระหว่างที่กำลังตรวจสอบสภาพ จู่ๆก็มีเสียงดังออกมาจากซาก คล้ายๆ กับเอาค้อนมาเคาะตัวถัง ก่อนชิ้นส่วนต่างๆ ก็หลุดออกมาเป็นชิ้นๆ ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น สร้างความหวาดกลัวให้กับช่างในอู่ไปหลายต่อหลายวัน

     

    ในเวลาต่อมา ซาก Little Bastard ก็ถูกซื้อไปโดย กรมตำรวจทางหลวง เพื่อเอามาจัดแสดงในนิทรรศการ ประชาสัมพันธ์ ขณะที่จัดแสดงอยู่ดีๆ ซากของรถคันนี้ก็หลุดจากแท่นหล่นมาทับคนดูบาดเจ็บสาหัสไปอีกคน

     

    จนกระทั่งในวันที่ 12 มีนาคม 1959 โกดังที่เก็บซาก Little Bastard ริมถนน Hamilton Avenue ในเมือง Fresno ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ  ซึ่งก็โชคดีมากที่รถคันอื่นๆไม่ได้รับความเสียหายมาก และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังจากนั้นมาภายในปีเดียวกัน ก็ถูกเอามาจัดแสดงในนิทรรศการตามโรงเรียนก็ยังเกิดเหตุหล่นทับเด็กนักเรียนจนบาดเจ็บอีก ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำเรื่องของส่งซาก Little Bastard คันนี้คืนให้กับ Barris รถบรรทุกที่ขนมาเกิดเสียอาการจนคนขับหลุดกระเด็นจากตัวรถ และหล่นมาชนคนขับรถบรรทุกซ้ำอีกจนเสียชีวิต

     

    หลังจากที่ถูกขนส่งผ่านตู้รถไฟมาถึงมือของ Barris ในปี 1960 แล้ว เรื่องที่น่าขนลุกคือ เมื่อเปิดตู้คอนเทนเนอร์กลายเป็นว่า ”ไอ้สารเลวตัวน้อย” คันนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และยังมีข่าวลือว่าถูกพบเจอตามที่ต่างๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกพบจริงๆ ในสภาพที่เหลือแต่ชิ้นส่วนบางชิ้นเท่านั้น โดยที่ล่าสุดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2021 ชิ้นส่วนเพลา ก็ถูกประมูลโดย Zak Bagans นักสะสมของต้องสาปที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการที่เขาครอบครองตู้ไวน์ปีศาจ Dybbuk

     

    “ไม่ว่าจะคำสาป อาถรรพ์ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติจะมีจริงหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราควรจะขับขี่อย่างมีสติ และมีจิตสำนึก เพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรัก” ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวความสยองของรถต้องคำสาป ที่พรากเอาชีวิตของนักแสดงระดับโลก James Dean สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • รู้จักกับ K.I.T.T. รถไฮเทคสุดล้ำขวัญใจวัยรุ่นยุค 80 จาก “อัศวินคอมพิวเตอร์”

    2 Min Read

    รู้จักกับ K.I.T.T. รถไฮเทคสุดล้ำขวัญใจวัยรุ่นยุค 80 จาก “อัศวินคอมพิวเตอร์”

    สำหรับแฟนซีรีส์ยุค 80 “Knight Rider” ไม่ได้เป็นเพียงแค่การผจญภัยของฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวความผูกพันระหว่าง ไมเคิล ไนท์ (Michael Knight) และรถยนต์คู่ใจที่ชาญฉลาดที่สุดในโลกนามว่า K.I.T.T. (Knight Industries Two Thousand) รถยนต์สีดำเพรียวลมที่มีไฟสแกนเนอร์สีแดงอันเป็นเอกลักษณ์คันนี้ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของยานยนต์ธรรมดา กลายเป็น “อัศวินคอมพิวเตอร์” ผู้มีจิตวิญญาณและความคิดเป็นของตัวเอง คอลัมน์นี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกที่มาของ K.I.T.T. ตั้งแต่ตัวตนในซีรีส์ รถต้นแบบ ไปจนถึงการดีไซน์อันเป็นตำนาน

    “Knight Rider” (อัศวินคอมพิวเตอร์) ออกอากาศครั้งแรกในปี 1982 เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ เกลน เอ. ลาร์สัน (Glen A. Larson) เล่าเรื่องราวของ ไมเคิล ลอง นายตำรวจที่ถูกยิงระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และได้รับการช่วยชีวิตโดยมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ วิลตัน ไนท์ (Wilton Knight) หลังจากฟื้นตัว เขาได้รับใบหน้าใหม่และตัวตนใหม่ในชื่อ ไมเคิล ไนท์ พร้อมภารกิจลับในการต่อสู้กับอาชญากรรม ในฐานะส่วนหนึ่งขององค์กร Knight Foundation for Law and Government (FLAG)

    อาวุธสำคัญที่สุดของไมเคิลคือ K.I.T.T. (Knight Industries Two Thousand) รถซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มี AI ขั้นสูง รถคันนี้สามารถคิด, พูดคุย, เรียนรู้, ขับเคลื่อนตัวเองได้ และยังมีอุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย (เช่น Turbo Boost, Ski Mode, Molecular Bonded Shell ที่ทำให้รถแทบไม่บุบสลาย) K.I.T.T. มีเสียงพากย์อันโดดเด่นและบุคลิกที่สุภาพแต่ขี้ประชด (พากย์โดย William Daniels) ทั้งไมเคิลและ K.I.T.T. ต้องร่วมกันเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์และต่อสู้กับเหล่าร้าย

    Pontiac Firebird Trans-Am

    รถที่เป็นร่างต้นแบบของ K.I.T.T. คือ Pontiac Firebird Trans Am รุ่นปี 1982 ซึ่งเป็นรถยนต์สปอร์ต “มัสเซิลคาร์” (Muscle Car) ยอดนิยมของอเมริกา ในยุคที่ซีรีส์ออกอากาศ Firebird Trans Am เพิ่งเปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและมีหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้นอย่างมาก มีตัวเลือกเครื่องยนต์หลากหลาย แต่รถที่ใช้ในกองถ่ายมักจะเป็นรุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร หรือเครื่องยนต์ V6 มีจุดเด่นอยู่ที่ รูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยในยุคนั้น โดยเฉพาะส่วนหน้าที่มีไฟหน้าแบบป๊อปอัพ และกระจกหลังขนาดใหญ่ที่ลาดลงไปถึงด้านท้าย และที่สำคัญ… มันยังสามารถใช้อะไหล่ร่วมกับ Chevrolet Camaro โฉมที่ 3 ได้อีกด้วย เนื่องจะเป็นรถที่อยู่ในเครือของ General Motors เหมือนๆ กัน และยังใช้โครงสร้าง F Body ในการออกแบบร่วมกันอีกด้วย

    การที่โปรดิวเซอร์เลือกใช้รถรุ่นนี้ ถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของรถยนต์แห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีอเมริกันได้อย่างลงตัว

    เบื้องหลังการดีไซน์ตัวละคร K.I.T.T. 

    การดีไซน์ตัวรถ K.I.T.T. ส่วนใหญ่ดำเนินการโดย ไมเคิล เชฟเฟ (Michael Scheffe) เขาเป็นผู้ออกแบบส่วนหน้า (Front Nose) ที่มีลักษณะเพรียวยาวและเรียบเนียนกว่ารถ Firebird รุ่นมาตรฐาน โดยมีจุดเด่นคือ ไฟสแกนเนอร์สีแดงที่เลื่อนไปมา (Scanner Bar) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากดวงตาของ ไซลอน (Cylon) จากซีรีส์ Battlestar Galactica (ซึ่งเป็นผลงานของ เกลน เอ. ลาร์สัน เช่นกัน) อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบส่วนหน้าในช่วงต้นซีซัน 1 เนื่องจากมีปัญหาด้านการผลิต

    สิ่งที่ทำให้ K.I.T.T. แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคือแผงควบคุมภายในรถ (Dashboard) ซึ่งเต็มไปด้วยปุ่มกด ไฟกะพริบ และหน้าจอแสดงผล CRT สองจอ ถือเป็นการแสดงถึง “สมอง” ของรถยนต์อัจฉริยะอย่างชัดเจน พวงมาลัยของ K.I.T.T. ก็ถูกดัดแปลงให้มีรูปทรงแบบ Yoke หรือ “ตัววาย” ที่คล้ายกับพวงมาลัยของเครื่องบิน

    รถ Ford Mustang ต้นแบบ K.I.T.T. ฉบับภาคต่อกึ่งรีบูตปี 2008

    ในปี 2008 มีการสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ความยาว 2 ชั่วโมงเพื่อเป็นภาคต่อกึ่งรีบูตของซีรีส์ “Knight Rider” โดยมีการนำตัวละคร K.I.T.T. กลับมาในรูปแบบใหม่ ซึ่งคราวนี้ถูกเรียกว่า K.I.T.T. (Knight Industries Three Thousand) รถที่นำมาใช้เป็นต้นแบบคือ Ford Shelby GT500KR ปี 2008 เนื่องจาก Pontiac Firebird ยุติการผลิตไปแล้ว และเพื่อเป็นการปรับภาพลักษณ์ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ ทีมงานจึงเลือกใช้รถสปอร์ตที่โดดเด่นในขณะนั้นอย่าง Ford Mustang ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นรุ่น Shelby GT500KR ซึ่งให้ภาพลักษณ์ที่ดูดุดันและทันสมัยกว่า

    K.I.T.T. เวอร์ชั่นปี 2008 ยังคงรักษาไฟสแกนเนอร์สีแดงไว้ แต่มีเส้นสายที่คมชัดและก้าวร้าวตามสไตล์ของ Mustang ยุคใหม่ ส่วนเสียงพากย์เปลี่ยนเป็น วาล คิลเมอร์ (Val Kilmer) ที่มีโทนเสียงที่นุ่มนวลและเป็นทางการกว่าเดิมมาก โดยมีการเน้นความสามารถในการแปลงร่างเป็นรถรุ่นอื่น (ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ของ Ford) และการใช้เทคโนโลยีนาโนในการซ่อมแซมตัวเอง

    แม้ว่าซีรีส์รีบูตจะไม่ประสบความสำเร็จและมีอายุสั้นเพียงซีซันเดียว แต่ K.I.T.T. ฉบับ Mustang ก็เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ตำนานของ “อัศวินคอมพิวเตอร์” ยังคงพยายามปรับตัวและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมรถยนต์มาจนถึงปัจจุบัน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • “Omoda 4” เปิดตัวแล้ว: รถไฟฟ้าครอสโอเวอร์ไซไฟ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกวิดีโอเกมและอวกาศ

    1 Min Read

    “Omoda 4” เปิดตัวแล้ว: รถไฟฟ้าครอสโอเวอร์ไซไฟ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกวิดีโอเกมและอวกาศ

    Omoda แบรนด์รถยนต์ภายใต้ Chery Group ได้สร้างความฮือฮาในงาน International User Summit ประจำปี ด้วยการเผยโฉมรถครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัดรุ่นใหม่ล่าสุด Omoda 4 ที่มาพร้อมดีไซน์สุดล้ำในสไตล์ “Cyber Mecha” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิทยาศาสตร์-แฟนตาซี (Sci-Fi), หุ่นยนต์ และวิดีโอเกม

    Omoda 4 ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถยนต์ระดับเริ่มต้น (Entry-level) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ โดยมีเป้าหมายในการดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักในเทคโนโลยีและต้องการรถยนต์ที่สะท้อนถึงตัวตนที่ไม่ซ้ำใคร

    ดีไซน์ “Cyber Mecha” สุดล้ำ

    Omoda 4 นำเสนอการออกแบบที่ดุดันและมีเหลี่ยมมุมชัดเจน ซึ่งทางแบรนด์เรียกว่า “Cyber Mecha” ด้วยเส้นสายที่เฉียบคมและผิวสัมผัสแบบเมทัลลิก ทำให้รถดูเหมือนหลุดออกมาจากฉากแอ็กชันในวิดีโอเกมหรือภาพยนตร์ไซไฟ

    ภายในห้องโดยสารยังคงตอกย้ำแนวคิดนี้ ด้วยการออกแบบที่เหมือนห้องนักบินอวกาศ (Spaceship Cockpit) มีปุ่มควบคุมและสวิตช์ที่มีลักษณะคล้ายเพชรที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยานอวกาศ และไฮไลท์สำคัญคือปุ่มสตาร์ท-หยุดเครื่องยนต์แบบมีฝาปิดสีแดงคล้าย “ปุ่มยิง” หรือ “ปุ่มเริ่มปฏิบัติการ” ซึ่งถูกนำแรงบันดาลใจมาจากดีไซน์ของรถซูเปอร์คาร์ระดับตำนาน

    ตัวเลือกขุมพลังที่หลากหลายและการปรับแต่งภายใน

    Omoda 4 จะเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “New Energy Vehicles” ของ Omoda โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอทางเลือกของระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE), ระบบไฮบริด (Hybrid) และรุ่นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ล้วนๆ

    แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดสเปคและราคาอย่างเป็นทางการสำหรับทุกตลาด แต่คาดการณ์ว่ารุ่น EV อาจมาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งประมาณ 400 กิโลเมตร (248 ไมล์)

    นอกจากนี้ Omoda 4 ยังมาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์และธีมภายในรถที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ ทำให้เจ้าของรถสามารถผนวกเอาความชอบและความคิดสร้างสรรค์ของตนเองเข้าไปในประสบการณ์การขับขี่ได้อย่างเต็มที่

    กลยุทธ์ “Co-Creation” และการเปิดตัวในตลาดโลก

    ในงานเปิดตัว Omoda ได้เน้นย้ำถึงแนวคิดการร่วมสร้างสรรค์กับผู้ใช้งาน (Co-Creation) โดยผู้สนใจและแฟนๆ ของแบรนด์จะได้รับโอกาสเป็น “Co-Creation Ambassadors” เพื่อส่งข้อมูลป้อนกลับและข้อเสนอแนะต่างๆ แก่ทีมพัฒนา ก่อนที่รถจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Omoda 4 ได้รับการยืนยันว่าจะเข้าสู่ตลาดสำคัญทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเร็วที่สุดในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และจะมาพร้อมกับการรับประกัน 7 ปี/100,000 ไมล์ สำหรับตัวรถ และการรับประกัน 8 ปีสำหรับแบตเตอรี่ (สำหรับรุ่น EV/Hybrid)

    การเปิดตัว Omoda 4 ในครั้งนี้ ถือเป็นการประกาศจุดยืนของแบรนด์ในการก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัด (B-segment) ด้วยภาพลักษณ์ที่ทันสมัย เน้นเทคโนโลยี และการออกแบบที่โดนใจกลุ่มผู้ขับขี่รุ่นใหม่ที่แสวงหาสิ่งที่ “กล้าฉีกกฎ” อย่างแท้จริง

    ที่มา : Top Gear


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • Honda Prelude ตำนานล้อหลังเลี้ยวได้!!

    1 Min Read

    Honda Prelude ตำนานล้อหลังเลี้ยวได้!!

    ท่ามกลางกระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและไฮบริดที่กำลังมาแรง การกลับมาของชื่อชั้นระดับตำนานอย่าง Honda Prelude ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะการปรากฏตัวของ Honda Prelude รุ่นล่าสุด ที่ถูกนำมาจัดแสดงในงาน The M.O.V.E. By Honda ณ ห้าง Emsphere ยิ่งตอกย้ำถึงการกลับมาอย่างสง่างามของรถสปอร์ตคูเป้ในตำนานคันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงที่มาที่ไป เราจะพาไปเจาะลึกวิวัฒนาการของ Honda Prelude ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงยุคใหม่ในฐานะรถไฮบริด

    โฉมที่ 1 (1978-1982)

    ในช่วงปลายยุค 70s กระแสรถยนต์คูเป้ขนาดเล็กกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยมี Toyota Celica เป็นผู้นำตลาดที่สร้างยอดขายอย่างน่าประทับใจ Honda จึงไม่ยอมอยู่เฉย และตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันนี้ โดยได้มอบหมายให้ Hiroshi Kizawa เป็นหัวหน้าวิศวกรในการออกแบบ Honda Prelude รุ่นแรก ซึ่งหมายมั่นปั้นมือให้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Nissan Silvia

    Prelude รุ่นแรกเปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1978 และมีจุดเด่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับยุคนั้น:

    • เป็นรถรุ่นแรกๆ ของ Honda ที่มี หลังคามูนรูฟไฟฟ้า (Power Moonroof) ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
    • เป็นรถรุ่นแรกๆ ที่มีการติดตั้ง พวงมาลัยพาวเวอร์ สำหรับรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า ลิตร ซึ่งทำให้การขับขี่คล่องตัวขึ้นอย่างมาก
    • ได้รับคำชมจากสื่อมวลชนชั้นนำอย่าง Motortrend ในด้านการออกแบบและนวัตกรรม
    • มาพร้อมกับเครื่องยนต์หลัก รุ่น คือ เครื่องยนต์ EL ขนาด ลิตร และ เครื่องยนต์ EK CVCC ขนาด ลิตร
    • ในปี 1980 มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ครั้งสำคัญด้วยระบบวาล์วแปรผัน CVCC II พร้อม Catalytic Converter เพื่อให้ไอเสียสะอาดขึ้น และมีการใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ Hondamatic (เกียร์อัตโนมัติ สปีดในตอนแรก ก่อนเปลี่ยนเป็น สปีด)

    โฉมที่ 2 (1982-1987)

    Prelude เจเนอเรชันที่ เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1982 ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยและแอโรไดนามิกมากขึ้น

    • ใช้เครื่องยนต์หลัก คือ A18A ขนาด ลิตร
    • ในปี 1985 มีการอัปเดตเครื่องยนต์ครั้งใหญ่ไปใช้ B20A ขนาด ลิตร
    • นับเป็น Prelude รุ่นแรกที่ใช้ไฟหน้าแบบป๊อปอัป (Pop-up Headlights) ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของรถสปอร์ตในยุคนั้น และช่วยลดแรงต้านอากาศได้อย่างดีเยี่ยม
    • เป็นรถรุ่นแรกๆ ที่มีการนำเสนอบระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) เป็นทางเลือก

    โฉมที่ 3 (1987-1991)

    เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1987 ด้วยการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น

    • ดีไซน์ของรถได้ถูกนำไปต่อยอดและมีอิทธิพลต่อรถซูเปอร์คาร์ในตำนานอย่าง Honda NSX ที่เปิดตัวในปี 1990
    • มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัย เช่น กระจกมองข้างไฟฟ้า และ แอร์ออโต้ (Automatic Climate Control)
    • คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดและกลายเป็นฉายาที่รู้จักกันดีคือ ระบบเลี้ยว ล้อ (Four-Wheel Steering – 4WS) ซึ่งเป็นระบบกลไก (Mechanical 4WS) ที่เป็นครั้งแรกของโลกที่ใช้ในรถยนต์นั่งผลิตจำนวนมาก โดยระบบนี้จะบังคับให้ล้อหลังเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้าเล็กน้อยเมื่อขับด้วยความเร็วสูง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพ หรือเลี้ยวในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้าเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ เพื่อช่วยลดรัศมีวงเลี้ยวและเพิ่มความคล่องตัว จนเป็นที่มาของฉายาที่ผู้คนชอบเรียกว่า ล้อหลังเลี้ยวได้”
    • ในปี 1988 รถรุ่นนี้ขึ้นแท่นเป็นอันดับสามในรางวัล European Car of the Year ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในระดับสากล

    โฉมที่ 4 (1991-1996)

    เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 1991 ด้วยการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่จากรูปทรงเหลี่ยมเป็นแบบโค้งมนตามสมัยนิยม

    • ยกเลิกไฟหน้าป๊อปอัป โดยเปลี่ยนไปใช้ไฟหน้าที่ซ่อนอยู่ในแนวนอนที่ดูเพรียวบาง
    • เริ่มมีการนำระบบวาล์วแปรผันอันเลื่องชื่อของ Honda คือ VTEC (Variable Valve Timing and Lift Electronic Control) มาใช้ในเครื่องยนต์ รุ่น ลิตร DOHC ซึ่งให้พละกำลังที่สูงขึ้น
    • มีประวัติเคยถูกใช้เป็นรถ Safety Car ในการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน Japanese Grand Prix ปี 1994 ณ สนาม Suzuka Circuit

    โฉมที่ 5 (1996-2001)

    เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1996 โดยการออกแบบกลับไปใช้รูปทรงที่ดูเป็น สี่เหลี่ยมมากขึ้น ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับรากฐานของรุ่นก่อนหน้า

    • ยังคงใช้รูปแบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FF Layout) และช่วงล่างตอนหน้าเป็นแบบอิสระ
    • รายละเอียดรถรุ่น Canada: ในตลาดแคนาดาและอเมริกาเหนือจะมีรุ่นย่อยที่โดดเด่น เช่น รุ่น SH (Super Handling) ซึ่งมาพร้อมกับระบบ ATTS (Active Torque Transfer System) ที่ช่วยควบคุมการกระจายแรงบิดไปที่ล้อหน้า ทำให้การเข้าโค้งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในรถขับเคลื่อนล้อหน้าที่มีการควบคุมดีที่สุดในโลก
    • รายละเอียดรถรุ่น Type S (เฉพาะตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น): เป็นรุ่นสมรรถนะสูงสุดในตลาดญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ ลิตร DOHC VTEC ที่ให้กำลังสูงสุดถึง แรงม้า (ในรุ่นเกียร์ธรรมดา) โดยไม่มีหลังคามูนรูฟ และติดตั้งระบบควบคุมแรงบิด ATTS เป็นมาตรฐาน
    • ประวัติและรายละเอียดรถ Prelude Motegi: รุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษที่มีการแต่งภายนอกที่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น และใช้ชื่อ “Motegi” เพื่อเป็นเกียรติแก่สนามแข่ง Twin Ring Motegi ที่ Honda เป็นเจ้าของ

    หลังจากนั้น Honda Prelude ก็ได้ยุติสายการผลิตไปในปี 2002 เนื่องจากกระแสความนิยมรถสปอร์ตคูเป้ขนาดเล็กที่เริ่มลดน้อยลง ทำให้ชื่อของ Honda Prelude หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ตลอด 20 ปี

     

    โฉมที่ 6 (ปัจจุบัน)

    หลังจากยุติการผลิตไปในปี 2001 Honda Prelude ได้กลับมาอีกครั้งในฐานะรถสปอร์ตยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพของระบบไฮบริด

    • เปิดตัวในรูปแบบ Concept เป็นครั้งแรกในงาน Japan Mobility Show 2023 และมีการโชว์ตัวจริงพร้อมรายละเอียดทางเทคนิคที่งาน Goodwood Festival of Speed ในเดือนกรกฎาคม 2024
    • เริ่มขายจริงในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ในวันที่ 5 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นการกลับมาอย่างเป็นทางการในรอบกว่าสองทศวรรษ และได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมียอดจองในช่วงเดือนแรกสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 8 เท่า (ประมาณ 2,400 คัน จากเป้าหมาย 300 คันต่อเดือน)
    • เป็นการกลับมาในฐานะรถ ไฮบริด (Hybrid-Electric) โดยใช้ระบบ Two-Motor Hybrid ที่ผสานเครื่องยนต์ ลิตร Atkinson-cycle เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า
    • มาพร้อมโหมดการขับขี่ใหม่ที่เรียกว่า Honda S+ Shift ที่ถูกออกแบบมาเพื่อจำลองประสบการณ์การขับขี่รถสปอร์ตด้วยเกียร์ “เสมือนจริง” และการปรับจูนเสียงเครื่องยนต์เพื่อให้ผู้ขับขี่มีอารมณ์ร่วม
    • สเปคของรถ (สำหรับตลาดญี่ปุ่น): มาพร้อมพละกำลังรวมประมาณ แรงม้า และใช้ชิ้นส่วนช่วงล่างด้านหน้าแบบ Dual-Axis Strut จาก Civic Type R เพื่อให้มีการควบคุมที่แม่นยำและตอบสนองได้ดี
    • รูปทรงตัวถังเป็นสปอร์ตคูเป้ ประตูที่ทันสมัย (ไม่ได้เป็น Liftback ตามที่เคยคาดการณ์ในตอนแรก)

    Honda Prelude รุ่นที่ 6 นี้ เป็นการผสมผสานตำนานเข้ากับเทคโนโลยียานยนต์ยุคใหม่ได้อย่างลงตัว โดยนำเสนอสมรรถนะที่น่าตื่นเต้นควบคู่ไปกับความประหยัดน้ำมันในแบบฉบับรถไฮบริด

    Honda Prelude ไม่ได้เป็นเพียงรถสปอร์ตคูเป้เท่านั้น แต่ยังเป็นตำนานที่เต็มไปด้วยนวัตกรรม โดยเฉพาะระบบ “ล้อหลังเลี้ยวได้” ในยุคที่รถสปอร์ตคูเป้ยังเป็นที่ต้องการ ซึ่งการกลับมาของ Prelude ในยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าและไฮบริดนี้ ก็เป็นเหมือนการตอกย้ำจิตวิญญาณแห่งความท้าทายและการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ของ Honda อีกครั้ง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ด่วน! ข่าวลือสะพัด Toyota FJ Cruiser รุ่นใหม่ (Land Cruiser FJ) อาจเปิดตัว 20 ตุลาคมนี้

    1 Min Read

    ด่วน! ข่าวลือสะพัด Toyota FJ Cruiser รุ่นใหม่ (Land Cruiser FJ) อาจเปิดตัว 20 ตุลาคมนี้

    แฟน ๆ รถยนต์สายลุยทั่วโลกเตรียมเฮ! มีรายงานข่าวลือหนาหูจากสื่อมวลชนญี่ปุ่นระบุว่า Toyota เตรียมจะเผยโฉมรถออฟโรดรุ่นใหม่ในตระกูล Land Cruiser ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเป็นรุ่นที่สานต่อตำนานของ FJ Cruiser ซึ่งอาจใช้ชื่อว่า Land Cruiser FJ โดยคาดการณ์ว่าอาจมีการจัดแสดงภาพตัวอย่างให้สื่อมวลชนได้ชมเป็นการภายในในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการระดับโลกในเช้าวันถัดไปคือวันที่ 21 ตุลาคม (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น)

    รายงานข่าวระบุว่า รถยนต์รุ่นใหม่นี้ ซึ่งถูกยกให้เป็น “สมาชิกรุ่นเล็กสุด” ของตระกูล Land Cruiser ในปัจจุบัน จะมีดีไซน์ทรงกล่อง (Boxy Design) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากรถต้นแบบ Compact Cruiser EV ปี 2021 และรุ่น FJ Cruiser ในอดีตอย่างชัดเจน โดยจะมีลักษณะเด่นคือตัวถัง 5 ประตู ไฟหน้าทรงกลม และยางอะไหล่ติดตั้งอยู่ที่ประตูท้าย

    ฐานการผลิตในไทยและขุมพลังที่คาดการณ์

    สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษสำหรับแฟน ๆ ชาวไทยคือรายงานที่ระบุว่า Toyota Land Cruiser FJ รุ่นนี้จะถูกผลิตที่โรงงานในประเทศไทย เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าจะใช้แพลตฟอร์มแบบแชสซีส์ขั้นบันได (Ladder Frame) IMV-0 ซึ่งเป็นโครงสร้างเดียวกับที่ใช้ใน Toyota Hilux Champ และ Fortuner รุ่นใหม่ เพื่อให้ได้สมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดที่แข็งแกร่งและทนทาน

    สำหรับทางเลือกด้านขุมพลังนั้น แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่สื่อญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า Land Cruiser FJ อาจมาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.7 ลิตร (รหัส 2TR-FE) และอาจมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.8 ลิตร พร้อมระบบ Mild-Hybrid (คล้ายกับที่ใช้ใน Land Cruiser Prado, Hilux และ Fortuner) โดยทุกรุ่นน่าจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) เป็นมาตรฐาน

    การกลับมาของตำนานสายลุย

    การเปิดตัวของ Land Cruiser FJ นี้ถือเป็นการกลับมาของรถ SUV ขนาดกะทัดรัดที่เน้นการลุยอย่างแท้จริง ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ตลาดเพื่อแข่งขันในกลุ่มรถออฟโรดขนาดเล็ก โดยจะเริ่มทำตลาดในภูมิภาคเอเชียก่อน (รวมถึงประเทศไทย) ก่อนจะขยายไปยังตลาดใหญ่อย่างอเมริกาและยุโรปต่อไป

    หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นยังคงเป็นรายงานข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Toyota ดังนั้น แฟน ๆ รถยนต์ยังคงต้องติดตามการประกาศจากบริษัทอย่างใกล้ชิดในวันที่ 20-21 ตุลาคมนี้ ซึ่งคาดว่ารายละเอียดทั้งหมดจะถูกเปิดเผยในงานสำคัญนี้


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • Mitsubishi Lancer Evolution ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น

    3 Min Read

    Mitsubishi Lancer Evolution ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น

    ในโลกของรถสมรรถนะสูง มีไม่กี่ตระกูลที่สร้างตำนานไว้ได้ลึกซึ้งเท่า Mitsubishi Lancer Evolution — รถซีดานขับสี่ที่เกิดจากสนามแข่งแรลลี่ ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจนักซิ่งทั่วโลก “อีโว” ไม่ได้เป็นเพียงแค่รุ่นย่อยของ Lancer แต่มันคือจิตวิญญาณของความเร็ว ความแม่นยำ และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัยที่พา Mitsubishi คว้าแชมป์ WRC มาแล้วนับไม่ถ้วน

    จากถนนลูกรังในสนามแข่งสู่ถนนจริงในชีวิตประจำวัน Lancer Evolution ได้หลอมรวมประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตเข้ากับความดิบของเครื่องยนต์เทอร์โบ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค 90s–2000s ที่ยังคงตราตรึงในใจสายซิ่งมาจนถึงวันนี้

    นี่คือเรื่องราวของ “ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น” ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ซีดานธรรมดา ให้กลายเป็นอสูรร้ายแห่งทางฝุ่นและถนนดำ ตำนานที่ชื่อว่า Mitsubishi Lancer Evolution.

    • กำเนิด ”ราชาทางฝุ่น” (1973-1979)

    โดยจะต้องย้อนไปถึงตอนที่ Mitsubishi เปิดตัว Lancer โฉมแรกหรือ “ไฟแอล” ออกมาในปี 1973 ในตอนนั้นยังเป็นรถที่ยังไม่จี๊ดจ๊าดเท่ากับยุคสมัยนี้ เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีความสปอร์ต มีการคำนึงถึงแอโรไดนามิก บอดี้ส่วนบนแคบกว่าส่วนล่าง และยังประกอบบนแชสซี Monocoque ทำให้แข็งแรงทนทานมากๆ แต่ก็ยังเป็นมิตรกับเหล่าบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย และที่สำคัญคือมันยังขึ้นชื่อในเรื่องของเทคโนโลยีระบบไอเสียที่ปล่อยมลพิษน้อยมากๆ อีกด้วย

    Andrew Cowan

    Tommi Makinen

    ในช่วงเวลานี้เองทาง Mitsubishi ที่อยากจากเสริมภาพลักษณ์ทางการตลาดก็ได้ส่งรถตัวเองไปแข่ง และรายการที่ Mitsubishi สนใจมากที่สุดก็คือรายการ WRC นี่เองด้วยความที่เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้วัดกันเพียงแค่ความเร็วอย่างเดียว แต่ยังวัดความอึด ถึก ทน กับทุกสภาพถนนอีกด้วย จึงส่งรถตัวท็อปสุดและสมรรถนะแรงที่สุดในยุคนั้นอย่าง Lancer 1600 GSR ไปแจ้งเกิดในสนาม Australian Southern Cross Rally ฟาดเรียบ 4 อันดับแรก โดยผู้ที่คว้าแชมป์ก็คือ Andrew Cowan จับคู่กับ John Bryson นี่เอง แถมยังคว้าแชมป์ต่อเนื่องถึง 4 ปีติด และ Andrew Cowan ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Ralliart และยังเป็นกุนซือที่สร้างตำนานรุ่นใหม่ๆ มากมายอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ Tommi Makinen นี่เอง

    และในปี 1974 เจ้า Lancer รุ่นนี้ก็ถูกส่งไปแข่งในสนาม Safari Rally ที่ประเทศเคนยาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสนามที่ทรหดที่สุดในโลก และความไม่ธรรมดาของรถที่ส่งไปแข่งนั่นก็คือ มีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้แรงกว่าตัวรถเดิมๆ จาก 108 แรงม้าขึ้นไปถึง 169 แรงม้า และแรงบิดสูงขึ้นถึง 162 Nm แถมยังรีดน้ำหนักให้เบาลง เบาลง และก็เบาลง จนไม่รู้จะทำยังไงให้เบาลงได้อีกแล้ว และผู้ที่คว้าแชมป์ในสนามนี้ก็คือนักแข่งเจ้าถิ่น Joginder Singh จับคู่กับ David Doig นี่เอง แล้วจากการที่มันคว้าแชมป์มามากมายหลายสนาม นั่นก็ทำให้เจ้า Lancer 1600 GSR นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของฉายาว่า “ราชาทางฝุ่น” นี่เอง

    • Starion Group B ที่ไม่มีวันได้เกิด (1988)

    หลังจากที่เจ้า Lancer 1600 GSR ประสบความสำเร็จในสนามมาอย่างยาวนาน Mitsubishi ก็มีเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีกนั่นก็คือการเข้าแข่งขันใน Group B ที่โหดกว่าเดิมด้วยการส่ง Starion ระบบขับ 4 ไปแข่ง แต่ก่อนที่ Starion คันนี้จะเกิด กลับโดนคุมกำเนิดซะก่อนนี่สิ เพราะก่อนที่ตัวรถจะเข้าที่เข้าทางพร้อมแข่งเรียบร้อย กลายเป็นว่ากติกา Group B ถูกยกเลิกไป เพราะปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แล้วจะเอาไปแข่งในรายการไหนได้? Mitsubishi ก็ปรับตัวโดยการย้ายไปแข่งในรุ่น Group A และย้ายเอาระบบขับ 4 กับเครื่องยนต์เทอร์โบไปยัดใส่ตัวถังของ Galant โฉมที่ 6 ออกมาเป็น Galant VR-4 นี่เอง

    • Galant VR-4 กับจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่

    ถึงแม้ว่าเจ้า Galant VR-4 นั้นจะสร้างผลงานคว้าแชมป์อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1989-1992 แต่ก็ต้องมาปวดหัวตรงที่สนามกลับแคบลง ในขณะที่ตัวรถที่ใหญ่มากก็เริ่มจะแข่งไม่ได้ และเมื่อย้อนกลับมามองคู่แข่งอย่าง Ford ก็ยังต้องเปลี่ยนรถจาก Sierra มาเป็น Escort, Subaru ต้องเปลี่ยนรถจาก Legacy มาเป็น Impreza, Toyota ต้องเปลี่ยนรถจาก Celica มาเป็น Corolla, Hyundai ก็ต้องเปลี่ยนรถจาก Tiburon มาเป็น Accent จะเห็นได้ว่าจากรถเก่าๆ ที่มี 4 ประตูขนาดใหญ่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นรถที่เล็กลง Mitsubishi ก็คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะเอาไส้ในของ Galant VR-4 มายัดใส่ตัวถังของ Lancer โฉมที่ 6 รหัส CD9A หรือที่คนไทยเรียก E-Car

    • Mitsubishi Lancer Evolution I

    จุดประสงค์เดิมของ Lancer ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นรถสปอร์ตแม่บ้าน ไม่ได้บ้าพลังอะไรมากมาย เน้นประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อยัดทั้งเครื่องยนต์ 4G63 ฝากะปิ 4 สูบเรียงเทอร์โบขนาด 2 ลิตร 250 แรงม้า ปรับจูนโดยสำนัก AMG ที่ทำรถ Mercedes ใส่ทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งช่วงล่างรถแข่ง และทั้งบอดี้คิทรถแข่งเข้าไป กลับกลายเป็นไปขัดกับคอนเซ็ปท์เดิมๆ ที่อยากให้เป็น แล้วทาง Mitsubishi จึงต้องคิดแล้วคิดอีกจนได้ข้อสรุปว่า “อ้ะงั้นก็ แยกออกมาเหมือนเป็นร่างวิวัฒนาการของ Lancer ไปซะเลยสิ” กลายมาเป็น Mitsubishi Lancer Evolution หรือ Evo และตามกติกาของ Group A ที่ต้องมีการผลิตตัวรถออกมาขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 2,500 คันต่อปี ให้คนทั่วไปสามารถซื้อได้ Mitsubishi ก็ผลิตวางขายอยู่ 2 ปี ปีละ 2,500 คัน

    นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแยกเจ้า Evo ออกเป็น 2 รุ่นหลักๆ ได้แก่ GSR ที่ขายตามท้องตลาด ใช้ขับขี่บนท้องถนนทั่วไป และ RS ที่เน้นสมรรถนะสูงสุด สำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ตัดทุกออปชั่นอำนวยความสะดวกออกทั้งหมด เพื่อให้น้ำหนักเบาที่สุด และเบากว่า GSR ถึง 70 กิโลกว่าๆ แต่สิ่งเดียวที่เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ “เต็ด” ที่เพลาหลังนี่เอง

    • Mitsubishi Lancer Evolution II

    ในเดือนมกราคมปี 1994 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo II ที่เหมือนเป็นรุ่นอัปเกรด พร้อมรหัสตัวถัง CE9A ถ้ามองไกลๆ นี่แยกแทบไม่ออกเลย แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่ามันจะมีความแตกต่างอยู่ ทั้งฐานล้อที่ยาวขึ้น 10 มม. ล้อหน้ากว้างขึ้น 15 มม. ล้อหลังกว้างขึ้น 10 มม. ลิ้นกันชนหน้าสีดำ ปีกท้ายใหญ่ขึ้น ฐานปีกท้ายสูงขึ้น และล้อเดิมๆ จากโรงงานที่ให้มาเป็นล้อ OZ 5 ก้านขอบ 15 นิ้ว รวมถึงเครื่องยนต์ 4G63 ก็มีการจูนใหม่ให้แรงขึ้นถึง 256 แรงม้า และผลิตมาทั้งหมด 5,000 คันและขายหมดเกลี้ยงเลยครับภายใน 3 เดือน

    • Mitsubishi Lancer Evolution III นักเลง 3 เกียร์

    ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1995 Evo III ก็ถูกปล่อยออกสู่ท้องตลาดด้วยจำนวนการผลิต 5,000 คัน ซึ่งก็คือรุ่นที่ สุโด เคียวอิจิ ขับนี่เอง และยังเป็น Evo คันแรกที่ Tommi Makinen คว้าแชมป์ WRC

    ด้วยตัวถัง CE9A เหมือนเดิมแต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1,260 กก. สาเหตุเกิดมาจากการที่ปรับปรุงอะไรเยอะแยะไปหมด เพื่อทวงคืนบัลลังก์ราชาทางฝุ่นที่ถูกรถ Subaru Impreza และนักแข่ง Collin McRae แย่งไป โดยจุดที่แตกต่างจาก Evo II ก็คือกระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รับอากาศเข้าหม้อน้ำ อินเตอร์คูลเลอร์ และเบรก ได้ดีขึ้น เทอร์โบลูกใหญ่ขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ทรงพลังกว่าเดิมถึง 270 แรงม้า และยังมีลูกเล่นเพิ่มเข้ามานั่นก็คือระบบฉีดน้ำหล่อเย็นเข้าหม้อน้ำ ในส่วนของภายนอกมีการดีไซน์ปีกท้ายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มแรงกดให้มากขึ้น ย้ายไฟเบรกดวงที่ 3 มาไว้ที่ฐานปีกท้าย และยังดีไซน์สเกิร์ตข้างใหม่ กันชนหน้าใหม่ที่ทั้งกว้างและนูนออกมา ครอบไฟเลี้ยวสีส้ม และลิ้นสีเดียวกับตัวถังอีกด้วย

    นอกจากนี้ยังเรียกกันติดปากด้วยว่า “รถเฉินหลง” จากการที่มันไปปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง “Thunderbolt เร็วฟ้าผ่า” นี่เอง และด้วยอัตราทดเกียร์ที่แก้ไขใหม่จนโหดกว่าเดิม นั่นจึงทำให้มีอีกฉายานั่นก็คือ “นักเลง 3 เกียร์” อีกด้วย

    • Mitsubishi Lancer Evolution IV ท้ายเบนซ์

    หลังจากที่ทั้งสองรุ่นที่ผ่านมาผลิตขึ้นบนตัวถัง CE9A จนมาถึงวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1996 Mitsubishi เปิดตัว Evo IV พร้อมขายจริง ในวันเดียวกัน ด้วยตัวถังใหม่ CN9A ท้ายเบนซ์ เครื่องยนต์และเพลาถูกหมุนกลับด้านเพื่อบาลานซ์น้ำหนัก และแก้ปัญหาเรื่องของอาการขาเป๋ Torque Steer รวมถึงมีการเปลี่ยนเทอร์โบเป็น Twin-scroll Turbo ทำให้ได้แรงม้าขึ้นมาเพิ่มเป็น 280 แรงม้า และนอกจากนี้ ตัว GSR ยังเป็น Evo รุ่นแรกที่มี Active Yaw Control นอกจากนี้ยังให้ ”เต็ด” ล้อหน้าที่ช่วยให้เข้าโค้งได้คมขึ้น ระบบเกียร์ที่ใหญ่ขึ้น แข็งแรง ทนทาน ไม่แตกง่ายเท่ารุ่นก่อนๆ พร้อมล้อ OZ ขอบ 16 นิ้ว

    อีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ Evo IV เป็นที่จดจำคือไฟตัดหมอกที่ใหญ่เบ้อเริ่ม บริเวณกันชนหน้า แต่ว่าในตัวรุ่น RS นั้นจะยังไม่มีไฟตัดหมอกให้ตั้งแต่แรก จะยังเป็นแผ่นกลมๆ ครอบอยู่เฉยๆ และผลิตมาทั้งหมด 6,000 คัน

    • Mitsubishi Lancer Evolution V

    ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 1998 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo V  พร้อมรหัสตัวถัง CP9A ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงที่ยังพอสังเกตได้จากภายนอกคือ ปีกท้ายทำจากอะลูมิเนียมไม่มีเสากลาง และเพิ่มโป่งข้างให้ดูกว้างขึ้น เพิ่มช่องอากาศให้ใหญ่ขึ้น ภายในให้เบาะ Recaro ที่รุ่นใหม่และดีกว่าเดิมด้วย SR-Series รวมถึงยังเป็น Evo รุ่นแรกที่ให้เบรก Brembo อีกด้วย และยังมีการปรับปรุงเทอร์โบใหม่ให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นจาก 353 Nm เป็น 372.6 Nm ผลิตขายไปทั้งหมด 7,000 คันนี่เอง

    • Mitsubishi Lancer Evolution VI

    ในวันที่ 7 มกราคมปี 1999 เปิดตัว Evo VI และวางขาย นับได้ว่าเป็น Evo รุ่นสุดท้ายของ Group A ก็ว่าได้ มีจุดเด่นในเรื่องของเครื่องยนต์ที่ทนทานมากขึ้น อินเตอร์คูลเลอร์ และ ออยล์คูลเลอร์ใหญ่ขึ้น พร้อมกับมีการดีไซน์บอดี้คิทใหม่ให้ไฟตัดหมอกมีขนาดเล็กลง และเยื้องออกไปด้านนอกของช่องอากาศเพื่อให้รับอากาศเข้าได้ดีกว่าเดิม, แกนเทอร์ไบน์ และกังหันไอเสียของรุ่น RS ก็มีการเปลี่ยนวัสดุใหม่เป็น ไทเทเนียม-อะลูมิไนด์, ส่วนของไฟท้ายที่ยื่นเข้ามาถึงฝากระโปรงท้ายก็ไม่มีอีกต่อไป และนอกจากนี้รุ่น RS ยังมีแยกย่อยออกมาอีกทั้ง RS2 ที่เพิ่มออปชั่นบางส่วนจากรุ่น GSR และรุ่น RS Sprint ที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัด เป็นรุ่นที่จูนมาเป็นพิเศษโดยทีม Ralliart ให้มีน้ำหนักที่เบาลง และซัดพละกำลังเครื่องได้ถึง 330 แรงม้า

    จนกระทั่งในเดือนธันวาคมปี 1999 Evo VI ก็เปิดตัวรุ่นพิเศษของทั้ง GSR และ RS นั่นก็คือ Tommi Makinen Edition หรือที่นิยมเรียกว่า Evo 6.5 นี่เองครับซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างจากปกติก็คือ กันชนหน้าเฉพาะ เบาะ Recaro สีแดงดำปักชื่อ Tommi Makinen, ล้อ Enkei สีขาวขนาด 17 นิ้ว, พวงมาลัย Momo และ หัวเกียร์ หุ้มหนังดีไซน์เฉพาะ, ลดความสูงของรถลง 10 มม. และ อัตราส่วนการหมุนพวงมาลัยที่เร็วขึ้น

    • Mitsubishi Lancer Evolution VII

    ปี 2001 เดือนสิงหาคม Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo VII ซึ่งมาพร้อมกับตัวถังใหม่จากรุ่น Cedia นั่นก็คือ CT9A ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าเดิมถึง 100 กิโลเมตร แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ Mitsubishi ได้มีการปรับแก้แชสซีส์อยู่หลายจุด แถมยังปรับแก้อะไรหลายๆ อย่างมาก ทั้งเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ฝาครอบกระเดื่องวาล์ว เพลาลูกเบี้ยว และท่อไอเสียสแตนเลส โครงสร้างตัวถังก็มีการพัฒนาจาก Cedia ให้แข็งแรงกว่าเดิมถึงครึ่งหนึ่งด้วยการเชื่อมรอยต่อของโครงถึง 200 จุด

    ส่วนในเรื่องของหน้าตาก็มีการทำกันชนหน้าทรงใหม่ที่มีช่องดักอากาศใหญ่เท่านี่ ทำให้มองเห็นอินเตอร์คูลเลอร์ที่ใหญ่ขึ้น 20 มม. ฝากระโปรงหน้าอะลูมิเนียมมีช่องดักอากาศ ทำให้น้ำหนักเบาลง นอกจากนี้การจูนเครื่องยนต์ของ Evo VII ก็ยังทำให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นมาถึง 383 Nm นอกจากนี้ก็ยังเป็นรถรุ่นแรกของโลกที่ ให้ระบบ Active Center Differential (ACD) ซึ่งเป็นระบบเลือกโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนนถึง 3 โหมดทั้ง Tarmac ที่วิ่งบนถนน, Gravel ที่วิ่งบนทางกรวด และ Snow สำหรับวิ่งบนหิมะ แถมเบาะก็ยังเป็นเบาะ Recaro เจ้าเก่าเจ้าเดิม พร้อมพวงมาลัย Momo

    จนกระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2002 ก็มีการเปิดตัว Evo VII ตัวใหม่ออกมานั่นก็คือ GT-A หรือก็คือ Evo VII เกียร์ออโต้ แต่ความพิเศษอยู่ตรงที่ระบบ Fuzzy Logic ที่ทำให้เจ้าเกียร์ออโต้ตัวนี้สามารถเรียนรู้ และปรับตัวตามน้ำหนักเท้าของคนขับได้ และยังสามารถชิฟท์เกียร์แบบ Sequential ได้ผ่านปุ่ม +,- บนพวงมาลัยได้อีกด้วย แต่สมรรถนะของรถนั้นกลับสู้รุ่นเกียร์ธรรมดาไม่ได้ เพราะต้องใช้เทอร์โบที่เหมาะสมกับเกียร์ออโต้เท่านั้น นั่นจึงทำให้พละกำลังลดลงเหลือ 272 แรงม้า และแรงบิดลดลงเหลือ 343 Nm

    • Mitsubishi Lancer Evolution VIII

    หลังจากนั้นมา Mitsubishi ก็ปล่อย Evo VIII ออกมาแบบเล่นใหญ่มาก ด้วยการจัดงานทดสอบที่เมืองไทยถึง 4 คันที่สนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต พัทยา ในช่วงปลายปี 2002 ก่อนจะไปเปิดตัวต่อที่สหรัฐอเมริกาที่งาน Los Angeles Auto Show เมื่อวันที่ 7 มกราคม ปี 2002 และทำตลาดในเดือนกุมภาพันธ์ทันที ถือได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกในตลาดอเมริกันก็ว่าได้ และที่สำคัญยังเป็นรถที่กระแสดีมากๆ จากการโปรโมทผ่านเกม Gran Turismo อีกด้วย

    เอกลักษณ์ของ Evo VIII ที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ กระจังหน้าที่มีติ่งทรงสามเหลี่ยมยื่นขึ้นมาจากกันชนหน้า แต่กลับระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นไปอีก และไฟท้ายที่ตัดปลายแหลมด้านบนออก บอดี้คิทชิ้นต่างๆ ยังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ผสมกับพลาสติก ทำให้น้ำหนักเบาลงเข้าไปอีก 2 กก. และยังเปลี่ยนล้อมาใช้ Enkei 6 ก้าน ขอบ 17 นิ้ว ที่น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อน 3.2 กก. พร้อมดีไซน์ที่ลู่ลมมากกว่าเดิม รวมถึงระบบ Active Yaw Control ที่อัปเกรดให้ดีกว่าเดิมพร้อมตั้งชื่อว่า Super Active Yaw Control แต่ก็ต้องขอวงเล็บว่าระบบนี้ไม่มีติดตั้งมาให้ในตลาดสหรัฐอเมริกา

    ที่สำคัญคือรุ่นนี้ไม่มีเกียร์ออโต้ แต่มีรุ่นพิเศษอย่าง MR หรือ Mitsubishi Racing มาวางขายแทน ซึ่งให้เกียร์แมนวล 6 สปีด, โช้ค Bilstein, ล้อแม็ก BBS นอกจากนี้รุ่น RS และ MR ยังให้หลังคาที่ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ทำให้จุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างต่ำอีกด้วย

    ในตลาดอังกฤษ เจ้า Evo VIII ยังมีการขายรุ่นย่อยออกมาเยอะแยะมาก ตามแรงม้าที่ทำได้ทั้งรุ่น 260, FQ300, FQ320, FQ340 และ FQ400 ซึ่งเจ้าตัว FQ400 นั้นมีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้ซัดได้ถึง 400 แรงม้าอีกด้วย และเรื่องตลกของรถรุ่นเหล่านี้ก็คืออักษรย่อ FQ ที่ Mitsubishi ไม่เคยออกมาเผยเลยว่ามันย่อมาจากอะไร แต่ก็มีแฟนๆ Evo จำนวนมากต่างก็แซวว่ามันย่อมาจาก “F**king Quick” อีก ด้วยความที่เจ้า FQ400 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 282 กม./ชม.

    นั่นจึงทำให้ Top Gear นึกคึกเอามาแข่งจับเวลา Power Lap ที่สนามคู่กับ Lamborghini Murcielago แต่เป็นที่น่าเสียดายมากที่เจ้า Evo VIII FQ400 คันนี้ไม่สามารถเค้นสมรรถนะได้เต็มที่เพราะพื้นสนามเปียก ในขณะที่รอบจับเวลาของ Murcielago พื้นสนามยังแห้งอยู่ นั่นจึงทำให้เจ้า Evo คันนี้ทำเวลาไปได้ 1:24.8 นาที ในขณะที่ Murcielago ทำเวลาไปได้ 1:23.7 นาที ช้ากว่าถึง 1.1 วินาที

    แต่ว่าในนิตยสาร Evo Magazine ของ Carwow ได้มีการทดสอบ Evo VIII รุ่นนี้ที่สนาม Bedford ผลที่ได้คือสามารถทำเวลาต่อรอบเร็วกว่า Audi RS4 และ Porsche 911 Carrera 4S

    • Mitsubishi Lancer Evolution IX

    เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมปี 2005 ไฮไลต์เด่นๆ ของรุ่นนี้เลยคือเพิ่มระบบวาล์ว MIVEC ที่ฝั่งไอดี พร้อมปรับปรุงเทอร์โบใหม่ด้วยวัสดุที่น้ำหนักเบาลงจนทำให้เค้นพลังได้สูงถึง 287 แรงม้า แรงบิดสูงขึ้นถึง 392 Nm พร้อมกับปรับปรุงกันชนหน้าใหม่ เอาติ่งทรงสามเหลี่ยมที่โลโก้ออกเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดีมากขึ้น รุ่น RS และรุ่น GT มีการเปลี่ยนวัสดุใบพัดเทอร์โบเป็น ไทเทเนียม และแมกนีเซียมอัลลอยด์ เพื่อให้สู้กับแรงบิดที่สูงขึ้นได้ ส่วนในรุ่น MR นั้นก็ยังคงเอกลักษณ์จาก Evo VIII เหมือนเดิม

    นอกจากนี้ทาง Mitsubishi ยังออกรุ่นที่หายากมากอีกรุ่นหนึ่งก็คือ Evo Wagon ซึ่งผลิตบนแชสซีรหัส CT9W ก็มีทั้งรุ่น GT, GT-A และ MR อีกด้วย ซึ่งเจ้ารุ่น GT-A เกียร์ออโต้ยังใช้เครื่องยนต์ 4G63 จาก Evo VIII เหมือนเดิมที่ไม่มีระบบวาล์ว MIVEC  และเทอร์โบที่มีขนาดเล็กทำให้แรงบิดลดลงไปพอสมควร

    • Mitsubishi Lancer Evolution X

    จนกระทั่งในปี 2005 Mitsubishi เปิดตัวรถ Evo รุ่นใหม่ในงาน Tokyo Motor Show ภายใต้ชื่อ Concept-X ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบชาวบอสเนีย Omer Halilhodžić นับได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ออกแบบในยุโรป และเปิดตัวในงาน North American International Auto Show ในปี 2007 ภายใต้ชื่อ Prototype-X ก่อนจะปล่อยขายด้วยชื่อ Mitsubishi Lancer Evolution X ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ปี 2007 ปล่อยขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมกราคมปี 2008 ปล่อยขายในแคนาดาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008 และปล่อยขายในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2008

    เจ้า Evo X รุ่นนี้มีดีไซน์ที่ฉีกไปจากเดิมอย่างสุดขั้ว เพราะมันถูกดีไซน์บนแชสซีส์รหัส CZ4A และได้หัวใจใหม่เป็น 4B11T 4 สูบเรียงขนาด 2 ลิตร เทอร์โบ ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม-อัลลอยด์ทั้งตัว เครื่องยนต์รุ่นนี้ออกแบบ และ ผลิตโดยบริษัท Global Engine Manufacturing Alliance หรือ GEMA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Chrysler, Mitsubishi และ Hyundai นี่เอง

    Evo X นั้นก็วางขายมาเรื่อยๆ และรุ่นย่อยกับสเปคต่างๆ ก็แตกต่างกันไปตามประเทศที่วางขายอีกด้วย จนในที่สุดก็ปล่อยรุ่น Final Edition ออกมาในปี 2015 เป็นการปิดตำนาน “ราชาทางฝุ่น” ไปในที่สุด

    • Mitsubishi E Evolution Concept

    ในงาน Tokyo Motor Show ปี 2017 Mitsubishi ได้เผยโฉมรถคอนเซ็ปต์อย่าง Mitsubishi e-Evolution Concept ซึ่งเป็นรถ Crossover พลังงานไฟฟ้าที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ก่อนจะมาโชว์ตัวในงาน Motor Show ที่ประเทศไทยบ้านเราเมื่อปี 2019 สุดท้ายแล้วข่าวก็เงียบไปอยู่ดี ทุกวันนี้ที่เห็นๆ ก็มีแต่ภาพในจินตนาการของศิลปินคนแล้วคนเล่าที่ออกแบบใส่ไอเดียกันสนุกสนาน อนาคตของ Mitsubishi Lancer Evolution จะเป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ไม่อาจรู้ได้นอกจากทาง Mitsubishi จะออกมายืนยันด้วยตัวเอง

    แม้ชื่อ Lancer Evolution จะหยุดอยู่ที่รุ่น Evo X แต่จิตวิญญาณของมันไม่เคยหายไปจากหัวใจสายซิ่ง “อีโว” คือสัญลักษณ์แห่งพลัง เทคโนโลยี และความเร้าใจที่เกิดจากสนามแข่งจริง มันพิสูจน์แล้วว่าซีดานธรรมดาก็กลายเป็นตำนานได้ หากมีจิตวิญญาณแห่งความเร็วอยู่ในตัว และต่อให้ยุคสมัยเปลี่ยนไป เสียงเทอร์โบและแรงดึงของขับสี่ยังจะคงอยู่ในความทรงจำ ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น ที่ไม่มีวันเลือนหาย สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ประวัติของ Suzuki Cappucino

    1 Min Read

    ประวัติของ Suzuki Cappucino

    Initial D อนิเมะขับรถชื่อดังที่ทุกคนต่างรู้จักกันเป็นดีอย่าง แต่หากรู้ไม่ว่าหลายๆคนอาจไม่รู้ว่า Initial D นั้นมีรถของแบรนด์ Suzuki อยู่ด้วย นั่นคือ Suzuki Cappucino

    Suzuki Cappucino ผลิตขึ้นมาตั้งแต่ปี 1991-1998 เป็นรถ Kei car ที่ผลิตขึ้นมาในคราบรถสปอร์ต เพื่อให้คนญี่ปุ่นมือใหม่หัดซิ่ง ซื้อได้ง่ายขึ้น ภาษี และเบี้ยประกันถูกลง ตลอดสายการผลิตของเจ้ารถชื่อเหมือนกาแฟรุ่นนี้หน้าตา และสเปคโดยรวมแทบจะไม่มีเปลี่ยนอะไรเท่าไหร่มากนัก นอกจากรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง

    ด้วยน้ำหนักที่เบาถึง 725 กก. ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 3 สูบเทอร์โบ 657 cc เคลมพละกำลังได้ 63 แรงม้าที่ 6,500 rpm ซึ่งไม่เกินเพดานสูงสุดของการผลิต Kei car ที่กฎหมายกำหนดไว้ พร้อมการวางเครื่องยนต์แบบ MF ขับล้อหลัง ที่กระจายน้ำหนักได้ 50/50 บอดี้ที่กว้าง 1,395 มม. และยาว 3,295 มม. มิติที่เล็กพร้อมดีไซน์มนๆ นั่นจึงทำให้มันดูน่ารักปุ๊กปิ๊กถูกใจบรรดาเมียๆ ไม่เบาเลย

    ที่มาที่ไปของ Suzuki Cappucino นั้นเกิดจากว่า เมื่อปี 1987 ทาง Suzuki อยากจะทำรถที่ดูมีอิมเมจความเป็นรถสปอร์ตนี่ เพราะรถ Kei car ส่วนใหญ่จะออกแบบเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยมเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ชดเชยกับขนาดที่เล็กของมัน พอรถทรงนี้ออกมาจนโหล มันก็ทำให้ตลาดรถเล็กดูน่าเบื่อและ 2 ปีต่อมา ปี 1989 Suzuki ก็ปล่อยรถคอนเซ็ปท์ออกมากในงาน Tokyo Motor Show โดยในช่วงแรกๆ Suzuki ไม่ได้คิดที่จะขายต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ จนในเดือนตุลาคมปี 1991 รถเล็กคันนี้ก็เริ่มผลิตจริงในโรงงานที่เมืองโคไซ ภายใต้รหัสโมเดล EA11R ซึ่งก็คือคันที่ Sakamoto ขับในอนิเมะ พร้อมปล่อยออกสู่ท้องตลาดในเดือนพฤศจิกายน ปี 1991 พร้อมคำโปรยว่า “ความฝันที่จะมีรถสปอร์ต 2 ที่นั่งเท่ๆ และราคาจับต้องง่าย เป็นจริงได้แล้ว”

    ตลอด 2 ปีแรก Suzuki Cappucino ผลิตในโรงงานนี้ทั้งหมด 15,113 คัน และขายออกไปได้ถึง 13,318 คัน หรือเท่ากับ 88% ของยอดผลิตในตลาดญี่ปุ่น ด้วยราคาเปิดตัว 1.4 ล้านเยนกว่าๆ ถือว่าค่อนข้างแพงพอสมควร ราคาพอๆ กันกับรถใหญ่ๆ ขนาด 1.5 ลิตร แต่ถ้ามองในแง่ของความเป็นรถสปอร์ตแล้วก็ยังถือว่ายังถูก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าทางใจของเราว่า “ซื้อไม่คิด” หรือ “คิดไม่ซื้อ”

    ในระหว่างที่เจ้า Cappucino ยังทำตลาดอยู่ที่ญี่ปุ่นในปีแรกๆ ทาง Suzuki ที่อังกฤษก็ขอคุยชวนจิบชาดาร์จิลิง กับ Suzuki Motor ที่ญี่ปุ่นว่า “เอามาขายบ้านเราเถอะ คนเมืองผู้ดีเค้าอยากได้” ฝั่งญี่ปุ่นก็เกาหัว “เอาไงดีวะ… ไม่ได้คิดเรื่องจะขายประเทศอื่นด้วยสิ” ซึ่งก็ใช้เวลาเจรจา และปรับแก้นู่นนิดนี่หน่อยไปทั้งหมด 1 ปีครึ่ง จนผ่านการอนุมัติให้ขายในตลาดอังกฤษได้ด้วยการปรับแก้ชิ้นส่วนถึง 23 จุด โดยที่มี Suzuki Import Centre ทำหน้าที่รับผิดชอบการนำเข้าที่อังกฤษ

    ในเดือนตุลาคมปี 1992 Suzuki Cappucino เปิดตัวในต่างประเทศครั้งแรกที่งาน British International Motor Show และชนะรางวัลของสถาบันยานยนต์อังกฤษถึง 2 รางวัลทั้งรางวัล “รถสปอร์ตยอดเยี่ยมในราคาต่ำกว่า 20,000 ปอนด์” และ ”รางวัลรถยอดเยี่ยมภายในงาน” จนมาถึงเดือนตุลาคมปี 1993 เจ้า Cappucino วางขายอย่างเป็นทางการสนนราคาอยู่ที่ 11,995 ปอนด์ แต่ก็ติดในเรื่องของโควต้าการส่งออก-นำเข้าจะญี่ปุ่นไปอังกฤษ ทำให้เวลาจะขายก็ขายได้จริงเพียงแค่ 1,182 คันเท่านั้นจากที่คิดไว้ว่าจะเอาไปขาย 1,500 คัน โดยที่ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง ในขณะที่ตัวสีเงินหาได้น้อยมาก แทบจะต่างกันราวฟ้ากับเหว และภายในปี 1993-1995 รถที่ขายไปทั้งหมด 1,110 คันถูกจดทะเบียนที่อังกฤษในขณะที่คันอื่นๆ ที่เหลือถูกขายและจดทะเบียนผ่านดีลเลอร์ตามประเทศเพื่อนบ้านเช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ หรือ สวีเดน

    จนในปี 1995 เป็นช่วงที่มาตรการควบคุมไอเสียในยุโรปเริ่มเข้มข้นขึ้น Suzuki จึงต้องออก Minorchange ออกมาเป็นรุ่น E21R โดยอัปเดตเครื่องยนต์ใหม่จาก F6A ที่กระบอกสูบช่วงชักยาว ปากแคบๆ และขับแคมชาฟท์คู่ด้วยสายพาน เปลี่ยนมาเป็นเครื่อง K6A ที่กระบอกสูบปากกว้างช่วงชักสั้น และใช้โซ่ขับแคมชาฟท์ ทำให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อยและแรงม้ายังเท่าเดิม แถมยังให้ออปชั่นใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างพวงมาลัยพาวเวอร์ และ เกียร์ออโต้ 3 สปีด สำหรับคนที่แรงมือไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมาย นอกจากนี้ยังมีออปชั่นเสริมความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น ถุงลมนิรภัย, ระบบเบรก ABS ทั้ง 4 ล้อ, เฟืองท้ายหรือ “เต๊ด”หรือแม้แต่ กระจกเปิดปิดด้วยไฟฟ้า นั่นเอง

     

    อีกเสน่ห์ของ Suzuki Cappucino อย่างนึงคือ หลังคา เพราะมันถูกออกแบบมาเป็นหลังคาแข็งที่แบ่งเป็นสามส่วนคือ ปีกซ้าย, ปีกขวา และแกนกลาง ทำให้สามารถเลือกถอดได้หลายรูปแบบตามใจเรา จะเหลือแกนไว้เป็น T-Top ก็ทำได้, จะถอดหมดเป็น Targa ก็ทำได้ หรือจะถอดกระจกหลังให้เป็นเปิดประทุนก็ทำได้ ซึ่งกระจกหลังก็เป็นกระจกจริงๆ และกันฝ้าได้อีกด้วย ส่วนการออกแบบภายในจะเป็นดีไซน์ที่เน้นความเรียบง่ายตามสูตรของ Suzuki ไม่ได้มีอะไรหวือหวา อารมณ์คล้ายๆ Swift หรือ Celerio ในปัจจุบัน

    เพราะความเล็กนี่ทำให้มีปัญหากวนใจอย่างนึง คือ เรื่องของตำแหน่ง ปุ่ม และคันโยกต่างๆที่ดูแปลกๆ เช่น ที่เปิดฝาถังน้ำมันอยู่ในช่องเก็บของใต้ที่พักแขนตรงกลาง หรือคันชักเปิดฝากระโปรงหน้าก็หลบอยู่ในที่เก็บของฝั่งผู้โดยสารจนมองไม่เห็นนี่เอง ทำให้รู้สึกว่ามันไม่อยู่ในที่ๆ ควรอยู่นี่เอง

    ทั้งหมดนี้คือประวัติของ Suzuki Cappucino คันเล็กๆ น่ารักกะปุ๊กกะปิ๊ก อายุ 30 ปี สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ประวัติ Mitsubishi เพชรสามเม็ดอายุร้อยปี!

    2 Min Read

    ประวัติ Mitsubishi เพชรสามเม็ดอายุร้อยปี!

    หากว่าจะเอ่ยถึง Mitsubishi เชื่อได้ว่าใครๆ ก็ต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี และมีรถชื่อดังที่หลายๆ คนชอบอยู่หลายต่อหลายคัน และใครๆต่างก็รู้ว่า นอกจากรถยนต์ แล้วยังทำหลายอย่างเยอะแยะมาก ในสกู๊ตนี้จะย้อนประวัติความเป็นมากว่าร้อยปีของเพชร 3 เม็ดในตำนานนี้กัน

    • จุดเริ่มต้นจากธุรกิจเรือสินค้า

    เรื่องราวของ Mitsubishi  ต้องย้อนไปถึงยุคเมจิ มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Yatarou Iwasaki ซึ่งเขาเป็นลูกหลานของอดีตตระกูลซามูไรที่เคยมีบทบาทในสงครามเซกิงาฮาระ หนึ่งในสงครามที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น Yatarou ในวัย 36 ปีได้ก่อตั้งบริษัทขนส่งทางเรือขึ้นมาในชื่อว่า “Tsukumo Shokai” (九十九商会) ในปี 1870 และต่อมาในปี 1873 ชื่อบริษัทก็เปลี่ยนมาเป็น “Mitsubishi Shokai” (三菱) ซึ่งประกอบขึ้นจากตัวคันจิ 2 ตัว คือ Mitsu (三) ที่แปลว่า 3

    อ้างอิงจากตราประจำตระกูล Yamauchi ที่ปกครองแคว้นโทสะ บ้านเกิด ของ Yatarou หรือก็คือ จังหวัดโคชิ ในปัจจุบัน ที่มีลักษณะเป็น รูปใบโอ๊ค 3 ใบแยกเป็น 3 แฉก และตัวคันจิอีกตัวคือ Hishi (菱) ที่แปลว่าลูกเกาลัด หรือรูปทรงข้าวหลามตัด ทำให้ชื่อของ Mitsubishi แปลได้ว่า “เพชรสามเม็ด” และนำความหมายของชื่อนี้มาถ่ายทอดผ่านโลโก้นี่เอง

    การก่อตั้ง Mitsubishi ขึ้นมาในรูปแบบธุรกิจขนส่งทางเรือ ในช่วงหลังการปฏิรูปเมจินี้ ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะในยุคนั้นเป็นยุคที่การขนส่งทางเรือเฟื่องฟูมาก ก่อนจะขยายตัวไปยังธุรกิจเหมืองถ่านหินเพื่อหาเชื้อเพลิงมาใช้ ซื้ออู่ต่อเรือจากภาครัฐมาใช้ซ่อมเรือ ก่อตั้งโรงเหล็กเพื่อผลิตวัสดุสำหรับต่อเรือ หรือแม้กระทั่งเริ่มธุรกิจประกันภัยทางทะเลนั่นเอง

    • จากเรือสู่ธุรกิจไซบัตสึ

    ในเวลาต่อมา Mitsubishi ก็กลายเป็นธุรกิจที่แยกแตกออกมาหลายสาย โดยที่มีญาติๆ ในวงศ์ตระกูลแยกกันดูแลจนกลายมาเป็นธุรกิจประเภท “ไซบัตสึ” นั่นเอง ตัวอย่างธุรกิจที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Mitsubishi ในปัจจุบันที่หลายๆคนควรรู้จัก เช่น

    หัวเรือใหญ่ 3 เจ้า ได้แก่ Mitsubishi UFJ Financial Group ที่รับผิดชอบธุรกิจการเงินและธนาคาร, Mitsubishi Corporation ที่รับผิดชอบการค้าและเป็นสะพานเชื่อมให้กับทุกๆ สายธุรกิจ, Mitsubishi Heavy Industries ที่รับผิดชอบในส่วนของอุตสาหกรรมหนักทุกรูปแบบ

    เครื่องใช้ไฟฟ้า Mitsubishi Electric, บริษัทอุตสาหกรรมกระจก AGC, Tokio Marine ประกันภัย, กล้องถ่ายรูป Nikon, บริษัทขนส่งทางทะเล Nippon Yusen Kabushiki Kaisha หรือ NYK Line ซึ่งในปัจจุบันก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุนในชื่อ Ocean Network Express หรือ ONE, ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น ENEOS หรือแม้แต่ Mitsubishi Motors ด้วย

    จนกระทั่งในปี 1890 ตระกูล Iwasaki เข้าซื้อพื้นที่อสังหาฯ ในย่านมารุโนอุจิ เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว ในเวลาต่อมาก็ก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในชื่อว่า Mitsubishi Estate ส่วนในปัจจุบันก็ยังเป็นที่ตั้งของ ตึกระฟ้ามารูโนอูจิ ที่ว่ากันว่าตั้งอยู่บนที่ดิน ที่ราคาแพงที่สุดของญี่ปุ่นถึง 21 ล้านเยนต่อตารางเมตร หรือเท่ากับ 4 ล้านกว่าบาท

    จนกระทั่งมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Mitsubishi เริ่มมีบทบาทสำคัญในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทั้งการผลิตเครื่องบิน เช่น

    เครื่องบินขับไล่ Mitsubishi A6M (Zero)

    เครื่องบินขับไล่ Mitsubishi A7M (Reppu)

    ที่ออกแบบโดย Jiro Horikoshi พระเอกจากการ์ตูนดังเรื่อง The Wind Rises

    รถถังขนาดกลาง Type 97 Chi-Ha

    รถถังขนาดกลาง Type 3 Chi-Nu

    เรือพิฆาตชั้น Kagerou (ในภาพคือ Yukikaze)

    เรือพิฆาตชั้น Akizuki

    เรือพิฆาตชั้น Yuugumo (ในภาพคือ Kiyoshimo)

    เรือลาดตระเวน Takao

    เรือลาดตระเวน Myoko

    และแน่นอนเรือประจัญบานที่ทุกๆ คนจะต้องรู้จักกันดีอย่าง Musashi นี่เอง

    • จุดเริ่มต้นวงการยานยนต์

    อุตสาหกรรมยานยนต์ ในปี 1917 เมื่ออู่ต่อเรือ Mitsubishi เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกขึ้นมาในชื่อ Model A ซึ่งเป็นรถซีดาน 7 ที่นั่ง ที่เอาต้นแบบมาจาก Fiat Tipo 3 แถมยังผลิตด้วยมือทั้งคันอีกด้วย หลายๆ คนอาจจะงงว่าทำไมหน้าตาแบบนี้ถึงเรียกว่า “ซีดาน” เหตุผลมาจากนิยามของคำว่า “ซีดาน” ในช่วงศตวรรษที่ 20 นั้นไม่เหมือนกับยุคปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของจำนวนที่นั่งที่มี 4 ที่นั่งขึ้นไป มีจำนวนประตูไม่ตายตัว ไม่ได้มีข้อกำหนดในเรื่องของขนาดหรือรูปทรง ตัว Model A คันนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 2.8 ลิตร 35 แรงม้า แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เปิดตัวมาและผลิตได้แค่ 22 คันก็ต้องเลิกผลิตไปในปี 1921

    จนกระทั่งในปี 1934 Mitsubishi ก็ยุบเอาแผนกต่อเรือมารวมกับแผนกเครื่องบิน กลายมาเป็น Mitsubishi Heavy Industries เพื่อรับผิดงานผลิตให้กว้างขึ้น มีทั้งเครื่องบิน เรือ รถราง ยันเครื่องจักรอุตสาหกรรม และพัฒนารถซีดานต้นแบบสำหรับกองทัพจักรวรรดิขึ้นมาในชื่อ PX33 นับได้ว่าเป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นแรกของ Mitsubishi มาพร้อมเครื่องยนต์ 6.7 ลิตร 69 แรงม้า แต่สุดท้ายแล้วก็โดนยกเลิกไปในปี 1937 เพื่อไปโฟกัสการผลิตรถบรรทุก กับ รถบัส

    Mitsubishi Mizushima

    Mitsubishi Silver Pigeon

    หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 Mitsubishi กลับมาผลิตรถบัส Fuso ใหม่ พร้อมกับพัฒนารถสามล้อ Mizushima และรถสกูตเตอร์ Silver Pigeon ขึ้นมา และนอกจากนี้ครับยังถูกสั่งห้ามทำธุรกิจแบบ ไซบัตสึ ในปี 1950 อีกด้วย เคสเหมือนกันกับ Subaru เลย ทำให้ Mitsubishi ต้องแยกตัวออกมาเป็น 3 บริษัท ได้แก่ West Japan Heavy-Industries ที่ต่อมาก็กลับมาทำอู่ต่อเรือเหมือนเดิม

    Mitsubishi Jeep

    Central Japan Heavy-Industries ที่เอาแบบของ Jeep CJ รุ่น 3Bs มาผลิตเป็นรถ Mitsubishi Jeep นับได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของ Mitsubishi Triton กับ Pajero ก็ว่าได้ และ East Japan Heavy-Industries ที่นำเข้ารถ Henry J มาจดประกอบในญี่ปุ่น

    ในเวลาต่อมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว บริษัท Central Japan Heavy-Industries ก็กลับมาก่อตั้ง Mitsubishi ใหม่ในชื่อว่า Shin Mitsubishi-Heavy Industries และรื้อฟื้นแฟนกรถยนต์ขึ้นมาใหม่ในปี 1953 พร้อมเปิดตัวรถซีดานขนาดเล็ก Mitsubishi 500 ในงาน Tokyo Motor Show เมื่อปี 1959

    และในปี 1961 ก็เปิดตัวรถบรรทุกพานิชย์ Mitsubishi 360 ซึ่งก็มีทั้งแบบรถตู้ 2 ที่นั่ง, 4 ที่นั่ง, ยันรถกระบะ  ซึ่งก็ขายดีมากจนมียอดผลิตถึง 54,000 คัน และยังเป็นปีแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทยอีกด้วย ด้วยการนำเข้ารถจากญี่ปุ่นมาขายก่อนที่ต่อมาในปี 1962 Mitsubishi เปิดตัวรถ Kei Car ตระกูล Minica รุ่นแรก และเปิดตัว Colt รุ่นแรก จนมาถึงปี 1964 Mitsubishi ออกรถนั่งซีดานที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้นด้วยชื่อ Debonair เพื่อเจาะกลุ่มตลาดรถยนต์หรู และยังเป็นรถประจำตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Mitsubishi อีกด้วย

    ภายในปีนั้นเอง 2 บริษัทที่เหลือก็กลับมารวมตัวกันเป็น Mitsubishi Heavy Industries เหมือนเดิม ก่อนจะสร้างผลงานด้วยยอดการผลิตรถยนต์กว่า 75,000 คันภายใน 3 ปี และในปี 1968 Mitsubishi ก็ออกรถตู้ Delica รุ่นแรก ตามมาด้วยปี 1969 Mitsubishi ก็ออกรถ Galant รุ่นแรก งานนี้ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ด้วยผลงานที่ผ่านๆ มานี้ทำให้เติบโตไวมากครับจนในวันที่ 22 เมษายน ปี 1970 Mitsubishi ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทในเครืออย่าง Mitsubishi Motors เพื่อผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในขนะที่ Mitsubishi Heavy Industries ที่เป็นเฮดใหญ่ก็หันไปทำอย่างอื่นต่อ

    • ก้าวสู่ตลาดโลก

    หลังจากก่อตั้ง Mitsubishi Motors มาได้ 1 ปี เฮดใหญ่อย่าง Mitsubishi Heavy-Industries ก็ขายหุ้น 15% ของผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง Chrysler ให้ไปใช้ลงทุนต่อ ทำให้ Chrysler สามารถเอารถ Galant มาขายในตลาดพี่มะกันได้ในชื่อว่า Dodge Colt และยังขายในชื่อว่า Chrysler Sigma ในตลาดออสเตรเลีย

    Mitsubishi Lancer โฉมที่ 1 (1973)

    และในปี 1973 Mitsubishi Lancer โฉมแรกก็ปล่อยออกสู่ท้องตลาด พร้อมกับสร้างผลงานในการแข่งขัน Australian Souther Cross Rally กินเรียบ 4 อันดับแรก

    ในปี 1977 ดีลเลอร์ของ Mitsubishi ภายใต้ชื่อ Colt เริ่มแพร่กระจายไปทั่วยุโรป เนื่องจาก Mitsubishi มีความตั้งใจที่จะขายในตลาดต่างประเทศเอง ไม่ต้องผ่านค่ายรถเจ้าอื่น ทำให้ยอดการผลิตของรถ Mitsubishi พุ่งสูงขั้นถึง 500,000 คันในปี 1973 และ 965,000 คันในปี 1978

    Mitsubishi Galand Lambda

    ในขณะที่ Chrysler เองก็เอา Mitsubishi Galant Lambda มาขายในแบรนด์ Dodge Challenger และ Plymouth Sapporo ดูเหมือนว่าการรุกตลาดเข้ามาของ Mitsubishi ครั้งนี้ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่าง 2 ค่ายนี้ ไม่มีใครยอมใครเลยครับ ในช่วงปีนี้เอง Mitsubishi ก็ออกรถรุ่น Mirage เป็นโฉมแรก รวมถึงยังเปิดตัวรถกระบะขนาด 1 ตันรุ่นแรกในชื่อว่า L200 อีกด้วย

    จนในช่วงยุค 1980 Mitsubishi Motors บรรลุเป้าหมายในการขยายกำลังการผลิตได้มากถึง 1 ล้านคัน ตัดภาพมาที่ Chrysler กลายเป็นว่านอนพะงาบ จะเจ๊งอยู่รอมร่อ ทำให้ต้องขายฐานการผลิตในออสเตรเลียให้กับ Mitsubishi ไปในที่สุด

    Mitsubishi Tredia

    Mitsubishi Cordia

    Mitsubishi Starion

    ในปี 1982 นี้เอง Mitsubishi ก็ได้เปิดตัวไลน์อัพรถภายใต้แบรนด์ของตัวเองในตลาดสหรัฐอเมริกาทั้ง Tredia, Cordia และ Starion วางขายผ่านดีลเลอร์ 70 แห่งใน 22 รัฐ แต่เนื่องจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่น กับ สหรัฐฯ ทำให้มีการจำกัดจำนวนรถที่ส่งไปขาย ไม่เกิน 30,000 คัน จากที่รวมกับรถของ Chrysler ทั้งหมด 120,000 คัน รวมถึงยังเปิดตัว Pajero รุ่นแรกในญี่ปุ่นอีกด้วยก่อนที่ในปีต่อมาก็เปิดตัว Galant โฉมที่ 5 ซึ่งเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรก ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 Mitsubishi ก็ออกแคมเปญโฆษณาต่างๆ ตามโทรทัศน์ทั่วสหรัฐฯ  และหมายมั่นปั้นมือว่าจะขยายเครือข่ายดีลเลอร์ให้ถึง 340 เจ้า

    ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Mitsubishi กับ Chrysler จะยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ยังมีการตกลงร่วมมือกันตั้งฐานการผลิตในเมือง Normal รัฐ Illinois ในเดือนตุลาคม ปี 1985 โดยลงทุนกันคนละครึ่ง ในเดือนเมษายน ปี 1986 ก็มีการขยายโรงงานจนใหญ่ถึง 177,000 ตรม.และในปี 1987 รถที่ออกมาจากโรงงานนี้ทำยอดขายไปได้ 67,000 คัน และเมื่อโรงงานสร้างจนเสร็จในเดือนมีนาคมปี 1988 ก็ทำให้สามารถผลิตรถออกมาได้ถึง 240,000 คันต่อปี และยังเปิดตัวรถสปอร์ตคูเป้ 4 ที่นั่งถึง 3 คันเหมือนพี่น้องกันเลย ได้แก่ Mitsubishi Eclipse, Eagle Talon และ Plymouth Laser

    Mitsubishi Minicab

    ในขณะที่ตลาดฝั่งเอเชีย Mitsubishi ก็ขอกับ SAIC-GM-Wuling จากเมืองจีน ให้ช่วยผลิตรถ Kei Truck อย่าง Minicab ทำให้กลายเป็นแบรนด์รถญี่ปุ่นรายที่ 3 ที่มีฐานการผลิตรถ Kei Truck ในประเทศจีน ต่อจาก Daihatsu กับ Suzuki

    • ยุคสมัยของรถซิ่ง

    Mitsubishi 3000GT

    ปี 1990 Mitsubishi เปิดตัวรุ่น 3000GT หรือในชื่อว่า GTO รถสปอร์ตซิ่งพร้อมลงสนาม 2 ประตู 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ขุมพลัง V6 ขนาด 3 ลิตรเทอร์โบคู่ พร้อมกันนั้นยังเปิดตัวรถซีดานหรู รุ่น Diamante ถือได้ว่า ทั้ง 2 คันนี้ Mitsubishi มีเท่าไหร่ ใส่หมดจริงๆ ไม่มีกั๊ก ซึ่งเจ้า Diamante นี้เองก็ได้รับรางวัล Car of the Year Japan ถึง 2 ปีติด และในปี 1991 Mitsubishi ก็โชว์เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้มายาวนานมาก นั่นก็คือระบบวาล์วแปรผัน MIVEC นี่เองที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานดีขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้น จนมาถึงปี 1992 Mitsubishi เปิดสายการผลิตในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม แหลมฉบัง

    ในตลาดสหรัฐฯ คราวนี้ Chrysler ตัดสินใจขายโรงงานที่ก่อตั้งมาด้วยกันในปี 1993 ทำให้โรงงานนี้เป็นของ Mitsubishi ไปโดยปริยาย ก่อนที่ต่อมาโรงงานนี้ก็ถูกปิดไปในเดือนพฤษภาคมปี 2016 และถูกขายให้กับแบรนด์สตาร์ทอัพรถกระบะไฟฟ้าน้องใหม่อย่าง Rivian ในปี 2017

    ในปี 1996 Mitsubishi เปิดตัวรถ Lancer Evolution รุ่นแรก และเปิดตัวรถรุ่น FTO ที่มาพร้อมเกียร์ INVECS-II และได้รับรางวัล Car of the Year Japan ตั้งแต่ปี 1996-1997 แต่ในเวลาต่อมากระแสความนิยมรถ SUV จากสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มลามมาที่ญี่ปุ่น แน่นอนว่าไม่มีผู้ผลิตญี่ปุ่นเจ้าไหนสนใจ ยกเว้น Mitsubishi ที่ลองวัดดวง และก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าจริง เพราะหลังจากที่เปิดตัวรถ Pajero Mini และ Delica Space Gear ในปี 1994 Mitsubishi ได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นมาเป็น 11.6% ในปีถัดมา

    • Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance

    ตั้งแต่ในปี 2016 เป็นต้นมา Mitsubishi ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกรายที่สาม ในความร่วมมือระยะยาว Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นความร่วมมือที่มีเพียงแค่ Renault กับ Nissan เท่านั้นตั้งแต่เมื่อปี 1999 ก่อนที่ Nissan จะเข้ามาถือหุ้นใน Mitsubishi ด้วยจำนวน 34% และดึงเอาเข้ามาเป็นสมาชิก ทำให้ผู้ผลิตรถทั้ง 3 เจ้านี้มีโอกาสที่จะได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงยังมีการแชร์ชิ้นส่วนและแพลตฟอร์มรถยนต์ให้ใช้ร่วมกันอีกด้วย จนกลายเป็นพันธมิตรยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยยอดขายรวมกว่า 10 ล้านคันในปี 2017

    ตัวอย่างรถยนต์ Mitsubishi ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือนี้ก็อย่างเช่น รถไฟฟ้า i-MiEV, Outlander รุ่นล่าสุดที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Nissan X-Trail, Xpander, Xpander Cross, Eclipse Cross และ Triton ที่ได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีจากเพื่อนร่วมทีม

    หลังจากที่ Mitsubishi เข้ามาเป็นสมาชิกแล้วก็ยังได้ Carlos Ghosn ขึ้นมาเป็น CEO ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถพลิกบริษัทที่ขาดทุนให้กลับมาทำกำไรได้ในเวลาไม่นาน แต่เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น เมื่อ Ghosn โดนเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นรวบตอนลงจากเครื่องบินส่วนตัวที่สนามบินฮาเนดะ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2018 ด้วยข้อหา รายงานรายได้น้อยกว่าความเป็นจริง และยักยอกเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว หลังจากที่ถูกจับกุมไปได้ 3 วัน เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งประธานของผู้ผลิตรถทั้ง 3 เจ้านี้ทันที และนี่ยังเป็นเพียงคดีแรกเท่านั้น เพราะคดีต่อมา คือ ในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ญี่ปุ่น Ghosn ก็แอบหลบหนีไปฉลองปีใหม่ ปี 2020 ที่เลบานอน เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงกับทั้งแบรนด์รถทั้ง 3 เจ้า ทำให้ยอดขายและกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง และนั่นจึงทำให้ Mitsubishi ต้องดึงเอานาย Osamu Masuko มาเป็น CEO คนใหม่

    และเมื่อล่าสุดวันที่ 27 มกราคม 2022 กลุ่มพันธมิตรนี้ ก็ประกาศแผนใหม่ Alliance 2030 เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า, ระบบขับขี่อัตโนมัติ, เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และการลดต้นทุนในการผลิตนี่เอง แล้วในปี 2023 Mitsubishi ก็เปิดตัวรถรุ่น ASX โฉมที่ 2 ซึ่งพัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกันกับ Renault Captur โฉมที่ 2 และ Colt ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Renault Clio โฉมที่ 5 ซึ่งมาพร้อมระบบ Hybrid และ Plug-in Hybrid ทั้งคู่เลย

    นี่คือเรื่องราวอันยาวนานถึงร้อยปีของ Mitsubishi จากรากเหง้าแห่งความกล้า สู่นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโลก สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ประวัติ Soichiro Honda ผู้ก่อตั้งแบรนด์ฮอนด้าที่ลุกขึ้นยืนได้เพราะความรักเมีย

    2 Min Read

    ประวัติ Soichiro Honda ผู้ก่อตั้งแบรนด์ฮอนด้าที่ลุกขึ้นยืนได้เพราะความรักเมีย

    “ความสำเร็จของผมที่คนอื่นเห็นมีเพียง 1% อีก 99% ที่เหลือมาจากความล้มเหลว” นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งจากปากของชายคนหนึ่งซึ่งในเวลาต่อมา ก็กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ชายคนนี้คือ Soichiro Honda

    ย้อนกลับไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี 1906 ที่จังหวัดชิซูโอกะ คู่สามีภรรยา Gihei Honda และ Mika Honda ได้ให้กำเนิดเด็กชาย Soichiro Honda ขึ้นมา โดยนาย Gihei ผู้เป็นพ่อทำงานเป็นช่างตีเหล็ก และซ่อมจักรยานเก่ามาขาย ส่วน Mika ผู้เป็นแม่ก็ทำงานเป็นช่างทอผ้า Soichiro ในวัยเด็กมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน และได้คลุกคลีกับเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จากการช่วยพ่อซ่อมจักรยาน

    จนกระทั่งมีรถ Ford Model T คันหนึ่งขับผ่านหมู่บ้านที่ Soichiro อาศัยอยู่ ทำให้เขาตื่นเต้นมากถึงกับวิ่งไล่ตามรถคันนั้นจนหายลับสายตาไป นับได้ว่าเป็นความทรงจำที่อยู่กับ Soichiro ไปทั้งชีวิต และจุดประกายความฝันที่อยากจะออกแบบ และสร้างรถยนต์ของตัวเอง

    วีรกรรมแรกๆ ของ Soichiro ค่อนข้างจะแสบมาก เมื่อเขาแอบจิ๊กเงินจากกล่อง และจักรยานของพ่อ เพื่อเอาไปเข้าชมงานแอร์โชว์ที่สนามบิน ห่างจากบ้านไปประมาณ 20 กม. แต่ว่า ค่าตั๋วดันแพงกว่าที่คิด และเงินที่เอามาก็มีไม่พอ แต่ในเมื่องานแอร์โชว์เป็นงานแสดงบินผาดโผน เขาจึงยืนรอชมนอกสนามบินแทน

    ในเรื่องของการเรียนหนังสือ Soichiro เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการอ่านการเขียนในตำราสักเท่าไร เขากลับชอบในการสร้างสรรค์ในงานประดิษฐ์มากกว่า จนเมื่อเขาอายุ 15 ปี Soichiro เห็นโฆษณาประกาศรับสมัครงานของอู่รถยนต์ชั้นนำ Art Shokai บนนิตยสาร Bicycle World Magazine เขาจึงไม่ลังเลที่จะลาออกจากโรงเรียน และส่งจดหมายสมัครงานทันที ในปี 1922

    ซึ่งในช่วงเดือนแรกๆ งานที่เขาได้รับจาก Yuzo Sakakibara ผู้เป็นเจ้าของอู่ มีเพียงแค่ทำงานจิปาถะ และเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกของ Sakakibara ซักอย่างงั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ Soichiro ถอดใจเลยสักนิด เขาทุ่มเทและไม่เกี่ยงงานเลยแม้แต่นิดเดียว จนในที่สุดก็ได้เรียนรู้งานช่างซ่อมรถยนต์อย่างที่ตั้งใจไว้ และกลายเป็นช่างยอดฝีมือของอู่ ในปี 1923 Sakakibara ฟอร์มทีมแข่งรถขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของ Soichiro และทีมช่างคนอื่นๆ

    13 พฤศจิกายน ปี 1924 ทีมแข่งจากอู่ Art Shokai เข้าแข่งขันในรายการ Japan Motor Car Championship และคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ โดยที่มี Shinichi Sakakibara น้องชายของ Yuzo Sakakibara เป็นนักขับ และ Soichiro Honda เป็นช่างเครื่องนั่งประกบข้างไปด้วยกัน

    หลังจากที่ทำงานอยู่ได้ 6 ปี Soichiro ในวัย 21 ปี ที่สำเร็จวิชาจาก Sakakibara ก็ได้รับความไว้วางใจ  และส่งเขาไปเปิดสาขาที่บ้านเกิดในปี 1928 ตลอดเวลาที่เขาทำงานอยู่ในอู่นี้เขาได้รับอิสระในการทำงานค่อนข้างมาก จึงทำให้เขามีโอกาสที่จะได้ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ จนได้รับฉายาว่า “เอดิสันแห่งเมืองฮามะมัตซึ” ผลงานของเขาในช่วงเวลานั้นก็มีทั้งรถยนต์ดัดแปลง รถแข่ง หรือแม้กระทั่งเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการทำงาน อย่างเช่น แท่นยกรถยนต์

    เดือนตุลาคม ปี 1935 Soichiro ก็ได้แต่งงานกับ Sachi Isobe และในเวลาต่อมา เธอทำงานบัญชีให้กับอู่ Art Shokai สาขาฮามะมัตสึ ที่เติบโตจนมีพนักงานมากกว่า 30 คน

    วันที่ 7 เดือนมิถุนายน ปี 1936 Soichiro ประสบอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันเปิดสนาม Tamagawa Speedway สนามแข่งรถแห่งแรกของญี่ปุ่น อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้ Soichiro บาดเจ็บที่ตาซ้าย แต่ Benjiro ผู้เป็นน้องชายและเป็นช่างเครื่องที่ประกบคู่มาด้วยกัน บาดเจ็บรุนแรงกว่า เพราะกระดูกสันหลังหัก แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความบ้าระห่ำของ Soichiro ได้ เพราะต่อมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน Soichiro เข้าแข่งขันรถยนต์ต่อ และจะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายในชีวิต ตามคำขอร้องทั้งน้ำตาของ Sachi ภรรยาสุดที่รัก

    หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นต้นมา Soichiro ก็เริ่มคิดว่า งานซ่อมรถยนต์ที่ทำๆ อยู่เริ่มไม่ตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้อีกต่อไป ณ เวลานั้น เขาอยากผลิตอะไหล่รถยนต์ขาย แต่ก็ไม่มีนักลงทุนคนไหนสนับสนุน เพราะมองว่า แค่ซ่อมรถขนาดนี้ก็ทำเงินได้เหลือเฟือแล้ว จะคิดการใหญ่กว่านั้นให้เกินตัวทำไม เขาไม่สนใจคำสบประมาทและได้ก่อตั้ง บริษัท Tokai Seiki Heavy Industries เพื่อผลิตแหวนลูกสูบให้กับ Toyota พร้อมกับเข้าศึกษาใน” สถาบันอุตสาหกรรมฮามะมัตสึ” เป็นเวลา 2 ปี สถาบันนี้ก็ได้กลายมาเป็น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิซุโอกะในปัจจุบัน

    การผลิตแหวนลูกสูบ เป็นไปด้วยความน่าผิดหวังมาก เพราะแหวนลูกสูบที่ผลิตส่งไปให้กับทาง Toyota จำนวน 50 ชิ้น กลับผ่านมาตรฐานโรงงานเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ความล้มเหลวในครั้งนั้นทำให้เกิดจากความเชื่อมั่นว่า “ถ้าทฤษฎีทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ตอนนี้พวกอาจารย์คงเป็นนักประดิษฐ์กันหมดแล้ว” บวกกับว่า เขามีความมั่นใจในฝีมือมากเกินไปอีกด้วย

    ทำให้เขาต้องลดอีโก้ของตัวเอง และศึกษาดูงานตามโรงงานทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้การควบคุมคุณภาพการผลิตให้มีมาตรฐานมากขึ้น และกลับมาบริหารโรงงานใหม่ ผลิตแหวนลูกสูบได้ทีละเยอะๆ และผ่านมาตรฐานของ Toyota ในที่สุด นอกจากนี้เขายังได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นมาด้วย อย่าง Nakajima Aircraft บริษัทผลิตเครื่องบินที่เวลาต่อมาก็จะกลายมาเป็นแบรนด์รถยนต์ Subaru นั่นเอง

    ความท็อปฟอร์มในครั้งนี้ทำให้ บริษัท Tokai Seiki เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีพนักงานมากกว่า 2 พันคน ในขณะที่อนาคตกำลังรุ่งอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นรุ่งริ่งภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เพราะจักรวรรดิญี่ปุ่นก่อสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในปี 1937 ก่อนที่ต่อมาภายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไปห้าวกับสหรัฐอเมริกาด้วยการบุกโจมตีฐานทัพเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม ปี 1941

    บริษัท Tokai Seiki ในขณะนั้นก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงยุทโธปกรณ์ ในตอนนั้น Kaichi Kawakami ประธานบริษัท Nippon Gakki หรือ Yamaha ในปัจจุบันก็ร้องขอให้ Soichiro คิดค้นเครื่องจักรที่ช่วยในการผลิตใบพัดเครื่องบินรบได้จำนวนนึง ด้วยอัตราการผลิต 4 ชิ้นต่อชั่วโมง

    จากเดิมที่ผลิตด้วยมือกว่าจะได้ชิ้นนึงก็ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ จนในปี 1942 Toyota เข้ามาถือหุ้นของ Tokai Seiki มากกว่า 40% และ Soichiro โดนลดขั้นจากประธานบริษัท มาเป็น กรรมการผู้จัดการอาวุโส หนำซ้ำยังต้องเสียพนักงานชายไปเกือบหมด เพราะถูกเกณฑ์ไปรบในกองทัพ  ในขณะที่ผู้หญิงและนักเรียนหญิงก็ถูกเกณฑ์มาเข้าร่วมกองกำลังอาสาสมัคร เพื่อทำงานในโรงงานแทนผู้ชาย Soichiro จึงต้องออกแบบเครื่องจักรที่ช่วยให้ผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์สามารถทำงาน ผลิตได้ง่ายขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น

    ในปี 1944 โรงงาน Tokai Seiki ที่ย่านยามะชิตะ โดนลูกหลงจากการที่ เครื่องบิน B-29 ทิ้งระเบิดใส่ จนเหลือแต่ซากปรักหักพัง ก่อนที่จะซวยซ้ำซวยซ้อนต่อในวันที่ 13 มกราคม ปี 1945 เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในเขตมิคาวะ จนทำให้โรงงานในเมืองอิวาตะ พังทลายอีก เป็นเวลา 7 เดือนก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะบึ้มญี่ปุ่นด้วยระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2 ลูก

    เกร็ดน่ารู้ : สำหรับเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นในเวลา 03:38 น. มีจุดศูนย์เกิดอยู่ที่ปากอ่าวมิคาวะ ลึกลงไปถึง 11 กม. วัดระดับความรุนแรงได้ถึง 6.8 ริกเตอร์ และกินรัศมีความเสียหายราว 50 กม.เสียชีวิต 1,180 คน บาดเจ็บ 3,866 คน สูญหาย 1,126 คน อาคารบ้านเรือนพังทลายไปทั้งหมด 7,221 หลัง, เสียหายหนัก 16,555 หลัง และเกิดไฟไหม้ 2 หลัง

    ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้มันหนักหนาเกินกว่าจะฟื้นฟูไหว จนต้องตัดสินใจขายโรงงานที่ปั้นมากับมือให้กับ Toyota ด้วยจำนวนเงินกว่า 450,000 เยน หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทในปัจจุบัน บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรง ประชาชนอดอยากปากแห้ง เพราะความพ่ายแพ้ในสงคราม

    Soichiro ที่เริ่มท้อและสิ้นหวังก็เริ่มใช้ชีวิต ติดเหล้า เมาหัวราน้ำ ไม่ทำงานทำการอะไรเลยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม

    ในเดือนตุลาคม ปี 1946 Soichiro ก่อตั้งศูนย์วิจัยขนาดเล็กพื้นที่ 16 ตารางเมตร ในชื่อว่า Honda Gijutsu Kenkyu Sho (Honda Technical Research Laboratory) ( 本田技術研究所) ที่เมืองฮามะมัตสึ ด้วยจำนวนพนักงานเพียง 12 คน เพื่อวิจัยและพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน และเครื่องจักรต่างๆ

    สภาพการคมนาคมในญี่ปุ่นหลังสงครามนั้นเป็นไปด้วยความย่ำแย่มาก เพราะขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต้องเดินทางด้วยการเดิน หรือปั่นจักรยาน เมื่อ Soichiro เห็น Sachi ที่ต้องลำบากลำบนขี่จักรยานกลับจากซื้อกับข้าว เขาจึงเดินไปรื้อหาของเก่าๆ จนเจอเข้ากับเครื่องปั่นไฟของกองทัพญี่ปุ่นที่ใช้จ่ายพลังงานให้กับวิทยุไร้สาย ก็นำมา DIY เป็นเครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาด 50 cc ขับเคลื่อนด้วยสายพาน มาติดตั้งบนจักรยานของ Sachi และยังนำขวดน้ำมาติดตั้งเป็นถังน้ำมัน

    Soichiro เอาจักรยานดัดแปลงคันนี้มาให้ Sachi ลองขี่ไปข้างนอก ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากให้เหนื่อยกับการที่ต้องออกแรงปั่นไปซื้อกับข้าวมาเลี้ยงครอบครัว เพราะความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ Soichiro ทุ่มสุดหัวใจ เมื่อ Sachi ลองขี่ไปได้สักพักแล้วกลับมาถึงบ้านก็ได้ชี้ข้อบกพร่องต่างๆ ให้ Soichiro ได้แก้ไขก่อนจะปล่อยออกสู่ท้องตลาดในชื่อว่า Pon-Pon นั่นจึงทำให้ Sachi เป็นผู้หญิงคนแรกที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของฮอนด้านับแต่นั้นมา

    หลังจากที่ Soichiro แก้ไขจนเสร็จสมบูรณ์ เขาก็ได้กว้านซื้อเครื่องปั่นไฟเหลือทิ้งมาผลิตเครื่องยนต์สำหรับติดจักรยานขาย ซึ่งก็ขายดีมาก เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างจนตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วญี่ปุ่น แห่มาสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก

    Honda A-Type

    Honda Dream D-Type

    เมื่อวัตถุดิบอย่างเครื่องปั่นไฟเก่าๆ พวกนี้เริ่มหมดลง Soichiro ก็หันมาออกแบบเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง ออกมาเป็น Honda A-Type หรือในชื่อเล่นว่า Bata Bata และก่อตั้งบริษัท Honda Motors ในวันที่ 24 กันยายน ปี 1948 ด้วยเงินทุน 1 ล้านเยน หรือ ประมาณ 17 ล้านบาท พร้อมจ้างพนักงานจำนวน 34 คน ผลิตเครื่องยนต์สำหรับติดตั้งจักรยาน ที่กำลังบูมในญี่ปุ่น ก่อนที่ต่อมาในเดือนสิงหาคมปี 1949 Honda Dream D-Type ถูกผลิตขึ้นมาในฐานะรถมอเตอร์ไซค์อย่างเต็มตัว มาพร้อมเครื่องยนต์ 1 สูบ 2 จังหวะขนาด 98 cc พละกำลังสูงสุด 3 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 4.27 Nm นับได้ว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จของ Honda ที่ Soichiro วาดฝันเอาไว้ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ Dream นั่นเอง

    Soichiro Honda (ซ้าย) และ Takeo Fujisawa (ขวา)

    ภายในปีเดียวกันนี้เอง Takeo Fujisawa ขึ้นมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เพื่อช่วยเหลือ Soichiro ในเรื่องการเงิน การตลาด และการวางแผนธุรกิจ ถือได้ว่าช่วยเติมเต็มในส่วนที่ Soichiro ไม่ถนัดจริงๆ

    ในปี 1950 เกิดสงครามเกาหลีขึ้นทำให้กองกำลังสหประชาชาติ ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา มีความต้องการในการสั่งซื้อเครื่องยนต์ติดจักรยานของฮอนด้ามากขึ้น ทาง Honda จึงต้องเปิดโรงงานและสำนักงานใหม่ในกรุงโตเกียว

    ในเดือนมีนาคม 1951 Honda เปิดตัว Dream E-Type รถมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะรุ่นแรกของฮอนด้า และกลายมาเป็นรถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นที่ทำยอดขายได้เยอะที่สุด ณ เวลานั้น

    ในปี 1952 Honda เปิดตัวเครื่องยนต์ติดจักรยานรุ่นใหม่ Cub F ที่มาพร้อมสโลแกน “ถังขาวเครื่องแดง” กลายเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก ด้วยดีไซน์ที่สวยงาม เป็นมิตรกับผู้หญิง

    Takeo เองก็ริเริ่มแผนการตลาดใหม่เพื่อให้สามารถแซงคู่แข่งได้ ด้วยการหว่านจดหมายประชาสัมพันธ์ไปยังร้านขายจักรยานกว่า 5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งก็มีร้านจำนวน 30,000 แห่งให้ความสนใจ Takeo จึงดำเนินแผนการต่อโดยการเสนอขายเครื่อง Cub F จำนวน 1 เครื่องต่อ 1ร้านตามลำดับ และเมื่อร้านไหนต้องการสั่งซื้อเพิ่มก็สามารถจ่ายได้ด้วยการโอนเข้าบัญชีธนาคารของบริษัทโดยตรง ถือว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น และทำให้ Takeo ประสบความสำเร็จในเรื่องของการสร้างเครือข่ายการขายแบบอิสระ และทำยอดขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ

    นอกจากนี้ Takeo ยังเป็นคนที่วางรากฐานการในเรื่องของการ “เช่า-ซื้อ” ให้ผู้บริโภคสามารถผ่อนจ่ายกับศูนย์ได้เป็นเวลา 1 ปีอีกด้วย โดยภายในปีนั้น Honda Cub F สามารถทำยอดขายไปได้ 6,000 เครื่องในเดือนตุลาคม และ 9,000 เครื่องในเดือนธันวาคม

    Honda Motor ประสบความสำเร็จจนขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตอันดับต้นๆในประเทศ แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้วยังตามหลังอยู่ ซึ่ง Soichiro เองก็ยอมรับไม่ได้ในเรื่องนี้ เพราะเขาต้องการจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งด้วยการผลิตจำนวนมาก แต่คุณภาพต้องไม่ดรอป และราคาต้องสมเหตุสมผล จึงสั่งนำเข้าเครื่องจักรจากยุโรปและอเมริกา ด้วยเงินลงทุนสูงถึง 450 ล้านเยน หรือ 1,600 ล้านบาทในปัจจุบัน ด้วยความกล้าได้กล้าเสียนี้เองก็ทำให้สามารถผลิตรถมอเตอร์ไซค์ออกมาได้อย่างมีคุณภาพ และมีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมสร้างโรงงานใหม่ และจ้างพนักงานเพิ่มจาก 214 คนเป็น 1,337 คน เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่มากขึ้น และยังมีการออกชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดตา ที่ไม่ว่าจะพนักงานหรือ ผู้บริหารทุกคนต้องใส่ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน และดูแลโรงงานให้สะอาดอยู่เสมอ

    ในปี 1953 Soichiro ปลูกฝังนโยบายให้กับพนักงานว่า “คุณภาพของรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า ต้องอยู่เหนือความคาดหวังของลูกค้าเกิน 100% เสมอ” เพราะหากผิดพลาดแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวย่อมส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ ซึ่งนโยบายนี้ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การขาย ไปจนถึงบริการหลังการขาย

    เดือนมิถุนายนปี 1954 Soichiro เดินทางไปศึกษาการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ในยุโรป และไฮไลต์สำคัญคือไปชมการแข่งขัน Isle of Man TT เมื่อกลับมาที่ญี่ปุ่น Soichiro ที่ยังไม่หายตื่นเต้นกับวงการมอเตอร์สปอร์ตก็เริ่มลงมือออกแบบรถสำหรับแข่งขัน และลั่นว่าจะต้องส่งรถเข้าแข่งขัน Isle of Man TT ให้ได้

    วันเวลาผ่านไปจนถึงปี 1958 Honda Motor ก็ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กที่ต่อมาจะกลายเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล นั่นก็คือ Super Cub และยังกลายมาเป็นบรรพบุรุษของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน อาทิเช่น Monkey, Dream หรือแม้กระทั่งรุ่นยอดฮิตในประเทศไทยอย่าง นานาสารพัด Wave เลย

    ในปีต่อมา ปี 1959 บริษัท American Honda Motor ถูกก่อตั้งขึ้นในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา พร้อมสโลแกนว่า “You meet the nicest people on a Honda” หรือ “คนดีขี่ Honda” ที่สื่อถึงภาพลักษณ์ที่สดใส ดูเป็นมิตร ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อเมริกันที่ถูกจดจำในภาพลักษณ์ของ รถมอเตอร์ไซค์คันโตๆ ที่คนขี่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนัง ดูดิบๆ เถื่อนๆ มากกว่า ทำให้ Honda Motor ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์เบอร์ 1 ของโลกในที่สุด

    ภายในปีเดียวกันนี้เอง Honda RC142 กลายมาเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ได้เข้าแข่งขันใน Isle of Man TT และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในปี 1961ถึง 2 รุ่นรวด ทั้ง Lightweight และ Ultra-Lightweight รวมถึงยังคว้าแชมป์ในรายการ World Grand Prix หรือก็คือ MotoGP ในปัจจุบัน ทั้งรุ่น 125cc และ 250cc ผลงานที่ผ่านมานี้ทำให้ Honda เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และมีการตั้งฐานการผลิตนอกญี่ปุ่นแห่งแรกขึ้นที่ประเทศเบลเยียม

    ถึงแม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าจะกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกไปแล้วก็ตาม แต่ Soichiro ก็ยังไม่ได้สานต่อความฝันที่เคยวาดไว้มาตั้งแต่เด็ก นั่นก็คือการเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ ซึ่งคนรอบข้างเองก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วย และอยากให้เขาทุ่มเทกับรถมอเตอร์ไซค์มากกว่า เพราะ ณ เวลานั้น ค่ายรถต่างๆ มากมายในญี่ปุ่นขับเคี่ยวกันมานานมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ย่างเท้าก้าวเข้าสู่สายการผลิตรถยนต์อย่างเต็มตัวในปี 1963 ด้วยการผลิตรถ Kei-Truck รุ่นแรกในชื่อ T360 ตามมาด้วยรถสปอร์ตเปิดประทุน S500

    Honda RA272

    จนกระทั่งในปี 1964 Honda Motor ตอบสนองความฝันของ Soichiro ด้วยการพัฒนา และส่งรถแข่งรุ่นแรก RA271 ไปแจ้งเกิดในการแข่งขันฟอร์มูล่าวันสนาม German Grand Prix และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในสนาม Mexican Grand Prix ปี 1965 ด้วยรถ RA272

    ก่อนที่ต่อมาในปี 1972 Soichiro ก็อนุมัติให้พัฒนา และปล่อย Honda Civic ออกสู่ท้องตลาด ก่อนที่ในปีต่อมา Soichiro Honda และ Takeo Fujisawa ก็เกษียณไปพร้อมๆ กันในปี 1973 ด้วยวัย 77 ปี แถมยังถูกบรรจุชื่ออยู่ในคอลัมน์ “25 บุคคลที่น่าสนใจที่สุดแห่งปี” บนนิตยสาร People Magazine นอกจากนี้ยังได้รับฉายาว่า “Henry Ford แห่งญี่ปุ่น” อีกด้วย

    ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 Honda กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น และเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นเจ้าแรกที่ตั้งฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาในปี 1982 ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์รถยนต์อันดับ 3 ของโลกในช่วงปลายทศวรรษ นอกจากนี้ทาง American Society of Mechanical Engineers ยังเอาชื่อของ Soichiro Honda มาเป็นชื่อเหรียญรางวัลสาขาการออกแบบและผลิตยานยนต์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาอีกด้วย

    ต่อมาในปี 1989 ชื่อของ Soichiro Honda ก็ได้รับการบรรจุอยู่ใน Automotive Hall of Fame ที่เมือง Dearborn รัฐมิชิแกน ใกล้ๆ กับกรุง Detroit

    ในส่วนของชีวิตหลังเกษียณของ Soichiro เขาใช้ชีวิตตามใจอยากกับครอบครัว ทั้งการเล่นสกี ตีกอล์ฟ แข่งรถ ร่อนแฮงค์ไกลเดอร์ หรือแม้กระทั่ง นั่งบอลลูน นอกจากนี้ทั้งตัวเขา และ Takeo ยังทำข้อตกลงด้วยกันว่าจะไม่บังคับให้ลูกชายของตัวเองมาสานต่อธุรกิจของตัวเองอีกด้วยครับ ซึ่งลูกชายของ Soichiro ที่พูดถึงอยู่นี้เขาก็คือ Hirotoshi Honda ผู้ก่อตั้งสำนักแต่ง และทีมแข่ง Mugen Motorsport นั่นเอง

    Ayrton Senna (Hungarian Grand Prix ปี 1991)

    และแล้วในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 1991 Soichiro Honda ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 84 ปี จากอาการตับวาย เป็นเวลา 1 วันก่อนการแข่งขันฟอร์มูล่าวันสนามฮังการี ซึ่งต่อมา Ayrton Senna นักแข่งฟอร์มูล่าวันทีม McLaren ที่ใช้เครื่องยนต์ของ Honda ก็สามารถคว้าแชมป์เปรียบเสมือนของขวัญอำลา Soichiro ผู้ล่วงลับมาได้สำเร็จ  และนอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1 หรือ เคียวกุจิสึ ไดจูโช อีกด้วย

    นี่คือเรื่องราวชีวิตของ Soichiro Honda จากเด็กชายตัวน้อยผู้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ผ่านความยากลำบาก ความล้มเหลว และความเจ็บปวดมามากมาย จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์อันดับต้นๆ ของโลก อย่างที่ Soichiro ได้กล่าวไว้ “คุณไม่ควรละทิ้งความฝันของตัวเอง” เพราะความสำเร็จล้วนเกิดมาจากความคาดหวัง หากพบเจออุปสรรคแล้วต้องทิ้งความฝันไป ความสำเร็จย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นจริง สำหรับสกู๊ปนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ประวัติ Ford และเฮนรี่ ฟอร์ด – จากวิสัยทัศน์สู่ถนนทั่วโลก

    2 Min Read

    ประวัติ Ford และเฮนรี่ ฟอร์ด จากวิสัยทัศน์สู่ถนนทั่วโลก

    เด็กชายในฟาร์มที่หลงใหลเครื่องจักรกล สู่ผู้ปฏิวัติที่นำพาจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เป็นแรงบันดาลใจทั้งด้านวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และความกล้าที่จะคิดต่าง โดยเรื่องราวของแบรนด์รถยนต์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเดินทางของมนุษยชาติสู่ปัจจุบันนี้

    • จุดเริ่มต้นของตำนาน

    เฮนรี่ ฟอร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1863 ในฟาร์มแห่งหนึ่งใกล้เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เด็ก เขามีความสนใจในเครื่องจักรกลเป็นอย่างมากโดยเฉพาะนาฬิกา ซึ่งเขาชอบแกะออกมาดูกลไกภายในและประกอบกลับเข้าไปใหม่ เมื่ออายุ 16 ปี เขาออกจากบ้านเพื่อไปเป็นช่างกลฝึกหัดในเมืองดีทรอยต์ ที่นั่นเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรไอน้ำและเครื่องยนต์ต่างๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับอนาคตของเขา

    จนกระทั่งในปี 1888 เฮนรี่ แต่งงานกับ คลาร่า เจน ไบรอันท์ และให้กำเนิดลูกชายชื่อ เอดเซล ฟอร์ด หลังจากนั้นมา เฮนรี่ ได้เข้าทำงานเป็นวิศวกรที่บริษัท Edison Illuminating Company ในปี 1891 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในชีวิตการทำงานของเขา ที่นี่เองที่เขาได้พบกับ โธมัส เอดิสัน ผู้ซึ่งกลายเป็นเพื่อนและที่ปรึกษาของเขาในเวลาต่อมา

    แต่ความฝันของเฮนรี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขาหลงใหลในแนวคิดของยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง และในปี 1896 เขาได้สร้างรถยนต์คันแรกของตัวเองที่เรียกว่า “Quadricycle” หลังจากความสำเร็จของ Quadricycle เฮนรี่ได้ก่อตั้งบริษัท Ford Motor Company ในปี 1903 โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะผลิตรถยนต์ที่มีราคาไม่แพงสำหรับชาวอเมริกันทั่วไป

    ความสำเร็จครั้งใหญ่ของ Ford มาถึงในปี 1908 เมื่อบริษัทเปิดตัวรถยนต์รุ่น Model T ซึ่งกลายเป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในยุคนั้น ด้วยราคาที่ย่อมเยาและคุณภาพที่ดี Model T ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวอเมริกันไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ เฮนรี่ ฟอร์ด ยังเป็นผู้บุกเบิกระบบการผลิตแบบสายพาน (Assembly Line) ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก วิธีการนี้ไม่เพียงแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกอีกด้วย

    เฮนรี่ ฟอร์ด ประสบกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาก ในปี 1919 เขาส่งมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้กับลูกชายของเขา เอดเซล ฟอร์ด แต่ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในการดำเนินงานของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างเฮนรี่และเอดเซลมักจะตึงเครียด เนื่องจาก เฮนรี่ มักจะแทรกแซงการตัดสินใจของลูกชาย โดยเฉพาะในเรื่องการออกแบบรถยนต์และการบริหารจัดการ

    Lincoln Continental SS-100-X รถประจำตำแหน่งประธานาธิบดี John F. Kennedy

    และในปี 1922 Ford Motor เข้าซื้อกิจการแบรนด์รถยนต์สุดหรู ที่ตั้งชื่อตามประธานาธิบดี Lincoln ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1917 และกลายเป็นที่จดจำในฐานะ รถประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกหลายต่อหลายคนในอนาคตหลังจากนั้น เช่น Franklin D. Roosevelt, Harry S. Truman, John F. Kennedy, Richard Nickson, Jimmy Carter หรือแม้กระทั่ง Ronald Reagan

    ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บริษัท Ford ได้มีส่วนร่วมในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพสหรัฐฯ รวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 Liberator ที่ผลิตในโรงงาน Willow Run ของ Ford หลังจาก เอดเซล ผู้เป็นลูกชายเสียชีวิตในปี 1943 ด้วยโรคมะเร็ง เฮนรี่ ฟอร์ด กลับมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทอีกครั้ง แม้ว่าสุขภาพของเขาจะเริ่มทรุดโทรมลงในช่วงนี้ เขาได้เผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์หลังสงคราม

    ในปี 1945 เฮนรี่ ฟอร์ด ได้ส่งมอบการควบคุมบริษัทให้กับหลานชายของเขา เฮนรี่ ฟอร์ดที่ 2 ซึ่งเป็นลูกชายของ เอดเซล เฮนรี่ ฟอร์ดที่ 2 ได้นำพาบริษัทเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยการปรับปรุงการบริหารจัดการและการออกแบบผลิตภัณฑ์ ในวาระสุดท้ายของชีวิต เฮนรี่ ฟอร์ด ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านพักของเขาในดีร์บอร์น รัฐมิชิแกน เขายังคงสนใจในกิจการของบริษัทและมักจะให้คำปรึกษาแก่ทีมผู้บริหาร แม้จะไม่ได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานประจำวันแล้วก็ตาม นอกจากนี้ เฮนรี่ ฟอร์ด ยังใช้เวลาในการทำงานด้านการกุศลผ่านมูลนิธิฟอร์ด (Ford Foundation) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1936 มูลนิธินี้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการศึกษา วิทยาศาสตร์ และการพัฒนาสังคม

    เฮนรี่ ฟอร์ด เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 เมษายน 1947 ที่บ้านของเขาในดีร์บอร์น ด้วยวัย 83 ปี งานศพของเขาจัดขึ้นที่โบสถ์เซนต์พอล ในดีร์บอร์น และมีผู้เข้าร่วมไว้อาลัยกว่า 100,000 คน แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและความเคารพที่ผู้คนมีต่อเขา แล้วมรดกของ เฮนรี่ ฟอร์ด ยังคงสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เพียงแต่ผ่านบริษัท Ford Motor Company รวมถึงแนวคิดด้านการผลิต นวัตกรรม และการบริหารธุรกิจที่เขาได้ริเริ่มไว้ ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

    • ทิศทางของ Ford หลังสิ้นสุดยุคสมัย

    เออร์เนสต์ โรเบิร์ต บรีช

    หลังจาก เฮนรี่ ฟอร์ด ได้จากโลกนี้ไป 1 ปี ก็ได้มีการจ้างนาย เออร์เนสต์ โรเบิร์ต บรีช ที่ดำรงตำแหน่งประธานของ Bendix ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายบบริหารของ Ford และขึ้นมาเป็นประธานบอร์ดบริหารในปี 1955 ในส่วนของ นาย เฮนรี่ ฟอร์ดที่ 2 ผู้ซึ่งเป็นหลานชายก็ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ประธานในปี 1945-1960 และดำรงตำแหน่ง CEO ในปี 1960-1980 จนกระทั่งในปี 1965 Ford ได้ให้กำเนิดม้าคลั่งขวัญใจมหาชน นั่นก็คือ Mustang และกลายมาเป็นไลน์อัพรถยนต์ของ Ford ที่อายุยืนที่สุดเท่าที่เคยมีมา และในปี 1966 Ford ก็เปิดตัวรถ SUV รุ่น Bronco ออกมาเป็นโฉมแรก

    Ford Pinto

    ในเมื่อมีความสำเร็จก็ย่อมต้องมีความล้มเหลว และความล้มเหลวที่ร้ายแรงที่สุด คือ Ford Pinto ที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1971-1980 มียอดขายมากกว่า 3 ล้านคัน แต่ถูกประทับหน้าว่าเป็นรถที่อันตรายที่สุดในโลก

    เพราะถังน้ำมันอยู่ติดท้ายรถมากเกินไป จนเกิดเหตุน่าสลดขึ้นเมื่อมันเคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนผู้ขับขี่บาดเจ็บสาหัส และเกิดการฟ้องร้องกันขึ้น และศาลก็ออกคำสั่งให้ Ford ต้องยกเลิกการผลิตรถรุ่นนี้ และเสียค่าปรับไปกว่า 125 ล้าน USD หรือ 2,500 ล้านบาท

    Ford Ranger (1983)

    ในปี 1983 Ford จากเดิมที่เคยผลิตรถกระบะมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ได้ผ่านมรสุมต่างๆมากมายจากการที่มีรถกระบะแบรนด์ต่างๆจากยุโรปและญี่ปุ่นเข้ามาตีตลาดแทบแตก และไหนจะเกิดวิกฤตน้ำมันอีกก็เริ่มเปิดตัว Ford Ranger ขึ้นมา และดุดันไม่เกรงใจใครจนถึงปัจจุบัน และในปี 2009 Ford ก็ยังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นั่นก็คือ EcoBoost ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จขนาดเล็กที่ให้กำลังสูงแต่ประหยัดน้ำมัน เทคโนโลยีนี้ใช้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (direct injection) ร่วมกับเทอร์โบชาร์จเจอร์ ทำให้ได้เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงและลดการปล่อยไอเสียได้ดีขึ้น

    • Ford ในประเทศไทย

    Ford เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปี 1995 ภายใต้ชื่อบริษัท ฟอร์ด โอเพอเรชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยเริ่มจากการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปมาจำหน่าย ต่อมาในปี ค.ศ. 1997 Ford ได้ร่วมทุนกับบริษัท มาสด้า คอร์ปอเรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง โดยใช้ชื่อว่า บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

    ซึ่งนับเป็นการลงทุนครั้งสำคัญของ Ford ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงงานแห่งนี้เริ่มการผลิตรถยนต์รุ่นแรกในปี ค.ศ. 1998 คือ Ford Ranger รถกระบะที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการผลิตรถยนต์รุ่นอื่นๆ เช่น Ford Everest, Ford Fiesta และ Ford Focus

    Ford ได้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาค รวมถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในปี ค.ศ. 2012 Ford ได้ลงทุนเพิ่มเติมกว่า 27,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งที่สองในจังหวัดระยอง และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค แล้ว Ford ยังได้นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ สู่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย เช่น ระบบ SYNC ที่ช่วยในการเชื่อมต่อและควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถยนต์ด้วยเสียง

    นอกจากนี้ Ford ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ในประเทศไทย เช่น โครงการขับขี่ปลอดภัย Ford Driving Skills for Life ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่อย่างปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ทั่วประเทศ ปัจจุบัน Ford ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายสำคัญในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะในกลุ่มรถกระบะและรถอเนกประสงค์ (SUV)

    • วิธีคิดแบบเฮนรี่ ฟอร์ด

    เฮนรี่ ฟอร์ด ไม่ใช่แค่นักประดิษฐ์หรือนักธุรกิจธรรมดา แต่เขาเป็นนักคิดที่มองการณ์ไกล วิธีคิดของเขาที่ปฏิวัติวงการอุตสาหกรรม มีดังนี้

    – การผลิตแบบสายพาน

    เฮนรี่นำเสนอระบบการผลิตแบบสายพานในปี 1913 ซึ่งปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ระบบนี้ลดเวลาการประกอบ Model T จาก 12 ชั่วโมงเหลือเพียง 2 ชั่วโมง 30 นาที นวัตกรรมนี้ทำให้สามารถผลิตรถยนต์ได้เร็วขึ้นและมีราคาถูกลง ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

    ราคาที่จับต้องได้

    เขาเชื่อว่ารถยนต์ไม่ควรเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยสำหรับคนรวย แต่ควรเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของได้
    ในปี 1908 Model T มีราคาเริ่มต้นที่ 825 ดอลลาร์ และลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียง 260 ดอลลาร์ในปี 1925 นโยบายนี้ทำให้ชนชั้นกลางสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ เปลี่ยนแปลงสังคมอเมริกันอย่างมาก

    –  นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

    เฮนรี่ ไม่เคยหยุดคิดค้นและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของเขา แล้วส่งเสริมให้พนักงานคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ในการปรับปรุงกระบวนการผลิต จน Ford ได้รับสิทธิบัตรมากกว่า 160 ชิ้นในช่วงชีวิตของ เฮนรี่

    – การให้ความสำคัญกับพนักงาน

    ในปี 1914 เขาประกาศนโยบาย “$5 Day” โดยเพิ่มค่าแรงจาก 2.34 ดอลลาร์ต่อวัน เป็น 5 ดอลลาร์ต่อวัน
    เขาลดชั่วโมงการทำงานจาก 9 ชั่วโมงเป็น 8 ชั่วโมงต่อวัน นโยบายนี้ช่วยลดอัตราการลาออกและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อีกทั้งยังทำให้พนักงานมีกำลังซื้อรถยนต์ Ford ได้

    – มองเห็นภาพใหญ่

    เฮนรี่ไม่ได้มองแค่การขายรถยนต์ แต่เขามองเห็นว่ารถยนต์จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนอย่างไร เขาสนับสนุนการสร้างถนนและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ และเขามองว่ารถยนต์จะช่วยให้ผู้คนมีอิสระในการเดินทางและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต

    • บทบาทในสนาม

    ในส่วนของวงการมอเตอร์สปอร์ต Ford นับได้ว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีความโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ และมักจะไปโผล่ในการแข่งขันรูปแบบต่างๆ เช่น การแข่งขันเอ็นดูรานซ์ รายการต่างๆ ที่เริ่มส่ง Ford GT40 ไปลงแข่งขันครั้งแรกที่สนาม Nurburgring 1000 km เมื่อเดือนพฤษภาคม 1964 เพราะระบบช่วงล่างมีปัญหาจึงแข่งไม่จบ และยังมีปัญหามาเรื่อยจนกระทั่งมีอยู่คนหนึ่งที่ช่วยให้ Ford แก้ตัวได้สำเร็จ นั่นก็คือ Carroll Shelby และคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกที่สนาม Daytona 2000km เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1965 โดยที่ได้ เคน ไมลส์ และ ลอยด์ รูบี เป็นนักขับให้กับทีม และคว้าอันดับที่ 2 ในรายการ Sebring 12hr เมื่อเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ผลงานโด่งดังที่สุดของ Ford GT40 มาจากการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans ปี 1966 ที่กวาดตำแหน่ง 1-2-3 ไปหมดเกลี้ยง โดยนักขับที่ได้อันดับที่ 1 คือ บรูซ แมคลาเรน จับคู่กับ คริส อามอน อันดับที่ 2 คือ เคน ไมลส์ จับคู่กับ เดนนี่ ฮูล์ม และอันดับที่ 3 คือ รอนนี บัคนัม จับคู่กับ ดิก ฮัทเชอร์สัน และการคว้าแชมป์ในครั้งนี้ก็มีอยู่ในหนังเรื่อง Ford v Ferrari

    ถัดมาที่ IndyCar ที่ Ford ก้าวเข้าสู่สังเวียนครั้งแรกในปี 1935 ด้วยการส่งเครื่องยนต์ V8 ให้ทีม Miller-Ford ไปแจ้งเกิด และยังสนับสนุนเครื่องยนต์ให้กับ Lotus เป็นครั้งแรกในปี 1963 และคว้าแชมป์มาได้ในปี 1965 ด้วยเครื่องยนต์ V8 DOHC จนกระทั่งในปี 1976 Ford ได้ร่วมพัฒนาเครื่องยนต์กับ Cosworth ออกมาเป็นเครื่อง DFX ขนาด 2.6 L เทอร์โบ และคว้าแชมป์ Indianapolis 500 มาถึง 18 ครั้ง ในวันที่ 12 พฤษภาคม 1996 Arie Luyendyk สามารถสร้างสถิติทำความเร็วในการแข่งขันรอบ ควอลิฟายเร็วที่สุด ทั้ง 1 รอบที่ความเร็วเฉลี่ย 382.216 กม./ชม. และ 4 รอบที่ความเร็วเฉลี่ย 381.392 กม./ชม. โดยที่สถิตินี้ยังคงอยู่มาถึงปี 2022

    ต่อมาในส่วนของการแข่งขัน Formula 1 Ford มีส่วนร่วมในการแข่งขันนี้มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1967 และหยุดพักไปยาวตั้งแต่ปี 2004 ในช่วงระหว่างนี้ ทีม Lotus และทีม McLaren ที่ใช้เครื่องยนต์ของ Ford ที่พัฒนาร่วมกับ Cosworth เช่นกัน สามารถคว้าแชมป์มาได้ถึง 176 สนาม และยังเข้าซื้อทีม Stewart Grand Prix เพื่อฟอร์มทีม Jaguar Racing ขึ้นมาในปี 2000 แต่หลังจากที่ทีมนี้สร้างผลงานมาได้เพียง 5 ซีซั่น Ford ก็หยุดพักจาก Formula 1 พร้อมขายทีม Jaguar Racing ซึ่งต่อมาทีมนี้ก็กลายมาเป็นทีม กระทิงแดง Red Bull Racing ส่วน Cosworth ก็ถูกขายให้กับ Gerald Forsythe กับ Kevin Kalkhoven

    จนกระทั่ง เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา Ford ได้ประกาศว่าจะกลับมาสนับสนุนเครื่องยนต์ต่อ ในปี 2026 โดยการจับมือร่วมกับทีมรองของกระทิงแดงอย่าง Visa Cash App RB Formula 1 ที่เพิ่งแจ้งเกิดในฐานะทีมน้องใหม่เมื่อปี 2024

    ในสนาม Drag เราจะพบเห็นได้บ่อยในการแข่งขันรุ่น Funny Cars ของ NHRA ด้วยรถ Mustang ส่วนของสนาม Drift เราก็มักจะได้เห็น Ford Mustang โชว์ลีลาเชือดเฉือนกับคู่แข่งอย่างบ้าคลั่งในรายการใหญ่ๆ ทั้ง Formula Drift หรือ D1 Grand Prix โดยนักแข่งขาประจำก็คือ Vaughn Gittin Jr. และนอกจากนี้ Diego Higa นักดริฟท์ชาวบราซิลยังเคยคว้าแชมป์ในรายการ Netflix Hyperdrive เมื่อปี 2019 ด้วยรถ Mustang V8 รุ่นปี 2006

    Ford Coupe ของ Red Byron แชมป์ NASCAR คนแรก

    รายการแข่งขัน NASCAR มีนักแข่ง Red Byron นำรถ Ford Coupe ปี 1939 มาเข้าร่วมจนได้เป็นแชมป์คนแรกของรายการนี้ ในปัจจุบัน Ford เป็นหนึ่งใน 3 แบรนด์หลักที่เข้าแข่งขันทั้ง 3 รายการย่อย และรถที่ใช้แข่งขันก็มีทั้ง Mustang GT ในรายการ NASCAR Cup Series และ Xfinity Series ส่วนอีกคันก็คือ F-150 ในรายการ NASCAR Craftsman Truck Series และยังมีรายการแข่งขันอีกมากมายที่ Ford ได้เข้าร่วมมา

    Ford Mustang GT

    Ford F-150

    จากวิสัยทัศน์ของเฮนรี่ ฟอร์ด สู่การสร้างสรรค์ยานยนต์ที่เข้าถึงผู้คนทั่วโลก วันนี้ “Ford” ยังคงเดินหน้าพัฒนา นวัตกรรมและยึดมั่นในเจตนารมณ์เดิม เพื่อขับเคลื่อนอนาคตการเดินทางของมนุษยชาติให้ก้าวไกลอย่างไม่หยุดยั้ง สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment