Need for Speed เกมแข่งรถขวัญใจมหาชน

Need for Speed เกมแข่งรถขวัญใจมหาชน

       ถ้าหากจะให้พูดถึง Need for Speed ก็คงไม่น่ามีใครไม่เคยได้ยินชื่อนี้ นั่นก็เพราะเป็นเกมแข่งรถที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการเกม และมอเตอร์สปอร์ต มาเป็นเวลานาน บวกกับแฟรนไชส์นี้ก็ถูกปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้งในภาค NFS: Unbound เมื่อ 2 ธันวาคม ปีที่แล้วด้วยภาพกราฟิกที่แปลกใหม่กว่าภาคที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก ทั้งภาพแบบการ์ตูน มีเอฟเฟกต์เป็นรูปกราฟิตี้เวลาเร่งไนโตร และในสกู๊ปนี้เราก็จะมาขุดเรื่องราวของเกมนี้กัน

กว่าจะมาเป็น Need for Speed

จุดเริ่มต้นของ Need for Speed เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 80 เมื่อผู้พัฒนาเกม Distinctive Software พัฒนาเกมที่เรียกว่า Test Drive มาแล้วถึง 2 ภาค ค่ายเกมที่โลกรัก(มั้ง!) Electronic Arts หรือ EA ก็มาซื้อกิจการ Distinctive Software และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น EA Canada เพราะทาง EA ได้รับคำแนะนำจากนักแข่งรถมืออาชีพอย่าง Mario Andretti ให้ซื้อกิจการนั่นเอง หลังจากนั้น Hanno Lemke ผู้เป็นโปรดิวเซอร์ของค่ายเกมได้ให้สัมภาษณ์บนนิตยสาร Retro Gamer ฉบับที่ 178 ที่วางแผงในเดือนมีนาคมปี 2018 ว่าหลังจากที่ EA ซื้อกิจการ Distinctive Software และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น EA Canada ทางค่ายเกมก็ได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงเครื่องเล่นเกมคอนโซลตัวใหม่ที่กำลังทดสอบอยู่ตอนนั้นอย่าง Panasonic 3DO Interactive Multiplayer เมื่อลองใช้งานแล้วพบว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ให้กับวงการเกมแข่งรถขึ้นมาทันทีด้วยศักยภาพเครื่องที่สามารถประมวลผลภาพเป็น 3D เนื่องจากเดิมทีเกมแข่งรถจะเป็นภาพกราฟิกแบบ Pseudo 3D เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ภาพ 3D หลอกที่สร้างจากภาพ 2D นั่นเองครับ

คุณ Hanno บอกว่าได้ไปเล่นเกมแข่งรถหลายต่อหลายเกม และเก็บมาคิดแล้วคิดอีกว่าจะทำอย่างไรให้เกมสนุกและตื่นเต้นกว่าที่เคยมี และเกิดอีกคำถามว่าทำไมเกมแข่งรถแบบ Open Road ถึงทำให้ความสนุกมันมีชีวิตชีวา? คุณ Hanno เลยชวนลูกทีมเอารถ Porsche 944 Turbo ของหัวหน้างานไปลองขับพร้อมติดกล้องหน้ารถ ขับยาวจากแวนคูเวอร์ไปจนถึงเขตวิสเลอร์ และเอาไปขับที่สหรัฐอเมริกา จากโอเรกอน ไปจนถึงแคลิฟอร์เนีย เพื่อเก็บข้อมูลและแรงบันดาลใจในการออกแบบเกม เขายังเชิญนักฟิสิกส์มากมายมาช่วยดูความสมจริงของเกม และยังขอความร่วมมือจากนิตยสารยานยนต์จากสหรัฐอเมริกา Road & Track มาให้ข้อมูลรวมถึงเป็นส่วนร่วมในการพัฒนาเกมอีกด้วย ทำให้เกมแรกของซีรีส์ออกมาจึงมีชื่อนิตยสารนี้นำหน้าชื่อว่า Road & Track Presents: The Need for Speed นั่นเองครับ

 

Road & Track Presents: The Need for Speed

       เกมแรกของแฟนไชส์ วางจำหน่ายในปี 1994 บนแพลตฟอร์ม 3DO, ปี 1995 บน MS-DOS, ปี 1996 บน PlayStation และ Sega Saturn มีเกมโหมดมาให้ 4 โหมด คือ Head to Head ซึ่งเป็นการแข่งดวลตัวต่อตัวกับตัวละคร X-Man, Single Race เป็นการแข่งกับคู่แข่งสูงสุด 7 คนซึ่งสามารถตั้งค่าจำนวนรอบในการแข่งได้, Time Trial เป็นการชาเล้นจ์ทำเวลาสูงสุด และ Tournament ซึ่งก็คือการแข่งทุกประเภทตามประเภทของรถ และเนื่องจากเกมถูกออกแบบมาเป็นการแข่งรถผิดกฎหมายบนท้องถนน ทำให้ฝ่ายกฎหมายของทีมพัฒนานั้นไม่ค่อยโอเค จึงตัดปัญหาด้วยการใส่รถตำรวจ เป็นอุปสรรคของเกมซะเลย ง่ายดีมั้ยล่ะ! นอกจากนี้ตัวเกมที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนชื่อเป็น Over Drivin’ DX และยังมีตัวเกมพิเศษอย่าง Nissan Present: Over Drivin’ GT-R และ Nissan Presents: Over Drivin’ Skyline Memorial ที่จะเปลี่ยนรถทุกคันในเกมให้เป็นรถ Nissan เท่านั้น

Need for Speed II

       พัฒนาโดย EA Canada และ EA Seattle วางจำหน่ายบน PlayStation และ Window 95 ในปี 1997 ภาคนี้ทางค่ายเกมไม่ได้มีความร่วมมือกับ Road & Track อีกต่อไปแต่จะเป็นการร่วมมือกับผู้ผลิตรถจริงในแต่ละค่ายโดยตรง ระบบเกมไม่ค่อยจะมีความแตกต่าง จากภาคแรกมากนักนอกจาก กราฟิก และ UI ที่มีความสวยงามมากขึ้น รถในเกมมีการเพิ่มรถซูเปอร์คาร์ เข้ามาสร้างสีสันอีกด้วย ตัวเกมได้รับเสียงวิจารณ์ดีมากจากคะแนนในเว็บไซต์ Metacritic 71/100 เดิมทีทางผู้พัฒนาอยากจะพัฒนาเกมลงบน Sega Saturn, Nintendo 64 และ Panasonic M2 แต่ก็ยกเลิกไป หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการปล่อยตัวเกม Special Edition ที่ปรับปรุง Performance ให้ดีขึ้น แก้บัคต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวเกมเดิม เพิ่มฉากใหม่ 1 ฉาก กับรถใหม่ 7 คัน กราฟิกมีการปรับปรุงให้รองรับการ์ดจอรุ่นล่าสุดในตอนนั้นอย่าง 3Dfx Voodoo

Need For Speed III : Hot Pursuit

       วางจำหน่ายในปี 1998 บน Window 95,98 และ PlayStation ด้วยคอนเซ็ปท์ “บ้าระห่ำ ท้าทายกฎหมาย” เพิ่มเกมโหมดใหม่เข้ามาคือ Hot Pursuit ที่จะเป็นการแข่งรถตัวต่อตัว และหลบหนีตำรวจไปด้วยซึ่งภาคนี้จะไม่ได้มีแค่การไล่ล่าอย่างเดียว แต่ยังมีการตั้งด่านดักผู้เล่นอีกด้วย หรือแม้แต่มีการปู Spike Strips ด้วย สำหรับบน PC จะสามารถเลือกเล่นเป็นตำรวจได้ จำนวนรถในเกมมี 9 คันบน PlayStation และ 19 คันบน PC

Need for Speed : High Stakes

       วางจำหน่ายในปี 1999 บน Window 95,98 และ PlayStation เหมือนเดิม เกมโหมดก็ยกเครื่องมาจากภาคที่แล้ว มีการปรับปรุง AI ตำรวจให้ฉลาดขึ้น และเพิ่มเกมโหมดใหม่อย่าง Get Away ที่หนีตำรวจจนหมดเวลา มีระบบความเสียหายของรถที่ต้องซ่อม และความเจ๋งอีกอย่างบน PlayStation คือสามารถแข่งกินรถกับเพื่อนได้โดยการเสียบเมมโมรี่การ์ดซึ่งบันทึกข้อมูลรถที่มีอยู่เข้าที่เครื่องของเพื่อน เมื่อแข่งแพ้ไฟล์ข้อมูลรถที่เอามาใช้แข่งจะถูกย้ายไปยังเซฟของผู้ชนะ แหมเป็นระบบที่เจ๋งไม่เบา

Need for Speed : Porsche Unleashed

       ภาคนี้ขายของเก่งเน้น Porsche เป็นหลัก วางจำหน่ายบนปี 2000 โดย EA Canada จะรับผิดชอบการพัฒนาเกมบน PC และ PlayStation จะรับผิดชอบการพัฒนาโดย Eden Games ทีมพัฒนาสัญชาติฝรั่งเศส มีเกมโหมดใหม่ที่เป็นเนื้อหานำเสนอประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Porsche อีกด้วย

Motor City Online

       EA Seattle รับผิดชอบการผลิตเกมนี้ในรูปแบบ MMO รถส่วนใหญ่ในเกมนี้จะเป็นรถย้อนยุคที่มี 4 คลาสได้แก่ Vintage, Classic, Muscle และ Sport ตัวเกมเปิดให้บริการมาได้แค่เพียง 2 ปีตั้งแต่ 2001 และยุติให้บริการในปี 2003 เนื่องจากยอดผู้เล่นที่ลดลง

Need for Speed : Hot Pursuit 2

       วางจำหน่ายปี 2002 บน PC, Xbox, GameCube (พัฒนาโดยทีม EA Seattle) และ PlayStation 2 (พัฒนาโดยทีม EA Black Box) เพิ่มเกมโหมดใหม่คือ World Racing Championship และ Hot Pursuit Ultimate Racer ในเรื่องของการพัฒนานั้น PlayStation 2 จะมีความแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ เพราะนอกจากทีมพัฒนาคนละทีมแล้ว เอนจินที่นำมาพัฒนาก็คนละตัวอีกด้วย ทำให้กราฟิก ระบบฟิสิกส์ และรายละเอียดต่างๆ จะแตกต่างอย่างมาก ส่งผลให้ตัวเกม PlayStation 2 ได้รับคะแนนใน Metacritic สูงถึง 89/100 ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นๆ อยู่ที่ราวๆ 70 กว่าๆ ถือว่าเป็นผลงานแจ้งเกิดทีมใหม่ที่น่าภาคภูมิใจไม่น้อย ต่อมา EA Black Box ก็มากลายเป็นทีมพัฒนาหลักของซีรีส์ NFS แทน EA Seattle ที่ปิดตัวลงในปี 2002

Need for Speed : Underground

       วางจำหน่ายปี 2003 บน PC, Xbox, GameCube และ PlayStation 2 เป็นภาคแรกที่ใส่เนื้อเรื่องเข้ามาและมีความจริงจังมากขึ้น ภาคนี้ชูโรงด้วยการแต่งรถที่อิสระ และเพิ่มระบบเร่งความเร็วด้วย Nitro เพิ่มระบบการดริฟท์รถเอาใจสายดริฟท์ เพิ่มเกมโหมดแข่ง Drag Racing เพลงประกอบก็ใส่เพลงแนวฮิป-ฮอป และ EDM เข้าไปทำให้อารมณ์ในการเล่นกลมกล่อมมากขึ้น

Need for Speed : Underground 2

       ตามติดมาด้วยภาคที่เป็นขวัญใจคนไทยยุค 2000 วางจำหน่ายในปี 2004 บนเครื่อง PC, PlayStation 2 และ Xbox เนื้อเรื่องเป็นภาคต่อจากภาคที่แล้วโดยตรง มีการใส่ฉาก Open-World เป็นครั้งแรก การแต่งรถมีความละเอียดมากขึ้น ด้วยกระแสถล่มทลายของเกมนี้ทำให้มีการจัดแข่ง E-Sport ในงาน World Cyber Game 2005 ที่ประเทศสิงคโปร์ และแน่นอน เพลงประกอบที่จะต้องติดหูสำหรับภาคนี้ก็คือเพลง Riders of the Storm โดย Snoop Dogg ร่วมกับ The Doors ไปหามาฟังกันได้ สื่อหลายเจ้าชื่นชมว่าเป็นเกมอาร์เคดที่เข้าถึงง่าย และได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย คะแนนใน Metacritic สูงถึง 82 เต็ม 100 นอกจากนี้ยังมีการออกภาคเสริมบนเครื่อง PSP เป็นครั้งแรกในชื่อภาค Need for Speed : Underground Rivals

Need for Speed : Most Wanted

       ถึงแม้ภาค Underground จะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน แต่สิ่งที่ขาดคือ “ตำรวจ” ภาคนี้พัฒนาโดย EA Canada ร่วมกับ EA Black Box บนเครื่อง PC, PlayStation 3 และ Xbox 360 แต่ก็ยังมีลงเครื่องเก่าๆ บ้างอย่าง GameCube, PlayStation และ Xbox ระบบหนีการไล่ล่าตำรวจกลับมาอีกครั้ง แถมดุกว่าเดิมด้วย แต่เนื้อเรื่องนั้นตัวเอกเป็นคนเดียวกับภาค Underground หรือไม่ยังไม่มีการยืนยัน

Need for Speed : Carbon

       เป็นเกมที่วางจำหน่ายบนเครื่อง Next-Gen เต็มรูปแบบทั้ง PC, Macintosh, PlayStation 3, Xbox 360 และ Wii แต่ก็ยังใจดีวางจำหน่ายบน PlayStation 2 และ Xbox ให้ด้วยโดยเนื้อเรื่องจะต่อเนื่องจากภาค Most Wanted โดยตรง ฉาก Open-World จะมีแบ่งเป็นเขตทั้งหมด 4 เขต มีระบบการว่าจ้างตัวละครอื่นมาช่วยซัพพอร์ตในการแข่ง มีเกมโหมดแข่งลงเขาที่ต้องทิ้งห่างจากคู่แข่งให้มากที่สุด

Need for Speed : ProStreet

       โลกเปลี่ยนอะไรก็ต้องเปลี่ยน การแข่งรถผิดกฎหมายเริ่มมีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้น หลายๆ คนจึงหันไปแข่งรถอย่างถูกต้องบนสนาม Need for Speed เองก็ลองเสี่ยงพัฒนาภาคนี้ออกมาวางจำหน่าย PlayStation 3, PC, Xbox 360, Wii และ PlayStation 2 โหมดต่างๆ ในเกมก็หยิบมาจากการแข่งที่มีอยู่จริง ทั้ง Circuit, Drag หรือ Speed Challenge ระบบความเสียหายของรถมีความสมจริงมากขึ้น เป็นที่น่าเสียดายที่ผลตอบรับร่วงลงมาถึง 70/100

Need for Speed : Undercover

       EA Black Box ต้องหันหัวเรือกลับมาทำเกมแบบเดิมจากความล้มเหลวของภาคที่แล้ว วางจำหน่ายในปี 2008 บนเครื่อง Blackberry, iOS, Java, Nintendo DS,. Nokia N-Gage 2.0, PC, PlayStation 2, PlayStation 3, PlayStation Portable, Wii, Xbox 360 ในตอนแรกจะมีการใช้ชื่อเกมว่า NFS : Most Wanted 2 แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็น NFS : The Chase ตอนเปิดตัวและก็เปลี่ยนชื่ออีกรอบเป็น NFS : Undercover ระบบการเล่นเริ่มง่ายกว่าเดิม เกมโหมด Drift และ Drag ถูกตัดออกเพราะไม่เข้ากับเนื้อหาของภาคนี้ มีเกมโหมดขโมยรถชาวบ้านมาส่งให้หัวหน้าแก๊งค์โดยให้รถเสียหายน้อยที่สุด มีระบบ Progression ที่จะปลดล็อคของแต่งรถตามเลเวลเพิ่มเข้ามา สุดท้ายคะแนนวิจารณ์ก็ไม่ได้ตีตื้นขึ้นเลย ร่วงลงมาอยู่ 65/100 สื่อต่างๆ ติในเรื่องของ กราฟิก และเกมง่ายเกินไปจนน่าเบื่อ และยังเพิ่มระบบปลดล็อคของตามเลเวลอีก

Need for Speed : Shift

       ความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องจาก 2 ภาคที่แล้ว EA จึงหันไปจ้าง Slightly Mad Studios ให้พัฒนาภาคนี้ลงบน PlayStation 3, Xbox 360 และ PC ถอดบทเรียนจาก ProStreet มาต่อยอดให้เกมสมจริงมากขึ้น ตัวเกมกลับมาไม่มีเนื้อเรื่องเน้นแข่งขันอย่างเดียว การบังคับมีความสมจริงมากขึ้นขนาดที่ว่า ล้อล็อคเวลาเบรก เร่งเครื่องรอบเร็วเกินไปรถก็จะปัด ตัวเกมพัฒนาออกมาประสบความสำเร็จ เหมือนเป็นการฉุดแฟรนไชส์นี้ขึ้นจากปากเหว ด้วยคะแนน Metacritic 83/100 สื่อหลายสำนักชื่นชมว่าสามารถถ่ายทอดการแข่งรถได้แบบถึงพริกถึงขิง ถึงแม้ตัวเกมจะดูควบคุมยากแต่ก็สามารถสนุกกับมันได้

Need for Speed : Nitro

       EA Montreal มาสานต่อด้วยการทำตัวเกมที่มีความอาร์เคดเหมือนเดิม และ Exclusive ลงเฉพาะเครื่อง Wii กับ Nintendo DS (พัฒนาโดย Firebrand Games) เล่นง่าย เพลินๆ ระบบควบคุมรองรับอุปกรณ์ได้ 4 อย่างได้แก่ Wii Wheel, Nunchuk, Classic Controller หรือจะเอาจอย Gamecube มาเล่นก็ได้ กราฟิกมีความการ์ตูนเป็นอย่างมาก ผลตอบรับที่ได้ก็กลางๆ 69/100

Need for Speed : World

       เกมออนไลน์เล่นฟรี โดยจะเป็นการหยิบเอาความรู้จากการพัฒนาภาค Most Wanted และ Carbon มารวมด้วยกัน ตัวเกมพัฒนาโดย EA สิงคโปร์ก่อนในปี 2009 และเปิดให้ทดสอบเบต้าในไต้หวัน ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ EA Black Box ที่ว่างงานอยู่มารับผิดชอบเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก ตัวเกมเหมือนจะให้เล่นฟรีแต่นี่คือกับดัก เพราะเมื่อเล่นไปได้ถึงเลเวล 10 ก็จะต้องซื้อ Starter Pack เพื่อปลดล็อก แต่ก็เอาออกไปในภายหลัง ซ้ำร้ายยังถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นเกม Pay to Win เนื่องจากของแต่งรถ และรถบางคันต้องเติมเงินซื้อ แต่ก็ยังเปิดให้บริการมายาวนานถึง 5 ปี เวียนทีมมาดูแลถึง 3 ครั้ง และก็ปิดตัวลงในปี 2015

Need for Speed : Hot Pursuit 2010

       กลับมาคืนชีพอีกครั้งหลังจากหลงทางมายาวนาน เป็นครั้งแรกที่ Criterion Games เข้ามาเฉิดฉายในซีรีส์นี้ ซึ่งเคยทำเกม Burnout มาแล้วหลายภาค ตัวเกมลงให้กับเครื่อง PlayStation 3, Xbox 360 และ PC และผลพวงจากการที่เอาทีม Criterion Games มาร่วมพัฒนาทำให้ตัวเกมมีกลิ่นอายของความชนดะไม่เกรงใจใครแบบ Burnout Paradise ฉากในเกมมีสภาพอากาศที่แตกต่างออกไปทำให้มีความท้าทายมากขึ้น แต่สิ่งที่ถูกตัดออกไปคือระบบการแต่งและจูนรถ แต่งได้แต่สี กราฟิกทุกอย่างยกเครื่องมาจาก Burnout Paradise คะแนนวิจารณ์ค่อนข้างดี จาก Metacritic ที่ได้ 86/100

Shift 2 Unleashed

       Slightly Mad Studios ไม่อยากให้เกมสมจริงนี้มาสับสนกับ เกมแข่งรถบนถนนมันส์ๆ เพลินๆ ก็เลยตัดชื่อ Need for Speed ออกไป วางจำหน่ายบน PlayStation 3, Xbox 360 และ PC มีระบบช่วยซัพพอร์ตผู้เล่นใหม่ด้วยระบบล็อคล้อไม่ให้ปัด เบรคอัตโนมัติเมื่อเข้าโค้ง มุมกล้องใหม่เป็นมุมกล้องจากหมวก การจูนรถมีความละเอียดมากขึ้น มีระบบคอมมูนิตี้ใหม่ที่เรียกว่า Autolog การแข่งจะเป็นการแข่งในสนามปิด ตัวเกมพัฒนาโดยใช้ Madness Engine ทำให้กราฟิกสวยขึ้นมาก โดยรวมคำวิจารณ์ดีมากๆ

Need for Speed : The Run

       EA Black Box แอบแซ่บมาพัฒนาเกมภาคนี้โดยใช้ Frostbite Engine ที่เคยใช้พัฒนาเกม Battlefield 3 มาแล้วทำให้เกิดกระแสฮือฮาไม่น้อย ตัวเกมพัฒนาลงเครื่อง PlayStation 3, Xbox 360 และ PC สภาพแวดล้อมของฉากมีความไดนามิกมากขึ้น และมีผลต่อการเล่นเป็นอย่างมาก และมีการเพิ่มลูกเล่นใหม่คือการย้อนเวลาจากช่วงที่ผิดพลาดเช่นรถพลิกคว่ำ ตกน้ำ ตกเหว อะไรก็แล้วแต่ ก็ย้อนมาแก้ตัวได้ด้วยจำนวนที่จำกัด ระบบออนไลน์ยังใช้ Autolog เหมือนเดิม แต่ผลตอบรับ และยอดขาย ยังไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายของ EA Black Box อีกด้วย

Need for Speed : Most Wanted 2012

       Criterion Games อยากจะทำแบบ Burnout Paradise ก็เลยเข็นภาคนี้ลงบนเครื่อง PlayStation 3, PS Vita, Xbox 360, Wii U และ PC คะแนนตอบรับพอถูไถ และยังมีเสียงวิจารณ์ว่าตัวเกมมันน่าเบื่อจำเจ

Need for Speed : Rivals

       หลังจาก Most Wanted ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จพอสมควร EA ก็ได้เปิดตัวทีมพัฒนาน้องใหม่อย่าง Ghost Games มาพัฒนาร่วมกัน Criterion Games เจ้าเก่าด้วยเอนจิน Frostbite 3 ลงบนเครื่อง PlayStation 3, PlayStation 4, Xbox 360, Xbox One และ PC ในการเริ่มเล่นจะให้เลือกเล่นว่าเป็นตำรวจหรือนักแข่ง ซึ่งต่างก็มีเนื้อเรื่องของตัวเอง ลูกเล่นของตัวเอง และเพิ่มระบบ AllDrive ทำให้หาเพื่อนมาร่วมเล่นได้ง่ายขึ้น ระบบฟิสิกส์มีความสมจริงมากขึ้น แนวทางการเล่นไม่ใช่การแข่งเอาชนะ แต่เป็นการบดขยี้รถอีกฝ่าย ทำให้ตัวเกมมีความแตกต่างมากกว่าเดิม คะแนนวิจารณ์จาก Metacritic อยู่ที่ 73/100 ไม่ดีแต่ไม่แย่ ส่วนใหญ่ที่ติคือการล็อกเฟรมเรทไว้ที่ 30 fps

Need for Speed : No Limits

       Firemonkeys ที่เคยทำ NFS ลงโทรศัพท์มือถือมาหลายต่อหลายภาค ในครั้งนี้ก็ได้ออกมารับผิดชอบเกมของตัวเอง โดยพัฒนาลงให้กับ IOS และ Android ในปี 2015 การแข่งแต่ละรอบจะสั้นไม่ได้ยาวอะไรมากมีระบบการสุ่มกาชาเอา Blueprint เหมือนเกมมือถือทั่วไป

Need for Speed 2015

       Ghost Games อยากจะรีบูตแฟรนไชส์ด้วยขุมพลัง Frostbite 3 ลง PlayStation 4, Xbox One และ PC ตัวเกมหวนคืนสู่รูปแบบการซิ่งรถใต้ดินแบบ Underground ฉากคัตซีนเป็นคนแสดงล้วนๆ การควบคุมลื่นไหลมากขึ้น การเลี้ยว การดริฟท์ จะมีการเอียงมุมกล้องให้ความรู้สึกระทึกเวลาเล่น มีระบบนำทางด้วยลูกศร ตัวเกมบังคับเชื่อมต่อออนไลน์ทุกครั้งเมื่อเข้าเกม ถึงตัวเกมจะทำออกมาได้ดี เข้าใจง่ายแต่ คะแนนก็ไม่เป็นไปตามเป้าด้วย Metacritic แค่ 68/100 เนื่องต้วยข้อจำกัดต่างๆ มากมาย ความล้มเหลวครั้งนี้ทำให้ Ghost Games ต้องกลับไปทำการบ้านถึง 2 ปี

Need for Speed : Payback

       Ghost Games กลับมาแก้ตัวอีกครั้งในปี 2017 พัฒนาด้วยขุมพลัง Frostbite 3 ลง PlayStation 4, Xbox One และ PC เกมเพลย์ยังคงมาตรฐานเดิมด้วยฉาก Open-World ให้ท่องโลกกว้าง ตัวละครสามารถควบคุมได้ 3 ตัว การแต่งรถมีความละเอียดมากขึ้น ตามใจเรามากขึ้น แต่เนื่องจากระบบสุ่มของรางวัล และการสุ่มกาชาด้วยเงินจริง และการนำเสนอที่จืดจาง ทำให้คะแนนเริ่มก้าวขาลงเหวไปหนึ่งข้างด้วย 62/100

Need for Speed : Edge

       เกมออนไลน์เล่นฟรีพัฒนาโดยทีม EA Spearhead จากแดนกิมจิที่นำตัว NFS : Rivals มาพัฒนาใหม่และเปิดให้บริการ 2 เซิร์ฟเวอร์คือจีนและโกลบอล ปัจจุบันทั้ง 2 เซิร์ฟเวอร์ได้ปิดตัวลงไปแล้ว

Need for Speed : Heat

       Ghost Games (อีกแล้วเหรอ?!) ได้โอกาสกลับมาแก้ตัวอีกครั้งในปี 2019 และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี Need for Speed พัฒนาลงให้กับเครื่อง PlayStation 4, Xbox One และ PC ทางผู้พัฒนาออกมาเคลมว่าเนื้อเรื่องจะมีความหม่นหมอง และดาร์กกว่าเดิม ของแต่งรถมีความหลากหลายกว่าเดิม ตามใจเรากว่าเดิม และสามารถแต่เสียงท่อไอเสียได้อีกด้วย ความยากง่ายในการหลบหนีตำรวจจะขึ้นอยู่กับค่า Heat ที่ผู้เล่นสะสมในตอนกลางคืนซึ่งยกเครื่องระบบนี้มาจาก Most Wanted ผลตอบรับของเกมนี้พอกู้หน้ามาได้บ้างด้วยคะแนน Metacritic 72/100 แต่ก็ยังไม่สุดอยู่ดีทำให้เป็นผลงานสุดท้ายของ Ghost Games ก่อนที่จะย้ายมาให้ Criterion Games มารับผิดชอบเกมภาคใหม่อย่าง Need for Speed : Unbound

Need for Speed : Unbound

       ภาคล่าสุดของ Need for Speed พัฒนาโดย Criterion Games จับมือร่วมกับ Codemasters Cheshire ลงเครื่อง PlayStation 5, Xbox Series X/S และ PC ในปี 2022 ที่ผ่านมา งานภาพของเกมภาคนี้จะมีความฉีกมากกว่าเดิมด้วยภาพที่มีความเป็นการ์ตูน เอฟเฟกต์ต่างๆ ออกไปในสไตล์งานศิลปะกราฟิตี้ทำให้ตัวเกมมีความน่าเล่นมากกว่าเดิม สำหรับใครที่อยากลองเล่น สเปคคอมพิวเตอร์แนะนำดังนี้ครับ

CPU : AMD Ryzen 5 3600, Intel Core i7-8700

RAM : 16 GB

GPU : AMD Radeon RX5700, Nvidia GeForce RTX 2070

DirectX 12

HDD หรือ SSD 50 GB

และนี่คือประวัติศาสตร์ทั้งหมดของ Need for Speed เกมแข่งรถขวัญใจมหาชนจากค่ายเกมที่โลก(ไม่อยาก)รัก ที่ยาวนานมาเป็นเวลากว่า 28 ปี


ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

Website : http://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
Twitch TV : https://www.twitch.tv/realtimecarmagazine
Blockdit : https://www.blockdit.com/pages/5ed70c2d713f890cbc006f05
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_magazine/
Tiktok : https://vt.tiktok.com/ZSmSrdsB