• TURBO แปรผันทำงานยังไง…ไปดูกัน…!!

    1 Min Read

    TURBO แปรผันทำงานยังไง…ไปดูกัน…!!

    ยุคสมัยเปลี่ยนไปอะไรๆก็ต้องปรับเปลี่ยนตามกันไปด้วย กลับมาพบกันอีกเช่นเคยครับกับคอลัมน์เกร็ดความรู้คู่รถคุณ สำหรับในคอลัมน์นี้ครับเราจะพาไปทำความรู้จักกับระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบนั่นเองครับ แต่เป็นเทอร์โบแบบแปรผัน ซึ่งหลายคนคงมีคำถามอยู่ในใจมานานแสนนานว่าไอ้เจ้าเทอร์โบแปรผันเนี่ยมันคืออะไร และมันทำงานยังไง ทำไมถึงเรียกว่าเทอร์โบแปรผัน ก็อย่างว่าแหละครับรถยนต์สมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะต่างก็มีเทอร์โบติดรถมากันแทบจะทุกรุ่นอยู่แล้ว เมื่อใช้งานมันอยู่ทุกวันก็ควรจะรู้จักมันไว้ซ้ะหน่อยว่ามันเป็นยังไง เข้าไปติดตามพร้อมๆกันเลยครับ

    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนครับว่าแต่ละค่ายให้คำจำกัดความของเทอร์โบแปรผันว่าอะไรกันบ้าง ISUZU จะเรียกว่า VGS TURBO,TOYOTA จะเรียกว่า VN TURBO,MITSUBISHI จะเรียกว่า VG TURBO,MAZDA จะเรียกว่า VGT TURBO เรียกว่าแต่ละค่ายก็ให้คำจำกัดความที่แตกต่างกันออกไป แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ความหมายเดียวกันแหละครับ TURBO ก็เสมือนแค่ตัวอัดลมแบบธรรมดา โดยส่วนของ TURBO นั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนใบพัดไอดี และ ใบพัดไอเสียจะเชื่อมติดในแกนเดียวกัน โดยท่อไอเสียที่ถูกขับออกจากห้องเผาไหม้ แทนที่จะถูกปล่อยออกทางท่อไอเสียโดยตรง ก็จะถูกนำไปขับผ่านใบพัดไอเสียให้หมุน ใบพัดไอเสียนี้จะเชื่อมติดกับเพลาซึ่งมีใบพัดไอดีอยู่  อีกข้างหนึ่ง เมื่อใบพัดไอเสียหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆก็จะยังผลให้ใบพัดไอดีหมุนตามเร็วขึ้นเท่านั้น การหมุนของใบพัดไอดีจะดูดอากาศผ่านไส้กรองอากาศและอัดอากาศให้หนาแน่นขึ้น ก่อนอัดเข้าห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ในเครื่องยนต์เบนซินอากาศที่ถูกอัดจาก TURBO ก่อนเข้าเครื่องยนต์ จึงจำเป็นต้องทำให้อากาศเย็นตัวลงก่อน เพื่อป้องกันการจุดระเบิดก่อนเข้าห้องเผาไหม้ ดังนั้น INTERCOOLER จึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในเครื่องยนต์ โดย Intercooler จะมีลักษณะเหมือนรังผึ้งหม้อน้ำ แต่ใช้อากาศภายนอกเป็นตัวช่วยถ่ายเทความร้อนของอากาศ ภายในหลอดที่ออกจาก TURBO

     

     

     

    มาดูเรื่องของความแตกต่างระหว่าง ระบบ TURBO แปรผัน ของเครื่องยนต์เบนซิน และ เครื่องยนต์ดีเซล
              ซึ่งในส่วนของ TURBO แปรผันของเครื่องยนต์ดีเซล จะมีทั้งระบบ TURBO และ TURBO INTERCOOLER เนื่องจากชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ดีเซลมีความทนทานและแข็งแรงกว่าเครื่องยนต์เบนซิน และการทำงานของระบบเครื่องยนต์ดีเซลก็ใช้ระบบการเผาไหม้ด้วยช่วงของจังหวะ ซึ่งทำให้การอัดของลูกสูบ ซึ่งต่างจากการใช้ระบบหัวเทียนเป็นตัวจุดระเบิดในเครื่องยนต์เบนซิน ดังนั้นเครื่องยนต์ดีเซลจึงไม่จำเป็นต้องใช้ INTERCOOLER เว้นแต่ผู้ผลิตต้องการให้เครื่องยนต์มีกำลังเพิ่มขึ้นและแรงบิดเครื่องยนต์มากกว่าเดิม ก็สามารถติดตั้งระบบ INTERCOOLER เข้าไปเพิ่ม ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องเพิ่มฺ BOOTS แรงอัดมากขึ้นพร้อมกับการทดการใช้เชื้อเพลิงให้มากขึ้น ก็จะตั้งระบบการจุดระเบิดที่รุนแรงมากขึ้น เป็นการเพิ่มแรงม้าและแรงบิด ทั้งนี้ชิ้นส่วนภายในจะต้องมีความแข็งมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ผู้ผลิตเครื่องยนต์ก็จะต้องลดกำลังอัดของลูกสูบ ตามไปด้วย เมื่อมีการเพิ่มกำลังอัดจาก TURBO เข้าเครื่องยนต์ ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตเครื่องยนต์จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก ทั้งแบบ TURBO ธรรมดาและ TURBO INTERCOOLER

     

    เทอร์โบแปรผัน เป็น เทอร์โบ ที่พัฒนามาจาก เทอร์โบ ธรรมดา แต่ต่างกันตรงที่ด้านโข่งไอเสียจะมีครีบที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อเป็นการควบคุมขนาดของโข่งไอเสีย ทำให้ความเร็วของไอเสียที่จะปั่นใบพัดเทอร์โบ เหมาะสมกับเครื่องยนต์ทุกๆรอบ เพราะขนาดของโข่งไอเสียจะเป็นตัวทำให้ เทอร์โบ บูสท์มาไวหรือช้า ซึ่งแต่ก่อนโข่งไอเสียจะถูกจำกัดปริมาตรคงที่ ถ้าโข่งไอเสียเล็กก็จะทำให้เทอร์โบสามารถสร้างแรงดันได้ไว แต่พอรอบเครื่องสูงๆ จะระบายไอเสียได้ไม่ดี ทำให้กำลังเครื่องยนต์ตก ส่วนโข่งไอเสียขนาดใหญ่ ที่รอบสูงจะระบายไอเสียได้ดี แต่ที่รอบเครื่องต่ำๆ กลับสร้างแรงดันได้ช้าเพราะความเร็วของไอเสียต่ำ จากตรงนี้จึงเป็นที่มาของ เทอร์โบแปรผัน ซึ่งก็เหมือนกับมีโข่งไอเสียเล็ก-ใหญ่ในตัวเดียวกันเทอร์โบแปรผัน มีชื่อเรียกต่างๆ ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับบริษัทที่ผลิต โดยอุปกรณ์ที่ควบคุมครีบแปรผันจะมีทั้งแบบมอเตอร์ไฟฟ้า และแบบใช้สูญญากาศควบคุม

    ข้อดีของ เทอร์โบแปรผัน
    – ลดอาการรอรอบ ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิด และแรงม้าสูงตั้งแต่รอบต่ำ
    –  การสร้างแรงบิดได้ตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น
    –  ลดมลพิษ ไม่มีไอเสียที่เหลือปล่อยทิ้ง ทำให้ฝุ่นละอองลดลง

    ข้อเสียของ เทอร์โบแปรผัน
    – ราคาสูงกว่า เทอร์โบธรรมดาทั่วๆไปเพราะใช้อุปกรณ์มากกว่า
    – การดูแลรักษายากกว่า เพราะมีชิ้นส่วนเพิ่มขึ้น

    อาการของเทอร์โบมีปัญหาและระยะเวลาที่ควรซ่อม
    เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง ใบพัดเทอร์โบเสีย แกนเทอร์โบหลวม มีน้ำมันรั่วออกมาจาก เทอร์โบ แรงดันเทอร์โบ ผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้ เทอร์โบ อัดอากาศเข้าเครื่องยนต์ได้น้อย ทำให้เกิดควันดำ กินน้ำมันมากผิดปกติ หรือรถที่ใช้งานมากกว่า 300,000 กม.หรือ4,000 ชั่วโมงควรมีการเปลี่ยนชุดซ่อมและบาลานซ์แกนใหม่

    เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของเทอร์โบแปรผัน เข้าใจกันแล้วใช่ไหมครับว่าการทำงานของเทอร์โบชนิดนี้มันมีความแตกต่างยังไงกับเทอร์โบธรรมดา คอลัมน์ต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรนั้นต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ สวัสดีครับ..


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • เลือกประเภทรถอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน

    1 Min Read

    เลือกประเภทรถอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน


              เนื้อหาในคอลัมน์วันนี้จะพูดประเด็นต่อเนื่องมาจากจำนวนลูกสูบของรถมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านมา โดยจำนวนลูกสูบนั้นมีผลต่อจำนวนซีซีที่มีมากน้อยด้วย ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่ารถจำนวนสูบเท่านี้ จำนวนซีซีเท่านี้ จะมีการใช้งานที่เหมาะกับรูปแบบไหนบ้างบนท้องถนน ติดตามกันได้ในคอลัมน์นี้

    ขับขี่ในเมืองหรือในชีวิตประจำวัน

    ที่มีระยะทางที่ไม่ไกลมากเช่น เดินทางไปทำงาน เดินทางไปตลาด เป็นต้น การใช้งานรูปแบบนี้เหมาะกับรถรูปแบบ 1 สูบหรือตั้งแต่ 100 – 150 ซีซีโดยประมาณ หรือจะขยับมาอีกหน่อยเป็น 2 สูบที่มี 250 ซีซี ขึ้นไปแต่อัตรากินน้ำมันจะมากกว่าตามไปด้วย

    ขับขี่นอกเมืองที่อาจจะมีการขึ้นเนินลงเขา

    ลักษณะเส้นทางในแบบนี้จะเหมาะกับรถที่มีอัตราเร่งช่วงต้นและช่วงกลางที่ค่อนข้างดีเช่นรถรูปแบบ 2 สูบหรือตั้งแต่ 250 ซีซี เพราะมีกำลังเครื่องและอัตราเร่งที่ดีเมื่อเจอกับทางชันและสามารถเดินทางไกลได้พอสมควร

    เน้นความสมดุลในรูปแบบต่างๆ

    ในรูปแบบนี้จะมีอัตราเร่งช่วงต้นที่ดีอีกทั้งในช่วงกลางก็ดีด้วย แต่อาจจะไม่เทียบเท่าที่เป็นรถสายเฉพาะทางที่เน้นไปทางอัตราเร่งต้นสูงหรือช่วงปลายสูง ทำให้ขับในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น โดยรูปแบบที่เหมาะคือรถ 3 สูบนั่นเอง

    เน้นความเร็วช่วงปลายหรือใช้ในการแข่งขัน

    จะเป็นรถที่มีอัตราเร่งช่วงกลางถึงปลายที่ดีและมีอัตราความเร็วที่สูงไม่เหมาะกับการนำมาใช้บนท้องถนนทั่วไป โดยในรูปแบบนี้จะเป็น 4 สูบหรือ 400 ซีซีขึ้นไปนั่นเอง

    เน้นการเดินทางไกล หรือขับข้ามประเทศ

    จะเป็นรถที่มีอัตราความเร็วสูงสุดที่ขับได้ระยะเวลานาน จึงเหมาะกับรถที่มี 6 สูบที่มีจำนวนซีซีสูงและมีถังเชื้อเพลิงมาก พร้อมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย เช่นเบาะที่นุ่ม มีพนักพิง เป็นต้น

    เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับเกร็ดความรู้เรื่องรถที่เหมาะกับการใช้งานของท่านในหลายๆรูปแบบ ท่านไหนที่ต้องการใช้งานรูปแบบไหนก็เลือกมาครอบครองและใช้งานกันตามที่ต้องการได้เลย เพื่อที่จะได้ตอบสนองตามความต้องการได้อย่างสูงสุดและไม่เป็นการสิ้นเปลืองในการใช้เชื้อเพลิงของรถจนเกินเหตุอันควรอีกด้วย


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • GROUND WIRE แค่สวยงามหรือมีประโยชน์

    1 Min Read

    GROUND WIRE แค่สวยงามหรือมีประโยชน์

    พบกันอีกเช่นเคยครับกับคอลัมน์เกร็ดความรู้คู่รถคุณ สำหรับเรื่องราวในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดกันถึง GROUND WIRE ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมและสนใจเป็นอย่างมาก แต่หลายคนยังคงสงสัยอยู่ว่า มีประโยชน์จริงหรือแค่ติดเพื่อความสวยงาม ใครที่กำลังตัดสินใจอยู่ลองหาข้อมูลในคอลัมน์นี้กันได้เลยครับ

    ติดแล้วช่วยอะไรได้บ้าง จากที่ได้สัมภาษณ์ผู้ที่ติดตั้งร้อยละเก้าสิบให้ความคิดเห็นว่า อัตราเร่งดีขึ้น เครื่องยนต์เดินเรียบขึ้น มีแนวโน้มประหยัดน้ำมันมากขึ้นแต่ไม่กินมากไปกว่าเดิมแน่ ( ยกเว้นแต่จะกระทืบคันเร่งมากกว่าเดิม ) สตารท์ง่ายขึ้น เสียงดังของอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ปั้มติ๊ก พัดลมแอร์ เสียงกวนวิทยุลดลง และอีกมากมายมีแต่จะดีขึ้น

    ประโยชน์ของ GROUND WIRE และ จุดที่จะติดตั้ง ก่อนที่เราจะติดตั้งคุณต้องรู้ก่อนว่าจะติดตั้งที่ไหนเพราะอะไรจึงจะมีประโยชน์สูงสุด และ สิ้นงบประมาณ น้อยที่สุด
    1. แบตเตอร์รี่ ที่ขั้วลบเป็นหัวใจหลักของงานเป็นตัวที่เราจะดึงกระแสไฟฟ้า ไปใช้ในส่วนต่างๆ ของ เครื่องยนต์ และ ในรถยนต์

    2. ขั้วดินของไดชารจ์ ไดชารจ์เป็นตัวสร้างกระแสไฟไปเก็บสะสมไว้ที่แบตเตอร์รี่ ถ้าไฟชาร์จเข้า แบตเตอร์ร ี่ได้ไวขึ้น ไดชาร์จจะตัดการทำงานเป็นการลดภาระของเครื่องยนต์ มีส่วนให้ประหยัดน้ำมัน ได้มากขึ้น

     

    3. ขั้วกราวน์ของกล่องคอมพิวเตอร์ เป็นศูนย์รวมของกระแสลบที่จะต่อเข้าเซนเซอร์ต่างๆ เช่น กล่องควบคุมเครื่องยนต์
    , หัวฉีด , คอยล์ , จานจ่าย ,ปั้มน้ำมัน,เซนเซอร์เครื่องยนต์ ฯลฯ ส่วนใหญ่ ่ทุกเครื่องยนต์จะมีสายรวมกราวน์ที่ออกมา จากกล่องคอมพิวเตอร์ เป็นชุดสายไฟยึดลงกราวน์รวมไว้ที่เครื่องโดยอาศัยโลหะตัวเครื่องเป็นตัวส่งกระแสไฟ แต่ตัวเครื่องยนต์นั้นประกอบด้วยโลหะหลายชนิด รวมกันทำให้เกิดความต้านทาน ดังนั้นการต่อไฟตรงจะทำให้กล่อง และเซ็นเซอร์ต่างๆ ควบคุมทำงาน ได้เต็มที่ เครื่องยนต์เดินราบเรียบขึ้น อัตราเร่งดีขึ้น

    4. สายกราวน์รวมของตัวถังรถยนต์ สังเกตุว่าโรงงานจะอาศัยตัวถังรถยนต์ที่เป็นเหล็กเป็นส่วนนำไฟฟ้า แต่เนื่องจาก เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ จะมีความต้านทานมากสูญเสียพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นจึงควรมองหา สายดินรวมของตัวถังรถยนต์ ส่วนใหญ่แล้วมักต้องไล่ดูจากชุดสายไฟ จะทำให้ระบบไฟต่างๆ ในรถยนต์ ทำงานดีขึ้น เช่นไฟหน้าสว่างขึ้น พัดลมไฟฟ้าทำงานแรงขึ้น และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    5. สายดินของเครื่องยนต์ แถวๆไดสตาร์ทจะทำให้รถสตาร์ทติดได้ง่ายขึ้น

    6. อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องเสียง เพาเวอร์แอมป์ ที่เพิ่มเข้าไปจะทำให้ทุกอย่าง ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • เปิดตำนาน “เส้นขอบฟ้า” SKYLINE GT-R

    2 Min Read

    เปิดตำนาน “เส้นขอบฟ้า” SKYLINE GT-R

    ถ้าจะพูดกันถึงรถสปอร์ตจากแดนอาทิตย์อุทัยที่เหล่าบรรดาขาซิ่งในบ้านเราหลายท่านใฝ่ฝันที่จะได้เข้าไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัย นั่นก็คือ NISSAN SKYLINE เป็นรถสายพันธุ์สปอร์ตอีกหนึ่งรุ่นที่มีเส้นสายสวยงามลงตัว รวมไปถึงเรื่องของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนอันมีเสน่ห์ ที่เมื่อได้ยินเสียก็สามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าก๊อตซิล่ามาแล้ว ในคอลัมน์นี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ GT-Rกันแบบทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นกำเนิดจนถึงรุ่นล่าสุดในปัจจุบันกันเลยทีเดียว

    Prince Skyline 1957บริษัทรถยนต์ขนาด เล็กของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองชื่อ Prince MotorCompany (ชื่อดั้งเดิมของบริษัทนี้คือ Tachikawa Aircraft Company)ก่อนหน้าที่จะเข้าควบรวมกิจการกับบริษัท Datson และแปลเปลี่ยนชื่อมาเป็นNissan ในภายหลังเป็นผู้ให้กำเนิดต้นตระกูลของรถ Skyline ในปี คศ 1966ซึ่งมันยังคงเป็นรถสี่ประตูระดับบนสุดคันแรกของ Prince Motor Companyในยุค1957นั้นรถยนต์ทั่วๆไปยังคงมีเครื่องยนต์ที่มีกำลังไม่มากนักและวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้แค่ 120กิโลเมตรเป็นส่วนใหญ่ แต่รถ Prince Skylineสามารทำความเร็วได้ถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากต้นตระกูลของ Skyline คันนี้มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กแค่ 1482 c.c.สี่สูบและมีแรงม้าเพียงน้อยนิดแค่ 60 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100กิโลเมตรใช้เวลาไปถึง 15.0 วินาที

    Prince Skyline Sport Coupe 1962ดีเอนเอของ Skyline รุ่นแรกปี 1957ถูกส่งต่อมายังรุ่นที่สองโดยใช้มันสมองของ Car Designer ระดับโลกอย่างMichelotti ซึ่งทำให้รถรุ่นที่สองนี้มีกลิ่นไอรวมถึงรูปทรงแบบคูเป้ของรถยนต์จากอิตาลีผสมผสานอยู่ Prince Skyline Sport Coupe ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยและผลิตในจำนวนจำกัดแค่ 200คันเท่านั้นความสวยงามของรูปทรงแบบรถสองประตูคูเป้และสมถนะที่ดีขึ้นทำให้มันได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น เครื่องยนต์มีความจุเพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก 1482 c.c.มาเป็น1862 c.c. สี่สูบ 94 แรงม้าโดยยังคงอัตราเร่งเดิมที่ 0-100 กิโลเมตรใน15วินาที

    Prince Skyline 2000 Gt S54 1964เจเนอรเรชั่นที่สามของ Skylineกลับมาใช้รูปแบบของรถยนต์สี่ประตูเหมือนกับรุ่นแรกอีกครั้งนอกจากจะเป็นรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปแล้วมันยังถูกนำไปใช้แข่งขันในสนามแข่งรถยนต์ทางเรียบประเภท Gt ของทีมแข่งในญี่ปุ่นอีกด้วยความแรงของเครื่องยนต์ทำให้มันสามารถกำชัยชนะเหนือรถยนต์จากยุโรปบางค่ายได้จากเครื่องยนต์ที่มีความจุและจำนวนกระบอกสูบเพิ่มขึ้น Skyline 2000 Gt S54ทุกคันติดตั้งเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงขนาด1988 c.c. 162 แรงม้าเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 9.0 วินาที

    Nissan Skyline 2000 Gt-r C10 1969สายเลือดของรถแข่งเริ่มส่งต่อมายัง Skyline 2000 Gt-r C10 ในรุ่นที่สี่และจากการเข้าควบรวมกิจการระหว่าง Nissan กับ Prince Motor Company ในปี1966ทำให้มันกลายไปเป็นรถแข่งชั้นดีที่สามารถใช้แข่งขันได้ทั้งในสนามแข่งรถรวมถึงการแข่งขันแบบแรลลี่ทั่วโลก ถ้วยรางวัลชนะเลิศกว่า 50 ใบเป็นเครื่องมือการันตีประสิทธิภาพของตัวรถได้เป็นอย่างดีวัยรุ่นของญี่ปุ่นที่ชื่นชอบในความเร็วต่างพากันซื้อรถรุ่นนี้และมักจะนำออกมาขับแข่งขันบนท้องถนนในยามค่ำคืนจนเกิดเป็นที่มาของคำว่า Mid NightRacingซึ่งต่อมากลายเป็นจุดศูนย์รวมของพวกบ้าความเร็วที่มักจะรวมตัวกันในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์และพากันตระเวนไปทั่วบนท้องถนนของกรุงโตเกียว 2000 Gt-r C10วางเครื่องยนต์ตัวแรงหกสูบ 1998 c.c. สร้างแรงม้าได้ 160 แรงและมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 8.2วินาทีในเครื่องยนต์เดิมๆจากโรงงานที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับแต่งเพื่อเพิ่ม

    Nissan Skyline 2000 Gt-r 1973อนุกรมของรถ Skyline ถูกส่งต่อมายังรุ่น 2000 Gt-rซึ่งเป็นรถรุ่นที่ห้าของตระกูลโดยการเริ่มต้นนำไฟท้ายแบบทรงกลมสองดวงมาใช้(หรือมักนิยมเรียกขานกันในหมู่นักเลงรถว่า ไฟโดนัท)ต่อมาไฟท้ายแบบนี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ Skyline ทุกรุ่นในยุค 1973จวบจนมาถึงปัจจุบันนี้และจากสภาวะการณ์น้ำมันในตลาดโลกที่มีราคาสูงขึ้นมากกว่าความเป็นจริงในขณะนั้นทำให้ 2000 Gt-r 1973ต้องประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถทำตลาดในเป้าหมายที่วางไว้ได้หลายๆบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องพบกับความตกต่ำของเศรษฐกิจโลกจนเกิดสภาวะที่ซบเซาไปทั่ว Skyline 2000 Gt-r 1973มีเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบขนาดความจุ 1998 c.c. Dohcพร้อมติดตั้งคาร์บูเรเตอร์สามตัว อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรใน 8.3 วินาที

    Nissan Skyline 2000 Gt 1977สายพันธุ์แห่งความแรงรุ่นที่หกของรถ Skyline ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1977ปีที่สภาวะการของราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลงทำให้ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกดีขึ้นวิศวกรของ Nissanจึงได้นำเอาระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบมาใส่ไว้ในเครื่องยนต์ของ Skyline 2000Gt 1977 เพื่อเพิ่มเติมพละกำลังแต่การขับขี่และควบคุมตัวรถกลับทำได้ด้อยลงกว่ารุ่น C10และการออกแบบที่ดูแย่กว่ารุ่น 2000 Gt-r 1973ถึงแม้ว่ามันจะมีการตกแต่งภายในที่ดูดีกว่า Skyline ทุกรุ่นที่ Nissanเคยผลิตออกมาก็ตาม Skyline 2000 Gt 1977ในรุ่นที่หกนี้มีพละกำลังที่ได้มาจากเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบความจุ 1998c.c. เทอร์โบซึ่งดูแล้วน่าจะมีกำลังที่แรงกว่าทุกรุ่นแต่กลับกลายเป็นว่ามันมีแรงม้าเพียงแค่ 130 ตัวเท่านั้น ทำให้ตัวรถที่มีน้ำหนักประมาณ 1100กิโลกรัมอืดอาดและไม่คล่องตัวเท่ากับรุ่นพี่ที่เคยทำมาตรฐานด้านอัตราเร่งแซงและความเร็วสูงสุดเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมากที่สุดของเหล่าบรรดาสาวก Skyline

    Nissan Skyline Rs Turbo 1983 (R 31)เจ้าปีศาจไฟโดนัทรุ่นที่เจ็ดเปิดมิติใหม่ของเครื่องยนต์ติดเทอร์โบพลังแรงสูงใน ยุคนั้นให้ผู้คนได้ตื่นตะลึงในความแรงของตัวรถและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าผู้บริหารรวมถึงบรรดาวิศวกรเครื่องยนต์ของNissan ทำการเปิดแผนก Motor Sport เล็กๆขึ้นภายในบริษัทโดยใช้ชื่อว่าNismoซึ่งต่อมาจะกลายสภาพมาเป็นสำนักงานที่ทำเครื่องยนต์และอุปกรณ์ตกแต่งเพื่อเพิ่มแรงม้าให้กับผู้ใช้รถยนต์ Nissan ที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆของวงการMotor Sport ระดับโลก Skyline Rs Turbo 1983หันกลับมาใช้เครื่องยนต์สี่สูบความจุ 1990 c.c. เทอร์โบโดยมีแรงม้ามากถึง202 แรงม้า และมีอัตราเร่งที่ทำเอา Porsche 911รถสปอร์ตจากแดนกางเขนเหล็กที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแรงของยุค 80ต้องเกิดอาการหนาวๆร้อนๆจากอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรของ Skyline Rs Turboที่ทำเวลาได้เพียง 7.5 วินาทีเท่านั้น

    Nissan Skyline Gt-r 1989 (R 32)ตำแหน่งชนะเลิศทุกรายการในปี 1989 ของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Jtcc (JapaneseTouring Car Championship) ของ Skyline R32ได้มาจากเทคโนโลยีของเครื่องยนต์และตัวรถที่พัฒนาโดยสำนักแต่ง Nismoพ่อมดผู้เสกเป่าความแรงให้กับ Gt-r R32นอกจากนั้นมันยังถูกนำไปแข่งในประเภททางตรงจับเวลาแบบควอเตอร์ไมล์อีกด้วยR32ยังมีระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเพื่อสร้างแรงยึดเกาะกับผิวถนนยามวิ่งด้วยความเร็วสูง เครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นใหม่รหัส RB 26 Dettรวมไปถึงกลีบใบพัดของเทอร์โบที่ทำจากวัสดุเซรามิคเพื่อให้คงทนต่อความร้อนยามใช้งานในรอบเครื่องยนต์สูงๆบนสนามแข่งขัน รถรุ่น R32 1989กลับมาใช้เครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบ 2568 c.c. ทวินเทอร์โบ(เทอร์โบสองตัวที่ทำงานต่างกันโดยตัวแรกจะเริ่มทำงานในรอบเครื่องต่ำและตัวที่สองจะทำงานในรอบเครื่องที่สูงขึ้นทำให้มีอัตราเร่งแบบต่อเนื่องดีขึ้นมาก)ได้แรงม้าจากโรงงานโดยยังไม่ผ่านการโมดิฟายถึง 280ตัวสูงสุดตามกฏหมายของญี่ปุ่นซึ่งมีอัตราเร่งที่ชวนให้ขนหัวลุก 0-100กิโลเมตรเพียง 4.7 วินาทีเท่านั้น

    Nissan Skyline Gt-r 1995 (R33)สายพันธุ์อสูรร้ายในโมเดลที่เก้า ถูกผลิตขึ้นมาเมื่อปี 1995R33เป็นรถที่ถูกปรับแต่งเพื่อเพิ่มเติมพละกำลังให้ถึงขีดสุดในรุ่น V-Specที่สามารถวิ่งได้เร็วถึง 200 ไมล์ต่อชั่วโมงรวมถึงรุ่นพิเศษ 400 Rซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่าสาวก Skyline เนื่องจากมันมีแรงม้าถึง 400แรงม้าจากการปรับจูนเครื่องยนต์ของช่างผู้ชำนาญงานจาก Nissan รถ SkylineR33เป็นที่นิยมมากในบรรดาวัยรุ่นที่ชอบรถสปอร์ตเครื่องแรงและพวกชอบแข่งรถทางตรงแบบจับเวลาควอเตอร์ไมล์เครื่องยนต์ของรุ่นนี้ยังคงเป็นเครื่องหกสูบแถวเรียงรหัส RB26 Dett 2568c.c.ทวินเทอร์โบที่ถูกปรับปรุงกลไกภายในให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่ามีม้าคับคั่งขึ้นถึง 300แรงม้าส่วนอัตราเร่งและความเร็วสุงสุดยังคงใกล้เคียงกับตัวเก่า (R32)

    Nissan Skyline Gt-r 1999 (R34)เจเนอร์เรชั่นที่สิบของตระกูล Gt-r เกิดขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิตอลในยุค2000 R34 ทุกคันติดตั้งจอแสดงผลแบบ Lcdที่สามารถแสดงข้อมูลของเครื่องยนต์และตัวรถในขณะขับใช้งานได้ถึง 7 แบบส่วนรุ่น V-Spec มีโครงรถผสมกันระหว่างคาร์บอนไฟเบอร์อลูมินัมและเหล็กกล้าฝากระโปรงหน้าทำจากอลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักจึงนับได้ว่ารถรุ่นนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมาก นักเลงรถ Skyline บางคนถึงกับยกให้มันเป็นรถSkyline Gt-r ที่มีรูปทรงสวยงามอมตะและคงความคลาสสิกตลอดกาล R34 Gt-rวางเครื่องยนต์แถวเรียงหกสูบขนาด 2568 c.c.ทวินเทอร์โบ 330แรงม้า เร่งจาก0-100 กิโลเมตรภายในเวลาแค่ 4.5 วินาทีเท่านั้น

    Nissan Gt-r R35 2008หลังจากเสียงก่นด่าของเหล่าบรรดาผู้สื่อข่าวสายรถยนต์ทั่วโลกจากนักทดสอบและวิจารณ์รถยนต์รวมถึงบรรดาสาวกผู้ภักดีของ Gt-r ที่มีต่อ Skyline V35ทำให้ไปกระตุ้นต่อมสมองของผู้บริหาร Nissan ว่าสิ่งที่กระทำลงไปในตัวรถV35 นั้นเหมือนกับการไปทำลายตำนานแห่งความแรงที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของ Gt-rเสียจนแทบสูญสิ้นไปจากความทรงจำและประวัติศาสตร์ของบริษัทรวมไปถึงยอดการขายรถยนต์แบบสปอตร์สองประตูรุ่นสูงสุดของค่ายที่มีตัวเลขหดหายลงไปจนน่าตกใจและส่งแรงสั่นสะเทือนจนไปถึง Carlos Ghosnซึ่งรับหน้าที่เป็นซีอีโอของค่ายเห็นถึงความตกต่ำของรุ่น V35 นายใหญ่ของNissan จึงสั่งการไปยังพลพรรควิศวกรชั้นหัวกระทิของสำนัก Nismoทำการออกแบบและสร้าง Gt-r รุ่นใหม่ล่าสุดให้ออกมาดีกว่าทุกๆรุ่นที่ Nissanเคยสร้างไว้ Gt-r R35 กลับมาเกิดใหม่ด้วยรูปทรงที่ยังคงเอกลักษณ์ของSkyline Gt-r ไว้แทบทั้งหมดไฟท้ายแบบโดนัทก็ยังถูกนำกลับมาใช้เหมือนเดิมหลังจากเสียภาพลักษณ์ไปในรุ่นV35 รวมถึงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อที่ขึ้นชื่อเรื่องการเกาะถนนเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงทวินเทอร์โบรหัส RB26Dettที่มีการพัฒนาจนถึงขีดสุดแล้วในรุ่น R34 ถูกเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์วี 6ทวินเทอร์โบความจุ 3799 c.c. 24 วาว์ล 473แรงม้าที่ 6400 รอบต่อนาทีและมีอัตราเร่งชวนขนหัวลุก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.6 วินาทีแรงเสียจนซุปเปอร์คาร์ในยุคนี้อย่าง Porsche 911 Gt-2, Ferrari599 Gtb,หรือแม้กระทั่ง Lamborghini Lp640ยังต้องหวั่นเกรงในอัตราเร่งและแรงม้าอันท่วมท้นของ Gt-r R35


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • SUPERCHARGER VS TURBO ความเจ๋งที่แตกต่าง…?

    1 Min Read

    SUPERCHARGER VS TURBO ความเจ๋งที่แตกต่าง…?

    ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องราวของความแรง ก็คงจะมีอะไรให้ได้พูดคุยกันแบบยาวๆกันเลยทีเดียว ว่าแล้วเราก็ค่อยๆมาคุยกันที่ละเรื่องจะดีกว่า ว่าใครชอบอะไรแบบไหน แตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะได้เก็บเอาไว้ให้ลูกๆหลานๆยุคหลังได้ศึกษาหาความรู้กัน สำหรับในคอลัมน์นี้จะพาไปดูสารตั้งต้นของความแรงซึ่งก็จะแบ่งกันให้เห็นสองชนิดของสารตั้งต้นความแรง นั่นก็คือ ซุปเปอร์ชาร์จกับเทอร์โบชาร์จ ในคอลัมน์นี้จะพาไปดูรายละเอียดว่าการทำงานของสองชนิดนี้มันทำงานอย่างไร และแบบไหนจะดีกว่ากัน

    SUPERCHARGER คือระบบอัดอากาศอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำหน้าที่เหมือนกับเทอร์โบ แต่แตกต่างตรงที่หลักการทำงานและรูปร่างหน้าตาเพียงเท่านั้น ซึ่ง ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ จะถูกออกแบบมาในลักษณะที่ดูเป็นส่วนประกอบที่กลมกลืนกับเครื่องยนต์และถูกติดตั้งบนตัวเครื่องยนต์ มีช่องทางเพื่อรับอากาศเข้า และทางออกเพื่อส่งอากาศที่ถูกอัดเพิ่มอย่างมหาศาลแล้วลำเลียงผ่านท่อทางเดินผ่านลิ้นปีกผีเสื้อเข้าสู่ห้องเผาไหม้ เพื่อไปใช้ในการจุดระเบิด

    TURBO CHARGER คือระบบอัดอากาศที่มีหน้าตาคล้ายๆก้นหอย โดยที่ช่องทาง อากาศเข้า ไอเสียเข้า อากาศที่ถูกอัดเพิ่มแรงออก ไอเสียที่ใช้งานออก แล้วมีแกนใบพัดที่ถูกติดตั้งทั้งในโข่งหน้าและโข่งหลังบนแกนเดียวกัน เพื่อเป็นการปั่นพลังสร้างแรงลมเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ให้กับเครื่องยนต์ เพื่อใช้เพิ่มแรงในการจุดระเบิดได้มากขึ้น

    SUPERCHARGER มีหลักการทำงานที่แตกต่างจาก TURBO CHARGER คือ ซุปเปอร์ชาร์จจะสร้างแรงลมเพื่ออัดอากาสเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยการใช้สายพานลากกำลังมาจากมู่เล่ย์ ข้อเหวี่ยงหน้าเครื่อง (เหมือนกับสายพานไดร์ชาร์จและคอมเพรสเซอร์แอร์) เพื่อมาหมุนระบบการทำงานภายใน ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ เพื่อสร้างแรงลม จากนั้นอากาศที่ถูกสร้างก็จะลำเลียงเดินทางผ่านอินเตอร์คูลเลอร์ตามลำดับ เพื่อส่งเข้าสู่ห้องเผาไหม้

    ซึ่งระบบ ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ จะแตกต่างจาก เทอร์โบชาร์จเจอร์ อย่างชัดเจนคือ เทอร์โบชาร์จ ใช้ไอเสียมาปั่นแกนใบพัดเพื่อสร้างแรงดันอากาศ ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ ใช้กำลังจำเครื่องยนต์ผ่านสายพานหน้าเครื่อง มาใช้ในการขับเคลื่อนระบบกลไกในตัว ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ เพื่อสร้างแรงดันอากาศ

    TURBO  CHARGER มีหลักการทำงานคือ ระบบเทอร์โบจะใช้ไอเสียที่ผ่านการเผาไหม้เข้ามาเป็นแรงลมในการขับเคลื่อนใบพัดโข่งหลัง จากนั้นที่โข่งหน้าจะเป็นช่องทางที่รับอากาศเข้า การทำงานของตัวเทอร์โบชาร์จ จะใช้ไอเสียเข้ามาปั่นโข่งหลังเพื่อให้แกนใบพัดที่โข่งหน้าหมุนตาม เพื่อสร้างแรงดันและดึงอากาศที่เป็นไอดีจากฝั่งขาเข้า แล้วอัดอากาศให้มีปริมาณที่มากขึ้น จากนั้นอากาศจะถูกลำเลียงผ่านท่อทางเดิน โดยกลางทางจะผ่านอุปกรณ์ที่ป้องกันการเสียหายของเทอร์โบ ที่เรียกว่าโบว์อ๊อฟวาล์ว จากนั้นอากาศที่ถูกเพิ่มแรงดันก็จะเดินทางผ่านเข้าไปยังลิ้นปีกผีเสื้อ เข้าสู่ท่อร่วมไอดีแล้วถูกส่งเข้าสู่ห้องเผาไหม้เพื่อใช้ในการจุดระเบิด จากนั้นอากาศที่ถูกผลักเข้าไปก็จคายออกมาในรูปแบบของไอเสีย ซึ่งไอเสียเหล่านั้นจะถูกวนกลับมาใช้งานในการปั่นที่โข่งหลังต่อ ส่วนไอเสียส่วนเกินก็จะถูกส่งออกมาทางท่อไอเสียท้ายรถเรา และนี่ก็คือวงจรการทำงานของTURBO CHARER

    ในส่วนของข้อดีและข้อเสียก็คงจะแตกต่างกันออกไปอยู่ที่ความชอบของแต่ละคน ซุปเปอร์ชาร์จ มาตั้งแต่กดคันเร่งแต่ต้องดึงกำลังจากเครื่องยนต์มาสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับตัวเอง ส่วนเทอร์โบ รอรอบแต่พอติดบูสท์แล้วดึงสนุกอย่าบอกใครเลยทีเดียว

    ก็ฝากกันเอาไว้ด้วยครับกับเรื่องราวของการปรับแต่งโมดิฟายรถ ใครชอบแบบไหนก็จัดกันไป ที่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องขับขี่กันอย่างมีสติ และไม่ประมาทนะครับ ด้วยความห่วงใยจากทีมงาน REALTIME CAR MAGAZINE


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • สอบใบขับขี่ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง

    1 Min Read

    สอบใบขับขี่ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง

    สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับในช่วงนี้มีการใช้รถยนต์บนท้องถนนเริ่มมีมากขึ้น แน่นอนว่า มีทั้งผู้ที่เรียนเองจากบุคคลที่ขับขี่ได้อยู่แล้ว หรือไปเรียนตามโรงเรียนสอนขับรถสถานที่ต่างๆ แต่แน่นอน ไม่ว่าจะเรียนจากใครมา ทุกคนย่อมต้องทำให้ถูกกฎหมายเช่นกัน นั่นคือการทำใบขับขี่ และในวันนี้ทีมงานRealtime จะขอเสนอเรื่องการเตรียมตัวสำหรับการสอบเพื่อรับใบขับขี่ จะต้องเตรียมและปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ

    การจองคิวเพื่อสอบ

    1.จองด้วยตนเองที่กรมการขนส่งทางบก

    2.จองผ่านการโทรศัพท์ 02-2718888 หรือ 1584

    3.จองผ่านระบบออลไลน์ ebooking.dlt.go.th/ebooking หรือสำหรับในส่วนภูมิภาค จะมีสำนักงานขนส่งประจำจังหวัด ทุกจังหวัด สามารถดูและเช็กเบอร์โทร. ติดต่อได้ที่ dlt.go.th

    หลักฐานที่ต้องเตรียม   

    1.บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง

    2.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  1  ใบ

    3.ใบรับรองแพทย์ อายุใบรับรองไม่เกิน 1 เดือน

    4.ใบรับรองการอบรม(กรณีทำการอบรมเอกชนที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก)

    การสอบข้อเขียน

    ต้องสอบผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 90 % หากไม่ผ่านต้องมาทำการสอบใหม่ในเวลาที่กำหนดไม่เกิน 90 วัน

     

    เข้าการอบรมการใช้รถใช้ถนนและจิตสำนึกการใช้รถใช้ถนน

    หากมีใบรับรองการสอบจากที่อื่นมาแล้วสามารถเข้าสู่สอบภาคปฏิบัติได้เลย แต่หากในแบบปกติต้องเข้าอบรมรวมเวลาทั้งหมด 5 ชั่วโมง

    การสอบภาคปฏิบัติ

    กรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้ทั้งหมด 3 การทดสอบ

     

    1.การทดสอบเดินหน้าถอยหลัง การขับรถเดินหน้าถอยหลังโดยไม่ให้ชน

     

    2.ขับรถเดินหน้าและหยุดรถทางเทียบเท้า ด้านซ้ายของรถห่างจากขอบทางไม่เกินและจอดให้ล้อหน้าและล้อหลังทับเส้นที่กำหนด กันชนหน้ารถห่างจากเส้นหยุดไม่เกิน 1 เมตร

     

    3.ขับรถเข้าซองจุดจอดที่กำหนด ขับรถถอยหลังเข้าจอดและออกจากช่องว่างด้านซ้าย ต้องไม่ชนหรือเบียดเสาในพื้นที่ และเปลี่ยนเกียร์ได้ไม่เกิน 7 ครั้ง

    ชำระค่าธรรมเนียมและถ่ายรูปติดบัตร

    ค่าคำขอ 5 บาท ค่าใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 200 บาท ค่าซองของใบขับขี่(ขอไม่รับก็ได้) 100 รวมทั้งหมด 305 บาท

     

    กรณีบัตรหายควรทำอย่างไร

    1.เตรียมตัวจริงของ บัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน พร้อมด้วยสำเนาอย่างละ 1 ชุด

    2.เดินทางไปติดต่อที่กรมการขนส่งทางบกใกล้บ้าน

    3.ติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์พร้อมแจ้งความประสงค์ต้องการทำบัตรใหม่กรณีบัตรหาย แล้วเจ้าหน้าที่จะให้เขียนใบคำร้อง พร้อมแนบสำเนา รับบัตรคิว

    4.เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล เมื่อข้อมูลตรงและถูกต้องเตรียมการทำบัตรใหม่

    5.เสียค่าธรรมเนียมบัตร 250 และอีก 5 บาท ค่าใบคำร้อง

     

    รู้อย่างนี้แล้ว ก็เตรียมตัวเตรียมเอกสารกันไปให้พร้อมนะครับ ถ้าไปแล้วลืมเอกสารจะทำให้เสียเวลากันไปอีก ต่อไปจะพบกับคอลัมน์อะไรรอติดตามกันได้เลยครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ไฟตัดหมอก มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

    1 Min Read

    ไฟตัดหมอก มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

    เมื่อพูดถึงไฟตัดหมอกในรถแบรนด์ต่างๆที่ออกมาเรื่อยๆในปัจจุบันก็มีติดมากับตัวรถแทบทุกคัน หลายๆท่านอาจจะได้ใช้มากน้อยต่างกันแน่นอน แต่จะมีใครสงสัยบ้างว่าไฟตัดหมอกควรใช้สถานการณ์ใดช่วงใด เรามาร่วมหาคำตอบกันได้ในคอลัมน์นี้

    ไฟตัดหมอก เป็นโคมไฟที่ติดมากับรถสมัยใหม่หลายๆแบรนด์เกือบทุกคันซึ่งหลอดไฟนั้นเป็นเสมือนไฟสปอร์ตไลท์ย่อส่วนที่ขนาด 55 วัตต์ความสว่างก็คล้ายๆกับไฟสปอร์ตไลท์ที่จะช่วยในการมองเห็นมากขึ้นในสถานการณ์ที่ควรจะเป็นดังนี้

             บริเวณที่มีหมอกหนา ที่ทำให้ทัศนวิสัยของท่านย่ำแย่ในการขับท่านก็จะสามารถเปิดไฟตัดหมอกได้เพราะช่วยให้มองเห็นดีขึ้นช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้และยังช่วยให้รถที่ขับสวนมาเห็นได้ชัด

             บริเวณฝนตกหนัก ในช่วงที่ในฝนตกหนักมากที่จะทำให้ทัศนวิสัยแย่มากๆ มองถนนไม่ชัดการที่เปิดไฟตัดหมอกช่วยทำให้ท่านสามารถมองเห็นได้ดีขึ้นโดยไฟตัดหมอกจะช่วยกระจายแสงนั่นเอง

             บริเวณที่มีกลุ่มควัน ไม่ว่าควันนั้นเกิดจากการเผา หรือไฟไหม้ป่าที่ทำให้ปิดกั้นทัศนวิสัยที่ทำให้เห็นทางในระยะที่น้อยมากๆ ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกได้ แต่เมื่อผ่านบริเวณนั้นควรปิดทันที

             บริเวณที่ฝนหยุดตกใหม่ๆ อาจจะมีน้ำขังและถนนลื่นอยู่ เมื่อได้ลองเปิดไฟดูอาจจะพบว่าไม่สว่างเท่าที่ควร ทั้งนี้ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกได้ตามความเหมาะสม

    ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์คร่าวๆที่ทุกท่านอาจจะได้พบเจอ ที่จะต้องใช้ไฟตัดหมอกแต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพิจารณาและความเหมาะสมของตัวท่านเอง เพราะถ้าเปิดในสถานการณ์ที่ไม่สมควรอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นและผิดกฎหมายได้ จึงควรใช้กันอย่างระมัดระวังด้วย


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • FLUSH STYLE มันเป็นยังไงไปดูกัน

    1 Min Read

    FLUSH STYLE มันเป็นยังไงไปดูกัน

    รูปแบบและแนวทางการปรับแต่งรถในบ้านเรา ยังคงพัฒนากันอยู่ตลอด ส่วนใครจะหันเหไปทางไหนนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนแหละครับ จะสวย จะแรง จะสูงหรือจะเตี้ยก็สุดแล้วแต่ความชอบครับ แต่สำหรับในคอลัมน์นี้จะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับแนวการแต่งรถเทห์ๆอีกหนึ่งแนว เรียกว่าขับไปไหนมาไหนเนี่ย สาวๆต้องเหลียวหลังกันอย่างแน่นอน ซึ่งก็คือการแต่งรถในแนว FLUSH STYLE ไปดูกันครับว่า FLUSH STYLE มีแบบไหนบ้างและเค้าแต่งกันอย่างไร

              FLUSH STYLE เป็นการแต่งรถสไตล์ FLUSH จะเน้นที่การจัดวางล้อ หรือ STANT N’FITMENT ให้พอดีกับตัวถังโดยไม่ยื่นออกมานอกซุ้มล้อ ซึ่งแตกออกมาได้หลายแบบขึ้นอยู่กับขนาดและอ๊อฟเซ็ทของล้อแม็กซ์ ขนาดยาง ความเตี้ยของตัวรถ ไปจนถึงมุมองศาของล้อที่ทำการ FITMENT ที่แตกต่างกัน

    การแต่งรถแนว FLUSH คือการใช้ล้อหน้ากว้างบวกกับยางหน้าแคบ หรือที่เรียกกันว่า “ล้อกว้าง ยางดึง” ซึ่งทำให้ขอบแม็กซ์ล้นออกมาเลยขอบยาง แล้วทำการโหลดให้ขอบยางด้านนอกลงมาเฉียดกับซุ้มล้อด้านใน โดยการปรับองศาล้อ หรือ มุมแคมเบอร์ช่วย

    – HELLA FLUSH จะเป็นการแต่งที่นิยมมากที่สุดในกลุ่ม FLUSH ซึ่งจะโหลดกับล้อหน้ากว้างมากๆรัดด้วยยางหน้าแคบ แล้วโหลดลงมาให้เตี้ยจนยางเบียดกับซุ้มล้อให้มากที่สุด โดยใช้การแบะล้อช่วยในกรณีที่ล้อยื่นออกมานอกรถ (ยิ่งเฉียด ยิ่งแบะ ยิ่งเท่)

    – HELLA FAIL  จะเป็นการโหลดคล้ายๆกับ HELLA FLUSH แต่จะแบะล้อให้เอียงมากกว่า ไปจนถึงเอียงแบบสุดๆ บางงคันโหลดจนดูเหมือนจะแบนราบไปกับพื้นเลยทีเดียว แบบนี้จะนิยมทำกันเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

    – MAXI FLUSH คือการใส่ล้อผิดออฟเซ็ทเข้ากับยางหน้ากว้างและทำให้ล้อยื่นออกมานอกตัวถัง ทำให้ไม่สามารถ FITMENT ได้ ซึ่งการโหลดลักษณะนี้ที่จริงและไม่ถือว่าเป็นสไตล์ FLUSHแต่จะออกแนวรถแดร็ก หรือพวกแต่งแนว RETRO มากกว่า

    ส่วนพวกที่โหลดโดยใส่ล้อที่มีความสูงและออฟเซ็ทเท่าขนาดแสตนดาร์ด (STORCK) และไม่มีการปรับองศาล้อแต่อย่างใดนั้น แบ่งออกเป็นการโหลดแบบ DROPPED ซึ่งคือการโหลดด้วยสปริงค์โหลด แบบนี้ตัวรถจะเตี้ยลงมาเล็กน้อยประมาณ 1.5 – 2 นิ้ว

    แบบโหลดด้วยโช้คอัพแบบสตรัท ซึ่งโหลดลงมาให้เตี้ยกว่าแบบแรกแต่ไม่มากนัก ซุ้มล้อจะปริ่มขอบยางเล็กน้อย แบบนี้เรียกว่า (DROPPED) เช่นกัน แต่ถ้าปรับโหลดให้เตี้ยลงมาแบบสุดๆ จนซุ้มล้อลงมาระดับขอบแม็กซ์โดยที่มุมล้อยังตั้งตรงอยู่ แบบนี้จะเรียกว่า (SLAMMED)

    เป็นยังไงบ้างละครับสำหรับแนวนี้ บอกได้คำเดียวครับว่าสุด อาจจะขับลำบากไปบ้าง แต่ก็คงไม่เกินความสามารถของคนที่มีใจรักในการแต่งรถอย่างแน่นอน เพราะเมื่อได้ยินเสียงใต้ท้องขูนลูกละนาด มันช่างมีความสุขซะเหลือเกิน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ระบบเบรก ABS เป็นอย่างไร ทำไมถึงต้องมี

    1 Min Read

    ระบบเบรก ABS เป็นอย่างไร ทำไมถึงต้องมี

    รถยนต์เกือบทุกคันในสมัยนี้จะมีระบบเบรกที่ติดตัวรถมาเป็นพื้นฐานที่เรียกว่า ระบบ ABS(Anti-Lock Braking System) หรือเรียกง่ายๆว่าระบบป้องกันล้อล็อค ซึ่งต้องมีติดมากับรถเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน เพื่อป้องกันล้อรถของท่านล็อคจนเสียการควบคุมเราจะมาดูกันว่าทำไมควรมี และถ้ามีแล้วประโยชน์มากน้อยเพียงใด

    ระบบ ABS(Anti-Lock Braking System) เป็นระบบป้องกันล้อล็อกซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่รถทุกคันควรมี ระบบนี้คิดค้นขึ้นมาเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถแล้วเกิดการเบรกกะทันหันจนล้อรถเกิดอาการล็อคจนเสียการควบคุม นำมาซึ่งอุบัติเหตุ

    การทำงานหลักๆคือ เมื่อเราเบรกรถอย่างกะทันหัน เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบริเวณล้อรถทั้ง 4 ล้อ จะตรวจจับอัตราการหมุนของล้อแล้วส่งต่อไปยังกล่องประมวลผลแล้ววางคำสั่งไปยังปั๊มเบรกทำงานลักษณะเดียวกันกับตอนที่เราเหยียบเบรกแบบย้ำๆ ส่งผลให้ล้อยังหมุนอยู่ไม่เกิดการล็อกและทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ เพื่อลดอุบัติเหตุ

     

    ข้อแนะนำ

    1.อย่าตื่นตระหนก เมื่อเราเบรกกะทันหันระบบ ABS จะทำงานทำให้เสียงดังมากๆและแป้นเบรกสั่นสะเทือนจนสามารถทำให้ตกใจได้

    2.ห้ามถอนเท้าจากแป้นเบรกเด็ดขาด ขณะที่ระบบ ABS ทำงานควรควบคุมน้ำหนักของแป้นเบรกไว้ห้ามผ่อนลงเด็ดขาดเพราะจะทำให้เป็นการยกเลิกระบบ ABS และเมื่อเหยียบอีกครั้งระบบเบรกจะทำงานใหม่ ทำให้เสียการควบคุมได้

    3.ระบบ  ABS ไม่เหมาะกับเส้นทางที่มีลักษณะพื้นผิวร่วนซุย อย่างเช่น ทางลูกรัง ทางที่มีเม็ดกรวดหรือเม็ดทราย โคลนเป็นต้น จะส่งผลให้มีระยะเบรกที่ไกลกว่าปกติเมื่อเทียบกับถนนธรรมดา

    จากเกร็ดความรู้ในคอลัมน์นี้หวังว่าทุกท่านจะได้นำไปใช้ในชีวิตจริงเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เพราะจากสถิติในแต่ละปี ประเทศไทยเป็นลำดับต้นๆของโลกที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนท้องถนน แต่เมื่อท่านได้ความรู้จากคอลัมน์นี้และไปปฏิบัติตาม จะช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างแน่นอน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • WASTEGATE…คืออะไรทำไมเค้าติดกัน..?

    1 Min Read

    WASTEGATE…คืออะไรทำไมเค้าติดกัน..?

    สำหรับในคอลัมน์นี้เอาใจสายซิ่งกันซะหน่อย กับเรื่องราวเกร็ดความรู้เกี่ยวกับของแต่งอีกหนึ่งอย่างที่สาวกรถซิ่งติดหอย (TURBO)ต้องมี นั่นก็คือ เวสเกต เชื่อว่าหลายคนคงยังไม่รู้ว่าหน้าที่ของเวสเกตมีไว้ทำอะไร และเวสเกตนั้นมีกี่แบบ แล้วควรจะติดแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับการใช้งาน ในคอลัมน์นี้มีคำตอบให้ขาซิ่งได้ไขข้อข้องใจกันครับ

    เวสเกตคือ อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ทำงานควบคู่กับระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเทอร์โบทุกลูกนั้นไม่มีตัวควบคุมการทำงานคิดตามกันแบบง่ายๆก็คือ ตัวเทอร์โบไม่มีตัวควบคุมการทำงานนั้นเอง ซึ่งถ้าไม่มีการควบคุมปริมาณอากาศ ก็จะส่งผลให้เครื่องยนต์ไม่สามารถรองรับกับแรงบูสท์ได้นั่นเองผลที่ตามมาก็คือเครื่องพังนั่นแหละครับ เพราะเหตุผลนี้จึงต้องมี เวสเกตเข้ามาช่วย เวสเกตมีหน้าที่คุมอัตราการบูสท์ของเทอร์โบ ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมของการปรับจูนเครื่องยนต์ จะบูสท์มากหรือบูสท์น้อยก็สามารถปรับได้ที่ตัวเวสเกต หรือจะให้สะดวกก็ติดตั้งตัวปรับบูสท์เข้ามาปรับที่ภายในห้องโดยสาร

    เวสเกตมี2แบบ

    1. แบบกระป๋อง หรือที่เรียกกันติดปากว่าเวสเกตกระป๋องนั่นเอง เวสเกตชนิดนี้มักจะพบในรถสแตนดาร์ด ซึ่งจะมีหลักการทำงานไม่ซับซ้อน และมีขนาดเล็กไม่ใช้พื้นที่ในห้องเครื่องมากจนเกินไป ตำแหน่งในการติดตั้งจะติดอยู่กับตัวเทอร์โบ ซึ่งจะมีแกนต่อกับโข่งหลัง และมีสปริงที่ด้านในอัตราในการบูสท์ขึ้นอยู่กับค่าของสปริง

    1. แบบแยก หรือที่เรียกกันว่าเวสเกตแยกนั่นเอง เวสเกตแยกมีจำหน่ายอยู่มากมายหลากหลายยี่ห้อ มีให้เลือกทั้งของบ้านเราและของแบรนด์นอก อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่งบประมาณและความพอใจนั่นแหละครับ เวสเกตแยกจะมีขนาดใหญ่ซึ่งภายในจะมีสปริง วาล์ว และแผ่นไดอะแฟรม เป็นชุดกลไกลหลักในการทำงาน หลายคนนิยมติดตั้งกันก็เพราะไอ้เจ้าเวสเกตแยกเนี่ยมันมีท่อคายทิ้ง ซึ่งเมื่อติดบูสท์แล้วเสียงมันก็จะแซด…แซด….ลั่นๆหน่อย เป็นเสียงที่รถเทอร์โบนั้นขาดไม่ได้กันเลยทีเดียว แต่ในบางคันไม่อยากให้มีเสียงแซด…ก็สามารถที่จะต่อเข้าไปที่ท่อไอเสียได้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังและที่สำคัญคือช่วยให้การคายไอเสียเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เวสเกตแยกสามารถปรับตั้งอัตราการบูสท์ของเทอร์โบได้ด้วยการไขที่ด้านบนของเวสเกตแยกเพื่อไปกดสปริง ยิ่งกดให้สปริงแข็งยิ่งบูสท์เยอะ ยิ่งคายออกให้สปริงอ่อนยิ่งบูสท์น้อย หลักการก็มีกันอยู่เท่านี้แหละครับ

    รู้จักการทำงานของเวสเกตกันแล้วก็อย่าลืมเลือกใช้งานกันให้ถูกประเภทละครับ แต่ที่สำคัญ เมื่อแต่งรถให้สวยให้แรงกันแล้วก็นำไปวิ่งกันในสนามนะครับ อย่างออกมาแข่งขันกันบนท้องถนน เดี๋ยวชาวบ้านเค้าจะเดือดร้อน

      


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment