• START & STOP..!!..ให้ถูกวิธีช่วยยืดอายุรถคุณ

    1 Min Read

    START & STOP..!!..ให้ถูกวิธีช่วยยืดอายุรถคุณ

    st1

    เพราะว่ารถคือปัจจัยหนึ่งในการดำเนินชีวิต คอลัมน์เกร็ดความรู้จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องใช้รถในชีวิตประจำวัน แหม…..!!!เปิดมาก็เข้าข้างตัวเองกันเลยทีเดียว แต่มันก็คือเรื่องจริงนั่นแหละครับ เรื่องบางเรื่องเจออยู่ทุกวัน ทำอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่เคยรู้ว่าที่ทำอยู่นั้นมันผิดวิธี เพราะฉะนั้นถ้าได้อ่านคอลัมน์นี้แล้วก็คงจะไม่สายเกินไปอย่างแน่นอน ในยุคสมัยนี้เศรษฐกิจก็ยังคงไม่ค่อยจะสู้ดีมากนักจึงต้องดูแลรถคันโปรดให้มีค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดได้ก็จะดีมากครั[

    อย่างที่เกริ่นกันไปตั้งแต่ตอนต้นนั่นแหละครับ เรื่องบางเรื่องที่ทำกันอยู่ทุกวันโดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าไอ้ที่ทำอยู่เนี่ยมันผิดวิธี เหมือนอย่างที่เค้าว่ากันนั่นแหละครับว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าทำผิดวิธีเป็นเวลานานๆมันก็จะก่อให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกัน นั่นก็คือเรื่องของการสตาร์ทรถและการดับเครื่องรถนั่นเองครับ หลายคนอาจมองว่า ก็แค่สตาร์ทรถและดับเครื่องทำไมต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย จริงๆแล้วบอกได้เลยครับว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญประมาณนึงเลยแหละครับ จริงๆแล้วมันก็คงไม่ต่างกับเวลาเราลุกขึ้นจากที่นอนแล้ววิ่งทันที มันก็จะงงๆมึนๆหน่อยใช่มั้ยละครับ เปรียบเทียบซะเห็นภาพกันเลยทีเดียว เราไปดูกันครับว่าขั้นตอนของการสตาร์ทรถที่ถูกต้องนั้นควรจะทำอย่างไรครับ

    เสียบกุญแจเข้าไป เมื่อเราเสียบกุญแจเข้าไปตำแหน่งแรกคือ Lock ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เวลาเราดับเครื่องยนต์สนิท จากนั้นบิดไปทางขวาที่ตำแหน่ง ACC ตำแหน่งนี้เป็นการเปิดระบบไฟฟ้าในรถให้ทำงาน คุณสามารถเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องเสียงได้ในตำแหน่งนี้ บิดไปทางขวาอีกครั้งคือ On เตรียมพร้อมในการ สตาร์ทรถ และการบิดสุดท้ายคือตำแหน่ง Start เครื่องยนต์จะทำงาน ขณะที่เครื่องยนต์ทำงานไม่ควรกดกุญแจลงไป เพราะเครื่องยนต์จะเสียหายได้

    st2

    เมื่อรถสตาร์ทติดแล้ว อุ่นเครื่องยนต์ 5 -10 นาทีกำลังดีหลังจากที่ สตาร์ทรถแล้วไม่ควรขับทันที เพราะระบบไฟฟ้า ระบบน้ำมันเครื่อง และระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ การขับรถทันทีหลังจากสตาร์ทบ่อยครั้งเป็นบ่อเกิดของการเสียหายของรถอย่าง ลูกสูบติด หัก หรืออาจงอได้ และไม่ควรเหยียบคันเร่งขณะสตาร์ทเพราะจะทำให้เครื่องยนต์กระตุกเครื่องอาจสำลักน้ำมัน เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ ฉะนั้นแล้วเราควรวอร์มเครื่องยนต์ประมาณ 5 -10 นาทีก่อนขับ หรือให้สัญญาณเตือน ไฟรูปเทอร์โมมิเตอร์บนหน้าปัทม์หายไป แสดงว่าตอนนี้อุณหภูมิเครื่องยนต์วอร์มเต็มที่แล้วพร้อมขับได้ หรือดูที่เกจ์วัดค่าความร้อน ถ้าค่าความร้อนเริ่มขยับก็ค่อยเคลื่อนรถได้

     

    เมื่อถึงที่หมายแล้วไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที ควรปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไปก่อนสัก2-3นาทีเเล้วค่อยดับเครื่องยนต์หลังจากถึงที่หมาย เนื่องจากในช่วงที่เราขับรถมา เครื่องยนต์ทำงานอย่างต่อเนื่อง จึงมีความร้อนสะสมอยู่ในส่วนต่างๆ ในช่วงเวลาที่เราปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาอยู่นั้น จะช่วยทำให้ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่และช่วยลดอุณหภูมิของเครื่องยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    st3

    เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวใกล้ตัวที่เชื่อว่าหลายคนมองข้าม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆที่ได้อ่านคอลัมน์นี้แล้วจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และช่วยให้รถคันโปรดอยู่กับเราไปได้นาน เสื่อมสภาพช้าลง คอลัมน์ต่อไปจะเป็นเรื่องราวอะไรนั้นต้องคอยติดตามดูกันต่อไปครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถ…บอกอะไรบ้าง

    1 Min Read

    สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถ…บอกอะไรบ้าง

    10899620_10203531589714277_1451484775_n

    เชื่อว่าคงจะมีหลายคนอย่างแน่นอนที่ไม่รู้ความหมายของสัญลักษณ์บนหน้าปัดเรือนไมล์รถยนต์ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องเจอกันอยู่ทุกวัน เวลาที่บิดกุญแจครั้งที่สองเจ้าสัญลักษณ์เหล่านี้จะแย่งกันโชว์ตัวขึ้นมาบนหน้าปัดกันอย่างพร้อมเพรียง และจะดับลงเมื่อเราสตาร์ท บอกได้เลยครับว่าผู้ขับรถทุกท่านทั้งมือใหม่และมือเก่าควรที่จะรู้เอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยถ้าเกิดความผิดปกติขึ้นกับรถของเรา ก็ยังจะพอเดาทางได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมันมาจากไหน

    สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถนั้นจะติดขึ้นมาพร้อมเพียงกันก็ต่อเมื่อเราบิดกุญแจครั้งที่สองแล้วก็จะดับลงเมื่อเราสตาร์ทรถสัญลักษณ์บางตัวก็จะติดขึ้นเมื่อเราใช้งาน อย่างเช่น เปิดไฟเลี้ยว เปิดไฟหรี่ เปิดไฟหน้า หรือเปิดไฟสูง แต่สัญลักษณ์บางตัวก็จะติดขึ้นมาก็ต่อเมื่อระบบบางอย่างเกิดความผิดปกติ ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่ช่วงต้นแหละครับ ถ้าเราศึกษาเอาไว้ว่าสัญลักษณ์แต่ละตัวนั้นมันบอกถึงอะไร ก็จะช่วยให้เราพอที่จะเดาได้ว่ารถเรามีปัญหาเกิดจากอะไร และที่สำคัญก็คือจะช่วยให้เราไม่โดนช่างที่ไม่ซื่อสัตย์หลอกเอาได้ เราไปดูกันครับว่าสัญลักษณ์แต่ละตัวบนหน้าปัดรถนั้นมีอะไรบ้างที่ควรรู้

    F1

               วัดความเร็ว ถือเป็นมาตรฐานของการใช้งานหน้าปัดเลยครับ เพราะตัวนี้จะคอยบอกว่า ความเร็วของรถในขณะนั้น อยู่ที่เท่าไหร่แล้ว โดยหน่วยการวัดรถในเมืองไทยจะเป็น กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ในรถที่นำเข้ามาจากฝั่งอเมริกา จะเป็น ไมล์/ชั่วโมง ซึ่งจากที่เคยวัดเอาจาก GPS ความเร็วที่หน้าปัด จะเร็วกว่าความเร็วที่วัดกับ GPS เสมอครับ ทั้งนี้เนื่องจากต้องการให้ผู้ใช้รถยนต์ ใช้ความเร็วได้ไม่เกินกฎหมายกำหนด เช่น กฎหมายกำหนดให้ใช้ความเร็ว 120 กม./ชั่วโมง เราก็เหยียบที่ 120 กม./ชั่วโมง แต่ความเร็วจริงจะเป็น 110 กม./ชั่วโมง ช่องว่างนี้จะได้ไม่ทำให้ขับรถเกินกำหนดครับ  ซึ่งการแสดงผลจะมี 2 แบบคือ เป็นเข็มที่หมุนขึ้นไปตามความเร็ว กับแบบดิจิตอลที่บอกเป็นตัวเลข ซึ่งใช้หลายรูปแบบในการวัดความเร็ว ทั้งสายสลิง, แบบแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น และจะวัดในตำแหน่งที่ต่างๆกันในแต่ละรุ่น เช่น วัดจากชุดเกียร์, วัดจากเพลาขับ, วัดจากเฟืองท้าย เป็นต้น

    F2

              วัดรอบตัว วัดรอบนี้จะเป็นตัวที่บอกจำนวนรอบของเครื่องยนต์ในตอนนั้น ซึ่งโดยปกติจะเป็นตัวเลข แล้วคูณด้วย 1,000 ก็จะออกมาเป็นจำนวนรอบ/นาที โดยมีการแสดงผลทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอล ซึ่งมาตรวัดรอบนี้ ส่วนใหญ่จะเอาไว้ดูว่า จำนวนรอบที่ใช้งานตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่ และคอยเตือนไม่ให้เราใช้รอบสูงเกินกว่าที่รถจะรับได้ สังเกตได้จากเส้นสีแดงบนมาตรวัด ถ้าเข็มหรือขีดขึ้นไปถึงเมื่อไหร่ แสดงว่าจะเริ่มเกินขีดจำกัดของเครื่องยนต์แล้ว และสามารถบอกถึงความผิดปกติของเกียร์หรือระบบขับเคลื่อนได้อีกด้วย เช่น ถ้าปกติความเร็ว 100 กม./ชั่วโมง จะใช้รอบที่ 2,000 รอบ/นาที แต่ตอนนี้เครื่องกับใช้ 2,200 รอบ/นาที แสดงว่าชุดเกียร์เริ่มมีปัญหา ต้องเข้าอู่เพื่อให้ช่างดูได้แล้วครับ แต่รถรุ่นใหม่ๆในบางรุ่นกลับตัดมาตรวัดตัวนี้ออก คนออกแบบอาจมองว่าไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วครับ

    F3

              อุณหภูมิเครื่องยนต์ มาตรวัดตัวนี้จะเป็นตัวบอกความร้อนในตัวเครื่องยนต์ โดยมีทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอล แสดงระหว่างตัว C (Cool) และตัว H (Heat) โดยบางรุ่นเมื่ออุณหภูมิปกติ จะอยู่ตรงกลางระหว่าง C และ H แต่ในบางรุ่นจะอยู่ต่ำกว่าครึ่งมานิดหน่อย ซึ่งถ้าเข็มนี้ขึ้นเกินครึ่งมาเมื่อไหร่ แสดงว่าระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์เริ่มมีปัญหา ต้องตรวจสอบหม้อน้ำหรือพัดลมระบายอากาศ เพราะถ้าปล่อยให้เครื่อง Over Heat จนเครื่องยนต์ดับ คราวนี้ต้องซ่อมกันขนานใหญ่แน่นอนครับ

    แต่สำหรับบางรุ่นอาจจะไม่มีมาตรวัดตัวนี้ แต่จะมีสัญลักษณ์แสดงขึ้นมาเมื่อมีความผิดปกติของความร้อนเลย ถ้าแสดงขึ้นมาเมื่อไหร่ ให้รีบหาที่จอดแล้วดับเครื่อง จากนั้นให้ตรวจสอบปัญหาทันทีครับ

     

              ระดับน้ำมัน แน่นอนว่า ถ้าเราไม่รู้ว่ารถเราเหลือน้ำมันอยู่เท่าไหร่ ก็จะต้องขับไปพะวงไปแน่ๆว่าน้ำมันจะหมดกลางทางมั้ย ซี่งการแสดงผลก็มีทั้งแบบเข็มและแบบดิจิตอลเช่นกัน โดยในบางรุ่นสามารถบอกได้ถึงขนาด น้ำมันในถัง จะเหลือให้วิ่งได้อีกไกลแค่ไหน ซึ่งในทุกรุ่น จะมีสัญลักษณ์เป็นตู้จ่ายน้ำมัน พร้อมลูกศรเล็กๆที่อยู่ข้างๆ โดยลูกศรนี้จะเป็นตัวชี้ว่า รถของเราฝาถังน้ำมันอยู่ข้างไหนครับ

    F5

              เตือนระดับน้ำมันต่ำ สัญลักษณ์นี้จะแสดงเป็นรูปตู้จ่ายน้ำมันสีแดงหรือส้มแล้วแต่รุ่น ซึ่งเมื่อแสดงมาเมื่อไหร่ แสดงว่าน้ำมันในถังอยู่ในระดับต่ำแล้ว ให้เติมน้ำมันก่อนที่น้ำมันจะหมด โดยส่วนใหญ่ที่พบ น้ำมันจะเหลืออยู่ในถังอีกประมาณ 10-15% ของความจุถังถึงจะเริ่มแสดงขึ้นมา โดยจะวิ่งต่อได้อีกประมาณ 40-100 กิโลเมตร ขึ้นอยู่ว่าเป็นรถรุ่นไหนครับ

    F6

              วัดระยะทางตัวเลข วัดระยะทาง จะบอกถึงความไกลของรถเราว่าวิ่งมาได้ขนาดไหนแล้ว โดยส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นตัวเลขดิจิตอล 3 ชุดคือ Trip A, Trip B และระยะทางรวม ODO (ในบางรุ่นอาจแตกต่างจากนี้) ซึ่งใน Trip A และ B เราสามารถที่จะ Reset หรือตั้งค่าให้กลับมาเป็น 0 เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ระยะทางรวม ODO นั้น เป็นระยะทางการใช้งานรวมของรถคันนั้น จะไม่สามารถตั้งระยะใหม่ได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าช่างที่มีอุปกรณ์และความชำนาญ ก็จะแก้ไขเลขตัวนี้ได้ไม่ยากครับ

    F7

              ไฟหน้า อุปกรณ์สำคัญที่รถทุกคันต้องมี โดยส่วนใหญ่แล้ว สัญลักษณ์เมื่อเปิดไฟหน้า ตัวดวงไฟจะแสดงเป็นสีเขียวหรือสีส้มอำพัน แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น แต่ถ้ามีดวงไฟสีน้ำเงินหรือฟ้าขึ้นมา แสดงว่าตอนนั้นมีการเปิดไฟสูงไว้ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้งานก็ให้รีบปรับมาเป็นไฟปกติดีกว่าครับ

              ประตู ถ้ามีรูปรถยนต์ที่เปิดประตูค้างไว้แบบนี้เปิดขึ้นมา แสดงว่าต้องมีประตูใดประตูหนึ่งยังไม่ปิด หรือปิดแล้วยังปิดไม่สนิท ให้ตรวจสอบแล้วปิดใหม่อีกครั้งครับ

    F9

              เบรก สัญลักษณ์เบรกนี้ ส่วนใหญ่จะขึ้นใน 2 กรณีคือ เมื่อมีการดึงเบรกมือ หรือลดเบรกมือยังไม่สุด สัญลักษณ์นี้ก็จะติดขึ้นมา แต่ถ้าลดเบรกมือแล้วยังไม่ดับ คงต้องตรวจสอบระบบเบรก ซึ่งอย่างแรกที่ต้องดูคือระดับน้ำมันเบรก เพราะส่วนใหญ่แล้วสัญลักษณ์จะแจ้งเมื่อน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับปกติครับ แต่สำหรับบางรุ่นจะแยกกันระหว่างระบบเบรกกับเบรกมือไว้แยกจากกัน โดยระบบเบรกจะเป็นเครื่องหมายตกใจ ส่วนเบรกมือ จะเป็นตัว P ให้ลองอ่านที่คู่มือประจำรถดูก่อนครับ

    F10

              แบตเตอรี่ หลายคนยังเข้าใจผิดว่า เมื่อมีอาการแบตเตอรี่เสื่อม ตัวสัญลักษณ์นี้จะแดงขึ้นมา จริงๆแล้วสัญลักษณ์นี้จะแสดงขึ้นมา เมื่อการทำงานของไดร์ชาร์จมีความผิดปกติ ไม่จ่ายไฟเข้าไปเก็บที่แบตเตอรี่หรือไม่มีการจ่ายไฟเข้าใช้งานในระบบรถยนต์ เมื่อไฟแบตเตอรี่แสดง ก็เตรียมตัวซ่อมไดร์ชาร์จได้เลยครับ

    F11

              หัวเผาในรถยนต์ดีเซล จะมีสัญลักษณ์เพิ่มเติมขึ้นมาเป็นรูปเหมือนขดลวด ตัวนี้จะแสดงถึงการทำงานของหัวเผา ที่ทำความร้อนก่อนการสตาร์ทเครื่อง เพื่อให้การจุดระเบิดในห้องเครื่องเกิดขึ้นได้ง่าย โดยทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องดีเซล เราควรรอให้สัญลักษณ์นี้ดับไปก่อน ถึงค่อยบิดกุญแจ จะทำให้รถสตาร์ทติดง่ายครับ

    F12

              เข็มขัดนิรภัย สัญลักษณ์นี้ จะกระพริบเมื่อไม่มีการคาดเข็มขัดนิรภัยของที่นั่งฝั่งคนขับหลังสตาร์ทรถ โดยรุ่นใหม่ๆจะมีเสียงเพื่อสร้างความรำคาญใจด้วย  และในบางรุ่นเมื่อมีการนั่งในฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ ก็จะมีการแสดงเตือนด้วยเช่นกัน แต่สัญลักษณ์นี้จะดับไป เมื่อมีการคาดเข็มขัดเรียบร้อยครับ

    F13

              ถุงลมนิรภัย ในรถรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ จะมีอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยอย่างถุงลมนิรภัย หรือ Airbag กันหมดแล้วครับ โดยถ้าสัญลักษณ์นี้แสดงขึ้นมาค้างหลังจากสตาร์ทเครื่องแล้ว ก็ต้องเอารถเข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบการทำงานได้เลยครับ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัยอาจจะไม่ทำงานได้ครับ

    F14

              ABS เช่นเดียวกันกับสัญลักษณ์ถุงลมนิรภัย  ถ้าในรถคันนั้นมีระบบเบรก ABS  แล้วระบบตรวจพบการทำงานที่ผิดปกติ สัญลักษณ์นี้ก็จะแสดงขึ้นมา ให้นำรถเข้าตรวจสอบกับศูนย์บริการหรืออู่ทันทีครับ แต่ระบบเบรกยังสามารถใช้งานได้ปกติอยู่ เพียงแต่เมื่อมีการเบรกกะทันหัน ระบบ ABS อาจจะไม่ทำงานเท่านั้นเองครับ

    F15

              น้ำมันเครื่อง สัญลักษณ์รูปกรวยน้ำมันนี้ จะแสดงขึ้นมาเมื่อระดับน้ำมันเครื่องต่ำมาก ให้รีบตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องแล้วเติมให้อยู่ในระดับปกติทันทีครับ แต่ก็มีโอกาสเป็นอาการอื่นได้อีกเช่น ถ้าเช็คแล้วน้ำมันเครื่องไม่ขาด แต่สัญลักษณ์แสดงขึ้นมา ถ้าแบบนี้ก็เป็นไปได้ว่า ตัวปั๊มน้ำมันเครื่องอาจมีปัญหา ไม่มีแรงดันน้ำมันเครื่องไปหล่อเลี้ยงตามจุดต่างๆ ก็อาจทำให้มีการแจ้งเตือนได้เช่นกันครับ

    F16

              เครื่องยนต์ ถ้าไฟรูปเครื่องโชว์ขึ้นมาแล้วไม่ดับเมื่อไหร่ แสดงว่าการทำงานของเครื่องยนต์เริ่มมีปัญหาแล้วครับ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่ครอบจักรวาลของเครื่องยนต์มากๆ เพราะตัวนี้ตัวเดียว อาจแจ้งความผิดปกติหลายอย่าง เช่น ค่าอ็อกซิเจนผิดปกติ, สายพานเกินระยะกำหนด, ตัว ECU มีปัญหา ฯลฯ ซึ่งถ้าไฟรูปเครื่องติด ต้องทำการตรวจสอบด้วยเครื่องของทางศูนย์บริการหรืออู่ โดยเสียบอุปกรณ์กับช่อง OBD (On-Board Diagnostics) จะมีค่า Error แจ้งมา ก็จะรู้ได้ว่าเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติตรงไหนได้ครับ ซึ่งรถส่วนใหญ่จะยังทำงานได้ปกติ แต่ในบางรุ่น (โดยเฉพาะรถทางฝั่งยุโรป) จะล็อกความเร็วไว้ให้ไม่เกิน 60 กม./ชม. เพื่อให้ผู้ใช้งานนำรถเข้าตรวจสอบที่ศูนย์บริการทันที และป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เสียหายไปมากกว่าเดิมครับ สัญลักษณ์ไฟเตือนนี้ เป็นไฟเตือนเบื้องต้นที่รถยนต์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมีอยู่ครับ แต่สำหรับบางรุ่น อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ไฟตัดหมอก, สถานะ Cruise Control, ECO Mode เป็นต้น ดังนั้นการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นด้วยการอ่านคู่มือประจำรถ ก็จะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้เบื้องต้น ไม่ต้องเสียเวลาไปศูนย์บริการหรืออู่ทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือนนะครับ

              บางคนอ่านคอลัมน์นี้แล้วก็ถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว นี่แหละครับเรียกว่าเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้าม บางสิ่งบางอย่างรู้ไว้ไม่เสียหาย อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง ยังไงก็อย่าลืมขับรถกันด้วยความมีน้ำใจนะครับเพื่อลดปัญหาบนท้องถนน…


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • “ดอกยาง”…คุณสมบัติที่แตกต่าง

    1 Min Read

    “ดอกยาง”…คุณสมบัติที่แตกต่าง

    tire5

    ขึ้นหัวเรื่องมาแบบนี้ แน่นอนที่สุดครับกลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์เกร็ดความรู้เรื่องราวของการใช้รถ ทุกวันนี้จำนวนการใช้รถยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน บางคนใช้รถมานานแต่ไม่มีความรู้เรื่องรถ บางคนไม่ได้ใช้รถแต่ชอบศึกษาเรื่องรถ ก็มีมากมายหลายแบบต่างๆกันไป แต่จะรู้หรือไม่รู้นั้นก็ควรที่จะศึกษาเอาไว้เผื่อในอนาคตข้างหน้ามีเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ เอาละครับเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า สำหรับในคอลัมน์นี้จะมาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับดอกยางรถยนต์กัน ว่ามีกี่แบบ แล้วแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกใช้กันให้ถูกประเภทนั่นเองครับ

    ดอกยางรถยนต์ในปัจจุบันนี้มีให้เห็นกันอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละค่ายแต่ละแบรนด์ต่างก็สร้างความแตกต่างให้กับตัวเองด้วยการออกแบบลายของยางให้สวยงามโดดเด่นพร้อมกับคุณภาพที่มากขึ้น ดอกยางนั้นเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนอยู่ตลอดเวลาในขณะที่รถวิ่ง ลายของยางหรือร่องของยางทำหน้าที่ยึดเกาะถนน เพื่อให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นลายของยางจึงมีผลต่อการขับขี่เป็นอย่างมาก ส่วนร่องของยางจะลึกหรือตื่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับประเภทของยางและการใช้งาน

     

    ดอกยางแบบ 2ทิศทาง (DUAL) ดอกยาง ประเภทนี้ จะสามารถ ทำการ สลับยาง ได้ทุกตำแหน่ง ลักษณะมี ดอกยาง สวนทางกัน จึงไม่เน้นในเรื่องของ ความเร็วสูงมากนัก แต่ก็ใช้ได้อย่าง สะดวกสบาย ซึ่งข้อดีของยางประเภทนี้ก็คือไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ยางสลับด้านกัน สามารถใส่ได้ทั้งสองด้านทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

     

    tire3

    ดอกยางแบบทิศทางเดียว (ROTATION) ดอกยางจะมีลักษณะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังมีสัญลักษณ์ลูกศรแสดงไว้ที่บริเวณแก้มยาง เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่งของการหมุนของล้อให้เราสามารถใส่ได้อย่างถูกต้อง ดอกยางประเภทนี้ ถูกออกแบบมาให้สามารถรีดน้ำได้ดีกว่าประเภทแรก เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการทรงตัวในขณะใช้ความเร็วได้ดี ดอกยางประเภทนี้เหมาะกับการใช้งานทั้งถนนเปียกและถนนแห้ง ครับ

     

    tire4

     

    ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน (ASYSIMATIC) ดอกยางจะมีลักษณะเป็นดอกยางที่ไม่เท่ากัน ด้านหนึ่งจะหนากว่าอีกด้านหนึ่ง เหมาะสำหรับการขับขี่แบบเข้าโค้ง หรือ เหมาะสำหรับในรถยนต์บางยี่ห้อ ที่ออกแบบให้การขับขี่มีการเข้าโค้งในความเร็วสูง แต่สำหรับบ้านเราก็อาจมีไม่มากนัก สำหรับดอกยางประเภทนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานแบบเฉพาะเจาะจงครับ ไม่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือชีวิตคนเมืองอย่างบ้านเรานั่นเองครับ

    เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับผู้ที่ใช้รถในชีวิตประจำวัน และกำลังถึงระยะเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยาง ยังไงก็อย่าลืมเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งานกันด้วยครับ และที่สำคัญอย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทนะครับเพื่อความปลอดภัยกับตัวเองและคนรอบข้าง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • HALOGEN-XENON-LED ต่างกันอย่างไร…?

    1 Min Read

    HALOGEN-XENON-LED ต่างกันอย่างไร…?

    ยุคสมัยเปลี่ยนไป อะไรก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งไฟรถยนต์ก็ยังไม่หยุดพัฒนาปรับเปลี่ยนกันไปตามสมัยนิยม สำหรับผู้ที่ใช้รถมาไม่น้อยกว่าสิบปีก็คงจะเห็นได้อย่างชัดเจนครับว่าหลอดไฟที่ถูกใช้อยู่ในรถแต่ละรุ่นนั้นมีให้เลือกเต็มที่ก็แค่สีเหลือง สีแดง สีเขียว สีฟ้า สีม่วง ก็ว่ากันไปตามแล้วแต่ชอบ หรือไม่ชอบก็แล้วแต่ พอมาถึงยุคนี้มีหลอดไฟให้เลือกกันหลายแบบโดยเฉพาะเรื่องของความสว่าง มีให้เลือกกันจนงงไปหมด ในคอลัมน์นี้จึงได้นำหลอดไฟทั้งสามชนิดมาแยกประเภทให้ดูกันครับว่า HALOGEN,XENON,LED มันมีความแตกต่างกันอย่างไรทั้งคุณภาพและราคา

     

    Halogen หลอดแบบมีไส้ภายในบรรจุก๊าซฮาโลเจน ซึ่งแตกต่างแค่รายละเอียดด้านขนาด รูปทรงของฐาน ความสว่าง หรือจำนวนของไส้ โดยมีรหัสเรียก เช่น H1 H2 H3 H4 มีราคาตั้งแต่หลอดละ50 บาท ไปจนถึงหลอดไฟของแต่ง ราคาหลอดละเป็นพันบาท เปรียบเทียบการทำงานแบบง่ายๆ ของหลอดฮาโลเจน ก็คือ หลอดไฟแบบมีไส้ จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไป ทำให้ไส้ร้อนเปล่งแสงผ่านก๊าซที่ชื่อ ฮาโลเจนที่บรรจุอยู่ในหลอดรอบตัวไส้ ถ้าหลอดแตกจนก๊าซรั่วหรือไส้ขาดก็เสีย รับไฟ 12 โวลต์ตรงๆ จากระบบปกติของรถ

     

    การเปิดให้สว่างก็แค่จ่ายกระแสไฟเข้าไฟแสงจะสว่างขึ้นอย่างฉับไว แบบเดียวกับที่กะพริบไฟสูงหากยังงงให้นึกถึงหลอดไฟที่ใช้ในบ้าน เป็นหลอดกลมๆ ทรงคล้ายน้ำเต้า มีไส้ต่อไฟโดยตรงนั่นเอง แสงของไฟมักจะสว่างแบบอมเหลือง

     

     

    Xenon ส่วนหลอดไฟ XENON ภายในบรรจุก๊าซชื่อ XENON ไม่มีไส้โดยตรงแบบฮาโลเจน ทำงานคล้ายกับหลอดไฟนีออนที่ใช้ในบ้าน ต้องมีตัวแปลงและควบคุมกระแสไฟ เรียกว่า บัลลาร์ด เป็นกล่องคั่นระหว่างสายไฟปกติ ก่อนต่อเข้าตัวหลอด แสงจะออกมานวลๆ การเปิดให้หลอด XENON สว่าง ตัวบัลลาร์ดจะสร้างกระแสไฟฟ้าระดับ 20,000 กว่าโวลต์ ส่งเข้าไปยังตัวหลอดเพื่อจุดในครั้งแรก และในอีกประมาณ 1-2 วินาที ก็จะลดกระแสไฟฟ้าลงเหลือ 12 โวลต์ (หรือไม่กี่สิบโวลต์) ต่อเนื่องไป



      

    สรุปง่ายๆ ว่า ระบบไฟ XENON มีกระแสไฟเป็นหมื่นโวลต์ถูกสร้างขึ้นด้วยกล่องบัลลาร์ดในช่วงสั้นๆ เพื่อจุดหลอดให้สว่างเท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะลดไฟลงมาเหลือไม่กี่สิบโวลต์คงความสว่างไว้ตัวหลอด XENON จะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 วินาที กว่าจะสว่างเต็มที่หลังจากจุดครั้งแรก จึงทำให้ถูกใช้แต่หลอดไฟต่ำแต่ไม่ใช้กับไฟสูง เพราะสว่างไม่ทัน ถ้ามีการกะพริบไฟหรือเปิดไฟสูงในทันที ไฟ XENON ที่มีทั้งไฟต่ำและสูง จึงไม่ใช่เป็นการแยก 2 หลอดจุดหลอดใหม่ แต่ใช้หลอดเดียวต่อข้าง สว่างตลอด และใช้การเลื่อนตัวหลอดหรือตัวบัง ให้เปลี่ยนเป็นไฟต่ำหรือสูงได้ในหลอดที่สว่างตลอดอยู่หลอดเดียว

     

      

              LED ในความเป็นจริงแล้วเป็นหลอดที่มีมานานมากแล้ว เพียงแต่ความสว่างมันยังไม่มากพอต่อการใช้งาน ปัจจุบัน LEDถูกพัฒนาจนสามารถสร้างความสว่างได้มากพอต่อการใช้งานจริง หลักการให้กำเนิดแสงง่ายมากครับ โดยแสงจะเกิดจากชิปของ LED (ไดโอดเปล่งแสง)และควบคุมกระแสด้วยไดรเวอร์ สังเกต LEDที่มีความสว่างมากพอต่อการใช้งานจะต้องมีกล่องไดรเวอร์พ่วงมาด้วยครับ ข้อดีคือสว่างกว่าฮาโลเจนถึง 3-4เท่ากันเลยทีเดียว และที่สำคัญคือความร้อนน้อย อายุการใช้งานยาวกว่าซีนอนและฮาโลเจน ข้อเสียก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของราคาค่าตัวแหละครับ ที่มีราคาค่อนข้างสูงไปสักหน่อย

    ชอบแบบไหนก็เลือกใช้แบบนั้นกันไปครับ เลือกใช้งานให้ถูกประเภท เปลี่ยนแล้วก็อย่าลืมเช็คกันให้ดีครับว่าไปแยงตาเพื่อนร่วมทางหรือป่าว ไม่ใช่ว่าสวยถูกใจเราแต่ลำบากเพื่อนร่วมทาง แบบนี้มีให้เห็นกันเยอะมากครับ ยังไงก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับการปรับแต่งรถนะครับแล้วพบกันไปคอลัมน์หน้า สวัสดีครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • วิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝน

    1 Min Read

    วิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝน

           หลายท่านคงมีความกังวลเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน การขับขี่รถก็ต้องใช้ความระมัดระวังขึ้นเป็นอย่างมากและมักเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง ในคอลัมน์นี้เรามาดูกันว่าขับรถอย่างไรให้ปลอดภัยในช่วงฤดูฝน

    1. เปิดใบปัดน้ำฝน ปรับระดับความเร็วให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้บดบังทัศนวิสัยและถ้าปรับใบปัดน้ำฝนในความเร็วที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้ทัศนวิสัยเบลอได้
    2. ใช้น้ำฉีดกระจก เพื่อใช้ชะล้างคราบโคลนหรือคราบอื่นๆที่บดบังทัศนวิสัยให้ออกไปได้ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน
    3. ใช้ไฟหน้าและไฟท้ายรถ ให้สว่างเพื่อที่จะให้เห็นได้จากระยะไกลได้ชัดเจน
    4. ไม่ขับรถชิดจากท้ายคันหน้ามากเกินไป ให้เว้นระยะจากรถด้านหน้าอย่างน้อย 10-20 เมตร เพื่อที่จะสามารถเบรกรถได้อย่างปลอดภัย
    5. เมื่อรถลื่นไถล ไม่ควรเบรกทันที ให้ลดความเร็วและใช้เกียร์ต่ำแล้วค่อยเบรก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
    6. ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป ควรขับไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อที่จะควบคุมรถได้อย่างสม่ำเสมอ
    7. ควรตรวจสอบสภาพของรถให้พร้อมใช้งาน เพื่อที่จะทำให้รถพร้อมกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เช่น ระบบเบรก ยาง สัญญาณไฟ
    8. ขับช้าๆในช่วงที่มีน้ำท่วมขัง ลดความเร็วลง เพื่อไม่ให้น้ำเข้าในเครื่อง แต่ถ้าน้ำท่วมสูงเกินไป ก็ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้น

        


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • A-ARM มันดียังไง..ต้องไปดู..!!!

    1 Min Read

    A-ARM มันดียังไง..ต้องไปดู..!!!

    มุดลงล่างกันหน่อยช่วงนี้…..อย่างพึ่งตกใจไปครับ มุดดูใต้ท้องรถครับไม่ได้ไปมุดอะไรที่ไหน ก็ต้องตามกระแสกันหน่อยสำหรับสายซิ่งสิงห์ควันดำบ้านเรา แต่ละอู่แต่ละสำนักต่างก็ปรับแต่งเครื่องยนต์กันแรงๆทั้งนั้น สุดท้ายภาระก็มาตกอยู่ที่ช่วงล่างสิครับ จะทำยังไงดีที่จะจับแรงม้าลงพื้นให้ได้ครบทุกตัว นั่นแหละครับคือที่มาของคอลัมน์นี้ จะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับช่วงล่างซิ่งของเหล่าบรรดารถกระบะกันว่าเค้ามีวิธีเซ็ทกันอย่างไรทำไมถึงออกตัวดี วิ่งตรงเป็นไม้บรรทัดกันเลยทีเดียว

    A-ARM มีหน้าที่ช่วยยึดเพลาไม่ให้เต้นในขณะที่เกิดแรงบิดในการออกตัว ในขณะที่เราใช้รอบในการออกตัวที่สูงขึ้น แน่นอนที่สุดครับแรงกระทำที่เกิดจากเครื่องยนต์จะส่งกำลังไปสู่ระบบขับเคลื่อน ถ่ายทอดไปสู่พื้นถนนผ่านล้อและยาง เมื่อแรงทุกอย่างถูกถ่ายทอดลงบนพื้นถนนจึงก่อให้เกิดอาการเพลาเต้น เมื่อเพลาเต้นจึงทำให้การถ่ายทอดกำลังลงสู่พื้นทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ เสียการควบคุม แต่เมื่อเราทำการติดตั้ง A-ARM เข้าไป ทำให้ลดอาการเต้นของเพลาเมื่อเพลาไม่สั่นในขณะที่ใช้รอบสูงในการออกตัว ก็จะช่วยให้รถไม่เสียอาการ สามารถขับขี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

     

      

                A-ARM 1ข้างกับ2ข้างต่างกันอย่างไร สำหรับการติดตั้งแบบข้างเดียวเราก็จะเห็นกันในรถบ้านขับใช้งานอยากเพิ่มประสิทธิภาพให้กับช่วงล่างเหมาะกับรถที่ยังคงสเต็ปใช้งานอยู่ไม่ได้แรงมากถึงขนาดสเต็ปแข่งขัน แต่สำหรับแบบสองข้างนั้นจะเหมาะกับรถที่ใช้ในการแข่งขันมากกว่า เพราะว่าต้องมีการย้ายถังน้ำมันเชื้อเพลิงออก ตำแหน่งของ A-ARM จะต้องใช้พื้นที่ของถังน้ำมันเชื้อเพลิง การติดตั้ง A-ARM คู่ก็จะช่วยให้สามารถจับอาการรถได้สมบูรณ์ขึ้น สำหรับรถที่มีแรงม้าและแรงบิดในสเต็ปแข่งขัน

      

    ติดตั้งA-ARMแล้วมีผลต่อการเข้าโค้งหรือไม่ ตอบได้เลยครับว่ามีผลดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ เนื่องจากการติดตั้งA-ARM จะช่วยให้ลดอาการรถบิดตัวในขณะที่เกิดแรงเหวี่ยงในการเข้าโค้ง เมื่อรถเกิดการบิดตัวน้อยลง หน้าสัมผัสของยางยังคงสัมผัสพื้นถนนแบบเต็มหน้า แน่นอนที่สุดครับ การยึดเกาะถนนเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอนครับ

    อาการที่ได้หลังจากติดตั้ง A-ARM  ความรู้สึกแรกก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอนครับในเรื่องของเพลาเต้น อาการนี้หายไปอย่างแน่นอน และอีกหนึ่งอย่างที่สัมผัสได้ก็คือ การออกตัวที่ตรงขึ้น ท้ายไม่ดิ้น ทำให้สามารถถ่ายทอดแรงม้าลงสู่พื้นได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงการขับรถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

    เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับของแต่งช่วงล่างที่เรียกได้ว่ามีประโยชน์ไม่น้อยกันเลยทีเดียวอย่างชุด A-ARM อยากได้สเต็ปไหนก็ไปเลือกใส่กันเอาครับ จะรถบ้านหรือรถแข่งก็ติดตั้งกันได้ครับ แต่ติดตั้งกันแล้วก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทกันด้วยครับ…

      


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • เบาะแต่งมีประโยชน์อย่างไร…ทำไมสายซิ่งนิยมใส่กัน ?

    1 Min Read

    เบาะแต่งมีประโยชน์อย่างไร…ทำไมสายซิ่งนิยมใส่กัน ?

    ก่อนอื่นต้องกล่าวคำว่า “สวัสดี” แฟนๆ REALTIME CAR MAGAZINE ที่น่ารักทุกท่านช่วงนี้อากาศยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง หนาว1วัน ร้อน 8วัน บางทีน้องฝนก็โผล่มา ประเทศไทยมีหลายฤดูจริงๆเลย แต่ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยน้ะครับ กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์เกร็ดความรู้คู่รถคุณ ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดคุยกันในเรื่องของเบาะซิ่งเบาะแต่งกันซ้ะหน่อย ไม่ใช่มีเงินก็ซื้อใส่ๆกันเข้าไป แต่ไม่เคยรู้ถึงคุณประโยชน์กันซ้ะเลย เบาะแต่ละรุ่นแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมต้องปรับเอนได้ ทำไมต้องหลังแข็ง ทำไมต้องหูกวาง เข้าไปติดตามดูกันครับ

    3ayemstudios.com

     

    “เบาะ” เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ภายในห้องโดยสาร ในรถยนต์ปกติที่ใช้กันก็จะเป็นทรงธรรมดา เป็นหนังแท้หนังเทียมบ้าง หรือเป็นกำมะหยี่บ้างเป็นผ้าบ้างก็สุดแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน อันนี้ก็เป็นเบาะแบบ STANDARD ติดรถ รถเดิมๆคงไม่มีปัญหาอะไรกับการขับขี่อย่างแน่นอน แต่เมื่อเรามาพูดกันถึงรถแต่งแล้ว เบาะถือว่าเป็นอุปกรณ์จำเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ จำเป็นในที่นี้คือ ของมันต้องมี แต่จริงๆแล้วเบาะจัดว่าเป็นอุปกรณ์อีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยปกป้องเราได้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และที่สำคัญเบาะที่ดีนั้นจะช่วยให้เรามีท่านั่งขับรถได้อย่างถูกวิธี ซึ่งก็จะส่งผลให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์

    SEAT3

    เบาะแต่งมีแบบไหนบ้าง? เราจะมาอธิบายให้เห็นภาพกันแบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคแต่อย่างใดให้ปวดหัว ความแตกต่างของเบาะแต่งนั้นจะมีความกระชับกว่าเบาะธรรมดา เมื่อนั่งแล้วจะรู้สึกเหมือนมีใครมาโอบอุ้มเราไว้ เริ่มต้นจากด้านล่างที่ช่วงขาทั้งสองข้างด้านซ้ายด้านขวาจะมีปีกขึ้นมารับเอาไว้ ต่อไปเลื่อนขึ้นมาตั้งแต่ส่วนเอวไปจนถึงใต้รักแร้ก็จะมีปีกยื่นออกมาทั้งสองข้างเช่นกันเพื่อรองรับร่างกายส่วนบน เลื่อนขึ้นมาที่ด้านบนอีกคือส่วนหัวไหล่ก็จะมีปีกยื่นออกมาอีกเช่นกัน เรียกได้ว่าเบาะแต่งนั้นสามารถช่วยให้เรายึดติดอยู่กับที่ไม่ดิ้นหลุดไปไหน ถ้าใครเคยขับรถเบาะเดิมแล้วมีการเปลี่ยนเลนด์กระทันหันหรือมีการโดดจั๊มเนินแรงๆ ก็คงจะเคยมีอาการหลุดเบาะกันบ้าง เบาะประเภทนี้สามารถปรับเอนนอนและพับมาด้านหน้าได้ แต่ถ้าขยับขึ้นมาอีกสเต็ปก็จะเป็นแบบเบาะหลังแข็ง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเบาะหลังแข็ง แน่นอนที่สุดครับมันไม่สามารถปรับอะไรได้อย่างแน่นอน นอนจากปรับเดินหน้าถอยหลัง สำหรับคนที่ใช้เบาะหลังแข็งก็จะรู้สึกว่าตัวจะตรงๆหน่อยครับ แต่ถือว่าเป็นท่านั่งที่ถูกวิธีน้ะครับ เบาะชนิดนี้จะไม่ค่อยเหมาะกับการขับขี่เดินทางไกลมาก เพราะร่างกายเราจะถูกบีบบังคับจัดทรงร่างกายด้วยเบาะ อาจจะไม่สะดวกในการปรับเปลี่ยนท่าขับรถได้ ซึ่งจะเหมาะกับกับขับขี่ในรูปแบบของการแข่งขันซ้ะมากกว่า แต่ก็มีหลายคนที่เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะความเท่ห์ของมันหลายคนจึงยอมเมื่อย และอีกหนึ่งรูปแบบของเบาะแต่งก็คือ แบบที่ใช้สำหรับในการแข่งขันเท่านั้น ซึ่งแบบนี้คงไม่เหมาะจริงๆที่จะมาขับขี่บนท้องถนน เราจะเรียกเบาะประเภทนี้ว่าเบาะแบบ FULL BUCKET SEAT เรียกได้ว่าผู้ขับขี่จะถูกเบาะชนิดนี้กลืนกินเข้าไปในเบาะเลยก็ว่าได้ ซึ่งปีกด้านล่างจะค่อนข้างสูง ปีกด้านข้างก็จะกว้างและสุดท้ายที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือช่วงด้านบนส่วนหัวจะถูกออกแบบให้ยื่นออกมาถึงตำแหน่งหูกันเลยทีเดียว หรือที่เราเรียกกันว่าเบาะทรงหูกวางนั่นเองครับ ด้วยทรงเบาะจะถูกบังคับให้คนขับมองแต่ด้านหน้าเท่านั้น ส่วนด้านข้างก็ทำได้เพียงแค่เหล่ๆมองกระจกมองข้างเท่านั้น

    SEAT4

    เลือกใช้เบาะแบบไหนให้เหมาะกับรถของเรา? อันนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกันครับ เรามาแบ่งประเภทรถกันก่อน คือ รถสี่ประตู รถสองประตู รถแข่ง แบ่งประเภทไว้เท่านี้พอ สำหรับรถสี่ประตูก็ตัดสินใจไม่ยากครับเพราะสามารถเลือกได้ทั้งแบบปรับได้และแบบหลังแข็ง แต่สำหรับรถที่เป็นแบบสองประตูกับหรือรถสปอร์ต ก็ต้องคิดกันก่อนที่จะเปลี่ยนเบาะแหละครับ ถ้าคิดว่าจะขับกันแค่สองคนโดยที่ไม่มีการขึ้น-ลงทางด้านหลังก็สามารถใส่เบาะหลังแข็งได้เลยครับ แต่ถ้าต้องมีการขึ้น-ลงด้านหลังด้วยก็ควรเลือกใส่แบบปรับได้จะดีกว่าครับ ส่วนรถแข่งก็ไม่ต้องคิดมากครับจัดให้เต็มที่กันไปเลย อย่างเช่น RECARO PRO RACER

    SEAT1 SEAT6

              เบาะแท้ เบาะเทียมแตกต่างกันหรือไม่ ? อันนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกันครับ แน่นอนที่สุดด้วยความแตกต่างกันในเรื่องของราคาค่าตัว ของแท้ราคาหลักหมื่นถึงหลักแสนต่อคู่ ส่วนของเทียบราคาหลักพันถึงหลักหมื่น(ก็มี) ความแตกต่างที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของความคงทนแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา เหล่านี้จะส่งผลชัดเจนในการเกิดอุบัติเหตุ แต่คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ป้องกันไว้ก็ไม่เสียหายอะไร วัสุดที่ใช้ทำเบาะจะมีความคงทนแข็งแรงสูง สามารถรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดีมีมาตรฐาน FIA และที่สำคัญ ผ้าที่ใช้ในการหุ้มเบาะนั้นจะมีคุณสมบัติที่ไม่ติดไฟในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วเกิดมีประกายไฟ ส่วนเบาะที่เป็นของเทียมนั้นจะดีตรงที่มีราคาไม่แพงครับแต่เรื่องของคุณภาพก็ตามราคาครับ ของถูกและดีไม่มีในโลกครับว่ากันไปตามน้ำ

    SEAT9

    ก็อย่าลืมเลือกใช้กันให้ถูกประเภทครับสำหรับเรื่องราวของเบาะแต่ง จะเป็นแบบปรับได้หรือแบบหลังแข็งหรือแบบ FULL BUCKET SEAT ก็สุดแล้วแต่ความชอบ ส่วนเรื่องของยี่ห้อก็เช่นกันมีให้เลือกมากมายหลายแบรนด์อยางเช่น RECARO,BRIDE,SPARCO KIRKEY, MOMO, OMP สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆมีความสุขสนุกสนานกับการแต่งรถ แต่ก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทนะครับ…สวัสดีครับ

    pink-car-seat


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • กรองเปลือย…เท่ห์อย่างเดียวหรือมีประโยชน์ด้วย

    1 Min Read

    กรองเปลือย…เท่ห์อย่างเดียวหรือมีประโยชน์ด้วย

    AIR1 AIR4

    เกร็ดความรู้เรื่องรถยังคงมีมาให้ได้ดูและศึกษากันอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะในชีวิตประจำวันของเรายังคงดำเนินไปพร้อมๆกับรถเพราะรถเป็นยานพาหนะที่สามารถพาเราไปได้ทุกที่ที่อยากไป แต่สำหรับในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดกันถึงอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่อยู่ภายในห้องเครื่อง และขาซิ่งบ้านเราชอบปรับเปลี่ยนกัน เปลี่ยนเพื่อความเท่ห์หรือเปลี่ยนเพื่อให้ได้ประโยชน์บางคนที่เปลี่ยนก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย สิ่งๆนั้นก็คือกรองเปลือยนั่นเองครับ เราไปหาคำตอบกันครับว่าเปลี่ยนเพื่ออะไร

    AIR2

    “กรองเปลือย”หรือ“กรองอากาศ” เปรียบเสมือนผ้าปิดจมูกของเรานั่นเองครับ ซึ่งกรองอากาศมีหน้าที่กรองสิ่งสกปรกไว้ไม่ให้เข้าไปสู่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ในรถ STANDARD ทุกรุ่นทุกยี่ห้อจะมีระบบกรองอากาศติดตั้งไว้ที่ภายในห้องเครื่อง มีลักษณะเป็นกล่อง ภายในจะมีแผ่นกรองที่สามารถดักจับฝุ่นผงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เข้าไปภายในตัวเครื่องยนต์ กรองอากาศที่ติดมากับรถสามารถทำความสะอาดได้ด้วยการนำออกมาใช้ลมแรงๆเป่า แต่เมื่อถึงระยะตามกิโลแล้วก็ต้องทำการเปลี่ยนใหม่ เพราะของเก่าอาจเกิดการอุดตันจากการใช้งานได้ รู้จักหน้าที่ของกรองอากาศกันแล้วเดี๋ยวเราไปดูกันครับว่ากรองอากาศแบบเปลือยมันดีและไม่ดีอย่างไรบ้าง

     

    ทำไมถึงต้องเปลี่ยนกรองเปลือย?…..ตอบแบบง่ายๆสั้นๆครับ มันทำให้ห้องเครื่องดูซิ่งและสวยดีครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วเหตุผลที่แท้จริงของการเปลี่ยนกรองเปลือยก็คือ การต้องการปริมาณอากาศที่เพิ่มมากขึ้นในกรณีที่เราได้ทำการปรับแต่งโมดิฟายเครื่องยนต์ เมื่อเราสามารถเอาอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้เพิ่มมากขึ้นได้ เราก็จะสามารถปรับจูนน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้นได้ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของเครื่องยนต์ สิ่งที่ได้มาก็คืออัตราเร่งที่ดีขึ้นนั่นเองครับ และที่สำคัญก็คือการดูดอากาศที่โล่งขึ้น

    รถเดิมๆใส่กรองเปลือยได้ไหม?…..ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนเฉพาะแผ่นกรองอากาศที่มีขนาดและรูปทรงแบบของเดิมนะครับไม่ใช่ว่าเดินท่อทางเดินอากาศใหม่แล้วเป็นกรองเปลือยโดดๆเลย แบบนี้ไม่มีประโยชน์อย่างแน่นอนสำหรับรถ STANDARD แบบที่ควรจะเปลี่ยนก็คือแผ่นกรองอากาศที่สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่นได้และในทางเดียวกันอากาศต้องสามารถผ่านได้โดยที่ไม่ติดขัดด้วยครับ ซึ่งกรองอากาศประเภทนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านประดับยนต์ทั่วไปครับ

    กรองเปลือยมีกี่แบบ?กรองเปลือยที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายรูปแบบหลายรูปทรง ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ สามารถเลือกใช้กันได้ตามความเหมาะสม ซึ่งรถบางคันทำการปรับแต่งโมดิฟายมาไม่เหมือนกัน พื้นที่ภายในห้องเครื่องยนต์ก็แตกต่างกันเพราะฉะนั้นรูปทรงของกรองเปลือยจึงมีผลพอสมควรกับการปรับแต่งรถ แต่ละยี่ห้อก็จะเป็นรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างเช่น HKS/A’PEXi/HURRICANE/BLITZ/SIMOTA/หรืออีกมากมายในท้องตลาด

     AIR9

                ติดตั้งกรองเปลือยอย่างไรถึงจะเหมาะสม? แน่นอนที่สุดครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องของการติดตั้งกรองเปลือย บางคนอาจมองข้าม คิดตามดูนะครับ เมื่อกรองอากาศเป็นแบบเปลือยแล้วนั่นแสดงว่ามันจะดูดอากาศที่อยู่รอบๆตัวมันเข้าไปในห้องเผาไหม้ สิ่งที่ได้ก็คือการดูเอาความร้อนเข้าไปนั่นเองครับ เพราะภายในห้องเครื่องจะมีความร้อนวนเวียนอยู่ตลอดเวลา การติดตั้งที่ถูกวิธีนั้น ควรที่จะเดินท่อกรองอากาศไปในทิศทางที่เหมาะสมแล้วทำการกั้นห้องกรองเปลือยเพื่อไม่ให้กรองเปลือยดูดความร้อนภายในห้องเครื่องเข้าไปเมื่อกั้นห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ควรที่จะหาท่ออ่อนขนาด 3-4นิ้วดักอากาศจากด้านหน้ารถเพื่อให้มาเป่าที่กรองเปลือย ซึ่งอากาศที่ได้จะเป็นอากาศเย็นทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

    AIR6 AIR8

                เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวของกรองอากาศหรือกรองเปลือย ถ้าเข้าใจกันแล้วก็อย่างลืมไปติดตั้งกันให้ถูกวิธีนะครับ เพื่อจะได้ประโยชน์จากกรองเปลือยอย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับคอลัมน์นี้ต้องขอตัวลากันไปก่อนแล้วกลับมาพบกันใหม่กับเกร็ดความรู้ดีๆแบบนี้จาก REALTIME CAR MAGAZINE


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ก่อนเดินทางไกลควรเช็คอะไรบ้าง

    1 Min Read

    ก่อนเดินทางไกลควรเช็คอะไรบ้าง

    ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลกันแล้ว หลายๆท่านที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างถิ่น หรือบางท่านเตรียมตัวเดินทางเพื่อไปเที่ยวกัน แต่จะไปไหนก็แล้วแต่ถ้าหากต้องเดินทางไกล ขับรถเป็นเวลานานๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความพร้อมของรถนั่นเองครับ และในคอลัมน์นี้แน่นอนที่สุดครับ เราจะมาพูดถึงการตรวจเช็คยานพาหนะของเราก่อนการเดินทางให้พร้อมสมบูรณ์แบบเพื่อความปลอดภัยทั้งคนในครอบครัวและคนรอบข้าง

    เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงของวันหยุดยาวมีเทศกาลหลายเทศกาลรออยู่ หลายๆคนก็คงจะมีแผนเดินทางกลับบ้านบ้าง เดินทางท่องเที่ยวบ้าง ก็สุดแล้วแต่แหละครับ หลายท่านที่ต้องใช้รถในการเดินทางก็ไม่ควรที่จะลืมตรวจเช็คสภาพความพร้อมของรถให้พร้อมอยู่เสมอ เรามาดูกันทีละขั้นตอนครับว่าก่อนการเดินทางมีอะไรบ้างที่ต้องทำการปรับเปลี่ยนและตรวจเช็คเพื่อความพร้อม

    • เช็คความพร้อมของเครื่องยนต์

    อันดับแรกเริ่มต้นด้วยการเปิดฝากระโปรงกันก่อนเลยครับ ตรวจสอบแบตเตอรี่เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับไม่ขาดหรือเกินสำหรับแบตเตอรี่แห้งข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย จากนั้นมาดูกันต่อที่หม้อน้ำตรวจสอบถังพักน้ำว่าปริมาณน้ำอยู่ระหว่างตำแหน่ง MINกับMAXหรือป่าวถ้าพบว่าน้ำขาดก็เติมเข้าไปได้เลยครับ มาดูกันต่อที่กระปุกน้ำมันเบรกให้ตรวจสอบดูว่าปริมาณของน้ำมันเบรกอยู่ระหว่างตำแหน่ง MINกับMAXหรือป่าวถ้ายังคงอยู่ในตำแหน่งก็ไม่ต้องเพิ่มเติมแต่อย่างใด จากนั้นมาดูกันต่อที่การตรวจสอบน้ำมันเครื่องกันบ้างเราสามารถชักก้านน้ำมันเครื่องเพื่อเช็คดูปริมาณน้ำมันเครื่องให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมไม่ควรให้ขาดหรือเกิน สำหรับในส่วนของเครื่องยนต์ก็มีกันแต่เพียงเท่านี้ครับ

    check1 check2check3 check4check5

    • เช็คความพร้อมของระบบช่วงล่าง

    ในส่วนของช่วงล่างนั้นมีอะไรที่เราต้องตรวจเช็คบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดครับสามารถทำด้วยตัวเองได้เรามาเริ่มต้นกันที่ระบบโช้คอัพกันก่อนเลยอาจจะลำบากไปสักนิดนึงแต่ก็คงจะไม่เกินความสามารถอย่างแน่นอน ตรวจสอบดูโช้คอัพว่ามีการรั่วซึมหรือป่าว ซึ่งถ้ามีการรั่วซึมจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนที่ตัวกระบอกโช้คจะมีคราบน้ำมันติดอยู่ มาตรวจเช็คกันต่อที่ระบบเบรกอันนี้อาจต้องพึ่งอุปกรณ์กันนิดนึ่งก็คือไฟฉาย ใช้ไฟฉายส่องเข้าไปที่ผ้าเบรกดูว่าผ้าเบรกหมดหรือไม่ จากนั้นก็อย่างลืมตรวจเช็คลมยางกันด้วยรถแต่ละคันแต่ละรุ่นใช้ปริมาณลมยางที่แตกต่างกัน สามารถดูได้ที่ขอบประตูว่าควรจะเติมเท่าไหร่ในรถแต่ละรุ่น สำหรับเรื่องของช่วงล่างก็มีกันแต่เพียงเท่านี้ครับ

    check6 check8 check9

    • อย่างลืมวางแผนก่อนการเดินทาง

    อาจมองดูว่าหัวข้อนี้ไม่สำคัญ แต่ที่จริงแล้วมันก็สำคัญเหมือนกันครับเพราะว่าถ้ามีการวางแผนการเดินทางที่ดี เราก็จะสามารถใช้ระยะทางได้น้อยลง อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงไปได้ไม่มากก็น้อย เพราะในช่วงของเทศกาลต่างคนก็ต้องเดินทางกลับบ้านและไปเที่ยวกัน ถ้าเราหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีความหนาแน่นของรถได้ก็คงจะเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน

     de7e08f456991bc5dd09de62ad8a48ee78cb6d9b6ec64981ea77a8b142e1246e 20141115-1416029126.73-1

    • ไม่ควรขนสัมภาระเกินความจำเป็น

    อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องขนเอาไปมากครับ เอาไปแต่แค่พอใช้ก็พอ เพื่อจะได้ไม่ต้องแบกน้ำหนักมากจนเกินไป ที่สำคัญคือจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่มากก็น้อย และที่มากไปกว่านั้นก็คือเผื่อที่ไว้ซื้อของฝากกลับมาบ้านด้วยครับ..อันนี้คนไทยขาดไม่ได้จริงๆสำหรับของฝาก

    1368011994-2875043486-o AHMAD4

     

    จริงๆแล้วก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดครับสำหรับการตรวจเช็คความพร้อมของตัวรถก่อนการเดินทาง คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณพ่อบ้านอย่างแน่นอน แต่สำหรับคุณแม่บ้านถ้าไม่สะดวกก็สามารถขับรถเข้าไปที่ศูนย์บริการได้เลยครับ เพื่อความสะดวกและความปลอดภัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็อย่าลืมขับรถกันอย่างมีสติ เมาไม่ขับ โทรศัพท์ไม่โทร เวลาขับรถนะคร๊าบบบบบ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • โช้คอัพเสียจะรู้ได้อย่างไร ?

    1 Min Read

    โช้คอัพเสียจะรู้ได้อย่างไร ?

    Sebastien Ogier (F), Julien Ingrassia (F) Volkswagen Polo R WRC (2013) WRC RallyItaly (Sardinia) 2013

    กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์สาระความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้รถยนต์และการขับขี่ยานพาหนะ พบกันเมื่อไหร่เป็นต้องมีความรู้และเคล็ดลับอะไรดีๆมาฝากเพื่อนๆกันอย่างแน่นอน และสำหรับในคอลัมน์นี้จะมาแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบซับแรงกระแทกหรือว่าโช้คอัพนั่นเองครับหรือพูดกันแบบง่ายๆก็คือ โช้คอัพพังหรือเสีย มันมีอาการเป็นอย่างไรนั่นเองครับ หลายคนอาจมองข้าม แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากครับ อาการแบบไหนที่กำลังจะบอกให้เรารับรู้ว่าควรจะเปลี่ยนโช้คอัพได้แล้วต้องไปติดตามดูกันครับ

    shock3  sohck4

    โช้คอัพหรือระบบซับแรงกระแทก เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ส่วนควบที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากของผู้ใช้รถยนต์ เนื่องจากโช้คอัพนั้นมีหน้าที่รองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับขี่บนพื้นถนนที่มีความแตกระดับกัน โช้คอัพมีหน้าที่รองรับและปรับระดับและการทรงตัวของรถ ซึ่งจะสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์และง่ายดายยิ่งขึ้น เมื่อไหร่ที่โช้คอัพทำงานด้อยลงหรือเกิดการเสียหายขึ้น นั่นก็จะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าเรารู้และสามารถสัมผัสได้ว่าโช้คอัพของเราเริ่มเสื่อมคุณภาพลงแล้ว หรือโช้คอัพเกิดการเสียหายขึ้นแล้ว ก็จะทำให้เราขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น มีวิธีสังเกตอย่างไรบ้างเราไปดูกันที่ละหัวข้อเลยครับ

    shock5

    • ตรวจสอบกระบอกโช้คอัพ
      วิธีนี้อาจจะต้องมีการก้มมุดกันบ้าง แต่ชัวแน่นอนครับ ใช้แม่แรงยกรถขึ้นให้สูงจากพื้นเพื่อการก้มมองที่สะดวกและง่ายขึ้น ให้ดูที่กระบอกโช้คอัพว่ามีคราบน้ำมันอยู่หรือไม่ ถ้าเห็นคราบน้ำมัน ให้สันนิฐานได้เลยครับว่าโช้คอัพของเราเกิดอาการรั่วขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ชัวให้เอาผ้าเช็ดตัวโช้คอัพให้สะอาดแล้วลองขับใช้งานสักสองสามวันแล้วค่อยมายกดูใหม่ ถ้ามีคราบน้ำมันให้เห็นให้ฟันธงได้เลยครับว่ารั่วแน่นอน
    • ใช้มือกดตัวรถที่ด้านหน้าและด้านหลัง
      วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการทดสอบอาการของโช้คอัพครับ ว่ายังสมบูรณ์อยู่หรือป่าว ให้ออกแรงกดที่ตัวรถในตำแหน่งของโช้คอัพหรือในตำแหน่งของล้อหน้าหรือล้อหลังนั่นเองครับ ออกแรงกดลงไปหนึ่งครั้งแล้วปล่อยมือออกทันที หลังจากที่ปล่อยมือออกแล้วถ้ารถเด้งขึ้นมาครั้งเดียวอาการแบบนี้คือการทำงานของโช้คอัพปกติครับ แต่ถ้าเราปล่อยมือจากการกดหนึ่งครั้งแล้วสัมผัสจากสายตาได้ว่าตัวรถมีการเด้งขึ้นเด้งลงเหมือนสปริง นั่นแสดงว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อมสภาพลงแล้ว อาจเกิดการรั่วไหลของน้ำมันในกระบอกโช้คก็เป็นได้ จึงทำให้การทำงานของโช้คอัพด้อยลง
    • ขับด้วยความเร็วรถเริ่มมีอาการไม่นิ่ง
      วิธีนี้อาจจะต้องใช้ประสบการณ์กันบ้าง แต่สำหรับผู้ที่ขับรถเป็นประจำก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอนครับสำหรับการจับอาการของรถ เมื่อเราขับรถด้วยความเร็วบนถนนที่เรียบแล้วรู้สึกว่ารถมีอาการที่จะต้องเติมพวงมาลัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปกติถ้าขับบนถนนเรียบๆตรงๆยาวๆ เราจะถือพวงมาลัยนิ่งๆแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าต้องดึงซ้ายทีขวาที นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่ควรจะต้องเข้าทำการตรวจสอบระบบช่วงล่างหรือโช้คอัพกันได้แล้วครับ
    • จั๊มคอสะพานแล้วเด้งหลายครั้ง
      โดยปกติแล้วการทำงานของโช้คอัพที่ยังคงประสิทธิภาพอยู่นั้นเมื่อราขับผ่านเนินที่มีขนาดใหญ่หรือขับขึ้น-ลงคอสะพานที่มีความต่างระดับกันด้วยความเร็วประมาณ 50-60km โช้คอัพจะมีการยุบตัวลงแล้วค่อยๆยืดตัวขึ้นสัมผัสได้ถึงความนิ่มนวนแต่ถ้าอาการของโช้คอัพไม่ปกติ เมื่อลงคอสะพานมาแล้วตัวรถจะเด้งขึ้นเด้งลงจนเราสามารถสัมผัสได้ว่าไม่ปกติ
    • ขับผ่านทางที่มีหลุมเล็กๆติดต่อกันแล้วรถไม่นิ่ง
      อาการแบบนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่คงจะสัมผัสกันได้ไม่ยาก หลายๆท่านคงเคยขับผ่านถนนที่กำลังสร้างหรือทางลูกลังแบบผิวไม่เรียบ เมื่อขับแล้วรู้สึกว่าตัวรถมีอาการเด้งเป็นพิเศษหรือสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนภายในรถ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณบอกว่าโช้คอัพเริ่มเสื่อสภาพแล้ว

    shock6

    เป็นยังไงบ้างครับ แต่ละอาการที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ใครเคยเจอกันบ้าง สำหรับใครที่ไม่เคยเจอก็ควรที่จะรู้ไว้และควรที่จะสัมผัสอาการความเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพื่อที่จะได้สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีในกรณีที่เกิดความเสียหายกับโช้คอัพของเรา แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ควรที่จะขับรถกันด้วยความไม่ประมาทเพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุกันได้แล้วครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment