-
ของเหลวในรถมีอะไรบ้างแล้วควรถ่ายเมื่อไหร่ ?
รถยนต์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหน รถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งยานพาหนะที่ช่วยให้เราไปถึงที่หมายได้ด้วยความสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นเรามาดูแลรถยนต์ให้อยู่กับเราไปนานๆ กันดีกว่าครับ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าสำหรับในคอลัมน์นี้ ผู้ที่ใช้รถอยู่เป็นประจำหรือนานๆใช้ทีก็ไม่ควรพลาดครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการถ่ายของเหลวที่อยู่ในรถคู่ใจของเรา มีอะไรบ้างและควรจะถ่ายในระยะกิโลที่เท่าไหร่นั้นต้องไปติดตามดูกันครับ
หลายคนอาจมองข้ามหรือไม่รู้เลยก็ว่าได้ว่าในรถหนึ่งคันนั้นมีอะไรที่เป็นของเหลวบ้างและของเหลวเหล่านี้ที่เป็นกลไกลในการขับเคลื่อนรถมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะกิโลที่กำหนด ถ้าไม่มีการเปลี่ยนถ่ายตามระยะที่กำหนดอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรืออาจจะทำให้การทำงานด้อยประสิทธิภาพลง เพราะฉะนั้นแล้วจึงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผู้ที่ใช้รถไม่ควรมองข้าง ถามว่าของเหลวที่อยู่ในรถมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันทีละอย่างเลยครับ
- น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา 5,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่อง กึ่งสังเคราะห์ 7,500-8,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 10,000-15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่อง น่าจะเป็นของเหลวลำกับต้นๆ ที่คนทั่วไปรู้จักกันอีก เนื่องจากน้ำมันเครื่องยนต์มีรอบ/การเปลี่ยนถ่ายค่อนข้างบ่อย ประกอบกับมีการโฆษณาคุณสมบัติน้ำมันเครื่องยนต์โดยแต่ละผู้ผลิตจำนวนมากตาม สื่อต่างๆ จนทำให้คนเริ่มคุ้นเคยมากขึ้น น้ำมันเครื่องยนต์ปัจจุบัน มีหลายเกรด สิ้นค้า โดยพื้นฐานที่สุด คือน้ำมันเครื่องยนต์ธรรมดา เป็นเกรดแบบที่ใช้พื้นฐานจากน้ำมันตามธรรมชาติมาผสมเพื่อให้ได้การหล่อลื่น และลดความร้อนในระหว่างการทำงานที่ดี ปัจจุบันน้ำมันแบบนี้มีขายน้อยมากแล้วในตลาด แต่ก็ยังมีขายอยู่และได้รับความนิยมบ้างเนื่องจากราคาไม่แพงน้ำมันเครื่องเกรดต่อมา คือ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ น่าจะเรียกว่าเป็นพื้นฐานของน้ำมันเครื่องยนต์ในยุคนี้ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ คือการเอาน้ำมันเครื่องเกรดปกติมาผสมสูตรด้วยส่วนผสมที่ปรุงแต่งขึ้นมา ทำให้ มีราคาแพงกว่าเกรดปกติ แต่มีข้อดี คือระยะเปลี่ยนถ่ายยาวนานขึ้น
- น้ำยาหม้อน้ำ
น้ำยาหม้อน้ำ เปลี่ยนทุกระยะ 50,000 กิโลเมตร น้ำยาหม้อน้ำ หรือบางคนอาจจะเรียกน้ำยาหล่อเย็น เป็นของเหลวที่คุณควรจะใส่ใจเนื่องจากเป็นระบบที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องยนต์ และบ้านเราก็อยู่ในสภาวะพื้นที่อากาศค่อนข้างร้อนพอสมควรน้ำยาหม้อน้ำคือปราการด่านสำคัญ ช่วยลดอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ โดยปกติแล้ว น้ำยาหม้อน้ำ จะต้องเปลี่ยนทุกๆ 50,000 กิโลเมตร เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด ที่สำคัญราคาค่าเปลี่ยนน้ำยาหม้อน้ำ ไม่แพงเท่าการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์ จึงอยากแนะนำให้เปลี่ยนเมื่อถึงเวลา เพราะสามารถป้องกันเครื่องยนต์ฮีทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- น้ำมันเบรก
ระยะเปลี่ยนน้ำมันเบรก ทุก 80,000 กิโลเมตร หรือ 3 ปี น้ำมันเบรก ในรถทุกคัน ใช้เพื่อเป็นแรงดันส่งไปดันแม่ปั้มเบรกเพื่อกดผ้าเบรก ลงบนจานเบรกให้เกิดแรงเสียดทาน และหยุดรถได้โดยสำเร็จ ช่างบางคนมักจะบอกว่า น้ำมันเบรกควรเปลี่ยนเมื่อสกปรก หรือเริ่มดำไม่ใส ทว่าในความเป็นจริงน้ำมันเบรกไมได้สัมผัสกับความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเบรก โดยตรง ทำให้ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเมื่อมีคราบดำในน้ำมัน ผิดกับน้ำมันเครื่องที่ชะและถ่ายเทความร้อนจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์โดย ตรง จนบางคนเข้าใจผิดว่าน้ำมันเบรกต้องเปลี่ยนทันทีเมื่อมีคราบดำในน้ำมัน หรือมีสีไม่ใส เว้นแต่เบรกคุณเริ่มมีอาการแปลกๆในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะ อาการ “เบรกจม” ซึ่งเหมือนคุณเหยียบเบรกแล้วเบรกไม่อยู่ ต้องย้ำเบรก แบบนี้อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกก่อนระยะตามกำหนด หรือ ในบางพื้นที่เบรกถูกใช้งานหนักบ่อยๆ เช่นการขึ้นลงเขา น้ำมันเบรกอาจจะเสื่อมคุณภาพ หากเริ่มมีอาการเบรกเฟดบ่อยขึ้นในระหว่างการใช้งาน ก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างไรก็ดี ถ้าคุณโชคดีว่า ไม่เคยพบปัญหาอะไรในการใช้งาน โดยมาก น้ำมันเบรกจะมีอายุได้ถึง 80,000 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 3 ปี แล้วแต่ว่าอะไรถึงก่อน (ถ้าพ้น 3 ปีแล้ว ควรเปลี่ยนทันทีเนื่องจากน้ำมันเบรกอาจจะเสื่อมคุณภาพในการใช้งาน)
- น้ำมันเพาเวอร์
ระยะเปลี่ยนน้ำมัน พาวเวอร์ทุก 80,000 กิโลเมตรน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ปัจจุบันอาจจะไม่มีในรถบางรุ่นแล้ว เนื่องจากรถยนต์ในปัจจุบัน หันมาใช้พวงมาลัยไฟฟ้าแทน แต่ถ้ารถคุณยังมีอยู่ โดยเฉพาะรถรุ่นเก่าๆ อย่าละเลยเด็ดขาด คุณควรจะเปลี่ยนน้ำมันพาวเวอร์ ทุก 80,000 กิโลเมตร แม้ว่าน้ำมันพาวเวอร์อาจจะไม่ส่งผลอะไรอย่างชัดเจน จนเป็นอันตรายถ้าไม่เปลี่ยนถ่าย .. แต่ถ้าคุณละเลย โดยมากชุดแร็คพาวเวอร์ก็จะพังไปก่อน อย่างไรเสียก็เปลี่ยนน้ำมันพาวเวอร์ให้ไวด้วย
- น้ำมันเกียร์ –น้ำมันเฟืองท้าย
น้ำมันเกียร์-เฟืองท้าย ระยะเปลี่ยนถ่าย 40,000 กิโลเมตรน้ำมันเกียร์ คือน้ำมันที่ทำหน้าที่ในการลดการสึกหรอและความร้อนระหว่างการทำงานของชุด เกียร์ ซึ่งปกติน้ำมันเกียร์ควรจะเปลี่ยนถ่ายโดยช่างผู้เชี่ยวชาญในศูนย์บริการรถ ยนต์ยี่ห้อที่คุณใช้อยู่ระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์จะกระทำทุกๆ 4 หมื่นกิโลเมตร และไม่ควรจะเกินระยะการเปลี่ยนถ่ายดังกล่าว เนื่องจากน้ำมันเกียร์เดิม อาจจะมีคราบเขม่าสะสมจากการใช้งานจำนวนมาก และทำให้การหล่อลื่นอาจจะด้อยประสิทธิภาพในการใช้งานลงไป แถมถ้าเกียร์พังขึ้นมายกเปลี่ยนใหม่ราคานับแสนไม่คุ้มกันหรอกครับจึงไม่แปลกที่บางครั้งคุณเข้าไปเช็คระยะกับศูนย์บริการก่อนระยะ 40,000 กิโลเมตร จะโดนบังคับให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์โดยทันที ไม่ว่าในรถคุณจะเป็นเกียร์ออโต้ คลัทช์คู่ CVT หรือเกียร์ธรรมดา จะอยู่ในระยะเดียวกันนี้หมด ส่วนน้ำมันเฟืองท้าย คือน้ำมันของชุดขับเกียร์ลงล้อ หรือเฟืองขับสุดท้ายก่อนจะยังเพลา ซึ่งจะต้องเปลี่ยนในระยะเดียวกัน แต่จะมีสูตรน้ำมันต่างจากน้ำมันเกียร์ ให้ศึกษาจากศูนย์บริการ หรือคู่มือประจำรถให้ดี
อ่านคอลัมน์นี้จบแล้วทางทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะมีหลายๆท่านต้องวิ่งไปเช็คระยะกิโลรถคันโปรดกันบ้างไม่มากก็น้อยแหละครับ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนถ่ายของเหลวในระยะที่กำหนดก็จะช่วยให้รถคันโปรดอยู่กับเราไปได้นานและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ท้ายที่สุดก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทด้วยนะครับ….สวัสดีครับ…!!
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
แต่งรถยังไงให้พี่จ่าไม่จับ
เปิดมาเจอคอลัมน์นี้เหล่าบรรดาขาซิ่งหรือผู้ที่มีใจรักในการแต่งรถต้องเบรกกันหัวทิ่มหัวต่ำ เลี้ยวเข้ามาอ่านกันเลยทีเดียว เพื่อที่จะได้ขับรถคันโปรดของตัวเองผ่านเข้าด่านได้อย่างสบายใจ ใบขับขี่และเงินในกระเป๋ายังคงอยู่ที่เดิม เรียกได้ว่าแต่งรถได้ดั่งใจ ไม่ขัดใจพี่จ่า ก็อย่างว่าแหละครับบ้านเมืองมีขื่อมีแป จะทำอะไรก็ต้องเคารพกฎหมายกันบ้าง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมาก ว่าแต่ว่าแต่งแบบถูกกฎหมายมันจะทำได้จริงมั้ยต้องเข้าไปดูกันครับในคอลัมน์นี้
จะว่าไปแล้วถ้าพูดกันถึงเรื่องของการแต่งรถนั้น ถ้าจะทำให้มันถูกกฎหมาย ในบางทีบางครั้งมันก็อาจจะดูเหมือนขัดแย้งกันไปบ้าง แต่ที่จริงแล้วถ้าได้มาเจอกันคนละครึ่งทางระหว่างความถูกกฎ กับความถูกใจมันก็พอที่จะจูงมือไปด้วยกันได้ แต่จะแต่งแบบไหนถึงจะถูกต้องนั้นเราไปดูกันทีละหัวข้อเลยครับ
- โหลดเตี้ย เป็นความพยายามและความเข้าใจของคนแต่งรถว่า รถที่เตี้ยต่ำจะยึดเกาะกับถนนได้ดีขึ้นซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทั้งหมด การยึดเกาะที่ดีของรถยนต์ยังเกิดขึ้นจากช่วงล่างที่สมบูรณ์ ยางที่สดใหม่และอยู่ในสภาพดี สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการโหลดรถตาม พรบ.รถยนต์ พ.ศ. 2522ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ารถที่โหลดเตี้ยจะต่ำแค่ไหนก็ได้ โดยยึดหลักเพียงการวัดระยะกึ่งกลางไฟหน้า กับระดับพื้นถนนต้องไม่ต่ำกว่า ถ้าต่ำกว่าถือว่าผิด แต่ถ้าไฟหน้าสูงกว่าแต่รถใส่สปอยเลอร์จนเตี้ยต่ำแทบจะลากพื้น จะใช้กฎการพินิจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนายช่างตรวจสภาพกรมการขนส่งทางบก และผู้วินิจฉัยผล ตรอ. ว่าเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นหรือไม่ ถ้าฟันธงว่าเสี่ยงก็ถือว่าผิดได้เช่นกันครับ
- ยกสูง รถยนต์แบบออฟโรดที่มีสัดส่วนความสูงมากกว่ารถเก๋งเนื่องจากสภาพการใช้งานที่ต้องบุกป่าฝ่าทางวิบาก หากใต้ท้องรถไม่สูงพอก็อาจติดกับร่องทางหรือหล่มโคลนจนไปต่อไม่ได้ ใน พรบ.รถยนต์ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จะยกสูงแค่ไหน แต่ต้องวัดระดับกึ่งกลางไฟหน้ากับพื้นถนนต้องไม่สูงกว่า แต่ถ้าไฟหน้าสูงไม่เกิดแต่รถโด่งมาก มีการดัดแปลงสภาพมากทั้งเสริมโช้คยกตัวถัง การปรับแต่งรถแบบยกสูงมากนั้นต้องมีหนังสือจากวิศวกรรองรับการดัดแปลงสภาพ และต้องแจ้งกับกรมการขนส่งทางบกว่ามีการดัดแปลงเพื่อใช้งานในเขตทุรกันดาน แต่ถ้ายกไม่สูงมาก แต่ใส่ยางใหญ่เกินจนล้นออกมาข้างตัวรถมากๆ เกินบังโคลนล้อ ก็ต้องใช้หลักดุลพินิจอีกเช่นกันว่าเสี่ยงต่อผู้ร่วมใช้ถนนหรือไม่
- ใส่ล้อ 18/19/20/22 แบบเต็มซุ้มเพื่อความหล่อและอำนาจของการยึดเกาะ ในกำหมายไม่มีการระบุขนาดของล้อและขนาดก็ไม่ได้มีผลการเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น จะใส่ล้อใหญ่ขอบ 18/19/20หรือ22ก็สามารถทำได้แบบสะดวก แต่ถ้าใส่แล้วยางล้นเกินออกมานอกบังโคลนล้อข้างละหลายนิ้ว เจ้าหน้าที่ที่ตั้งด้านได้ตรวจพบว่าอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความเดือนร้อนแก่ผู้อื่น ก็ถือว่าผิดได้หรือใส่ล้อใหญ่จนต้องแบะล้อเพื่อหลบซุ้ม การทำแบบนั้นนอกจากรถจะไม่เกาะถนนแล้วยังเป็นการทำร้ายช่วงล่างอย่างรุนแรงอีกด้วย
- ดึงโป่ง WIDE BODY ซึ่งในปัจจุบันเริ่มลดน้อยลงไปมากเนื่องจากรถยนต์สมัยใหม่มีโป่งล้อมาให้แบบจุใจ ในกฎหมายไม่ได้ระบบไว้ชัดเจนในเรื่องของโป่งล้อ แต่ก็มีระบบไว้ว่า ส่วนที่ตียื่นต้องมีลักษณะเป็นชิ้นเดียวกับตัวรถหรือถ้าเป็นวัสดุคนละชิ้นกันต้องมีการยึดติดอย่างแน่นหนา ถ้าไม่แน่นหนาหรือตีโป่งยื่นออกมามาก เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ขอตรวจดูสำเนาการจดทะเบียนว่ามีการดัดแปลงเกินกว่าที่จะทะเบียนไว้หรือไม่ โดยอ้างอิงจากบริษัทผู้ผลิตถึงขนาดตัวรถและฐานล้อ วึ่งต้องใช้วิศวกรรับรองการดัดแปลงสภาพ และต้องแจ้งกับกรมการขนส่งทางบก ถ้าขนส่งตรวจแล้วลงความเห้นว่าผ่านก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ผ่านก็ต้องเลาะออกกันไปตามระเบียบ
- ฝากระโปรงหน้า-หลัดำ ฝากระโปรง หลังคา คาร์บอน นักแต่งรถส่วนมากมักนิยมเปลี่ยนฝากระโปรงแบบเดิมให้กลายเป็นฝาแบบคาร์บอน เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความขลังในมุมมอง หากทำการพ่นเป็นสีเดียวกับตัวรถ ที่จดทะเบียนไว้ถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าเปลี่ยนสีฝากระโปรงเป็นสีดำ หรือสีอื่น ที่ไม่ตรงกับสีตัวรถ เจ้าหน้าที่จะพิจารณาตามกฎที่ว่า รถยนต์ที่จะทะเบียนจะมีการระบุสีตัวรถไว้อย่างชัดเจน ไม่รวมสีของกันชนรถ โดยสีอื่นต้องมีไม่เกินครึ่งหนึ่งของสีหลักที่จดทะเบียนไว้ เช่น ในกรณีรถระบุไว้ในทะเบียนว่าเป็นสีขาวแต่ฝากระโปรงหน้าเป็นสีดำ เจ้าหน้าที่พินิจแล้วไม่เกินครึ่งหนึ่งก็ถือว่าไม่ผิด แต่พินิจว่าผิดก้ถือว่าผิดได้เช่นกัน แต่ถ้าดำทั้งฝากระโปรงหน้าและหลังส่วนมากจะพินิจว่าผิด เกิด 50%ของสีหลัก ซึ่งเจ้าของรถต้องนำรถเข้าไปแจ้งเปลี่ยนสี ว่าเป็นรถสองสี กับกรมการขนส่งทางบกเสียก่อน ถ้าไม่แจ้งก็อาจต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000บาท
- เปลี่ยนท่อไอเสีย/เฮดเดอร์ จะเปลี่ยนท่อใหญ่ 3นิ้ว 4นิ้ว จะมีหม้อพักกี่ใบ หรือจะไม่มีหม้อพักเลยก็ได้แต่หม้อพักต้องปล่อยออกทางท้ายรถเท่านั้น ถ้าออกข้างตัวรถก็ถือว่าผิดทันที ตามกฎหมายจะระบุไว้แค่การวัดเสียงดังที่ปล่อยออกจากปลายท่อตาม พรบ.รถยนต์ระบุว่า รถยนต์ที่เกิน7ปี ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพ ณ สถานตรวจสภาพ เพื่อตรวจวัดระดับเสียงที่ปลายท่อไอเสียด้วยเครื่องวัด ผลที่ได้ต้องไม่เกิด 100เดซิเบล วัดที่ 3/4รอบที่ให้แรงม้าสูงสุด
- ไฟหน้าหลายสี ไฟซี่นอนกำลังส่องสว่างแรงสูง ไฟท้ายขาวใสแนวซิ่ง โคมขาว โคมดำ พ่นสีดำ ที่โคมไฟหน้าและไฟท้าย ปัจจุบันไฟหน้าแบบซีนอน ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับ จึงอนุญาตให้ติดได้ เพียงแต่ติดตั้งแล้วเมื่อแครื่องมือทดสอบโคมไฟลำแสงต้องมีองศาตกลงจากแนวระนาบ ไม่น้อยกว่า 2 องศา และต้องไม่เบนไปทางขวา ถึงเรียกว่าผ่าน ส่วนเรื่องสีของไฟ โคมไฟหน้าทางกรมกำหนดไว้เพียง 2สีเท่านั้น คือสีเหลืองอ่อน และสีขาว ถ้าเป็นสีอื่น เช่น สีฟ้า สีม่วง สีเหลืองเข้มหรือสีเขียว มีความผิดแน่นอน ส่วนไฟเบรกต้องเป็นสีแดง ไฟเลี้ยงต้องเป็นสีเหลืองอำพัน ไฟส่องป้ายทะเบียนต้องเป็นสีขาวมองเห็นป้ายทะเบียนได้ไกลไม่น้อยกว่า 20เมตร
- ไฟสปอร์ตไลต์ และโคมไฟตัดหมอก ติดตั้งอย่างไรถึงจะไม่ผิด โคมไฟสปอร์ตไลต์ หมายถึง โคมไฟแสงพุ่งไกล แบบกระจายวงกล้าง แบบนี้ห้ามติดโดยเด็ดขาดแม้จะมีฝาครอบปิด ผิด พรบ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 ส่วนไฟตัดหมอกมีลักษณะเป็นไฟแสงพุ่งต่ำ ล่าสุดพรบ.ปี 2536 อนุยาตให้รถยนต์ติดไฟสปอร์ตไลต์หรือไฟตัดหมอกเพิ่มได้ข้างละ 1 ดวง ในระดับแนวเดียวกัน ความสูงจากพื้นถนนไม่ตำกว่า และไม่สุงกว่า 135cm.ต้องเป็นแสงสีเหลืองหรือสีขาว กำลังไฟไม่เกิน 55w ไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสงพุ่งไกลและโคมไฟแสงพุ่งต่ำศูนย์รวมแสงต้องต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นราบไม่น้อยกว่า 2องศาในระยะ 7.5เมตรและไม่เฉไปทางขวา
- ตีโรลบาร์แบบรถแข่ง กฎหมายว่าด้วยห้องโดยสารมีเพียงข้อกำหนด เรื่องของจำนวนที่นั่ง มาตราวัดความเร็ว และไฟห้องโดยสารเท่านั้น ส่วนการตีโรลบาร์ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับจึงไม่ผิด แต่การถอดเบาะหลังออกแล้วตีโรลบาร์ จะผิดกฎหมายเรื่องการระบะลักษณะรถ และจำนวนตอน ถือว่าผิดครับ รวมถึงความแน่นหนาความเสี่ยงต่ำการเกิดอุบัติเหตุ ก็ถือว่าผิดได้อีกเช่นกัน ยิ่งถอดเบาะออกเหลือตัวเดียวหรือตัดตัวถังรถออกบางส่วน แล้วตีโรลบาร์ยึดแบบ SPEC FRAME ถือว่าผิดข้อหาดัดแปลงสภาพที่มีผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวรถ
- ใส่กระจกมองข้างซิ่ง ตามกฎหมายระบุไว้ว่า รถยนต์ต้องมีเครื่องส่องหลัง(กระจกมองหลัง)และเครื่องส่องหลังภายนอก(กระจกมองข้าง)อยางน้อย1อัน ซึ่งไม่ได้ระบุถึงขนาดและรูปแบบ ถ้าเปลี่ยนเป็นกระจกมองข้างแบบไฟเบอร์หรือแบบกระจกซิ่งทรงแข่ง ถ้ามี 2ด้านหรือด้านเดียวก็ถือวาถูกกฎหมาย แต่ถ้าไม่มีกระจกมองข้างหรือกระจกมองหลัง หรือเจ้าหน้าที่ตรวจสภาพ ฟันธงว่า มีเครื่องส่องหลังจรองแต่ชำรุดหรือมองเห็นไม่ชัดเจน ก็ถือว่าผิดครับ
- เปลี่ยนเบาะซิ่งใส่เบล 4จุดแบบรถแข่ง เบาะหรือที่นั่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ทาง พรบ.จริงๆแล้วได้ระบุขนาดความกว้างยางของเบาะเอาไว้ด้วย ซึ่งจะเกี่ยวข้องในการระบุจำนวนผู้ดโดยสาร เบาะแต่งหรือเบาะไฟเบอร์ ส่วนมากมีความถูกต้องในเรื่องขนาด แต่ถ้าถอดเบาะออกไม่ว่าเบาะหลัง ถอดเหลือตัวเดียวหรือสั่งทำเบาะขนาดใหญ่พิเศษแบบนี้จะถือว่าผิดส่วนเซฟตี้เบลล์ทางกรมการขนส่งก็ได้กำหนดมาตรฐาน แต่ถ้ามีการยึดแน่นหนา ก็อนุโลมว่าผ่าน
- ปรับแต่งโมดิฟายเครื่องยนต์ การจะมาวัดกำลังอัพ หาขนาดความจุนั้นทำได้ยาก จึงอาศัยการตรวจดูหมายเลขเครื่องยนต์ว่าถูกต้องตามทะเบียนที่แจ้งไว้หรือไม่เท่านั้น ถ้าเลขเครื่องถูกถือว่าไม่ผิด จะขยายความจุเปลี่ยนลูก ยืดข้อ เสริมเสื้อสูบก็ไม่ผิด หรือไม่ว่าจะเปลี่ยนเทอร์โบใหญ่ ใส่กรองเปลือย เปลี่ยนหัวฉีด ติดกล่องเพิ่มแรงม้า ก็ไม่ผิดครับ เพียงแต่อุปกรณ์ภายในห้องเครื่องต้องดูแล้วแน่นหนาและมีความปลอดภัย แต่ถ้าจูนน้ำมันจนหนามาก เจ้าหน้าที่จะใช้ผลการตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียเป็นข้อกำหนดถึงสภาพเครื่องยนต์
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเรื่องราวของการปรับแต่งรถให้ขับเข้าด่านได้อย่างสบายใจ ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่ข้างต้นแหละครับ เดินมาเจอกันคนละครึ่งทางเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่าลืมพูดจากันด้วยความสุภาพทั้งผู้ใช้รถและผู้ถือกฎหมาย หนักนิดเบาหน่อยก็ค่อยๆคุยกัน ขอกันดีๆพี่จ่าคงไม่ใจร้ายสำหรับในบางเรื่อง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
จุดเริ่มต้นของเครื่องยนต์ดีเซลจนถึงปัจจุบัน
ห่างหายกันไปนานกับเรื่องราวเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ กลับมาในครั้งนี้เป็นเรื่องของเครื่องยนต์ที่กำลังเป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากในยุคสมัยนี้ จะเป็นเครื่องยนต์อะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เครื่องยนต์ดีเซลนั่นเองครับ ก่อนจะมาเป็นเครื่องคอมมอนเรลที่โด่งดังจนถึงทุกวันนี้ ระบบเครื่องยนต์ดีเซลมีเทคโนโลยียังไงบ้างในคอลัมน์นี้มีให้เพื่อนๆได้ศึกษาหาความรู้กันอย่างแน่นอนครับ
หากคุณอยากรู้เรื่องต้นกำเนิดของระบบคอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่นที่เป็นพัฒนาการล่าสุดของเครื่องยนต์ดีเซลปัจจุบัน คงต้องเริ่มต้นจากทฤษฎี THE THEORY AND CONSTRUCTION OF A RATIONAL HEAT ENGINE นักประดิษฐ์ชาวเยอรมันนามว่า รูดอล์ฟ ดีเซล (RUDOLF DIESEL) คิดค้นขึ้นมาในปี2436 ซึ่งกล่าวถึงเครื่องยนต์ที่จุดระเบิดโดยอาศัยความร้อนที่เกิดจากแรงดันสูงจากลูกสูบโดยไม่ต้องใช้หัวเทียนจนนำไปสู่การผลิตเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกแรกของโลก
วิวัฒนาการของเครื่องยนต์ดีเซลยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของการใช้งานทั้งแรงม้าและแรงบิด ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและทนทาน
จนมาถึงเครื่องยนต์ดีเซลแบบสเวิร์ลแชมเบอร์ (SWIRL CHAMBER) หรือ ห้อเผาไหม้แบบอากาศหมุนวนที่คุ้นเคยในตลาดปิกอัพเมืองไทยมานาน ระบบนี้แบ่งห้องเผาไหม้ออกเป็น 2 ส่วน มีห้องเผาไหม้ล่วงหน้าทำหน้าที่ผสมน้ามันชื้อเพลิงกับอากาศเพื่อเผาไหม้ล่วงหน้า ก่อนที่การเผาไหม้นั้นจะลุกลามไปที่ห้องเผาไหม้หลักเครื่องยนต์ดีเซลแบบนี้มีจุดเด่นในด้านความสะอาจของไอเสีย และได้กำลังอย่างเต็มที่ เพราะอากาศและน้ำมันมีการคลุกเคล้าทั่วถึงกว่าทำให้มีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีดีเซลที่ได้รับการพัฒนาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันคือ ไดเร็คอินเจคชั่น (DIRECT INJECTION)ซึ่งมีห้องเผาไหม้แบบปิดและส่งน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง จุดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล Di คือ ความประหยัดน้ำมัน แต่ก็มีข้อเสียในเรื่องสมรรถนะเสียงดังเครื่องยนต์สั่นสะเทือนมากตลอดจนให้ค่ามลพิษสูงโดยเฉพาะค่าก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ในไอเสีย แต่ทั้ง2ระบบยังถูกพัฒนาต่อไปเพื่อการทำงานที่สมบูรณ์แบบมากด้วยการติดตั้งเทอร์โบเปลี่ยนฝาสูบเป็นแบบทวินแคมหรือนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาควบคุมการทำงาน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่อง
ปัจจุบันพัฒนาการล่าสุดของเครื่องยนต์ดีเซล คือระบบคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่น(COMMONRAIL DIRECT INJECTION : CDI) ซึ่งรวมคุณสมบัติเด่นของทั้ง2ระบบข้างต้นไว้ด้วยกัน โดยการจ่ายน้ำมันผ่านท่อร่วมรางเดี่ยวด้วยปั้มแรงดันสูงภายภายใต้การควบคุมของระบบคอมพิวเตอร์ทำให้มีพล้งขับเคลื่นที่ดียิ่งขึ้น ทั้งแรงม้าและแรงบิด ในทุกรอบเครื่องยนต์มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ มีความทนท่านในการช้งาน และที่สำคัญมีมลพิษเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ระบบคอมมอนเรลจึงเป็นเทคโนโลยีดีเซลล่าสุดที่ถูกเลือกใช้ติดตั้งในรถยนต์นั่งระดับหรูหลายยี่ห้อในยุโรปและมีแนวโน้มของการใช้งานจนเกิดกระแสตอบรับจากผู้ใช้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด ถูกติดตั้งอยู่ในรถกระบะพลังแรงที่ใครก็อยากเป็นเจ้าของ
การทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล
ข้ามข้อจำกัดของเครื่องยนต์ดีเซล รุ่นเดิมๆ อย่างระบบสวิร์ลแชมเบอร์และไดเร็คอินเจคชั่น ด้วยความล้ำหน้าของเทคโนโลยีดีเซลสมัยใหม่ที่สามารถตอบสนองต่อการขับชี่ได้อย่างสมบรูณ์แบบ ทั้งด้านสมรรถนะ อัตราความสิ้นเปลืองน้ำเพลิง และความทนทานของการใช้งาน ระบบคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่นหรือ CDI (COMMONRAIL DIRECT INJECTION) ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้งานกับรถยนต์นั่งในระดับหรูหราที่เน้นทั้งแรงม้า-แรงบิดและความนุ่มนวลในการทำงานพื้นฐานความประหยัดน้ำมันชื้อเพลิง ในครั้งนี้เราจะอธิบายหลักการทำงานของเครื่องยนต์คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่น โดยละเอียดมากขึ้น
หัวใจสำคัญของระบบคอมมอนเรล คือ การสร้างแรงดันน้ำมันสูงรอไว้ในท่อเพื่อจ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง น้ำมันที่ถูกฉีดเข้าสู่ห้องเผาไหม้จะมีลักษณะเป็นละอองฝอยคล้ายละอองแป้ง เพื่อเพิ่มความสามารถในการผสมกับไอดี และเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การทำงานทั้งหมดจะเริ่มต้นโดยอาศัยปั้มแรงดันสูงที่สามารถจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยแรงดันที่สูงถึง 1,377 บาร์ หรือสูงกว่าเครื่องยนต์ดีเซล ไดเร็คอินเจคชั่นทั่วไปถึง 8 เท่าน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกสูบผ่านเข้ามารอในรางน้ำมันคอมมอนเรลด้วยแรงดันน้ำมัน เพื่อทำหน้าที่รักษาและควบคุมแรงดันของน้ำมัน ที่ถูกส่งมาจากปั๊มแรงดันสูงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขับขี่ก่อนที่หัวฉีดอิเล็กทรอนิกศ์ซึ่งมีรูฉีดน้ำมันถึง 6 รูต่อหัว จะจ่ายน้ำมันที่มีลักษณะเป็นฝอยเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง โดยการทำงานของหัวฉีดจะเป็นแบบ 2 ครั้ง ใน 1 จังหวะด้วยการฉีดน้ำมันนำร่องต (PILOT INJECTION) ก่อนทำการฉีดจริง ซึ่งจะช่วยลดระดับเสียงดังที่เกิดจากการจุดระเบิด
นอกจากนั้นการทำงานในทุกขั้นตอนของระบบคอมมอนเรล ไดเร็ลอินเจคชั่น จะถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยข้อมูลที่ถูกส่งมาจากส่วนต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์ของเพลาข้อเหวี่ยงตำแหน่งคันเร่ง อุณหภูมิอากาศ ฯลฯ นำมาประมวลผลเพื่อให้มีการสั่งจ่ายน้ำมันช้อเพลิงอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับความเร็วรอบเครื่องยนต์ส่งผลให้เครื่องมีสมรรถนะดีขึ้น แรง ประหยัดน้ำมัน เงียบ สั่นเทือนน้อย มลพิษในไอเสียเสียต่ำ ค่าบำรุงรักษาต่ำ และมีความทนทานสูง
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ดีเซล กว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลให้สายควันดำได้ขับมันส์ๆในปัจจุบันนี้ มีจุดเริ่มต้นที่ไม่น่าเชื่อกันเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าเครื่องยนต์จะแรงแค่ไหน ก็อย่าลืมขับขี่กันด้วยความไม่ประมาทละครับ ด้วยความห่วงใยจากทีมงาน REALTIME CAR MAGAZINE
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
น้ำมันเชื้อเพลิงมีกี่ประเภทรู้กันหรือไม่ ?
สำหรับคอลัมน์นี้ว่ากันด้วยเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง ยุคสมัยเปลี่ยนไปอะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหมือนอย่างเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง ในสมัยก่อนจะเติมน้ำมันทีก็ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย มีแค่เบนซินธรรมดากับเบนซินพิเศษ แต่พอมาถึงยุคนี้ซิ่ โอ้..โห..ขับรถเข้าปั๊มทีมีให้เลือกจนตาลายกันเลยทีเดียว ทำเอามือใหม่ต้องงงกันไปบ้างไม่มากก็น้อย ในคอลัมน์นี้เราจะพาไปทำความรู้จักกันครับว่าน้ำมันแต่ละประเภทมันแตกต่างกันอย่างไรและแบบไหนที่จะเหมาะกับรถคุณ
– น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 น้ำมันชนิดนี้ รถทุกคันที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเบนซิน สามารถใช้ได้หมด เนื่องจากเป็นน้ำมันที่ไม่มีส่วนผสมของ เอทิลแอลกอฮอล์ และมีออกเทนที่ให้ค่าสูง มีการเผาไหม้ที่ดีที่สุดของน้ำมันในขณะนี้ และมีการป้องกันการน็อคของเครื่องยนต์สูง การเผาไหม้ของเครื่องยนต์จึงสมบูรณ์ และให้กำลังของการจุดระเบิดสูงตามมา สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว แต่ติดตรงที่มีราคาที่สูงกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ เป็นกฎธรรมชาติที่ว่า ของดีต้องแพงไว้ก่อน
– น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 น้ำมันชนิดนี้ รถทุกคันอาจจะสามารถใช้ได้ ยกเว้นรถที่มีระบุไว้ว่า เติมน้ำมันชนิด เบนซินออกเทน 95 เท่านั้น ซึ่งหากเราฝืนเติมออกเทน 91 เข้าไปในรถที่มีระบุคำว่า เบนซินออกเทน 95 อาการที่รถจะแสดงออกมาให้เราทราบว่าใช้น้ำมันผิดประเภท ก็อาจจะแค่เครื่องยนต์สะดุด เดินเบาไม่เรียบ แต่รถสามารถวิ่งได้ เป็นน้ำมันที่ไม่มีส่วนผสมของ เอทิลแอลกอฮอล์ และมีค่าออกเทนที่ให้ค่าต่ำกว่าออกเทน 95 ลงมา สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว เป็นรอง ออกเทน 95 เล็กน้อย แทบจะไม่เห็นผล ต้องพิสูจน์ด้วยการนำรถเข้า Test ที่ห้องแล็บ จึงจะรู้ได้อย่างชัดเจน น้ำมันชนิดนี้จะหาเติมได้ยาก เพราะบางปั๊มไม่มีให้บริการ เนื่องจากมีชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงอื่นเข้ามาแทนที่ได้ ส่วนราคาสูงรองมาจาก ออกเทน 95
– น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 95 น้ำมันชนิดนี้เป็นการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานมาผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน เบนซินพี้นฐาน 9 ส่วน : เอทานอล 1 ส่วน โดยค่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์จะขึ้นอยู่กับค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินพื้นฐานแต่ละชนิด หากนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานออกเทน 91 จำนวน 9 ส่วน ผสมกับเอทานอล 1 ส่วน จะได้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 สามารถเลือกแก๊สโซฮอล์ตามค่าออกเทนที่ต้องการใช้มาทดแทนน้ำมันเบนซินได้ทันที น้ำมันชนิดนี้ หากรถที่ไม่มีระบุว่า สามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอล์ ออกเทน 95 ได้ ก็ไม่สมควรที่จะใช้ เพราะจะเกิดการกัดกร่อนจากเอทิลแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่วได้ สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็วเทียบเท่ากับน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้น และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้
– น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 น้ำมันชนิดนี้เป็นการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานมาผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน เบนซินพี้นฐาน 9 ส่วน : เอทานอล 1 ส่วน โดยค่าออกเทนของแก๊สโซฮอล์จะขึ้นอยู่กับค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินพื้นฐานแต่ละชนิด หากนำน้ำมันเบนซินพื้นฐานออกเทน 88 จำนวน 9 ส่วน ผสมกับเอทานอล 1 ส่วน จะได้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 สามารถเลือกแก๊สโซฮอล์ตามค่าออกเทนที่ต้องการใช้มาทดแทนน้ำมันเบนซินได้ทันที น้ำมันชนิดนี้ หากรถที่ไม่มีระบุว่า สามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 ได้ ก็ไม่สมควรที่จะใช้ เพราะจะเกิดการกัดกร่อนจากเอทิลแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่วได้ สมรรถนะการขับขี่ตอบสนองได้เร็ว เป็นรองจากแก็สโซฮอลล์ออกเทน 95 โดยหากรถระบุว่าสามารถเติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ ออกเทน 91 ชนิดนี้ได้ น้ำมันจากข้อที่ 1-3 สามารถนำมาเติมได้ทั้งหมด แต่ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้น และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้ ข้อดีของน้ำมันชนิดนี้คือ ราคาน้ำมันจะย่อมเยาลงมา
– น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ออกเทน 95 หรือเบนซิน E20 น้ำมันชนิดนี้คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการนำน้ำมันเบนซินพื้นฐาน ผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน เบนซิน 80 : เอทานอล 20 ได้เป็นน้ำมัน E20 ซึ่งมีค่าออกเทน 95 ซึ่งมีหลายรายที่นำน้ำมันชนิดนี้มาเติม โดยไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ไม่สามารถรองรับได้ จึงเป็นสิ่งที่คุณควรต้องเช็คก่อนว่ารถยนต์รองรับได้หรือไม่ เนื่องจากเครื่องยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันชนิดนี้ได้ ต้องมีการปรับอุปกรณ์ และปรับอัตราส่วนผสมให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ หากรถที่ไม่ระบุคำว่า ใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ได้ ห้ามนำมาเติมเด็ดขาด เพราะเอทิลแอลกอฮอล์ จะกัดกร่อนทำให้ ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่ว และส่งผลเสียหายเร็วขึ้น เครื่องยนต์จะเร่งไม่ขึ้น มีการสะดุด สตาร์ทติดยาก ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะจะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิง และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้ แต่ถ้าหากรถคุณมีระบุอย่างชัดเจนที่คุ่มือการใช้รถ หรือที่ฝาถังว่าสามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ได้ คำแนะนำคือ หากชอบการประหยัดในการเติมน้ำมัน ไม่เน้นขับรถแบบแรงๆ เติมได้เลยครับไม่มีปัญหาตามมา และน้ำมันตั้งแต่ข้อ 1-4 ก็ยังสามารถใช้กับรถของคุณได้ และมีความประหยัดในการเติมน้ำมันแบบเห็นๆ ส่วนสมรรถนะมีความใกล้เคียงกับออกเทน 95 เนื่องจากเครื่องยนต์มีการออกแบบ และเซ็ทให้สมรรถนะวิ่งได้เหมือนกับ ออกเทน 95 ผลความแตกต่างน้อยมาก แทบจะไม่ค่อยเห็นผล แต่หากเติมเบนซินออกเทน 95 เพียวๆ แล้วเปรียบเทียบดู จะรู้ได้ทันที ในขณะออกตัวหรือเร่งแซง น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E20 ออกเทน 95 จะยังสู้ไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่
– น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 น้ำมันชนิดนี้คือ มีการผสมน้ำมันเบนซินมาตรฐานเข้ากับเอทานอลในสัดส่วน น้ำมันเบนซินพื้นฐาน ผสมกับเอทานอลหรือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วนเบนซิน 15 เปอร์เซ็นต์ : เอทานอล 85 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ น้ำมันชนิดนี้จึงถูกเรียกว่า “E85” ซึ่งมีหลายรายที่นำน้ำมันชนิดนี้มาเติม โดยไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ไม่สามารถรองรับได้ จึงเป็นสิ่งที่คุณควรต้องเช็คก่อนว่ารถเราสามารถใช้ได้หรือไม่ เนื่องจากเครื่องยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันชนิดนี้ได้ ต้องมีการปรับอุปกรณ์ และปรับอัตราส่วนผสมให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ หากรถที่ไม่ระบุว่า ใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ ห้ามนำมาเติมเด็ดขาด และจะเป็นอันตรายสุดๆ เพราะเอทิลแอลกอฮอล์ จะกัดกร่อนทำให้ ท่อยาง, โอริงปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหัวฉีดเกิดการรั่ว และส่งผลความเสียหายเร็วขึ้น เครื่องยนต์จะเร่งไม่ขึ้น สะดุด สตาร์ทติดยาก และอาจจะทำให้สตาร์ทไม่ติดในลำดับต่อมา ไม่เหมาะสำหรับรถที่มีการจอดทิ้งเอาไว้นานๆ เกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพราะเกิดการระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงมากๆ และมีโอกาสที่น้ำมันจะเสียได้ แต่ถ้าหากรถคุณสามารถใช้ได้ มีระบุอย่างชัดเจนที่คู่มือการใช้รถหรือที่ฝาถังให้ใช้น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้ คำแนะนำคือ หากชอบประหยัดในการเติมน้ำมัน ไม่เน้นขับรถแบบแรงๆ เติมได้เลยครับไม่มีปัญหาตามมา และน้ำมันตั้งแต่ข้อ 1-5 สามารถใช้กับรถของคุณได้ คุณจะได้ประทับใจในการเลือกใช้รถรุ่นที่รองรับน้ำมันชนิดนี้ เพราะจะได้ความประหยัดในการเติมน้ำมันแบบสุดๆ สมรรถนะมีความใกล้เคียงกับออกเทน 95 และมีค่าออกเทนที่ได้จากการผสมน้ำมันชนิดนี้อยู่ที่ 107–113 เนื่องจากเครื่องยนต์มีการออกแบบและเซ็ทให้สมรรถนะวิ่งได้เหมือนกับ ออกเทน 95 ผลความแตกต่างน้อยมาก แทบจะไม่ค่อยเห็นผล แต่ข้อเสียคือน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มีผลให้รถยนต์เปลืองน้ำมันมากขึ้น เอทานอลบริสุทธิ์ให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันเบนซินธรรมดา ประมาณ 23% (เอทานอลมีปริมาณหน่วยความร้อน 84,600 บีทียูต่อแกลลอน ส่วนเบนซินบริสุทธิ์ ออกเทน 95 มี 125,000 บีทียูต่อแกลลอน) นั่นหมายถึงจะได้ระยะทางที่วิ่งได้น้อยกว่า แต่หากเติมเบนซินออกเทน 95 เพียวๆ แล้วเปรียบเทียบดู จะรู้ได้ทันที ในขณะออกตัวหรือเร่งแซง น้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 จะแตกต่างอยู่บ้าง
เป็นยังไงกันบ้างครับ กระจ่างแจ้งกันแล้วหรือยังว่าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละแบบนั้นมันแตกต่างกันยังไง ทำไมต้องแบ่งแยกกันหลายแบบเหลือเกิน ทางทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้รถได้ไม่มากก็น้อยครับ…
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
โรลบาร์มีประโยชน์อย่างไร….?
กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับสาระความรู้เกี่ยวกับเรื่องรถ สำหรับในคอลัมน์นี้ผมจะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับอุปกรณ์เซฟตี้อีกหนึ่งอย่างที่รู้จักกันในชื่อของ “โรลบาร์” จัดว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ตกแต่งที่ขาซิ่งบ้านเราให้ความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเมื่อใส่เข้าไปแล้วมันได้ฟิลลิ่งในการขับขี่ซ้ะเหลือเกิน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเรื่องของความปลอดภัย ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โรลบาร์เป็นอุปกรณ์อีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยเซฟชีวิตของเราไว้ได้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปทำความรู้จักกันครับ
โรลบาร์เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับภายในห้องโดยสารในขณะที่รถเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งโรลบาร์จะมีหน้าที่ช่วยรับแรงกระแทกในกรณีที่รถเกิดการพลิกคว่ำ ป้องกันไม่ให้หลังคาหรือส่วนต่างๆที่เกิดจากแรงกระแทกยุบตัวเข้ามาถึงภายในห้องโดยสาร โรลบาร์ส่วนใหญ่จะใช้เหล็กขนาด 1.5 นิ้ว – 1.6 นิ้ว โดยเหล็กจะมีความหนาขนาด 22 มิลลิเมตร การขึ้นรูปนั้นจะมีทั้งการขึ้นแบบ 2 จุด คือเป็นรูปตัวยูคว่ำ โดยจะอยู่บริเวณเสา Bของห้องโดยสารส่วนแบบ 4 จุดก็เพิ่มด้านหน้าหรือด้านหลัง แต่ถ้าเป็นแบบ 6 จุด จะมีการยึดค้ำทั้งหมดเลย ไม่ว่า เสา A, เสาBร, และเสา C รวมไปถึงในตำแหน่งของในตำแหน่งของคาดประตูด้านข้าง ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่จะสามารถซับแรงกระแทกที่จะเกิดจากด้านข้างได้ และอีกหนึ่งอย่างที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงก็คือ โรลบาร์สามารถช่วยให้การขับขี่ในการเข้าโค้งแม่นยำและเฉียบคมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากโรลบาร์ช่วยทำให้รถไม่บิดตัวในขณะที่ต้องใช้ความเร็วและความแรงในการเข้าโค้ง
จุดยึดของโรลบาร์นั้นมีสองแบบด้วยกันคือ
- การยึดแบบใช้น๊อตยึดกับพื้นด้านล่างที่ด้านหน้าตรงกับเสา A ,กลางตัวรถ ตรงกับเสาB,และด้านหลังตรงกับเสาC ซึ่งการยึดแบบนี้สามารถถอดออกได้ ไม่ได้เป็นการยึดติดแบบตามตัว
- การยึดแบบติดกับตัวรถ การติดตั้งโรลบาร์แบบนี้จะนิยมใช้กันในรถแข่งซ้ะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทุกจุดจะถูกเชื่อมติดกับตัวรถไม่ว่าจะเป็นในตำแหน่งของเสา A ,เสา B ,เสา C และถ้าสังเกตดีๆจะเป็นว่าในตำแหน่งหลัก สามตำแหน่งนี้จะมีการดามเพิ่มเติมเพื่อความแข็งแรงที่มากขึ้น
มาพูดกันถึงเรื่องของข้อดีและข้อเสียของการติดตั้งโรลบาร์กันบ้าง แน่นอนที่สุดครับในเรื่องของข้อดีก็คือ มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สามารถลดอุบัติเหตุได้ จากหนักกลายเป็นเบาส่วนเรื่องของข้อเสียนั้นก็คงจะเป็นเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อติดตั้งโรลบาร์เข้าไปอย่างเต็มคันแล้ว และอาจจะดูเกะกะไปบ้างสำหรับรถที่ไม่ได้ใช้ในการแข่งขัน
สามารถได้ตั้งได้อย่างไรสำหรับผู้ที่อยากจะติดตั้ง สำหรับในยุคนี้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ ก็มีให้เลือกกันสองช่องทางสำหรับรถบางรุ่นบางยี่ห้อ ช่องทางแรกก็ตามร้านทำท่อไอเสียบางร้านครับ ที่เค้ารับทำก็สามารถเข้าไปปรึกษากันได้ ส่วนอีกหนึ่งช่องทางก็คือชุดสำเร็จในบางรุ่นบางยี่ห้อ มีหลายแบรนด์ที่ผลิตออกมา และเรื่องของราคาค่าตัวก็อาจจะสูงไปบ้าง แต่ถ้าแรกกับคุณภาพและมาตรฐานแล้วก็อย่างไปคิดมากครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับความรู้เรื่องของโรลบาร์ หลายคนติดตั้งเพื่อความสวยงาม และหลายคนติดตั้งเพราะของมันต้องมี แต่จะจุดประสงค์อะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายคือความปลอดภัยครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่างลืมคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่ขับขี่กันด้วยน้ะครับ และที่สำคัญมากไปกว่าสิ่งอื่นใดคือความไม่ประมาทนั่นเองครับ ขอให้เพื่อๆมีความสุขสนุกสนานกับการแต่งรถน้ะครับ สวัสดีครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
เบรกซิ่งแบบไหนเหมาะกับรถคุณ….?
ช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว บางวันก็ฝนตก ประเทศไทยมีให้ได้สัมผัสกันทุกฤดูภายในอาทิตย์เดียว ยังไงก็อย่างลืมดูแลสุขภาพกันด้วยน้ะครับ ด้วยความห่วงใยจากทีมงาน REALTIME CAR MAGAZINE เอาละครับเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า สำหรับในคอลัมน์นี้ ก็เหมือนอย่างเคยครับ เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการใช้รถ การปรับแต่งเพิ่มสมรรถนะของรถ เพิ่มความสวยเพิ่มความแรง เราจะมาพูดกันถึงเรื่องของเบรกครับว่าใส่แบบไหนถึงจะเหมาะกับรถของเรา จะสองพอร์ท สี่พอร์ท แปดพอร์ท จานเบรกเล็กจานเบรกใหญ่ ใส่แล้วมันต่างกันหรือไม่เข้าไปติดตามดูกันครับ
ก่อนอื่นเรามาดูกันที่พื้นฐานเดิมของรถกันก่อน ซึ่งแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็จะมีออฟชั่นที่แตกต่างกัน บางรุ่นบางค่าย เบรกหน้าจะเป็นดิสเบรกแบบ 4POT ส่วนเบรกหลังจะเป็นแบบ 2POT หรือบางรุ่นบางยี่ห้อเบรกหลังจะเป็นแบบดรั้มเบรก ถ้าเป็นรถตัวท๊อปก็จะเป็นดิสเบรกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งก็อยู่ที่แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อจะทำออกมาจำหน่ายกัน
เบรกซิ่งที่เราฮิตเปลี่ยนกันมีแบบไหนบ้างนั้นผมจะแบ่งออกมาให้เห็นภาพแบบชัดเจน ซึ่งเราจะแบ่งออกเป็นสองแบบคือ
1.การเอาเบรกจากรถสปอร์ตมาปรับเปลี่ยนใส่เข้าไป รูปแบบนี้มีให้เห็นกันอยู่มากมาบนท้องถนน อย่างเช่น เบรกSKYLINE เบรก ARISTO เบรก3U เบรก RX7 และอีกมากมายที่บ้านเรานิยมกัน เพียงแค่นำมาจัดการทำสีใหม่ เปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ก็สามารถเพิ่มความหล่อให้รถของเราได้แล้ว หลายคนถามว่าแล้วมันจะดีมั้ยกับการแปลงเบรกต่างยี่ห้อมาใส่ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากครับถ้าช่างเค้าแปลงใส่ได้แบบที่ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเที่ยบกับเบรกที่ติดมาแล้ว ลูกสูบมันใหญ่กว่าแน่นอนครับสามารถห้ามล้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บวกคับผ้าเบรกดีๆสักชุดก็สามารถเพิ่มความปลอดภัยให้กับเราได้แล้วครับ
- BREMBO RACING,ENDLESS,WIL WOOD,PROJECT MU,AP RACING และอีกมากมายหลายยี่ห้อที่ผลิตออกมายั่วน้ำลายเหล่าบรรดาขาซิ่งทั้งหลาย แน่นอนที่สุดครับกับเบรกแบรนด์ดังที่กล่าวมานี้ ด้วยคุณภาพของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตตั้งแต่โครงสร้างรวมไปจนถึงชุดผ้าเบรก ย่อมที่จะมีประสิทธิภาพที่ดี การทำงานของระบบเบรกมีความสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
ถามว่า…แล้วจะเปลี่ยนแบบไปนให้เหมาะกับรถเราอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณแหละครับว่ามีมากหรือน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นรถประเภท HONDA JAZZ ,CITY,หรือVIOS อยากเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกก็สามารถเปลี่ยนเฉพาะคู่หน้าก็เพียงพอแล้ว จะเป็นของเก่าญี่ปุ่นหรือว่าจะเบรกของแบรนด์ดังของใหม่ก็แล้วแต่งบประมาณครับ ซึ่งของใหม่อย่าง BREMBO RACINGหรือ ENDLESS และยี่ห้ออื่นๆก็จะมีแบ่งเป็นรุ่นย่อยอีกคือ 4POTเล็กและ 4POTใหญ่
แต่ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพในการการเบรกอย่างเต็มระบบก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านหน้า 4POT ด้านหลัง2POT แบบนี้ก็จะยิ่งช่วยให้เราสามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ถ้าจะขยับกันขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ป อันนี้แนะนำว่าควรจะเป็นรถประเภท SPORT CAR ขึ้นไปถึงจะเหมาะสมกว่าครับ นั่นก็คือการใส่เบรกแบบด้านหน้า 6POT ด้านหลัง 4POT ซึ่ง จัดเต็มกันเลยทีเดียวสำหรับสเต็ปนี้ ได้ทั้งประสิทธิภาพในการเบรกแบบสั่งได้ และมุมมองเรื่องของความสวยงาม
เป็นยังไงกันบ้างครับ พอจะเป็นไกด์ไลด์ให้กับเพื่อนๆขาซิ่งกันได้ไม่มากก็น้อยสำหรับเรื่องราวของระบบเบรก หลายคนอาจมีคำถามในใจว่า แล้วจานเบรกล่ะต้องเปลี่ยนมั้ย ต้องคอยติดตามในคอลัมน์ต่อๆไปครับเดี๋ยวผมจะมาแนะนำเรื่องของจานเบรกให้เพื่อนๆได้รู้กันว่าควรจะเปลี่ยนหรือไม่ควรเปลี่ยนอย่างไร ต้องคอยติดตามดูกันครับ…
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
นั่งขับรถแบบไหนให้ถูกวิธี
อีกหนึ่งเรื่องง่ายๆใกล้ตัวที่หลายคนมักจะมองข้าม แท้จริงแล้วจัดว่าเป็นเครื่องที่สำคัญยิ่งนักเพราะอย่าลืมว่าทุกวันนี้ในบางวันคนเราใช้เวลาอยู่ในรถมากกว่าอยู่ที่บ้านซ้ะอีก เคยนั่งคำนวนเวลากันบ้างหรือป่าวครับสำหรับหนุ่มสาวอ๊อฟฟิตทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราควรที่จะใส่ใจกับท่านั่งในการขับขี่รถกันบ้าง เพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับตัวคุณเอง โม้เยอะอีกแล้ว เราเข้าไปดูวิธีการนั่งที่ถูกต้องกันเลยดีกว่าครับ..
การขับรถยนต์เป็นเวลานานๆ นั้น อาจก่อให้เกิดความเมื่อยล้าได้ ดังนั้นผู้ขับทุกคนควรทราบถึงท่านั่งที่ถูกวิธี เพื่อที่จะช่วยบรรเทาความเมื่อยล้า และยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับรถให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย โดยมีวิธีปฎิบัติที่เพื่อนๆ สามารถทำตามได้ง่าย ดังต่อไปนี้
การปรับระยะเบาะนั่ง ถ้ารถที่ขับเป็นเกียร์ออโต้ ให้ใช้ฝ่าเท้าเหยียบที่แป้นเบรก แล้วเลื่อนตัวเบาะนั่งให้เข่างอเล็กน้อย แต่ในกรณีที่เป็นรถเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์กระปุก ให้นั่งชิดพนักพิงแล้วใช้ เท้าเหยียบแป้นนคลัตช์ให้สุด ถ้าเหยียบไม่สุด ให้ปรับเบาะไปทางด้านหน้า เมื่อเหยียบสุดแล้วเข่าต้องตึง มิฉะนั้นจะเมื่อยเข่าในขณะขับ
การปรับพนักพิงที่ถูกต้อง การปรับพนักพิงจะต้องไม่เอนไปข้างหลังหรือข้างหน้ามากมาก ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ โดยใช้มือขวาจับที่ 2-3 นาฬิกา ข้อศอกจะงอเล็กน้อย แผ่นหลังจะติดพนักพิงเสมอ จากนั้นลองเลื่อนมือไปวางไว้บนสุดของพวงมาลัย ข้อมือจะต้องแตะกับพวงมาลัยได้พอดีจึงถือว่าถูกต้อง ถ้าวางมือลงบนพวงมาลัย แล้วมืออยู่เลยไปถึงกลางฝ่ามือหรือโคนนิ้ว แสดงว่าปรับพนักพิงเอนเกินไป แต่ถ้าวางมือลงบนพวงมาลัยแล้วมืออยู่ชิดเลยข้อมือเข้ามาแสดงว่านั่งชิดเกิน ไป
การปรับหมอนรองศรีษะ หมอนรองศรีษะนั้นให้ปรับเอนศรีษะอยู่กลางหมอนรองศรีษะพอดี บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่ามีไว้สำหรับเอาคอมาพิงเพื่อจะนอนได้สะดวก แต่ความเป็นจิงแล้วถ้าทำลักษณะเช่นนั้น จะเกิดอันตรายมากเวลาเกิดอุบัติเหตุ เพราะว่าหมอนรองศรีษะมีหน้าที่ไว้รองศรีษะเวลาเกิดอุบัติเหตุไม่ให้ศรีษะเงย หรือสบัดไปด้านหลังเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นเหตุให้กระดูกคอแตกหรือหักได้
เข็มขัดนิรภัย ถ้ารถยนต์สามารถที่จะปรับเข็มขัดนิรภัยให้สูงต่ำได้ ควรปรับระดับสายเข็มขัดนิรภัยให้เหมาะสม โดยสายเข็มขัดต้องพาดจากบริเวณไหปลาร้าเฉียงลงมาที่สะโพก แล้วมาพาดอยู่แถวกระดูกเชิงกราน โดยอย่าให้สายมาพาดที่บริเวรคอ หรือห้อยเลยหัวไหล่ไปเด็ดขาด
การปรับพวงมาลัยรถยนต์ ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มีระบบการปรับพวงมาลัย โดยการปรับนั้นจะต้องไม่สูงเกินไปจนทำให้เมื่อยขณะขับรถและไม่ควรต่ำจนติดหน้าขา
การปรับกระจกมองหลัง ควรปรับกระจกมองหลังให้เห็นมุมมองกว้างที่สุดและรู้สึกสบายสายตาขณะมอง ไม่ใช่ปรับไว้เพื่อดูหน้าตัวเองตอนแต่งหน้าในรถยามที่รถติดเท่านั้น
การปรับกระจกมองข้าง ให้ปรับกระจกมองข้างให้มองเห็นตัวถังของรถยนต์เพียงนิดหน่อย ควรปรับให้กว้างเห็นถึงช่องรถถัดไป
สิ่งที่เราไม่ควรทำในขณะที่กำลังนั่งขับรถอยู่
อย่านั่งชิดพวงมาลัยมากเกินไป เนื่องมาจากการต้องการมองด้านหน้าสุดของฝากระโปรงหน้า เพราะกลัวว่าการกะระยะอาจไม่ถูกต้อง ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะทำให้ข้อศอกงอมากกว่าปกติ ทำให้การหมุนพวงมาลัยไม่ถนัด และหากเกิดอุบัติเหตุจะทำให้ถุงลมนิรภัยเกิดการพองตัวขึ้นมาปะทะกับหน้า ทันที ดังนั้นควรกะระยะเผื่อไว้เล็กน้อย เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง
การปรับเบาะเอนไปด้านหลังมากๆ ทำให้เวลาขับรถต้องชะโงกตัวโหนพวงมาลัย ทำให้ไม่สามารถควบคุมพวงมาลัยได้คล่องตัว ขาดความฉับไวและแม่นยำในการควบคุม และเมื่อมองกระจกมองหลังและกระจกมองข้าง จะต้องเบนแนวสายตามากกว่าปกติ ทำให้เกิดการเมื่อยล้าเมื่อขับรถในระยะไกล
การปรับหมอนรองศรีษะให้หนุนลำคอ ควรปรับหมอนรองศรีษะหนุนแล้วอยู่กลางหมอน เพื่อเวลาเกิดอุบัติเหตุ ศรีษะจะสบัดไม่มากทำให้ลดอันตรายที่จะเกิดกับกระดูกต้นคอ
การจับพวงมาลัย ควรจับในตำแหน่งที่ถูกต้อง และควรจับด้วยมือทั้งสองอยู่เสมอ ไม่ควรจับในท่าที่สบายเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
คนส่วนใหญ่พอคาดเข็มขัดนิรภัยครั้งแรกจะรู้สึกอึกอัด หายใจไม่ออก ไม่สบายเนื้อตัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นเหตุให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุคนขับจะพุงตัวเข้าหาพวงมาลับหรือกระจกหน้ารถแบบเต็ม ที่ ดังนั้นผู้ขับรถทุกท่านควรคาดเข็มขัดนิรภัยให้เกิดความเคยชิน จนคิดเป็นนิสัยา
เมื่อขับรถนานๆ อาจเกิดวามเมื่อยล้าจากการใช้เท้าในการเหยียบคันเร่ง ซึ่งบางคนอาจนำเท้าซ้ายมาสลับเหยียบคันเร่งแทน การกระทำเช่นนี้ขอแนะนำว่าไม่ควรปฎิบัติ เนื่องจากผู้ขับยังไม่ชินกับการใช้เท้าข้างซ้ายเบรก ทำให้ไม่สามารถกะระยะได้ (ใน 1 วินาที ถ้าเราขับรถเร็ว 100 ก.ม./ชม.ใน 1 วินาทีนั้นรถจะวิ่งไปถึง 28 เมตร)
การฟังเพลงดังๆ หรือใส่หูฟัง จะทำให้ผู้ขับไม่ได้ยินเสียงผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น เสียงบีบแตร่จากรถคันอื่น เป็นต้น
การนั่งไม่จับพวงมาลัยรถยนต์หรือนั่งพิงประตู เมื่อมีเหตุฉุกเฉินกระทันหันจะไม่สามารถควบคุมรถยนต์ได้
เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวจริงๆครับกับการนั่งขับรถ ใครที่ได้อ่านคอลัมน์นี้แล้วก็อย่าลืมปฎิบัติตามกันด้วยน้ะครับ เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองและคนรอบข้าง คอลัมน์หน้าจะมีอะไรดีๆมานำเสนอต้องคอยติดตามกันดูครับ…..
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
AERO KITS คืออะไร? ทำไมรถซิ่งชอบใส่จัง…!!
เปิดประเด็นมาแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่า มากันอีกแล้วกับสาระความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการแต่งรถ บางคนแต่งเข้าไปโคมๆๆ…มีเงินก็ซื้อใส่มันเข้าไป เห็นว่าสวยก็ใส่ใครเค้าบอกมาก็ใส่ เงินมันเหลือก็ซื้อใส่เข้าไป แต่เมื่อใส่เข้าไปแล้วเราก็ควรจะรู้ว่าไอ้ของที่ซื้อใส่หรือติดตั้งเข้าไปนั้น มันมีประโยชน์อย่างไร หน้าที่ของมันทำอะไรแล้วทำไมเขาถึงนิยมติดกัน สำหรับในคอลัมน์นี้ ผมจะมาแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักและเข้าใจในเรื่องราวของชุด AERO KITS ที่ใส่เข้าไป ว่าแต่ละชิ้นส่วนนั้นมีหน้าที่ทำอะไรบ้างเมื่ออ่านคอลัมน์นี้จบแล้วเชื่อว่าหลายท่านคงจะเห็นคุณค่าของชุด AERO KITS มากขึ้น
ก็อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ตอนต้นแหละครับ ในคอลัมน์นี้เราจะมาพูดคุยกันในเรื่องราวของ AERODYNAMICS เนื่องจากขาซิ่งทั้งหลายนิยมติดตั้งกัน ไม่ว่าจะเป็นลิ้นหน้า คาร์นาด สปอยเลอร์ข้าง สปอยเลอร์หลัง ดิฟฟูเซอร์ ฯลฯ เมื่อติดตั้งเข้าไปแล้วจะสร้างความรู้สึกอย่างในในการขับขี่ ว่ากันไปทีละหัวข้อกันเลยดีกว่า จะได้เข้าใจและเห็นภาพกันด้วย
SPLITTER หรือภาษารถซิ่งที่รู้จักกันดีก็คือ ลิ้นหน้านั่นเองครับ ลิ้นหน้าติดตั้งอยู่ที่ใต้กันชนนั่นเองครับ ซึ่งขนาดจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับสำนักแต่งแต่ละสำนักที่จะผลิตออกมาแหละครับ ส่วนทางด้านของหน้าที่ของเจ้าลิ้นหน้านั้น มีหน้าที่แบ่งแยกอากาศที่ปะทะจากทางด้านหน้าให้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งไปทางด้านบน ส่วนหนึ่งไปทางด้านล่างไหลผ่านใต้ท้องรถไป ส่วนเรื่องของวัสดุที่ใช้ทำลิ้นหน้านี้ก็แล้วแต่สำนักแต่งว่าจะทำออกมาเป็น งานคาร์บอน หรือ งานไฟเบอร์
CANARD มีลักษณะเป็นครีบติดตั้งที่ด้านข้างของกันชนหน้า ส่วนมากแล้วนิยมติดกันแบบสองชิ้น(บน-ล่าง) ซึ่งการติดตั้งคาร์นาดจะติดตั้งแบบเฉียงลงด้านหน้า คิดตามแบบง่ายๆก็คือตักเอาลมที่ปะทะจากด้านหน้าให้ขึ้นไปด้านบนนั่นแหละครับ ประโยชน์หลักๆของคาร์นาดก็คือ ลมที่มาจากทางด้านหน้านนั้นจะถูกคาร์นาดสองข้างดักลมเอาไว้ แทนที่จะไหลผ่านไปแบบไม่มีทิศทาง ซึ่งเมื่อถูกคาร์นาดดักเอาไว้ผลที่ได้ก็คือช่วยเพิ่มแรงกดให้ทางด้านหน้าของตัวรถทำให้เกิดความนิ่งมากขึ้นในขณะที่ใช้ความเร็วสูง(ไม่ต่ำกว่า 120km.)และช่วยให้การเข้าโค้งเฉียบคมมากยิ่งขึ้น วัสดุที่ใช้ส่วนมากแล้วก็จะเป็นชิ้นงานคาร์บอน เพื่อความเบาและแข็งแรง งานไฟเบอร์ทำได้มั้ย..?ก็ทำได้เหมือนกันแหละครับขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละคนครับ
SKIRT ข้าง จัดว่าเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งที่ไม่ว่าจะรถเดิมออกศูนย์หรือรถซิ่งทั้งหลายนิยมติดตั้งกัน หน้าที่หลักๆของ SKIRT ข้างก็คือช่วยป้องกันลมจากด้านนอกเข้าไปใต้ท้องรถ ซึ่งเมื่อขับขี่ได้ถึงความเร็วในระยะหนึ่งแล้วมวลของอากาศก็จะเพิ่มมากขึ้นเมื่ออากาศวิ่งผ่านแบบไม่มีทิศทางก็จะก่อให้เกิดอันตรายในการขับขี่ได้ ถ้าอากาศผ่านเข้าไปใต้ท้องรถมากๆอาจจะส่งผลให้รถเกิดการยกตัวขึ้นได้ สิ่งที่ตามมาก็คือการยึดเกาะถนนลดน้อยลง อาจจะศูนย์เสียการควบคุมได้
VOLTEX GENERATOR หรือที่เราเรียกติดปากกันว่าครีบดักอากาศนั่นแหละครับ หน้าที่ของมันก็คือ คอยจัดระเบียบลมที่ผ่านเข้าให้เป็นระเบียบและมีทิศทางมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำงานควบคู่ไปกับ SPOILER หลังต่อไป หรือถ้ายังนึกภาพไม่ออก ลองนึกดูครับว่ามีประตูอยู่สิบบานเรียงกันแล้วปล่อยคนเป็นพันๆคนเข้าไปทีเดียวความเบียดเสียดและการแย่งกันจะมากขนาดไหน แต่ถ้ามีการจัดเรียงให้ผ่านเข้าไปได้ทีละคนทีละคนก็ย่อมที่จะสามารถผ่านได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ครีบแบบนี้ส่วนมากแล้วเราจะเป็นติดอยู่ด้านบนหลังคาของรถแข่งอย่างเช่น MITSUBISHI EVOLUTION และ SUBARU WRC
SPOILER หลัง ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นที่ขาดเสียไม่ได้จริงๆสำหรับยานพาหนะที่เรียกว่ารถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถซิ่ง รถแข่ง เป็นอันต้องใส่ SPOILER ด้านหลังเข้าไป ถามว่าประโยชน์ของมันคืออะไร แน่นอนที่สุดครับมีประโยชน์แน่นอน ช่วยกดท้ายรถให้นิ่งเพื่อขับขี่ด้วยความเร็ว เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ช่วยดักอากาศที่มาจากทางด้านหน้าเอาไว้มากดท้ายรถให้ไม่ลอย สิ่งที่ได้ก็คือรถสามารถเกาะถนนได้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แต่SPOILER หลังก็มีหลากหลายรูปทรง มีทั้งสูงและเตี้ย หรือบางรุ่นที่เป็นของซิ่งสามารถปรับระดับองศาในการรับลมได้ด้วย ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนแหละครับว่าจะชอบแบบไหน
DIFFUSER ครีบรีดอากาศด้านล่าง ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนยอดฮิตยอดนิยมสำหรับขาซิ่งทั้งหลายทั้งยุโรปและญี่ปุ่น หน้าที่ของมันคืออะไร บอกได้เลยครับว่าหลักการเดียวกันกับ VERTEX GENERATOR แต่เจ้า DIFFUSER มีหน้าที่ช่วยระบายลมหวนใต้ท้องรถทิ้งออกไปด้านหลังให้เร็วที่สุด จะสังเกตได้ว่า DIFFUSER จะมีลักษณะเป็นครีบแบ่งเป็นช่องขนาดใหญ่ วัสดุที่ใช้ส่วนมากแล้วก็จะเป็นงานคาร์บอนแหละครับเพราะมีขนาดใหญ่จึงต้องใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา
ประโยชน์เยอะจริงๆครับสำหรับคอลัมน์นี้ หลายท่านอ่านจบก็คงจะถึงบางอ้อกันบ้างไม่มากก็น้อยใช่มั้ยครับ หลายคนคงจะคาดไม่ถึงว่าในทุกการเดินทางของเราก็ยังคงมีลมที่อยู่ภายนอกตัวรถเดินทางไปกับเราอยู่ตลอดเส้นทาง เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะจัดระเบียบลมที่อยู่รอบรถเราให้เป็นระเบียบเพื่อที่จะช่วยประคองรถเราให้ไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
ท่อไอเสีย แบบไหนเหมาะกับรถคุณ
อีกหนึ่งเรื่องเล็กๆที่อยู่ใกล้ตัวเรา ซึ่งบางคนอาจมองข้าม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็มีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวครับสำหรับเรื่องของท่อไอเสีย ในยุคปัจจุบันนี้ปริมาณการใช้รถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการปรับแต่งก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกเช่นกัน หลายคนชอบขับรถแบบให้มีเสียงท่อทุ้มๆแผ่วๆเพื่อให้ได้ฟิลลิ่งบ้าง บางคนชอบแบบดังๆ (รบกวนชาวบ้าน)อันนี้ไม่ดีน้ะครับ จะแบบไหนก็แล้วแต่ครับ ทุกอย่างมันมีจุดที่เหมาะสมของมัน วันนี้เราจะมาแนะนำในเรื่องของการปรับเปลี่ยนท่อไอเสีย ว่าจะเปลี่ยนอย่างไรไม่ให้สูญเสียอัตราเร่งไปครับ
ก็อย่างที่เกรินไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าในปัจจุบันนี้ มีผู้ใช้รถเพิ่มจำนวนขึ้นอยู่ทุกวัน ใครที่ชอบขับรถเดิมๆ STD โรงงานก็ขับกันไปไม่เดือดร้อนใคร บางคนชอบปรับแต่งเพิ่มเติมกันบ้างเล็กๆน้อยๆก็ทำกันไปสุดแล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละคน แต่ในคอลัมน์นี้เราจะมาเจาะประเด็นเรื่องของการเปลี่ยนท่อไอเสีย รถที่ผลิตออกมาจำหน่ายในบ้านเรานั้นก็มีมากมายหลายรุ่น เราจะแบ่งกันไปตามซีซีรถก็แล้วกัน ให้เห็นกันแบบชัดเจน กับเครื่องยนต์พิกัด 1300cc./1500cc./1600cc./1800cc./2000cc./2200cc./2400cc./2500cc./2600cc./2800cc/3000cc. เหล่านี้ก็เป็นปริมาณเครื่องยนต์ที่มีใช้งานอยู่ในบ้านเรา
รถแต่ละรุ่นที่มีซีซีแตกต่างกัน ขนาดของท่อไอเสียก็จะมีความแตกต่างกันไปด้วยซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบมาของวิศวะกรของแต่ละค่ายนั่นเองครับ สำหรับใครที่มีความประสงค์จะปรับเปลี่ยนในเรื่องของชุดท่อไอเสียนั้น ก็ควรจะอิงพื้นฐานเดิมเอาไว้ก็จะเป็นเรื่องดีครับ แป๊บท่อไอเสียเดิมขนาดเท่าไหร่ก็ไม่ควรให้มีความแตกต่างเกิน .5นิ้ว ยกตัวอย่างเช่น ท่อไอเสียเดิมติดรถมีขนาด 1.5นิ้ว ถ้าจะปรับเปลี่ยนก็ไม่ควรจะเกิน2.0นิ้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น รูปแบบของหม้อพักที่เปลี่ยนเข้าไปก็มีผลด้วยอีกเช่นกัน เรามาพูดกันถึงแป๊บท่อไอเสียกันก่อน ถ้าเราเปลี่ยนให้มีขนาดที่ใหญ่เกิดไปอาจจะส่งผลให้รถมีกำลังอัดที่ลดลง ในความเป็นจริงแล้วอาจทำให้รถวิ่งด้อยลงไปเลยก็เป็นได้
แล้วหม้อพักละมีผลหรือไม่ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของชุดท่อไอเสียครับ โดยปกติแล้วหม้อพักจะมีด้วยกันอยู่สองจุดคือ หม้อพักกลาง กับหม้อพักหลังนั่นเองครับ คนส่วนใหญ่ก็มักจะเปลี่ยนกันแค่หม้อพักหลังนั่นเอง ซึ่งเปลี่ยนง่ายและราคาไม่แพง หม้อพักหลังก็มีให้เลือกทั้งแบบใส้ตรง ใส้ย้อน ใส้ตรงแบบเป็นเกลียว อันนี้ก็สุดแล้วแต่ความพึงพอใจ ใส้ตรงเสียงก็จะดังหน่อย ส่วนใส้ย้อนก็เสียงเบาหน่อย การเปลี่ยนหม้อพักหลังอย่างเดียวจะไม่ค่อยส่งผลอะไรสักเท่าไหร่นัก สิ่งที่ได้มาก็จะเป็นเรื่องของความสวยงามและเสียงที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ
แล้วถ้าเปลี่ยนยกชุดละจะดีไหม ตอบได้เลยครับว่าดี …แต่!!ถ้าจะให้ดีต้องเปลี่ยนยกชุดแบบตรงรุ่นน้ะครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้ร้านท่อหลายแบรนด์ทั้งในบ้านเราและท่อนอกก็ผลิตออกมารองรับไว้มากมายให้ได้เลือกใชกัน ข้อดีของการเปลี่ยนแบบยกชุดก็คือ ทางผู้ผลิตเค้าได้ทดลองออกมาแล้วว่าให้เข้าไปแล้วสามารถเพิ่มสมรรถนะได้อย่างเห็นได้ชัดและไม่ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ด้วย เนื่องจากมีการออกแบบและทดลองมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาดแป๊บท่อไอเสีย หม้อพักกลางที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน รวมไปถึงหม้อพักหลัง
รถที่มีระบบอัดอากาศกับรถที่ไม่มีระบบอัดอากาศขนาดท่อไอเสียมีความแตกต่างกันหรือไม่ ต่างกันแน่นอนครับ เนื่องจากรถที่มีระบบอัดอากาศนั้น มีปริมาณของอากาศและความร้อนมากจึงมีความจำเป็นที่จะต้องระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็วกว่ารถที่ไม่มีระบบอัดอากาศ แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนความพอดีแหละครับ ถ้าคายอากาศมากไปก็ไม่ดีเหมือนกัน จะส่งผลให้รถวิ่งด้อยลงอย่างแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่บนมาตรฐานที่พอดี อย่างที่เกริ่นไว้ในช่วงต้นว่าให้อิงจากพื้นฐานเดิมที่ติดมากับตัวรถครับ
รถเกียร์ธรรมดากับรถเกียร์ออโต้ เลือกใช้ท่อแตกต่างกันมั้ย แน่นอนที่สุดครับ เกียร์ออโต้ต้องการ การระบายไอเสียที่มีความโล่งน้อยกว่ารถเกียร์ธรรมดา เพราะฉะนั้นการเลือกท่อไอเสียสำหรับรถเกียร์ออโต้นั้นต้องไม่ควรที่จะโล่งจนเกินไป ควรเลือกใช้หม้อพักแบบใส้ย้อน เพื่อให้รถมีกำลังที่ดีไม่ด้อยไปกว่าเดิม
เปรียบเที่ยบให้เข้าใจกันง่ายๆครับ เอาหลอดเล็กๆมาใส่น้ำแล้วลองเป่าดูว่าไปได้ไกลขนาดไหน อีกครั้งนึงใช้หลอดดูดชาไข่มุกเอามาใส่น้ำแล้วลองเป่าดูจะเห็นได้ว่าระยะของหลอดชาไข่มุกจะไปได้ไม่ไกลเท่าหลอดขนาดเล็ก แบบนี้พอจะมองเห็นภาพกันแล้วใช่มั้ยครับ เครื่องบนต์1200cc.ไปใช้ท่อขนาด 3.0นิ้ว คงจะไม่มีกำลังขับเคลื่อนอย่างแน่นอน ส่วนเครื่องยนต์ 3000cc. ใช้ท่อขนาด 1.5นิ้ว ก็คงระบายไอเสียไม่ทันอย่างแน่นอน ส่งผลระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมครับ
สำหรับในคอลัมน์นี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านคงจะได้ความรู้ไปไม่มากก็น้อยกับเรื่องราวของท่อไอเสีย เป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของการแต่งรถ ยังไงก็ขอให้แต่รถกันแบบถูกต้องไม่ผิดกฎจราจรกันน้ะครับจะได้ไม่ต้องมานั่งถกเถียงกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สวัสดีครับ….
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
JDM STYLE (ทำไมมันฮิตจัง?)
สำหรับในคอลัมน์นี้เอาใจ JAPAN STLYE กันหน่อย กับรูปแบบและแนวทางในการปรับแต่งรถที่ได้วัฒนธรรมมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการผลิตรถยนต์ให้ชาวโลกหลากหลายประเทศทั่วโลกได้ขับขี่ใช้งานกัน ด้วยรูปแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวอาทิตย์อุทัย ทำให้สาวกรถซิ่งในบ้านเรานิยมนำมาปรับแต่งเพื่อความสวยงามกันอย่างแพร่หลาย แต่แท้จริงแล้ว JDM STYLE มันคืออะไรเราไปทำความรู้จักกันเลยครับ
JDM หรือ JAPAN DOMESTIC MARKET พูดกันให้เข้าใจแบบง่ายๆก็คือรถยนต์ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นนั่นแหละครับ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตรถยนต์ส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศทั่วโลก และการผลิตในแต่ละประเทศแต่ละภูมิภาคนั้นย่อมที่จะต้องมีความแตกต่างกัน แยกกันแบบง่ายๆให้เห็นแบบชัดเจนก็คือ ฝั่งยุโรปกับฝั่งญี่ปุ่นนั่นเองครับ หรือจะพูดให้เห็นภาพง่ายๆแบบชัดเจนก็คือ รถที่จะหน่ายในฝั่งยุโรปพวงมาลัยซ้าย รถที่จำหน่ายในฝั่งญี่ปุ่นพวงมาลัยขวานั่นเองครับ(หรือทางโซนเอเชียนั่นเองครับ) แต่ก็มีบางประเทศในฝั่งเอเชียที่ขับซ้ายแต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ
รูปแบบที่บ่งบอกความเป็นตัวตนที่ชัดเจนที่สุดของ JDM ก็คือ ค่ายดังอย่างฮอนด้านั่นเอง และที่สำคัญคือค่ายฮอนด้าจัดว่าเป็นอีกหนึ่งค่ายที่เหล่าบรรดาขาซิ่งในบ้านเราไม่ว่ารุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ต่างก็หลงเสน่ห์รถจากค่ายนี้กันเป็นจำนวนมาก ด้วยความแตกต่างในหลายๆจุดของตัวรถรุ่นเดียวกันที่จำหน่ายในญี่ปุ่น กับที่จำหน่ายในบ้านเรา ซึ่งอาจเป็นเพราะปัจจัยหลายๆอย่างจึงอาจจะต้องมีลดและมีเพิ่มOPTION บางอย่างนั่นก็เป็นเรื่องของปัจจัยทางการตลาด
ยกตัวอย่างรถ HONDA CIVIC EG ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมมากในบ้านเราแต่ทว่า ก็ยังคงมีความแตกต่างให้ได้เห็นกันอยู่หลายจุด และที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ รถที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นนั่นจะเป็นหลังคาซันรูฟ/มูนรูฟ เครื่องยนต์แบบ TWINCAM ภายในมีลวดลายหลายเวอร์ชั่นอันนี้ก็แต่งแต่คนเล่น เบาะนั่งแบบแขนเดี่ยว ชุดเครื่องเสียงแบบ2DIN ซึ่งเหล่านี้จะไม่ได้เห็นในบ้านเราสักเท่าไหร่นัก นอกเสียจากการนำเข้ารถมาทั้งคัน แต่เมื่อบวก ลบ คูณ หาร ดูแล้วราคาค่าตัวมันก็ช่างสูงซ้ะเหลือเกิน
แล้วจะทำยังไงละถ้าคนไทยอยากจะ JDM STYLE กะเค้าบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสารถคนไทยหลอกครับ เชียงกงบ้านเรามีเยอะแยะ ก็ไปเดินดูกันซิครับ อยากจะได้เป็นชิ้นก็เลือกหาเอา แต่ถ้าจะจบแบบยกคันก็ไปซื้อรถตัดแล้วย้ายอะไหล่มา เพียงเท่านี้ก็ได้แบบครบๆแล้ว กับJDM STYLE
JDM STYLE ไม่จำเป็นต้องตรงรุ่นก็ได้นิ เพราะรถแต่ละค่ายที่ผลิตออกมามีมากมายหลายรุ่น CIVIC EGหลายคันในบ้านเรา เลือกเอาล้อแม็กซ์ของ DC5มาใส่ก็มีถมไป ส่วนภายในก็ใส่เบาะ DC5ก็มีให้เห็นกัน บางคันภายในตุ๊กแก เรือนไมล์ SiR
ไม่เพียงแต่ค่าย HONDA อย่างเดียวเท่านั้นที่วัยรุ่นบ้านเราให้ความนิยมในการปรับแต่งรถในสไตล์ JDM แต่ยังมี NISSAN TOYOTA ซึ่งสองค่ายนี้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเลย สำหรับค่ายนิสสันเราจะยกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ 200sx รถที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะใช้ชื่อรุ่น 180sx แต่เป็นเครื่องยนต์ SR20DET แต่ที่มีจำหน่ายในบ้านเรานั้นจะเป็น 180sx แต่เป็นเครื่องยนต์ CA18DET
บางคนถามว่า ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนรถกระบะบ้านเราวาง J วาง SRกันเต็มไปหมด แบบนี้เรียกว่า JDM STYLE หรือป่าว อันนี้ก็อย่างไปคิดให้มันปวดหัวเลยครับ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของยุค ยุคะนึงที่มันผ่านมาแล้วจะดีกว่า เพราะอย่าลืมว่ารถกระบะหลายค่ายมันผลิตในบ้านเราเลยไม่ได้รับวัฒนะธรรมมาจากประเทศญี่ปุ่น
เค้าว่ากันว่า JDM STYLE แต่ก็เหมือนไม่ได้แต่ง อันนี้ก็สุดแล้วแต่จะคิดกันเองแหละครับ เนื่องจากว่าถ้าเป็นรถบ้านเรา มีสเป็คที่แตกต่างจากรถในญี่ปุ่น พอเรานำอะไหล่ STD ที่ติดรถญี่ปุ่นมาใส่รถบ้านเรา มันก็เรียกได้ว่าเป็นการปรับแต่งนั่นแหละครับเพราะว่ามันเป็นอะไหล่ที่ไม่ใช่ของเดิมที่มีจำหน่ายในบ้านเรานั่นเอง จริงๆแล้วจะเรียกว่าอะไรก็สุดแล้วแต่ ทำออกมาแล้วสวยถูกใจเราเท่านั้นพอครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับการแต่งรถแบบ JDM STYLE ( JAPAN DOMESTIC MARKET) ในยุคปัจจุบันเริ่มมีให้เห็นกันได้น้อยแล้ว เนื่องจากยิ่งนานวันเข้าปีรถก็ยิ่งลึกลงทุกปีทุกปี ใครมีไว้ในครอบครองก็ต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่ต้องห่วงครับทางทีมงาน REALTIME CAR MAGAZINE สัญญาว่าจะหามาให้เพื่อนๆได้ดูกันอย่างแน่นอน แล้วกลับมาพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้า สวัสดีครับ…..
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine