-
RIDDARA จัดงาน “RIDDARA OWNERS CLUB FIRST MEETING”
รับฟังประสบการณ์จากลูกค้าผู้ใช้งานจริงในประเทศไทย
ประกาศเดินหน้าแผนการดำเนินงานครอบคลุมทุกมิติ ตั้งเป้ายอดขาย 10,000 คัน ภายในปีนี้RIDDARA (ริดดารา) จัดกิจกรรมสุดพิเศษ “RIDDARA OWNERS CLUB FIRST MEETING” เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจใน RIDDARA และสร้างสังคมผู้ใช้งานรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานจริงได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานร่วมกันเพื่อนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมประกาศเดินหน้าแผนการดำเนินงานในประเทศไทยครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การลงทุน และการดูแลลูกค้าด้วยการบริการหลังการขายที่เข้มแข็ง และการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายด้วยโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐาน 50 แห่งทั่วประเทศ รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้า โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 10,000 คัน
กิจกรรม “RIDDARA OWNERS CLUB FIRST MEETING” เป็นการเชิญชวนกลุ่มลูกค้าเจ้าของ RIDDARA RD6 มาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังจากบริษัทฯ ได้ประกาศจัดตั้งกลุ่ม RIDDARA OWNERS CLUB และเริ่มส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า RIDDARA RD6 ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 ที่ผ่านมา โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้น ณ SILVERSKIN BISTRO & CAFÉ ร้านกาแฟสุดพรีเมียมย่านลำลูกกาคลอง 11 จังหวัดปทุมธานี ซึ่งนอกจากลูกค้า RIDDARA ได้สนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษที่บริษัทฯ ตั้งใจจัดขึ้นแล้วยังได้ร่วมพูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้ RIDDARA อย่างเป็นอันเอง รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และบอกเล่าประสบการณ์การใช้งานจริงกับผู้บริหารของบริษัทฯ อย่างใกล้ชิดอีกด้วย
“RIDDARA ขอขอบคุณลูกค้าคนไทยทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจใน RIDDARA เราพร้อมจะเป็นพันธมิตรที่ยี่งยืนและแบ่งปันประสบการณ์อันดีร่วมกันกับลูกค้าคนไทยทุกคนในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ สำหรับการจัดตั้ง RIDDARA OWNERS CLUB สังคมของผู้ใช้งานรถกระบะไฟฟ้า RIDDARA ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางหลักในการสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างเจ้าของ RIDDARA โดยเราพร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้าทุกท่านซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการพัฒนาและการดำเนินงานของ RIDDARA ในประเทศไทยและนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของชาวไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” มร. หลิว ไห่โจว (Liu Haizhou) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
ในขณะที่ลูกค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ต่างประทับใจ RIDDARA RD6 ทั้ง ในด้านอัตราเร่งที่ทันใจและช่วงล่างที่นุ่มนวลซึ่งแตกต่างจากรถกระบะทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังชื่นชมในเรื่องของความประหยัดพลังงานอีกด้วย
RIDDARA เร่งการขยายตลาดในไทยเพิ่มทางเลือกด้านผลิตภัณฑ์ เดินหน้าขยายโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และมอบการบริการลูกค้าที่เหนือกว่า โดยตั้งเป้ายอดขาย 10,000 คันภายในปีนี้
มร. หลิว ไห่โจว กล่าวเสริมถึงภาพรวมการดำเนินงานของ RIDDARA ในประเทศไทยว่า หลังจาก RIDDARA ได้เปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่น RIDDARA RD6 ในประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 10,000 คัน โดยมีแผนจะแนะนำรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุม และขยายทางเลือกด้านพลังงานใหม่ให้มีความหลากหลาย นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และเป็นฐานการผลิตรถกระบะไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่สำคัญของ RIDDARA“เรากำลังพิจารณาการลงทุนสร้างโรงงาน KD ในประเทศไทยเพื่อผลิต PHEV และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น” มร. หลิว ไห่โจว กล่าวย้ำ
ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของฐานลูกค้า RIDDARA เปิดรับนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจที่สนใจร่วมขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานจาก 15 แห่งในปัจจุบัน ให้เป็น 50 แห่งทั่วประเทศภายในปีนี้ โดยจะครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในทุกภูมิภาค เพื่อให้ลูกค้าชาวไทยเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีของ RIDDARA ได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการให้บริการรถทดลองขับถึงหน้าบ้าน
ยิ่งไปกว่านั้น RIDDARA ยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับการบริการหลังการขายภายใต้ชื่อ RIDDARA CARE ที่พร้อมดูแลและให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ด้วยทีมงานมืออาชีพ พร้อมจัดเตรียมอะไหล่สำรองให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และมีบริการช่วยเหลือลูกค้ากรณีฉุกเฉินผ่าน RIDDARA Call Center ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสร้างความอุ่นใจและมั่นใจในการใช้งาน RIDDARA ให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้นRIDDARA ผู้นำด้านรถกระบะพลังงานไฟฟ้า
RIDDARA เป็นแบรนด์รถกระบะพลังงานไฟฟ้าในเครือ GEELY AUTO GROUP ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทรถยนต์ชั้นนำระดับโลกที่มุ่งมั่นในการพัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ โดย RIDDARA ได้นำความโดดเด่นทั้งด้านเทคโนโลยี การผลิต รวมไปถึงการควบคุมคุณภาพของกลุ่ม GEELY มาเป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์กระบะพลังงานไฟฟ้าที่จะมาสร้างไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ด้วยการผสานศักยภาพของรถกระบะที่สามารถรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบในสภาพถนนที่มีความแตกต่างไปพร้อมกับการขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบายแบบรถยนต์ SUV เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าตามแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัตกรรมอันทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน โดยปัจจุบัน RIDDARA สามารครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ของตลาดรถกระบะไฟฟ้าในประเทศจีนRIDDARA RD6
RIDDARA RD6 โดดเด่นด้วยนวัตกรรม M.A.P (Multiplex Attached Platform) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์มรถยนต์ที่พัฒนาเอาจุดเด่นของรถกระบะและรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาผสมผสานกัน ทำให้ RIDDARA RD6 มีความโดดเด่นทั้งในด้านของการออกแบบ สมรรถนะและความอัจฉริยะในแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยโครงสร้างตัวถังขนาดใหญ่และมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมอบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย และติดตั้งระบบความปลอดภัยและระบบช่วยในการขับขี่ที่ครบครัน พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่รองรับทั้งการเดินทาง และการทำกิจกรรมแบบเอาท์ดอร์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่น้อยกว่ารถกระบะสันดาปทั่วไปRIDDARA RD6 ให้สมรรถนะที่โดดเด่นด้วยอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.5 วินาที และแรงบิดสูงสุด 595 นิวตันเมตร มาพร้อมช่องจ่ายกระแสไฟตามมาตรฐานยุโรปขนาด 6KW ที่กระบะท้าย รวมไปถึงการเชื่อมต่อและควบคุมรถผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือทำให้สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน
RIDDARA RD6 มอบความความสะดวกสบายระดับ SUV ด้วยห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่เงียบสงบด้วยเทคโนโลยี Pure Electric NVH Silent พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 14.6 นิ้ว ที่ชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สายขนาด 50W ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone ที่มาพร้อมระบบกรองอากาศ CN95 filter PM 2.5และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เบาะหนังคุณภาพสูงดีไซน์เอกลักษณ์สามารถปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศที่เบาะโดยสาร เบาะหน้าเอนได้แบบ 180 องศา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกครบครัน
RIDDARA RD6 ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 แบบอัตโนมัติ โดยมีโหมดการขับขี่ 7 โหมด สำหรับสภาพถนนที่แตกต่างกัน (Sand / Mud / Off-road / Wading / Economy / Comfort / Sport) อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยความสามารถในการลุยน้ำลึกได้สูงสุด 815 มิลลิเมตร มีพื้นที่บรรทุกกระบะท้ายขนาด 1,200 ลิตร ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 70 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บเพิ่มเติมใต้เบาะผู้โดยสารด้านหลังอีก 48 ลิตร อีกทั้งยังมีความสามารถในการลากจูงได้สูงสุดถึง 3,000 กิโลกรัม
RIDDARA RD6 มีระบบความปลอดภัยรอบคัน ซึ่งรวมถึงระบบช่วยในการขับขี่ ADAS (Advanced Driving Assistance Systems) สูงสุด 14 ระบบ และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 540 องศา รวมไปถึงถุงลมนิรภัย 6 จุดช่วยปกป้องทั่วทั้งห้องโดยสาร ยิ่งไปกว่านั้นตัวรถสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของโครงสร้างรถ
สำหรับ RIDDARA RD6 มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมี 4 รุ่นย่อย ด้วยราคาจำหน่ายดังนี้
● RIDDARA RD6 2WD 63kWh ราคา 899,000 บาท
● RIDDARA RD6 2WD 73kWh ราคา 999,000 บาท
● RIDDARA RD6 4WD 73kWh ราคา 1,149,000 บาท
● RIDDARA RD6 4WD 86kWh ราคา 1,299,000 บาทสัมผัสนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ของ RIDDARA RD6 ได้ที่โชว์รูมทุกสาขาทั่วไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า RIDDARA Call Center ที่หมายเลข 02-039-5777
ติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ RIDDARA ได้ที่ Website : http://th.riddara.com/ Facebook : Riddara Thailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
เรนาสโซ มอเตอร์ ยกทัพ LAMBORGHINI THE LAST NA (Naturally Aspirated)
ในงาน LAMBORGHINI SELEZIONE SHOWCASE 2025
ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โชว์รูมลัมโบร์กินี กรุงเทพฯบริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย นำโดย อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ, ศักดิ์ นานา และ ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์ กรรมการ ยกทัพ Lamborghini Selezione Certified Pre-owned กว่า 30 คัน เผยโฉมลัมโบร์กินี Pre-owned ที่ผ่านการตรวจเช็คประวัติรถและ 153 รายการ ตามมาตรฐานโรงงาน Lamborghini และพร้อมส่งมอบทันที ซึ่งเป็นโอกาสทองที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะได้พบกันโดยตรง มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะในงาน ที่เรียกได้ว่าเป็นดีลที่คุ้มที่สุดและดีที่สุดแห่งปี
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ค่ายวัวกระทิงดุเตรียมพบกับรถลัมโบร์กินีหลากหลายรุ่น อาทิ ตระกูล Aventador ,Huracan และ Urus พร้อมไฮไลท์สุดพิเศษของงาน Lamborghini Diablo วัวกระทิงดุสุดคลาสสิก ปี 1993 ที่หาชมได้ยาก รวมถึง Lamborghini Revuelto รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรก ของแบรนด์ ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โชว์รูมเรนาสโซ มอเตอร์ ถนนวิภาวดีรังสิต
ข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะในงาน
> รถลัมโบร์กินี ราคาเริ่มต้นที่ 16.xx ล้านบาท
> รับทันที! สิทธิพิเศษจาก Renazzo Detailing Lab และ Lamborghini Bangkok
> โปรแกรมทางการเงินจาก TTB ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.59% ต่อปี (48 เดือน) อนุมัติภายใน 1 วัน *
> โอกาสสุดท้ายที่จะเป็นเจ้าของรถ Lamborghini เครื่องยนต์ N/A ที่พร้อมส่งมอบทันที*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด
ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เร่งเครื่องรับปี 2568 เผยโฉมทัพรถยนต์-มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่พร้อมแผนขยายธุรกิจ ต่อยอดความเป็นผู้นำในตลาดพรีเมียม
• หลังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดพรีเมียมได้ 5 ปีซ้อน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมกระตุ้นตลาดต่อเนื่องด้วยยานยนต์สมรรถนะสูง
• เผยโฉม 9 รุ่นใหม่จากทั้งสามแบรนด์ จุดพลังขับเคลื่อนให้ตลาดด้วยนวัตกรรมที่ส่งตรงจากสนามแข่งสู่ท้องถนน
• อีกหนึ่งก้าวประวัติศาสตร์ของโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กับการกลับมาประกอบ มินิ คันทรีแมน ในประเทศอีกครั้ง
• บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย พร้อมต่อยอดความพึงพอใจของลูกค้าและประสิทธิภาพทางธุรกิจ ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและ AIบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จในการครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน พร้อมเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่น จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานแถลงข่าวประจำปี 2568 ณ โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้
(ในภาพจากซ้าย) มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย
คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดฉากปี 2568 อย่างแข็งแกร่งด้วยการประกาศกลยุทธ์สำคัญระลอกแรก หลังจากที่รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยไว้ได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยจากเสียงตอบรับที่ดีของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยตลอดรอบปีที่ผ่านมา บริษัทจึงพร้อมที่จะสานต่อกระแสตลาดด้วยการเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่นในช่วงต้นปีนี้ เพื่อนำสมรรถนะและนวัตกรรมสุดตื่นตาจากสนามแข่งมาให้สัมผัสกันบนท้องถนนในไทย ก่อนจะเดินหน้าเปิดตัวรุ่นอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกตลอดปี 2568
สำหรับปีที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดรถยนต์เซกเมนต์พรีเมียมในประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน บีเอ็มดับเบิลยูและมินิทำยอดส่งมอบรถยนต์รวมกันอยู่ที่ 13,659 คันในปี 2567 ครองส่วนแบ่งตลาดที่ 45% ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ 12,208 คันของบีเอ็มดับเบิลยูในปีที่แล้ว ทำให้แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำยอดจดทะเบียนรถยนต์ระดับพรีเมียมในประเทศไทยได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่การเปิดตัวรุ่นใหม่ในตระกูล New MINI Family ส่งผลให้มินิมียอดส่งมอบรถเพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 7.6%
นอกเหนือจากยอดส่งมอบรถยนต์ที่มั่นคงในภาพรวมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังทำผลงานในตลาดรถยนต์สำหรับลูกค้าองค์กรได้อย่างยอดเยี่ยมในปีที่แล้ว หลังจากที่ส่วนแบ่งตลาดฟลีทในกลุ่มรถยนต์หรูของบีเอ็มดับเบิลยูขยายตัวขึ้นมาเป็น 70% ในปี 2567 หรือโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 27% ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลุ่มธุรกิจการโรงแรมมีให้ต่อบีเอ็มดับเบิลยู
มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เราได้ก้าวเข้าสู่ปี 2568 อย่างเต็มตัว ด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ายิ่งขึ้นในการยกระดับทั้งนวัตกรรมการขับขี่และความพึงพอใจของลูกค้า ในปีที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรุ่นสมรรถนะสูงของเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในตลาด เราจึงพร้อมสนองความต้องการของลูกค้าทันทีด้วยทัพรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance นำโดยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 ใหม่ พร้อมด้วยมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ รุ่นแรกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และซูเปอร์ไบค์ บีเอ็มดับเบิลยู
S 1000 RR ที่ผ่านการปรับโฉมอีกครั้ง นอกจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ทั้งหมดนี้แล้ว เรายังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้เป้าหมายที่จะนำแนวคิด ‘Retail Next’ เข้าไปเป็นหัวใจของโชว์รูมบีเอ็มดับเบิลยูทุกแห่งทั่วประเทศภายในสองปีข้างหน้า สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับ
ความพึงพอใจของลูกค้าทั้งในด้านการขายและบริการ ผ่านความร่วมมือกับผู้จำหน่ายตลอดทั้งปี 2568″
รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเติบโตโดดเด่น เสริมรากฐานที่แข็งแกร่งให้อนาคตวงการยานยนต์ไทยในปี 2567 ภารกิจการขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูดำเนินอย่างต่อเนื่องด้วยไลน์รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 6 รุ่นในประเทศไทย หลังจากที่ได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i5 และ iX2 เข้ามาเสริมทัพรุ่น iX3, i4, i7 และ iX ทั้งนี้ ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยูเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่แล้ว โดยพุ่งขึ้นจาก 13.5% ในปี 2566 มาเป็น 22.6% ในปี 2567 และมีส่วนช่วยผลักดันให้ส่วนแบ่งตลาดพรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยูเพิ่มสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ที่ 39.9% ส่วนการเปิดตัวมินิในเจเนอเรชันใหม่ New MINI Family ในปีที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้แฟน ๆ ชาวไทยได้เป็นเจ้าของมินิไฟฟ้าโฉมใหม่ได้ ทั้งในรุ่นคูเปอร์ คันทรีแมน และ น้องใหม่ล่าสุดอย่างเอซแมน จึงทำให้ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของมินิเติบโตขึ้นกว่า 44% จากปีก่อนหน้า
สำหรับตลาดไทย แฟน ๆ ของบีเอ็มดับเบิลยู M ยังคงให้การต้อนรับรุ่นใหม่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู M5 และ M4 CS อย่างอบอุ่น หลังจากที่เปิดตัวไปในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 ที่ผ่านมา และปี 2568 ก็จะตื่นเต้นเร้าใจ
ยิ่งกว่าเดิม ด้วยรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance ที่จ่อคิวรอเปิดตัวเพิ่มเติมอีกตลอดปีสถิติและผลการดำเนินงานในตลาดไทยทั้งหมดนี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าและตลาดที่มอบให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตลอดปี 2567 บริษัทได้พิสูจน์ถึงสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการยอมรับสูงสุดโดยผู้บริโภคไทย ด้วยรางวัลจากเวที “Thailand’s Most Admired Company” สาขาอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยนิตยสาร BrandAge และรางวัลสาขาตลาดรถยนต์พรีเมียมจากเวที “No.1 Brand Thailand” โดยนิตยสาร Marketeer ส่วนในวงการยานยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ก็ได้รับเลือกให้เป็นรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 และ i5 ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีและรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปีด้วยเช่นกัน เครือข่ายผู้จำหน่ายพร้อมต่อยอดประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และสานต่อการขยายแนวคิด ‘Retail Next’ ทั่วประเทศ ผลการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าในปี 2567 เผยให้เห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำผลงานได้ดีขึ้นทั้งในด้านการขายและการบริการ ด้วยคะแนน Net Promoter Score (NPS) ด้านการขายที่ 95 คะแนน (เพิ่มขึ้น 1 คะแนนจากปี 2566) และด้านการบริการที่ 93 คะแนน (เพิ่มขึ้น 2 คะแนนจากปี 2566) โดยนับเป็นสถิติสูงสุดสำหรับทั้งสองด้าน
ในปี 2568 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นในทุกจุดสัมผัส แนวคิด “Retail Next” ที่มุ่งเน้นการผสานนวัตกรรมดิจิทัลและงานออกแบบที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จะขยายตัวครอบคลุมโชว์รูมและศูนย์บริการกว้างขวางขึ้นในปีนี้ ภายใต้เป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราส่วนของโชว์รูมแบบ Retail Next จาก 60% เป็น 100% ทั่วประเทศภายในสองปีข้างหน้า ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวโชว์รูม เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส อยุธยา ในช่วงปลายปีที่แล้ว ด้วยพื้นที่โชว์รูมและศูนย์บริการรวม 8,800 ตารางเมตรที่ครบครันด้วยประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ และงานออกแบบที่สะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมของอยุธยา เพื่อตอบสนองต่อกระแสความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย บริษัทได้ขยายความร่วมมือกับเครือข่ายผู้จำหน่ายด้วยการรับรองโชว์รูม “M Certified” เพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่
ยุโรปา มอเตอร์ (สาขาสำนักงานใหญ่), อมร เพรสทีจ รังสิต และบาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค ซึ่งทำให้บีเอ็มดับเบิลยูมีโชว์รูม M Certified พร้อมมอบประสบการณ์สุดตื่นตาตื่นใจในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู M ให้กับลูกค้าในกว่า 8 สาขาทั่วกรุงเทพฯ
ทางด้านมินิ ก็เตรียมเดินเกมรุกต่อยอดความคึกคักจากปีที่ผ่านมา ด้วยการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการ ทั้งที่บาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค, เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ราชพฤกษ์ และยุโรปา มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรแล้วเช่นกันด้วยการเปิดตัวโชว์รูมใหม่ของ
โมโตกรุ๊ปในย่านพระราม 5 มินิเตรียมกลับสู่สายการผลิตในไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี โรงงานและสายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง นับเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายสายการผลิตทั่วโลก ในปีนี้ โรงงานแห่งนี้จะได้ต้อนรับมินิ ในโอกาสที่มินิ คันทรีแมน รุ่นล่าสุด จะหวนคืนสู่สายการผลิตในประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้แฟน ๆ ชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของมินิรุ่นใหญ่ตัวนี้กันได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การกลับมาของมินิยังทำให้โรงงานแห่งนี้เป็นสายการผลิตแห่งเดียวในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่สามารถประกอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมยกระดับบริการทางการเงินด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ต่อยอดความไว้วางใจของลูกค้า ท่ามกลาง ความท้าทายตลอดปี 2567บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ทำผลงานได้อย่างมั่นคงในปี 2567 ด้วยยอดลูกค้าใหม่ที่ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยท่ามกลางการหดตัวของตลาดรวมในประเทศไทย อย่างไรก็ดี กลยุทธ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาเสริมประสบการณ์ให้กับลูกค้า สามารถสร้างเสียงตอบรับได้ดีไม่น้อย และส่งผลให้ครึ่งหนึ่งของลูกค้าใหม่ที่เลือกเป็นเจ้าของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จากทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด วางใจในบริการทางการเงินของบริษัท ขณะที่ 1 ใน 3 รายก็เลือกจัดการข้อตกลงทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ myBMW / MINI Finance
นอกจากนี้ ธุรกิจในกลุ่มประกันภัยรถยนต์และกลุ่มลูกค้าองค์กรล้วนทำผลงานได้ดีในปี 2567 ด้วยอัตราการเข้าถึงตลาดที่เพิ่มขึ้นเป็น 64% และ 68% ตามลำดับคุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “เรามีเป้าหมายที่จะยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า สอดคล้องกับทิศทางในภาพรวมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งเป็นผลให้ในปีที่แล้ว เราทำคะแนน Net Promoter Score ได้สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 78 คะแนน เรายังคงยกให้ลูกค้าเป็นหัวใจหลักในการทำงานทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบีเอ็ม
ดับเบิลยู มินิ หรือบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด คันใหม่อย่างง่ายดายและสบายใจที่สุดด้วยข้อเสนอทางการเงิน ของเรา หรือประสบการณ์พิเศษมากมายสำหรับลูกค้า เช่น การแข่งขัน BMW Golf Cup หรือกิจกรรม BMW Driving Experience ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2568 เราก็จะสานต่อภารกิจเหล่านี้ด้วยนวัตกรรมที่มี AI เป็นแรงขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์และเข้าถึงบริการทางการเงินของเราได้สะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก”ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ได้นำระบบอัตโนมัติแบบ Robotic Process Automation (RPA) เข้ามาใช้งานรวม 12 ระบบ ซึ่งส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อของลูกค้าราว 13% สามารถทำได้แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ขณะที่การแนะนำเทคโนโลยีลายเซ็นแบบดิจิทัลที่ปลอดภัยก็
ทำให้ 36% ของสัญญาใหม่ในปีที่แล้วผ่านการเซ็นรับรองแบบดิจิทัล
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
เบนท์ลีย์ แบงค็อก ร่วมกับ หอการค้าอังกฤษ – ไทย จัดแสดง Bentayga Hybrid กับเสน่ห์และความหรูหราแบบฉบับยนตรกรรมอังกฤษในงาน BCCT Life & Style Garden Party 2025
(กรุงเทพฯ 17 กุมภาพันธ์ 2568) เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร่วมกับ สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย (BCCT) จัดแสดง Bentley Bentayga Hybrid อัครยนตรกรรมแบบอเนกประสงค์ เจ้าของขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น V6 Hybrid สะท้อนเสน่ห์และความหรูหราในแบบฉบับยนตรกรรมสัญชาติอังกฤษในงาน BCCT Life & Style Garden Party 2025 ณ สมาคมสโมสรอังกฤษ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ในส่วนของการจัดแสดงยนตรกรรมสัญชาติอังกฤษภายในงาน เบนท์ลีย์ แบงค็อก ได้นำเสนอ เบนท์ลีย์ เบนเทก้า ไฮบริด (Bentley Bentayga Hybrid) อัครยนตรกรรมแบบอเนกประสงค์ ขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น V6 Hybrid ในเฉดสีเทา “เอ็กซ์ตรีม ซิลเวอร์” (Extreme Silver) ที่มาพร้อมกับสมรรถนะอันเต็มเปี่ยมจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถเดินทางได้สูงสุดถึง 40 กิโลเมตรในโหมด EV พร้อมสัมผัสแห่งการขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบสงบ แต่ยังคงไว้ซึ่งความเร้าใจในการขับขี่แบบออฟโรดจากขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินอันทรงสมรรถนะที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพในการขับขี่ที่เหนือชั้นด้วยพละกำลังกว่า 443 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุด 247 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงกับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 5.9 วินาที พร้อมด้วยการออกแบบภายนอกและภายในห้องโดยสารที่เผยให้ถึงความประณีตและความละเอียดลออของงานฝีมืออันเป็นเอกลักษณ์งานแบรนด์หรูจากเมืองผู้ดี จัดแสดงให้แขกผู้มีเกียรติในงานได้สัมผัสเสน่ห์และความหรูหราของอัครยนตรกรรมสัญชาติอังกฤษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพิ่มสีสันและเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของงาน ดึงดูดความสนใจจากแขกผู้ร่วมงานได้จำนวนไม่น้อย โดยมี มร. เกร็ก วัตคินส์ (Greg Watkins) ผู้อำนวยการบริหาร หอการค้าอังกฤษ – ไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารให้เกียรติมาเยี่ยมชม และกล่าวขอบคุณสำหรับการร่วมงานในครั้งนี้
สำหรับกิจกรรมภายในงานฯ แขกทุกท่านยังได้เพลิดเพลินกับเมนูอาหารและเครื่องดื่มนานาชาติจากภัตตาคารและโรงแรมชั้นนำในกรุงเทพฯ สมาชิกสภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย (BCCT) ที่มาจัดบูทและรังสรรค์เมนูสุดพรีเมียมให้กับแขกผู้มีเกียรติได้ลิ้มลองท่ามกลางบรรยากาศอันแสนอบอุ่นเสมือนการพบปะสังสรรค์ภายในสวนที่ขับกล่อมด้วยดนตรีแจ๊สจากไลฟ์มิวสิคแบรนด์ในค่ำคืนสุดพิเศษ
สำหรับการเปิดรับคำสั่งจองรถยนต์เบนท์ลีย์ รุ่น Bentayga Hybrid เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดกับราคาเริ่มต้นที่ 14.6 ล้านบาท พร้อมรับเอกสิทธิ์พิเศษที่เหนือกว่าด้วยการรับประกันมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตกับการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดที่ ‘นานที่สุด’ ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิตและบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี
ผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายเข้าชมหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและข้อเสนอพิเศษ โทร. 080-925-9999 หรือ 02-261-1050 LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ร่วมลงนามกับกระทรวงแรงงาน ใน
“ปฏิญญาความปลอดภัยว่าด้วยการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย”
เดินหน้ายกระดับความปลอดภัยในสถานประกอบการบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมลงนามในปฏิญญาความปลอดภัยว่าด้วยการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยร่วมกับกระทรวงแรงงาน ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการในประเทศไทย โดยความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด พร้อมทั้งสนับสนุนภารกิจของกระทรวงแรงงานในการยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย
มร. เออิจิ โอกาวะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัย และยึดถือเป็นค่านิยมพื้นฐานที่หลอมรวมอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรของเรา การร่วมลงนามในปฏิญญาความปลอดภัยว่าด้วยการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยร่วมกับกระทรวงแรงงานในครั้งนี้ สอดคล้องกับพันธกิจของเราในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยทั้งภายในองค์กรและครอบคลุมถึงเครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน เราภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำและเป็นแบบอย่าง โดยพร้อมแบ่งปันองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้กับพนักงาน อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย”
ปฏิญญาความปลอดภัยว่าด้วยการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับมาตรฐาน
ด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการทั่วประเทศ โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) จะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบาย “Safety Culture Together” โดยมุ่งลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงานกรณีร้ายแรงให้เหลือไม่เกิน 1 รายต่อลูกจ้าง 1,000 คน และลดอัตราการเสียชีวิตจากการทำงานให้เหลือไม่เกิน 3 รายต่อลูกจ้าง 100,000 คน ภายในปี 2573 นอกจากนี้ยังมุ่งขยายแนวทางปฏิบัติในการขับเคลื่อนความปลอดภัยให้ครอบคลุมธุรกิจห่วงโซ่อุปทานทั่วประเทศ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการพัฒนาความปลอดภัยในการทำงานของประเทศไทยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เป็นหนึ่งใน 18 องค์กรชั้นนำที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการนี้ เนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความมุ่งมั่นดำเนินงานด้านมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นเลิศมาอย่างยาวนาน มีเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานจำนวนมากและครอบคลุมหลายภาคส่วน พร้อมกับประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ รางวัลกิจกรรมรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปี 2567 (Zero Accident Campaign 2024) โดยโรงงาน 1 และ โรงงาน 2 ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับแพลทินัม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเพื่อยกย่องการดำเนินงานที่มีชั่วโมงปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 55.5 ล้านชั่วโมงทำงาน อันแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ก๊าซหุงต้ม ปตท. เปิดบ้านต้อนรับคณะผู้บริหารกรมธุรกิจพลังงาน เยี่ยมชมกระบวนการซ่อมบำรุงและทดสอบถังก๊าซหุงต้ม ตามมาตรฐานความปลอดภัย
ก๊าซหุงต้ม ปตท. เปิดบ้านต้อนรับอธิบดีและคณะทำงานกรมธุรกิจพลังงานเข้าเยี่ยมชมกระบวนการซ่อมบำรุงและการทดสอบถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้มตามมาตรฐาน มอก. 151-2539 เพื่อพัฒนาแนวทางในการกำกับดูแลและส่งเสริมการใช้งานที่ปลอดภัยต่อประชาชนต่อไป สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค เช็กให้ชัวร์ ก๊าซหุงต้ม ปตท. ของแท้ ปลอดภัย การันตีได้ต้องดูที่ “ซีลทอง QR” เท่านั้น
นายทรงพล เทพนำโสมนัสส์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจเอนเนอร์ยี่โซลูชัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ให้การต้อนรับ นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน พร้อมด้วย นายวุฒิทัต ตันติเวสส รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน นายณัฐพงศ์ ปิยวัณโณ ผู้อำนวยการกองความปลอดภัยธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว และนางสุชานันท์ ศุภราช พลังงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมกระบวนการซ่อมบำรุงและการทดสอบถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้ม ณ โรงซ่อมบำรุงถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยคณะผู้เข้าร่วมได้รับฟังบรรยายเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว กระบวนการคัดแยก และซ่อมบำรุงถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้มตามมาตรฐาน มอก. 151 การทดสอบวาล์วตามมาตรฐาน มอก. 915 รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการถังก๊าซหุงต้มที่ไม่ได้คุณภาพ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค
ในโอกาสนี้ OR ยังได้ย้ำถึงมาตรการสร้างความปลอดภัยผ่านแนวคิด “ดูแลดีที่ 1 ดูที่ซีลทอง” โดยเน้นให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า “ก๊าซหุงต้ม ปตท. ของแท้ ต้องดูที่ ‘ซีลทอง QR’ เท่านั้น” ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานและความปลอดภัยในการใช้งาน การันตีว่าถังก๊าซหุงต้มทุกใบนั้นผ่านการทดสอบและซ่อมบำรุงโดยโรงซ่อมของ OR ที่สามารถรองรับถังก๊าซทั่วประเทศได้กว่า 3,000,000 ใบ/ปี พร้อมการบรรจุน้ำก๊าซคุณภาพของแท้จาก OR แน่นอน ก๊าซหุงต้ม ปตท. พร้อมส่งมอบประสบการณ์การใช้งานก๊าซหุงต้มที่ “ปลอดภัย ร้อนไว ไฟแรง” แก่ผู้บริโภคทั่วประเทศ
ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดี ๆ ทาง Facebook Fanpage จุดพลังความอร่อย by ก๊าซหุงต้ม ปตท. และ แอปพลิเคชัน OR LPG หรือโทร. 1365 Contact Center
#ก๊าซหุงต้มปตท. #ซีลทองQR #ดูแลดีที่1ดูที่ซีลทอง #มั่นใจทุกถัง #ปลอดภัยร้อนไวไฟแรง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
เอ็มจี ส่ง NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER
โชว์ศักยภาพ “อีวีตัวจี๊ด” บนสนามแข่ง
ในรายการ Gymkhana GC Grid Competition Series 2025 By Harson Tyresบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นผู้บุกเบิกวงการยานยนต์ไฟฟ้าไทย
สร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ขยายการรับรู้สู่กลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น ล่าสุด นำ NEW MG4 ELECTRIC
รุ่น XPOWER ลุยสนามแข่ง Gymkhana ในรายการ Gymkhana GC Grid Competition Series 2025 By Harson Tyres ประเดิมแข่งแมทช์แรกในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นการพิสูจน์สมรรถนะของขุมพลังยานยนต์ไฟฟ้าของ “อีวีสายพันธุ์แท้” อย่าง NEW MG4 ELECTRIC ในสภาพเส้นทางที่ท้าทาย
โดยมี “คุณหน่อง-เอมอมร” นักแข่งรถตัวแทนจาก เอ็มจี ร่วมลงสนามคู่กับ NEW MG4 ELECTRIC
รุ่น XPOWER และพันธมิตรยางล้อจาก Yokohama และ Maxion Wheels ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญในการ ลงแข่งขันครั้งนี้ สำหรับรายการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบความสามารถและโชว์ศักยภาพอันทรงพลังของ รถเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของแบรนด์ เอ็มจี ในการก้าวเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ต
ในประเทศไทย ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อตอบสนอง
ความต้องการของผู้ขับขี่ยุคใหม่ ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนให้กับวงการยานยนต์ไทยในอนาคตอย่างต่อเนื่องสำหรับการแข่งขันจิมคาน่า (Gymkhana) เป็นการแข่งขันที่สามารถใช้รถยนต์และจักรยานยนต์ในการแข่ง
ด้วยการใช้ความเร็วรถระดับต่ำถึงปานกลางในการแข่งขัน โดยไม่เน้นความเร็วรถเป็นหลักแต่จะเน้นเรื่องทักษะเทคนิคการขับขี่ในแต่ละจุดทดสอบแทน และใช้ระยะเวลาที่ทำได้เป็นตัวชี้วัดในการตัดสินการแข่งขันในแต่ละครั้ง
ซึ่งการแข่งขัน Gymkhana GC Grid Competition Series 2025 By Harson Tyres เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหว ครั้งสำคัญของแบรนด์ เอ็มจี ในการส่ง “อีวีสายพันธุ์แท้” อย่าง NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER
ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการขนานนามให้เป็น “อีวีตัวจี๊ด” โดดเด่นด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้า (320 กิโลวัตต์) และแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร โดยสามารถทำอัตราเร่ง
จาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.8 วินาที เพื่อทดสอบสมรรถนะบนสนามแข่ง และส่งเสริมให้นักแข่งสามารถสร้างผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมี “คุณหน่อง-เอมอมร” นักแข่งรถตัวแทนจากแบรนด์ เอ็มจี กับผลงาน การแข่งขันที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น รางวัลรองแชมป์อันดับที่ 4 จากการแข่งขัน Auto Special Gymkhana Thailand 2002 รางวัลอันดับที่ 2 จากการแข่งขัน Gymkhana By Under Up 2022 การคว้ารางวัลอันดับที่ 1 รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง จากการแข่งขัน Gymkhana Classic Revival 2024 มาครองได้ และล่าสุด
กับการแข่งขัน Gymkhana GC Grid Competition Series 2025 By Harson Tyres สนามแรกในปีนี้ ที่สามารถคว้ารางวัลอันดับที่ 1 ในรุ่น GC9 มาได้ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงฝีมืออันยอดเยี่ยมของ “คุณหน่อง-เอมอมร” และทีมเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำแบรนด์ในฐานะผู้สนับสนุนสำคัญที่มีบทบาทในการผลักดันนักแข่งให้ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในวงการมอเตอร์สปอร์ต แม้จะต้องเผชิญกับบททดสอบที่ท้าทายและการแข่งขันอันดุเดือดก็ตามเผยมุมมองของคุณหน่อง-เอมอมร กับประสบการณ์การขับ NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER ลุยสนามแข่ง
คุณหน่อง-เอมอมร กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เพราะการแข่งขันครั้งนี้ ลงแข่งในรุ่น GC 9 รถพลังงานไฟฟ้า100% ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตที่ผลักดันให้ผมพัฒนาความสามารถตัวเองมากยิ่งขึ้น และการขับ NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER ลงแข่งขันในรายการนี้ ทำให้ผมมั่นใจในทุกเส้นทางการแข่งขัน ด้วยสมรรถนะที่ทรงพลัง ทั้งความเร็ว แรง และเร้าใจ เป็นรถที่โดดเด่น และให้ประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างด้วยการกระจายน้ำหนักที่สมดุลแบบ 50:50 และจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ (Low Centre of Gravity) พร้อมระบบช่วงล่างหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท และช่วงล่างหลังแบบ 5-Link Suspension ซึ่งช่วยเสริมสมรรถนะและการควบคุมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกสภาพถนน ทำให้สามารถควบคุมรถไปตามเส้นทางการแข่งขันในสไตล์ Gymkhana ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น สำหรับการแข่งขันในปีนี้ ตัวรถที่ใช้แข่งไม่ได้มีการปรับจูนใหม่ใดๆ จะมีเพียงแค่การปรับมาใช้ยางล้อจาก Yokohama และ Maxion Wheels ที่ช่วยยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี สำหรับการแข่งขันในแมทช์ต่อไป ผมตั้งใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้มากยิ่งขึ้น พร้อมสนุกไปกับการแข่งขันฤดูกาลใหม่ และหวังว่าจะได้มีโอกาสขับรถจากแบรนด์ เอ็มจี รุ่นใหม่ๆ ลงสนามอีกครั้ง”
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เอ็มจี เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี จากจุดเริ่มต้นในการเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ต
ที่ประสบความสำเร็จในสนามแข่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดยานยนต์ระดับนานาชาติ ซึ่งในปัจจุบัน เอ็มจียังคงมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาและผลักดันแบรนด์เพื่อก้าวสู่ยุคใหม่อย่างจริงจัง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี อันล้ำสมัยเข้ากับสมรรถนะยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสะท้อนจิตวิญญาณและดีเอ็นเอความเป็นสปอร์ต
ของแบรนด์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เอ็มจี ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดกลิ่นอายความเป็นสปอร์ตจากอดีตสู่ปัจจุบัน
แต่ยังมุ่งมั่นในการนำเสนอยานยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสมรรถนะและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อให้ลูกค้า
ได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุด สำหรับ NEW MG4 ELECTRIC เป็นโกลบอลอีวีรุ่นแรกที่พัฒนาขึ้น
บน NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM และยังถือเป็นโกลบอลอีวีรุ่นยอดนิยมที่ได้รับกระแสตอบรับ
อย่างดีเยี่ยมจากผู้ใช้อีวีทั่วโลก โดย ณ ปัจจุบันมียอดขายในประเทศไทยรวมแล้วว่า 13,000 คัน และยอดขายสะสมทั่วโลกมากกว่า 200,000 คัน ด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ สมรรถนะดีเยี่ยม เทคโนโลยีที่ทันสมัย
และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน รวมถึงยังเป็นโมเดลที่ได้รับการการันตีคุณภาพด้วยรางวัล THAILANDEV OF THE YEAR 2023 และคว้ารางวัลในระดับสากลจากเว็บไซต์ผู้เชี่ยวชาญรถยนต์อีวี และยนตรกรรมรุ่นนี้ ยังผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก Euro NCAP (European New Car Assessment Programme) อีกด้วย NEW MG4 ELECTRIC เป็นโมเดลที่ผมเชื่อว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแบรนด์ ในวงการมอเตอร์สปอร์ตยุคใหม่ พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ เอ็มจี ให้ก้าวไกลไปในทิศทางที่ใหญ่ยิ่งขึ้นและเป็นหนึ่ง ในผู้นำของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในระดับสากลมากขึ้นด้วยเช่นกัน”
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Car
OMODA & JAECOO ประกาศผู้โชคดีแคมเปญ “Motor Expo Deal ซื้อรถชิงรถ” มอบรางวัลรวมมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท
1 Min ReadOMODA & JAECOO ประกาศผู้โชคดีแคมเปญ “Motor Expo Deal ซื้อรถชิงรถ”
มอบรางวัลรวมมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท(เรียงจากซ้ายไปขวา) พิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด,
ฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) และ อลิศา ลำเทียน เจ้าหน้าที่ปกครอง กรมการปกครองกรุงเทพฯ, 17 กุมภาพันธ์ 2567 – OMODA & JAECOO (โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก จัดพิธีมอบรางวัลแคมเปญ “Motor Expo Deal ซื้อรถชิงรถ” จากงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 (Thailand International Motor Expo 2024) โดยมีผู้โชคดีร่วมลุ้นรับรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1,539,000 บาท
แคมเปญนี้จัดขึ้นสำหรับลูกค้าที่จอง และ ส่งมอบรถ OMODA C5 EV และ JAECOO 6 EV (หรือ iCAR 03 ในประเทศจีน) ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2567 และจดทะเบียนภายใน 17 มกราคม 2568 โดยมีรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1,539,000 บาท แบ่งเป็น
1. รถ OMODA C5 EV Long Range Plus จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 899,000 บาท
2. สร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง จำนวน 30 รางวัล มูลค่า 390,000 บาท
3. บัตรชาร์ตรถไฟฟ้า มูลค่า 2,500 บาท จำนวน 100 รางวัล มูลค่า 250,000 บาทผู้โชคดีที่ได้รับรางวัล:
• รางวัลที่ 1: นายเจษฏากรณ์ จันครา ได้รับรถ OMODA C5 EV Long Range Plus
• รางวัลที่ 2 และ 3: ผู้โชคดีท่านอื่นๆ จำนวน 130 ท่าน ซึ่งได้รับการติดต่อจากทาง OMODA & JAECOO โดยตรงนายฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) กล่าวว่า “แคมเปญ Motor Expo Deal ซื้อรถชิงรถ นับเป็นการ
ตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้าที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา ความสำเร็จของแคมเปญนี้สะท้อนให้เห็นถึงการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของ OMODA & JAECOO ทำให้เรามีกำลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยี
ยานยนต์ที่ล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับให้กับลูกค้าชาวไทย”“นอกจากนี้ เรายังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมและแคมเปญพิเศษอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2568 เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำ
ด้านยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมส่งมอบนวัตกรรมและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา” นายฉี เจี๋ย กล่าวเสริมสำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของ OMODA & JAECOO สามารถสอบถามได้ที่
โชว์รูม OMODA & JAECOO ทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ทาง www.omodajaecoo.co.th และ
เพจ Facebook: Omoda & Jaecoo Thailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
โตโยต้า เชิญชวนชาวขอนแก่น ร่วมตระหนักเรื่องโลกเดือด พร้อมลดเปลี่ยนโลก
ผ่านนิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด”นายสิริวิทย์ ปรีชาศุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนองค์กร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย จำกัด และ นายยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนในจังหวัดขอนแก่น ร่วมเป็นเกียรติในงานนิทรรศการ “Multiverse Future Thailand ทางเลือก หรือ ทางรอด” ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 เซ็นทรัล ขอนแก่นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568นิทรรศการ Multiverse Future Thailand คือการจำลองอนาคตประเทศไทยออกเป็นโลกคู่ขนานใน 2 โซน ได้แก่ โซน “ทางเลือก” ที่เน้นสร้างความตระหนักถึงผลกระทบจากสถานการณ์ภาวะโลกเดือดผ่านร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และ โซน “ทางรอด” ที่มุ่งเน้นในการสร้างจิตสำนึกผ่านการให้ความรู้ในแง่มุมต่าง ๆ ตลอดจนชักชวนผู้คนมาร่วมปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันผ่านกิจกรรม “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า” โดยโตโยต้าได้มีการจัดนิทรรศการฯ ครั้งแรก ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่17 – 19 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา และได้ขยายความสำเร็จมายังจังหวัดขอนแก่นต่อไปภายในงาน มีกิจกรรม Workshop นำขยะมารีไซเคิลทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ โดย TAMDA Studioที่มีชื่อเสียงในการสร้างสรรค์สิ่งของเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นผลงาน และยังมีความสนุกกับกิจกรรมมินิทอล์คและมินิคอนเสิร์ต โดยศิลปิน “บิวบองและด้งเด้ง ไทบ้าน” และ “หญิงลี ศรีจุมพล”โตโยต้าคาดหวังว่างานในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมาย “สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน” อันจะเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “เมืองสีเขียว” อย่างยั่งยืนต่อไป“นิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด” จัดขึ้นณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 เซ็นทรัล ขอนแก่น ตลอดวันที่ 14 – 16 กุมภาพันธ์ 2568 นี้
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
สแกนเนีย ปฏิวัติวงการสิบล้อ ส่งรถ Scania Rigid Euro 5 ลงตลาด
ชูจุดเด่นรถบรรทุก 10 ล้อ มาตรฐานยุโรป ประหยัดน้ำมัน ปลอดภัยสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดราคาเร้าใจ 3.5 ล้าน เผยผู้ประกอบการสนใจจำนวนมากตลาดสิบล้อสะเทือน สแกนเนีย ประกาศปฏิวัติวงการ ส่งรถบรรทุก 10 ล้อ Scania Rigid Euro 5 มาตรฐานยุโรปลงตลาด ชูจุดเด่นประสิทธิภาพสมรรถนะเครื่องยนต์ ประหยัดน้ำมัน ระบบความปลอดภัยสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีช่วงล่างให้เลือกทั้งแบบแหนบและถุงลม เปิดราคาจอง (Pre Booking) เร้าใจแค่ 3.5 ล้านบาท ดาวน์ต่ำ 5% ดอกเบี้ยคงที่ 3.99% พร้อมแพ็คเกจดูแลรักษารถนาน 3 ปี มั่นใจคุณสมบัติเด่นจับใจผู้ประกอบการ ชิงส่วนแบ่งตลาดรถบรรทุกได้แน่ ล่าสุดเผยผลตอบรับดีเกิดคาดผู้ประกอบการให้ความสนใจจำนวนมาก
นางสาวดวงใจ พงศ์ประเทืองสุข ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการงานขายและกลยุทธ์ประจำประเทศไทย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวถึงการเดินหน้ารุกตลาดรถบรรทุก 10 ล้อ ในประเทศไทยว่า หลังการเปิดตัวรถบรรทุกหัวลาก Scania Euro 5 ไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ผลตอบรับถือว่าดีมาก จากทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ พร้อมแนวโน้มการซื้อซ้ำอีกจำนวนมากในปีนี้ ผลดังกล่าวเกิดจากการยอมรับในประสิทธิภาพและสมรรถนะของเครื่องยนต์ การประหยัดน้ำมันในอัตราขาไปบรรทุกหนักและขากลับบรรทุกเบาสูงสุดถึง 4.8 กิโลเมตร / ลิตร และการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จุดเด่นที่ถูกพูดถึงในวงกว้างทำให้เกิดกระแสเรียกร้องจากกลุ่มลูกค้ารถบรรทุก 10 ล้อ ว่าต้องการรถ Euro 5 มาใช้งานด้วยเช่นกัน เนื่องจากมองเห็นถึงโอกาสและความสำคัญของรถ Euro 5 โดยเฉพาะในช่วง PM 2.5 พุ่งสูง ทำให้ กรุงเทพมหานคร ยกระดับมาตรการควบคุมฝุ่น ห้ามรถบรรทุกที่ไม่อยู่ในบัญชีสีเขียวเข้าพื้นที่เขตควบคุม ทำให้รถที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจ แต่รถ Euro 5 เป็นหนึ่งในรถที่ได้รับการยกเว้นให้เข้าในพื้นที่ได้
สัญญาณที่ดีและแนวโน้มความต้องการรถบรรทุก 10 ล้อ Euro 5 ผนวกกับตลาดรถบรรทุก 10 ล้อ ของไทย มีขนาดใหญ่มาก โดยรถบรรทุกน้ำหนักเกิน 7 ตัน ขึ้นไป ที่จดทะเบียนใหม่ในปี 2567 ที่ผ่านมามีประมาณ 11,000 คัน เป็นรถบรรทุก 10 ล้อ ถึงประมาณ 50% หรือ 5,500 คัน ทำให้ สแกนเนีย ศึกษาตลาดอย่างจริงจัง โดยทีมสนับสนุนการขายและฝ่ายขายร่วมกันออกหาลูกค้า ศึกษาหาความต้องการที่แท้จริง และนำข้อมูลที่ได้มาหาโซลูชั่นร่วมกับบริษัทฯ แม่ที่สวีเดน เพื่อพัฒนาและยกระดับรถบรรทุก 10 ล้อ ที่เป็น Euro 5 ให้เหมาะสมกับตลาดประเทศไทย มีสมรรถนะสูงสุด ประหยัดน้ำมัน ปลอดภัยตามมาตรฐานยุโรป เป็น DNA สแกนเนีย ที่ทุกคนมั่นใจ พิเศษสุดเพราะมีระบบช่วงล่างให้เลือกทั้งแบบแหนบ และ ถุงลม ซึ่งได้รับความนิยมในยุโรปและอเมริกา เนื่องจากบำรุงรักษาง่ายใช้เวลาไม่นาน ปรับระดับความสูงต่ำได้ มีความนิ่มนวล รักษาสินค้าได้ดี ช่วยยืดอายุการใช้งานอะไหล่ส่วนอื่นๆ ได้ นอกจากนั้นยังสามารถยกเพลาตามได้มาจากโรงงานเพื่อประหยัดหน้ายาง ช่วยในการขับขี่และการขนส่งได้โดยไม่เสียสมดุลของตัวรถเพราะเป็นมาตรฐานมาจากโรงงาน นอกจากระบบต่างๆ แล้ว ยังเป็นครั้งแรกในรถสิบล้อกับจอแสดงผลดิจิทัลอัจฉริยะเต็มรูปแบบ ทั้งหน้าปัดมาตรวัดและวิทยุ (Smart Dash) ทั้งหมดนี้ถูกใส่ไว้ใน Scania Rigid Euro 5 อย่างเต็มที่ เพื่อการพัฒนาและพลิกโฉมวงการรถบรรทุก 10 ล้อไทยอย่างแท้จริง ในราคาที่เหมาะสม โดยวันนี้รถบรรทุก 10 ล้อ Scania Rigid Euro 5 พร้อมลงตลาดแล้วและถือเป็นรถบรรทุก 10 ล้อ Euro 5 เจ้าแรกของไทยอีกด้วย
ส่วนการใช้งานของรถบรรทุก 10 ล้อ Scania Rigid Euro 5 นั้น ครอบคลุมในหลายประเภทการขนส่งไม่ว่าจะเป็นขนส่งตู้ ขนส่งที่ต้องการความปลอดภัยสูง ขนส่งรถ รถติดฮุกลิฟท์ ขนส่งแท็งค์ของเหลวต่างๆ น้ำมัน อาหารสัตว์ สินค้าที่คุมอุณหภูมิ ฯลฯ โดยมุ่งเน้นทำตลาดกับทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมที่ใช้รถสแกนเนียและมีบริการรถบรรทุก 10 ล้อ กลุ่มลูกค้าใหม่ที่เป็นผู้ให้บริการรถบรรทุก 10 ล้อ แต่ยังไม่เคยใช้รถของสแกนเนีย และกลุ่มที่ต้องการใช้รถในงานเฉพาะทาง อาทิ รถดับเพลิง รถขุดเจาะ รถที่ใช้ในกิจกรรมพิเศษ ฯลฯ
ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปี สแกนเนีย ได้มีการแนะนำรถบรรทุก 10 ล้อ Scania Rigid Euro 5 แก่กลุ่มลูกค้าบางส่วนไปบ้างแล้วและได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาด ดังนั้น สแกนเนีย จึงได้เปิดจอง (Pre Booking) รถบรรทุก 10 ล้อ Scania Rigid Euro 5 อย่างเป็นทางการขึ้น ด้วยราคาพิเศษเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท พร้อมทั้งร่วมมือกับ สแกนเนีย ไฟแนนซ์ มอบข้อเสนอพิเศษดาวน์เริ่มต้นที่ 5% ดอกเบี้ยคงที่ 3.99% ผ่อนสูงสุด 72 งวด ขับฟรี 60 วัน พร้อมรับฟรี AdBlue 500 ลิตร และแพ็คเกจดูแลรักษารถ ได้แก่ ฟรีงานซ่อม 2 ปี หรือ 270,000 กม. และ บำรุงรักษาอีก 3 ปี หรือสูงสุด 380,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดถึงก่อน) จากคุณสมบัติที่แตกต่างและราคาที่เหมาะสม ทำให้เชื่อว่ารถบรรทุก Scania Rigid Euro 5 จะสร้างปรากฏการใหม่ในการพลิกโฉมและสร้างภาพลักษณ์ให้กับวงการรถบรรทุก 10 ล้อของไทย และจะเป็นเรือธงในน่านน้ำใหม่ให้กับ สแกนเนีย ในการชิงแชร์ตลาดรถบรรทุก 10 ล้อ ได้อย่างแน่นอน
สำหรับจุดเด่นและรายละเอียดของรถบรรทุก 10 ล้อ Scania Rigid Euro 5 นั้น นายณรงค์ฤทธิ์ อิทธิสารรณชัย ผู้อำนวยการสนับสนุนการขายและโลจิสติกส์ บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เผยว่ารถบรรทุก 10 ล้อ Scania Rigid Euro 5 มีจุดเด่นที่เช่นเดียวกับรถหัวลาก สแกนเนีย โดยรุ่นที่เปิดตัวครั้งนี้ คือ P360 มีเครื่องยนต์ขนาด 360 แรงม้า กำลังแรงบิด 1,700 นิวตันเมตร เพลาเดียว มาพร้อมกับ 12 เกียร์เดินหน้า ช่วงล่างมีให้เลือกทั้งแบบแหนบและถุงลม พร้อมกับ 2 ช่วงความยาว 6.6 เมตร และ 7.7 เมตร เพื่อทางเลือกที่หลากหลายในการต่อตัวถังของลูกค้า
โดยการเป็นรถเพลาเดียวที่มีกำลังเครื่องและแรงบิดสูง มีข้อได้เปรียบกว่ารถ 2 เพลาในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดน้ำมันที่มากกว่า น้ำหนักตัวรถที่น้อยกว่า สามารถยกเพลาตามได้ทำให้ประหยัดหน้ายาง อีกทั้งยังถ่ายเทน้ำหนักกดลงเพลาจักรเพื่อเพิ่มกำลังขับได้ ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น ในระบบเบรกถ้าเป็นช่วงล่างแบบแหนบจะเป็นดรัมเบรก แต่ถ้าเป็นช่วงล่างแบบถุงลมจะเป็นดิสก์เบรก ซึ่งเวลาเบรกผ้าเบรกจะจับได้เต็มกว่าและกระจายความร้อนได้ดีกว่า ในกรณีที่ต้องมีการเบรกนานๆ อย่างต่อเนื่อง โดยทั้ง 2 ระบบ ยังคงมาตรฐานเบรก ABS และ EBS และเบรกไอเสีย
ส่วนระบบเกียร์เป็นระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ หัวเก๋งมีความปลอดภัยสูง ให้มุมมองวิสัยทัศน์ที่ดี ภายในห้องโดยสารควบคุมระบบต่างๆ ของรถผ่านหน้าจออัจฉริยะ เป็นเบาะลมปรับระดับ ปรับความหนืดได้ ช่วยให้การขับขี่สบายขึ้น ในด้านสิ่งแวดล้อมรถบรรทุก 10 ล้อ Scania Rigid Euro 5 สามารถลด PM2.5 ได้มากถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับรถยูโร 3 อีกด้วย สำหรับผู้สนใจรายละเอียดรถบรรทุก 10 ล้อ Scania Regi Euro 5 หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.scania.co.th หรือ โทร 02 017 9200 หรือ LINE OA: Scania TH Group หรือ www.facebook.com/scaniathailandgroup
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine