-
เอ็มจี เปิดวิสัยทัศน์ขึ้น ท็อป 5 ในทศวรรษที่ 2 พร้อมเปิดตัว NEW MG IM6 ชาร์จไว ฟังก์ชันครบ แรงสุดในรุ่น รับประกันแบตเตอรี่ Lifetime Warranty
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจในไทยตั้งเป้าปีนี้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 5% และมุ่งก้าวสู่ ท็อป 5 ในตลาดยานยนต์ไทย ภายในทศวรรษที่ 2 ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า และ ไฮบริด รุ่นใหม่ เพิ่มเติมพอร์ตโฟลิโอภายในปี 2026 เพื่อขับเคลื่อนแบรนด์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เติมเต็มพรีเมียมอีวี NEW MG IM6 เข้าเสริมทัพ ชูจุดเด่น The First-ever Premium Intelligent e-SUV ที่มาพร้อมกับความสามารถในการชาร์จเร็วที่สุดในประเทศไทย ณ เวลานี้ ฟังก์ชันครบถ้วน พร้อมแรงม้าสูงถึง 778 แรงม้า สะท้อนภาพยนตรกรรมที่ล้ำสมัย มอบความตื่นเต้นให้ลูกค้า พร้อมส่งมอบในช่วงเมษายนนี้
เอ็มจี ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญในวงการยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพสูงที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนในหลากหลายเซกเมนต์ด้วยจุดเด่นของฟีเจอร์ที่ครบถ้วนและราคาที่เข้าถึงง่าย ด้วยยอดขายสะสม ณ ปัจจุบันรวมกว่า 220,000 คัน ทั้งยังมียอดการส่งออกรถยนต์จากฐานการผลิตในไทยไปยังภูมิภาคอาเซียนแล้วมากกว่า 32,000 คัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่ได้รับความเชื่อมั่นไม่เพียงแค่ตลาดภายในประเทศ แต่ยังขยายไปสู่การเติบโตในระดับภูมิภาคได้อย่างมั่นคง ในทศวรรษที่ 2 เอ็มจี ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดย เอ็มจี มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ และรถไฮบริด เพิ่มเติมภายในปี 2026 เริ่มต้นด้วย NEW MG IM6 ยนตรกรรมไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นเรือธง ที่จะเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียมอีวี และ B-SUV ไฟฟ้าล้วน อย่าง NEW MG S5 EV ที่จะเปิดตัวในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 พร้อมเสริมทัพแผนการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานทางเลือกตามเทรนด์โลก และมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
- การตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกด้านยานยนต์ไฟฟ้าในไทยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง
เอ็มจี มุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะ การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่เน้นสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยและคุ้มค่าโดยภายในปี 2026 เอ็มจี เตรียมขยายไลน์อัพรถไฟฟ้าใหม่ ทั้ง SUV และ MPV นอกจากนี้ เอ็มจี ยังเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่มอบการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ มอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์สำคัญของแบรนด์ เพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับความทนทานของระบบไฟฟ้าและเพิ่มมูลค่าให้กับรถมือสอง ทั้งยังให้ความสำคัญกับการยกระดับโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เพื่อให้พร้อมต่อการขยายตัวในการใช้รถอีวี
- การพัฒนายานยนต์พลังงานทางเลือก เพื่อเสริมประสิทธิภาพและยกระดับประสบการณ์การขับขี่
เอ็มจี เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดภายใต้แนวคิด “Global Quality, Local Relevance” ด้วยการนำเทคโนโลยีไฮบริดเจเนอเรชันที่ 2 จาก SAIC MOTOR CORPORATION มาชูจุดเด่นด้านสมรรถนะที่ดีขึ้น การประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่า และการขับขี่ที่นุ่มนวล พร้อมคงความคุ้มค่าในการใช้งาน พร้อมกันนี้ เอ็มจี ยังเตรียมขยายไลน์อัพรถยนต์ไฮบริดอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดตัวรุ่นใหม่ภายในปี 2026 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยทั้งในกลุ่มครอบครัวและกลุ่มที่มองหาความประหยัดเป็นหลัก
3) สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในทุกด้าน
สำหรับ เอ็มจี เรามุ่งมั่นยกระดับบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนา E-Workshop ระบบบริการดิจิทัล ที่ให้ลูกค้าติดตามงานซ่อมได้แบบเรียลไทม์ สะดวก และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ เรายังตั้งเป้าอัตราการจัดหาอะไหล่ 99% เพื่อให้บริการได้รวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอย พร้อมเสริมด้วยบริการ ช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และการดูแลแบบใส่ใจรายบุคคล เพราะที่ เอ็มจี เราเชื่อว่า ลูกค้าทุกคนคือคนสำคัญ และเราพร้อมดูแลตลอดการเดินทาง
- การขับเคลื่อนแบรนด์สู่ความยั่งยืน พร้อมเคียงข้างสังคมไทย
ในปีนี้ เอ็มจี จะยังคงเดินหน้าพันธกิจนำแบรนด์สู่ความยั่งยืน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทั้งลูกค้า
พาร์ทเนอร์ และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาองค์กรและสังคมไปพร้อมกัน ทั้งยังสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคม
และมุ่งถ่ายทอดทักษะด้านนวัตกรรมในการพัฒนาเทคโนโลยี NEV ด้วยเผยการขยายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดสู่การพัฒนาทักษะในอนาคตและสร้างบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีคุณภาพและอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญภายในงานกับการเปิดตัว NEW MG IM6 ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของแบรนด์ เอ็มจี ซึ่ง NEW MG IM6 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “ขับเคลื่อนตัวตน บนความเป็นตัวเอง” (I’M WHO I’M) โดยนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ เติมเต็มทั้งความหรูหราและการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหารถเอสยูวีคูเป้ไฟฟ้าที่ไม่เพียงแค่มอบสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังสะท้อนถึงตัวตนของผู้ขับขี่ผ่านการออกแบบที่โดดเด่นและแตกต่างอย่างมีสไตล์ ซึ่งยนตรกรรมรุ่นนี้ได้รับรางวัล 2024 Red Dot Product Design Award ด้วยดีไซน์ภายนอกที่เรียบหรู ภายใต้คอนเซ็ปต์ Gentle Sculpture ทั้งยังคำนึงถึงการใช้หลักอากาศพลศาสตร์ หรือ Aero Dynamics ในการออกแบบเพื่อช่วยเสริมสมรรถนะและเพิ่มประสิทธิภาพของตัวรถได้อย่างลงตัว ผสานกับการออกแบบภายในที่เน้นความสะดวกสบาย ด้วยเบาะ POPO Sofa รูปทรงขนมปังที่มอบความนุ่มนวล ไม่ว่า เส้นทางไหนก็นั่งสบายตลอดทาง เสริมความบันเทิงด้วยหน้าจออัจฉริยะระบบสัมผัส Intelligent Immersive Touch Screens จำนวน 2 จอขนาดใหญ่ ประกอบด้วย หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 26.3 นิ้ว และหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.5 นิ้ว ที่รองรับระบบสั่งการอัจฉริยะ IM OS ที่ได้รับการพัฒนาโดย Alibaba Group ซึ่งระบบดังกล่าวยังได้รับรางวัล Red Dot Design Award สาขา Brand & Communication Design รวมถึงระบบลำโพงรอบทิศทาง 20 ตำแหน่ง ให้ลูกค้าได้เต็มอิ่มกับเครื่องเสียงรอบทิศทางขณะการเดินทาง
NEW MG IM6 ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีระดับสูง ด้วยแชสซีดิจิทัลอัจฉริยะ IM Digital Chassis ที่มอบความสมดุลและประสิทธิภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุดที่ 778 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 802 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 100 kWh ที่รองรับแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 875 โวลต์ ทำให้สามารถวิ่งได้ระยะทาง 634 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC มาพร้อมระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้ออัจฉริยะ (Intelligent Four-Wheel Steering System) ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเลนในความเร็วสูงเสถียรและการกลับรถในที่แคบได้อย่างง่ายดาย รวมถึงระบบ One Touch iAD ที่ช่วยในการถอยจอดด้านข้าง (One Touch Side Parking) รวมถึงการจอดและออกจากช่องจอดรถในพื้นที่จำกัด (One Touch Escape) และการถอยหลังอัตโนมัติเมื่อขับเจอซอยตัน (One Touch Reverse) สะดวกสบายด้วยฟังก์ชัน Crab Mode เพื่อปรับมุมทั้ง 4 ล้อ ในมุมเดียวกันเพื่อทำการเคลื่อนรถออกจากพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ยังมีระบบ Cooling System เจเนอเรชันใหม่ที่สามารถระบายความร้อนถึง 15 องศาเซลเซียส ภายในเวลาเพียง 30 วินาที และมอบความขั้นกว่าด้วยสถาปัตยกรรม 800V Dual SiC Platform ที่ทำให้ NEW MG IM6 เป็นรถที่ชาร์จไฟได้เร็วที่สุดในคลาสเดียวกันและยังสามารถเพิ่มระยะทาง การขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุ่นใจกับการใช้รถไฟฟ้าด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ มอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ปลอดภัยในทุกการเดินทาง ด้วยระบบ ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM และ ADAS รวมถึงระบบอำนวย ความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ที่ผ่านการทดสอบและรับรองมาตรฐานระดับ 5 ดาว จาก China NCAP พร้อมดีไซน์ระบบให้รองรับ EURO-NCAP ต่อไป นอกจากนี้ NEW MG IM6 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้เหนือกว่าทุกมาตรฐาน ด้วยระบบช่วยจอดอัตโนมัติ APA (Auto Park Assist) ที่ทำให้การจอดรถเป็นเรื่องง่ายดายแม้ในพื้นที่จำกัด และระบบอัจฉริยะแสดงผลในที่มืดและฝนตก (Intelligent Rainy Night Mode) ที่ช่วยให้การขับขี่ในสภาพอากาศที่ยากลำบากยังคงมีความชัดเจน อีกทั้งยังมีระบบช่วงล่างถุงลมอัจฉริยะ (Intelligent Air Suspension) ที่ไม่เพียงแต่ช่วยลดแรงกระแทกต่อพื้นถนนถึงห้องโดยสาร แต่ยังสามารถปรับระดับความสูงของช่วงล่างได้ถึง 3 ระดับ ตามลักษณะการขับขี่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความมั่นคงในทุกการเดินทาง
นาย ซู๋ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด กล่าวว่า “แม้ในปีที่ผ่านมา เอ็มจี จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เรามุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยการพัฒนาแบรนด์ในทุกมิติ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการผลิต การขยายเครือข่ายบริการหลังการขาย และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานต่าง ๆ สำหรับการเปิดตัวและประกาศราคา NEW MG IM6 ครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยและยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของแบรนด์ เอ็มจี นอกจากนี้ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในสังคมไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาตอบสนองความต้องการของลูกค้าและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ระดับสากล โดยในปีนี้ เอ็มจี ตั้งเป้าหมายที่จะ เพิ่มส่วนแบ่งตลาด เป็น 5% พร้อมเดินหน้าแผนธุรกิจอย่างเข้มข้นเพื่อผลักดันสู่หมุดหมายใหญ่ในการขึ้นเป็น แบรนด์ “ท็อป 5” ภายในทศวรรษที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย”
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ฮอนด้า มุ่งยกระดับมาตรฐานการบริการ เพิ่มศักยภาพทักษะพนักงาน มอบวุฒิบัตรรับรองคุณวุฒิครูฝึกประจำศูนย์บริการฮอนด้าครอบคลุมทั่วประเทศ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างลูกค้าในทุกเส้นทาง
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพและการบริการที่ได้มาตรฐาน เพิ่มทักษะบุคลากรเพื่อยกระดับการบริการอย่างต่อเนื่อง จัดพิธีมอบวุฒิบัตรรับรองครูฝึกประจำศูนย์บริการฮอนด้าทั้งหมด 80 คน ได้แก่ ครูฝึกช่างซ่อมตัวถังและสี ครูฝึกช่างเทคนิค และครูฝึกที่ปรึกษาการบริการ ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรครูฝึกประจำศูนย์บริการหรือ IDT (In-Dealer Trainer) เป็นหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจาก บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน พร้อมเป็นตัวแทนครูฝึกนำหลักสูตรไปเผยแพร่และฝึกอบรมบุคลากรของผู้จำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศ เพื่อรักษามาตรฐานการให้บริการ รวมถึงยกระดับการปฏิบัติงานให้ มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าอย่างสูงสุด อีกทั้งสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์และผลิตภัณฑ์ฮอนด้าตลอดอายุการใช้งานให้แก่ลูกค้า
สำหรับพิธีมอบวุฒิบัตรรับรองครูฝึกประจำศูนย์บริการฮอนด้าหรือ IDT (In-Dealer Trainer) ได้จัดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ ปี 2556 โดยครั้งนี้ มีครูฝึกที่ผ่านหลักสูตรการอบรมและการสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้น ทั้งหมด 80 คน โดยแบ่งเป็น
- ครูฝึกช่างซ่อมตัวถังและสี 15 คน ผ่านหลักสูตร อาทิ การปฏิบัติงานตัวถังและสี การเตรียมพื้นผิว
การเชื่อมแหวน ฯลฯ - ครูฝึกช่างเทคนิค 25 คน ผ่านหลักสูตร อาทิ ช่างเทคนิคบริการตามระยะ ระบบไฟฟ้ารถยนต์ระดับพื้นฐาน ระบบไฟฟ้าเครื่องยนต์ ระบบหัวฉีด PGM-Fi และการบริการเครื่องยนต์ e:HEV
- ครูฝึกที่ปรึกษาการบริการ 40 คน ผ่านหลักสูตร อาทิ การบริหารงานบริการระดับพื้นฐาน การบริหารงานบริการระดับสูง (ทักษะการติดต่อประสานงานบุคคล)
โดยที่ผ่านมามีครูฝึกประจำศูนย์บริการที่ผ่านหลักสูตรการอบรมตามมาตรฐานฮอนด้าแล้ว 219 คน โดยได้นำความรู้ไปฝึกอบรมบุคลากรของผู้จำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า 5,068 คน ครอบคลุมศูนย์บริการฮอนด้า 224 แห่งทั่วประเทศ
กว่า 41 ปีที่ฮอนด้าดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ฮอนด้าให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ของการดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งพัฒนาทั้งทักษะ Hard Skill และ Soft Skill ในส่วนของการพัฒนา Hard Skill ความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน นอกจากหลักสูตรครูฝึกประจำศูนย์บริการ ยังมีหลักสูตรพิเศษอื่นๆ ที่พัฒนาขึ้นมา ให้ทันกับความต้องการของตลาดและเข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน รวมถึงการจัดการแข่งขันทักษะพนักงานฮอนด้า หรือ Honda Skill Contest อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยครอบคลุมทั้งการขายและบริการหลังการขาย 10 ประเภท อาทิ ที่ปรึกษาการขาย ที่ปรึกษาการบริการ พนักงานช่างซ่อมทั่วไป พนักงานช่างซ่อมตัวถังและสี พนักงานอะไหล่ ฯลฯ ซึ่งฮอนด้าเชื่อมั่นว่า ด้วยพนักงานที่เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ ที่ได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยกระดับมาตรฐานการบริการของฮอนด้าให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และยังทำให้พนักงานทุกส่วน มีความพร้อมในการให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมทั่วประเทศภายใต้การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์
สามารถดูรายละเอียดการบริการของฮอนด้าได้ที่ https://www.honda.co.th/service
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
- ครูฝึกช่างซ่อมตัวถังและสี 15 คน ผ่านหลักสูตร อาทิ การปฏิบัติงานตัวถังและสี การเตรียมพื้นผิว
-
FIT Auto ยกระดับมาตรฐานการให้บริการอีกขั้น คว้าใบรับรอง “ร้าน มอก.” จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
FIT Auto ศูนย์บริการยานยนต์ภายใต้การบริหารของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เดินหน้ายกระดับมาตรฐานการให้บริการ ล่าสุดได้รับการรับรองเป็น “ร้าน มอก.” จาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ตอกย้ำความเชื่อมั่นและความเป็นผู้นำด้านศูนย์บริการยานยนต์ที่เชื่อถือได้
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย คุณไพศาล อุดมกุลวณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจหล่อลื่น OR เข้าร่วมพิธีรับมอบใบรับรองจาก คุณวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และ คุณพงษ์ศิริ วรรณศรี รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ณ FIT Auto สาขาวิภาวดี 62
หม่อมหลวงปีกทอง เปิดเผยว่า FIT Auto มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมทีมช่างผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการตามมาตรฐานระดับสูง การได้รับใบรับรอง ‘ร้าน มอก.’ ของ FIT Auto ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคไปอีกหนึ่งขั้น ทุกครั้งที่เข้าใช้บริการที่ FIT Auto จะได้รับทั้งความสะดวกสบายและความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้ง FIT Auto คัดสรรเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้รับมาตรฐาน มอก. เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ในทุกการเลือกใช้สินค้าและบริการที่ได้รับการรับรอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ FIT Auto ในการยกระดับมาตรฐานการบริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ยอดเยี่ยมและคุ้มค่า
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา FIT Auto เดินหน้ารักษามาตรฐานด้านความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาทั้งด้านบุคลากร ผลิตภัณฑ์ และบริการ ควบคู่กันทุกมิติ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า FIT Auto ทุกสาขาทั่วประเทศสามารถไว้วางใจได้ในการดูแลรถยนต์ พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในทุกการเดินทาง
ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto พร้อมให้บริการลูกค้าทั่วประเทศด้วยมาตรฐานที่ได้รับการรับรองแล้ววันนี้ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ มอก. สร้างความมั่นใจในทุกการเข้ารับบริการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1365 Contact Center ติดตามข่าวสารทาง Facebook: FIT Auto หรือเช็กสาขา FIT Auto ใกล้บ้าน ได้ที่ www.pttfitauto.com/th/branch
#FITAuto #เชี่ยวชาญบริการจากใจ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
อีซูซุเดินหน้าสานต่อโครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” แห่งที่ 44 แก่โรงเรียนวัดพวงนิมิต จ.สระแก้ว
กลุ่มอีซูซุในประเทศไทย โดย มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด พร้อมด้วย นายวิจิตร สดสะอาด ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรน้ำบาดาลเขต 9 ระยอง ร่วมส่งมอบระบบน้ำดื่มสะอาดในโครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” ต่อเนื่องเป็นแห่งที่ 44 ให้แก่ โรงเรียนวัดพวงนิมิต อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดในโรงเรียน และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่นักเรียน บุคลากร และคนในชุมชน นอกจากนี้ในปีนี้ อีซูซุได้เพิ่มอุปกรณ์พิเศษในกระบวนการผลิตน้ำดื่มสะอาด โดยการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของอีซูซุในเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งเป็นนโยบายหลักของอีซูซุ รวมทั้งการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทยในการใช้พลังงานจากทรัพยากรทดแทน และยังช่วยลดค่าไฟฟ้าของโรงเรียน ตอกย้ำปรัชญาการดำเนินธุรกิจ “วิถีอีซูซุ” นั่นคือ “ผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ ช่วยให้สังคมพัฒนา” ตามแนวคิดของอีซูซุ “Isuzu Trusted Buddy… อีซูซุเคียงข้างคุณ เคียงคู่ไทย”
default default default -
ผู้บริหาร OJ Primus รับรางวัลยอดจำหน่ายสูงสุด ปี 2024 เขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑล
เมื่อเร็วๆ นี้ นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ (ซ้าย) ประธาน บริษัท ไพรม์มัส โอแอนด์เจ พระราม 9 จำกัด และ บริษัทในเครือ “ไพรม์มัส กรุ๊ป” ให้เกียรติขึ้นรับรางวัล “Best Retail Sales of Greater BKK 2024” จากนายพิชณุตย์ วงศ์พัฒนาสิน (ขวา) รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บจก.โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ในงานประชุมผู้จำหน่ายรถยนต์ OMODA & JAECOO ในประเทศไทย ภายใต้ชื่องาน “OMODA & JAECOO Dealer Conference 2568” จัดขึ้นโดย บจก.โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ
สำหรับการประชุมครั้งนี้ เพื่อประกาศกลยุทธ์การสร้างการเติบโตร่วมกับพันธมิตรอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง พร้อมตอกย้ำความพร้อมในการตอบสนองต่อตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้ ภายใต้แนวคิด One Vision, One Drive, Inspiring the E-Future ของบริษัทแม่ เฌอรี่ ออโต้โมบิลส์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับชั้นแนวหน้าจากประเทศจีน
ล่าสุด “โอแอนด์เจ ไพรม์มัส” เปิดจองสิทธิ์รับ Special Price เมื่อจองรถยนต์รุ่นใหม่ JAECOO 7 SHS พร้อมรับนาฬิกา JAECOOxGARMIN FORERUNNER165 จำนวนเพียง 150 สิทธิ์เท่านั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 – 23 มี.ค.ศกนี้
JAECOO 7 SHS รถเอนกประสงค์ SUV ที่ผสมผสานเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5L GDI Turbo ทำงานร่วมกับระบบซูเปอร์อิเล็กทริกไฮบริด ในแบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicle ทำให้มีกำลังรวมสูงสุด 347 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.5 วินาที วิ่งไกลกว่า 1,300 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง นับเป็นอีกหนึ่งยานยนต์ที่วิ่งไกลสุดในขณะนี้
ด้านรูปลักษณ์ภายนอกเน้นความหรูหรา แข็งแกร่ง ที่มาพร้อมกับห้องโดยสารภายในที่ออกแบบและเลือกสรรอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยี ล้ำสมัยในระดับพรีเมี่ยม ทำให้ทุกการขับขี่สนุกสนานในทุกเส้นทางทั้งในแบบออนโรดและออฟโรด
พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษก่อนใคร! สำหรับผู้ที่สนใจและต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ในรุ่น BLACK OMODA C5 EV สำหรับรุ่น Long Range Ultimate และรุ่น Long Range Plus สีดำ รับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท พร้อมของสมนาคุณกว่า 200,000 บาท อาทิ ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี, โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง และ ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินนาน 5 ปี ตลอด 24 ชม. เป็นต้น
และรุ่น JAECOO 6 EV รับดอกเบี้ยพิเศษ 0% นาน 48 เดือน, ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี และของสมนาคุณมูลค่ากว่า 100,000 บาท
พิเศษ! เฉพาะวันที่ 1-31 มีนาคม ศกนี้เท่านั้น สำหรับผู้ที่สนใจสามารถชมและทดลองขับรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น ได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ โอแอนด์เจ ไพรม์มัส พระราม 9 Tel: 093-226-6926 หรือ Line: @ojprimus
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ประเดิมศึกความเร็วระดับโลก FIA Formula 3 “เติ้น-ทัศนพล” ทำความเร็วทะลุ Top 5!!!
เปิดฉากความเร็วระดับเวิล์ดคลาสกับการแข่งขัน FIA Formula 3 Championship 2025 สนามแรกของปี ที่ “เติ้น-ทัศนพล อินทรภูวศักดิ์” นักแข่งฟอร์มูล่าชาวไทยหนึ่งเดียวในรายการ จาก AAS Motorsport ลงแข่งขันภายใต้ทีม Campos Racing ณ สนามอัลเบิร์ต พาร์ค เซอร์กิต , ประเทศออสเตรเลีย สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นฤดูกาลการแข่งขันด้วยการพารถสูตรหมายเลข 11 ลงสนามอุ่นเครื่องทำความเร็วในรอบการซ้อม(Practice) อยู่ในอันดับที่ 6 ก่อนลุยต่อในรอบคัดเลือก (Qualifying) ซึ่งทำเวลาดีสุด 1:35.924 อยู่อันดับ 7 ส่งผลให้ เติ้น ทัศนพล จะได้ออกจากกริดสตาร์ทที่ 6 ในรอบสปรินต์เรซตามกติกา “รีเวิร์ส กริด” (Reverse Grid)
ทันทีที่การแข่งขันรอบสปริ้นต์ เรซ (Sprint Race) เริ่มขึ้นรถสูตรหมายเลข 11 ของ เติ้น ทัศนพล ก็ไม่รอช้าเปิดโหมดบู๊หวังขยับขึ้นทำอันดับ หลังออกสตาร์ทจากกริดที่ 6 ไปได้เพียงไม่กี่รอบ ก็ไม่ทำให้แฟน Motorsport ผิดหวัง สปีดทำความเร็วขึ้นแซงได้อย่างเฉียบขาด ไต่ขึ้นไปสูงสุดในอันดับที่ 2 ก่อนจะเสียจังหวะทำให้ต้องลงมาอยู่อันดับ 5 และเมื่อเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเกมการแข่งขันนักแข่งไทยก็พยายามอย่างหนักเร่งเครื่องสู้เต็มกำลังแซงกลับขึ้นไปอยู่อันดับที่ 4 และรักษาอันดับไว้ได้จนจบเรซ โชว์ท็อปฟอร์มคว้าอันดับที่ 4 (P4) เก็บคะแนนสะสมอีก 7 แต้มมาครองไว้ได้อย่างสวยงาม
ต่อด้วยการแข่งขันในรอบฟีเจอร์ เรซ (Feature Race) เช้าวันอาทิตย์ เปิดสนามอัลเบิร์ต พาร์ค ด้วยความชุ่มฉ่ำ โดย เติ้น ทัศนพล ยังคงทำผลงานรักษาอันดับไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ลงสนามพร้อมรถสูตรหมายเลข 11 เริ่มเกมจากกริดสตาร์ทที่ 7 ท่ามกลางสายฝนและสภาพสนามที่เต็มไปด้วยละอองน้ำ ทำให้ทัศนวิสัยในการขับแข่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก สร้างความท้าทายให้บรรดานักแข่ง F3 ที่ต่างต้องควบคุมรถในสภาพสนามที่เลวร้าย และยังต้องพยายามเดินหน้าทำความเร็วเพื่อสร้างผลงานที่ดีที่สุดของตัวเอง โดยตลอดการแข่งขันมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดอุบัติเหตุเป็นระยะจน Safety Car ต้องออกมาวิ่งคุมสถานการณ์เพื่อความปลอดภัยในสนาม ก่อนที่ต่อมากรรมการจะตัดสินใจโบกธงแดง (Red Flag) ยุติการแข่งขันลงหลัง Safety Car ลากยาวถึงรอบที่ 18 ส่งผลให้ เติ้น ทัศนพล ปิดเกมเรซนี้ไปในอันดับที่ 7 (P7) ซึ่งยังคงเกาะกลุ่ม “Top 10” เก็บเพิ่มอีก 6 คะแนน รวมทั้งสิ้น 13 คะแนน บนตารางสะสมอย่างเป็นทางการ
สำหรับการแข่งขัน Formula 3 – สนามที่ 2 จะจัดขึ้น ณ สนามบาห์เรน อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศบาห์เรน ระหว่างวันที่ 11-13 เมษายนนี้ แฟนความเร็วและ Fc. เติ้น ทัศนพล เตรียมปักหมุดติดตามเชียร์นักแข่งไทย และเพื่อไม่พลาดทุกข่าวสารรายงานความมันส์ส่งตรงจากทางเพจก่อนใคร กดติดตามและถูกใจ ได้ที่เพจ Facebook & Instagram : AAS Motorsport และเว็บไซต์หลัก https://www.aasautoservice.com/
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ไทยฮอนด้า เปิดตัวเครื่องยนต์เรือ ‘All New Honda BF250 V6’ ที่สุดแห่งสมรรถนะบนผืนน้ำ พร้อมเติบโตเคียงข้างผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว
ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดตัว All New Honda BF250 V6 เครื่องยนต์เรือระดับพรีเมียมภายใต้คอนเซปต์ ‘Experience The True Perfection สัมผัสทุกความเหนือระดับ’ นวัตกรรมล่าสุดจาก Honda Marine เพื่อมอบประสบการณ์ขับเคลื่อนที่ทรงพลังและเหนือระดับยิ่งขึ้น มาพร้อมขุมพลัง V6 ขนาด 250 แรงม้า โดดเด่นด้วยระบบ iST (Intelligent Shift and Throttle) เทคโนโลยี Drive-by-Wire ที่ช่วยให้การควบคุมเป็นไปอย่างแม่นยำและราบรื่น รองรับทุกการเดินทางบนผืนน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
คุณวิวัฒน์ เลิศผาติ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานขายและการตลาดบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2024 ที่ผ่านมา ฮอนด้าได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวอย่างล้นหลาม ทั้งจากการเลือกใช้เครื่องยนต์ติดท้ายเรือ BF250 ซึ่งเป็นรุ่นหลัก รวมถึง BF350 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ช่วยเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจการท่องเที่ยงทางทะเล ความเชื่อมั่นของทุกท่านมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ยอดขายเครื่องยนต์ติดท้ายเรือของฮอนด้าเติบโตขึ้นถึง 123% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทางทะเลของไทยในปี 2025 นี้กำลังกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง”
“ไทยฮอนด้า พร้อมเป็นพันธมิตรที่ช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจท่องเที่ยวทางน้ำเติบโตไปด้วยกัน เราเชื่อว่า All New Honda BF250 V6 จะเป็นตัวเลือกสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจท่องเที่ยวทางน้ำในอนาคต เรายังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ทั้งด้านสมรรถนะ ความทนทาน และประสิทธิภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมให้บริการหลังการขายที่ครอบคลุม เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน”
All New Honda BF250 V6 มาพร้อมดีไซน์ใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นเรือธง BF350 V8 สง่างามและทรงพลังเข้ากับตัวเรือหลากหลายขนาด เพิ่มความหรูหราด้วยสี Aquamarine Silver Metallic พร้อมตราสัญลักษณ์โครเมียมสุดพรีเมียม
All New Honda BF250 V6 มาพร้อมระบบ Cruise Control ฟังก์ชันการควบคุมแบบใหม่จากเครื่องยนต์ V6 ขับเคลื่อนลื่นไหลยิ่งกว่าเดิม รวมถึงช่วยลดมลภาวะและประหยัดน้ำมันได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยนวัตกรรมควบคุมการเผาไหม้เชื้อเพลิง เทคโนโลยี O2 Sensor และระบบ BLAST (Boosted Low Speed Torque) ที่ช่วยเร่งอัตราเร่งให้เร็วขึ้น เพิ่มความมั่นใจในการเดินทางทุกเส้นทาง
ไทยฮอนด้า พร้อมวางจำหน่าย All New Honda BF250 V6 ในราคาแนะนำ 830,000 บาท พร้อมทีมช่วยเหลือระดับชั้นนำของฮอนด้าที่ Honda Marine NPSK ทั้ง 3 สาขา ที่จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พัทยา และสตูล
ผู้ที่สนใจสามารถพบกับเครื่องยนต์เรือ All New Honda BF250 V6 ได้ที่บูธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า (M1) ในงาน Motor Show 2025 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี
ติดตามข่าวสารของ Honda Marine ได้ที่
Facebook: Honda Marine Thailand
Website: https://powerproducts.honda.th.com
Call Center ศูนย์บริการ: 038-425-228 สาขาพัทยา, 076-608-998 สาขาภูเก็ต, 075-851-181 สาขากระบี่, 092-071-6321 สาขาสตูล#HondaMarine #HondaBF250 #สัมผัสทุกความเหนือระดับ #Thaihonda #ไทยฮอนด้า
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ไฮไลท์จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 หนึ่งในรถยนต์ตระกูลหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยูมาโดยตลอด พร้อมก้าวสู่อนาคต อีกขั้นกับบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ รถยนต์ซีดานปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานความสปอร์ตและความหรูหราให้เข้ากันอย่างลงตัว ทั้งยังเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าด้วยการอัปเกรดทั้งแบตเตอรี่ ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System รุ่นล่าสุด พร้อมปรับโฉมภายนอกให้สง่างามและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
ไฮไลท์สำคัญในบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ คือแบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 22.3 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่รองรับการชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 11 กิโลวัตต์ และลดเวลาชาร์จเต็มจาก 3 ชั่วโมง 45 นาที เหลือเพียง 2 ชั่วโมง 15 นาที ส่วนระยะทางการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วน (ตามมาตรฐาน WLTP) ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 330e รุ่นก่อนหน้า ด้วยระยะทางสูงสุด 85-101 กิโลเมตรเมื่อขับขี่ในแบบไร้มลภาวะ
แบตเตอรี่ใหม่นี้ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดที่ผ่านการพิสูจน์สมรรถนะบนท้องถนนมาแล้ว ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 80 กิโลวัตต์ / 109 แรงม้า และเกียร์ 8 สปีด Steptronic Sport โดยรวมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ สามารถส่งกำลังสูงสุด 215 กิโลวัตต์ / 292 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร สู่พื้นถนนผ่านระบบขับเคลื่อนล้อหลัง นอกจากนี้ ฟังก์ชัน Sport Boost สามารถเพิ่มสมรรถนะและอัตราเร่ง เสริมความสปอร์ต
ให้เร้าใจยิ่งขึ้นเป็นระยะเวลา 10 วินาที ขณะที่ระบบกันสะเทือน Adaptive M ช่วยเสริมความแม่นยำในทุกจังหวะ ให้คุณ
ขับขี่ได้อย่างมั่นใจบนทุกสภาพถนนภายนอก บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ เสริมความโดดเด่นด้วยล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว แบบ Double Spoke สองสี เข้ากันอย่างลงตัวกับชุดแต่ง M Sport Pro รอบคัน ซึ่งมีทั้ง M Lights Shadowline เติมเฉดสีเข้มให้กับชุดไฟหน้า Adaptive LED ด้านข้างตกแต่งด้วย M High-gloss Shadowline with Extended Contents และสปอยเลอร์ท้ายแบบ M ก่อนเติมความสปอร์ตให้สมบูรณ์แบบด้วยหลังคากระจกระบบไฟฟ้าและคาลิเปอร์เบรกสีแดงเงา
ส่วนห้องโดยสารในรุ่นปรับโฉมนี้ ยังคงเน้นย้ำประสบการณ์อันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ขับขี่ด้วยพวงมาลัยหนังแบบ M ในรูปทรงตัดขอบล่าง ชุดแต่งแผงคอนโซลแบบ Luxury พร้อมการตกแต่งสไตล์ M ทั่วห้องโดยสาร ทั้งเข็มขัดนิรภัย M
เข้าคู่กับเบาะนั่งแบบสปอร์ตด้านหน้า วัสดุตกแต่งภายในแบบ Aluminium Rhombicle Anthracite M และอื่นๆ อีกมากมาย บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 เวอร์ชันล่าสุด
ที่ออกแบบมาให้เข้าถึงการตั้งค่าและฟังก์ชันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น รวมถึง BMW Iconic Sounds Electric ที่ติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 330e เพื่อส่งเสียงเครื่องยนต์แบบจำลองผ่านชุดเครื่องเสียงเซอร์ราวด์ Harman Kardon ขณะขับขี่ในระบบไฟฟ้าล้วน นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ ยังครบครันด้วยฟังก์ชันด้านความปลอดภัยและสะดวกสบาย ทั้งระบบ Active Cruise Control with Stop & Go Function, ระบบช่วยจอด Parking Assistant Plus และระบบเสียงเตือนคนเดินเท้า (Acoustic Protection for Pedestrians) ขณะขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ในสีเทา Brooklyn Grey Metallic, น้ำเงิน Portimao Blue Metallic (ทั้งสองสีมาพร้อมเบาะหนัง Vernasca ตกแต่งด้วยตะเข็บสีดำ) ขาว Mineral White Metallic และดำ Black Sapphire Metallic (ทั้งสองสีมาพร้อมเบาะหนัง Vernasca ตกแต่งด้วยตะเข็บสีน้ำตาล)
บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ พร้อมเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring หนึ่งในพี่ใหญ่ของตระกูลซีรีส์ 3 กลับมากับการปรับโฉมที่ตื่นตา
ไม่แพ้กัน โดยยังคงผสมผสานสมรรถนะส่งตรงจากสนามแข่งเข้ากับความอเนกประสงค์ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหนือชั้น และรุ่นปรับโฉมนี้ก็ยกระดับความแรง เสริมลุคสปอร์ตให้เตะตากว่าเดิมไปอีกขั้นในฐานะรถยนต์ทัวริ่งเครื่องยนต์เบนซินรุ่นท็อปของบีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ มอบสมรรถนะมหาศาลอย่างสมศักดิ์ศรีด้วยด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo มีพละกำลังสูงขึ้น 20 แรงม้าจากรุ่นก่อนหน้า ขึ้นมาอยู่ที่ 390 กิโลวัตต์ / 530 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 650
นิวตันเมตรที่ 2,750-5,730 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ 8 สปีด M Steptronic Sport พร้อม Drivelogic ส่งกำลังสู่ล้อทั้งสี่ จึงเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ด้วยแพ็คเกจ M Driver’s Package ที่ติดตั้งมาในรุ่นนี้ก็เพิ่มความเร็วสูงสุดของตัวรถขึ้นไปที่ 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ BMW M xDrive สามารถปรับอัตราส่วนการกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและหลังได้โดยอิสระ เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้อย่างแม่นยำที่สุดในทุกสภาวะการขับขี่ ขณะที่ฟังก์ชัน Boost Control ช่วยเพิ่มอัตราเร่งของ M3 Competition Touring ใหม่ ด้วยการเตรียมระบบส่งกำลังให้พร้อมทำงานเต็มประสิทธิภาพเมื่อรถออกตัว นอกจากระบบเบรกแบบ M compound ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานแล้ว ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค M Carbon เพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่เหนือกว่า
ด้านหน้าของบีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ โดดเด่นด้วยไฟหน้า Adaptive LED ที่ออกแบบใหม่ พร้อมกรอบสีเข้มจากแพ็คเกจ M Lights Shadowline ขนาบข้างกระจังหน้าทรงไตคู่ที่ตกแต่งด้วยแถบคู่แนวนอนสไตล์ M ส่วนซุ้มล้อที่ดูทรงพลังและและราวหลังคาแบบ M high-gloss Shadowline ยังคงติดตั้งมาเช่นเดียวกับรุ่นก่อน เข้าชุดกับล้อแบบ M ดีไซน์ใหม่ในรุ่นปรับโฉม ขนาด 19 และ 20 นิ้ว แบบ Double Spoke พร้อมให้เลือกได้ทั้งแบบสีดำ ดำทูโทน และเทา Orbit Grey ชุดแต่ง M Carbon ยิ่งขับเน้นความแรงของตัวรถให้เด่นในทุกมุมมองด้วยชิ้นส่วนรอบคัน เช่น กรอบช่องรับอากาศด้านหน้า ดิฟฟิวเซอร์ท้ายคัน และฝาครอบกระจกมองข้าง
ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ คงความแรงสไตล์ M ไว้ในทุกมิติ นับตั้งแต่พวงมาลัย M แบบสามก้านในทรงตัดขอบล่าง พร้อมตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์และเครื่องหมายสีแดงที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาเพื่อสื่อถึงพลังที่ขับเคลื่อนตัวรถให้ทะยานไปข้างหน้า เบาะหน้าแบบ M Carbon bucket seat พร้อมให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รู้สึกทุกสัมผัสของความเคลื่อนไหวขณะโลดแล่นบนท้องถนน ปิดท้ายด้วยชุดแต่งภายในแบบ M Carbon Fibre ที่เสริมความสปอร์ตในทุกรายละเอียด ทั้งยังสะดวกสบายบนทุกเส้นทางด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบครบครัน เรียกใช้ได้อย่างง่ายดายผ่านเมนูที่ออกแบบใหม่ในระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5
บีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring ใหม่ และรุ่นพิเศษพร้อมอัปเกรดเบรกเซรามิก มีให้เลือกทั้งในสีขาว Alpine White, เหลือง Sao Paulo Yellow, ดำ Black Sapphire, เทา Skyscraper Grey, แดง Aventurine Red, เทา Brooklyn Grey, แดง Toronto Red และเขียว Isle of Man Green รวมถึงสีพิเศษจาก BMW Individual อีกกว่า 100 สี ที่เปิดให้ลูกค้าเลือกสรรได้ที่ https://individual.bmw-m.com/en-US/G81-21GB-448
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ พร้อมระบบเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ เป็นอีกหนึ่งรุ่นจากตระกูล M ที่ได้รับการปรับโฉม เติมสมรรถนะ และยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมล่าสุดจากบีเอ็มดับเบิลยู
คูเป้พลังแรงรุ่นนี้มาพร้อมแพ็คเกจ M Driver’s Package เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพิ่มความเร็วสูงสุดจาก 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็น 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo เพิ่มพละกำลังขึ้นอีก 20 แรงม้าเช่นเดียวกับ M3 Competition Touring ส่งผลให้มีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 390 กิโลวัตต์ / 530 แรงม้า พร้อมส่งแรงบิดมหาศาล 650 นิวตันเมตร สู่ล้อทั้งสี่ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ BMW M xDrive และด้วยรูปทรงคูเป้ที่ปราดเปรียวและคล่องตัว M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่จึงเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที
เช่นเดียวกับรุ่น M3 Competition Touring บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ สามารถเลือกอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค M Carbon เพื่อประสิทธิภาพการเบรกที่ดีที่สุด เสริมความแม่นยำในการขับขี่ร่วมไปกับระบบกันสะเทือน Adaptive M ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน
ไฟหน้าของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ มาในระบบ Adaptive LED ขณะที่ด้านท้ายมาพร้อมระบบไฟท้ายเลเซอร์ที่เคยใช้ในตัวแรงรุ่นน้ำหนักเบาอย่างบีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL สัดส่วนด้านข้างที่โค้งมนและลู่ลม
ปรุงแต่งเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อ M ขนาด 19 และ 20 นิ้ว แบบ Double Spoke ที่มีให้เลือกทั้งในสีเงิน M Silver, ดำ, และดำทูโทน แถมยังมีชุดแต่ง M Carbon มาเพิ่มความเฉียบรอบคันภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ ได้รับการปรับโฉมในทิศเดียวกับ M3 Competition Touring ทั้งพวงมาลัยแบบ M ทรงตัดขอบล่าง และประสบการณ์การใช้งานและตั้งค่าตัวรถที่เหนือกว่า ผ่านระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5
แฟน ๆ BMW M สามารถเป็นเจ้าของบีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition M xDrive Coupe ใหม่ได้ในสีเหลือง Sao Paulo Yellow, ดำ Black Sapphire, เทา Dravit Grey, เขียว Isle of Man Green, เทา Skyscraper Grey, ขาว Frozen Brilliant White, น้ำเงิน Tanzanite Blue, ขาว Alpine White, น้ำเงิน Portimao Blue, แดง Toronto Red, เทา Brooklyn Grey, แดง Aventurine Red, น้ำเงินด้าน Frozen Portimao Blue รวมถึงสีพิเศษจาก BMW Individual
อีกกว่า 100 สี ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ที่ https://individual.bmw-m.com/en-US/G82-21HK-P7Bบีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ เปิดประตูให้ได้สัมผัสกับความหรูหราของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 แบบปลั๊กอินไฮบริดกันได้ง่ายขึ้น โดยยังรักษาความเนี้ยบสไตล์สปอร์ตที่ทำให้ซีรีส์ 5 ทุกรุ่นเป็นที่ชื่นชอบทั้งสำหรับนักขับและผู้บริหารทั่วโลก
บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ โดดเด่นด้วยความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 สวยสะดุดตาด้วยเส้นสายบนพื้นผิวรอบคัน โดยในรุ่นใหม่นี้ มีชุดแต่ง Titanium Bronze มาเติมความหรูไปอีกสไตล์กับโทนสีบรอนซ์อ่อนบนกระจังหน้าทรงไตคู่ เล่นล้อไปกับแสงส่องสว่างจากระบบไฟ BMW Iconic Glow ส่วนล้อขนาด 20 นิ้วก็ปรับดีไซน์เป็นแบบ Aerodynamic ในโทนสี Multicolour Titanium Bronze เพื่อให้เข้ากับชุดแต่งใหม่นี้อย่างลงตัว
ระบบส่งกำลังแบบไฮบริดที่ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู 530e เป็นที่ชื่นชอบในตลาดรถยนต์สำหรับผู้บริหาร กลับมาอีกครั้งในรุ่น 530e Inspiring โดยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 220 กิโลวัตต์ / 299 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ทำให้เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในโหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 22.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงของบีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ ช่วยให้วิ่งได้ไกล 87-102 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) และทำความเร็วได้สูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า พร้อมเสียงเครื่องยนต์จำลองจากระบบ BMW IconicSounds Electric
ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ ประทับใจตั้งแต่แรกเห็นด้วยโทนสีที่ตัดกันของวัสดุผิวหน้าสีเงินแบบ Dark Silver และโทนไม้ Dark Oak ขณะที่คันเกียร์และปุ่มควบคุมต่างๆ ส่องประกายสะดุดตาด้วยแก้วคริสตัลจากชุดแต่ง BMW CraftedClarity ส่วนแพ็คเกจ BMW Live Cockpit Professional ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฟังก์ชันด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัยมากมายผ่านหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วที่ติดตั้งอยู่ไม่ไกลจากพวงมาลัย นอกจากระบบ Driving Assistant แบบมาตรฐาน (สามารถอัปเกรดเป็น Driving Assistant Plus ผ่าน ConnectedDrive Store) แล้ว ระบบ Parking Assistant Plus ยังทำงานร่วมกับชุดกล้องรอบคันเพื่อช่วยให้จอดรถได้อย่างปลอดภัยและง่ายดายแม้ในพื้นที่จำกัด (สามารถอัปเกรดเป็น Parking Assistant Professional ผ่าน ConnectedDrive Store) ขณะที่ระบบ BMW Head-Up Display ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิกับถนนด้วยการแสดงข้อมูลสำคัญในระดับสายตาธรรมชาติ
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน เสริมความสบายตัวให้ผู้โดยสารทุกคนตลอดเส้นทาง ส่วนกล้องภายในที่เพิ่มเข้ามา สามารถใช้ถ่ายภาพผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พร้อมแชร์ต่อไปยังสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และด้วยอุปกรณ์ Travel & Comfort ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ผู้โดยสารเบาะหลังสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ด้านหลังเบาะหน้า เพื่อความสะดวกในการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวหรือจัดเก็บสิ่งของ
บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ใหม่ มีให้เลือกในสีดำ Black Sapphire Metallic, ขาว Mineral White Metallic, เทา Oxide Grey Metallic (ทั้งสามสีมาพร้อมเบาะหุ้ม Veganza สีน้ำตาล Espresso) และเขียว Cape York Green (เบาะหุ้ม Veganza สีดำ)
บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ พร้อมเบรกเซรามิค
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568หลังจากที่ได้ประกาศเปิดตัวไปในงานแถลงข่าวแผนธุรกิจประจำปีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก็ถึงเวลาแล้วที่บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ จะออกตัวมุ่งสู่ท้องถนนเมืองไทย ทั้งในรุ่นมาตรฐานและรุ่นอัปเกรดเป็นระบบเบรกเซรามิค
บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ สรรสร้างมาในทุกรายละเอียดเพื่อการขับขี่ทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวันและทริปเดินทางไกล ทั้งยังพร้อมมอบสมรรถนะที่เป็นเลิศควบคู่กับทางเลือกในการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วน คุณสมบัติทั้งหมดนี้รวบรวมไว้ภายใต้งานออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งพันธุ์แท้ โดยรูปทรงของตัวถังด้านข้างผ่านการปรับแต่งให้เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นซุ้มล้อที่นูนเด่นหรือเส้นหลังคาที่ทอดยาวไปด้านท้าย ส่วนด้านหน้ารถ แสดงคาแรกเตอร์ความแรงเต็มที่ด้วยช่องรับลมขนาดใหญ่ กระจังหน้าไตคู่แบบ M พร้อมไฟส่องสว่าง BMW Iconic Glow ขณะที่ท้ายรถประดับด้วยแถบไฟท้ายที่โค้งรับกับทุกสัดส่วน ตั้งอยู่เหนือดิฟฟิวเซอร์คู่และชุดท่อไอเสีย 4 ท่อที่ยิ่งขับเน้นความสง่างามและน่าเกรงขามให้ชัดเจน
ระบบขับเคลื่อน M HYBRID ในบีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ ผสานเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.4 ลิตรเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมด้วยชุดเกียร์ 8 สปีด M Steptronic โดยตัวเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวให้กำลังสูงสุด 430 กิโลวัตต์ / 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,400 รอบต่อนาที ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ให้กำลังเพิ่มอีก 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร โดยรวมแล้ว ระบบ M HYBRID ในบีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 535 กิโลวัตต์ / 727 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่น่าทึ่งถึง 1,000 นิวตันเมตร
ด้วยสมรรถนะระดับนี้จากระบบส่งกำลัง บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่ จึงต้องมีแชสซีที่ออกแบบมาด้วยนวัตกรรมจากบีเอ็มดับเบิลยู M เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง พร้อมด้วยช่วงล่าง Adaptive M และระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว Integral Active Steering เพื่อมอบความแม่นยำสูงสุดในทุกสภาพถนนและเส้นทาง M5 รุ่นใหญ่คันนี้เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกอัปเกรดประสบการณ์ไปอีกขั้นด้วยระบบเบรกเซรามิก M Carbon ceramic ที่ช่วยลดระยะเบรก เพิ่มความไวในการตอบสนองในกรณีขับขี่เต็มสมรรถนะโดยใช้ทั้งคันเร่งและเบรกคู่กัน
บีเอ็มดับเบิลยู M5 Touring ใหม่มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบา ขนาด 20 นิ้ว (หน้า) / 21 นิ้ว (หลัง) แบบ Double Spoke ที่มีให้เลือกในสีดำ เทาทูโทน Midnight Grey และดำทูโทน และพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด 1,630 ลิตรพร้อมระบบเปิดประตูท้ายอัตโนมัติ ห้องโดยสารที่ออกแบบมาเพื่อผู้ขับขี่เป็นพิเศษ ครบครันด้วยงานออกแบบสุดสปอร์ตสไตล์ M ทั้งพวงมาลัยหนัง M ที่ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะนั่ง M multifunction พร้อมเข็มขัดนิรภัย M ระบบไฟภายในแบบเฉพาะรุ่น M และระบบเสียงเซอร์ราวด์จาก Bowers & Wilkins โดยทั้งหมดนี้ เสริมความหรูหราโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง Dark Silver M ที่ผสมผสานสีเงินเข้มเข้ากับคาร์บอนไฟเบอร์ได้อย่างพอดี
ระบบควบคุม BMW iDrive เวอร์ชันล่าสุด พร้อมด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 ที่รองรับการควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ผ่านทั้งหน้าจอสัมผัสและการสั่งการด้วยเสียง ติดตั้งมาคู่กับแพ็คเกจ BMW Live Cockpit Professional ซึ่งรวมถึงระบบนำทาง BMW Maps และฟังก์ชัน Augmented View ส่วนระบบช่วยการขับขี่มากมายจาก Driving Assistant Professional ครอบคลุมทั้งระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและรักษาเลน, Active Cruise Control และ Lane Change Assist ขณะที่ระบบ Parking Assistant Professional ช่วยให้ควบคุมการจอดรถผ่านสมาร์ทโฟนจากภายนอกตัวรถได้
MINI John Cooper Works Electric ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568อีกหนึ่งรุ่นที่เตรียมลุยตลาดไทยอย่างเต็มตัวหลังจากที่เผยโฉมไปแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ MINI John Cooper Works Electric ตัวแรงพลังไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกจากตำนานโลกยานยนต์อย่าง จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์
MINI John Cooper Works Electric แบบ 3 ประตู มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าล้วนที่ให้กำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า และแรงบิด 350 นิวตันเมตรที่เรียกใช้งานได้ทันทีแบบไม่มีหน่วง นอกจากจะตอบสนองการส่งกำลังได้อย่างรวดเร็วในแบบรถ BEV แล้ว JCW ไฟฟ้ารุ่นนี้ยังเติมความแรงได้อีกขณะออกตัวด้วยฟังก์ชัน Electric Boost ที่เสริมพลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มอีก 20 กิโลวัตต์เป็นระยะสั้นๆ ขณะเร่งความเร็ว ส่วนช่วงล่างก็ผ่านการปรับจูนมาในสไตล์จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ เต็มตัว ให้ความรู้สึก “Go-Kart feeling” ที่เป็นเอกลักษณ์ของมินิในแบบพลังสูง คล่องตัวกับทุกโค้งในแบบที่แฟนๆ มินิชื่นชอบ
การตกแต่งและอุปกรณ์พิเศษเฉพาะรุ่นรอบคัน ทำให้ MINI John Cooper Works Electric เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างประวัติศาสตร์จากโลกมอเตอร์สปอร์ตและอนาคตของวงการยานยนต์ JCW รุ่นใหม่นี้ สวยเฉี่ยวด้วยโลโก้ JCW สีแดง-ขาว-ดำที่ได้แรงบันดาลใจจากธงตาหมากรุก และสปอยเลอร์ท้ายที่สวยเด่นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านอากาศพลศาสตร์ และด้านระยะทางการขับขี่ที่สูงถึง 371 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP
ภายในห้องโดยสาร ยังเต็มไปด้วยโทนสีแดงและดำอันเป็นเอกลักษณ์ของจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ทั้งพวงมาลัยสปอร์ต JCW สีดำที่ตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดงและหุ้มผ้าที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาเพื่อให้จับถนัดมือ เบาะสปอร์ต JCW ให้การรองรับที่มั่นคงระหว่างการขับขี่แบบสุดตัว ตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดงตัดกับหนังสีดำเช่นเดียวกับผิวของคอนโซล นอกจากนี้ โหมด Go-Kart ในระบบ MINI Experience Modes ยังช่วยเติมกลิ่นอายของมอเตอร์สปอร์ตตามสไตล์ JCW ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยโหมดนี้จะตั้งค่าพวงมาลัยให้ไวมากขึ้น คันเร่งตอบสนองเร็วขึ้น และแสดงข้อมูลเพิ่มเติมบนหน้าจอ OLED ทรงกลมด้านหน้า ทั้งแรงบิด กำลังเครื่องยนต์ และแรง G แบบเรียลไทม์
MINI John Cooper Works Electric รุ่นแรกนี้ มีให้เลือกเป็นเจ้าของในสีเทา Legend Grey, แดง Chili Red II, ขาว Nanuq White, ดำ Midnight Black II และน้ำเงิน Blazing Blue
MINI John Cooper Works Aceman ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568น้องใหม่ล่าสุดของครอบครัวมินิอย่าง Aceman ในโฉม 5 ประตูที่พร้อมรับมือทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ในเมือง พร้อมแล้วที่จะก้าวสู่โลกของสมรรถนะเต็มพิกัดด้วยขุมพลังไฟฟ้าตัวแรงในรุ่น MINI John Cooper Works Aceman
MINI John Cooper Works Aceman ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลัง 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้า เช่นเดียวกับ MINI John Cooper Works Electric รุ่น 3 ประตู แต่มาพร้อมห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่าและตัวถังที่ยกสูงจากพื้นมากขึ้น
โดยยังคงความแรงไว้อย่างเต็มเปี่ยมด้วยความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 6.4 วินาที แบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 54.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ช่วยให้ MINI John Cooper Works Aceman วิ่งได้ไกลถึง 355 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP) โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ในเวลาเพียง 31 นาทีด้วยระบบชาร์จไฟกระแสตรง 95 กิโลวัตต์ หรือ 5 ชั่วโมง 30 นาทีด้วยระบบชาร์จไฟกระแสสลับ
11 กิโลวัตต์นอกจากดีไซน์เฉพาะตัวแบบจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ อย่างลายคาดสปอร์ตสีแดง-ดำ พร้อมหลังคาและฝาครอบกระจกมองข้างที่ใช้โทนสีเดียวกันแล้ว JCW Aceman ใหม่ ยังโดดเด่นด้วยล้ออัลลอย John Cooper Works ขนาด 19 นิ้ว แบบ Strive Spoke ทูโทน ส่วนห้องโดยสารที่กว้างขวาง ยิ่งดูโปร่งโล่งมากขึ้นด้วยหลังคากระจกพาโนรามา ภายในห้องโดยสารยังคงเอกลักษณ์ของรถตระกูล John Cooper Works ไว้ครบถ้วน ทั้งพวงมาลัย JCW แบบเฉพาะรุ่นและเบาะนั่งสปอร์ต จอแสดงผล OLED ทรงกลม ส่วนฟังก์ชัน MINI Experience Modes ก็รองรับโหมด Go-Kart ที่มีให้สัมผัสกันตามสไตล์รุ่น JCW เช่นกัน
รถยนต์มินิเจเนอเรชั่นใหม่ทุกรุ่น รองรับระบบ Digital Key Plus ช่วยให้ใช้สมาร์ทโฟนเป็นกุญแจรถแบบดิจิทัลได้อย่างสะดวก สามารถล็อกและปลดล็อกรถได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า นอกจากนี้ ทั้ง MINI John Cooper Works Aceman และ John Cooper Works Electric ยังมาพร้อมฟังก์ชัน Remote Parking ที่ช่วยควบคุม
การจอดและนำรถออกจากที่จอดผ่านสมาร์ทโฟนได้MINI John Cooper Works Aceman ใหม่ พร้อมให้เลือกเป็นเจ้าของในสีเทา Legend Grey, แดง Chili Red II, ขาว Nanuq White และดำ Midnight Black II
MINI John Cooper Works ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568MINI John Cooper Works Convertible ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568MINI John Cooper Works เครื่องยนต์เบนซิน กลับมาอีกครั้งในโฉมใหม่ ภายใต้แนวทางการออกแบบของ New MINI Family เจเนอเรชันปัจจุบัน พร้อมมอบประสบการณ์ความสนุกแบบเพียวๆ บนท้องถนนในสไตล์เฉพาะตัวของมินิ และเพิ่มความพิเศษด้วยรุ่นเปิดประทุนที่เติมสีสันให้ทุกการเดินทาง
ทั้ง MINI John Cooper Works และรุ่น Convertible ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ TwinPower Turbo 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ที่ปรับจูนมาเพื่อสมรรถนะสูงสุด ส่งผลให้รุ่น JCW เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6.1 วินาที ส่วนรุ่น JCW Convertible ทำเวลา 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใกล้เคียงกันที่ 6.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดของทั้งสองรุ่นอยู่ที่ 250 และ 245 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามลำดับ เมื่อต้องการโลดแล่นแบบรับลมด้วยการเปิดประทุน หลังคาผ้าของรุ่น JCW Convertible ก็สามารถเปิดออกได้ในเวลาเพียง 18 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งสองรุ่นโดดเด่นด้วยโลโก้ JCW แบบใหม่ที่ด้านหน้า พร้อมกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมสีดำเงาและช่องรับอากาศขนาดใหญ่เพื่อระบายความร้อนจากเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนท้ายรถก็เน้นความสปอร์ตด้วยดิฟฟิวเซอร์สีดำและชุดท่อไอเสียที่ติดตั้งตรงกลาง พร้อมล้ออัลลอย John Cooper Works ขนาด 18 นิ้ว แบบ Lap Spoke ทูโทน
เช่นเดียวกับรุ่นพลังงานไฟฟ้าในตระกูล John Cooper Works ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ทั้ง MINI John Cooper Works และ John Cooper Works Convertible ใหม่ มาพร้อมโหมด Go-Kart ที่ใช้งานได้ผ่าน MINI Experience Modes โดยโหมดนี้จะปรับพวงมาลัยและคันเร่งให้ตอบสนองไวขึ้น และแสดงข้อมูลสมรรถนะเพิ่มเติมบนหน้าจอ OLED ทรงกลม นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังรองรับการเข้าถึงตัวรถด้วยระบบ MINI Digital Key Plus เช่นกัน
MINI Cooper Convertible S ใหม่
ประกาศราคาในวันที่ 24 มีนาคม 2568แฟนๆ มินิที่ชื่นชอบประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดประทุนในสไตล์คลาสสิก เตรียมพบกับ MINI Cooper Convertible S ใหม่ ที่ผสานความกะทัดรัดเข้ากับบรรยากาศของอิสรภาพจากดีไซน์เปิดประทุนที่คงความสดใหม่ของแนวทางการออกแบบในสไตล์ของ New MINI Family
ไฮไลท์สำคัญของ MINI Cooper Convertible S คือหลังคาผ้าที่สามารถเปิดได้สองรูปแบบ ทั้งแบบซันรูฟและแบบเปิดประทุนเต็มรูปแบบ โดยหลังคาสามารถเปิดอัตโนมัติได้ภายใน 18 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนโหมดซันรูฟสามารถเปิดหลังคาได้ที่ความเร็วใดก็ได้ เมื่อเปิดหลังคาเต็มที่ ตัวหลังคาจะถูกพับเก็บไว้ด้านหลังเบาะหลัง และหน้าจอ OLED ทรงกลมก็จะเริ่มจับเวลาการขับรถแบบเปิดประทุนทันทีในโหมด Always Open Timer
เมื่อเปิดหลังคา MINI Cooper Convertible S จะมีพื้นที่เก็บสัมภาระรวม 160 ลิตร ด้วยระบบพับเก็บหลังคาที่ประหยัดพื้นที่ท้ายรถ และหากปิดหลังคาก็จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 215 ลิตร ส่วนประตูท้ายออกแบบมาให้เปิดลงด้านล่างเพื่อความสะดวกในยกของขึ้นลง สะท้อนความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นของรถเปิดประทุนคันนี้ ด้านความปลอดภัย ระบบป้องกันการพลิกคว่ำจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเซ็นเซอร์ต่างๆ ตรวจพบความเสี่ยงที่รถอาจพลิกคว่ำได้
MINI Cooper Convertible S ใหม่ แตกต่างจากเพื่อนๆ ร่วมตระกูล New MINI Family ด้วยกรอบหน้าต่างที่ลดระดับลงได้แบบอัตโนมัติเมื่อพับหลังคาลง แต่ยังรักษาเอกลักษณ์อื่นๆ ของมินิในเจเนอเรชันนี้ไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ส่วนหน้ารถที่สั้นกะทัดรัด ไฟหน้าทรงกลมอันเป็นเอกลักษณ์ กระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยม ไปจนถึงไฟท้าย LED แนวตั้งและแถบมือจับประตูหลังที่วางในแนวนอน
MINI Cooper Convertible S ใหม่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจกว่าใคร ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.9 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 237 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และด้วยระบบกันสะเทือนที่ปรับจูนมาเพื่อความแม่นยำและคล่องตัวสูง มินิเปิดประทุนรุ่นนี้จึงโลดแล่นในทุกโค้งได้อย่างสนุกไม่แพ้รุ่นมีหลังคา
นอกจากหน้าจอ OLED ทรงกลมแล้ว ภายในห้องโดยสารของ MINI Cooper Convertible S ยังสะท้อนภาษาการออกแบบ “Charismatic Simplicity” ของ New MINI Family ด้วยวัสดุหุ้มเบาะแบบทูโทนแต่งลายถัก ให้สัมผัสนุ่มสบายและดูแลรักษาง่ายไปพร้อมกัน ระบบ MINI Experience Modes ได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับรุ่น Convertible S ด้วยชุดโปรเจคเตอร์สองตัวที่ติดตั้งด้านหลังหน้าจอ เพื่อฉายภาพกราฟิกและแสงไฟลงบนแผงคอนโซลขณะขับขี่แบบปิดหลังคา
แพ็คเกจ Driving Assistant Plus เสริมความสะดวกให้ MINI Cooper Convertible S ด้วยระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและรักษาช่องทางเดินรถ ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ขับขี่ในการนำทาง ส่วนเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว และกล้อง Surround View 4 ตัว ช่วยให้ระบบ Parking Assistant Plus สามารถตรวจหาช่องจอดที่ยังว่างและพารถเข้าช่องจอดแบบอัตโนมัติแม้จะมีพื้นที่จำกัด
MINI Cooper Convertible S ใหม่ พร้อมมอบอิสรภาพและบรรยากาศของการผจญภัยบนท้องถนนทั่วไทยเร็วๆ นี้ โดยมีให้เลือกในสีเทา Copper Grey, ขาว Nanuq White และเหลือง Sunny Side Yellow
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure Option 719 บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure Triple Black บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure
ราคาประมาณการณ์ ระหว่าง 1,250,000 – 1,350,000 บาทมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานที่สรรสร้างขึ้นเพื่อที่สุดแห่งการผจญภัย กลับมาอีกครั้งในบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ ที่ได้รับการออกแบบใหม่เกือบทั้งหมดเพื่อยกระดับประสบการณ์ในการเดินทางระยะไกลบนพาหนะสองล้อให้เหนือระดับกว่าที่เคย
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์สองสูบที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ยังคงเป็นขุมพลังที่ขับเคลื่อน R 1300 GS Adventure ใหม่ ให้ออกโลดแล่น โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้เปิดตัวออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกกับบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS และมีขนาดกะทัดรัดกว่าในรุ่นก่อนหน้าด้วยชุดเกียร์ที่ย้ายมาติดตั้งใต้ตัวเครื่องยนต์ ทั้งยังจัดวางระบบขับเคลื่อนเพลาลูกเบี้ยวแบบใหม่ ขุมพลังนี้ให้สมรรถนะสูงสุด 107 กิโลวัตต์ / 145 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที จึงนับเป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดที่จากสายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู ส่วนระบบ Automated Shift Assistant (ASA) ที่ติดตั้งมาให้ ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้ง่ายและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นด้วยคลัตช์และคันเกียร์ที่ทำงานแบบอัตโนมัติ แต่ยังรักษาอารมณ์และสัมผัสของการขับขี่ไว้อย่างครบถ้วน
ส่วนระบบกันสะเทือนที่ออกแบบใหม่ในรุ่นนี้ มีหัวใจหลักเป็นเฟรมตัวถังที่ทำจากเหล็กกล้า โดยนอกจากจะมีขนาดเล็กลงแล้ว ยังมีความแข็งแกร่งกว่าโครงในรุ่นเดิมอีกด้วย ส่วนช่วงท้ายรถ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ เลือกใช้เฟรมท้ายแบบโครงตาข่ายอลูมิเนียมแทนที่โครงสร้างท่อเหล็กกล้าในรุ่นเดิม ระบบนำทางล้อหน้า EVO Telelever ทำงานผสานกับชิ้นส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมระบบนำทางล้อหลัง EVO Paralever ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ จึงช่วยเพิ่มความแม่นยำในการบังคับเลี้ยวและความมั่นคงในการขับขี่ นอกจากนี้ ระบบ Dynamic Suspension Adjustment (DSA) ใหม่ สามารถปรับความแข็งของสปริงช่วงล่างในส่วนหน้าและท้ายรถได้ตามโหมดการขับขี่ สภาพถนน ทิศทางและความเคลื่อนไหวของตัวรถ หรือแม้แต่น้ำหนักของผู้โดยสารและสัมภาระ สำหรับความสูงของตัวรถก็สามารถปรับแต่งได้แบบอัตโนมัติให้เหมาะกับสภาพการขับขี่และความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ โดยขณะจอดรถหรือขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ตัวรถจะลดระดับความสูงลง 30 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมด เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนที่มี 3 โหมด โหมด “Rain” และ “Road” ช่วยปรับลักษณะการขับขี่ให้เข้ากับสภาพถนนในสถานการณ์ส่วนใหญ่ที่ต้องพบเจอ โหมด “Eco” ช่วยให้วิ่งได้ไกลที่สุดต่อการเติมน้ำมันหนึ่งถัง ส่วนโหมด “Enduro” ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ออฟโรดด้วยการตั้งค่าที่ปรับแต่งมาเฉพาะทาง ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ ยังติดตั้งระบบ Dynamic Cruise Control (DCC) พร้อมฟังก์ชันเบรกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนตัวช่วยขับขี่ Riding Assistant มาพร้อมฟังก์ชันเสริมมากมาย รวมถึง Active Cruise Control (ACC), Front Collision Warning (FCW) และ Lane Change Warning
รูปลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure โดดเด่นด้วยถังน้ำมันอลูมิเนียมขนาด 30 ลิตรที่เปิดให้ทุกสายตาได้สัมผัส ความกว้างของตัวถังนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถออกตัวได้อย่างมั่นใจ ทั้งยังช่วยกันลมจากด้านหน้าได้ดี กระจกหน้าขนาดใหญ่พร้อมแผ่นบังลมใสขนาดใหญ่อีกสองชิ้นยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฝ่าฟันสภาพอากาศต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายและลดเสียงรบกวนไปพร้อมกัน ส่วนด้านซ้ายและขวาของตัวถังส่วนบน มีถาดยางติดตั้งไว้สำหรับวางอุปกรณ์ต่างๆ ขณะแวะจอดพักริมทาง
ด้านหน้า บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ มาพร้อมไฟหน้า LED แบบเมทริกซ์พร้อมไฟส่องสว่างกลางวันในตัว และไฟเสริมในรูปทรงบางเฉียบอีกสองดวง ส่วนชุดไฟเลี้ยว LED ดีไซน์ใหม่ติดตั้งมาบริเวณแฮนด์การ์ดที่ด้านหน้า และผสมผสานเข้ากับดีไซน์ส่วนท้ายรถอย่างกลมกลืน
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ใน 4 รุ่นย่อย ได้แก่ Triple Black (เกียร์ธรรมดา), GS Trophy (เกียร์ธรรมดา), Option 719 Karakorum (เกียร์ธรรมดา) และ Option 719 ASA (เกียร์อัตโนมัติ)
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR
ประกาศราคาเร็วๆ นี้ซูเปอร์ไบค์พันธุ์แท้ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR พร้อมหวนคืนสู่ท้องถนนอีกครั้งในโฉมใหม่ ให้แฟนๆ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดได้ตื่นตาตื่นใจกัน ตามทันควันหลงบรรยากาศการเริ่มฤดูกาลใหม่บนสนามแข่ง
S 1000 RR ใหม่ ถูกปรับแต่งในหลายจุดสำคัญเพื่อยกระดับสมรรถนะในสนามแข่งให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น โดยขุมพลังในรุ่นนี้ยังคงเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงแบบ 4 จังหวะ ขนาด 999cc ตัวเดิม ให้กำลังสูงสุด 154 กิโลวัตต์ / 210 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร และสำหรับการกลับมาในครั้งนี้ ก็มากับการรับรองมาตรฐานมลภาวะ Euro 5+ อย่างเป็นทางการ ส่วนคันเร่งใหม่แบบช่วงชักสั้นก็ให้การตอบสนองฉับไวยิ่งขึ้นในขณะบิดทำความเร็ว ส่วนปีก winglet ที่ติดตั้งมาเพิ่มก็ช่วยกดตัวรถให้เกาะถนนมั่นคงกว่าเดิม ฝาครอบล้อหน้าโฉมใหม่ มีช่องระบายอากาศในตัวสำหรับช่วยทำความเย็นระบบเบรก และแผงด้านข้างตัวถังก็มีการปรับโฉมให้สวยเฉี่ยวกว่าในรุ่นเดิม
โหมดการขับขี่แบบ Pro ถูกติดตั้งมาเป็นฟังก์ชันมาตรฐานในบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ จึงทำให้ผู้ขับขี่สามารถเรียกใช้งานโหมดใหม่อย่าง Race Pro ที่ปรับคันเร่งให้ตอบสนองเร็วขึ้น ปรับจูนทั้งแรงบิดจากเครื่องยนต์ การชะลอความเร็วโดยไม่ใช้เบรก ระบบช่วยออกตัวทางชัน (Hill Start Control Pro) และระบบเบรก ABS ที่เลือกตั้งค่าต่างหากได้ถึง 5 ระดับการทำงาน นอกจากนี้ ระบบช่วยควบคุมเบรก Dynamic Brake Control (DBC) ก็ยังเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ เปิดตัวในประเทศไทยด้วยสีเทา Bluestone metallic และขาว Light white M Motorsport
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยกขบวนยานยนต์สุดตื่นตา จุดกระแสความคึกคักก่อนมุ่งสู่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เตรียมนำทัพยานยนต์รุ่นใหม่สุดตระการตา มุ่งสู่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “สนทนาภาษายานยนต์” โดยทั้งสามแบรนด์ภายใต้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เตรียมนำเสนอรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่ล่าสุดที่ตอบสนองทุกความต้องการของนักขับชาวไทย นับตั้งแต่ความหรูหราขณะโลดแล่นบนท้องถนนในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงที่สุดของสมรรถนะและการผจญภัยออฟโรดอย่างไร้ขีดจำกัด
มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยกล่าวว่า “ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เราได้เผยถึงกระแสตอบรับอันอบอุ่นของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและกลุ่มยานยนต์สมรรถนะสูงของเรา ในมอเตอร์โชว์ปีนี้ เราจึงเตรียมต่อยอดความสำเร็จและกระแสความสนใจของลูกค้าด้วยความตื่นตาจากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลายรุ่น อย่างในตระกูล M ของบีเอ็มดับเบิลยู เรามีทั้งบีเอ็มดับเบิลยู M3 Competition M xDrive Touring และ M5 Touring ใหม่ ที่ผสมผสานประสิทธิภาพและความคล่องตัวในระดับสูงสุด เข้ากับรูปลักษณ์สง่างามและประโยชน์ใช้สอยของรถประเภท Touring”
“ทางฝั่งมินิก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน ด้วยรถยนต์สมรรถนะสูงจากตระกูล จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ถึง 4 รุ่น ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึง JCW พลังงานไฟฟ้าสองรุ่นแรก ทั้งในรุ่นแบบ 3 ประตู และรุ่น Aceman แบบ 5 ประตู ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ขนตัวท็อปมาเผยโฉมกันในสองสไตล์ ทั้งสายผจญภัยออฟโรดกับบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS Adventure และซูเปอร์ไบค์อย่างบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR”
ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังทำการปรับโฉม เสริมสมรรถนะให้กับรุ่นยอดนิยมของแต่ละแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ที่รองรับการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วนได้ไกลยิ่งขึ้น บีเอ็มดับเบิลยู 530e Inspiring ที่เปิดทางให้ลูกค้าเป็นเจ้าของซีรีส์ 5 ได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงความพรีเมียมในทุกมิติ หรือความเพลิดเพลินจากประสบการณ์
การขับขี่แบบเปิดประทุนกับ MINI Cooper Convertible S นอกจากยานยนต์รุ่นใหม่ที่ยกทัพมาเปิดตัวเป็นครั้งแรก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังมีข้อเสนอพิเศษมากมายจากทั้งสามแบรนด์ ให้ลูกค้าได้สัมผัสที่สุดแห่ง
การขับขี่ระดับพรีเมียมได้อย่างสบายใจมร. แกร์ฮาร์ด กล่าวเสริมว่า “ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรานำมาเปิดตัวในมอเตอร์โชว์ปีนี้ เป็นการเน้นย้ำถึงความสามารถของเราในการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในตลาดรถยนต์พรีเมียม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จของเรา ทั้งในตลาดไทยและบนเวทีโลก เรามีความยินดีที่จะได้เห็นลูกค้าได้สนุกและตื่นเต้นไปกับยานยนต์ของเรา และผมขอให้ทุกท่านจับตารอความเคลื่อนไหวของเราในปีนี้ กับสีสันและความแปลกใหม่ที่ยังรออยู่ข้างหน้าในปี 2568 นี้”
ทั้งนี้ ราคาจำหน่ายของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ประกาศเปิดตัวในวันนี้ จะเผยแพร่อย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2568
ข้อเสนอพิเศษจากบีเอ็มดับเบิลยูในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นที่ร่วมรายการ โดยเลือกใช้ข้อเสนอทางการเงินจากบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส และมีกำหนดรับรถภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 สามารถเลือกรับข้อเสนอสุดพิเศษ* ได้ในงาน ไม่ว่าจะเป็นการรับประกันคุณภาพนานสูงสุด 8 ปี ประกันภัยชั้นหนึ่ง BMW Protect ฟรีสูงสุด 3 ปี อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% และอื่นๆ อีกมากมาย
รุ่น ข้อเสนอพิเศษ บีเอ็มดับเบิลยู X3 20d, X3 M50 ใหม่ · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 32,299 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู 330e ใหม่ · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 23,799 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู M340i ใหม่ · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 33,999 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู 320d · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 23,799 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู iX3 · ฟรี BMW Wall Box · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice
· อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 27,499 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 32,299 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู M และ M Performance (รุ่นที่เข้าร่วม บีเอ็มดับเบิลยู M240i, บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50, บีเอ็มดับเบิลยู M440i (รุ่นก่อนปรับโฉม), บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i, บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60, บีเอ็มดับเบิลยู M3 CS, บีเอ็มดับเบิลยู M3 Touring, บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe (รุ่นก่อนปรับโฉม) และ บีเอ็มดับเบิลยู X4M )
· ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 37,299 บาท/เดือน
· ฟรี แพ็คเกจ BMW Driving Experience ที่เกาหลีใต้ สำหรับรุ่น M240i, i4 M50, i5 M60, M440i (รุ่นก่อนปรับโฉม), Z4 M40i, M3 CS, M3 Touring (รุ่นก่อนปรับโฉม) และ M4 Coupe (รุ่นก่อนปรับโฉม)
บีเอ็มดับเบิลยู 320Li / 330Li · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 19,999 บาท/เดือน
· หรือ ฟรีอัปเกรด BSI Ultimate นานสูงสุด 5 ปีสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 320 Li
บีเอ็มดับเบิลยู X1 · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
· ผ่อนเริ่มต้น 15,799 บาท/เดือน (สำหรับรุ่น X1 sDrive20i xLine เท่านั้น)
บีเอ็มดับเบิลยู X3 30e · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 33,099 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู X5 30e · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ผ่อนเริ่มต้น 46,399 บาท/เดือน
บีเอ็มดับเบิลยู รุ่นพลังงานไฟฟ้า (บีเอ็มดับเบิลยู i4, i5, i7, iX2, iX)
· ฟรี BMW Wall Box · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect สูงสุด 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice
· ผ่อนเริ่มต้น 31,099 บาท/เดือน
· ฟรี เครดิตการชาร์จมูลค่า 20,000 บาทที่สถานีชาร์จ Elex by EGAT
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bmw.co.th/th/topics/offers-and-services/promotional-offers/bmw-march-2025-motorshowoffer.html
ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เฟซบุ๊กแฟนเพจ BMW Thailand หรือติดต่อ BMW Contact Centre ที่เบอร์ 1397
ข้อเสนอพิเศษจากมินิในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
พบกับข้อเสนอพิเศษ** ที่พร้อมเปิดทางให้คุณได้โลดแล่นไปกับมินิหลากสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้าขับสนุกหรือรถอเนกประสงค์สำหรับการผจญภัยครั้งใหม่ ด้วยความอุ่นใจจากอัตราผ่อนชำระพิเศษ ประกันภัยชั้นหนึ่ง และอื่นๆ
รุ่น ข้อเสนอพิเศษ MINI Cooper SE และ MINI Aceman SE · ฟรี MINI Wall Box หรือ · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 MINI Protect สูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice
· ผ่อนเริ่มต้น 11,555 บาท/เดือน (สำหรับ MINI Cooper SE) และ 15,555 บาท/เดือน (สำหรับ MINI Aceman SE)
MINI Countryman S ALL4 · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 MINI Protect สูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในโปรแกรม Hire Purchase, Hire Purchase With Balloon, Finance Lease หรือ BMW Freedom Choice · ฟรี กล้องหน้ารถ Advanced Car Eye 3.0 สำหรับรุ่น MINI Countryman S ALL4 Classic
· ผ่อนเริ่มต้น 22,099 บาท/เดือน
**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.mini.co.th/en_TH/home/serv/special-offers/the_new_mini_family.html
ข้อเสนอพิเศษจากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46
ออกตัวสู่ทุกเส้นทางกับสองล้อคู่ใจคันใหม่จากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ด้วยข้อเสนอพิเศษ*** ที่มีทั้งประกันภัยชั้นหนึ่ง ขยายเวลาบริการหลังการขาย และอัตราดอกเบี้ยพิเศษสุด
รุ่น ข้อเสนอพิเศษ บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT · ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Motorrad Protect สูงสุด 1 ปี · ขยายระยะเวลา แพ็คเกจบริการหลังการขาย BMW Motorrad Service Inclusive เป็น 3 ปีเต็ม
บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure · เลือกจาก o ฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Motorrad Protect สูงสุด 1 ปี
o อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS · อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.65% สำหรับลูกค้าเดิมของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เท่านั้น ***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
-
มาสด้าเปิดตัวรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอน NEW MAZADA MX-5 รุ่นลิมิเต็ด ฉลองครบรอบ 35 ปี
มาสด้าแนะนำรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอนเจ้าของตำนานความสนุกสนานในการขับขี่ New Mazda MX-5 35th Anniversary Edition ที่ผลิตขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 35 ปี ของ MX-5 ได้รับการตกแต่งอย่างประณีต มอบความสปอร์ตสไตล์คลาสสิก แฝงด้วยความสปอร์ตทุกรายละเอียด มาพร้อมความพิเศษกับสีภายนอก Artisan Red Premium เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้า ภายในตกแต่งด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan สะท้อนความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม Serial number บ่งบอกความพิเศษที่ผลิตขึ้นจำนวนจำกัด วางราคาจำหน่าย 3,069,000 บาท และแคมเปญพิเศษช่วงเปิดตัว ฟรีประกันชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance และฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี หรือ Mazda Ultimate Service พร้อมเปิดโอกาสให้แฟนพันธุ์แท้ชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้า MX-5 คือรถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนหลังคาไฟฟ้าที่มีน้ำหนักเบา เจ้าของตำนานความสนุกสนานในการขับขี่ แบรนด์ไอคอนของมาสด้าที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก โดยมาสด้า MX-5 เจนเนอเรชั่นแรก เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2532 ในงาน Chicago Auto Show ด้วยการเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์น้ำหนักเบา ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 เจนเนอเรชั่นที่สองก็ได้ถูกเปิดตัว สร้างชื่อเสียงกระหึ่มไปทั่วโลกจนได้รับการบันทึกลงในหนังสือ Guinness World Records ให้เป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบบสองที่นั่งที่ขายดีที่สุดในโลก ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 MX-5 เจนเนอเรชั่นที่สามก็ได้เปิดตัวขึ้น และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โรดสเตอร์ที่มาพร้อมหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลกเพียง 13 วินาที จนกระทั่งในปี 2558 จนถึงปัจจุบัน MX-5 เจนเนอเรชั่นที่สี่ ได้มีการพลิกโฉมอีกครั้ง โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่เฉียบคมและพริ้วไหว ตามแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ทำให้ได้ภาพลักษณ์ที่มีความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวอย่างชัดเจน และยังคงสร้างกระแสความนิยมในกลุ่มแฟน ๆ อย่างไม่เสื่อมคลาย ทำให้การผลิตในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1.2 ล้าน คันทั่วโลก
“การแนะนำ New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษครบรอบ 35 ปี ครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมเฉลิมฉลองไปพร้อม ๆ กับแฟนมาสด้าทั่วโลก นับตั้งแต่รถรุ่นนี้ได้เปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก และยังคงเป็นรถในเจนเนอเรชั่นที่สี่ ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ยอดนิยมของมาสด้าไว้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบที่พรีเมี่ยมสง่างาม ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา มีไดนามิกในการขับขี่ที่ดี พร้อมการควบคุมที่แม่นยำ มาพร้อมกับเครื่องยนต์วางหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง กระจายน้ำหนักหน้า-หลังแบบ 50:50 มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พัฒนาโดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ตามปรัชญา จินบะ-อิไต โดยผลิตจำนวนจำกัดเพื่อให้แฟน ๆ ทั่วโลก และนักสะสมชาวไทยได้ครอบครอง เชื่อว่ารถรุ่นนี้จะเป็นรถอีกโมเดลที่จะมาสร้างความสนุกสนานในการขับขี่ ทำให้แฟน ๆ สปอร์ตโรดสเตอร์ได้ภูมิใจที่ได้ครอบครองอย่างแน่นอน“ นายธีร์ กล่าว
Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี ได้รับการตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์เพื่อถ่ายทอดความพิเศษในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น สีภายนอกพิเศษ Artisan Red Premium ที่ได้รับผสมผสานตามแนวทาง ทาคุมิ-นูริ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการพ่นสีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า โดยเน้นแสงเงาและความมีมิติ ช่วยเพิ่มความสวยงามของตัวถังภายนอกให้โดดเด่นยิ่งขึ้น พร้อมความพิเศษด้วยสัญญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม Serial Number ที่บริเวณด้านข้างตัวถัง บ่งบอกถึงความพิเศษที่มีจำนวนจำกัด รวมถึงหลังคาหลังคาแข็งที่สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สี Bright ที่ถ่ายทอดภาพลักษณ์สปอร์ตพรีเมี่ยมและความพิเศษได้อย่างมีเอกลักษณ์
ภายในห้องโดยสารของ New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี มาพร้อมความสปอร์ตพรีเมี่ยมที่พิเศษแตกต่างจากรุ่นปกติ ด้วยเบาะหุ้มหนังสีพิเศษ Sports Tan พร้อมสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition ที่บริเวณพนักพิงศีรษะ เบาะนั่ง และพรมปูพื้นห้องโดยสาร มาพร้อมพวงมาลัย หัวเกียร์ และเบรกมือหุ้มหนังสีดำ พร้อมด้ายสีพิเศษ Sports Tan กรอบช่องแอร์ตกแต่งด้วยสีพิเศษ Artisan Red Premium แผงคอนโซลและแผงประตูหุ้มด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ ด้วย Apple CarPlay® และ Mazda Connect ที่สามารถแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมมอบสุนทรียภาพในการขับขี่ด้วยระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพงถึง 9 ตำแหน่ง
New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี ยังคงเอกลักษณ์ของมาสด้าด้านความสนุกสนานในการขับขี่ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ตามหลักปรัชญา จินบะ-อิไต (Jinba-Ittai) ที่ถ่ายทอดความรู้สึกความเป็นหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนกับรถ มาพร้อมเครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.0 เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้สมรรถนะความแรงสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมี่ยมอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง ระบบสัญญาณเตือนกันขโมย และระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด นอกจากนั้น รถรุ่นนี้ยังมาพร้อม ระบบความปลอดภัยสุดล้ำ i-Activsense มากมายหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
- ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ แบบ Advance (Advanced Smart Brake Support)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R (Smart Brake Support-Reverse)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
- ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC (Smart Brake Support- Rear Crossing)
New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี มาพร้อมสีภายนอก Artisan Red Premium โดยวางราคาจำหน่ายที่ 3,069,000 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับแฟน ๆ MX-5 ที่สนใจร่วมเป็นหนึ่งกับความภาคภูมิใจไปพร้อมกับแฟนมาสด้าทั่วโลกที่จะได้ครอบครองรถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นพิเศษนี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ผู้จำหน่ายมาสด้าทั่วประเทศ หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.mazda.co.th
รายการตกแต่งพิเศษใน New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี
ลำดับ รายการตกแต่งพิเศษ 1 พวงมาลัย หัวเกียร์ และเบรค มือหุ้มหนัง พร้อมด้ายสีพิเศษ Sports Tan 2 เบาะหนังหุ้มด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan พร้อมสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary 3 กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ (สีแดง อาร์ทิซาน เรด) 4 กรอบช่องแอร์ตกแต่งด้วยสีพิเศษ (สีแดง อาร์ทิซาน เรด) 5 แผงคอนโซล และแผงประตูหุ้มด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan 6 ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว สี Bright ใหม่ 7 สัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม Serial Number 8 พรมปูพื้นห้องโดยสาร พร้อมสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition 9 สีภายนอก สีพิเศษ Artisan Red Premium 10 หลังคา Hardtop
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine