• สัญญาณไฟจราจรสีที่สี่ “สีขาว” นวัตกรรมใหม่เพื่อยานยนต์ไร้คนขับ

    1 Min Read

    สัญญาณไฟจราจรสีที่สี่ “สีขาว” นวัตกรรมใหม่เพื่อยานยนต์ไร้คนขับ

    ในยุคที่เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles – AVs) กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการจราจรก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย North Carolina State (NC State) ได้เสนอแนวคิดที่ปฏิวัติวงการ นั่นคือการเพิ่มสัญญาณไฟจราจรสีที่สี่: “สีขาว” โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรและลดความแออัดบริเวณทางแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรถยนต์ไร้คนขับเข้ามามีบทบาท

    สัญญาณไฟจราจรสีขาวที่เสนอขึ้นมานี้จะไม่มาแทนที่สีแดง สีเหลือง หรือสีเขียว แต่จะเป็นการเพิ่ม “ช่วงสัญญาณสีขาว” (White Phase) เข้ามาในระบบควบคุมการจราจรแบบเดิม โดยมีหลักการทำงานที่สำคัญดังนี้:

    • การประสานงานของ AVs: แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสามารถของยานยนต์ไร้คนขับในการสื่อสารแบบไร้สายระหว่างกันเอง (V2V) และสื่อสารกับระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจร (V2I)
    • การเปิดใช้งาน: เมื่อมีจำนวนยานยนต์ไร้คนขับที่กำลังเข้าใกล้ทางแยกถึงเกณฑ์ที่กำหนด ระบบจะเปิดใช้งาน “ช่วงสัญญาณสีขาว” ขึ้น
    • การควบคุมแบบกระจาย (Distributed Computing): งานวิจัยฉบับปรับปรุงนี้ใช้แนวคิดการประมวลผลแบบกระจาย โดยใช้ทรัพยากรการคำนวณของกลุ่มรถยนต์ไร้คนขับที่อยู่บริเวณทางแยกในการกำหนดทิศทางการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะพึ่งพาคอมพิวเตอร์กลางเพียงอย่างเดียว ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากความล้มเหลวในการสื่อสาร
    • ความหมายสำหรับคนขับ:
      • ไฟแดง ยังคงหมายถึง หยุด
      • ไฟเขียว ยังคงหมายถึง ไป
      • ไฟขาว จะเป็นสัญญาณบอกให้คนขับรถที่ควบคุมด้วยมนุษย์ “ให้ปฏิบัติตามรถคันหน้า” โดยรถยนต์ไร้คนขับที่ได้รับการประสานงานจะนำทางผ่านทางแยกอย่างราบรื่น

    ศาสตราจารย์ Ali Hajbabaie นักวิศวกรรมโยธา การก่อสร้าง และสิ่งแวดล้อมจาก North Carolina State University  ผู้เป็นหัวหน้าคณะวิจัย ได้เผยแพร่ผลการจำลองทางคอมพิวเตอร์ที่ยืนยันถึงประโยชน์ของแนวคิดนี้ว่า การมีรถยนต์ไร้คนขับเพียงอย่างเดียวก็ช่วยให้การจราจรดีขึ้น แต่การเพิ่ม “ช่วงสัญญาณสีขาว” เข้าไปจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลดความล่าช้าในการเดินทางและการลดการหยุดและออกตัวซ้ำ ๆ (Stop-and-Go Traffic), การจราจรที่ไหลลื่นขึ้นยังส่งผลดีต่อการประหยัดเชื้อเพลิง และถึงแม้จะมีรถยนต์ไร้คนขับเพียง 10% ในทางแยกที่มี “ช่วงสัญญาณสีขาว” ความล่าช้าในการจราจรก็ลดลงได้ถึง ประมาณ 3% และเมื่อสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 30% ความล่าช้าลดลงได้ถึง 10.7% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบนี้สามารถให้ประโยชน์ได้ตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับยังไม่แพร่หลายมากนัก

    แนวคิด “สัญญาณไฟจราจรสีขาว” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเดิม เพื่อรองรับอนาคตที่มนุษย์และรถยนต์ไร้คนขับต้องใช้ถนนร่วมกัน โดยที่ไฟสีขาวทำหน้าที่เป็น “สัญญาณความไว้ใจ” (Trust Signal) ให้กับคนขับรถมนุษย์ ได้ทราบว่าขณะนั้นการจราจรกำลังอยู่ภายใต้การประสานงานที่มีประสิทธิภาพของระบบอัตโนมัติ

    นักวิจัยเน้นย้ำว่า การเลือกใช้สีขาวเป็นไปเพื่อความสามารถในการมองเห็นและส่งสัญญาณที่ชัดเจน แต่ก็ยังเปิดรับการใช้สีอื่นที่เหมาะสม หากการทดสอบภาคสนามแสดงผลที่ดียิ่งกว่า

    การพัฒนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความติดขัด แต่ยังเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการจัดการจราจรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการสื่อสาร ทำให้ถนนมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากขึ้นสำหรับทุกคนในอนาคต


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ส่อง GR1T สตาร์ทอัพมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเลือดใหม่จากเยอรมนี เตรียมเปิดตัวครั้งใหญ่ใน EICMA 2025

    1 Min Read

    ส่อง GR1T สตาร์ทอัพมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเลือดใหม่จากเยอรมนี เตรียมเปิดตัวครั้งใหญ่ใน EICMA 2025

    GR1T (กริด) สตาร์ทอัพมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหน้าใหม่ที่ตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี กำลังเป็นที่จับตาในวงการสองล้อ เตรียมนำต้นแบบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่นใหม่ล่าสุดไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งานแสดงรถจักรยานยนต์ระดับโลก EICMA 2025 (Milan, 4-9 พฤศจิกายน 2025) ตอกย้ำวิสัยทัศน์การขับขี่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างมีสไตล์

    GR1T ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 โดยมีเป้าหมายในการสร้างสรรค์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะ แต่ต้องเป็นรถที่มี สมรรถนะ (Performance), ดีไซน์ (Design), และ ความเฉพาะตัว (Individuality) ที่โดดเด่น แม้จะเป็นสตาร์ทอัพที่ยังไม่ได้รับเงินทุนสนับสนุน (Unfunded) แต่ทีมผู้ก่อตั้งซึ่งประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์จากวงการการเงิน อุตสาหกรรมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ (รวมถึงอดีตผู้เชี่ยวชาญจาก BMW Motorrad) ก็ได้เดินหน้าพัฒนารถต้นแบบมาอย่างต่อเนื่อง

    เปิดตัว 2 ขุมพลังไฟฟ้าใหม่: G1S Street และ G1X Scrambler

    หลังจากที่เคยนำรถต้นแบบรุ่น Pioneer ไปจัดแสดงใน EICMA 2023 มาแล้ว ในงาน EICMA 2025 นี้ GR1T จะกลับมาพร้อมกับต้นแบบเจนเนอเรชั่นที่สอง นั่นคือซีรีส์ G1 ซึ่งเน้นการใช้งานจริงและดีไซน์ที่เข้าถึงง่าย:

    • G1S Street: มอเตอร์ไซค์สำหรับผู้ใช้งานในเมือง (Urban Commuter) ที่รวมเอาความคล่องตัวและความสง่างามไว้ด้วยกัน

    • G1X Scrambler: สำหรับผู้ขับขี่ที่มองหาการผจญภัยที่นอกเหนือจากป่าคอนกรีต

    ทั้งสองคันนี้มาพร้อม แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบถอดได้ 2 ก้อน รวม 6 kWh วิ่งได้ไกลถึง 150 กม. ในสภาวะการขับขี่มาตรฐานและ 120 กม. เมื่อขับขี่ในเมือง ตัวรถมีน้ำหนักรวมแบตเตอรี่ 127 กก. กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 36 แรงม้า มาพร้อมระบบ 4G/5G, การอัปเดตแบบ Over-The-Air, ระบบกันขโมย, GPS Tracking, และการชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย

    ราคาคาดการณ์เริ่มต้นของ G1S อยู่ที่ 6,999 ยูโร หรือประมาณ 260,000 บาท ส่วน G1X อยู่ที่ 7,999 ยูโร หรือประมาณ 300,000 บาท (ไม่รวม VAT) และเสนอการรับประกันแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 6 ปี โดยจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ฟรีหากความจุลดลงเหลือ 80% ภายใต้การใช้งานปกติ

    GR1T ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ในเซกเมนต์ “พรีเมียมที่เข้าถึงได้” (Accessible Premium Segment) และกำลังมองหาตัวแทนจำหน่ายในยุโรป โดยมีตลาดหลักที่มุ่งเน้นคือ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, สเปน, กรีซ และโปรตุเกส นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้เปิดให้ผู้สนใจสามารถวางเงินมัดจำแบบคืนเงินได้เพื่อรับส่วนลดพิเศษ 1,500 ยูโร จากราคาฐาน หากทำการจองภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2025

    การปรากฏตัวของ GR1T ใน EICMA 2025 ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงผลิตภัณฑ์ แต่เป็นการประกาศจุดยืนของแบรนด์ยุโรปที่มุ่งมั่นนำเสนอมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เบา สวยงาม และเต็มไปด้วยเทคโนโลยี พร้อมที่จะสร้างคลื่นลูกใหม่ในวงการยานยนต์โลกต่อไป

    ที่มา : Visor Down


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • Little Bastard ตำนานรถสยองต้องสาป ผู้คร่าชีวิตดาราดังระดับตำนาน James Dean

    2 Min Read

    Little Bastard ตำนานรถสยองต้องสาป ผู้คร่าชีวิตดาราดังระดับตำนาน James Dean

    อุบัติเหตุทางรถยนต์ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่ และ ทุกเวลา แต่ถ้าหากสาเหตุเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ จะสยองขนาดไหน นี่คือเรื่องราวของรถสยองต้องคำสาป Little Bastard ที่คร่าชีวิตดาราดัง

     

    Little Bastard เป็นรถยนต์รุ่น Porsche 550 Spyder ของนักแสดงยุค 50 อย่าง James Dean ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานหนังเรื่อง East of Eden และ Giant แถมยังเป็นดาราที่นำเทรนด์ในเรื่องของการแต่งตัวที่ดูเท่ไม่ตกยุค แม้ว่าจะผ่านมาเป็นเวลายาวนานมากกว่า 60 ปีแล้วก็ตาม นอกจากนี้เขายังเป็นนักซึ่งที่หาตัวจับยากมาก อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่ถูกพูดถึงกันมาจนถึงปัจจุบัน คือ เขายังเป็นคนแรกที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมหลังจากที่เขาเสียชีวิต และสาเหตุการเสียชีวิตก็เกี่ยวข้องกับรถคันนี้โดยตรง

     

    สำหรับ Porsche 550 Spyder เป็นสปอร์ตสุดคลาสสิกที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น 356 และยังถูกออกแบบมาเพื่อซิ่งโดยเฉพาะ เปิดตัวครั้งแรกในงาน Paris Auto Show ในปี 1953 และยังสร้างตำนานจากการที่ Hans Herrmann อดีตนักแข่งฟอร์มูล่าวัน ขับมุดใต้ราวกั้นทางรถไฟ ในรายการแข่งขัน Mille Miglia ปี 1954 และนอกจากนี้ยังสร้างชื่อจากการคว้าแชมป์รุ่นในรายการแข่งขัน 24Hr of Le Mans และรายการ Carrera Panamericana ทำให้ความสำเร็จของรถรุ่นนี้ถูกส่งต่อมาเป็นชื่อรถรุ่น Carrera จนถึงปัจจุบันนั่นเอง

     

    สำหรับสเปคของ Little Bastard ที่ James Dean ขับ เป็นรถ 90 คันแรกในสายการผลิตที่ได้ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบนอน Fuhrmann Type 547 1.5 ลิตร 108 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 121 Nm พร้อมคาร์บูคู่ค่าย Solex และจับคู่กับเกียร์แมนวล 5 สปีด ความพิเศษของรถคันนี้นอกจากจะเป้นหนึ่งในรถ 90 คันแรก แล้วยังได้หมายเลขตัวถังสวยๆ อย่าง 550-0055 อีกด้วย

     

    จุดเริ่มต้นความสยองเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังถ่ายทำหนังเรื่อง Rebel Without a Cause… James Dean ในวัย 24 ปีที่อยากได้รถ Porsche 550 Spyder ซึ่งเร็ว แรง และน้ำหนักเบากว่ารถรุ่น 356 ที่เขามีอยู่ ก็ปุบปับเอารถ 356 มาแลกกับรถคันนี้ที่ร้าน Competition Motors พร้อมกับแต่งรถคันนี้ด้วยเบาะ Tartan Seat ติดสติกเกอร์เลข 130 บนประตู, ฝากระโปรง และหน้าห้องเครื่อง พร้อมพ่นสีชื่อ Little Bastard หรือแปลได้ว่า “ไอ้สารเลวตัวน้อย” ซึ่งที่มาของชื่อนี้คาดว่ามาจากคำเรียกเจ้าตัวที่ William Hickman นักแสดงสตั้นท์ที่เป็นเพื่อนสนิทชอบเรียกเขานั่นเอง หรืออีกที่มาก็คาดว่ามาจาการที่ประธานค่ายหนัง Warner Bros. อย่าง Jack Leonard Warner เคยเรียกเขาว่า Little Bastard เพราะในระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง East of Eden เขาถูกห้ามไม่ให้แข่งรถ ซึ่งทาง Warner เขาหวังดี หากเขาเป็นอะไรขึ้นมางานแสดงหนังอาจหยุดชะงักได้ แต่ Dean ก็ไม่สนใจข้อห้ามนั่นเลยและก็ยังแข่งรถอยู่เรื่อยๆ

     

    Dean ที่กำลังเห่อรถคันนี้ก็เอาไปอวดคนรอบข้างจนกระทั่งตัดภาพมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในวันที่ 23 กันยายน 1955 เมื่อเขาได้เจอกับ Alec Guinness เพื่อนสนิทผู้เป็นเจ้าของบท Obi-Wan Kenobi จากหนัง Star Wars ภาค 4-6 เรื่องผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อ Guinness ที่ได้เห็นเจ้า Porsche 550 Spyder คันนี้ แทนที่เขาจะมีอาการตื่นเต้นเหมือนคนอื่นๆ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเหมือนเขาเห็นอะไรบางอย่าง

     

    Lew Bracker เพื่อนสนิทของ Dean ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ผมจำหน้าตาของ Alec ในตอนนั้นได้แม่นมาก หลังจากที่ดูรถของ Dean แล้ว แกก็เดินกลับเข้าร้านด้วยสีหน้าที่ซีเผือด ผมก็เลยถามแกว่า “เห้ยเพื่อน นายโอเครึเปล่า?”

     

    และ Guinness ที่กำลังขนลุกซู่ ก็เตือนกับ Dean ว่า “อย่าขับรถคันนี้เด็ดขาด ตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงเช้าของวันที่ 23 กันยายน 1955 ถ้านายขับรถคันนี้ นายจะสู่ขิตแน่ๆ ภายในเวลาเดียวกันของอาทิตย์หน้า” ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ คิดว่าต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ

     

    จนกระทั่งตอนเช้า ในวันที่ 30 กันยายน 1955 Dean ขับเจ้าสารเลวตัวน้อยคันนี้ไปทีมช่างเยอรมัน เพื่อเดินทางจาก Hollywood ไปเข้าร่วมการแข่งขันที่สนาม Salinas ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง San Jose แทนที่จะเอาขึ้นรถพ่วงเหมือนอย่างที่เคยทำๆ มาตลอด เนื่องจากต้องเก็บสะสมไมล์ให้ครบตามที่รายการแข่งขันกำหนด ก่อนจะแวะปั๊มในเมือง Sherman Oaks ตอนบ่าย 2 และออกเดินทางต่อตามทางหลวง Interstate หมายเลข 5

     

    ในเวลาบ่ายสามครึ่ง Dean ก็ถูกตำรวจเรียกให้มารับใบสั่ง เพราะขับด้วยความเร็วเกินกำหนด ก่อนจะออกเดินทางต่อ และแวะพักที่ชุมชน Blackwells Corner ซึ่งที่นั่นเอง Dean ก็ได้เจอกับเพื่อนนักแข่งอย่าง Lance Reventlow กับ Bruce Kessler พวกเขาตกลงจะนัดกินข้าวเย็นกันที่เมือง Paso Robles และออกเดินทางออกจาก Blackwells Corner ในเวลา 5 โมง 15 นาที

     

    จนกระทั่งมาถึงสามแยก ในเวลา 5 โมง 45 นาที รถ Ford Tudor รุ่นปี 1950 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 41 ตัดหน้าเจ้า Little Bastard ของ Dean ที่ขับมาตามทางหลวงหมายเลข 466 ซึ่งเป็นทางเอกและชนประสานงาเข้าอย่างจัง นาย John Robert White พยานที่เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ให้การว่า รถของ Dean กลิ้งออกข้างทาง 2-3 ตลบ ก่อนจะปะทะเข้ากับเสาไฟ

     

    Dean กับ Rolf Wutherich หนึ่งในทีมช่างชาวเยอรมันที่นั่งมาด้วยกัน บาดเจ็บสาหัสและต้องส่งเข้าโรงพยาบาล Paso Robles War Memorial ซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุไปประมาณ 45 กม. แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายไปแล้วครับ เพราะ James Dean เสียชีวิตหลังจากมาถึงโรงพยาบาลในเวลา 6 โมง 20 นาที

     

    การเสียชีวิตของ James Dean นี่เองก็ทำให้คำเตือนของ Alec Guinness ถูกหยิบมาพูดถึงอีกครั้งเพราะมันตรงกับ 1 สัปดาห์ที่ว่ามาจริงๆ หลังจากที่ซากถูกขายต่อให้ให้ George Barris ช่างเครื่องที่รับผิดชอบในการปรับแต่ง และทำสีรถคันนี้ เก็บไว้โชว์โดยที่ถอดเอาเครื่องยนต์ และเกียร์ออก ปรากฎว่าดันเกิดอุบัติเหตุหล่นทับคนงานบาดเจ็บสาหัส และความเฮี้ยนก็ยังไม่จบแค่นี้เพราะต่อมา นายแพทย์ Troy McHenry มาขอซื้อเครื่องยนต์เพื่อเอามาใส่ในรถแข่งของตัวเอง และนายแพทย์ William F. Eschrid มาขอซื้อเกียร์เพื่อเอามาใส่รถแข่งของตัวเองเช่นกัน สุดท้ายแล้วก็เสียชีวิตกันทั้งคู่

     

    สามปีต่อมาในปี 1958 ซากของ Little Bastard ที่ถูกเก็บเอาไว้ ไม่ได้เอามาทำอะไรอีก ก็มีคนออกความเห็นว่าอยากจะเอามาบูรณะเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึง James Dean ระหว่างที่กำลังตรวจสอบสภาพ จู่ๆก็มีเสียงดังออกมาจากซาก คล้ายๆ กับเอาค้อนมาเคาะตัวถัง ก่อนชิ้นส่วนต่างๆ ก็หลุดออกมาเป็นชิ้นๆ ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น สร้างความหวาดกลัวให้กับช่างในอู่ไปหลายต่อหลายวัน

     

    ในเวลาต่อมา ซาก Little Bastard ก็ถูกซื้อไปโดย กรมตำรวจทางหลวง เพื่อเอามาจัดแสดงในนิทรรศการ ประชาสัมพันธ์ ขณะที่จัดแสดงอยู่ดีๆ ซากของรถคันนี้ก็หลุดจากแท่นหล่นมาทับคนดูบาดเจ็บสาหัสไปอีกคน

     

    จนกระทั่งในวันที่ 12 มีนาคม 1959 โกดังที่เก็บซาก Little Bastard ริมถนน Hamilton Avenue ในเมือง Fresno ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ  ซึ่งก็โชคดีมากที่รถคันอื่นๆไม่ได้รับความเสียหายมาก และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังจากนั้นมาภายในปีเดียวกัน ก็ถูกเอามาจัดแสดงในนิทรรศการตามโรงเรียนก็ยังเกิดเหตุหล่นทับเด็กนักเรียนจนบาดเจ็บอีก ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำเรื่องของส่งซาก Little Bastard คันนี้คืนให้กับ Barris รถบรรทุกที่ขนมาเกิดเสียอาการจนคนขับหลุดกระเด็นจากตัวรถ และหล่นมาชนคนขับรถบรรทุกซ้ำอีกจนเสียชีวิต

     

    หลังจากที่ถูกขนส่งผ่านตู้รถไฟมาถึงมือของ Barris ในปี 1960 แล้ว เรื่องที่น่าขนลุกคือ เมื่อเปิดตู้คอนเทนเนอร์กลายเป็นว่า ”ไอ้สารเลวตัวน้อย” คันนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และยังมีข่าวลือว่าถูกพบเจอตามที่ต่างๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกพบจริงๆ ในสภาพที่เหลือแต่ชิ้นส่วนบางชิ้นเท่านั้น โดยที่ล่าสุดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2021 ชิ้นส่วนเพลา ก็ถูกประมูลโดย Zak Bagans นักสะสมของต้องสาปที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการที่เขาครอบครองตู้ไวน์ปีศาจ Dybbuk

     

    “ไม่ว่าจะคำสาป อาถรรพ์ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติจะมีจริงหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราควรจะขับขี่อย่างมีสติ และมีจิตสำนึก เพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรัก” ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวความสยองของรถต้องคำสาป ที่พรากเอาชีวิตของนักแสดงระดับโลก James Dean สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • รู้จักกับ K.I.T.T. รถไฮเทคสุดล้ำขวัญใจวัยรุ่นยุค 80 จาก “อัศวินคอมพิวเตอร์”

    2 Min Read

    รู้จักกับ K.I.T.T. รถไฮเทคสุดล้ำขวัญใจวัยรุ่นยุค 80 จาก “อัศวินคอมพิวเตอร์”

    สำหรับแฟนซีรีส์ยุค 80 “Knight Rider” ไม่ได้เป็นเพียงแค่การผจญภัยของฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวความผูกพันระหว่าง ไมเคิล ไนท์ (Michael Knight) และรถยนต์คู่ใจที่ชาญฉลาดที่สุดในโลกนามว่า K.I.T.T. (Knight Industries Two Thousand) รถยนต์สีดำเพรียวลมที่มีไฟสแกนเนอร์สีแดงอันเป็นเอกลักษณ์คันนี้ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของยานยนต์ธรรมดา กลายเป็น “อัศวินคอมพิวเตอร์” ผู้มีจิตวิญญาณและความคิดเป็นของตัวเอง คอลัมน์นี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกที่มาของ K.I.T.T. ตั้งแต่ตัวตนในซีรีส์ รถต้นแบบ ไปจนถึงการดีไซน์อันเป็นตำนาน

    “Knight Rider” (อัศวินคอมพิวเตอร์) ออกอากาศครั้งแรกในปี 1982 เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ เกลน เอ. ลาร์สัน (Glen A. Larson) เล่าเรื่องราวของ ไมเคิล ลอง นายตำรวจที่ถูกยิงระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และได้รับการช่วยชีวิตโดยมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ วิลตัน ไนท์ (Wilton Knight) หลังจากฟื้นตัว เขาได้รับใบหน้าใหม่และตัวตนใหม่ในชื่อ ไมเคิล ไนท์ พร้อมภารกิจลับในการต่อสู้กับอาชญากรรม ในฐานะส่วนหนึ่งขององค์กร Knight Foundation for Law and Government (FLAG)

    อาวุธสำคัญที่สุดของไมเคิลคือ K.I.T.T. (Knight Industries Two Thousand) รถซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มี AI ขั้นสูง รถคันนี้สามารถคิด, พูดคุย, เรียนรู้, ขับเคลื่อนตัวเองได้ และยังมีอุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย (เช่น Turbo Boost, Ski Mode, Molecular Bonded Shell ที่ทำให้รถแทบไม่บุบสลาย) K.I.T.T. มีเสียงพากย์อันโดดเด่นและบุคลิกที่สุภาพแต่ขี้ประชด (พากย์โดย William Daniels) ทั้งไมเคิลและ K.I.T.T. ต้องร่วมกันเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์และต่อสู้กับเหล่าร้าย

    Pontiac Firebird Trans-Am

    รถที่เป็นร่างต้นแบบของ K.I.T.T. คือ Pontiac Firebird Trans Am รุ่นปี 1982 ซึ่งเป็นรถยนต์สปอร์ต “มัสเซิลคาร์” (Muscle Car) ยอดนิยมของอเมริกา ในยุคที่ซีรีส์ออกอากาศ Firebird Trans Am เพิ่งเปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและมีหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้นอย่างมาก มีตัวเลือกเครื่องยนต์หลากหลาย แต่รถที่ใช้ในกองถ่ายมักจะเป็นรุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร หรือเครื่องยนต์ V6 มีจุดเด่นอยู่ที่ รูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยในยุคนั้น โดยเฉพาะส่วนหน้าที่มีไฟหน้าแบบป๊อปอัพ และกระจกหลังขนาดใหญ่ที่ลาดลงไปถึงด้านท้าย และที่สำคัญ… มันยังสามารถใช้อะไหล่ร่วมกับ Chevrolet Camaro โฉมที่ 3 ได้อีกด้วย เนื่องจะเป็นรถที่อยู่ในเครือของ General Motors เหมือนๆ กัน และยังใช้โครงสร้าง F Body ในการออกแบบร่วมกันอีกด้วย

    การที่โปรดิวเซอร์เลือกใช้รถรุ่นนี้ ถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของรถยนต์แห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีอเมริกันได้อย่างลงตัว

    เบื้องหลังการดีไซน์ตัวละคร K.I.T.T. 

    การดีไซน์ตัวรถ K.I.T.T. ส่วนใหญ่ดำเนินการโดย ไมเคิล เชฟเฟ (Michael Scheffe) เขาเป็นผู้ออกแบบส่วนหน้า (Front Nose) ที่มีลักษณะเพรียวยาวและเรียบเนียนกว่ารถ Firebird รุ่นมาตรฐาน โดยมีจุดเด่นคือ ไฟสแกนเนอร์สีแดงที่เลื่อนไปมา (Scanner Bar) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากดวงตาของ ไซลอน (Cylon) จากซีรีส์ Battlestar Galactica (ซึ่งเป็นผลงานของ เกลน เอ. ลาร์สัน เช่นกัน) อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบส่วนหน้าในช่วงต้นซีซัน 1 เนื่องจากมีปัญหาด้านการผลิต

    สิ่งที่ทำให้ K.I.T.T. แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคือแผงควบคุมภายในรถ (Dashboard) ซึ่งเต็มไปด้วยปุ่มกด ไฟกะพริบ และหน้าจอแสดงผล CRT สองจอ ถือเป็นการแสดงถึง “สมอง” ของรถยนต์อัจฉริยะอย่างชัดเจน พวงมาลัยของ K.I.T.T. ก็ถูกดัดแปลงให้มีรูปทรงแบบ Yoke หรือ “ตัววาย” ที่คล้ายกับพวงมาลัยของเครื่องบิน

    รถ Ford Mustang ต้นแบบ K.I.T.T. ฉบับภาคต่อกึ่งรีบูตปี 2008

    ในปี 2008 มีการสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ความยาว 2 ชั่วโมงเพื่อเป็นภาคต่อกึ่งรีบูตของซีรีส์ “Knight Rider” โดยมีการนำตัวละคร K.I.T.T. กลับมาในรูปแบบใหม่ ซึ่งคราวนี้ถูกเรียกว่า K.I.T.T. (Knight Industries Three Thousand) รถที่นำมาใช้เป็นต้นแบบคือ Ford Shelby GT500KR ปี 2008 เนื่องจาก Pontiac Firebird ยุติการผลิตไปแล้ว และเพื่อเป็นการปรับภาพลักษณ์ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ ทีมงานจึงเลือกใช้รถสปอร์ตที่โดดเด่นในขณะนั้นอย่าง Ford Mustang ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นรุ่น Shelby GT500KR ซึ่งให้ภาพลักษณ์ที่ดูดุดันและทันสมัยกว่า

    K.I.T.T. เวอร์ชั่นปี 2008 ยังคงรักษาไฟสแกนเนอร์สีแดงไว้ แต่มีเส้นสายที่คมชัดและก้าวร้าวตามสไตล์ของ Mustang ยุคใหม่ ส่วนเสียงพากย์เปลี่ยนเป็น วาล คิลเมอร์ (Val Kilmer) ที่มีโทนเสียงที่นุ่มนวลและเป็นทางการกว่าเดิมมาก โดยมีการเน้นความสามารถในการแปลงร่างเป็นรถรุ่นอื่น (ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ของ Ford) และการใช้เทคโนโลยีนาโนในการซ่อมแซมตัวเอง

    แม้ว่าซีรีส์รีบูตจะไม่ประสบความสำเร็จและมีอายุสั้นเพียงซีซันเดียว แต่ K.I.T.T. ฉบับ Mustang ก็เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ตำนานของ “อัศวินคอมพิวเตอร์” ยังคงพยายามปรับตัวและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมรถยนต์มาจนถึงปัจจุบัน


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • สองล้อคู่ชีพ! เจาะลึกตำนาน “Cyclone” มอเตอร์ไซค์คาเมนไรเดอร์ กับวิวัฒนาการบนท้องถนน

    1 Min Read

    สองล้อคู่ชีพ! เจาะลึกตำนาน “ไซโคลน” มอเตอร์ไซค์ไอ้มดแดง กับวิวัฒนาการบนท้องถนน

    นับตั้งแต่ปี 1971 ที่ คาเมนไรเดอร์” (Kamen Rider) ได้ถือกำเนิดขึ้นมา มอเตอร์ไซค์คู่ใจที่ถูกดัดแปลงให้เป็น ไซโคลน” (Cyclone) ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่แยกจากฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมคนนี้ไม่ได้เลย ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน “ไซโคลน” ก็ยังคงเป็นพาหนะสำคัญที่พาคาเมนไรเดอร์ออกไปต่อสู้กับองค์กรช็อคเกอร์เสมอมา และสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ต้นกำเนิดของมอเตอร์ไซค์ในตำนานนี้ ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยเกร็ดประวัติศาสตร์ยานยนต์ที่เราจะมาเจาะลึกกันในสกู๊ปนี้กันครับ

    Suzuki T20 (Super Six)

    Suzuki T20 หรือที่รู้จักในต่างประเทศในชื่อ Super Six เป็นรถจักรยานยนต์สปอร์ตเครื่องยนต์ 2 จังหวะ 2 สูบคู่ ขนาด 247 ซีซี (250cc) เกียร์ 6 สปีด, แรงม้าประมาณ 29 แรงม้า (PS) เปิดตัวครั้งแรกในปี 1965 และวางขายในปี 1966 โดดเด่นด้วยเกียร์ 6 สปีดและระบบหล่อลื่นอัตโนมัติ ‘Posi-Force’ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในยุคนั้น ในบทบาทของไซโคลน มันถูกดัดแปลงให้มีรูปลักษณ์ที่ดุดันและสมรรถนะเหนือมนุษย์ ถูกนำมาใช้ในการออกแบบ Cyclone ในตอนที่ 1-13

    Honda SL350K1 ปี 1971

    เมื่อการถ่ายทำดำเนินต่อไป มีการเปลี่ยนรถมาใช้ Honda SL350K1 ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์แบบ Scrambler หรือ Enduro ขนาด 325 ซีซี เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 2 สูบคู่ (SOHC) ที่เน้นการขับขี่ทั้งบนถนนและทางฝุ่น ซึ่งเหมาะกับการผจญภัยของคาเมนไรเดอร์มากขึ้น ถูกนำมาใช้ในการออกแบบ Cyclone ในตอนที่ 14 เป็นต้นไป

    การกำเนิดคาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 และท่าแปลงร่างในตำนาน

    ระหว่างการแสดง ฟุจิโอกะ ฮิโรชิ (ผู้แสดงเป็นฮอนโก ทาเคชิ) ได้ประสบอุบัติเหตุขาหักระหว่างการถ่ายทำ ทำให้ต้องมีการปรับแก้บทอย่างเร่งด่วน โดยให้ฮอนโกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อปราบช็อคเกอร์ต่อ ทีมงานจึงดึงตัว ซาซากิ ทาเคชิ มารับบทเป็น อิจิมอนจิ ฮายาโตะ หรือคาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 ผู้เป็นมนุษย์ดัดแปลงที่ถูกสร้างขึ้นโดยช็อคเกอร์เช่นกัน แต่ได้รับการช่วยเหลือไว้ได้ทัน และเนื่องจาก ซาซากิไม่มีใบขับขี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ในเวลานั้น (และเพื่อความปลอดภัย/ควบคุมการแสดง) จึงมีการเพิ่มฉากที่คาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 ต้อง โพสท่าตะโกนว่า “Henshin!” เพื่อรอรับพลังงานลมให้เต็มที่ก่อน ซึ่งการโพสท่านี้กลายเป็น เอกลักษณ์ และ ธรรมเนียมปฏิบัติ ที่สืบทอดมาถึงคาเมนไรเดอร์รุ่นหลังๆ เกือบทุกตัว

    Suzuki T125

    Suzuki T125 หรือ Wolf 125 เป็นมอเตอร์ไซค์ขนาด 125 ซีซี 2 จังหวะ เปิดตัวในปี 1967 ในซีรีส์ Kamen Rider (Skyrider) (1979) และยังถูกนำมาใช้ในจักรวาลหนังใหญ่ของ Toei ในชื่อ Cyclone อีกครั้งใน Kamen Rider Saber x Kikai Sentai Zenkaiger Super Heroes Senki (2021) ด้วย

    Suzuki TS250 Super Motard ปี 1978

    มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้เป็นรถวิบาก/สแครมเบลอร์ 2 จังหวะ 250cc ถูกดัดแปลงเป็น นิว ไซโคลน” (New Cyclone) ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นและรูปลักษณ์ที่ทันสมัยกว่าเดิมสำหรับคาเมนไรเดอร์หมายเลข 1 และ 2 ในช่วงหลังของซีรีส์แรก

    Honda CBR1000RR Fireblade ปี 2005

    Superbike ตัวท็อปของ Honda ในขณะนั้น มาพร้อม เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 998cc ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและสมรรถนะในสนามแข่ง ถูกนำมาดัดแปลงเป็น Cyclone สำหรับ คาเมนไรเดอร์หมายเลข 1 ในภาพยนตร์ Kamen Rider: The First (2005) และ The Next (2007) ที่โทนเรื่องมีความจริงจัง โหด และมืดหม่นมากกว่าเดิม

    Honda CB1300 Super Bold’Or ปี 2005

    มอเตอร์ไซค์ Naked Bike สไตล์ Big-1 ที่ทรงพลังของ Honda ในยุคนั้น มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 1,284 cc เน้นกำลังและแรงบิดที่ดุดัน ถูกดัดแปลงเป็น ” Cyclone II” สำหรับ คาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 (อิจิมอนจิ ฮายาโตะ) ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่ดูบึกบึนและทรงพลัง ต่างจากรถสปอร์ตของหมายเลข 1 เล็กน้อย

    Honda Goldwing F6C

    Goldwing F6C คือมอเตอร์ไซค์ครุยเซอร์/แบกเกอร์ขนาดใหญ่ เครื่องยนต์ 6 สูบนอน 1,832cc ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็น “Neo Cyclone ในภาพยนตร์ Kamen Rider Ghost the movie: คาเมนไรเดอร์หมายเลขหนึ่ง ไอ้มดแดงอาละวาด (2016) ซึ่งเป็นการกลับมาของ ฟุจิโอกะ ฮิโรชิ ในบทบาทฮอนโก ทาเคชิ ฉบับดั้งเดิม ที่เน้นความบึกบึนและความน่าเกรงขาม

    Honda CBR650R

    Cyclone (ซ้าย), Honda CBR650R E-Clutch (ขวา)

    มอเตอร์ไซค์สปอร์ตขนาดกลาง 4 สูบเรียงของ Honda ที่ได้รับความนิยม ถูกนำมาเป็นพื้นฐานสำหรับ ” Cyclone ของ คาเมนไรเดอร์หมายเลข 1 (ฮอนโก ทาเคชิ) รูปลักษณ์ภายนอกถูกดัดแปลงให้มีแฟริ่งแบบคลาสสิกแต่มีความล้ำสมัย

    Honda CB250R

    มอเตอร์ไซค์ Naked Bike ในตระกูล Neo Sports Café ของ Honda ถูกนำมาเป็นพื้นฐานสำหรับ ” Shin-Cycloneของ คาเมนไรเดอร์หมายเลข 2 (อิจิมอนจิ ฮายาโตะ) แม้จะเป็นรุ่น 250cc แต่ด้วยการดัดแปลงและพลังงานจากมนุษย์ดัดแปลง ทำให้มันกลายเป็นยานพาหนะคู่ใจที่ทรงพลังไม่แพ้กัน

    มอเตอร์ไซค์ของคาเมนไรเดอร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ยานพาหนะ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงระหว่าง “พลังดัดแปลง” กับ “อิสรภาพ” ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม จาก Suzuki T20 ในยุค 70s จนถึง Honda CBR650R ในยุคปัจจุบัน Cyclone” ได้พิสูจน์แล้วว่าคือ คู่หู” ที่ขาดไม่ได้ของฮีโร่ในตำนานตัวนี้อย่างแท้จริง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • “Omoda 4” เปิดตัวแล้ว: รถไฟฟ้าครอสโอเวอร์ไซไฟ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกวิดีโอเกมและอวกาศ

    1 Min Read

    “Omoda 4” เปิดตัวแล้ว: รถไฟฟ้าครอสโอเวอร์ไซไฟ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกวิดีโอเกมและอวกาศ

    Omoda แบรนด์รถยนต์ภายใต้ Chery Group ได้สร้างความฮือฮาในงาน International User Summit ประจำปี ด้วยการเผยโฉมรถครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัดรุ่นใหม่ล่าสุด Omoda 4 ที่มาพร้อมดีไซน์สุดล้ำในสไตล์ “Cyber Mecha” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวิทยาศาสตร์-แฟนตาซี (Sci-Fi), หุ่นยนต์ และวิดีโอเกม

    Omoda 4 ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถยนต์ระดับเริ่มต้น (Entry-level) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ โดยมีเป้าหมายในการดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักในเทคโนโลยีและต้องการรถยนต์ที่สะท้อนถึงตัวตนที่ไม่ซ้ำใคร

    ดีไซน์ “Cyber Mecha” สุดล้ำ

    Omoda 4 นำเสนอการออกแบบที่ดุดันและมีเหลี่ยมมุมชัดเจน ซึ่งทางแบรนด์เรียกว่า “Cyber Mecha” ด้วยเส้นสายที่เฉียบคมและผิวสัมผัสแบบเมทัลลิก ทำให้รถดูเหมือนหลุดออกมาจากฉากแอ็กชันในวิดีโอเกมหรือภาพยนตร์ไซไฟ

    ภายในห้องโดยสารยังคงตอกย้ำแนวคิดนี้ ด้วยการออกแบบที่เหมือนห้องนักบินอวกาศ (Spaceship Cockpit) มีปุ่มควบคุมและสวิตช์ที่มีลักษณะคล้ายเพชรที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยานอวกาศ และไฮไลท์สำคัญคือปุ่มสตาร์ท-หยุดเครื่องยนต์แบบมีฝาปิดสีแดงคล้าย “ปุ่มยิง” หรือ “ปุ่มเริ่มปฏิบัติการ” ซึ่งถูกนำแรงบันดาลใจมาจากดีไซน์ของรถซูเปอร์คาร์ระดับตำนาน

    ตัวเลือกขุมพลังที่หลากหลายและการปรับแต่งภายใน

    Omoda 4 จะเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “New Energy Vehicles” ของ Omoda โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอทางเลือกของระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE), ระบบไฮบริด (Hybrid) และรุ่นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ล้วนๆ

    แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดสเปคและราคาอย่างเป็นทางการสำหรับทุกตลาด แต่คาดการณ์ว่ารุ่น EV อาจมาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งประมาณ 400 กิโลเมตร (248 ไมล์)

    นอกจากนี้ Omoda 4 ยังมาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์และธีมภายในรถที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ ทำให้เจ้าของรถสามารถผนวกเอาความชอบและความคิดสร้างสรรค์ของตนเองเข้าไปในประสบการณ์การขับขี่ได้อย่างเต็มที่

    กลยุทธ์ “Co-Creation” และการเปิดตัวในตลาดโลก

    ในงานเปิดตัว Omoda ได้เน้นย้ำถึงแนวคิดการร่วมสร้างสรรค์กับผู้ใช้งาน (Co-Creation) โดยผู้สนใจและแฟนๆ ของแบรนด์จะได้รับโอกาสเป็น “Co-Creation Ambassadors” เพื่อส่งข้อมูลป้อนกลับและข้อเสนอแนะต่างๆ แก่ทีมพัฒนา ก่อนที่รถจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Omoda 4 ได้รับการยืนยันว่าจะเข้าสู่ตลาดสำคัญทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเร็วที่สุดในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และจะมาพร้อมกับการรับประกัน 7 ปี/100,000 ไมล์ สำหรับตัวรถ และการรับประกัน 8 ปีสำหรับแบตเตอรี่ (สำหรับรุ่น EV/Hybrid)

    การเปิดตัว Omoda 4 ในครั้งนี้ ถือเป็นการประกาศจุดยืนของแบรนด์ในการก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัด (B-segment) ด้วยภาพลักษณ์ที่ทันสมัย เน้นเทคโนโลยี และการออกแบบที่โดนใจกลุ่มผู้ขับขี่รุ่นใหม่ที่แสวงหาสิ่งที่ “กล้าฉีกกฎ” อย่างแท้จริง

    ที่มา : Top Gear


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • Honda Prelude ตำนานล้อหลังเลี้ยวได้!!

    1 Min Read

    Honda Prelude ตำนานล้อหลังเลี้ยวได้!!

    ท่ามกลางกระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและไฮบริดที่กำลังมาแรง การกลับมาของชื่อชั้นระดับตำนานอย่าง Honda Prelude ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะการปรากฏตัวของ Honda Prelude รุ่นล่าสุด ที่ถูกนำมาจัดแสดงในงาน The M.O.V.E. By Honda ณ ห้าง Emsphere ยิ่งตอกย้ำถึงการกลับมาอย่างสง่างามของรถสปอร์ตคูเป้ในตำนานคันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงที่มาที่ไป เราจะพาไปเจาะลึกวิวัฒนาการของ Honda Prelude ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงยุคใหม่ในฐานะรถไฮบริด

    โฉมที่ 1 (1978-1982)

    ในช่วงปลายยุค 70s กระแสรถยนต์คูเป้ขนาดเล็กกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยมี Toyota Celica เป็นผู้นำตลาดที่สร้างยอดขายอย่างน่าประทับใจ Honda จึงไม่ยอมอยู่เฉย และตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันนี้ โดยได้มอบหมายให้ Hiroshi Kizawa เป็นหัวหน้าวิศวกรในการออกแบบ Honda Prelude รุ่นแรก ซึ่งหมายมั่นปั้นมือให้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Nissan Silvia

    Prelude รุ่นแรกเปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1978 และมีจุดเด่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับยุคนั้น:

    • เป็นรถรุ่นแรกๆ ของ Honda ที่มี หลังคามูนรูฟไฟฟ้า (Power Moonroof) ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
    • เป็นรถรุ่นแรกๆ ที่มีการติดตั้ง พวงมาลัยพาวเวอร์ สำหรับรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า ลิตร ซึ่งทำให้การขับขี่คล่องตัวขึ้นอย่างมาก
    • ได้รับคำชมจากสื่อมวลชนชั้นนำอย่าง Motortrend ในด้านการออกแบบและนวัตกรรม
    • มาพร้อมกับเครื่องยนต์หลัก รุ่น คือ เครื่องยนต์ EL ขนาด ลิตร และ เครื่องยนต์ EK CVCC ขนาด ลิตร
    • ในปี 1980 มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ครั้งสำคัญด้วยระบบวาล์วแปรผัน CVCC II พร้อม Catalytic Converter เพื่อให้ไอเสียสะอาดขึ้น และมีการใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ Hondamatic (เกียร์อัตโนมัติ สปีดในตอนแรก ก่อนเปลี่ยนเป็น สปีด)

    โฉมที่ 2 (1982-1987)

    Prelude เจเนอเรชันที่ เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1982 ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยและแอโรไดนามิกมากขึ้น

    • ใช้เครื่องยนต์หลัก คือ A18A ขนาด ลิตร
    • ในปี 1985 มีการอัปเดตเครื่องยนต์ครั้งใหญ่ไปใช้ B20A ขนาด ลิตร
    • นับเป็น Prelude รุ่นแรกที่ใช้ไฟหน้าแบบป๊อปอัป (Pop-up Headlights) ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของรถสปอร์ตในยุคนั้น และช่วยลดแรงต้านอากาศได้อย่างดีเยี่ยม
    • เป็นรถรุ่นแรกๆ ที่มีการนำเสนอบระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) เป็นทางเลือก

    โฉมที่ 3 (1987-1991)

    เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1987 ด้วยการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น

    • ดีไซน์ของรถได้ถูกนำไปต่อยอดและมีอิทธิพลต่อรถซูเปอร์คาร์ในตำนานอย่าง Honda NSX ที่เปิดตัวในปี 1990
    • มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัย เช่น กระจกมองข้างไฟฟ้า และ แอร์ออโต้ (Automatic Climate Control)
    • คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดและกลายเป็นฉายาที่รู้จักกันดีคือ ระบบเลี้ยว ล้อ (Four-Wheel Steering – 4WS) ซึ่งเป็นระบบกลไก (Mechanical 4WS) ที่เป็นครั้งแรกของโลกที่ใช้ในรถยนต์นั่งผลิตจำนวนมาก โดยระบบนี้จะบังคับให้ล้อหลังเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้าเล็กน้อยเมื่อขับด้วยความเร็วสูง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพ หรือเลี้ยวในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้าเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ เพื่อช่วยลดรัศมีวงเลี้ยวและเพิ่มความคล่องตัว จนเป็นที่มาของฉายาที่ผู้คนชอบเรียกว่า ล้อหลังเลี้ยวได้”
    • ในปี 1988 รถรุ่นนี้ขึ้นแท่นเป็นอันดับสามในรางวัล European Car of the Year ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในระดับสากล

    โฉมที่ 4 (1991-1996)

    เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 1991 ด้วยการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่จากรูปทรงเหลี่ยมเป็นแบบโค้งมนตามสมัยนิยม

    • ยกเลิกไฟหน้าป๊อปอัป โดยเปลี่ยนไปใช้ไฟหน้าที่ซ่อนอยู่ในแนวนอนที่ดูเพรียวบาง
    • เริ่มมีการนำระบบวาล์วแปรผันอันเลื่องชื่อของ Honda คือ VTEC (Variable Valve Timing and Lift Electronic Control) มาใช้ในเครื่องยนต์ รุ่น ลิตร DOHC ซึ่งให้พละกำลังที่สูงขึ้น
    • มีประวัติเคยถูกใช้เป็นรถ Safety Car ในการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน Japanese Grand Prix ปี 1994 ณ สนาม Suzuka Circuit

    โฉมที่ 5 (1996-2001)

    เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1996 โดยการออกแบบกลับไปใช้รูปทรงที่ดูเป็น สี่เหลี่ยมมากขึ้น ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับรากฐานของรุ่นก่อนหน้า

    • ยังคงใช้รูปแบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FF Layout) และช่วงล่างตอนหน้าเป็นแบบอิสระ
    • รายละเอียดรถรุ่น Canada: ในตลาดแคนาดาและอเมริกาเหนือจะมีรุ่นย่อยที่โดดเด่น เช่น รุ่น SH (Super Handling) ซึ่งมาพร้อมกับระบบ ATTS (Active Torque Transfer System) ที่ช่วยควบคุมการกระจายแรงบิดไปที่ล้อหน้า ทำให้การเข้าโค้งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในรถขับเคลื่อนล้อหน้าที่มีการควบคุมดีที่สุดในโลก
    • รายละเอียดรถรุ่น Type S (เฉพาะตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น): เป็นรุ่นสมรรถนะสูงสุดในตลาดญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ ลิตร DOHC VTEC ที่ให้กำลังสูงสุดถึง แรงม้า (ในรุ่นเกียร์ธรรมดา) โดยไม่มีหลังคามูนรูฟ และติดตั้งระบบควบคุมแรงบิด ATTS เป็นมาตรฐาน
    • ประวัติและรายละเอียดรถ Prelude Motegi: รุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษที่มีการแต่งภายนอกที่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น และใช้ชื่อ “Motegi” เพื่อเป็นเกียรติแก่สนามแข่ง Twin Ring Motegi ที่ Honda เป็นเจ้าของ

    หลังจากนั้น Honda Prelude ก็ได้ยุติสายการผลิตไปในปี 2002 เนื่องจากกระแสความนิยมรถสปอร์ตคูเป้ขนาดเล็กที่เริ่มลดน้อยลง ทำให้ชื่อของ Honda Prelude หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ตลอด 20 ปี

     

    โฉมที่ 6 (ปัจจุบัน)

    หลังจากยุติการผลิตไปในปี 2001 Honda Prelude ได้กลับมาอีกครั้งในฐานะรถสปอร์ตยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพของระบบไฮบริด

    • เปิดตัวในรูปแบบ Concept เป็นครั้งแรกในงาน Japan Mobility Show 2023 และมีการโชว์ตัวจริงพร้อมรายละเอียดทางเทคนิคที่งาน Goodwood Festival of Speed ในเดือนกรกฎาคม 2024
    • เริ่มขายจริงในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ในวันที่ 5 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นการกลับมาอย่างเป็นทางการในรอบกว่าสองทศวรรษ และได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมียอดจองในช่วงเดือนแรกสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 8 เท่า (ประมาณ 2,400 คัน จากเป้าหมาย 300 คันต่อเดือน)
    • เป็นการกลับมาในฐานะรถ ไฮบริด (Hybrid-Electric) โดยใช้ระบบ Two-Motor Hybrid ที่ผสานเครื่องยนต์ ลิตร Atkinson-cycle เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า
    • มาพร้อมโหมดการขับขี่ใหม่ที่เรียกว่า Honda S+ Shift ที่ถูกออกแบบมาเพื่อจำลองประสบการณ์การขับขี่รถสปอร์ตด้วยเกียร์ “เสมือนจริง” และการปรับจูนเสียงเครื่องยนต์เพื่อให้ผู้ขับขี่มีอารมณ์ร่วม
    • สเปคของรถ (สำหรับตลาดญี่ปุ่น): มาพร้อมพละกำลังรวมประมาณ แรงม้า และใช้ชิ้นส่วนช่วงล่างด้านหน้าแบบ Dual-Axis Strut จาก Civic Type R เพื่อให้มีการควบคุมที่แม่นยำและตอบสนองได้ดี
    • รูปทรงตัวถังเป็นสปอร์ตคูเป้ ประตูที่ทันสมัย (ไม่ได้เป็น Liftback ตามที่เคยคาดการณ์ในตอนแรก)

    Honda Prelude รุ่นที่ 6 นี้ เป็นการผสมผสานตำนานเข้ากับเทคโนโลยียานยนต์ยุคใหม่ได้อย่างลงตัว โดยนำเสนอสมรรถนะที่น่าตื่นเต้นควบคู่ไปกับความประหยัดน้ำมันในแบบฉบับรถไฮบริด

    Honda Prelude ไม่ได้เป็นเพียงรถสปอร์ตคูเป้เท่านั้น แต่ยังเป็นตำนานที่เต็มไปด้วยนวัตกรรม โดยเฉพาะระบบ “ล้อหลังเลี้ยวได้” ในยุคที่รถสปอร์ตคูเป้ยังเป็นที่ต้องการ ซึ่งการกลับมาของ Prelude ในยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าและไฮบริดนี้ ก็เป็นเหมือนการตอกย้ำจิตวิญญาณแห่งความท้าทายและการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ของ Honda อีกครั้ง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • ด่วน! ข่าวลือสะพัด Toyota FJ Cruiser รุ่นใหม่ (Land Cruiser FJ) อาจเปิดตัว 20 ตุลาคมนี้

    1 Min Read

    ด่วน! ข่าวลือสะพัด Toyota FJ Cruiser รุ่นใหม่ (Land Cruiser FJ) อาจเปิดตัว 20 ตุลาคมนี้

    แฟน ๆ รถยนต์สายลุยทั่วโลกเตรียมเฮ! มีรายงานข่าวลือหนาหูจากสื่อมวลชนญี่ปุ่นระบุว่า Toyota เตรียมจะเผยโฉมรถออฟโรดรุ่นใหม่ในตระกูล Land Cruiser ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเป็นรุ่นที่สานต่อตำนานของ FJ Cruiser ซึ่งอาจใช้ชื่อว่า Land Cruiser FJ โดยคาดการณ์ว่าอาจมีการจัดแสดงภาพตัวอย่างให้สื่อมวลชนได้ชมเป็นการภายในในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการระดับโลกในเช้าวันถัดไปคือวันที่ 21 ตุลาคม (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น)

    รายงานข่าวระบุว่า รถยนต์รุ่นใหม่นี้ ซึ่งถูกยกให้เป็น “สมาชิกรุ่นเล็กสุด” ของตระกูล Land Cruiser ในปัจจุบัน จะมีดีไซน์ทรงกล่อง (Boxy Design) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากรถต้นแบบ Compact Cruiser EV ปี 2021 และรุ่น FJ Cruiser ในอดีตอย่างชัดเจน โดยจะมีลักษณะเด่นคือตัวถัง 5 ประตู ไฟหน้าทรงกลม และยางอะไหล่ติดตั้งอยู่ที่ประตูท้าย

    ฐานการผลิตในไทยและขุมพลังที่คาดการณ์

    สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษสำหรับแฟน ๆ ชาวไทยคือรายงานที่ระบุว่า Toyota Land Cruiser FJ รุ่นนี้จะถูกผลิตที่โรงงานในประเทศไทย เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าจะใช้แพลตฟอร์มแบบแชสซีส์ขั้นบันได (Ladder Frame) IMV-0 ซึ่งเป็นโครงสร้างเดียวกับที่ใช้ใน Toyota Hilux Champ และ Fortuner รุ่นใหม่ เพื่อให้ได้สมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดที่แข็งแกร่งและทนทาน

    สำหรับทางเลือกด้านขุมพลังนั้น แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่สื่อญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า Land Cruiser FJ อาจมาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.7 ลิตร (รหัส 2TR-FE) และอาจมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.8 ลิตร พร้อมระบบ Mild-Hybrid (คล้ายกับที่ใช้ใน Land Cruiser Prado, Hilux และ Fortuner) โดยทุกรุ่นน่าจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) เป็นมาตรฐาน

    การกลับมาของตำนานสายลุย

    การเปิดตัวของ Land Cruiser FJ นี้ถือเป็นการกลับมาของรถ SUV ขนาดกะทัดรัดที่เน้นการลุยอย่างแท้จริง ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ตลาดเพื่อแข่งขันในกลุ่มรถออฟโรดขนาดเล็ก โดยจะเริ่มทำตลาดในภูมิภาคเอเชียก่อน (รวมถึงประเทศไทย) ก่อนจะขยายไปยังตลาดใหญ่อย่างอเมริกาและยุโรปต่อไป

    หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นยังคงเป็นรายงานข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Toyota ดังนั้น แฟน ๆ รถยนต์ยังคงต้องติดตามการประกาศจากบริษัทอย่างใกล้ชิดในวันที่ 20-21 ตุลาคมนี้ ซึ่งคาดว่ารายละเอียดทั้งหมดจะถูกเปิดเผยในงานสำคัญนี้


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • Suzuki Gixxer SF 250 รุ่นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Flex-Fuel) เตรียมอวดโฉมในงาน Japan Mobility Show 2025 เน้นย้ำความมุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

    1 Min Read

    Suzuki Gixxer SF 250 รุ่นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Flex-Fuel) เตรียมอวดโฉมในงาน Japan Mobility Show 2025 เน้นย้ำความมุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

    ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เตรียมนำรถจักรยานยนต์รุ่นต้นแบบที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่าง Suzuki Gixxer SF 250 FFV (Flex-Fuel Vehicle) เข้าจัดแสดงในงาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ Tokyo Big Sight ในปลายเดือนตุลาคมนี้ ตอกย้ำถึงความพยายามของค่ายผู้ผลิตจากญี่ปุ่นในการขยายทางเลือกด้านยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

    Gixxer SF 250 FFV รุ่นนี้ ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้เชื้อเพลิงเอทานอลชีวภาพผสมกับน้ำมันเบนซินได้ในสัดส่วนสูงถึง E85 (เอทานอล 85% และน้ำมันเบนซิน 15%) การเคลื่อนไหวครั้งนี้สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

    แม้ว่า Gixxer SF 250 รุ่นเชื้อเพลิงชีวภาพนี้จะเคยเปิดตัวในประเทศอินเดียมาก่อนหน้านี้ในงาน Bharat Mobility Global Expo 2025 แต่การนำมาจัดแสดงในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้จะเป็นการนำเสนอในรูปแบบ “รุ่นสเปกต่างประเทศ (Overseas specification model)” ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ นอกเหนือจากเอเชีย

    เพื่อให้เครื่องยนต์สูบเดียวขนาด 249 ซีซี สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูง วิศวกรของซูซูกิได้ทำการปรับปรุงและแก้ไขชิ้นส่วนสำคัญหลายอย่าง เช่น หัวฉีด (Injector), ปั๊มเชื้อเพลิง (Fuel Pump), และหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาส่วนประกอบที่เป็นพลาสติกและยางให้มีความทนทานต่อฤทธิ์กัดกร่อนของเอทานอลอีกด้วย

    ซูซูกิระบุว่าประสิทธิภาพด้านกำลังของ Gixxer SF 250 FFV ยังคงทำได้เทียบเท่ากับรุ่นมาตรฐาน โดยให้กำลังสูงสุดที่ 26 แรงม้าที่ 9,300 รอบต่อนาที ไม่ว่าจะเป็นการใช้เชื้อเพลิง E85 หรือ E20 ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าผู้ขับขี่ยังคงได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจโดยไม่ลดทอนสมรรถนะลง

    การจัดแสดง Gixxer SF 250 FFV ในงาน Japan Mobility Show 2025 ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ซูซูกิกำลังให้ความสำคัญกับแนวคิด “เส้นทางหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (multi-pathway approach)” โดยนำเสนอทางเลือกที่หลากหลาย เช่นเดียวกับที่เตรียมจัดแสดงรถรุ่นอื่นๆ เช่น สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า e-Address และรถต้นแบบ Burgman ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน

    การพัฒนารถจักรยานยนต์ที่รองรับเชื้อเพลิงชีวภาพนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของซูซูกิในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของยานยนต์ที่ยั่งยืน โดยพยายามเสนอทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถปรับให้เข้ากับข้อกำหนดและโครงสร้างพื้นฐานด้านเชื้อเพลิงในแต่ละภูมิภาคได้


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • Brembo เปิดตัวปั๊มเบรกเพื่อโลก! ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ประสิทธิภาพสูง พร้อมลดการปล่อยคาร์บอน ลง 70%

    1 Min Read

    Brembo เปิดตัวปั๊มเบรกเพื่อโลก! ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ประสิทธิภาพสูง พร้อมลดการปล่อยคาร์บอน ลง 70%

    มิติใหม่แห่งความยั่งยืน: เบรมโบ้ผสานสมรรถนะระดับโลกเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

    เบรมโบ้ (Brembo) ผู้นำระดับโลกด้านระบบเบรกประสิทธิภาพสูง ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการเปิดตัวปั๊มเบรก (Brake Caliper) ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% สำหรับลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์ (Original Equipment – OE) รายใหญ่ หลังจากทุ่มเทวิจัยและพัฒนากว่า 5 ปี นวัตกรรมนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเร่งสู่ความยั่งยืนโดยไม่ลดทอนคุณภาพและดีไซน์

    ลดการปล่อยคาร์บอน ได้ถึง 70%

    หัวใจสำคัญของปั๊มเบรกใหม่นี้คือการใช้วัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่มาจากการรีไซเคิลทั้งหมด ซึ่งจากการศึกษาการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment – LCA) ที่ได้รับการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม พบว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดวงจรชีวิตของปั๊มเบรกได้สูงสุดถึง 70% เมื่อเทียบกับการใช้อะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบดั้งเดิม

    อะลูมิเนียมเป็นวัสดุที่ถูกเลือกเพราะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างไม่จำกัด โดยไม่สูญเสียคุณสมบัติเดิม เบรมโบ้จึงเรียกกระบวนการนี้ว่าเป็นการ “Upcycled” หรือการยกระดับวัสดุที่ใช้แล้วให้มีคุณค่าสูงขึ้นกว่าเดิม

    ประสิทธิภาพและดีไซน์ยังคงเอกลักษณ์ Brembo

    แม้จะเปลี่ยนมาใช้วัสดุรีไซเคิล แต่เบรมโบ้ยืนยันว่า ปั๊มเบรกชุดนี้ยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดในด้านสมรรถนะ (Performance) คุณภาพ (Quality) และดีไซน์ (Design) อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ปั๊มเบรกรุ่นแรกที่เปิดตัวด้วยวัสดุใหม่นี้ เป็นแบบ Monobloc สี่ลูกสูบ (Four-piston Monobloc) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกและสัมผัสที่แป้นเบรก

    เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน ปั๊มเบรกที่ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลจะได้รับการประทับตราเครื่องหมายการค้าใหม่ที่จดทะเบียนโดยบริษัท คือโลโก้ “ALU” เพื่อบ่งบอกความแตกต่างอย่างชัดเจน

    Daniele Schillaci ซีอีโอของเบรมโบ้ กล่าวว่า “การนำอะลูมิเนียมรีไซเคิลมาใช้ในการผลิตปั๊มเบรกอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โซลูชั่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านสมรรถนะและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม”

    อนาคตของการเบรกที่ยั่งยืน

    เบรมโบ้ยืนยันว่า นับจากนี้เป็นต้นไป วัสดุรีไซเคิลจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นมาตรฐานสำหรับการพัฒนาปั๊มเบรกใหม่ส่วนใหญ่ของบริษัท ขณะที่ปั๊มเบรกที่อยู่ในสายการผลิตปัจจุบันจะยังคงใช้อะลูมิเนียมแบบเดิมต่อไปจนสิ้นสุดอายุผลิตภัณฑ์ แต่บริษัทจะให้ความสำคัญกับการใช้อะลูมิเนียมที่ผลิตด้วยพลังงานหมุนเวียนก่อน

    การเปิดตัวปั๊มเบรกจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% นี้ไม่เพียงแต่เป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ขับขี่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงการก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเบรกในอนาคต ที่ซึ่ง “สมรรถนะระดับพรีเมียม” และ “ความยั่งยืน” สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment