ที่มาของคำว่า  Naked bike

ที่มาของคำว่า  Naked bike

รถ Naked bikeถือกำเนิดขึ้นมาจากรถSport bike โดยในสมัยนั้น Sport bike เป็นรถสำหรับสนามแข่ง ไม่ใช่รถที่จะเอามาวิ่งเล่นกันบนถนนทั่วไป จึงมีการดัดแปลง และถอดชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกเพื่อลดน้ำหนัก และความคล่องตัว โดยในสมัยนั้นราคาของแฟริ่งสูงมาก และหากเปลี่ยนใหม่บ่อยๆคงไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่  จึงมีไบค์เกอร์คนหนึ่งถอดแฟริ่งออกเลย และเพื่อนๆในกลุ่มเห็นว่ารถดูแล้วได้ความโหดดิบมากกว่าเดิมก็เลยทำตามๆกัน  จึงเป็นที่มาของสไตล์ “Naked bike” ซึ่งคำว่า “Naked แปลว่า เปลือยเปล่า”

            แต่เรื่องที่เพื่อนๆอาจไม่รู้คือดังเดิม ของการจะมาเป็น Naked bike รถสไตล์แนวนี้เคยใช้ชื่อเรียกว่า Street  fighter bike มาก่อน เพราะว่าในยุคแรกๆนั้นรถที่นำมาถอดแฟริ่งจะเป็นรถที่มี CC สูงๆ แต่ต่อมาก็ได้นำคำว่า Naked bike มาใช้กันจนในปัจจุบันไม่ว่ารถจะ CC น้อยหรือมาก ก็จะถูกเรียกเป็น Naked bike กันหมด จนทำให้เหล่าไบค์เกอร์เข้าใจกันผิดว่า Street  fighter bike กับ Naked bike คือคนละสไตล์กัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อนๆคงรู้จักกับเจ้า  Ducati Monster เพื่อนๆทุกคนคงจะคุ้นเคยจากที่ใครๆเขาก็พูดกันว่า คือ Naked bike แต่จริงๆแล้วก่อนจะถูกเรียกด้วยชื่อนี้นั้น เจ้าDucati Monster  เคยถูกเรียกว่า Street  fighter bike ที่ได้รับความนิยมมากในยุคของ Street  fighter bike แต่ถึงอย่างนั้นในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมเสมอมาถึงจะถูกเรียกในนามของ Naked bike ก็ตาม

และในปัจจุบันรถสไตล์ Naked bike ก็ได้ถูกออกแบบ พัฒนามากขึ้น และหลายๆค่ายต่างก็พากันผลิตรถขึ้นมา เป็นรุ่นเฉพาะของรถสไตล์ Naked bike เอง ตัวอย่างเช่น Yamaha MT-10, kawasaki z900 , ktm duke 790 และที่เคยเป็นที่นิยมมากในประเทศไทยอย่าง เจ้า Honda CB400 หรือที่เรียกกันว่า Super Four นั้นละครับ โดยรถสไตล์ Naked bike ในสมัยนี้ไม่ใช่การนำเอารถSport bike มาถอดแฟริ่งออกแบบในยุคแรกๆ  และได้มีการผลิตไฟหน้า กับ แฟริ่งที่ถูกออกแบบมาเฉพาะรถสไตล์ Naked bike เพื่อปกปิดบางจุดของรถให้ได้เข้าถึงความโหดดิบที่มากกว่าเดิม

ข้อดีของรถNaked bike

ทั้งๆที่รถSport bikeมีแรงบิดเยอะกว่า ขับมันส์กว่า เร็วกว่า ทำไมคนถึงหันมาสนใจรถNaked bike? จุดที่คนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือข้อแตกต่างในเรื่องของท่านั่ง เพราะรถSport bikeนั้นจริงๆแล้วก็คือเวอร์ชั่นน้องๆของรถสนาม ที่เน้นให้คนขับหมอบลงไปใกล้ๆกับถังน้ำมัน แน่นอนว่าขับไปนานๆก็จะเกิดอาหารเมื่อย และล้า ต่างกับรถNaked bikeที่เวลาขับหลังจะตรงกว่าทำให้ไม่เมื่อยมาก เหมาะแก่การใช้ขับไปนู่นมานี่ในชีวิตประจำวันทั่วๆไป

อีกหนึ่งจุดที่บางคนอาจจะเพิ่งนึกออกเมื่อได้อ่านก็คือ ทัศนวิสัยในการขับขี่รถNaked bikeจะดีกว่ารถSport bikeมาก ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากท่านั่งหลังตรงนั่นเอง ทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสาวๆที่เดินผ่านไปผ่านมา

จุดด้อยของรถNaked bike

แน่นอนว่าทุกๆอย่างย่อมมีทั้งจุดดีจุดด้อย สำหรับรถNaked bikeแล้ว ถึงเราจะไม่เมื่อยมือหรือไหล่เหมือนอย่างรถSport bike แต่ก็อาจเมื่อยก้นได้ เพราะน้ำหนักทั้งตัวของเราทิ้งลงมาอยู่ที่ก้น และเบาะของรถNaked bikeก็ไม่ได้ออกแบบมาให้นั่งได้สบายๆเหมือนรถสายทัวร์ริ่ง และอีกอย่างนึงก็คือถ้าเจอลมแรงๆก็มีสิทธ์ตีเราหงายได้เหมือนกัน ส่วนแฮนด์บาร์นั้นจะกว้างกว่าคลิปออนแบบSport bike ทำให้เซาะแซะไปตามช่องเล็กๆยากกว่า

เป็นไงครับกับเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยเกี่ยวกับความเป็นมาของ เจ้า Naked bike ทั้งข้อดีข้อเสีย การออกแบบ และอะไหล่ที่ถูกดัดแปลงจนไม่ได้ด้อยไปกว่า Sport bike เลย ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ชื่นชอบความสบายในการขับขี่ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วย รถติดถนนแตก ก็สะดวกสบายตลอดการเดินทางแน่นอนครับ

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *