• เปิดตัว The new Kia Carnival HEV 7-seater ราคาเริ่มต้นที่ 2,499,000 บาท ฟรีการรับประกันคุณภาพ 7 ปี ฟรีค่าบำรุงรักษาตามระยะ 3 ปี และข้อเสนอพิเศษสำหรับเจ้าของรถยนต์เกียทุกรุ่น

    3 Min Read

    เปิดตัว The new Kia Carnival HEV 7-seater ราคาเริ่มต้นที่ 2,499,000 บาท ฟรีการรับประกันคุณภาพ 7 ปี ฟรีค่าบำรุงรักษาตามระยะ 3 ปี และข้อเสนอพิเศษสำหรับเจ้าของรถยนต์เกียทุกรุ่น

    เปิดตัว The new Kia Carnival HEV 7-seater เอ็มพีวีรุ่นเรือธงโฉมใหม่อย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายใต้คอนเซปต์ “Built for Every Move of Life” ยกระดับประสบการณ์การขับขี่รถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวยุคใหม่ เหนือชั้นยิ่งขึ้นด้วยสมรรถนะการขับขี่จากเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.6 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 54kW และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 367 นิวตันเมตร ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยดีไซน์ภายนอกโฉมใหม่ที่ผสานสไตล์ความเป็นรถ SUV และ MPV เข้าไว้ด้วยกัน และการออกแบบภายในที่ให้ความสปอร์ต
    แบบพรีเมียม และยกระดับการนั่งโดยสารให้เหนือระดับยิ่งขึ้น ด้วยฟังก์ชันใช้งานที่ครบครัน ตอบโจทย์ทุกบทบาทของชีวิตประจำวันและเคียงข้างช่วงเวลาสำคัญของทุกคนในครอบครัว สำหรับ The new Kia Carnival HEV 7-seater มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่

    The new Kia Carnival HEV 7-seat Luxury ราคา 2,699,000 บาท และ The new Kia Carnival HEV 7-seat Premium ราคา 2,499,000 บาท มาพร้อมการรับประกันคุณภาพนาน 7 ปี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ฟรี 24 ชม. 7 ปี ไม่จำกัดระยะทาง การรับประกันแบตเตอรีรถยนต์ (High-Voltage Battery) นาน 8 ปี และข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัว ฟรี ค่าบำรุงรักษาตามระยะ (ค่าแรง และค่าอะไหล่) ตลอด 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร พิเศษ! สำหรับเจ้าของรถยนต์เกียและครอบครัว (Kia Loyalty) รับสิทธิ์ฟรี! ค่าบำรุงรักษาตามระยะ (ค่าแรง และค่าอะไหล่) เพิ่มอีก 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร รวมเป็น 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 31 ตุลาคม 2568 โดย เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) พร้อมส่งมอบรถ และเปิดให้ทดลองขับ ณ โชว์รูมเกียทุกสาขาทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

    นายฌ็อง–ดาวิด คริสติญอง อาเรล รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า “The Kia Carnival ไม่ใช่แค่รถยนต์ธรรมดา แต่เป็นรถ MPV สำหรับครอบครัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และใน The new Kia Carnival HEV 7-seater เราได้สร้างสรรค์ยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเดียวกับครอบครัวที่ได้เป็นเจ้าของ แคมเปญเปิดตัว “Built for Every Move of Life” จึงสะท้อนถึงสิ่งที่ทำให้ The new Kia Carnival HEV 7-seater แตกต่างและมีความหมายยิ่งกว่าใคร ด้วยการเป็น MPV สำหรับครอบครัวที่ทำให้เจ้าของรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อใช้งาน ด้วยดีไซน์อันทรงพลังที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก SUV สู่การเป็นรถ MPV ที่ทำให้คุณสามารถสนุกกับการขับขี่ได้ทุกวัน ด้วยตำแหน่งการขับขี่ที่นั่งสบายแบบรถซีดาน ผสานกับขุมพลังไฮบริดที่ทั้งทรงพลัง ประหยัด
    และมอบประสบการณ์ขับขี่ที่นุ่มนวลเหนือระดับ ขณะเดียวกัน ยังเติมเต็มทุกช่วงเวลาแห่งครอบครัวด้วยฟีเจอร์ที่มอบความสะดวกสบายระดับพรีเมียม อาทิ ที่นั่งแบบ Relaxation Seat พร้อมระบบระบายอากาศ รวมถึงฟังก์ชันที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง อย่างเช่น

    ทางเดินที่เอื้อต่อการเข้า-ออกเบาะหลังได้สะดวกยิ่งขึ้น และเบาะที่สามารถพับเก็บราบได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยสูงสุดเมื่อต้องการ The new Kia Carnival HEV 7-seater ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ของไทย ทั้งครอบครัวที่มีลูก ครอบครัวขยายที่มีสมาชิก 5-7 คน หรือครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิก 3 เจเนอเรชันอาศัยอยู่ร่วมกัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานประจำวันในเมือง การเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุด หรือการขนสิ่งของสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ของครอบครัว จึงเรียกได้ว่า The new Kia Carnival HEV 7-seater เป็นรถอเนกประสงค์ที่สร้างมาเพื่อตอบทุกจังหวะของชีวิตครอบครัวอย่างแท้จริง”

    ดีไซน์ภายนอกและภายใน – ความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์ระดับพรีเมียมตอบทุกความต้องการของครอบครัว

    The new Kia Carnival HEV 7-seater จำหน่ายในประเทศไทย 2 รุ่นย่อย ได้แก่ The new Kia Carnival HEV 7-seat Luxury ราคา ราคา 2,699,000 บาท และ The new Kia Carnival HEV 7-seat Premium ราคา 2,499,000 บาท มาพร้อมกับดีไซน์ที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ให้มีความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สะท้อนทั้งความหรูหราและความแข็งแกร่ง ในสไตล์ SUV มาพร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ กระจังหน้าแบบ ‘Tiger nose’ โคมไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างแบบ LED ดีไซน์ ดวงไฟทรงลูกบาศก์ ชุดไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Star Map Lighting ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเกีย และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 19 นิ้ว นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแร็คหลังคาที่ไม่เพียงช่วยเสริมลุคความแข็งแกร่งแบบ SUV

    แต่ยังเป็นการเพิ่มความอเนกประสงค์ให้กับการใช้งานจริง (แร็คหลังคาสามารถรองรับน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 100  กิโลกรัม) ช่วยปลดล็อกขีดจำกัด ให้การเดินทางไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันของครอบครัวให้สะดวกสบายกว่าที่เคย The new Kia Carnival HEV 7-seater มาพร้อมประตูสไลด์ไฟฟ้า (Smart Power Sliding Door) และฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Power Tailgate) ที่ให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน ด้วยระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้ตัวรถโดยที่มีกุญแจ Smart Key อยู่ด้วย สำหรับในรุ่น The new Kia Carnival HEV 7-seat Luxury จะมี Dual Sunroof ที่ให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาช่วยเพิ่มความรู้สึกโปร่งสบายให้กับห้องโดยสาร สำหรับตัวเลือกสีภายนอกของ The new Kia Carnival HEV 7-seater มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาว Snowflake White Pearl สีเทา Meteor Grey สีดำ Jet Black และสีน้ำเงิน Astra Blue

     

    ห้องโดยสารของ The new Kia Carnival HEV 7-seater ได้รับการออกแบบให้กว้างขวางและร่วมสมัยด้วยดีไซน์ใหม่ ประกอบด้วย
    จอโค้งแบบพาโนรามิกที่ผสานรวมจอแสดงผลแบบคลัสเตอร์ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว เข้าไว้ด้วยกันแบบไร้รอยต่อ มีระบบเชื่อมต่อ Android Auto™ และ Apple CarPlay® แบบไร้สายและฟังก์ชันสั่งงานด้วยเสียง มีระบบปรับอากาศด้านหน้าแบบอัตโนมัติที่สามารถปรับอุณหภูมิได้แบบแยกอิสระทั้งโซนด้านหน้าฝั่งซ้าย-ขวา และโซนด้านหลัง นอกจากนี้

    ยังมีสวิตช์สำหรับสลับการควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์และระบบปรับอากาศที่ผสานการควบคุมทั้งระบบไว้บนอินเตอร์เฟซเดียวกัน เพียงแค่สัมผัสหนึ่งครั้งก็สามารถสลับการควบคุมไปมาระหว่างระบบอินโฟเทนเมนต์กับระบบปรับอากาศ ช่วยลดความซับซ้อนของเลย์เอาต์ในขณะที่ยังคงความสะดวกในการใช้งาน และภายในห้องโดยสารยังได้ติดตั้งพอร์ต USB-C มาตรฐาน รวม 6 พอร์ตกระจายทั้งสามแถวที่นั่ง ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถชาร์จอุปกรณ์ของตนได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะนั่งอยู่ตำแหน่งใดของตัวรถ

     

    ในรุ่น The new Kia Carnival HEV 7-seat Luxury ยังได้ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ ด้วยการติดตั้งลำโพง BOSE รอบคัน 12 จุด
    เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่รื่นรมย์ให้แก่ผู้โดยสารทุกคน ไฟเรืองแสง Ambient Light สามารถแต่งสีไฟให้เข้ากับทุกบรรยากาศพร้อมสีให้เลือกถึง 64 เฉดสีครอบคลุมบริเวณคอนโซลและประตู ช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในรถให้ดูหรูหรามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์อัจฉริยะครบครันเพื่อมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัย เช่น ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า (Head-up Display) ขนาด 11 นิ้ว ฉายข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญขึ้นบนหน้าจอกระจกหน้าในระดับสายของผู้ขับ และกระจกมองหลังแบบดิจิทัล ช่วยให้มองเห็นถนนด้านหลังได้อย่างชัดเจน แม้ว่ารถจะเต็มไปด้วยผู้โดยสารหรือสัมภาระขนาดใหญ่

     

    สำหรับเบาะที่นั่งของคนขับในรุ่น The new Kia Carnival HEV 7-seat Luxury ยังได้ติดตั้งระบบจดจำตำแหน่งเบาะนั่งและระบบ Welcome Seat สำหรับผู้ขับ เบาะนั่งคู่หน้าและเบาะนั่งแถวที่สองมาพร้อมระบบระบายอากาศและระบบอุ่นเบาะ สำหรับเบาะผู้โดยสารแถวสองเป็นแบบ Relaxation Seat ที่เปลี่ยนทุกการเดินทางให้เป็นความสะดวกสบายระดับเฟิร์สคลาสด้วยฟังก์ชัน ปรับเอนนอนที่สามารถปรับระดับได้เต็มรูปแบบ พร้อมเบาะรองขาแบบปรับไฟฟ้า มีโหมด One-touch Relaxation ที่สั่งงาน

    ด้วยการกดเพียงครั้งเดียวมอบความสบายให้กับผู้นั่งได้อย่างง่ายดาย สำหรับรุ่น The new Kia Carnival HEV 7-seat Premium เบาะนั่งแถวสองเป็นเบาะแบบ Captain Seats ที่สามารถถอดออกได้เพื่อเพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งาน และยังสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งให้เป็นแบบนั่งหันหน้าเข้าหากันได้ ให้สมาชิกในครอบครัวได้มีปฏิสัมพันธ์กันได้ตลอดทริป พร้อมกันนี้ The new Kia Carnival HEV 7-seater ทั้งสองรุ่นได้รับการปรับให้มีพื้นที่ทางเดิน (Walkthrough access) ที่เอื้อต่อการเข้า-ออกเบาะหลังได้สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับสมาชิกครอบครัวทุกคน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ด้วยจุดยึดสําหรับติดตั้งเบาะนั่งสําหรับเด็ก (ISOFIX) ที่มีให้ในตำแหน่งที่นั่ง 4 ตำแหน่งเป็นมาตรฐาน (2 จุดบนเบาะนั่งแถวสอง และอีก 2 จุดบนเบาะแถวสาม) ซึ่งช่วยให้สามารถติดตั้งเบาะนั่งสำหรับเด็กในตำแหน่งต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น เสริมความปลอดภัยและความสะดวกเพื่อตอบสนองความต้องการของครอบครัวได้ดีที่สุด

     

    The new Kia Carnival HEV 7-seater ยังคงโดดเด่นในเรื่องความกว้างขวางสำหรับทั้งผู้โดยสารและสัมภาระ รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเรียงที่นั่งผู้โดยสารที่มีความยืดหยุ่น โดยถือเป็นรถ MPV ที่รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ที่นั่ง พร้อมด้วยสัมภาระของทุกคนได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถคันเดียว เบาะนั่งแถวสามมาพร้อมฟังก์ชันพับราบ ที่เป็นการสร้างพื้นที่บรรทุกแบบเรียบที่รวดเร็วและไม่ต้องใช้แรง ปรับเปลี่ยนได้ทันทีระหว่างความต้องการในการขนย้ายคนและขนส่งสินค้า

    สมรรถนะและเทคโนโลยีการขับขี่ – เสริมความมั่นใจและความปลอดภัยในทุกเส้นทาง

    The new Kia Carnival HEV 7-seater ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.6 ลิตรเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 54kW และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 367 นิวตันเมตร ซึ่งไม่เพียงแต่ให้สมรรถนะที่ตอบสนองได้ดีและประหยัดน้ำมัน แต่ยังให้ประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบเป็นพิเศษ พร้อมความสามารถของโหมด EV Drive และสามารถใช้งานระบบปรับอากาศแม้เครื่องยนต์หยุดทำงาน The new Kia Carnival HEV 7-seater มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดเฉพาะรุ่นที่มุ่งยกระดับสมรรถนะและความประหยัดน้ำมัน ควบคู่กับการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและสบายยิ่งขึ้น ในโหมด Eco/Smart ผู้ขับสามารถใช้ Paddle Shift เพื่อปรับระดับการชะลอความเร็วของระบบ Regenerative Braking ได้ถึง 3 ระดับ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งคืนพลังงาน และการประหยัดเชื้อเพลิงในทุกการเดินทาง นอกจากนี้ ยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์เฉพาะของ The new Kia Carnival HEV 7-seater อาทิ

    • E-Handling ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมการตอบสนองของรถเมื่อเข้าและออกจากโค้ง
    • E-Ride ช่วยลดแรงสะเทือน และมอบความนุ่มนวลในการขับขี่เมื่อต้องผ่านพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ
    • E-Evasive Handling Assist ออกแบบมาเพื่อช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของรถในสถานการณ์ที่ต้องหักหลบกะทันหัน

     

    และเมื่อผู้ขับต้องการการตอบสนองที่เฉียบคมและการขับขี่ที่เร้าใจกว่าเดิม โหมด Sport มอบอิสระในการควบคุมผ่าน Paddle Shift
    ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ด้วยความสูงจากพื้น 172 มิลลิเมตร ทำให้ The new Kia Carnival HEV 7-seater มีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่เหนือระดับพร้อมศักยภาพการขับขี่ในแบบรถ SUV ในการรับมือกับถนนขรุขระ ลูกระนาด หรือพื้นผิวที่ไม่เรียบได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งยังมีความคล่องตัวและง่ายต่อการควบคุมไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง ทำให้ The new Kia Carnival HEV 7-seater เป็นรถ MPV ระดับพรีเมียมที่ผสานความนุ่มสบายเข้ากับความมั่นใจในสไตล์ SUV ได้อย่างลงตัว

     

    การจอดรถกับ The new Kia Carnival HEV 7-seater เป็นเรื่องง่ายและไร้กังวล ด้วยเทคโนโลยี Parking Aid Assist ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจตลอดการใช้งานด้วยกล้องมองรอบทิศทาง (Surround View Monitor) ที่ให้มุมมองเสมือนมองจากมุมสูง ทำให้ผู้ขับ
    เห็นทุกมุมอย่างชัดเจนเมื่อต้องเข้าจอดในพื้นที่แคบ ขณะที่เซนเซอร์รอบคันด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ช่วยให้ประเมินระยะห่างได้อย่างแม่นยำและหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางรอบตัวรถได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ ยังมีระบบป้องกันการชนด้านหลังขณะถอยจอด
    (Rear Parking Collision-Avoidance Assist) ที่จะส่งสัญญาณเตือนและสั่งเบรกอัตโนมัติทันทีหากตรวจพบสิ่งกีดขวางด้านหลัง
    ขณะถอยหลัง คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้การจอดรถไร้ความกังวล และเปลี่ยนทุกพื้นที่ให้กลายเป็นที่จอดที่ลงตัว นอกจากนี้ The new Kia Carnival HEV 7-seater ยังมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS – Advanced Driver-Assistance Systems)
    ที่ช่วยยกระดับความมั่นใจและความปลอดภัยในทุกการเดินทาง อาทิ:

    • Smart Cruise Control with Stop & Go
    • High Beam Assist
    • Forward Collision Avoidance Assist
    • Blind Spot Collision Avoidance Assist (BCA)
    • Blind-Spot View Monitor (BVM)
    • Rear Cross Traffic Collision Avoidance Assist (RCCA)
    • Lane Following Assist and Lane Keeping Assist
    • Safe Exit Assist

     

    พร้อมกันนี้ The new Kia Carnival HEV 7-seater ยังได้ติดตั้งถุงลมนิรภัยมาตรฐาน 8 ตำแหน่ง ครอบคลุมทุกด้าน ประกอบด้วย
    ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ถุงลมม่านด้านข้าง ถุงลมนิรภัยปกป้องเข่าผู้ขับ และถุงลมนิรภัยกลางระหว่างเบาะผู้ขับ
    และผู้โดยสารด้านหน้า (Front Center Airbag) ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ทั้งหมดนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บของผู้โดยสาร
    ทุกตำแหน่ง พร้อมทั้งเพิ่มความสบายใจให้กับทุกคนในครอบครัว เพื่อความมั่นใจกับผู้โดยสารในทุกเส้นทาง

     

    สำหรับผู้ที่สนใจ The new Kia Carnival HEV 7-seater สามารถทดลองขับ และสอบถามข้อเสนอพิเศษได้ที่โชว์รูมเกียใกล้บ้านท่าน
    หรือเยี่ยมชม https://www.kia.com

     

    โปรโมชันพิเศษช่วงเปิดตัวสำหรับ The new Kia Carnival HEV 7-seater ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568 ถึง 31 ตุลาคม 2568

    • อัตราดอกเบี้ยพิเศษ (ต้นงวด) 77% พร้อมดาวน์ 25% สำหรับระยะเวลาผ่อนชำระ 48 เดือน [1]
    • ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. เป็นระยะเวลา 1 ปี [2]
    • ฟรี ค่าบำรุงรักษาตามระยะ (ค่าแรง และค่าอะไหล่) ตลอด 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร [3]
    • พิเศษ! สำหรับเจ้าของรถยนต์ Kia และครอบครัว (Kia Loyalty) ฟรี ค่าบำรุงรักษาตามระยะ (ค่าแรงและค่าอะไหล่) เพิ่มเติม 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร (รวมเป็น 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร) [4]
    • ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 7 ปี ไม่จำกัดระยะทาง [5]
    • การรับประกันคุณภาพตัวรถ 7 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร [6]
    • การรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์ (High-Voltage Battery) 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร [7]

     

    หมายเหตุ:

    [1] อัตราดอกเบี้ยพิเศษ (ต้นงวด) 1.77% พร้อมดาวน์ 25% สำหรับระยะเวลาผ่อนชำระ 48 เดือน เฉพาะการจัดเช่าซื้อกับธนาคารที่เข้าร่วมรายการ ได้แก่ บริษัท กสิกรลีสซิ่ง จํากัด, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร และธนาคารทหารไทยธนชาต

    [2] ประกันภัยชั้น 1 และ ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจำกัดเฉพาะ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)

    [3] เงื่อนไข ค่าบำรุงรักษาตามระยะ (ค่าแรง และค่าอะไหล่) ตลอด 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน (ตามเงื่อนไขการรับประกันของฝ่ายบริการหลังการขาย)

    [4] โดยชื่อเจ้าของรถคันเดิมและชื่อเจ้าของรถคันใหม่จะต้องเป็นชื่อเดียวกัน สามารถให้สิทธิ์แคมเปญกับบุคคลในครอบครัวเดียวกันได้ (บิดา มารดา พี่น้อง สามี ภรรยา และบุตร) ใช้สิทธิ์เพียงแสดงเอกสารยืนยันได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาเล่มทะเบียนรถ หรือแสดงเอกสารยืนยันความสัมพันธ์ (กรณีชื่อเจ้าของรถคันเดิมและคันใหม่ไม่ตรงกัน) ประกอบการใช้สิทธิ์ที่โชว์รูมเกียทั่วประเทศ

    [5] เงื่อนไขการบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ฟรี 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 7 ปี (ตามเงื่อนไขของฝ่ายบริการหลังการขาย)

    [6] เงื่อนไขการรับประกันคุณภาพตัวรถ 7 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน (ตามเงื่อนไขการรับประกันของฝ่ายบริการหลังการขาย)

    [7] เงื่อนไขการรับประกันแบตเตอรี่รถยนต์ (High-Voltage Battery) 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน (ตามเงื่อนไขการรับประกันของฝ่ายบริการหลังการขาย)

    [8] สิทธิประโยชน์ข้อ [2], [3] และ [5] มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 85,000 บาท ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้

     

    • ข้อกำหนดและเงื่อนไขอาจมีการเปลี่ยนแปลงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบริษัทฯ
    • สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568 ถึง 31 ตุลาคม 2568
    • โปรโมชันสำหรับการซื้อผ่านผู้จำหน่าย Kia อย่างเป็นทางการทั่วประเทศไทย
    • ไม่รวมรถแท็กซี่, รถเช่า, รถที่ขายภายใต้เงื่อนไขพิเศษ, และลูกค้ารถเช่า
    • ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงจะทำการแจ้งผ่านช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ของบริษัทฯ
    • สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อผู้จำหน่าย Kia ใกล้ท่าน หรือ เยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.kia.com/th

    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ปอร์เช่ ประเทศไทย ชวนสัมผัสจิตวิญญาณแห่งมอเตอร์สปอร์ตในงาน Raceborn Openhouse & Family Days พร้อมข้อเสนอครั้งใหญ่แห่งปี

    1 Min Read

    ปอร์เช่ ประเทศไทย ชวนสัมผัสจิตวิญญาณแห่งมอเตอร์สปอร์ตในงาน Raceborn Openhouse & Family Days พร้อมข้อเสนอครั้งใหญ่แห่งปี

    เตรียมพบกับงาน Raceborn Open House & Family Days ซึ่งจัดขึ้นโดยปอร์เช่ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 18 – 19 ตุลาคม 2568 ณ โชว์รูมปอร์เช่อย่างเป็นทางการพร้อมกันทุกแห่ง เตรียมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่ผู้ชื่นชอบและผู้ที่สนใจในยนตรกรรมปอร์เช่ ภายในงานจะได้พบกับ การจัดแสดงยนตรกรรมสปอร์ตหลากหลายรุ่นในลวดลายรถแข่งในตำนาน และสำหรับผู้ที่เข้าร่วมการทดลองขับภายในงานจะได้ทดลองขับร่วมกับนักแข่งมืออาชีพและผู้เชี่ยวชาญด้านการขับขี่ที่ได้รับการรับรองจากปอร์เช่ นอกจากนี้ผู้ที่จองและรับรถในช่วงเวลาที่กำหนดจะได้ลุ้นรับแพ็คเกจร่วมขับรถสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ณ Porsche Experience Centre กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น* และรับข้อเสนอพิเศษแห่งปีสำหรับรุ่นมาคันน์, ไทคานน์, คาเยนน์ และพานาเมรา รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 1 ล้านบาท สำหรับผู้ที่จองและรับมอบรถยนต์ภายใน 31 ตุลาคม 2568 เท่านั้น*

     

    กรุงเทพฯ. ปอร์เช่ ประเทศไทย ขอเชิญร่วมสัมผัสประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตสุดพิเศษที่งาน Raceborn Open House & Family Days ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 19 ตุลาคมนี้ ที่โชว์รูมและศูนย์บริการปอร์เช่อย่างเป็นทางการทุกสาขา เพื่อเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต และจิตวิญญาณรถแข่งของปอร์เช่อย่างแท้จริง โดยโชว์รูมปอร์เช่จะได้รับการเปลี่ยนโฉมเป็นธีม Raceborn พร้อมสร้างบรรยากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสนามแข่ง ผู้เข้าร่วมงานจะสามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมให้ความรู้และเทคนิคการขับขี่จากนักแข่งรถและผู้ฝึกสอนที่ได้รับการรับรองจากปอร์เช่ รวมถึงชมการจัดแสดงรถยนต์ปอร์เช่ในลวดลายรถแข่งอันเป็นตำนาน พร้อมด้วยกิจกรรมอื่นๆ เพื่อสร้างความเพลิดเพลินสำหรับทุกเพศทุกวัย

     

    เรียนรู้เทคนิคการขับขี่ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ

    ในงาน Raceborn Open House & Family Days ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสสมรรถนะอันเหนือระดับของปอร์เช่ ร่วมกับนักแข่งมืออาชีพหรือผู้ฝึกสอนที่ได้รับการรับรองจากปอร์เช่ ที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์ เทคนิคการขับขี่ และเคล็ดลับที่มากกว่าการขับขี่โดยทั่วไป พร้อมเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสถึงความแม่นยำ การควบคุม และความเร้าใจของยนตรกรรมปอร์เช่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและการดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อถ่ายทอดตำนานแห่งมอเตอร์สปอร์ตของปอร์เช่สู่ท้องถนน

     

    เผยจิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ตของปอร์เช่ในทุกโมเดล

    เพื่อเฉลิมฉลองจิตวิญญาณของมอเตอร์สปอร์ต ภายในงาน Raceborn Open House & Family Days ยังมีการจัดแสดงรถยนต์ปอร์เช่ในลวดลายรถแข่งที่เป็นตำนาน สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และความสำเร็จบนสนามแข่งของปอร์เช่ โดยในรุ่น 911 จะปรากฏในลวดลาย Mobil 1 GT1 อันโด่งดังที่คว้าชัยชนะจากเลอมังส์ในปี 1998 ส่วนยนตรกรรมสปอร์ตไฟฟ้า มาคันน์ มาในดีไซน์ Salzburg เพื่อเป็นการยกย่องถึงทีม Porsche Salzburg ในตำนาน และไทคานน์ ปรากฎโฉมในลวดลาย 99X Formula E สีม่วงสุดโดดเด่น ลวดลายทั้งหมดที่นำมาจัดแสดง ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อการเฉลิมฉลองตำนานมอเตอร์สปอร์ต แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของรถแข่งในรถยนต์ของปอร์เช่ในทุก ๆ โมเดล

     

    สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า

    สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน ถึง 31 ธันวาคม 2568 จะได้รับสิทธิ์ลุ้นร่วมเดินทางสู่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมกิจกรรมขับรถสุดเร้าใจที่ Porsche Experience Centre Tokyo ทั้งหมดสามรางวัล รางวัลละหนึ่งคู่ รวมมูลค่าสูงสุด 500,000 บาท* โดยผู้ที่ได้รับรางวัลจะได้เข้าร่วมกิจกรรมการขับรถปอร์เช่ในสนามแข่งแบบส่วนตัวกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้ปรับปรุงเทคนิคและขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมรถในสถานการณ์ต่าง ๆ การขับขี่ในสนามแข่ง การควบคุมรถขณะเข้าโค้ง และอื่น ๆ โดยจะมีการจับรางวัลทั้งหมด 3 รอบ รอบละ 1 คู่โดยจับฉลากและประกาศผลรอบแรกในเดือนพฤศจิกายน รอบที่สองในเดือนธันวาคมและรอบที่สามในเดือนมกราคม

     

    ข้อเสนอพิเศษสำหรับ 4 รุ่น

    ข้อเสนอพิเศษแห่งปีสำหรับผู้ที่จองและรับรถในรุ่น ไทคานน์ (J1 II), มาคันน์ (H2), พานาเมร่า (G3), และ คาเยนน์ (E3 II) ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2568* ปอร์เช่ ประเทศไทย มอบข้อเสนอพิเศษมูลค่ารวมสูงสุดกว่า 1 ล้านบาท* ที่ตัวแทนจำหน่ายปอร์เช่อย่างเป็นทางการทุกสาขาเท่านั้น

     

    สำหรับรุ่นไทคานน์:

    รับข้อเสนอพิเศษมูลค่ารวมสูงสุดถึง 1,000,000 บาท* ประกอบด้วย:

    • ล้อ TEQ ขนาด 21 นิ้ว ลาย RS Spyder Design
    • ฟิล์มกรองแสง Midas หรือ Avery Dennison
    • อุปกรณ์ชาร์จ Porsche Mobile Charger Connect
    • ประกันภัยชั้น 1 นาน 2 ปี
    • ประกันคุณภาพรถยนต์ Porsche Approved Warranty เพิ่ม 2 ปี

     

    สำหรับรุ่นมาคันน์:

    รับข้อเสนอพิเศษมูลค่ารวมสูงสุดถึง 600,000 บาท* ประกอบด้วย:

    • ล้อ TEQ ขนาด 22 นิ้ว ลาย RS Spyder Design
    • ฟิล์มกรองแสง Midas หรือ Avery Dennison
    • อุปกรณ์ชาร์จ Porsche Mobile Charger Connect
    • ประกันคุณภาพรถยนต์ Porsche Approved Warranty เพิ่ม 2 ปี

     

    สำหรับรุ่นพานาเมรา:

    รับข้อเสนอพิเศษมูลค่ารวมสูงสุดถึง 280,000 บาท* ประกอบด้วย:

    • ฟิล์มกรองแสง Midas หรือ Avery Dennison
    • อุปกรณ์ชาร์จ Porsche Mobile Charger Connect
    • ประกันคุณภาพรถยนต์ Porsche Approved Warranty เพิ่ม 2 ปี

     

    สำหรับรุ่นคาเยนน์ (รุ่น E3 II ก่อนปรับโฉม):

    รับข้อเสนอพิเศษมูลค่ารวมสูงสุดถึง 220,000 บาท* ประกอบด้วย:

    • ฟิล์มกรองแสง Midas หรือ Avery Dennison
    • ประกันคุณภาพรถยนต์ Porsche Approved Warranty เพิ่ม 2 ปี

     

    *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • “ก้อง-สมเกียรติ” ยังมุ่งมั่นเต็มที่ในศึก โมโตจีพี พร้อมลุยต่อที่อินโดฯ หวังซิวแต้มสนามแห่งความทรงจำ

    1 Min Read

    “ก้อง-สมเกียรติ” ยังมุ่งมั่นเต็มที่ในศึก โมโตจีพี พร้อมลุยต่อที่อินโดฯ หวังซิวแต้มสนามแห่งความทรงจำ

    “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา หมายเลข 35 สังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ ตั้งใจมุ่งมั่น พร้อมลุยศึก โมโตจีพี 2025 สนาม 18 อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ สุดสัปดาห์นี้ หวังเก็บแต้มที่ เปอร์ตามิน่า มันดาลิกา อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศอินโดนีเซีย สนามที่เคยคว้าชัยชนะมาครองในรุ่น โมโตทู

    ศึก อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ เตรียมระเบิดความมันส์ระหว่างวันที่ 3-5 ตุลาคมนี้ ซึ่งจัดขึ้นในโซนเอเชียและได้รับความสนใจจากแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวเอเชียอย่างมาก มันดาลิกาถือเป็นอีกหนึ่งในสนามที่ “ก้อง-สมเกียรติ” มีความทรงจำที่ดี โดยเจ้าตัวกล่าวว่า “สุดสัปดาห์นี้เราจะไปแข่งกันที่ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามที่ผมเคยทำได้ดีใน โมโตทู อยากให้ทุกคนตามเชียร์ ผมจะเต็มที่กับสนามที่เหลือในปีนี้ ฝากแฟนๆ ชาวไทยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ”

     

    ทั้งนี้ศึก อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ จะเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมในวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคมนี้ ก่อนจะจับเวลารอบควอลิฟายและ “สปรินต์เรซ” ในวันเสาร์ที่ 4 ตุลาคมนี้ โดยจะดวลความเร็วรอบ “เมนเรซ” ในวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคมนี้ เวลา 14.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ถ่ายทอดสดทาง True Visions SPOTV

     

    แฟนมอเตอร์สปอร์ตส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ : https://facebook.com/HondaRacingTeamTH

     

    #HondaRacingThailand #RaceToTheDream #MotoGP #HondaBigBike #HondaRC213V #IdemitsuHondaLCR #SC35 #Kong #IndonesianGP


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • โรยัล เอ็นฟีลด์ เปิดตำนานบทใหม่ครั้งแรกในไทย! Royal Enfield Classic 650

    1 Min Read

    โรยัล เอ็นฟีลด์ เปิดตำนานบทใหม่ครั้งแรกในไทย! Royal Enfield Classic 650

    Royal Enfield (โรยัล เอ็นฟีลด์) ผู้นำระดับโลกในตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250cc–750cc) ประกาศเปิดตัว Royal Enfield Classic 650 อย่างเป็นทางการในประเทศไทย มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ที่ถ่ายทอด DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล Classic ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ Royal Enfield 650 Twin ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ในโชว์รูมทั่วประเทศ ราคาเริ่มต้นที่ 249,900 บาท

     

    ตลอดทุกยุคสมัย ‘Classic’ ยังคงเป็นตัวแทนและตอกย้ำ DNA แห่ง Royal Enfield นอกจากจะเป็นรากฐานสำคัญของ หลายโมเดลแล้ว Classic ยังเป็นมอเตอร์ไซค์ที่สะท้อนความสง่างามเหนือกาลเวลา เสน่ห์แบบดั้งเดิม และคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ที่มาพร้อมงานประกอบที่ประณีตในทุกรายละเอียด ทำให้ Classic กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมการออกแบบยานยนต์คลาสสิก ทั้งในด้านสุนทรียะและวิศวกรรม Classic 650 ใหม่ ถ่ายทอดจิตวิญญาณของตระกูล Classic ได้อย่างเด่นชัด แต่ยกระดับขึ้นอีกขั้นด้วยขุมพลัง 650 Twin อันเลื่องชื่อของ Royal Enfield ที่มอบทั้งความนุ่มนวลและพละกำลังในการขับขี่ที่เร้าใจ ตัวรถมีเส้นสายที่สง่างามและคลาสสิก ขี่ง่าย แต่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของตระกูล Classic ไว้อย่างครบถ้วน Classic 650 มอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความงามแบบ
    วินเทจ ดูทรงพลังและสง่างาม

     

    นายมาโนช กาจาร์ลาวาร์ หัวหน้าธุรกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของโรยัล เอ็นฟีลด์ กล่าวว่า “ตลอดเวลาที่โรยัล เอ็นฟีลด์ ทำการตลาดในประเทศไทย รุ่น Classic คือมอเตอร์ไซค์ที่ครองใจนักขับขี่มาโดยตลอด ไม่เพียงสร้างรากฐานให้แบรนด์ แต่ยังปลูกฝังปรัชญา Pure Motorcycling ให้หยั่งรากลึกในสังคมนักขี่ Classic คือสัญลักษณ์ที่ทำให้เรายืนหยัดบน DNA ความเป็นโรยัล เอ็นฟีลด์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง และวันนี้ Classic 650 ก็คือการสานต่อจิตวิญญาณนั้นให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมบนแพลตฟอร์ม 650 Twin ระดับโลก เรารักษาทุกอย่างที่เป็นตัวตนของ Classic ตั้งแต่สไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ งานดีไซน์ที่เหนือกาลเวลาไปจนถึงความสง่างามบนท้องถนน ผสานกับงานประกอบที่ประณีตและเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นอย่างลงตัว เรามั่นใจว่ามอเตอร์ไซค์รุ่นนี้จะเข้าถึงหัวใจนักขับขี่ชาวไทย และยิ่งเติมเต็มความผูกพันที่มีต่อแบรนด์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

    เสน่ห์ที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า (Double the charm)

    ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Classic คือรากฐานสำคัญของหลายโมเดลจากโรยัล เอ็นฟีลด์ โดยถ่ายทอดทั้งมรดกและแรงบันดาลใจที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การออกแบบของแบรนด์ไว้ครบถ้วน Classic 650 สานต่อดีเอ็นเอนี้อย่างชัดเจน ด้วยโครงสร้างเฟรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับรุ่นในอดีต ตั้งแต่ OG Classic, Thunderbird ไปจนถึง Super Meteor และ Shotgun รุ่นล่าสุด แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะ Classic 650 ก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยเสน่ห์และคาแรกเตอร์ที่เหนือชั้นกว่าเดิม

     

    สมรรถนะที่ยกระดับขึ้นอีกขั้น (Double the capability)

    หัวใจสำคัญของ Classic 650 คือเครื่องยนต์ 648 ซีซี parallel twin ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ปรับจูนใหม่เพื่อการตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น ให้แรงบิดจัดตั้งแต่รอบต่ำ คันเร่งตอบสนองไว และยังคงสไตล์การขี่ที่สง่างามและเป็นเอกลักษณ์แบบ Classic ระบบเกียร์ที่ปรับจูนมาอย่างประณีต เปลี่ยนเกียร์ได้ลื่นไม่มีสะดุด แชสซีบาลานซ์ลงตัว ช่วยให้มั่นใจแม้บนเส้นทางที่ไม่เรียบ เครื่องยนต์ 650 Twin ที่ขึ้นชื่อเรื่องแรงบิดรอบต่ำ ทำให้การเร่งแซงทำได้มั่นใจ เติมพลังต่อเนื่องแบบไม่ต้องเค้นหนัก แต่ยังให้ความเร้าใจ ทุกครั้งที่บิด

     

    คาแรกเตอร์ที่เข้มข้นกว่าเดิม (Double the character)

    แม้ Classic 650 จะสืบทอดสายเลือดเดียวกับตระกูล Classic แต่ตัวรถถูกออกแบบใหม่ให้มีความทันสมัยและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ รุ่นนี้ใช้เส้นสายและสัดส่วนตัวรถที่ออกแบบให้รับกับเครื่องยนต์ Twin ที่วางทำมุมเฉียงไปข้างหน้า ทำให้ได้บุคลิกทรงพลังและมีท่าทางที่ดูดุดันขึ้น มาพร้อมบังโคลนสั้นทรงคลาสสิค ยางหน้าหลังไซส์ใหญ่ที่ขึ้นช่วยเสริมสมรรถนะ รวมถึงสัดส่วนตัวรถที่บึกบึนกว่าเดิม สอดรับกับเครื่องยนต์ความจุ 650 ซีซี ได้อย่างลงตัว

    Classic 650 ใหม่ ใช้เฟรมหลักร่วมกับ Super Meteor และ Shotgun 650 มาพร้อมเบาะคู่แบบ Dual Seat ที่สามารถถอดเบาะซ้อนท้ายและแร็กออกได้เพื่อเพิ่มรูปลักษณ์ที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น งานดีไซน์ยังคงกลิ่นอายสไตล์อังกฤษยุคหลังสงคราม ด้วยรายละเอียดโครเมียมและอะลูมิเนียมขัดเงาบริเวณโคมไฟหน้าและชุดไฟเลี้ยวด้านหน้า ตัวรถเน้นเส้นสายที่ไหลลื่นตั้งแต่หัวจรดท้าย มาพร้อมถังน้ำมันทรงหยดน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ และชุดฟแบบ ‘nacelle’ ที่ติดตั้งไฟหน้า LED ใหม่ ควบคู่กับไฟ ‘Tiger Lamps’ หรือไฟหรี่คู่ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของ Royal Enfield มาตั้งแต่ปี 1954

    ท่านั่งในการขับขี่ที่ถูกออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ แฮนด์บาร์วางตำแหน่งได้พอดี จับถนัด และเบาะกว้างนุ่มสบาย ช่วยให้
    ผู้ขับขี่ผ่อนคลายตลอดการเดินทางไกล ช่วงล่างหน้า–หลังจาก Showa ถูกปรับเซ็ตมาอย่างละเอียด ซับแรงสะเทือนบนถนนได้อย่างนุ่มนวล พร้อมมอบความมั่นใจทั้งในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว และบนทางไกลที่ต้องการความมั่นคง

    แผงหน้าปัดออกแบบเรียบง่ายไม่รกสายตา มาพร้อมหน้าจอ LCD ดิจิทัล แสดงข้อมูลครบทั้งมาตรวัดระยะทาง ทริปมิเตอร์ ระดับน้ำมัน เตือนการเข้ารับบริการ ตำแหน่งเกียร์ และนาฬิกา ช่วยให้ผู้ขี่โฟกัสและเพลิดเพลินกับการเดินทางได้เต็มที่ นอกจากนี้ยังมี ชุดอุปกรณ์ตกแต่งแท้ (Genuine Motorcycle Accessories) ให้เลือกทั้งสไตล์ Classic และ Classic Tourer เพื่อการปรับแต่งรถให้ตรงกับสไตล์ของผู้ขี่มากยิ่งขึ้น Classic 650 คือการผสมผสานเสน่ห์เหนือกาลเวลาของมอเตอร์ไซค์เข้ากับความแม่นยำและความสะดวกสบายของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว

    สีสันคลาสสิกกับเส้นสายเหนือกาลเวลา (Classic colours for classic contours)

    Royal Enfield Classic 650 มาพร้อมเฉดสีที่หวนรำลึกถึง Classic 500 อันเป็นที่รักของชาวคลาสสิค เลิฟเวอร์ พร้อมเพิ่มสีใหม่ ได้แก่ Bruntingthorpe Blue, Vallam Red และ Black Chrome ซึ่งแต่ละสีช่วยขับเส้นสายตัวถังที่โค้งสวยสง่างามให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ราคาจำหน่ายเริ่มต้น Bruntingthorpe Blue และ Vallam Red ที่ 249,900 บาท ส่วน Black Chrome อยู่ที่ 259,900 บาท มาพร้อมการรับประกัน 3 ปีแบบไม่จำกัดระยะทาง


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • “ฮอนด้า” ผงาดกวาดบัลลังก์ AMA SMX 2025 “เจ็ตต์ ลอว์เรนซ์” ควงคู่ “โจ ชิโมดะ” คว้าสองรุ่นท็อป

    1 Min Read

    “ฮอนด้า” ผงาดกวาดบัลลังก์ AMA SMX 2025 “เจ็ตต์ ลอว์เรนซ์” ควงคู่ “โจ ชิโมดะ” คว้าสองรุ่นท็อป

    “ฮอนด้า” ประกาศความยิ่งใหญ่สุดเหนือชั้นในการแข่งขันรอบไฟนอล ศึกซูเปอร์โมโตครอสชิงแชมป์โลก 2025 ในโปรแกรมสนาม 3 AMA Super Motocross (AMA SMX 2025) ที่ลาสเวกัส มอเตอร์ สปีดเวย์ โดยนักแข่งฮอนด้าคว้าชัยชนะพร้อมเหมาแชมป์โลก 2 รุ่นท็อป จากผลงานของ “เจ็ตต์ ลอว์เรนซ์” หมายเลข 1 กับรถแข่ง Honda CRF450R ในคลาส 450SMX และ “โจ ชิโมดะ” หมายเลข 30 นักบิดชาวญี่ปุ่น กับรถแข่ง Honda CRF250R ในคลาส 250SMX

    เรซที่ 1 เป็นการดวลของนักบิดฮอนด้าจากทีม Honda HRC Progressive โดย “ฮันเตอร์ ลอว์เรนซ์” หมายเลข 96 แม้มีอาการป่วยจากไข้หวัด แต่สามารถออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยรถแข่ง Honda CRF450R คว้าโฮลช็อตตั้งแต่โค้งแรก ก่อนจะเสียตำแหน่งผู้นำไปในช่วงต้นเกม แต่สามารถทวงกลับคืนมาได้สำเร็จ ด้าน “เจ็ตต์ ลอว์เรนซ์” ออกตัวจากอันดับ 4 ไล่ขึ้นมาจนสามารถแซง “ฮันเตอร์ ลอว์เรนซ์” ขึ้นนำได้ในช่วงกลางเรซ จากนั้นควบคุมสถานการณ์จนเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 คว้าชัยชนะไปครอง ขณะที่ “ฮันเตอร์ ลอว์เรนซ์” ตามเข้ามาในอันดับ 3

    การแข่งขันเรซที่ 2 แม้ “ฮันเตอร์ ลอว์เรนซ์” จะออกสตาร์ทได้ไม่ดีนัก แต่สามารถเร่งเครื่อง Honda CRF450R แซงขึ้นมาเป็นผู้นำตั้งแต่ช่วงต้นเรซ พร้อมคุมเกมได้อย่างมั่นคง ขณะที่ “เจ็ตต์ ลอว์เรนซ์” ต้องเจอศึกหนักเมื่ออันดับหล่นไปอยู่กลางกลุ่ม ก่อนจะพยายามไล่แซงคู่แข่งอย่างต่อเนื่องเพื่อทวงคืนตำแหน่ง จบการแข่งขัน “ฮันเตอร์ ลอว์เรนซ์” คว้าชัยชนะ ขณะที่ “เจ็ตต์ ลอว์เรนซ์” ไล่มาได้ถึงอันดับ 2

    ในการแข่งขันคลาส 250SMX ด้วยผลงานของ “โจ ชิโมดะ” ด้วยตัวแข่ง Honda CRF250R เก็บชัยชนะในเรซที่ 1 และโพเดียมอันดับที่ 2 ในเรซที่สอง บวกคะแนนสะสมผงาดคว้าแชมป์โลกในคลาส 250SMX ไปครองได้สำเร็จ ตอกย้ำความแข็งแกร่งของฮอนด้าในสังเวียนทางฝุ่นและสุดยอดตัวแข่งจาก CRF Series

    ผลการแข่งขันสนามสุดท้าย ส่งฮอนด้าขึ้นครองบัลลังก์แชมป์โลกประจำซีซั่นนี้ด้วยความยอดเยี่ยมของสมรรถนะรถแข่ง  Honda CRF450R และผลงานยอดเยี่ยมของนักบิดชาวออสเตรเลีย เจ็ตต์ ลอว์เรนซ์ โดยมีทีมเมท ฮันเตอร์ ลอว์เรนซ์ ตามมาติด ๆ เป็นอันดับที่ 2 ในตารางแชมเปียนชิพซึ่งตอกย้ำความยอดเยี่ยมของฮอนด้าด้วยการเหมาอันดับที่ 1 – 2 ในซีซั่นนี้

     

    #AMASMX #Honda #HondaMotorcycle #HRC #TeamHondaHRC #CRF450R #CRF250R


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Toyota… แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นที่ครองใจคนทั่วโลก

    3 Min Read

    ย้อนรอยประวัติศาสตร์ Toyota… แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นที่ครองใจคนทั่วโลก

    เราทุกคนคงจะรู้จัก Toyota กันเป็นอย่างดี หลายๆ คนใช้รถแบรนด์นี้กันอยู่ แต่เรื่องราวเบื้องหลังนั้นหลายๆ คนอาจจะลืมไปแล้วว่ามีจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอุตสาหกรรมยานยนต์เลย สกู๊ตนี้จะเล่าย้อนประวัติศาสตร์ว่า กว่าจะมีวันนี้ได้ Toyota เคยผ่านอะไรมาบ้าง

    เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 1920 นาย Kiichiro Toyoda ที่มีความสนใจในหลักการทำงานของเครื่องทอผ้า จากการที่ นาย Sakichi Toyoda พ่อของ Kiichiro เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตสิ่งทอ Toyoda Boshoku เขาเรียนจบภาควิชาวิศวะเครื่องกล มหาวิทยาลัยโตเกียว โดยตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล” และเรียนต่อในคณะนิติศาสตร์อีกประมาณ 7 เดือน Kiichiro ก็เดินทางกลับมาทำงานในบริษัทของพ่อ ที่เมือง Nagoya

    ต่อมาปี 1921 Kiichiro เดินทางไปศึกษาดูงานอุตสาหกรรมทอผ้าทั้งในยุโรป และอเมริกา แต่สิ่งที่เขาเห็นแล้วต้องเหวอ ก็คือถนนหนทางในเมืองนอก มีแต่รถยนต์เต็มไปหมด ทำให้คิดขึ้นมาว่ายุคสมัยของรถยนต์จะต้องมาถึงญี่ปุ่นในสักวันนึง

    การเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ ในญี่ปุ่นสมัยก่อนนั้นส่วนใหญ่จะเดินทางด้วยรถไฟ จนกระทั่งในปี 1923 ก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.9 ริกเตอร์ขึ้นในเขตภูมิภาค Kanto ขึ้น ทำให้ทางรถไฟหลายสายพังเสียหาย รัฐบาลญี่ปุ่นจึงต้องสั่งซื้อโครงรถกระบะจาก Ford มาทำเป็นรถโดยสารชั่วคราวในชื่อ Ford TT Entarou-Bus ที่นั่งก็จะคล้ายกับรถสองแถว และทำให้แนวคิดของ Henry Ford ว่ารถยนต์ต้องเป็นอะไรที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ใครๆ ก็ซื้อได้ ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย หรู แพง เริ่มมีอิทธิพลมาถึงญี่ปุ่นในที่สุด

    ในปี 1924 Sakichi Toyoda ผู้เป็นพ่อในวัย 57 ปี ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องทอผ้าอัตโนมัติขึ้นมาในชื่อว่า Toyoda Model G ความพิเศษของเครื่องทอผ้าตัวนี้ คือสามารถหยุดการทำงานด้วยตัวเองได้เมื่อเกิดเหตุขัดข้อง ทำให้ช่างสามารถเข้ามาแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ซึ่งต่อมาก็กลายมาเป็นรากฐานให้กับกรรมวิธีในการผลิตรถมาจนถึงปัจจุบัน และถูกจดทะเบียนให้เป็นมรดกทางวิศวกรรมของประเทศญี่ปุ่นในปี 2007

    2 ปีต่อมา ในปี 1926 พ่อ-ลูก ตระกูล Toyoda ก็ได้ก่อตั้งบริษัท Toyoda Automatic Loom Works เพื่อผลิตเครื่องทอผ้าโดยเฉพาะ และ Kiichiro ที่เริ่มสนใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ และลองเอาระบบการผลิตแบบสายพานมาใช้กับการผลิตเครื่องทอผ้า ก่อนจะสั่งนำเข้าเครื่องจักรที่จำเป็นเตรียมไว้สำหรับการผลิตรถในเวลาต่อมา รวมถึงยังซื้อรถ Chevrolet มาทดลองชำแหละชิ้นส่วนและประกอบใหม่ร่วมกับทีมวิศวกร ทำอย่างนี้ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับวิธีการประกอบรถยนต์

    นอกจากนี้ในปี 1929 สิทธิบัตรของเครื่องทอผ้า Toyoda Model G ก็ถูกขายให้กับบริษัท Platt Bros.จากอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสิ่งทอรายใหญ่ที่สุดในโลก ช่วงศตวรรษที่ 19 ด้วยราคา 1 แสนปอนด์ หรือเท่ากับ 270 ล้านบาทไทย ในปัจจุบัน โดยที่ Kiichiro เดินทางไปเซ็นรับรองการโอนสิทธิบัตรด้วยตัวเอง

    ในช่วงที่ Kiichiro เดินทางไปต่างประเทศเป็นรอบที่สองนี้เอง เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนไปเร็วมาก และยังเดินทางไปดูโรงงาน Ford Motor ที่เมือง Detroit รัฐ Michigan สหรัฐอเมริกา

    หลังจากที่เดินทางกลับมาญี่ปุ่น บริษัท Toyoda Automatic Loom Works เกิดปัญหาขึ้นมา เมื่อยอดขายเครื่องทอผ้าลดหายไปกว่าครึ่ง จากปัญหาเศรษฐกิจที่สะสมมาทั้ง สงครามโลกครั้งที่ 1, เหตุแผ่นดินไหวใน Kanto และ วันอังคารทมิฬ แถม Sakichi Toyoda ผู้เป็นพ่อก็ยังจากโลกนี้ไป ในวันที่ 30 ตุลาคม ปี 1930 ด้วยวัย 63 ปี

    รถยนต์ Toyota รุ่นแรก

    Kiichiro ต้องขึ้นมาบริหารบริษัท Toyoda Automatic Loom Works ต่อจากพ่อ และเปิดแผนกยานยนต์ขึ้นมาในวันที่ 1 กันยายน ปี 1933 และพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นแรกในชื่อ Type A เมื่อวันที่ 25 กันยายน ปี 1934 ก่อนจะเปิดตัวรถยนต์ซีดานต้นแบบรุ่นแรกในชื่อ A1 เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1935

    ในวันที่ 25 สิงหาคม ปี 1935 รถบรรทุก G1 ถูกพัฒนาขึ้นและปล่อยออกสู่ท้องตลาดในวันที่ 21 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน โดยมียอดการผลิตทั้งหมด 379 คัน สนนราคาอยู่ที่ 2,900 เยน หรือ 19,500 บาทไทย ในปัจจุบัน

    ถัดมาในเดือนเมษายนปี 1936 รถ A1 รุ่น Minorchange ก็ปล่อยออกสู่ท้องตลาดในชื่อว่า AA สนนราคาอยู่ที่ 3,350 เยน หรือเท่ากับ 22,100 บาทในปัจจุบัน ในเดือนต่อมาเดือนพฤษภาคม โรงงานแห่งใหม่ในเมือง Kariya จังหวัด Aichi ก็ถูกก่อสร้างจนแล้วเสร็จ และในเดือนกรกฎาคม ปี 1936 Toyota มีการส่งออกรถไปวางขายในตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยเริ่มจากเอารถบรรทุก G1 ไปขายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน จนกระทั่งในวันที่ 19 กันยายน ปี 1936 รัฐบาลจักรวรรดิญี่ปุ่น กำหนดให้ Toyoda Automatic Loom Works เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างเป็นทางการ

    จุดเริ่มต้นของชื่อ Toyota

    จากเดิมที่สายการผลิตรถยนต์ถูกผลิตขึ้นภายใต้แบรนด์ที่ชื่อว่า Toyoda ซึ่งเมื่อเขียนเป็นตัวคันจิแล้วจะมีความหมายว่า “นาข้าวที่อุดมสมบูรณ์” จะสังเกตได้จากตัวอักษรตัวหลังที่เป็นช่องสี่เหลี่ยมเหมือนนาข้าว ปัญหาคือ ชื่อมันไม่ตรงกับสายการผลิตรถยนต์ ก็มีการจัดแคมเปญประกวดชื่อและโลโก้ใหม่ขึ้นมา ซึ่งก็มีผู้เข้าร่วมประกวดกว่า 27,000 ราย สุดท้ายมาจบที่ไอเดียของ Rizaburo Toyoda พี่เขยของ Kiichiro ด้วยการเอานามสกุล Toyoda (トヨダ) มาเขียนเป็นตัวอักษรคาตาคานะ ซึ่งจะมีจำนวนเส้นทั้งหมด 10 เส้น ก่อนจะตัดเอาเครื่องหมายเสียงขุ่นที่เรียกว่า てんてん (tenten) ออกให้เหลือ 8 เส้น ทำให้ต้องออกเสียงเป็น Toyota ตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเลข 8 ก็ถือได้ว่าเป็นเลขมงคลตามความเชื่อของหลากหลายวัฒนธรรม รวมถึงประเทศไทยบ้านเราที่สื่อถึง ความโชคดี ความสุขความเจริญ และความสำเร็จ

    หลังจากที่ได้ชื่อนี้ออกมาแล้วก็มีการจดทะเบียนในชื่อ บริษัท Toyota Motor จำกัด ในวันที่ 28 สิงหาคม ปี 1937 พร้อมแต่งตั้งให้ Rizaburo Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการคนแรกของ Toyota Motor ในขณะที่ Kiichiro ผู้ก่อตั้งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการ

    ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

    Toyota Motor กลายมาเป็นหัวเรือใหญ่ในการผลิตรถบรรทุกขนส่งสำหรับใช้งานในกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จนวันที่ 14 สิงหาคม ปี 1945 ใน 1 วันก่อนจักรวรรดิญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม โรงงานผลิตรถยนต์ของ Toyota ที่ตั้งอยู่ในเมือง Koromo ถูกกองทัพพันธมิตรทิ้งระเบิดใส่จนพังเสียหาย และหลังจากที่แพ้สงคราม

    กองกำลังยึดครองจากสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกว่า General Headquarter หรือเรียกย่อๆ ว่า GHQ ประกาศสั่งห้ามไม่ให้ Toyota ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังสามารถผลิตรถกระบะ และรถบรรทุกสำหรับพลเรือนได้ แต่เนื่องด้วยสภาพของญี่ปุ่นหลังแพ้สงครามที่ย่ำแย่ ทำให้ Toyota ขาดแคลนวัสดุ และไม่สามารถผลิตรถให้ถึงเป้าที่ 500 คันต่อเดือน นอกจากนี้ทางสหรัฐอเมริกายังอนุญาตให้ Toyota ศึกษาและวิจัยรถยนต์นั่งได้ และยังต้องรับงานซ่อมยานพาหนะของกองทัพสหรัฐฯ

    วิบากกรรมยุคสงครามเย็น

    ในปี 1947 ก็เป็นช่วงที่เกิดสงครามเย็นขึ้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจเสรีประชาธิปไตย ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา และขั้วอำนาจคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ สหภาพโซเวียต ทำให้ GHQ ต้องเปลี่ยนนโยบายจาก การลงโทษ และปฏิรูปการเมืองในญี่ปุ่นให้เป็นประชาธิปไตย กลายมาเป็นนโยบาย Dodge Line ที่เน้นในเรื่องของการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง, ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และจัดตั้งกองกำลังป้องกันตนเองขึ้นมา ทำให้ Toyota สามารถกลับมาผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พิกัดเครื่องยนต์ต้องไม่เกิน 1.5 ลิตร และผลิตไม่เกิน 300 คันต่อปี

    ในช่วงเดือนตุลาคม Toyota ก็ออกรถรุ่น SA ซึ่งเป็นรถนั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของยุคหลังสงคราม ภายใต้ชื่อแบรนด์ว่า Toyopet ที่คนไทยหลายๆ คนเรียกติดปากว่า “โตโยเป็ด” ซึ่งเจ้า SA คันนี้เปิดตัวมาด้วยตัวถังที่มีขนาดเล็ก พร้อมเครื่องยนต์ Type S 4 สูบเรียงขนาด 1.0 L 27 แรงม้า ถึงแม้ว่าจะเป็นรถที่มีคำวิจารณ์ออกมาดีก็ตาม แต่ก็ยังทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ ด้วยยอดขายเพียงแต่ 197 คัน ในช่วง 5 เดือนแรกหลังจากเปิดตัว ในขณะที่ตลาดรถกระบะสามารถทำยอดขายได้ดีกว่ามาก ยอดขายมากกว่า 12,000 คัน

    นโยบาย Dodge Line ที่ GHQ บังคับใช้นั้น เนื่องจากเป็นความพยายามในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 360 เยนต่อ 1 USD แต่นั่นกลับทำให้ยิ่งพังมากกว่าเดิม เพราะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นต้องขาดแคลนเงินทุน ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงอัตราการว่างงาน, ความต้องการรถยนต์ในตลาดเริ่มถดถอย, การเช่าซื้อรถกระบะเริ่มปั่นป่วนจากการที่มีลูกค้าผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และธุรกิจต่างๆ กว่า 8,000 แห่งต้องล้มละลายในปี 1949

    Kiichiro หาวิธีการต่างๆ มากมายที่จะช่วยลดต้นทุนกับค่าวัสดุลง แต่ Toyota ต้องประสบกับภาวะขาดดุลถึง 22 ล้านเยนทุกๆ เดือน จนในเดือนสิงหาคม ปี 1949 Kiichiro เสนอข้อตกลงให้มีลดค่าจ้างพนักงานลง 10% และลดเงินเกษียนลงครึ่งหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างพนักงาน ถ้าถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ นั่นก็เพราะว่าเขาเคยประสบปัญหาแบบนี้มาแล้วในช่วงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากเหตุการณ์ต่างๆ ช่วงปี 1930 และไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ต้องกลับมาซ้ำรอยแบบนี้อีก

    Kiichiro ตัดสินใจที่จะตระเวนไปขอกู้เงินตามแบงค์ต่างๆ กว่า 24 แห่งมาใช้เป็นเงินทุนในการฟื้นฟู Toyota ไปทั้งหมด 188.2 ล้านเยน เมื่อเทียบอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันจะเท่ากับ 4,000 – 5,000 ล้านเยน หรือเท่ากับ 1,170 ล้านบาท จนทำให้ Toyota สามารถรอดจากวิกฤตล้มละลายมาได้ แต่ปัญหายังมีต่ออีก เพราะ Feedback ของ Toyota ไม่มีการฟื้นตัวเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า ค่าวัสดุและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ในขณะที่ราคารถย่ำอยู่กับที่ตามนโยบาย Dodge Line ทำให้ Kiichiro ซึ่งเป็นโรคความดันเลือดสูงอยู่แล้ว เครียดมากจนล้มป่วยไป และในวันที่ 22 เมษายนปี 1950 Toyota ประกาศเกษียนพนักงานกว่า 1,600 ตำแหน่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการผิดคำสัญญาไว้ที่ว่าจะไม่เลิกจ้างพนักงาน และสร้างความไม่พอใจมากจน แห่กันหยุดงานประท้วงยาวถึง 2 เดือน ทำให้อัตราการผลิตรถในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ร่วงลงมา 70% และแล้วเรื่องที่ทำให้คนรักรถ Toyota ในตอนนั้นต้องช็อกก็เกิดขึ้น เมื่อ Kiichiro Toyoda ตัดสินใจลาออกจาก Toyota ในวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1950 เพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทำให้การหยุดงานประท้วงต้องยุติลง

    สงครามเกาหลี กับยุคฟื้นฟู

    ในช่วงสงครามเกาหลีที่กำลังปะทุขึ้นมา ทำให้กองกำลังสหประชาชาติ ต้องสั่งซื้อของมากมายจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กับสนามรบมากที่สุด หนึ่งในนั้นคือการสั่งซื้อรถบรรทุก Toyota BM อย่างเร่งด่วนรวมทั้งหมด 4,679 คัน มูลค่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ 3,660 ล้านเยน หรือ ประมาณ 23,400 ล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก เนื่องจากเป็นช่วงยุคที่อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในช่วงนั้นไม่แน่นอนเอามากๆ ดิ้นอยู่ตลอดเวลา

    Toyota Jeep BJ บรรพบุรุษของ Toyota Land Cruiser

    Toyota จึงกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการยกเลิกนโยบาย Dodge Line ทำให้ Toyota สามารถกำหนดราคารถให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตได้ พร้อมกันนั้นทาง Toyota ยังมีการเอาแบบของ Willys Jeep มาผลิตรถอเนกประสงค์ป้อนให้กองกำลังสหประชาชาติในชื่อว่า Toyota “Jeep” BJ ซึ่งต่อมาเจ้ารถอเนกประสงค์รุ่นนี้ก็กลายมาเป็นบรรพบุรุษของราชาแห่งรถ SUV Toyota Land Cruiser

    ย้อนกลับไป เมื่อต้นปี 1950 Toyota ได้มีการลงนามข้อตกลงกับ Ford ให้รับเอาวิศวกรจำนวน 3 คนมาควบคุมดูแลการผลิตที่ญี่ปุ่น แต่หลังจากที่เกิดสงครามเกาหลี รัฐบาลสหรัฐฯ มีการสั่งห้ามลงทุนในต่างประเทศ และห้ามส่งบุคลากรสำคัญๆ ไปต่างประเทศ ทำให้ข้อตกลงนี้ต้องแก้ไขใหม่ครับเป็นการส่งพนักงานของ Toyota ไปฝึกอบรมในสำนักงานใหญ่ของ Ford ที่สหรัฐอเมริกาแทน หนึ่งในตัวแทนของ Toyota ก็คือ Eiji Toyoda ลูกพี่ลูกน้องของ Kiichiro ซึ่งใช้เวลาฝึกอบรมไปทั้งหมด 1 เดือนครึ่ง แต่ว่าความรู้ที่ได้จากการเดินทางไปดูงานกับ Ford นั้นยังใช้ไม่ได้กับ Toyota ทั้งด้วยเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสต็อกสินค้า และทรัพยากรที่ยังมีไม่มากเพราะยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2

    Taiichi Ohno วิศวกรของ Toyota ที่ได้ไปฝึกอบรมกับ Ford มาเหมือนกันก็เอาไอเดียการจัดเก็บสินค้าตามห้างในสหรัฐอเมริกา และกระบวนการผลิตแบบ Just In Time มาปรับใช้กับแนวคิดเครื่องจักรทำงานอัตโนมัติ และหยุดทำงานได้เองเมื่อเกิดข้อผิดพลาด เหมือนเครื่องทอผ้า Model G ที่ Sakichi Toyoda เคยคิดค้นเมื่อนานมาแล้ว รวมถึงแนวคิดการปรับปรุงกระบวนการทำงานแบบต่อเนื่อง ออกมาเป็นระบบการผลิต Toyota Production System  และปรัชญาการผลิต The Toyota Way หรือ “วิถิแห่งโตโยต้า” นั่นจึงทำให้ Taiichi Ohno ถูกเรียกว่า “บิดาแห่งการผลิตแบบ Toyota”

    Toyota Crown กับความสำเร็จที่ Kiichiro ไม่มีวันได้เห็น

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา การผลิตรถของ Toyota จะเป็นการจ้าง Outsource ตามที่ต่างๆ มาผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และประกอบขึ้นบนเฟรมรถกระบะที่ Toyota ผลิตขึ้นมาเอง จนกระทั่งในปี 1952 Toyopet Crown หรือ Toyota Crown ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรถที่ผลิตโดย Toyota เองทั้งคัน ก็ได้เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกด้วยการทดสอบวิ่งบนเส้นทางที่แคบ ขรุขระ และประสบความสำเร็จ ก่อนจะปล่อยออกสู่ท้องตลาดจริงในเดือนสิงหาคม ปี 1955

    และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แถมได้รีวิวเชิงบวกจากสื่อทั่วโลก แถมยังเป็นรถยนต์ Toyota รุ่นแรกที่ถูกใช้ในงานราชการตำรวจ และ ยังเอามาใช้เป็นรถแท็กซี่อีกด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะก่อนที่ Toyopet Crown คันนี้จะวางขาย Kiichiro Toyoda ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันจากโรคหลอดเลือดสมอง ในวันที่ 27 มีนาคม ปี 1952 ด้วยวัยเพียง 57 ปี

    Toyota Land Cruiser (J20)

    ภายหลังความสำเร็จของ Crown Toyota ก็เริ่มรุกตลาดต่างประเทศอย่างหนักด้วยการส่ง Toyota Land Cruiser รุ่น J20 ซึ่งเป็นโฉมที่ 2 ไปขายในตลาดซาดุดิอาระเบีย โดยมี Sheikh Abdul Latif Jameel เป็นตัวแทนนำเข้า และยังส่งออกไปยังประเทศข้างๆ อย่าง เยเมน ในปี 1956 นั่นจึงทำให้มักจะกลายเป็นภาพจำว่า Toyota Land Cruiser มักจะอยู่คู่กับเศรษฐีตะวันออกกลาง

    Toyota ในตลาดอเมริกา กับเรื่องตลกที่ควรรู้

    ในปี 1958  Toyota ตั้งฐานการผลิตนอกญี่ปุ่นแห่งแรกขึ้นในประเทศบราซิล และเริ่มส่งออกรถ Toyopet Crown ไปขายในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็มีเรื่องตลกที่อย่างนึงครับ คือเมื่อ Toyota มาทำตลาดในสหรัฐอเมริกา ก็มีปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องของการออกเสียงชื่อแบรนด์จากที่ควรจะเป็น To-Yo-Ta ก็เพี้ยนมาเป็น Toy-O-Ta ซึ่งคำว่า “Toy” ในพยางค์แรกนั้นก็แปลว่า “ของเล่น” และมีเรื่องเล่าว่าเมื่อมีการจัดงานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ หรือมีงานประชุมอะไรสักอย่าง บางครั้งก็จะมีคนออกเสียงชื่อแบรนด์ว่า Toy-O-Ta แล้วฝ่ายการตลาดก็จะต้องแก้ไขว่า “No No No No No เราเรียกว่า To-Yo-Ta” จนกลายเป็นเรื่องตลกกันในกลุ่ม หรือนอกจากนี้ยังมีประโยคปั่นๆอีกว่า “ถ้าเรียกว่า Toy-O-Ta แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น” จนกลายเป็นมุขที่เล่นกันระหว่างการโปรโมทและการขาย

    ถึงแม้ Toyopet Crown จะเป็นรถที่ดีมีคุณภาพ แต่เมื่อข้ามทะเลมาที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ปรากฏว่า “ขายไม่ดี” ด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาสูงเกินไป, ถูกออกแบบมาสำหรับวิ่งสมบุกสมบันบนถนนขรุขระของญี่ปุ่น ไม่ได้เน้นแรงม้าเยอะๆ แต่ไม่ตอบโจทย์ถนนของสหรัฐฯ ที่เรียบๆ เหมาะสำหรับวิ่งด้วยความเร็วสูง, ขนาดที่เล็กเกินไปสำหรับรูปร่างของคนอเมริกันส่วนใหญ่ และที่สำคัญครับ ชื่อของ Toyopet ที่สะกดแยกออกมามีคำว่า Toy ที่แปลว่า “ของเล่น” กับ Pet ที่แปลว่า “สัตว์เลี้ยง” ก็ยังสร้างความเข้าใจผิดว่านี่ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ด้วย นั่นจึงทำให้ Toyopet Crown ถูกระงับการขายในช่วงต้นยุค 60

    ยุคปาฏิหาริย์ แห่งเศรษฐกิจ

    หลังจากนั้นมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาผงาดอีกครั้ง เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น” เป็นช่วงยุคที่ผู้คนในญี่ปุ่นเริ่มมีกิน มีใช้ และเข้าถึงรถราคาประหยัดได้ง่ายขึ้น

    และในปี 1962 บริษัท Toyota Motor (ประเทศไทย) จำกัด ก็ถูกก่อตั้งขึ้น เป็นฐานการผลิตรถยนต์ Toyota แห่งแรกในเอเชียนอกเกาะญี่ปุ่น ซึ่งโรงงานแห่งแรกตั้งอยู่ สำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ และในปลายปี 1966 Toyota ก็เปิดตัว Corolla โฉมแรก ในเวลาต่อมาก็กลายมาเป็นรถที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 50 ล้านคัน ทั่วโลก ก่อนที่ต่อมา Eiji Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ในปี 1967 พร้อมกับเข้าซื้อหุ้นของ Daihatsu เพื่อร่วมมือกันพัฒนารถขนาดเล็กตั้งแต่ Kei car ไปจนถึง Kei truck

    ภายในปีนั้นเอง Toyota 2000GT ก็เปิดตัวเป็นครั้งแรกในฐานะ “รถแกรนด์ ทัวร์ริ่ง และ ซูเปอร์คาร์รุ่นแรกของญี่ปุ่น” และกลายมาเป็นรถคลาสสิกในตำนานที่มีราคาประมูลสูงที่สุดของ Toyota

    ในตลาดสหรัฐอเมริกา ปี 1965 Toyota สามารถแก้ตัวได้สำเร็จด้วยการส่ง Corona โฉมที่ 2 ไปขาย ซึ่งมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ทรงพลังมากขึ้น ทำให้ยอดขายรถ Toyota ในตลาดสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 20,000 คัน และกลายเป็นแบรนด์รถยนต์นำเข้าที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับสาม ในปี 1966

    จนมาถึงปี 1971 Toyota ร่วมทุนกับบริษัท Astra ตั้งฐานการผลิตเพิ่มที่ประเทศอินโดนีเซียภายใต้ชื่อ Toyota Astra Motor และผลิตรถยนต์รุ่นต่างๆ ออกมาได้มากกว่า 10,000 คัน ภายใน 3 ปี ก่อนที่ต่อมาในปี 1973 Toyota จับมือกับผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฟิลิปปินส์ Delta Motor ในการผลิตเครื่องยนต์ 12R สำหรับรถ Corona, Hilux และ Hiace

    Toyota Kijang (1976)

    ผ่านไปจนถึงช่วงระหว่างปี 1976-1977 Toyota เปิดตัวรถ Segment ใหม่ที่เรียกว่า Basic Utility Vehicle หรือ BUV เพื่อตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยที่ในตลาดอินโดนีเซียใช้ชื่อว่า Toyota Kijang  และตลาดฟิลิปปินส์ใช้ชื่อว่า Toyota Tamaraw

    ต่อมาในปี 1972 Toyota ได้ทำการเจรจาข้อตกลงกับบริษัท Atlas Fabricators ซึ่งตั้งอยู่ที่ เมือง Long Beach, California เพื่อนำเข้ารถกระบะ Hilux ที่ไม่มีกระบะท้ายมาประกอบในแผ่นดินสหรัฐฯ ตั้งแต่โฉมแรก ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการเสียภาษีไก่ที่เก็บกันบ้าเลือดถึง 25% ดังนั้นภาษีเพียงอย่างเดียวที่จะต้องเสียก็มีเพียงแค่ ภาษีศุลกากร 4% เท่านั้น ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ช่องโหว่ก็ถูกปิดไปภายในเวลาไม่นาน จนทำให้ Toyota ต้องควบรวมกับ Atlas มาเป็นบริษัท Toyota Auto Body และกลายเป็นฐานการผลิตแห่งแรกของอเมริกาเหนือในเวลาต่อมา แต่วิธีการผลิตยังคงเป็นการนำเข้าหัวมาประกอบกับกระบะท้ายเหมือนเดิมจนมาถึงโฉมสุดท้ายนั่นก็คือ โฉมที่ 5 หรือที่ในตลาดประเทศไทยเรียกว่า Mighty-X

    ในปี 1976 Toyota ก่อตั้งแผนก Toyota Racing Development หรือ TRD เพื่อพัฒนารถแข่ง และเอาเทคโนโลยีจากสนามมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ที่ผลิตวางขายทั่วไป โดยเริ่มต้นจากการพัฒนารถแข่งสำหรับการแข่งขัน NASCAR ในสหรัฐอเมริกา ก่อนจะขยายขอบเขตไปที่รายการอื่นๆ อีกเพียบ

    และในปี 1981 Eiji Toyoda ลงจากตำแหน่งประธานกรรมการ พร้อมแต่งตั้งให้ Shoichiro Toyoda ลูกชายของ Kiichiro ขึ้นมาเป็นประธานกรรมการคนใหม่ และ จากเดิมที่ Toyota Motor ในญี่ปุ่นเคยแยกกันเป็น 2 บริษัท โดยที่เจ้าหนึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายขาย และอีกเจ้าหนึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายผลิต และทำงานเข้าขากันได้ไม่ค่อยดีนัก ขนาดที่ว่า Hino Satoshi ยังเคยกล่าวในหนังสือ “ถอดรหัส DNA Toyota” ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2006 เอาไว้ว่า ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 บริษัทย่อยนี้เหมือน “น้ำ กับ น้ำมัน”

    ถอดรหัส DNA โตโยต้า (ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ปี พ.ศ. 2551)

    Shoichiro กลายเป็นคนที่สามารถผนวกรวมทั้ง 2 บริษัทนี้กลายมาเป็นบริษัทเดียวภายใต้ชื่อ Toyota Motor Corporation ได้สำเร็จ หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการไม่ถึงเดือน

    Toyota Sprinter Trueno AE86

    และในช่วงยุคนี้เองที่ Toyota ให้กำเนิดรถยนต์ Coupe และ Sedan ขายดีอีกหลายต่อหลายรุ่น ทั้ง Supra, Mark II, Cresta, Chaser, Celica, Corolla Levin หรือแม้กระทั่ง รถส่งเต้าหู้ Sprinter Trueno AE86

    ต่อมาในเดือนธันวาคม 1984 Toyota ลงนามข้อตกลงร่วมกับ General Motor ก่อตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาในชื่อว่า NUMMI และตั้งฐานการผลิตที่เมือง Fremont, California โดยมี Tatsuro Toyoda น้องชายของ Shoichiro มาดูแลโรงงานแห่งนี้ และรถคันแรกสุดที่ปล่อยออกจากโรงงานนี้คือ Corolla FX16 สีขาว ในวันที่ 7 ตุลาคมปี 1986

    กำเนิด Lexus

    วันเวลาผ่านไปจนถึงปี 1989 Toyota ก็ได้มีการอัปเดต โลโก้ใหม่ ให้เป็นรูปวงรีสามวงซ้อนกันที่หลายๆ คนคุ้นเคยและเรียกติดปากว่า “สามห่วง” ที่สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างตัวรถ กับ ลูกค้า แถมยังเป็นโลโก้ที่ซ่อนชื่อภาษาอังกฤษ ได้แนบเนียนสุดๆ

    Lexus LS400

    พร้อมกันนั้นยังเปิดตัวแบรนด์ลูกเจ้าใหม่ที่มุ่งเน้นตลาดรถระดับพรีเมียมโดยเฉพาะ นั่นก็คือ Lexus นี่เองครับ และรถรุ่นแรกของแบรนด์นี้คือ LS400 ที่สร้างขึ้นจากการระดมสมองของนักออกแบบ 60 คน วิศวกร 1,400 คน แบ่งเป็น 24 ทีม ช่าง 2,300 คน และพนักงานสนับสนุนอีก 220 คน พัฒนารถตัวต้นแบบกว่า 450 แบบ ใช้เงินทุนในการพัฒนามากกว่า 1,000 ล้าน USD หรือมากกว่า 3 หมื่นล้านกว่าบาท และใช้เวลาพัฒนาถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี 1983

    ยุคแห่งพลังงาน Hybrid

    ในปี 1992 Toyota ก็เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเป็นครั้งแรก หรือก็คือ Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) ซึ่งต่อมาก็จะกลายมาเป็นรากฐานในการพัฒนา Toyota Mirai

    Toyota Prius (1997)

    เดือนธันวาคมปี 1997 Toyota ก้าวเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฮบริดด้วยการเปิดตัว Prius และเป็นรถยนต์ HEV รุ่นแรกของโลก และขายเฉพาะในญี่ปุ่นก่อนในช่วง 2 ปีแรก ก่อนที่ในปีต่อมา Toyota ก็เพิ่มการถือหุ้น Daihatsu ขึ้นมาเป็น 51 % ทำให้ Toyota มีอำนาจควบคุม Daihatsu อย่างเต็มตัว ทำให้ในปัจจุบันมีรถยนต์ Toyota ที่เอา Daihatsu มาแปะโลโก้เป็นจำนวนมาก เช่น Copen ที่ขายในชื่อ Toyota Copen GR Sport, Hijet ที่ขายในชื่อ Pixis, Rocky ที่ขายในชื่อ Toyota Raize, Xenia ที่ขายในชื่อ Toyota Avanza และ Veloz และในปี 2001 Toyota จับมือเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันกับผู้ผลิต รถบัส, รถบรรทุก Hino Motor  และตั้งฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศฝรั่งเศสโดยได้รับความร่วมมือจาก Citroen และ Peugeot

    ในปี 2003 Toyota ก่อตั้งแบรนด์ Scion เพื่อเจาะตลาดอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ แต่สุดท้ายก็กลับมาเป็น Toyota เหมือนเดิมในปี 2016

    และในปี 2007 Toyota ที่สร้างผลงานในวงการมอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนาน ก็ก่อตั้งแผนกใหม่ขึ้นมาเพื่อพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูง และฟอร์มทีมแข่งขันสำหรับรายการต่างๆ โดยเฉพาะ นั่นก็คือ Toyota Gazoo Racing โดยในปัจจุบัน มีรถที่เปิดตัวอยู่ภายใต้

    Toyota GR86

     

    Toyota GR Supra

    Toyota GR Yaris

    Toyota GR Corolla

    แบรนด์นี้อยู่ 4 รุ่น ได้แก่ GR Supra, GR Yaris, GR86 และ GR Corolla รวมถึงยังมีรถ Toyota เดิมที่แต่งขึ้นมาเป็นพิเศษอย่าง Gazoo Racing Tuned by “Meister of Nurburgring” หรือในชื่อย่อว่า GRMN ที่เน้นสมรรถนะสูงสุด และมีการปรับแต่งอย่างละเอียดทุกส่วน ผลิตขึ้นมาจำนวนจำกัด และยังมี GR Sport ซึ่งเป็นรถรุ่นตกแต่งพิเศษที่เพิ่มความสปอร์ตทั้งภายนอกและภายในไว้มีโอกาสหน้า เราอาจจะได้เล่าประวัติศาสตร์เรื่องราวของ Gazoo Racing แยกมา

    วิกฤตครั้งใหม่ของ Toyota

    ในปี 2008 Toyota ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลก แซง General Motors ที่ครองแชมป์มา 80 ปี แต่ความสำเร็จนี้ยังมีปัญหาในเงามืดที่ต้องเจอ เมื่อ Toyota ได้รับผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ จนทำให้ประสบภาวะขาดทุนหนักที่สุดในรอบ 70 ปี ทำให้ในเดือนมกราคมปี 2009 Toyota ต้องสั่งหยุดโรงงานทั้งหมดในญี่ปุ่นถึง 11 วัน เพื่อลดอัตราการผลิต และควบคุมปริมาณรถค้างสต็อกให้น้อยที่สุด

    ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2009-2011 Toyota ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เรียกคืนรถยนต์ครั้งใหญ่ทั่วโลกกว่า 9 ล้านคัน ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เรียกคืนรถยนต์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็มี 3 สาเหตุหลัก ทั้งเกิดจากพรมปูพื้นของรถยนต์บางรุ่นเลื่อนออกจากตำแหน่งจนไปติดคันเร่ง ทำให้คันเร่งติดค้าง, คันเร่งไฟฟ้าค้าง ลดความเร็วไม่ได้ และ Toyota Prius รุ่นปี 2010 พบว่าระบบเบรกไฮบริดทำงานผิดปกติจนไม่สามารถควบคุมการเบรกได้

    เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกิดจากอาการผิดปกติของรถไม่ต่ำกว่า 37 ราย และ Toyota ยังถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับเป็นเงินกว่า 1.2 พันล้าน USD จากข้อกล่าวหาที่ว่าจงใจปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องด้านความปลอดภัย

    Akio Toyoda

    จากเรื่องอื้อฉาวที่ว่ามานี้ทำให้ Katsuaki Watanabe ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ Toyota ในตอนนั้นตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ Akio Toyoda ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนในวันที่ 23 มิถุนายนปี 2009

    ในปี 2011 Toyota ที่ยังไม่ฟื้นตัวดีจากวิกฤตที่ผ่านมาก็ยังถูกซ้ำเติมอย่างหนักด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น และภัยน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย ทำให้สูญเสียกำลังการผลิตกว่า 150,000 คันจากเหตุแผ่นดินไหว และ 240,000 คันจากน้ำท่วม

    ยุคสมัยแห่งพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม

    Toyota Mirai (2014)

    ในเดือนธันวาคม ปี 2014 Toyota Mirai ที่พัฒนาจากเทคโนโลยีพลังงานไฮโดรเจนตั้งแต่ปี 1992 ก็เปิดตัวให้วางขายจริงเป็นโฉมแรก แล้วในปี 2020 Toyota หลังจากที่ต้องผ่านมรสุมต่างๆ มากมายจนไม่อาจเล่าได้ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ทวงคืนตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกกลับมาได้ และขายรถยนต์ไปได้ 9,528,000 คันทั่วโลก ถึงแม้ว่ายอดขายจะลดลงจากเกิด 11.3% เพราะเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดก็ตาม ในวันที่ 2 เมษายน  ของปีนั้น Toyota ลงนามข้อตกลงก่อตั้งบบริษัทร่วมทุนกับผู้ผลิตรถไฟฟ้าสัญชาติจีน BYD เพื่อศึกษาและพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

    ในเดือนมีนาคม 2021 Toyota, Hino และ Isuzu ประกาศร่วมมือกันเพื่อพัฒนารถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจน โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ในชื่อว่า Commercial Japan Partnership Corporation และยังมีการแลกเปลี่ยนหุ้นกันอีกด้วย

    Toyota bZ4X (2023)

    ในเดือนเมษายนปี 2022 Toyota เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก นั่นคือ bZ4X และในเดือนมกราคม 2023 Akio Toyoda สละตำแหน่งประธานกรรมการ และ CEO เพื่อส่งไม้ต่อให้กับ Koji Sato ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ Lexus กับ Gazoo Racing อยู่ ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน

    นี่คือเรื่องราวมหากาพย์ตำนาน 88 ปี ของ Toyota จากเครื่องทอผ้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยีใหม่ มาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • “ฮอนด้า เสิร์ฟใหญ่ Honda We’re Family Happy Plus!’ พลัสความสุขให้มากขึ้นกว่าเดิม มอบบริการที่ดูแลทั้งรถและคุณเหมือนคนในครอบครัว ผ่อนสบายๆ 0% ทุกงานบริการ สูงสุด 10 เดือน*

    1 Min Read

    ฮอนด้า เสิร์ฟใหญ่ Honda We’re Family Happy Plus!’ พลัสความสุขให้มากขึ้นกว่าเดิม มอบบริการที่ดูแลทั้งรถและคุณเหมือนคนในครอบครัว ผ่อนสบายๆ 0% ทุกงานบริการ สูงสุด 10 เดือน* 

    บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด มอบแคมเปญสุดพิเศษสำหรับลูกค้าครอบครัวฮอนด้า ‘Honda We’re Family Happy Plus!’ เสิร์ฟความคุ้มค่ามอบการดูแลรถแบบครบวงจร ตั้งแต่ ใจดูแลด้วยโปรผ่อนสบาย 0% นานสูงสุด 10 เดือน* ขั้นต่ำเพียง 3,000 บาท* สำหรับงานบริการทุกประเภท พิเศษสุด!!! ส่วนลดค่าอะไหล่สำหรับครอบครัวฮอนด้า พร้อมตรวจสภาพรถยนต์ฟรีดูแลโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ** ส่วนลดสูงสุด 20% สำหรับลูกค้าทุกคน ทั้งรถใหม่ รถปีเก่า หรือรถยนต์มือสอง รวมถึงโปรโมชันผ่อนยางรถยนต์ 0% สูงสุด 10 เดือน** ไม่ว่าจะรถรุ่นไหนก็มั่นใจทุกการเดินทาง เพียงนัดหมายและนำรถยนต์เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการรถยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 30 พฤศจิกายน 2568

     

    พิเศษสุด!!!งานบริการทุกประเภทสามารถผ่อนชำระ 0% ได้นานสูงสุด 10 เดือน

    • ผ่อนชำระ 0% 10 เดือน* เฉพาะบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีฯ ยอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 5,000 บาท สำหรับงานบริการทุกประเภท รวมทั้งงานซ่อมตัวถังและสี
    • ผ่อนชำระ 0% 8 เดือน* กับบัตรเครดิตธนาคารที่ร่วมรายการ โดยมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 3,000 บาท สำหรับงานบริการทุกประเภท รวมทั้งงานซ่อมตัวถังและสี

    มอบส่วนลดค่าอะไหล่สำหรับครอบครัวรถยนต์ฮอนด้าทุกคน

    • บริการตรวจสภาพรถยนต์ฟรี*
    • ซื้อคู่คุ้มกว่า! รับส่วนลด 200 บาท สำหรับ Safety First Set (ซื้อยางปัดน้ำฝนคู่กับผ้าเบรก)

    มอบของที่ระลึกสำหรับครอบครัวรถยนต์ฮอนด้าทุกคน

    • ซื้อยางรถยนต์ยี่ห้อใด รุ่นใดก็ได้ครบ 4 เส้น รับฟรี กระเป๋าสะพายข้างคุณภาพพรีเมียม
      • ซื้อคู่คุ้มกว่า! ซื้อแบตเตอรี่ยี่ห้อ PUMA* หรือ GS* พร้อมผลิตภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ รับฟรี กระเป๋าเก็บความเย็น 1 ใบ คุณภาพพรีเมียมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดระบบปรับอากาศ (Evaporator Cleaner)
      • ผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาเครื่องยนต์ (Engine Oil Treatment)
      • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง (Gasoline Treatment)

     

    สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าครอบครัวรถยนต์ฮอนด้าอายุไม่เกิน 1 ปี

    • รับส่วนลดค่าแรงและค่าอะไหล่เพิ่มเติมสูงสุด 7%* เมื่อซื้อแพ็กเกจเช็กระยะ “เพย์เซฟ 6 หรือ 10” (ส่วนลดเพิ่มเติมจากปกติ 15% เป็น 22%* ตลอดอายุแพ็กเกจ)

     

    สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าครอบครัวรถยนต์ฮอนด้าอายุ 10 ปีขึ้นไป

    • รับส่วนลด 20% ผลิตภัณฑ์กรองน้ำมันเครื่อง*
    • รับส่วนลด 20% ผลิตภัณฑ์กรองอากาศ*
    • รับส่วนลด 10% อะไหล่ช่วงล่างกลุ่มปีกนก*

     

    โปรโมชันยางรถยนต์ยอดนิยมตามเงื่อนไขแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

    • ยาง Goodyear ซื้อ 3 แถม 1*, หรือซื้อครบทุก 4 เส้น รับบัตรน้ำมัน 500 บาท
    • ยาง Dunlop ซื้อ 3 แถม 1*, หรือซื้อครบทุก 4 เส้น รับส่วนลด 600-2,800 บาท*
    • ยาง Yokohama ซื้อครบทุก 4 เส้น รับส่วนลด 1,280-3,200 บาท*
    • ยาง Hankook รับส่วนลดตั้งแต่เส้นแรก เส้นละ 300 บาท*
    • ยาง Bridgestone รับส่วนลดตั้งแต่เส้นแรก เส้นละ 250 บาท*

    โปรโมชันพิเศษ ผ่อนชำระสำหรับการซื้อยางรถยนต์

    • ยางรถยนต์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับบัตรเครดิตธนาคารที่ร่วมรายการ โดยต้องมียอดใช้จ่าย 2,000 บาทขึ้นไป*

     

    แคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้ารถยนต์ฮอนด้ามือสอง*** เพียงนำรถมาอัปเดตข้อมูลเจ้าของใหม่ที่ศูนย์บริการ พิเศษ!!! รับทันที ส่วนลดสุดคุ้ม ‘Welcome to Honda Family’ ดังนี้

    • เปลี่ยนน้ำมันเครื่องฮอนด้าสังเคราะห์แท้ 100% เริ่มต้นเพียง 899 บาท* รวมค่าแรง
    • รับส่วนลด 20% สำหรับน้ำมันเกียร์
    • รับส่วนลด 20% สำหรับน้ำยาหม้อน้ำ
    • รับส่วนลด 20% สำหรับน้ำมันเบรก

    ตลอด 2 เดือนเต็ม ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568  – 30 พฤศจิกายน 2568 เชิญลูกค้าครอบครัวรถยนต์ฮอนด้าเข้ารับบริการและรับความคุ้มค่าผ่านแคมเปญ ‘Honda We’re Family Happy Plus!’ ที่พร้อมดูแลให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความอุ่นใจ ที่ศูนย์บริการรถยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศ อัปเดตทุกข่าวสาร ข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมล่าสุด เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวได้ที่

    • เว็บไซต์: honda.co.th
    • Facebook Official Account: Honda Thailand
    • LINE Official Account: @honda-thailand

    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • Post Image

    GWM ปลดล็อกประสบการณ์ขับขี่ครบทุกมิติ ชวนเหล่า TANKER ร่วมกิจกรรมสุดเร้าใจใน “TANK OFF-ROAD ACADEMY”

    1 Min Read

    GWM ปลดล็อกประสบการณ์ขับขี่ครบทุกมิติ ชวนเหล่า TANKER ร่วมกิจกรรมสุดเร้าใจใน “TANK OFF-ROAD ACADEMY”

    GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด จัดงาน TANK OFF-ROAD ACADEMY เปิดสนามแชร์ความรู้และประสบการณ์การขับขี่ในรูปแบบต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง กับ TANKER CLUB THAILAND ณ สนามเจ้าเงาะ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา โดย GWM และผู้เชี่ยวชาญร่วมถ่ายทอดความรู้และเทคนิคการขับขี่ที่ช่วยให้เหล่า TANKER เข้าใจพื้นฐานของตัวรถและยกระดับสกิลการขับขี่ครบทุกมิติ ตั้งแต่การขับบนทางเรียบและทางฝุ่น (On-Road) การฝ่าฟันในสนามออฟโรดสุดเร้าใจ (Off-Road) ไปจนถึงการนำทักษะที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติจริงในเส้นทางธรรมชาติ (Adventure) ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยทั้งความมั่นใจและทักษะที่ถูกต้อง ตอกย้ำภาพลักษณ์ของ GWM TANK ในฐานะ SUV สุดแกร่งที่พร้อมพาผู้ขับขี่ไปได้ทุกที่อย่างมั่นใจ

    กิจกรรมนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากเหล่า TANKER กว่า 127 คน พร้อมด้วยคาราวาน GWM TANK 300 ทั้งรุ่นไฮบริดและเครื่องยนต์ดีเซลกว่า 60 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของคอมมูนิตี้ TANKER CLUB ที่ไม่เพียงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังรวมกลุ่มคนที่มีความรักในการผจญภัย และต้องการปลดล็อกสมรรถนะที่แท้จริงของ GWM TANK 300 ในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน รวมถึงการใช้ฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมายที่อยู่ในตัวรถผ่านฐานต่าง ๆ ในสถานีทดสอบที่ได้จัดเตรียมไว้ รวมถึงพื้นที่จริง ไม่ว่าจะเป็น การใช้โหมดการขับขี่ต่างๆ ทั้ง 4L โหมดทราย โหมดโคลน การกลับรถในที่แคบ TANK TURN ระบบล็อกเฟืองท้าย ระบบการตรวจจับระดับน้ำ การใช้ฟังก์ชั่น Offroad Cruise Control รวมถึงกล้อง 360 องศา พร้อมระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ เมื่อพบเจอกับพื้นที่ยากลำบาก เป็นต้น

    ประสบการณ์การขับขี่จาก TANK OFF-ROAD ACADEMY

    • On-Road Confidence: ไม่ใช่เพียงการขับบนถนนเรียบ แต่เป็นการเรียนรู้อาการของตัวรถในการขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางซิกแซก บนถนนคอนกรีตและทางฝุ่น การบังคับควบคุมรถเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน วิธีใช้โหมด Normal และ Sport เพื่อปรับการตอบสนองของคันเร่งให้เหมาะกับสถานการณ์จริง
    • Off-Road Mastery: เปิดประสบการณ์เต็มรูปแบบกับการใช้โหมดการขับขี่ออฟโรด ทั้งโหมด 4L ระบบล็อกเฟืองท้ายไฟฟ้า ที่ช่วยเพิ่มพลังการขับเคลื่อนและยึดเกาะบนเส้นทางโหด เช่น หล่มโคลน, เนินชัน, เนินโค้ง และบ่อหลุมสลับ พร้อมเรียนรู้การใช้ TANK TURN เมื่อเจอสถานการณ์จำเป็นต้องกลับรถในที่แคบ หรือแม้แต่การใช้ฟังก์ชั่น Off-Road Cruise Control ที่ควบคุมความเร็วให้อัตโนมัติบนทางอุปสรรค เพื่อให้ผู้ขับสามารถจดจ่อที่การควบคุมทิศทางพวงมาลัยได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเหยียบคันเร่ง
    • Adventure Ready: การนำทักษะความรู้และการขับขี่จากการฝึกฝนในสนามจำลองไปปฏิบัติจริงบนเส้นทางที่ไม่เคยขับขี่มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เนินชัน แคบ ลื่น ทางน้ำ โคลน หลุมบ่อ โดยผู้ขับขี่จะใช้ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของตัวรถให้เหมาะสมกับสถานการณ์และลักษณะพื้นที่ผจญภัย ยิ่งไปกว่านั้น การผจญภัยไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย กล้อง 540 องศาและระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) จะช่วยเพิ่มมุมมองและเป็นประโยชน์อย่างมากในการฝ่าฟันอุปสรรค รวมถึงการใช้ Wading Detection เพื่อตรวจสอบระดับน้ำเมื่อขับผ่านทางน้ำ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถตัดสินใจอย่างมั่นใจในทุกจังหวะ

    นอกจากฟังก์ชั่นการขับขี่ที่ล้ำสมัย GWM TANK 300 ทั้งรุ่น HEV และ Diesel มาพร้อมสมรรถนะที่โดดเด่น โดยรุ่น HEVขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ มอบพละกำลังรวมสูงสุดกว่า 350 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 616 นิวตันเมตร ที่พร้อมตอบสนองทันใจในทุกสถานการณ์ ขณะที่รุ่นดีเซล ใช้เครื่องยนต์ 2.4T พร้อมเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน (VGT) ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดถึง 480 นิวตันเมตร ระหว่าง 1,500 – 2,500 รอบ/นาที ตอบโจทย์ทั้งการขับขี่บนทางเรียบและการลุยเส้นทางออฟโรดที่ท้าทาย

    กิจกรรม TANK OFF-ROAD ACADEMY มิใช่แค่เวทีเพื่อการเรียนรู้และสอนเทคนิคการขับขี่ แต่ยังเป็นพื้นที่ให้เหล่า TANKER ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นไปจนถึงข้อมูล และประสบการณ์ระหว่างผู้ใช้งานจริง เพื่อสร้างความรู้ใหม่ ๆ และต่อยอดประสบการณ์การขับขี่ในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึง สร้างความแข็งแกร่งของชุมชนผู้ใช้ TANK อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กิจกรรมยังเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปทดลองขับ GWM TANK ทั้งรุ่น GWM TANK 300 DIESEL และ GWM TANK 500 DIESEL ผ่านความร่วมมือกับ GWM เอก กรุ๊ป (ชลบุรีและพัทยา) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการเชื่อมโยงผู้สนใจเข้าสู่ประสบการณ์จริงกับคอมมูนิตี้ของ TANKER CLUB งานนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรธุรกิจด้านอุปกรณ์ยานยนต์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Continental, Lamina & Thule, Lenso และ YSS ที่เข้ามาร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ และโปรโมชันพิเศษในงานนี้เท่านั้น

    เวยน์ โจว กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) เน้นย้ำถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “GWM มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าชาวไทย ไม่เพียงส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพของ GWM TANK สู่มือลูกค้าชาวไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้ความรู้ ฝึกทักษะให้ชาว TANKER ได้รับรู้ถึงสมรรถนะและความสามารถของตัวรถที่แท้จริง ผ่านกิจกรรม GWM TANK OFF-ROAD ACADEMY ที่ช่วยให้ชาว TANKER มั่นใจในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะบนถนนเมือง ออฟโรด หรือเส้นทางผจญภัยสุดท้าทาย อีกทั้งกิจกรรมนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ TANKER CLUB ในประเทศไทย ที่มีการเติบโตขึ้นทุกวันอย่างต่อเนื่อง สร้างคอมมูนิตี้ที่ทรงพลังและสร้างสรรค์ ร่วมแบ่งปันมิตรภาพ ความสุข และประสบการณ์ที่ดีไปด้วยกัน”

    สำหรับผู้ที่สนใจ GWM TANK 300 Diesel และ GWM TANK 500 Diesel สามารถทดลองขับได้ที่ GWM Partner Store ทั้ง 72 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GWM Application, www.gwm.co.th หรือ GWM Contact Center 02-668-8888

    #TANKSpirit #TANKHeroMoment #TANKOffroadAcademy #GWMTANKOWNERSCLUB


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด จัดหนักผนึกกำลังการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นผู้สนับสนุน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13

    1 Min Read

    ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด จัดหนักผนึกกำลังการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นผู้สนับสนุน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13

    นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธ รองผู้จัดการใหญ่ด้านวางแผนการค้า และการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในงานแถลงข่าว เปิดตัวผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 โดยมี ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด สนุกไม่ซ้ำใคร สไตล์…ฟาซซิโอ้ ร่วมเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 อย่างเป็นทางการ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยจะจัดการแข่งขึ้นใน 3 จังหวัดได้แก่ กรุงเทพมหานคร จ.ชลบุรี จ.สงขลา และ จ.นครราชสีมา

     

    สำหรับการแข่งขันกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพมหานคร จ.ชลบุรี จ.สงขลา และอาเซียนพาราเกมส์ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 26 มกราคม 2569 ที่ จ.นครราชสีมา เป็นเจ้าภาพ

     

    โดยมี ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด สนุกไม่ซ้ำใคร สไตล์…ฟาซซิโอ้ ขอร่วมส่งแรงใจให้ทัพนักกีฬาไทยได้เป็นเจ้าเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ พร้อมกันนี้ยามาฮ่ายังได้สนับสนุนรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด ให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการมอบให้นักกีฬาที่สร้างผลงาน และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และให้กับผู้โชคดีในกิจกรรมของทางการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยการแถลงข่าวเปิดตัวผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 มีขึ้น ณ ลานเซ็นทรัลคอร์ท ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ เมื่อเร็วๆ นี้


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  •  “MG IM6 Happy Journey to Khao Yai” ฮีลใจ เติมพลังรักษ์โลกกับ MG Primus

    1 Min Read

     “MG IM6 Happy Journey to Khao Yai” ฮีลใจ เติมพลังรักษ์โลกกับ MG Primus

    เอ็มจี ไพรม์มัส ในเครือ ไพรม์มัส กรุ๊ป นำโดย “จิระพล รุจิวิพัฒน์” กรรมการผู้จัดการ จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ MG IM6 Happy Journey to Khao Yai ทริปฮีลใจ กับไพรม์มัส พาลูกค้ารถยนต์ไฟฟ้า MG IM6 รวม 14 ครอบครัว ร่วมเดินทางแบบคาราวานจากกรุงเทพฯ สู่เขาใหญ่ สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ผสานความสุขกับการรักษ์สิ่งแวดล้อม

    กิจกรรมเริ่มต้นที่โชว์รูมและศูนย์บริการ MG EV Premium สาขาเพชรเกษม 65 ด้วยการกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดย “จิระพล รุจิวิพัฒน์” พร้อมการชี้แจงเส้นทาง รายละเอียดกิจกรรม และจุดสถานีชาร์จไฟฟ้า ก่อนที่จะมีพิธีปล่อยขบวนคาราวานอย่างเป็นทางการ โดยร่วมกับ “ฐปนนท์ พฤกษ์ประมูล” ผู้อำนวยการ ฝ่ายบัญชีและการเงิน ไพรม์มัส กรุ๊ป ตีธงปล่อยธงขบวนคาราวาน ออกเดินทางสู่ปากช่อง จ.นครราชสีมา พร้อมเติมพลัง ด้วยการทานอาหารกลางวัน ที่ร้าน ตาทำปลาเผา ร้านปลาเผาสูตรโบราณ ต้นฉบับปลาเผาไม่ทาเกลือแห่งแรกในอีสาน ด้วยบรรยากาศสบายๆ ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ

    ระหว่างเส้นทาง ลูกค้าได้ร่วมเปิดประสบการณ์ด้านพลังงานแนวใหม่ ที่ EGAT Learning Center ลำตะคอง แหล่งเรียนรู้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแห่งอนาคต ผ่านโซนกิจกรรมเสมือนจริงทั้ง 7 โซน อาทิ การผจญภัยในโลกพลังงานน้ำ ลม และแสงอาทิตย์ ตลอดจนเรียนรู้ระบบ Wing Hydrogen Hybrid ที่เก็บพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมในรูปแบบก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งถือเป็นประเทศแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งได้สนุกสนานเพลิดเพลินกับเกมส์เก็บคะแนน และชมภาพยนตร์ในรูปแบบ 7 มิติ เรื่องพลังงานในแง่มุมต่างๆ

    จากนั้น ขบวนคาราวานได้เดินทางต่อไปยัง จุดชมวิวกังหันลมเขายายเที่ยง  จุดเช็คอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยว สัมผัสความงดงามของธรรมชาติกับกิจกรรมปั่นจักรยาน ชมทิวทัศน์รอบอ่างเก็บน้ำลอยฟ้า และวิวกังหันลมใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านเรียงรายเต็มพื้นที่

    ต่อด้วยการเดินทางสู่ที่พัก Atta Lakeside Resort Sweet รีสอร์ทหรู ระดับ 5 ดาว ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โอบล้อมด้วยขุนเขาเขียวขจีของเขาใหญ่ และวิวทะเลสาบที่สวยงามตระการตา สร้างประสบการณ์แห่งความสุขกับการพักผ่อนได้อย่างเต็มพิกัด

    ช่วงค่ำ ลูกค้าได้สัมผัสมื้อดินเนอร์สุดพิเศษที่  Prime 19 Khao Yai ร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดังของเขาใหญ่ ตัวร้านโดดเด่นด้วยอาคารหกเหลี่ยม ดิบ เท่ห์ สไตล์ อเมริกันอินดัสเตรียลล็อฟต์ ยุค 90s ภายในโปร่ง โล่งสบายเหมือนแฟคเตอร์รี่ขนาดใหญ่ พร้อมโซน Wine Celler ที่เป็นฉากโชว์ขวดไวน์สวยงาม อลังการ และใหญ่สุดในเขาใหญ่ อาหารทุกจานได้รับการรังสรรค์จากเชฟมืออาชีพ ที่พิถีพิถันตั้งแต่การเลือกสรรวัตถุดิบ ไปจนถึงการปรุงแต่งอาหารให้สวยงามและเลิศรส  เมื่อคลอเคล้ากับเสียงดนตรี ช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ให้อาหารมื้อนี้ อบอวลด้วยความสุขและความประทับใจ

    วันรุ่งขึ้น หลังทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ขบวนคาราวานออกเดินทางต่ออีกครั้ง สู่ร้านอาหาร ครัวเขาใหญ่ร้านเก่าแก่คู่เขาใหญ่มาอย่างยาวนาน ด้วยบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง บวกกับเมนูอาหารที่จัดเต็มทั้งปริมาณและรสชาติ ทำให้ทุกคนต่างอิ่มอร่อยและเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารมื้อพิเศษนี้อย่างเต็มที่

    จุดหมายต่อไป คือ GranMonte Vineyard and Winery ผู้ร่วมทริปได้สัมผัสบรรยากาศความงดงามของอาณาจักรไวน์คุณภาพระดับโลก ด้วยการนั่งรถเที่ยวชมไร่องุ่นที่ปลูกเรียงรายกว่า 100 ไร่ และเรียนรู้กระบวนการผลิตไวน์ ตั้งแต่การปลูก การบ่ม จนถึงการตรวจสอบคุณภาพ การบรรจุลงขวด รวมระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี

    พร้อมปิดทริป ด้วยการชิมไวน์คุณภาพที่มาจากหลากหลายสายพันธ์ ทั้ง White Wine, Red Wine, Dessert Wine และ Rose Wine จัดเสิร์ฟคู่กับอาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะไวน์แดง ที่เป็นบูติคไวน์ ที่มีรสชาติแตกต่างกันในแต่ละขวดและแต่ละปี ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของไร่กราน-มอนเต้ และทำให้คว้ารางวัลเหรียญทองจากเวทีการแข่งขันไวน์ระดับนานาชาติมาแล้วมากมาย

    กิจกรรม MG IM6 Happy Journey to Khao Yai ทริปฮีลใจกับ Primus ครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนสมรรถนะและคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้า MG IM6 ที่ตอบโจทย์การเดินทางทั้งด้านความสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังตอกย้ำเจตนารมณ์ของ Primus Group ที่มุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์แห่งความสุขและความประทับใจให้กับลูกค้า พร้อมสานต่อวิถีการเดินทางที่ใส่ใจโลกและความยั่งยืนในอนาคต


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment