-
News / News Motocycle1 Min Read
รวมโมเมนต์ประทับใจ! TRIUMPH x DGR 2025 โชว์พลังคอมมูนิตี้ไทรอัมพ์ กับบิ๊กอีเวนต์ขับขี่การกุศลระดับโลก
ในวันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศไทยได้สร้างปรากฏการณ์แห่งสไตล์และจิตวิญญาณ เมื่อเหล่าไรด์เดอร์สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีพร้อมใจกันแต่งกายสุดเนี้ยบ และขับขี่รถจักรยานยนต์สไตล์คลาสสิกคู่ใจ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานระดับโลก “เดอะ ดิสธิงกวิช เจนเทิลแมน ไรด์” (The Distinguished Gentleman’s Ride 2025) หรือ DGR เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพของเพศชาย โดยเฉพาะเรื่องมะเร็งต่อมลูกหมากและสุขภาพจิต
ไฮไลท์สำคัญของงานในปีนี้คือการที่ ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ ยังคงเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 และได้มีการผนึกกำลังกับผู้แทนจำหน่ายไทรอัมพ์ทั่วโลก จัดกิจกรรมและร่วมขับขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อให้เหล่าไรด์เดอร์สามารถมีส่วนร่วมได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ผ่าน “Team Triumph” เพื่อเชิญชวนไรด์เดอร์จากทั่วโลกเข้าร่วมขับขี่พร้อมกันด้วยการมีเป้าหมายเดียวกัน ทั้งเพื่อสุขภาพกาย ใจ และเพื่อสังคม
แน่นอนว่าในประเทศไทยการจัดกิจกรรม DGR 2025 ได้รับความร่วมมืออย่างอบอุ่นจากผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ อาทิ ไทรอัมพ์ พระราม 5, เซาท์เวสต์ แบงค็อก, พัทยา, ลพบุรี, อุบลราชธานี, เชียงใหม่, พิษณุโลก และภูเก็ต โดยมีเหล่าไรด์เดอร์ทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมอย่างคับคั่งกว่า 1,200 คน ในบรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน และพลังบวกจากชาวสองล้อที่พร้อมใจกันแต่งกายอย่างสง่างามเพื่อภารกิจสำคัญนี้ รวมไปถึงคนจากแวดวงบันเทิงและอินฟลูเอนเซอร์ ไม่ว่าจะเป็น ดีเจปอ – วรฐก์ ปิฏกานนท์ ที่ได้ขับขี่พี่ใหญ่สุดของไทรอัมพ์ Rocket 3 Storm R มาร่วมขับขี่ พร้อมด้วยคุณมาย ประกายกาญจน์ ไรด์เดอร์สาวและเจ้าของเพจ “Prakaipaikun – ประกายไปกัน” ที่ได้ขับขี่ไทรอัมพ์ Bonneville Bobber มาร่วมงาน ตลอดจนคุณตุลย์-วิศรุต พานิช ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกระบอกเสียงในการส่งต่อกิจกรรมดี ๆ นี้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทำให้กิจกรรม DGR ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานขับขี่รถจักรยานยนต์เท่านั้น แต่คือคอมมูนิตี้ที่รวมเอาความเท่ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบไรด์เดอร์ผสานเข้ากับการสร้างความตระหนักรู้ในการดูแลสุขภาพและการมีส่วนร่วมเพื่อสังคม ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ไทรอัมพ์ได้อย่างชัดเจน
สำหรับกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ ยังมีให้ทุกคนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่มาพร้อมความสนุกสนานอีกมากมายตลอดทั้งปี โดยสามารถติดตามรายละเอียด ตลอดจนชมภาพบรรยากาศงาน DGR 2025 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ได้ที่ www.facebook.com/TriumphMotorcyclesThailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
IRC ครบรอบ 55 ปีในประเทศไทย เดินหน้าสู่อนาคตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Driving Sustainability” เปิดตัวยาง IZ-Radial ประสิทธิภาพระดับสนามแข่ง
บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ IRC ผู้ผลิตยางชั้นนำจากความร่วมมือระหว่างทุนไทยและทุนญี่ปุ่น ฉลองวาระครบรอบ 55 ปีแห่งการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Driving Sustainability” ตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้ผลิตยางที่เน้นความยั่งยืน ผ่านการบริหารจัดการ โดยผู้บริหารจากทั้งสองฝั่งที่ทำงานร่วมกันอย่างเหนียวแน่นตลอดกว่า 5 ทศวรรษ
ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “ผู้นำอีลาสโตเมอร์อย่างยั่งยืน”
IRC ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ “มุ่งสู่การเป็นบริษัทอีลาสโตเมอร์ชั้นนำที่ยั่งยืน ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์อีลาสโตเมอร์ วัสดุพัฒนาใหม่ และยางล้อ เป็นที่เชื่อถือและมั่นใจในคุณภาพ” โดยดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับหลัก ESG ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
IRC ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี การเพิ่มขีดความสามารถบุคลากร และการยกระดับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการของสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม จากประเทศไทยซึ่งเป็นต้นทางไปสู่ทุกภูมิภาคในตลาดโลก
IRC Global Network อันเป็น Platform อาณาจักร IRC ระดับนานาชาติ
IRC ได้ขยายตลาดไปสู่กว่า 40 ประเทศทั่วโลก ด้วยความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี การตลาด และการจัดจำหน่าย ทำให้ IRC ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำในอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์และยานยนต์ทั่วโลก ทั้งในภาค OEM และผู้บริโภคทุกตลาด
เสริมความแข็งแกร่งผู้นำองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง
ภายในงาน ได้รับเกียรติจาก คุณธงชัย วงษ์สวรรค์ ประธานสมาพันธ์กีฬาแข่งรถจักรยานยนต์แห่งประเทศไทย มาเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหาร คุณพิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล ประธานกรรมการบริหาร และ มร.คิโยฮารุ มิซึชิม่า ประธานบริหาร และ มร.เออิจิ ยาโนะ กรรมการบริหาร จาก อีโนเว รับเบอร์ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ที่ร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรมาอย่างต่อเนื่องและยังได้แนะนำ คุณคณิน เหล่าจินดา ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมบริหาร พร้อมเดินหน้าต่อยอดศักยภาพองค์กรในระยะยาว
เปิดตัวยาง “IRC IZ-Radial” สมรรถนะระดับสนามแข่ง สำหรับ Big Scooter 300–350cc
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ IRC IZ-Radial ยางเรเดียลสำหรับ Big Scooter ขนาด
300–350cc ที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีระดับสนามแข่ง โดยโครงสร้างเรเดียล พร้อมกับวัสดุ Polyaramid ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับเสื้อเกราะกันกระสุน
* โครงสร้างที่ทนทาน, แข็งแรงกว่า และน้ำหนักเบากว่า ทำให้ควบคุมรถง่าย, มีเสถียรภาพในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง และประหยัดน้ำมัน
* ด้วยคอมเปาว์ระดับพรีเมียม, หน้าสัมผัสที่กว้างกว่า และสม่ำเสมอ ทำให้ยึดเกาะถนนดีเยี่ยม, ระยะเบรคสั้น และมีความนุ่มนวลในการขับขี่
โดยได้รับเกียรติจาก “ฟิล์ม-รัฐภาคย์ วิไลโรจน์” นักแข่งจักรยานยนต์คนไทยคนแรกในระดับโมโตทู มาร่วมทดสอบสมรรถนะยางเรเดียลสำหรับ Big Scooter พร้อมแชร์ประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ สะท้อนถึงคุณภาพที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งนักขับขี่สายทัวริ่งและผู้ใช้งานในชีวิตประจำวัน
55 ปี แห่งการเดินทางเปี่ยมประสบการณ์ นำมาซึ่งหมุดหมายหลักสู่ความยั่งยืน
IRC ไม่เพียงแต่พัฒนาผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมพัฒนาวิถีชีวิตสมัยใหม่ ในการเดินทางของชีวิตประจำวันด้วยความปลอดภัย ในวาระงานฉลองครบรอบ 55 ปี IRC ขอส่งมอบหมวกกันน็อค 55,000 ใบเพื่อความปลอดภัยสำหรับการเดินทางและขอบคุณลูกค้าคนสำคัญทั่วประเทศ
และในวันนี้ IRC พร้อมจะก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อคิดค้น..สรรสร้างนวัตกรรมคุณภาพและทรงคุณค่า เพื่อให้ IRC ตอบโจทย์ผู้ใช้ในทุกมิติ
IRC ขับเคลื่อนอย่างมั่นคง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ยั่งยืนของทุกคน… บนทุกเส้นทาง
#55thAnniversary #IRCAnniversary #IRC #55THIRC #IRCTIRETHAILAND #Realtimecarmagazine
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News Car1 Min Read
Primus Group ต้อนรับ “จู หัวหรง” ประธาน ฉางอาน เยี่ยมชมโชว์รูม “ดีพอล ไพรม์มัส ชลบุรี”
ผู้บริหารระดับสูง “Primus Group” ต้อนรับ “จู หัวหรง” ประธาน ฉางอาน ออโต้โมบิล เยี่ยมชม “ดีพอล ไพรม์มัส ชลบุรี” โชว์รูมและศูนย์บริการที่ทันสมัยสุดในภาคตะวันออก พร้อมร่วมแสดงความยินดีและส่งมอบรถยนต์ DEEPAL S07 ให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ
เมื่อเร็วๆ นี้ นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน, นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทในเครือ ไพรม์มัส กรุ๊ป พร้อมผู้บริหารและทีมงาน “ดีพอล ไพรม์มัส” ให้การต้อนรับ นายจู หัวหรง ประธาน, นายหวัง ฮุย รองประธาน, นายเคลาส์ ไซซิโอรา รองประธาน บริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล จำกัด, นายเติ้ง เฉิงหาว รองประธาน บริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DEEPAL และ นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีส เอเซีย จำกัด และ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมคณะผู้บริหาร ในโอกาสให้เกียรติเยี่ยมชม “ดีพอล ไพรม์มัส ชลบุรี” โชว์รูมและศูนย์บริการที่มีขนาดใหญ่ บริการครบถ้วนสมบูรณ์แบบ และทันสมัยสุดในภาคตะวันออก
ด้วยพื้นที่โชว์รูมและศูนย์บริการรวมทั้งสิ้น 6,290 ตร.ม. ด้านหน้า เป็นโซนจัดแสดงรถยนต์ DEEPAL ทุกรุ่นทุกแบบกว่า 10 คัน, โซนรับรองลูกค้าแบบ Exclusive Lounge ที่มีห้องรับรองพิเศษสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และโซนส่งมอบรถยนต์ DEEPAL ที่จะร่วมสร้างประสบการณ์และความประทับใจในการเป็นครอบครัวเดียวกันกับ “ดีพอล ไพรม์มัส ชลบุรี”
ส่วนด้านหลัง เป็นโซนบริการหลังการขาย แบ่งเป็นศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ DEEPAL มีช่องซ่อม 8 ช่อง, ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังขนาดใหญ่ พร้อมอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีระดับสูง และคลังอะไหล่ที่จัดเก็บชิ้นส่วน-อะไหล่สำรองต่างๆ ทำให้ทุกงานบริการสะดวก รวดเร็วและเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ โดยรองรับการให้บริการหลังการขายได้มากกว่า 500 คันต่อเดือน
พร้อมกันนี้ คณะผู้บริหารระดับสูงของฉางอาน, ดีพอล และไพรม์มัส กรุ๊ป, ดีพอล ไพรม์มัส ได้ร่วมแสดงความยินดีและส่งมอบรถยนต์ SUV สปอร์ตพรีเมี่ยม ไฟฟ้า 100% ในรุ่น DEEPAL S07 ให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ “สายชล นิตรานนท์” และครอบครัว พร้อมมอบของที่ระลึก ในการต้อนรับการเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว “ดีพอล ไพรม์มัส ชลบุรี” อีกด้วย
ประชาสัมพันธ์เรียบร้อย ตามลิงก์ที่แนบไปครับ
หากมีกิจกรรม หรือ งานเเถลงข่าว สามารถส่งคำเชิญมาได้เลยครับขออนุญาตฝาก ช่องทางออนไลน์ของ Realtime Car Magazine ไว้พิจารณาด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD- jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : realtimecarmagazine (@realtimecar) | TikTok
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
เดือนเมษายน 2568 ผลิตรถยนต์ 104,250 คัน ลดลงร้อยละ 0.40 ผลิตต่ำสุดในรอบ 44 เดือน ขาย 47,193 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.97 ส่งออก 65,730 คัน ลดลงร้อยละ 6.31 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 4,764 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 639.75 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 10,981 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 181.56 ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า 660 คันเป็นเดือนแรก
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนเมษายน 2568 ดังต่อไปนี้
การผลิต
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนเมษายน 2568 มีทั้งสิ้น 104,250 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2568 ร้อยละ 19.75 และลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 0.40 ผลิตลดลงไม่มาก เพราะมีการผลิตรถยนต์นั่งและรถ SUV ไฟฟ้าทั้ง BEV PHEV และ HEV ในประเทศมากขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 639.75 319.11 35.31 ตามลำดับ แต่ผลิตรถยนต์นั่งสันดาปภายในลดลงร้อยละ 33.60 เพราะผลิตรถยนต์นั่งส่งออกลดลงถึงร้อยละ 36.93 เนื่องจากมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์บางรุ่น รถกระบะยังคงผลิตลดลงร้อยละ 3.06 เพราะผลิตขายในประเทศลดลงร้อยละ 33.16 ตามยอดขายรถกระบะในประเทศที่ยังคงลดลงร้อยละ 22.25
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 456,749 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 11.96
รถยนต์นั่ง เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 40,025 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 4.80 โดยแบ่งเป็น
- รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 15,649 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 33.60
- รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 4,764 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 639.75
- รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 1,031 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 319.11
- รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 18,581 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 35.31
ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มีจำนวน 159,890 คัน เท่ากับร้อยละ 35.01 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 17.26 โดยแบ่งเป็น
- รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 68,916 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 41.34
- รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 14,083 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 327.92
- รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 7,783 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 333.84
- รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 69,108 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 2.20
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนเมษายน 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ไม่มีการผลิต
รถยนต์บรรทุก เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 64,225 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 3.39 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 296,859 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 8.81
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 63,740 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 3.06 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 293,778 คัน เท่ากับร้อยละ 64.32 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 7.03 โดยแบ่งเป็น
- รถกระบะบรรทุก 50,126 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 10.44
- รถกระบะดับเบิลแค็บ 185,141 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 10.19
- รถกระบะ PPV 58,511 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 8.58
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน – มากกว่า 10 ตัน เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 485 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 33.10 รวมเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ 3,081 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 67.70
ผลิตเพื่อส่งออก
เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 67,085 คัน เท่ากับร้อยละ 64.35 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 6.73 ส่วนเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 303,881 คัน เท่ากับร้อยละ 66.53 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 12.07
รถยนต์นั่ง เดือนเมษายน 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 13,114 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 36.93 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 54,601 คัน เท่ากับร้อยละ 34.15 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 46.78
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนเมษายน 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 53,971 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 5.54 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 249,280 คัน เท่ากับร้อยละ 84.85 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 2.58 โดยแบ่งเป็น
- รถกระบะบรรทุก 31,093 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม–เมษายน 2567 ร้อยละ 47.23
- รถกระบะดับเบิลแค็บ 169,846 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม–เมษายน 2567 ร้อยละ 4.39
- รถกระบะ PPV 48,341 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม–เมษายน 2567 ร้อยละ 9.26
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 37,165 คัน เท่ากับร้อยละ 35.65 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 13.52 และเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ 152,868 คัน เท่ากับร้อยละ 33.47 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 11.72
รถยนต์นั่ง เดือนเมษายน 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 26,911 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 54.68 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2567 ผลิตได้ 105,289 คัน เท่ากับร้อยละ 65.85 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม – เมษายน 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.16
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนเมษายน 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 9,769 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 33.16 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 44,498 คัน เท่ากับร้อยละ 15.15 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 39.04 ซึ่งแบ่งเป็น
- รถกระบะบรรทุก 19,033 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม–เมษายน 2567 ร้อยละ 45.39
- รถกระบะดับเบิลแค็บ 15,295 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม–เมษายน 2567 ร้อยละ 46.32
- รถกระบะ PPV 10,170 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม–เมษายน 2567 ร้อยละ 5.47
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ในเดือนเมษายน 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม – เมษายน 2568 ไม่มีการผลิต
รถบรรทุก เดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 485 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 33.10 และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 3,081 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 67.70
รถจักรยานยนต์
เดือนเมษายน 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 189,547 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 17.07 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 157,091 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 15.18 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 32,456 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 27.15
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 854,032 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 3.94 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 688,549 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 2.80 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 165,483 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 8.93
ยอดขาย
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนเมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,193 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2568 ร้อยละ 15.42 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 0.97 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในขณะที่รถกระบะและรถ PPV ยังคงขายลดลงร้อยละ 21.7 และ 20.5 ตามลำดับจการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอเพราะดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงจากอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงลดลงร้อยละ 3.83 การลงทุนภาคเอกชนไตรมาสหนึ่งปีนี้ลดลง และจากค่าครองชีพที่ยังสูง ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง
รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 31,115 คัน เท่ากับร้อยละ 65.93 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 14.91
- รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 11,227 คัน เท่ากับร้อยละ 23.79 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 11.99
- รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 10,901 คัน เท่ากับร้อยละ 23.10 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 179.51
- รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 1,083 คัน เท่ากับร้อยละ 2.29 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 720.45
- รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 7,904 คัน เท่ากับร้อยละ 16.75 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 23.18
รถกระบะมีจำนวน 10,937 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 22.25 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 80 ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 2,879 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 20.51 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 1,086 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 16.77 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 1,096 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 5.28
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 131,950 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 12.81 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 3.86
ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2568 รถยนต์มียอดขาย 200,386 คัน ลดลงจากปี 2567 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 4.80 แยกเป็น
รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 127,188 คันเท่ากับร้อยละ 63.47 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 0.38
- รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 48,784 คัน เท่ากับร้อยละ 24.35 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 13.89
- รถยนต์นั่งแหละรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 33,633 คัน เท่ากับร้อยละ 16.78 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 46.03
- รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 3,543 คัน เท่ากับร้อยละ 1.77 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 409.78
- รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 41,228 คัน เท่ากับร้อยละ 20.57 ของยอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 11.01
รถกระบะมีจำนวน 51,319 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15.42 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 173 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 12,266 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 8.71 รถบรรทุก 5 – 10 ตัน มีจำนวน 4,675 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15.42 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 4,765 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนช่วงกันในปีที่แล้ว 14.93
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 587,194 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 2.18
รถยนต์สำเร็จรูป
เดือนเมษายน 2568 ส่งออกได้ 65,730 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 18.77 และลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 6.31 เพราะมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์นั่งบางรุ่นและการเข้มงวดในเรื่องเทคโนโลยีช่วยเหลือเรื่องความปลอดภัยและการปล่อยคาร์บอนในบางประเทศคู่ค้า รถยนต์ HEV จึงส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 87.96 แต่จำนวนไม่มาก จึงส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาเหนือ คงต้องติดตามผลการเจรจาของประเทศไทยและประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาต่อไป
ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนเมษายน 2568 แบ่งเป็น ดังนี้
- รถกระบะ 44,100 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 67.09 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.92
- รถยนต์นั่ง ICE 8,123 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 12.36 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567ร้อยละ 49.64
- รถยนต์นั่ง BEV 660 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 1.43 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
- รถยนต์นั่ง HEV 4,701 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 7.15 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 87.96
- รถ PPV 8,146 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 12.39 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 17.68
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 46,031.33 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 4.39
- เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,286.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 17.12
- ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 8,537.62 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 47.67
- อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,038.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 1.57
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนเมษายน 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 59,893.19 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 13.54
เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 290,288 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 14.79 แบ่งเป็น
- รถกระบะ ICE 187,875 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 64.72 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 4.53
- รถยนต์นั่ง ICE 40,961 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.11 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 47.24
- รถยนต์นั่ง BEV 660 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.33 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
- รถยนต์นั่ง HEV 17,040 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.87 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 12.25
- รถ PPV 43,752 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 15.07 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 6.61
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 202,219.06 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 14.78 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 12,081.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 24.95
- ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 50,102.01 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 19.95
- อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 8,785.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 5.50
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – เมษายน 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 273,187.64 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 14.06
รถจักรยานยนต์
เดือนเมษายน 2568 มีจำนวนส่งออก 61,223 คัน (รวม CBU + CKD) ลดลงจากเดือนมีนาคม 2568 ร้อยละ 33.42 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 16.02 โดยมีมูลค่า 4,335.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 1.50
- ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 188.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 1.70
- อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 158.46 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 8.07
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนเมษายน 2568 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ 4,682.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 1.15
เดือนมกราคม – เมษายน 2568 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 303,319 คัน (รวม CBU + CKD) ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 1.04 มีมูลค่า 21,861.03 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 8.82
- ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 694.73 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 17.35
- อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 844.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 26.01
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม – เมษายน 2568 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 23,400.23 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 8.19
เดือนเมษายน 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 64,575.43 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 12.62
เดือนมกราคม – เมษายน 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 296,587.87 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 13.62
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนเมษายน 2568
เดือนเมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 8,029 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 32.91 โดยแบ่งเป็น
- รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 6,264 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 53.12
- รถยนต์นั่งจำนวน 6,093 คัน
- รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 168 คัน
- รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 1 คัน
- รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 2 คัน
- รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 26 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 550
- รถยนต์สามล้อรับจ้างมีทั้งสิ้น 3 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 86.36
- รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน 3 คัน
- รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 1,704 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 8.04
-
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 1,704 คัน
- รถโดยสารมีทั้งสิ้น 3 คัน ลดลงจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 95.08
- รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 29 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 190
เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 40,020 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายนปีที่แล้วร้อยละ 11.93 โดยแบ่งเป็น
- รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 31,661 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 20.49
- รถยนต์นั่งจำนวน 31,089 คัน
- รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 431 คัน
- รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 10 คัน
- รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 131 คัน
- รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 108 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 28.95
- รถยนต์สามล้อมีทั้งสิ้น 8 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 72.41
- รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล 6 คัน
- รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน 2 คัน
- รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 8,105 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 10.53
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 8,104 คัน
- รถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน 1 คัน
- รถโดยสารมีทั้งสิ้น 50 คัน ลดลงเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 53.27
- รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 88 คัน ลดลงเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 32.82
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนเมษายน 2568
เดือนเมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 10,476 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 0.60 โดยแบ่งเป็น
- รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 10,376 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 0.05
- รถยนต์นั่งจำนวน 10,347 คัน
- รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 5 คัน
- รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 14 คัน
- รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 9 คัน
- รถยนต์บริการให้เช่าจำนวน 1 คัน
- รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 100 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 132.56
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 100 คัน
เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 48,641 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายนปีที่แล้วร้อยละ 0.23 โดยแบ่งเป็น
- รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 48,308 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 0.18
- รถยนต์นั่งจำนวน 48,168 คัน
- รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนจำนวน 14 คัน
- รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 76 คัน
- รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 49 คัน
- รถยนต์บริการให้เช่าจำนวน 1 คัน
- รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 333 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 154.20
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลจำนวน 333 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนเมษายน 2568
เดือนเมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 3,288 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 414.55 โดยแบ่งเป็น
- รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 3,288 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปีที่แล้วร้อยละ 414.55
- รถยนต์นั่งจำนวน 3,288 คัน
เดือนมกราคม – เมษายน 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 7,420 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายนปีที่แล้วร้อยละ 121.56 โดยแบ่งเป็น
- รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 7,420 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 121.56
- รถยนต์นั่งจำนวน 7,397 คัน
- รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 20 คัน
- รถยนต์บริการทัศนาจรจำนวน 3 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 30 เมษายน 2568
ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 266,863 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 59.48 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
- รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 190,791 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 64.62
- รถยนต์นั่งมีจำนวน 186,771 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 63.47
- รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนมีจำนวน 2,935 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 133.86
- รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 214 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 245.16
- รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 174 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 87.10
- รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 3 คัน ซึ่งในช่วงเดียวกันไม่มีการจดทะเบียน
- รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 694 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 189.17
- รถกระบะและรถแวนมีจำนวน 978 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 125.35
- รถยนต์ 3 ล้อมีจำนวนทั้งสิ้น 1,029 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 11.73
- รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลมีจำนวน 120 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 36.36
- รถยนต์รับจ้างสามล้อมีจำนวน 909 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 9.12
- รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 70,246 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 49.09
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 70,136 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 49.27
- รถจักรยานยนต์สาธารณะมีจำนวน 110 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 15.38
- อื่นๆ
- รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2,836 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 12.23
- รถบรรทุกมีจำนวนทั้งสิ้น 983 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 125.98
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 30 เมษายน 2568
ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 517,573 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 32.13 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
- รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 508,001 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 32.79
- รถยนต์นั่งมีจำนวน 506,708 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 32.76
- รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 506 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.33
- รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 149 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 129.23
- รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 265 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 44.81
- รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20
- รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 367 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 135.26
- รถกระบะและรถแวนมีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
- รถจักรยานยนต์มีจำนวนทั้งสิ้น 9,569 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.60
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลมีจำนวน 9,569 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 4.60
- อื่นๆ
- รถโดยสารมีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 30 เมษายน 2568
ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 70,534 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 23.16 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
- รถยนต์นั่งและรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 70,534 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 23.16
- รถยนต์นั่งมีจำนวน 70,439 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 23.15
- รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คนมีจำนวน 1 คัน ในปี 2567 ยังไม่มีการจดทะเบียน
- รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 62 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 51.22
- รถยนต์บริการทัศนาจรมีจำนวน 21 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 8.70
- รถยนต์บริการให้เช่ามีจำนวน 5 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 66.67
- รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
GWM ชู “ศูนย์ทดสอบความปลอดภัย (GWM Safety Lab)” ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 2,300 ล้านบาท คิดค้นระบบอัจฉริยะและนวัตกรรม เพื่อพลิกโฉมมาตรฐานความปลอดภัยในเวทีโลก
GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users) ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ “ศูนย์ทดสอบความปลอดภัย” หรือ “GWM Safety Lab” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ณ เมืองเป่าติ้ง ประเทศจีน ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 500 ล้านหยวน หรือประมาณ 2,300 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโยลีและนวัตกรรมสุดล้ำหน้าร่วมกับระบบทดสอบความปลอดภัยขั้นสูง ได้แก่ 1.) พื้นที่ทดสอบแบตเตอรี่ในรถยนต์พลังงานใหม่ด้วยระบบ “Firewall” สุดอัจฉริยะ 2.) กองทัพหุ่นทดสอบการชนเสมือนมนุษย์ มูลค่ากว่า 454 ล้านบาท และ 3.) นวัตกรรมในระบบลากทดสอบความเร็วสูง (Towing System) ที่ GWM คิดค้นขึ้นเอง พร้อมสิทธิบัตรระดับชาติ 11 รายการ โดยความล้ำหน้าและความอัจฉริยะที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการทดสอบความปลอดภัยใน GWM Safety Lab นี้ พิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของการพัฒนารถยนต์ของ GWM ที่เน้นและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก ๆ โดยรถยนต์ของ GWM ทุกรุ่น ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานระดับสากล ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของวงการยานยนต์ระดับโลกให้ล้ำหน้าไปอีกขั้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นจากรถยนต์ GWM แก่ผู้ใช้งานทั่วโลก
35 ปีแห่งความมุ่งมั่น เพราะความปลอดภัย ไม่มีทางลัด
แจ็ค เว่ย ผู้ก่อตั้งบริษัท GWM เน้นย้ำว่า “การผลิตรถยนต์เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ไม่มีทางลัด และ ‘ความปลอดภัย’ ต้องมาเป็นอันดับแรกเสมอ” ด้วยแนวคิดนี้ GWM ได้จัดตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัย GWM Safety Lab พร้อมเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องร่วมกับทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก โดยในปี 2567 GWM ได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาคิดเป็นมูลค่ากว่า 51,000 ล้านบาท หรือประมาณ 5.2% ของรายได้ทั้งหมด สะท้อนแนวคิดได้อย่างชัดเจนว่า GWM ไม่ได้เพียงแค่ “ผลิตรถยนต์” แต่กำลัง “ปกป้องชีวิต” ผ่านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยืนหยัดและต่อต้านการลดทอนคุณภาพเพื่อผลประโยชน์ในระยะสั้น และมุ่งสร้างมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมสามารถไว้วางใจได้ อาทิ GWM WEY 80 รถยนต์ MPV รุ่นเรือธง ที่ออกแบบให้ผู้โดยสารทั้งสามแถวได้รับการปกป้องได้อย่างเท่าเทียม ร่วมกับถุงลมนิรภัยด้านข้างที่สามารถรักษาแรงดันได้นานถึง 6 วินาที เพิ่มโอกาสในการปกป้องทุกชีวิตภายในรถในทุกสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้เป็นอย่างดี
ศูนย์ทดสอบความปลอดภัย GWM Safety Lab นี้ มาพร้อมกับระบบ Five-Zone และ Eight-Track ที่ประกอบด้วยพื้นที่ทดสอบแรงปะทะ 5 โซน และรางดึงขนาดเล็ก 8 เส้นทาง รองรับการทดสอบการชนของรถยนต์ทั้งความเร็วสูงและต่ำสูงสุดถึง 3 ครั้งต่อประเภทในแต่ละวัน และสามารถทดสอบได้มากถึง 1,500 ครั้งต่อปี นอกจากนี้ ยังสามารถจำลองสถานการณ์การชนที่มีความซับซ้อนได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การชนจากด้านข้างตามมาตรฐานสากล การชนแบบ OMDB (Offset Moving Deformable Barrier) ที่ใช้ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามข้อกำหนดใหม่ในอเมริกาเหนือ รวมถึงการชนจากด้านหน้าในมุมและระดับความเร็วที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีการทดสอบการพลิกคว่ำในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การพลิกคว่ำแบบหมุน การพลิกคว่ำจากการกระแทกขอบถนน การพลิกคว่ำจากการตกหลุมทราย และการตกจากเนินลาด นับว่าเป็นศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ครบครันและสมบูรณ์แบบที่สุด ครอบคลุมทุกสถานการณ์บนท้องถนนอย่างแท้จริง
พื้นที่ทดสอบรถยนต์พลังงานใหม่แห่งอนาคต กับระบบ “Firewall” สุดอัจฉริยะ ควบคุมความปลอดภัยของแบตเตอรี่ขั้นสูงสุด
โซนทดสอบเฉพาะสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด ด้วยระบบติดตามสภาพแบตเตอรี่หลังการชนแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมติดตั้งระบบดับเพลิงอัจฉริยะที่ตอบสนองทันทีเมื่อพบความผิดปกติ โดยตัวรถจะถูกนำลงบ่อน้ำลึก 1.2 เมตรภายใน 30 วินาที เพื่อระบายความร้อนและลดความเสี่ยงจากแบตเตอรี่ ระบบความปลอดภัยจะทำงานโดยอัตโนมัติทันที ทั้งการปิดประตูกันไฟ เปิดช่องระบายอากาศ เปิดไฟส่องสว่าง และฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อควบคุมสถานการณ์ นอกจากนี้ ตัวรถยังสามารถส่งข้อมูลได้แม้อยู่ใต้น้ำ ช่วยให้นักวิจัยสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำ เพื่อใช้ในการพัฒนาและต่อยอดระบบป้องกัน “Firewall” ไปสู่รถยนต์รุ่นอื่น ๆ ของ GWM ในอนาคต
กองทัพหุ่นทดสอบเสมือนมนุษย์ มูลค่ากว่า 454 ล้านบาท ผู้พิทักษ์ความปลอดภัยในทุกการชน
หัวใจสำคัญของศูนย์ทดสอบความปลอดภัยแห่งนี้ คือ “กองทัพหุ่นทดสอบ” ที่มีมูลค่ารวมกว่า 454 ล้านบาท โดยประกอบด้วยหุ่นทดสอบสมรรถนะขั้นสูง เช่น Thor Dummy ที่มีมูลค่าสูงกว่า 45 ล้านบาทต่อหน่วย และหุ่น WorldSID ซึ่งใช้สำหรับทดสอบแรงกระแทกจากด้านข้าง โดยมีมูลค่ากว่า 36 ล้านบาทต่อหน่วย หุ่นแต่ละตัวได้รับการออกแบบให้มีลักษณะใกล้เคียงกับสรีระของมนุษย์มากที่สุด ทั้งโครงกระดูก ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ พร้อมติดตั้งเซนเซอร์ภายในจำนวนมาก เพื่อเก็บข้อมูลการทดสอบอย่างละเอียดและแม่นยำ โดยหุ่นเหล่านี้จะถูกถอดประกอบและปรับเทียบใหม่ทุก 5 ครั้งที่ใช้งาน เพื่อคงมาตรฐานสูงสุดด้านความแม่นยำ ปัจจุบัน GWM มีหุ่นทดสอบทั้งหมด 34 ตัว ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “ทีมผู้พิทักษ์ชีวิต” ที่มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาระบบความปลอดภัยจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ก้าวล้ำด้วยนวัตกรรมที่ GWM คิดค้นเอง พร้อมสิทธิบัตรระดับชาติ 11 รายการ
ระบบลากทดสอบความเร็วสูง (Towing System) ภายใน GWM Safety Lab นี้ เป็นผลงานการพัฒนาของทีมวิจัย GWM โดยเฉพาะ สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้รับการจดสิทธิบัตรในระดับประเทศแล้วถึง 11 รายการ ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ ไปจนถึงการควบคุมระบบแบบครบวงจร อีกหนึ่งไฮไลต์ของศูนย์ฯ คือพื้นที่โซนตรงกลางที่ติดตั้งบ่อกระจกนิรภัยหนาพิเศษขนาด 110 มิลลิเมตร พร้อมกล้องความเร็วสูง เพื่อบันทึกภาพการเปลี่ยนแปลงใต้ท้องรถขณะเกิดการชนได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบการเสียรูปของโครงสร้างรถยนต์ได้อย่างแม่นยำ นับว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
GWM ไม่เพียงแค่มุ่งสู่การเป็นผู้นำแบรนด์รถยนต์ระดับโลก แต่ยังเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างอนาคตแห่งการขับขี่ที่ปลอดภัย อัจฉริยะ และยั่งยืน ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับแนวหน้าที่ให้ความสำคัญกับชีวิตเป็นศูนย์กลาง พร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางแห่งอนาคตที่ครบครัน ครอบคลุมทุกความต้องการ และเหนือกว่าในทุกมิติการขับขี่ตามแนวคิด “GWM Go With More” ได้อย่างแท้จริง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
สรุปประเด็นสำคัญจากการแถลงทิศทางธุรกิจของฮอนด้า ปี 2025 – ฮอนด้า เดินหน้าปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้ตอบรับสภาพแวดล้อมธุรกิจในปัจจุบัน –
บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด นำโดยนาย โทชิฮิโระ มิเบะ ผู้อำนวยการ ประธานกรรมการบริหาร และตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร แถลงแนวทางการดำเนินธุรกิจของฮอนด้า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นที่การขับเคลื่อนด้วยยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีข้อสรุปดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงของตลาด EV และการปรับกลยุทธ์ทิศทางใหม่
ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ยังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง ผนวกกับความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากหลายปัจจัย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นฐานสำหรับการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานอย่างแพร่หลาย ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้าของประเทศต่าง ๆ ฮอนด้า จึงจำเป็นต้องสร้างคุณค่าใหม่ให้แก่ลูกค้า เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวน และไม่ใช่เพียงเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังผนวกการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงด้วย เพื่อนำเสนอคุณค่าเหล่านั้นไปยังลูกค้าในวงกว้างได้มากยิ่งขึ้น พร้อมเข้าถึงได้ง่ายและจับต้องได้
โดย ฮอนด้า จะปรับกลยุทธ์ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้ 2 ทิศทาง คือ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ และเสริมรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง ผ่านการปรับพอร์ตโฟลิโอด้านระบบขับเคลื่อนใหม่ อีกทั้งเตรียมพัฒนาระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (ADAS) เจเนอเรชันใหม่ พร้อมผนวกความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ
รวมถึงปรับแผนเปิดตัวรถใหม่ เนื่องด้วยการชะลอตัวของตลาด EV ทั่วโลกที่ส่งผลให้เป้าหมายสัดส่วนยอดขาย EV ทั่วโลกของฮอนด้าในปี 2030 อาจต่ำกว่าเป้าหมาย 30% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า โดยนับจากนี้จะเน้นขุมพลังไฮบริด เป็นหลักในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด (HEV) เจเนอเรชันใหม่ที่จะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป พร้อมเร่งขยายไลน์อัปไฮบริดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการปรับแนวทางนี้ ฮอนด้า ตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายในปี 2030 ให้มากกว่าระดับปัจจุบันที่ 3.6 ล้านคัน โดยมีเป้าหลักอยู่ที่ยอดขายรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ 2.2 ล้านคัน
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ ผ่านการพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) เจเนอเรชันใหม่อย่างแพร่หลาย
- ฮอนด้า อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) เจเนอเรชันใหม่ ที่สามารถช่วยในการขับขี่ได้ เช่น การเร่งและการบังคับเลี้ยวตลอดเส้นทาง ตามจุดหมายที่ผู้ขับขี่ป้อนลงในระบบนำทาง
ไม่ว่าจะขับบนทางด่วนหรือถนนในเมือง ผ่านการต่อยอดองค์ความรู้ที่สั่งสมจากการพัฒนาเทคโนโลยี
การขับขี่อัตโนมัติ - โดยฮอนด้ามีแผนในการติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) เจเนอเรชันใหม่ ในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถไฮบริด (HEV) รุ่นหลัก ๆ ที่เตรียมเปิดตัวในอเมริกาเหนือและญี่ปุ่น ในปี 2027
- สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนที่มีการเติบโตของเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่างก้าวกระโดด ฮอนด้า มีแผนที่จะทำงานร่วมกับ Momenta Global Limited ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของจีนที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ เพื่อพัฒนา ADAS รุ่นถัดไปที่เหมาะสมกับสภาพถนนในประเทศจีน และติดตั้งในรถยนต์ฮอนด้าทุกรุ่นที่จะเปิดตัวในประเทศจีนในอนาคต
- เสริมแกร่งกลยุทธ์ EV
- ฮอนด้า มุ่งพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบไฮบริด e:HEV ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง ให้เป็นระบบ
ขับเคลื่อนที่มีความก้าวหน้าในแง่มุมต่าง ๆ โดยพัฒนาต่อยอดบนระบบไฮบริด 2 มอเตอร์เดิม ผนวกเข้ากับ
1) การพัฒนาแพลตฟอร์มเจเนอเรชันใหม่ที่ล้ำสมัย มีเสถียรภาพในการขับขี่และน้ำหนักที่ลดลง และ 2) ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนสี่ล้อ (Electric AWD) ที่พัฒนาใหม่ ที่มอบการควบคุมที่แม่นยำและการตอบสนองของมอเตอร์ที่ทันใจ - ตั้งเป้าพัฒนาระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV เจเนอเรชันใหม่ ให้มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีขึ้น 10% รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนให้กับรถไฮบริด (HEV) ของฮอนด้า และปรับต้นทุนของระบบฯ ลง 50% เมื่อเทียบกับระบบไฮบริดที่ติดตั้งในรถยนต์ที่เปิดตัวรุ่นปี 2018 และลดลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับระบบไฮบริดที่ติดตั้งในรถยนต์ที่เปิดตัวในปี 2023 ในรุ่นปัจจุบัน
- สำหรับตลาดอเมริกาเหนือที่เป็นตลาดหลักของรถไฮบริด (HEV) ฮอนด้า มีแผนที่จะพัฒนาระบบไฮบริดสำหรับรถขนาดใหญ่ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในตลาดนี้ โดยเตรียมที่จะติดตั้งในรถที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังของทศวรรษ 2020
- มีแผนเปิดตัวรถไฮบริด (HEV) เจเนอเรชันใหม่ของฮอนด้า รวมทั้งหมด 13 รุ่นทั่วโลก ภายในระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2027 เพื่อขยายไลน์อัปไฮบริด (HEV) ให้ครอบคลุมและตอบรับกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- แนวคิดของฮอนด้า ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่ง EV อย่างเต็มรูปแบบ
- ฮอนด้า คาดว่าเป้าหมายสัดส่วนยอดขาย EV ทั่วโลกของฮอนด้าในปี 2030 อาจลดลงต่ำกว่าเป้าที่ 30% ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เนื่องด้วยการชะลอตัวของตลาด EV ทั่วโลก
- โดยยังคงเชื่อมั่นในแนวคิดว่ายานยนต์ไฟฟ้า (EV) คือหนทางสำคัญในการมุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ดังนั้นฮอนด้า จะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการเตรียมรากฐานความพร้อมที่มั่นคง
เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
- สำหรับไลน์อัป Honda 0 Series (ฮอนด้า ซีโร่ ซีรีส์) ที่นับเป็นเสาหลักของธุรกิจ EV ของฮอนด้าในอนาคต จะมีการเผยโฉมรถยนต์รุ่นแรกในไลน์อัปในปีหน้า ซึ่งฮอนด้า จะส่งมอบคุณค่า SDV (Software-Defined Vehicle) ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานแต่ละคนผ่านฟังก์ชัน “ultra-personal optimization” ผ่านการทำงานร่วมกันของระบบปฏิบัติการยานยนต์ ASIMO OS และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่/ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (AD/ADAS) ที่ได้นำเสนอไปในงาน CES 2025
- นอกจากนี้ Honda 0 Series เจเนอเรชันถัดไป จะมาพร้อมสถาปัตยกรรมยานยนต์แบบ Centralized E&E Architecture เพื่อมอบระบบ AD/ADAS ที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น
- บทสรุปการปรับกลยุทธ์ EV
- ฮอนด้า มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์ สอดรับกับยุคสมัยแห่งยานยนต์อัจฉริยะ และผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เพื่อส่งมอบความสนุกสนานในการขับขี่ (Joy of Driving) อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรถยนต์ฮอนด้า
- เตรียมใช้โลโก้ H Mark ดีไซน์ใหม่ ในรถไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ของฮอนด้า ที่จะเริ่มเปิดตัว
สู่ตลาดในปี 2027 ซึ่งเป็นแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าในไลน์อัป Honda 0 Series ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้า สะท้อนสัญญะแห่งการเปลี่ยนผ่านในธุรกิจยานยนต์ของฮอนด้า
- ระบบการผลิตและการจัดสรรทรัพยากรด้านการผลิต
- มุ่งดำเนินงานตามกลยุทธ์ห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นสูง โดยเตรียมจัดทำระบบการผลิตที่มีความยืดหยุ่น ที่สามารถปรับการผลิตได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการและเป้าการขายได้ ผ่านการสร้างสายการผลิตที่สามารถผลิตได้ทั้ง EV และ HEV เพื่อรองรับกับการเติบโตของการจำหน่ายรถไฮบริดอย่างต่อเนื่อง และเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าในระยะกลางถึงระยะยาว
- พร้อมจัดตั้งห่วงโซ่อุปทานในแนวคิด “ผลิตสินค้าให้ใกล้ชิดลูกค้า” ซึ่งเป็นแนวคิดของ “การผลิตในท้องถิ่นเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น” เพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานให้แข็งแกร่งขึ้น และสามารถรองรับกับทุกการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดได้ในอนาคต
- ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในธุรกิจรถจักรยานยนต์
สำหรับปีงบประมาณล่าสุด ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา ฮอนด้า มียอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์รวมทั้งสิ้น 20.57 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของยอดขายรวมในตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วโลก โดยความสำเร็จครั้งนี้ยังสร้างสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใน 37 ประเทศและภูมิภาคอีกด้วย ทั้งนี้ คาดว่าความต้องการในตลาดรถจักรยานยนต์จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดรถจักรยานยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก อันเนื่องมาจากการขยายตัวของประชากรและระดับรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่า ยอดขายรวมของอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันประมาณ 50 ล้านคัน เป็น 60 ล้านคันภายในปี 2030
เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฮอนด้า ยังคงมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าสนใจ ผ่านการออกแบบที่สอดคล้องกับความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดหาวัตถุดิบและระบบการกระจายสินค้าที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม ฮอนด้า ได้เร่งการใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าในผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันในรุ่นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) และการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์
ที่รองรับเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ฮอนด้า ได้เริ่มวางจำหน่ายรุ่น Active e: และ QC1 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยได้มีการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศอินเดียเมื่อปีก่อน ขณะเดียวกัน ฮอนด้ายังได้เริ่มจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก อย่างรุ่น CUV e: และ ICON e: ในประเทศอินโดนีเซียเป็นแห่งแรก และมีแผนขยายตลาดต่อไปยังเวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์
สำหรับรุ่น CUV e: ฮอนด้ามีกำหนดวางจำหน่ายในภูมิภาคยุโรปและประเทศญี่ปุ่นภายในปีนี้ โดยฮอนด้าจะดำเนินการพัฒนาโมเดลไฟฟ้า พร้อมทั้งจัดตั้งโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะที่มีประสิทธิภาพสูงในประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2028 ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างโครงสร้างธุรกิจจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยฮอนด้าวางแผนที่จะนำเสนอรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
เมื่อดำเนินการเช่นนี้แล้ว ฮอนด้าจะสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความโดดเด่นและการพัฒนาระบบซัพพลายเชนที่ครอบคลุมทั้งในกลุ่มเครื่องยนต์สันดาป (ICE) และกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยในระยะยาว ฮอนด้าตั้งเป้าสร้างฐานธุรกิจที่มั่นคงด้วยส่วนแบ่งตลาดระดับโลกที่ 50% และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (ROS) มากกว่า 15% ภายในปีงบประมาณ 2531 (ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2031)
- กลยุทธ์ด้านการเงิน – การพัฒนากำไร การประเมินการลงทุนใหม่ และการจัดสรรการลงทุน
- ฮอนด้า คาดการณ์ว่าจะเพิ่มผลกำไรของบริษัทฯ ภายในปี 2030 ด้วยแนวทางดังนี้
- การขยายธุรกิจรถจักรยานยนต์อย่างต่อเนื่อง
- การลดต้นทุนในธุรกิจยานยนต์ที่เกี่ยวเนื่องกับการปรับใช้ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV เจเนอเรชันใหม่และแพลตฟอร์มใหม่
- การเพิ่มยอดขายต่อหน่วยของรถไฮบริด (HEV) และจะยังคงมุ่งหน้าต่อไปเพื่อบรรลุเป้าหมาย ROIC (Return on Invested Capital) ของบริษัทที่ 10% สำหรับปีงบประมาณ 2031 (ปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2031)
- สำหรับแผนการลงทุนในกลยุทธ์ด้าน EV ที่ประกาศไว้เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่า 10 ล้านล้านเยนฮอนด้า ได้ปรับลดวงเงินลงทุนลง 3 ล้านล้านเยน เหลือ 7 ล้านล้านเยน ภายในปีงบประมาณ 2031 (ปีงบประมาณที่สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 2031) โดยเป็นผลจากการตัดสินใจเลื่อนโครงการสร้าง value chain สำหรับ EV แบบครบวงจรในประเทศแคนาดา รวมถึงการยืดเวลาในการสร้างโรงงานที่จะผลิต EV เฉพาะออกไปก่อน
- สำหรับการเปลี่ยนแปลงการจัดสรรเงินทุนในช่วง 5 ปี นับจากปีงบประมาณ 2027 เป็นต้นไป ฮอนด้ามีเป้าหมายในการสร้างกระแสเงินสดรวมมากกว่า 12 ล้านล้านเยน โดยผสมผสานศักยภาพในการสร้างเงินสดอย่างมั่นคงจากธุรกิจรถจักรยานยนต์ควบคู่กับการเพิ่มยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าต่อหน่วย สำหรับการจัดสรรทรัพยากรจนถึงปีงบประมาณ 2031
- ลดการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ EV ลง 3 ล้านล้านเยน โดยฮอนด้า คาดว่าจะเพิ่มการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรถยนต์ไฮบริด (HEV) เพียงเล็กน้อย โดยในส่วนของผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ฮอนด้าจะยังคงรักษาเป้าหมายที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ และมุ่งมั่นให้ได้ผลกำไรให้มากกว่า 1.6 ล้านล้านเยน
เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่รวดเร็วและมีความผันผวน ฮอนด้าจะปรับปรุงการจัดสรรทรัพยากรอย่างยืดหยุ่นและทันการณ์ พร้อมทั้งจัดตั้งธุรกิจยานยนต์ที่พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต และยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างรายได้ที่มั่นคงจากธุรกิจรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนแม้ในสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ฮอนด้าได้ตัดสินใจนำอัตราส่วนเงินปันผลต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DOE) มาใช้ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการรักษาผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ ด้วยวิธีการนี้ ฮอนด้าจะสามารถเสริมสร้างโครงสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมทั้งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงและต่อเนื่องแก่ผู้ถือหุ้นควบคู่กันไป
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
ดวลเดือดที่ไทย! นักแข่งระดับท็อปของโลก พร้อมลุยศึก ”ซูเปอร์คาร์พันล้าน ซีรีส์ดังแห่งเอเชีย” 30 พ.ค.-1 มิ.ย.นี้
ศึกซูเปอร์คาร์พันล้าน” จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025 หนึ่งในซีรีส์การแข่งขันรายการยักษ์ของโลกที่จัดขึ้นใน 4 ทวีป ได้แก่ ทวีปอเมริกา,เอเชีย,ออสเตรเลีย และยุโรป เตรียมประชันโฉม-ประลองความเร็วสนาม 3 วันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย. ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายใต้การลุ้นแชมป์สุดเข้มข้น นำโดยนักแข่งระดับพระกาฬจากทั่วโลกลงแข่งอย่างคับคั่ง รถจีที3 มากถึง 33 คัน สะกดทุกสายตาด้วยสุดยอดเทคโนโลยีรถหรูที่ล้ำสมัย พร้อมทั้งเสิร์ฟประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตครบรส ดึง”ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025″ เปิดฤดูกาลสนามแรก ในสุดสัปดาห์เดียวกัน
การแข่งขันซูเปอร์คาร์ระดับโลก รายการ จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025 เดินทางมาถึงสนามที่ 3 ของฤดูกาล ภายใต้สถานการณ์ลุ้นแชมป์ที่เข้มข้นหลังผ่านไปทั้งสิ้น 4 เรซ จาก 2 สนามแรกที่ เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย และ เปอร์ตามิน่า มันดาลิก้า อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ยังคงถูกวางเป็นหนึ่งในสังเวียนสำคัญในช่วงแห่งการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์ประจำปี โดยถูกบรรจุเป็นสนามที่ 3 ของฤดูกาล ระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย. จากนั้นอีก 2 สนามดวลกันในประเทศญี่ปุ่น โดยสนาม 4 วันที่ 11-13 ก.ค. ที่ฟูจิ อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์, สนาม 5 วันที่ 29-31 ส.ค. ที่โอคายาม่า และปิดฉากสนาม 6 วันที่ 17-19 ต.ค.ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน
ทั้งนี้ ฝ่ายจัดการแข่งขันได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า จะมีรถแข่งจีที3 เดินทางมาแข่งขันในเมืองไทยมากถึง 33 คัน จาก 8 ผู้ผลิตชั้นนำ แฟนความเร็วจะได้พบกับรถซูเปอร์คาร์สุดล้ำ อาทิ Mercedes-AMG, Ferrari 296, Porsche 911, Porsche 992, Lamborghini Huracan, Audi R8 LMS, BMW M4, Chevrolet Corvette Z06, Nissan GT-R NISMO ฯลฯ และยังเป็นการรวมตัวของ ทีมแข่งชั้นนำ นักแข่งฝีมือดีจากทั่วโลกหลากหลายทวีปมากกว่า 60 คน
ในฤดูกาลนี้บรรดานักแข่งแถวหน้าของโลกยังคงลงแข่งขันอย่างคับคั่ง นำโดยอดีตนักแข่งฟอร์มูล่าวันชาวเยอรมันอย่าง มาร์คุส วิลเคนฮอล์ค, อเลสซิโอ ปิคาริเอลโล ยอดนักแข่งเบลเยี่ยม, เอดูอาร์โด มอร์ทาร่า นักแข่งสวิส, เจย์เด้น โอเจด้า นักแข่งออสเตรเลียน, แฮร์รี่ คิง และ อเล็กซานเดอร์ ซิมส์ สองนักแข่งจากสหราชอาณาจักร, ลอเรนโซ ปาเตรเซ่ นักแข่งอิตาเลียน และ นิโก เมนเซล จากเยอรมัน เป็นต้น
โดยหลังผ่าน 2 สนามแรก คู่หูนักแข่งจีนอย่าง หยวน ปอ และ ลีโอ เย่ ฮงลี่ จาก ออริจิน มอเตอร์สปอร์ต สร้างผลงานร้อนแรงพาทีมนำเป็นจ่าฝูง โดยมีทั้งสิ้น 68 คะแนน ขณะที่อันดับ 2 เป็นของ แอนโทนี หลิว ซู่ นักแข่งจีนและทีมเมทชาวเฟรนช์อย่าง โดเรียน บอคโคลาชชี จาก แฟนธอม โกลบอล เรซซิ่ง ตามหลังเพียง 9 คะแนนเท่านั้น ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ หร่วน ชุ่น ฟั่น นักแข่งจีนและทีมเมทชาวดัตช์อย่าง มักซีม ออสเตน จากทีม เคอาร์ซี ตามหลัง 19 คะแนน
ด้าน อเลสซิโอ ปิคาริเอลโล นักแข่งมือโปรชาวเบลเยี่ยมและทีมเมทชาวจีนอย่าง หลู เหว่ย จาก ออริจิน มอเตอร์สปอร์ต เพิ่งเค้นฟอร์มเก่งชนะในเรซที่ผ่านมา ได้อันดับ 1 เก็บคะแนนรวมไปได้ 25 และ 26 คะแนน
นายโชติชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมต่างประเทศ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าวว่า ” จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย ถือเป็นหนึ่งในเรซระดับนานาชาติที่มีผู้ติดตามชมมากที่สุดรายการหนึ่ง ด้วยพลังของที่สุดแห่งยนตรกรรมระดับโลก ความสวยงามหรูหรา เร็วและแรง ดวลความเร็วโดยทีมระดับพระกาฬของโลก สามารถสะกดทุกสายตาและเป็นหนึ่งในรถในฝันของผู้คน ทำให้เกิดการติดตามชมจากทั่วโลกทั้งการเข้าชมในสนาม ผ่านการถ่ายทอดสดและช่องทางออนไลน์”
“การที่ประเทศไทยเราได้เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขัน 1 ในสนามสำคัญของโลก และได้แบ่งบันประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตแบบสุดพิเศษให้คนไทยได้ดูในสนามประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับกีฬาความเร็วของไทยให้ครบทุกมิติ ทั้งยังแสดงศักยภาพของประเทศ สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน กระตุ้นเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวผ่านกีฬาระดับพรีเมียม สนับสนุนการเติบโตให้กับอุตสาหกรรม มอเตอร์สปอร์ตและยานยนต์ นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันรายการ ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 สนามแรกของฤดูกาลมาร่วมเสริมทัพความมันส์เป็นซัพพอร์ตเรซด้วย ขอเชิญชวนแฟนความเร็วมาชม-เชียร์กันที่สนามเยอะๆ ครับ”
ทั้งนี้ ศึก จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025 สนาม 3 จะเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม ก่อนจะจับเวลารอบควอลิฟายในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม และแข่งขันเรซแรกในบ่ายของวันเดียวกัน จากนั้นจะดวลความเร็วเรซที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568
ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขา หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซด์ allticket บัตร VIP 1 วัน ราคา 2,000 บาท 2 วัน ราคา 3,000 บาท และบัตร GRANDSTAND 1 วัน ราคา 200 บาท 2 วัน ราคา 300 บาท
พิเศษ! ซื้อบัตรชมการแข่งขัน จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025 มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่ บัตร VIP โค้ง 12 และบัตร Paddock Pass + Official Guide Tour (Paddock Raffle) และบัตร PIT Lane Walk ชมการแข่งขันโมโตจีพี 2026 ในกิจกรรม “Chang Int’s Friend Pass” ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจ Chang Circuit Buriram
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
Repsol Honda HRC ดับเบิ้ลวิน โฮมเรซ เหมาโพเดียม TrialGP 2025 สนาม 3 ที่ โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น
Repsol Honda HRC ระเบิดผลงานสุดแกร่ง “โทนี่ โบ” แชมป์โลก 37 สมัย ครองดับเบิ้ลชัยชนะ พร้อมควง “กาเบียล มาเซลลี่” กวาดโพเดียม ในการแข่งขันโฮมเรซ TrialGP 2025 สนามที่ 3 ณ สนามโมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
การแข่งขันเรซที่ 1 ท่ามกลางสภาพอากาศชื้น พื้นสนามบางช่วงเป็นโคลนที่ลื่นอย่างมาก เป็นโจทย์ยากสำหรับนักแข่งทุกคน แต่กลายเป็นโอกาสที่ทำให้ 2 นักบิดไต่เขาของ Repsol Honda HRC ได้โชว์ศักยภาพที่เหนือกว่า โดย “โทนี่ โบ” หมายเลข 1 แชมป์โลก 37 สมัย ชาวสเปน สามารถคว้าชัยชนะมาครองได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านทีมเมท “กาเบียล มาเซลลี่” หมายเลข 38 ขึ้นโพเดียมในอันดับที่ 3
การแข่งขันเรซที่ 2 ยังคงเป็นการทำผลงานอย่างสุดยอดของ Repsol Honda HRC ด้วยการเหมาโพเดียมอันดับที่ 1 และ 2 จาก “โทนี่ โบ” ที่แม้จะเกิดความผิดพลาดในช่วงแรก แต่พยายามเร่งเบียดคู่แข่งขึ้นมาและสามารถคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง พร้อมการบวกแต้มเพิ่มในการแข่งขันเซสชั่นพิเศษที่โซน 10 ขณะที่ “กาเบียล มาเซลลี่” ยกระดับผลงานต่อเนื่องคว้าอันดับที่ 2 บนโพเดียมได้สำเร็จ
จบการแข่งขัน “โทนี่ โบ” ยังคงนำโด่งรั้งอันดับที่ 1 ในตารางคะแนนสะสม มีทั้งสิ้น 241 คะแนน ด้าน “กาเบี่ยล มาเซลลี่” รั้งอันดับที่ 3 มีทั้งสิ้น 176 คะแนน
ทั้งนี้ การแข่งขัน TrialGP 2025 สนามที่ 4 จะจัดขึ้นที่ คาลวี (เกาะคอร์ซิกา) ประเทศฝรั่งเศส (Calvi (Corsica), France) ในระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน นี้
#ThaiHonda #HRC #RaceToTheDream #HondaRacingThailand #MotorSport #HondaBigBike #ExcitesTheWorld #HondaRacingCorporation #FIMTrailGP
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
กรมการขนส่งทางบก ผนึกกำลัง ยางคอนติเนนทอล และ ZEEKR แนะเทคนิคเตรียมพร้อมรถ EV ยกระดับความปลอดภัยขั้นสุดทุกการเดินทาง
กรมการขนส่งทางบก จับมือกับ ยางคอนติเนนทอล ผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี และ ZEEKR แบรนด์รถไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี ในการร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อขับเคลื่อนทุกการเดินทางให้มั่นใจมากขึ้น ผ่านการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจเช็คสภาพความพร้อมของตัวรถ ระบบไฟฟ้า และยางรถยนต์ ก่อนการเดินทางไกล พร้อมนำเสนอเทคนิคการขับขี่เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
กรมการขนส่งทางบก เล็งเห็นถึงความสำคัญเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย โดยมุ่งลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ควบคู่กับการเสริมพลังความรอบรู้ทุกเรื่องการขับขี่ บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม ภายใต้ชื่อ “ขับขี่ปลอดภัย by DLT” ชูนโยบายในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเชิงรุกเพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยแนะหลักการดื่มไม่ขับ ขับไม่เร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย เคารพกฎจราจร พักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจสอบสภาพรถก่อนออกเดินทาง และไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ พร้อมแนะนำเทคนิค “คาดการณ์อุบัติเหตุ (Hazard Perception)” ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์สถานการณ์เสี่ยงบนท้องถนนได้ล่วงหน้า ได้แก่ 1. การรักษาระยะห่าง 3 วินาทีที่ปลอดภัย โดยขับขี่ให้มีระยะห่างกับรถคันอื่นๆ เพื่อให้มีเวลาในการมองเห็น สังเกต ตัดสินใจ และตอบสนองต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นในขณะขับขี่ 2. การรับรู้และสังเกตสถานการณ์รอบตัวว่า เรามองเห็นอะไร-มองไม่เห็นอะไร ในขณะขับรถ 3. การคาดการณ์ความเสี่ยงและการวิเคราะห์ต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น 4. การตัดสินใจว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์จะปฏิบัติอย่างไร 5. การตอบสนองและปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ขับปลอดภัยตลอดการเดินทาง
ทางด้าน ยางคอนติเนนทอล ได้ให้ความรู้เรื่องการดูแลยางอย่างถูกวิธี โดยเน้นย้ำว่าควรเลือกยางที่มีความเหมาะสม ทนทาน รองรับน้ำหนักได้ดี และกระจายแรงกดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนแรงบิดของรถไฟฟ้าที่จะมีการส่งแรงบิดทันทีที่เหยียบคันเร่ง ดังนั้น แรงดันที่ยางต้องรับในช่วงเริ่มต้นการขับขี่นั้นสูงมาก ยางที่เหมาะสมจึงต้องสามารถรับแรงบิดได้ดี ไม่ทำให้เกิดการสึกหรอเร็วเกินไป ช่วยให้การขับขี่มั่นคง รวมถึงมีเทคโนโลยีลดเสียงรบกวนเพื่อห้องโดยสารที่เงียบสงบ สำหรับนวัตกรรมยางที่ช่วยอุดรอยรั่ว ถือเป็นอีกสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยไม่ต้องหยุดพักหรือกังวลเกี่ยวกับการซ่อมยางระหว่างการเดินทาง โดยมาตรฐานดอกยางควรจะมีความหนาของดอกยางที่มากกว่า 1.6 มม.
ในส่วนของ ZEEKR ได้เสริมถึงการเตรียมความพร้อมของรถยนต์ไฟฟ้า โดยเริ่มจากการตรวจสอบแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และมีปริมาณกำลังไฟที่เพียงพอสำหรับการเดินทาง รวมถึงตรวจสอบระบบความปลอดภัยในรถ EV ตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ ระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ (Automatic Lane Change – ALC), ระบบรักษาตำแหน่งในเลน (Lane Centering Control – LCC), ตรวจสอบระบบแจ้งเตือนวัตถุในจุดบอด (Blind Spot Detection – BSD), ระบบแสดงภาพรอบตัวรถ (Around View Monitor – AVM) และจำนวนถุงลมนิรภัยอย่างน้อย 7 ลูกขึ้นไป สิ่งสำคัญประการสุดท้ายสำหรับการเดินทาง คือการวางแผนเส้นทาง และตรวจสอบตำแหน่งของสถานีชาร์จไฟให้เพียงพอต่อการเดินทางตลอดเส้นทาง
กรมการขนส่งทางบก ยางคอนติเนนทอล และ ZEEKR ขอร่วมส่งมอบความสุขทุกการเดินทางโดยรถยนต์ไฟฟ้า และยางรถยนต์คุณภาพ พร้อมขอเชิญชวนสร้างจิตสำนึกการขับขี่อย่างปลอดภัยบนท้องถนนให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป สามารถรับชมวิดีโอแคมเปญได้ที่ ชวนขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย เริ่มต้นที่ความเข้าใจอย่างถูกต้อง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
บริดจสโตน เปิดตัวผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม “BRIDGESTONE TURANZA 6 ด้วยเทคโนโลยี ENLITE” มาตรฐานใหม่แห่งความนุ่มสบายเหนือระดับ
บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม “BRIDGESTONE TURANZA 6 มาพร้อมเทคโนโลยี ENLITEN” มาตรฐานใหม่
แห่งความนุ่มสบายเหนือระดับ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานสำหรับรถยนต์หลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรูจากยุโรป รถยนต์พรีเมียมจากญี่ปุ่น และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า วางจำหน่ายตั้งแต่ขอบ 15-21 นิ้ว
รวม 47 ขนาด เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วยความนุ่มสบาย ให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างแท้จริงคุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด เผยว่า “บริดจสโตน
มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์สู่คุณภาพระดับพรีเมียมอย่างไม่หยุดยั้ง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การเดินทาง
ที่หลากหลายด้วยมาตรฐานความปลอดภัย ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม BRIDGESTONE TURANZA 6 รุ่นล่าสุดนี้พัฒนาภายใต้เทคโนโลยี ENLITEN นวัตกรรมของการออกแบบยางรถยนต์จากบริดจสโตน
ซึ่งผสมผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจึงช่วยให้ยางมีน้ำหนักเบา และมีแรงต้านทานการหมุนต่ำ อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือระดับและปลอดภัย จึงเหมาะกับการใช้งานสำหรับรถยนต์หลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรูจากยุโรป รถยนต์พรีเมียมจากญี่ปุ่น และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า”คุณสมบัติเด่นของผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม BRIDGESTONE TURANZA 6 ประกอบด้วย
- ความนุ่มสบายในการขับขี่: ออกแบบการรับและกระจายแรงของโครงยาง เทคโนโลยีสูตรเนื้อยางแบบใหม่ช่วยลดแรงกระแทก และช่วยลดแรงสั่นสะเทือนระหว่างการขับขี่เพื่อมอบความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นบนเส้นทางขรุขระ
- ลดเสียงรบกวน: ปรับรูปแบบลายดอกยางบริเวณไหล่ยางและหน้ายาง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการลดระดับเสียงรบกวนในการขับขี่ - ปลอดภัยยิ่งขึ้น: การออกแบบที่กระจายแรงกดของยาง เทคโนโลยีสูตรเนื้อยางแบบใหม่
และการปรับขนาดร่องระบายน้ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในประสิทธิภาพการยึดเกาะทุกสภาพถนน
ได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะบนพื้นถนนเปียก - ประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: รูปทรงยางแบบใหม่และเนื้อยางสูตรใหม่ ช่วยลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตและลดน้ำหนักของยาง ส่งผลให้มีแรงต้านทาน
การหมุนที่ลดลง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ดียิ่งขึ้น และยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - อายุการใช้งานยาวนานขึ้น: เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า (อย่างน้อย 5,000 กิโลเมตร)*
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม BRIDGESTONE TURANZA 6 ยังได้รับความไว้วางใจจาก
แบรนด์รถยนต์ชั้นนำให้เป็นยางมาตรฐานติดรถยนต์ในระดับโลกหลากหลายรุ่น เช่น BMW: 7 series/ 5 series/ X2/ X1, Mercedes Benz: EQE/ E-Class/ CLA-Class, Audi: A5/ A4 และ MG: ZS Hybrid+ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม BRIDGESTONE TURANZA 6 มีให้เลือกตั้งแต่ขอบ 15-21 นิ้ว รวม 47 ขนาด ราคาเริ่มต้นที่ 3,990 บาท ถึง 18,290 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดของยาง):
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine