-
News Car1 Min Read
มูลนิธิกลุ่มอีซูซุ สร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กไทยทั่วประเทศ มอบทุนกว่า 6 ล้านบาท
มูลนิธิกลุ่มอีซูซุเดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์มอบ “อนาคตทางการศึกษา” แก่เยาวชนที่มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจเรียน ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา โดยได้จัดพิธีมอบทุนการศึกษา รวมทั้งสิ้น 694 ทุน มูลค่ารวม 6,090,000 บาท ยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนให้เติบโตเป็นกำลังสำคัญของสังคมในอนาคต
มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด และ ประธานกรรมการมูลนิธิกลุ่มอีซูซุ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 68 ปีที่กลุ่มอีซูซุดำเนินธุรกิจ ในประเทศไทย เราได้ยึดมั่นในวิสัยทัศน์องค์กรคือ “วิถีอีซูซุ : ผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ช่วยให้สังคมพัฒนา” เป็นหลักในการดำเนินงาน เราประสบความสำเร็จอย่างสูงตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ได้ด้วยความไว้วางใจและการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากประชาชนชาวไทย ดังนั้น เราจึงได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างประโยชน์และคุณค่าต่อสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว “มูลนิธิกลุ่มอีซูซุ” จึงได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2530 โดยเป็นการสมทบทุนร่วมกันของ 3 บริษัทในกลุ่มอีซูซุ ได้แก่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท อีซูซุเอ็นยิ่น แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมในหลากหลายด้าน อาทิ การสนับสนุนด้านการศึกษา การส่งเสริมด้านการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ การสนับสนุนเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนรวมถึง การสนับสนุนทางการเงินและการบริจาคอุปกรณ์ที่จำเป็นให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ ด้วยเจตนารมณ์ของการเป็น “นิติบุคคลที่ดีของสังคมไทย” ที่พร้อมจะร่วมสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งให้แก่เยาวชนในสังคมไทยอย่างยั่งยืนสืบไป”
มูลนิธิกลุ่มอีซูซุ ยังคงยึดมั่นในการเดินหน้าสานต่อโครงการมอบทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทั้งบุคคลและสังคม โดยในปีนี้ได้มอบทุนให้แก่นักเรียนและนักศึกษาที่มีความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ รวมทั้งสิ้น 694 คน มูลค่ารวม 6,090,000 บาท ทุนนี้จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ให้เยาวชนสามารถใช้ศักยภาพด้านการศึกษาได้อย่างเต็มที่ เดินหน้าสานต่อความฝัน สู่การเติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติในอนาคต โดยมีมูลนิธิกลุ่มอีซูซุพร้อมร่วมสร้างสังคมไทยที่เข้มแข็งและยั่งยืนไปด้วยกัน
นายเกียรติศักดิ์ เหลือบกลาง นักศึกษาสาขาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตนครราชสีมา “ผมรู้สึกภูมิใจและซาบซึ้งใจมากที่ได้รับทุนนี้ ทุนการศึกษานี้ มีความหมายกับผมมากเพราะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว ทำให้ผมมีเวลาโฟกัส กับการตั้งใจเรียนมากขึ้น ความฝันของผมตอนนี้คือเรียนจบสาขาที่ผมรัก สามารถนำความรู้ที่ผมเรียนมาไปต่อยอดและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ขอขอบคุณมูลนิธิกลุ่มอีซูซุและผู้สนับสนุน ทุกท่านที่ได้ให้โอกาสผมได้รับทุนนี้ และสร้างแรงบันดาลใจให้ผม เพราะต่อไปผมก็อยากจะมอบโอกาสดี ๆ แบบนี้ให้กับคนอื่นเหมือนกับที่ผมได้รับจากมูลนิธิกลุ่มอีซูซุครับ”
นางสาวณัฐวดี แรกคำนวณ นักเรียนจากโรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ฯ “วันนี้รู้สึก ดีใจมาก ๆ เลยค่ะ ทุนนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้หนูเข้ามหาวิทยาลัยที่หนูใฝ่ฝันได้ หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งทุนนี้เป็นส่วนช่วยให้หนูปล่อยวางจากความเครียดเรื่องการเงิน สามารถโฟกัสกับการเรียนและการเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่ ขอบคุณมูลนิธิกลุ่มอีซูซุที่สร้างโครงการนี้ขึ้นมา รู้สึกขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ”
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News Motocycle1 Min Read
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า พาชาว CUB House เปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ออกทริปขับขี่รอบเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ในกิจกรรม “CUB House Let’s Ride Over JAPAN”
CUB House by Honda เดินหน้ามอบประสบการณ์การขับขี่สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้า จัดทริป “CUB House Let’s Ride Over JAPAN” พาสมาชิก CUB House และสื่อมวลชนร่วมออกเดินทางขับขี่รถจักรยานยนต์ CUB House กว่า 35 คัน ตะลุยเส้นทางรอบเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ตลอดระยะเวลา 6 วัน 5 คืน ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
ทริปนี้มีชาว CUB House ทุกรุ่นเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ทั้ง Honda Monkey125, C125, CT125 และ DAX125 พร้อมขับขี่กระทบไหล่ไปกับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังคุณซาบอล และคุณอาร์ม จาก Ohana อีกทั้งได้สัมผัสเสน่ห์ของประเทศญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่งดงามที่สุด อากาศเย็นสบายเพียง 10 องศา พร้อมวิวภูเขา ทุ่งหญ้า และวัฒนธรรมหลากหลายที่รอให้ค้นหา สร้างมิติใหม่ของการขับขี่ท่องเที่ยวที่ผสานทั้งความงามของธรรมชาติและเสน่ห์ความเป็นญี่ปุ่นอย่างลงตัว
เส้นทางการขับขี่เริ่มต้นจากเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) มุ่งหน้าสู่คุมาโมโตะ (Kumamoto) เอโสะ (Aso) ยูฟุอิน (Yufuin) เบปปุ (Beppu) และนาคัตสึ (Nakatsu) รวมระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ผู้ร่วมทริปได้สัมผัสพื้นที่หลากหลายแบบ “เจแปนไลเดอร์” ตั้งแต่ถนนในเมืองอันเป็นระเบียบ ไปจนถึงเส้นทางภูเขาที่มีโค้งสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น
ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่
- การขับขี่ขึ้นสู่ ยอดเขา Daikanbo ผ่านเส้นทางทุ่งหญ้า Milk Road ที่นักขี่ทั่วโลกยกให้เป็นเส้นทางโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่ง
- การช้อปอุปกรณ์ขี่รถ และของแต่งสุดเท่ที่ Ricoland แหล่งรวมของแต่งมอเตอร์ไซค์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
- การพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่ Aso Farm Land พร้อมบรรยากาศอันเงียบสงบ
- การเรียนรู้ประวัติศาสตร์รถจักรยานยนต์ที่ Iwashita Museum พร้อมชมรุ่นในตำนานอย่าง Honda Monkey 50, Honda Dax 50 และ Batabata
- ปิดท้ายด้วยกิจกรรมแช่ออนเซ็น Beppu Jigoku และเวิร์กช็อปรังสรรค์น้ำหอมที่ Oita Fragrance Museum
กิจกรรม “LET’S RIDE OVER JAPAN 2025” สะท้อนตัวตนของ CUB House ที่มุ่งสร้างคอมมูนิตี้คนรักรถที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ผ่านการเชื่อมโยงผู้ขับขี่ให้ได้ออกเดินทาง เปิดโลกใหม่ และแบ่งปันความสนุกไปพร้อมกัน ไม่เพียงแต่เป็นทริปท่องเที่ยว แต่ยังเป็นการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ในต่างประเทศให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสอย่างแท้จริง
ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมของรถจักรยานยนต์ฮอนด้า สามารถติดตามกิจกรรมครั้งต่อไป ได้เร็ว ๆ นี้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th/cubhouse
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondamotorcyclethailand
เฟซบุ๊ก CUBhouse : fb.com/cubhousebyhonda
#Monkey125 #C125 #CT125 #Dax125 #CUBHouseRoadTrip2025 #RideOverJapan #ThaiHondaMotorcycle #CUBHouse #CUBHousebyHonda
#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #มอเตอร์ไซค์ฮอนด้า #HondaMotorcycle #ThaiHonda #ไทยฮอนด้า #HowWeMoveYou
D7502 -
News Car1 Min Read
ชาร์จพลังใหม่ให้ฟุตบอลไทย! สมาคมฯ จับมือ BYD เปิดคอร์สอบรมโค้ช B License สร้างเครือข่ายโค้ชคุณภาพสู่วงการฟุตบอลไทย
BYD ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของทีมชาติไทย เดินหน้าสานต่อพันธกิจ “ชาร์จพลังฟุตบอลไทย” ต่อเนื่อง ล่าสุดร่วมมือกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดโครงการ “AFC ‘B’ Coaching Certificate Course by BYD” หลักสูตรพัฒนาโค้ชฟุตบอลระดับ B License โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับโค้ชจำนวน 24 คนจากทั่วประเทศ
โครงการนี้มุ่งสร้างเครือข่ายโค้ชคุณภาพ เพื่อยกระดับศักยภาพบุคลากรในลีกระดับ T2 และ T3 ให้มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานสากล พร้อมต่อยอดสู่การพัฒนานักฟุตบอลไทยในอนาคต นอกจากสนับสนุนในด้านเทคนิคแล้ว BYD ยังตั้งเป้าเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนของวงการฟุตบอลไทย ด้วยแนวคิด “Charge the Power of Thai Football” ที่เชื่อว่า “พลัง” ไม่ได้มาจากเครื่องยนต์เท่านั้น แต่ยังมาจาก
“คน” ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโอกาสสำคัญในการยกระดับมาตรฐานโค้ชไทยสู่สากล จำนวนจำกัดเพียง 24 คนเท่านั้น (ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ผ่านการคัดเลือก) โดยแบ่งการคัดเลือกจากสโมสรในไทยลีก 3 ทั่วประเทศ เป็นจำนวน 6 โซน โซนละ 4 คน
คุณสมบัติผู้สมัคร
- ผู้ฝึกสอน สัญชาติไทย (เท่านั้น)
- สำหรับผู้ฝึกสอนนักฟุตบอล หรือ อดีตนักฟุตบอล (ที่ทำทีมรุ่นอายุ 16–21 ปี)
- ผ่านการอบรมผู้ฝึกสอนระดับ C Coaching Certificate และมีประกาศนียบัตรรับรองโดย AFC
- มีประสบการณ์ฝึกสอนอย่างน้อย 1 ปี และยังคงทำหน้าที่ฝึกสอนอยู่ในปัจจุบัน
- มี Log Book ในช่วง 1 ปี หลังจบการอบรมระดับ C Coaching Certificate
- สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าอบรม รวมไปถึงสามารถลงเป็นผู้เล่นได้ในการปฏิบัติ (ภาคสนาม)
- เข้าอบรมได้ครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนดในกรอบเวลาที่ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนด
- มีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการอบรมที่ดี ให้เกียรติ มุ่งมั่น ใฝ่เรียนรู้
- มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอล
- มีความสามารถในการสอนฟุตบอลในระดับรากหญ้า / เยาวชน / ทีมสมัครเล่น
- มีความสามารถในการอ่านและเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้
- เป็นผู้มีพฤติกรรม จริยธรรมที่ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม (ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
Additional Documents (แจ้งส่งเป็นไฟล์ PDF เท่านั้น)
- บัตรประชาชน
- Log Book ระยะเวลาย้อนหลัง 3 เดือน (ในสถานการณ์ทำงานย้อนหลังจริงก่อนถึงวันสมัคร)
- ประวัติส่วนตัว
- หนังสือรับรองจากต้นสังกัด
- ใบ CERTIFICATE C Diploma
- ใบ CERTIFICATE ด้านอื่นๆ
- ใบรับรองแพทย์และอาการบาดเจ็บที่มีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือนนับจากวันสมัครเรียน
เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึง 12 ธันวาคม 2568 โดยจะประกาศรายชื่อในวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ซึ่งจะต้องยืนยันสิทธิ์ภายในวันที่ 26 ธันวาคม 2568 สามารถกรอกใบสมัครได้ที่ https://edu.fathailand.org/login (ต้องส่งหลักฐานการอบรมผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น) ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและเงื่อนไขการสมัครได้ทางช่องทางของสมาคมฯ และ BYD Thailand
#BYDNewEnergyNewEra #BYDชาร์จพลังบอลไทย #AFCBCoachingCertificate CoursebyBYD #BYDชาร์จพลังโค้ชไทย #Thaileague #Thaileague3 #บอลไทย #ฟุตบอลไทย #NewEnergyNewEra
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
OMODA & JAECOO ประกาศความสำเร็จยอดส่งมอบ JAECOO 5 EV ตอกย้ำ Best Price Guarantee ราคานี้ดีที่สุด พร้อมระเบิดความยิ่งใหญ่ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42
OMODA & JAECOO (โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม ประกาศความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของ JAECOO 5 EV ด้วยยอดส่งมอบที่ทำสถิติสูงถึง 5,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวในวันที่ 19 สิงหาคม จนถึง 18 พฤศจิกายน 2568 พร้อมยืนยันการส่งมอบรถเพิ่มเติมอีก 3,000 คันภายในสิ้นปี 2568 เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทาง OMODA & JAECOO การันตี JAECOO 5 EV ราคานี้ดีที่สุด (Best Price Guarantee) โดยเดินหน้าส่งมอบรถให้ทันก่อนสิ้นปี 2568 โดย
- JAECOO 5 EV LONG RANGE DYNAMIC มาพร้อมราคาพิเศษที่ 549,000 บาท* จากราคาปกติ 629,000 บาท
- JAECOO 5 EV LONG RANGE MAX ราคาพิเศษ 599,000 บาท* จากราคาปกติ 679,000 บาท
นอกจากนี้ ลูกค้ายังจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ทั้ง Home Charger ฟรี ดอกเบี้ยพิเศษ 1.98% ประกันภัยชั้น 1 ระยะเวลา 1 ปี และการรับประกันระยะยาว สิทธิพิเศษนี้สำหรับลูกค้าที่จองระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2568 และรับรถภายใน 31 ธันวาคม 2568 พิเศษสำหรับลูกค้า Early Bird ที่จองในเดือนสิงหาคม รับดอกเบี้ยพิเศษ 1.78%** และสามารถรับรถได้ถึง 31 ธันวาคม 2568
พบกับ OMODA & JAECOO ได้ที่บูธ A11 อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2568 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.omodajaecoo.co.th/th ติดตามข่าวสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของ OMODA & JAECOO ประเทศไทย หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้า โทร. 02-020-8888
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
โค้งสุดท้าย GEELY EX5 รุ่น MAX ราคาสุดพิเศษ โปรเดียวกับ Motor Expo พร้อมฉลอง GEELY EX5 รุ่น PRO ขายหมดแล้ว
บริษัท ธนบุรีนอยสเติร์น จำกัด ในเครือกลุ่มธนบุรี ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่าย GEELY อย่างเป็นทางการในไทย ฉลองความสำเร็จของ GEELY EX5 ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยจำหน่าย GEELY EX5 รุ่น PRO ออกจนหมดสต็อกแล้ว สะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อแบรนด์ GEELY ทั้งในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขาย ส่วน GEELY EX5 รุ่น MAX ยังมาพร้อมโปรโมชันแรงส่งท้ายปี ที่มอบส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท หรือช่วยผ่อน 50,000 บาท ข้อเสนอเดียวกับงาน Motor Expo 2025 ที่โชว์รูม GEELY ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 10 ธันวาคม 2568 โปรนี้เหลือจำนวนจำกัด
GEELY EX5 รถอเนกประสงค์อัจฉริยะพลังงานไฟฟ้า ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 หรือ Thailand International Motor Expo 2024 ในปีที่ผ่านมา การันตีด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 210,000 คัน และล่าสุด ประเทศไทยสามารถจำหน่าย GEELY EX5 รุ่น PRO หมดสต็อกแล้ว ด้วยความโดดเด่นด้านการจัดการพื้นที่และความแข็งแกร่งของโครงสร้าง ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม Global Intelligent Electric Architecture (GEA) ผสานกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าขั้นสูง เสริมด้วยนวัตกรรม Cell-to-Body (CTB) Integration มาพร้อมระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ 11-in-1 Intelligent Electric Drive ควบคู่นวัตกรรม Short Blade Battery แบตเตอรี่ LFP รุ่นใหม่ ที่มีขนาดเล็กแต่มอบสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงประสิทธิภาพ พร้อมการประหยัดพลังงาน ทั้งยังมีดีไซน์ทันสมัยที่คว้ารางวัลจาก Red Dot Design Award และการันตีความปลอดภัยด้วยคะแนนระดับ 5 ดาว จาก Euro NCAP และ ANCAP สะท้อนเอกลักษณ์ยานยนต์ไฟฟ้าคุณภาพระดับโลก
สำหรับ GEELY EX5 รุ่น MAX ยกระดับมาตรฐานการขับขี่อัจฉริยะสู่ความปลอดภัยแบบเต็มพิกัด ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และระบบความปลอดภัยแบบ L2-ADAS (Level 2 Advanced Driver Assistance System) และยังมาพร้อมระบบอำนวยความสะดวก และความบันเทิงครบครัน ด้วยระบบปฏิบัติการ Flyme Auto ที่รองรับการเชื่อมต่อด้วยคำสั่งเสียงและความบันเทิงล้ำสมัย อีกหนึ่งตัวเลือกที่เพิ่มความคุ้มค่า มาพร้อมราคาพิเศษ 849,000 บาท จากราคาปกติ 899,000 บาท หรือ เลือกรับข้อเสนอช่วยผ่อน 5,000 บาท นาน 10 เดือน เมื่อซื้อราคาปกติ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- ฟรี รับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร
- ฟรี รับประกันคุณภาพตัวรถ 6 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร
- ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี
- ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และ พ.ร.บ. นาน 1 ปี
- ฟรี Portable Charger
- ฟรี Home Charger พร้อมบริการติดตั้งสายไฟยาว 10 เมตร
- ฟรี ค่าจดทะเบียน พรม กรอบป้าย
GEELY EX5 รุ่น MAX มีให้เลือก 5 เฉดสี ได้แก่ สีขาว Snowy White / สีเงิน Moonlight Silver / สีเทา Frost Grey / สีเขียว Turquoise Green และ สีดำ Carbon Black ที่มาพร้อมภายในสีน้ำเงิน Dark Blue พิเศษเฉพาะสีเขียว Turquoise Green มาพร้อมตัวเลือกภายในสีขาว Ivory White เหลือจำนวนจำกัดเท่านั้น
นอกจากที่โชว์รูม GEELY แล้ว ลูกค้ายังจะได้พบกับ GEELY EX5 ราคาสุดพิเศษนี้ภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 Motor Expo 2025 พร้อมสัมผัสกับ GEELY EX2 รุ่นพวงมาลัยขวาครั้งแรกของโลก ซิตี้คาร์พลังงานไฟฟ้า ที่ตอบโจทย์ทุกการขับขี่ในเมือง ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ และฟังก์ชันการใช้งาน ผสานดีไซน์ทันสมัย รวมถึงการจัดแสดง GEELY STARRAY EM-i รถยนต์อเนกประสงค์ ที่มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดที่ล้ำสมัยที่สุดในเวลานี้
ผู้ที่สนใจสามารถร่วมสัมผัสยนตกรรมคุณภาพระดับโลกของ GEELY ได้ที่บูธ GEELY หมายเลข A15 อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 – 10 ธันวาคม 2568 หรือสอบถามรายละเอียดโปรโมชัน และข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 02-081-9999 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.thonburineustern.com และ เฟสบุ๊ก Geely Thonburi Thailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News / News Motocycle1 Min Read
เคลียร์ชัด 9 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ MotoGP สนามประเทศไทย ไม่คุ้มค่า-เอกชนไม่สนับสนุน-ไม่มีคนดู จริงหรือ?
การกีฬาแห่งประเทศไทย เผยข้อมูลทุกมิติของโมโตจีพีตั้งแต่สัญญาแรก จนถึงปัจจุบัน เพื่อไขข้อข้องใจทุกประเด็นเกี่ยวกับการจัดและการต่อสัญญา โมโตจีพี สนามประเทศไทย เคลียร์ชัด “9 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ MotoGP สนามประเทศไทย ไม่คุ้มค่า-เอกชนไม่สนับสนุน-ไม่มีคนดู จริงหรือ?” พร้อมยืนยันด้วยตัวเลข มูลค่าทางเศรษฐกิจ และผลตอบแทนที่ประเทศได้รับอย่างชัดเจน ดังนี้
1.เงิน 3,997 ล้านบาท ตกไปที่ใคร และมีการใช้ทันทีทั้งหมดหรือไม่
ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ มีนโยบายที่จะทำสัญญากับ รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐบาลประเทศนั้นๆ โดยตรงเท่านั้น เพื่อให้การจัดการแข่งขันเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ดังนั้น การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะหน่วยงานรัฐ จึงเป็นคู่สัญญาโดยตรงแต่เพียงผู้เดียวกับ ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ MotoGP ทั่วโลก
ค่าลิขสิทธิ์ทั้งหมดจะถูก ทยอยขออนุมัติงบประมาณเป็นรายปี และจ่ายตรงไปที่ ดอร์น่า สปอร์ต เท่านั้น ไม่ได้ผ่านคนกลางหรือตกไปที่เอกชนรายอื่น ในทางกลับกัน ผลประโยชน์และรายได้จากการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเข้าชมหรือเงินสนับสนุนจากภาคเอกชน ก็จะถูกนำส่ง ตรงไปที่ กกท. เช่นกัน เพื่อใช้สมทบและลดภาระงบประมาณภาครัฐอย่างเต็มที่
2.ค่าลิขสิทธิ์แพงขึ้นมาก มีการเจรจาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศหรือไม่
ข้อเท็จจริงคือ ค่าลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้นทุกประเทศและค่าลิขสิทธิ์ประเทศไทยถือว่า ต่ำกว่าประเทศอื่น โดย การกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพหลักได้เจราจาต่อรองเรื่องค่าลิขสิทธิ์การแข่งขัน เพื่อให้ได้ในอัตราเท่าเดิม แต่เนื่องจากเกิดการแข่งขันในการเสนอตัวเป็นประเทศเจ้าภาพเพิ่มขึ้น ประกอบกับจากการจัดการแข่งขันที่ผ่านมา มีการแข่งขันในวันแข่งจริงเพียงวันเดียว แต่ในสัญญาใหม่ จะมีการแข่งขัน 2 วัน คือ วันที่แข่ง Sprint Race (วันเสาร์) และวันที่แข่งจริง (Race Day) (วันอาทิตย์) ส่งผลให้มีผู้ชมสนใจมากยิ่งขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการแข่งขันมากขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่การปรับเพิ่มราคาเกิดขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยสามารถเจรจาได้ในอัตราที่ได้เปรียบกว่าประเทศอื่น จึงถือว่าการเจรจาเป็นไปเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
3.งบโมโตจีพีสำคัญกว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจริงหรือ
งบประมาณคนละส่วน รัฐมีการจัดสรรงบทางกีฬาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน การเปรียบเทียบวงเงินนี้เชื่อมโยงกันอย่างไม่ถูกต้อง ตามหลักการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทย งบประมาณสำหรับกิจกรรมส่งเสริมกีฬาและการเป็นเจ้าภาพระดับโลก (เช่น MotoGP) จะถูกจัดสรรในส่วนของรายจ่ายของส่วนราชการ (การกีฬาแห่งประเทศไทย) ซึ่งมีวงเงินและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนตามยุทธศาสตร์ของประเทศ
ในขณะที่งบประมาณสำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน มักจะมาจาก ‘งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น’ ซึ่งเป็นงบฉุกเฉินที่รัฐบาลบริหารจัดการเพื่อบรรเทาสาธารณภัยโดยเฉพาะ
ดังนั้น งบประมาณทั้งสองส่วนจึงแยกจากกันอย่างชัดเจน และการขออนุมัติกรอบวงเงิน 4,000 ล้านบาท สำหรับสัญญาปี 2570-2574 นั้น ไม่ได้กระทบต่องบประมาณที่รัฐบาลใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในปัจจุบันแต่อย่างใด
4.รีบเร่งต่อสัญญาเกินไปหรือไม่
ยืนยันว่า การเจรจาต่อสัญญาไม่ได้เป็นการ “เร่งรีบ” แต่เป็นการดำเนินการที่ล่าช้ากว่าช่วงเวลาที่ควรเริ่มดำเนินการด้วยซ้ำ เนื่องจากสัญญาเดิมจะสิ้นสุดลงในปี 2569 (2026) และ ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ กำหนดให้คู่สัญญาเดิมต้องแจ้งความประสงค์ต่อสัญญาล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งหมายถึงต้องแจ้งภายในปี 2568 (2025)
ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา และการที่มีหลายประเทศทั่วโลกกำลังรอเสนอตัวและยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นเจ้าภาพแทนประเทศไทย การดำเนินการเจรจาในขณะนี้จึงถือเป็นการตัดสินใจที่ทันต่อสถานการณ์และจำเป็น เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องเสียสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับโลก ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 28,000 ล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า
5.ผู้ชมน้อยลงทุกปี ความคุ้มค่าอยู่ตรงไหน
ข้อเท็จจริงคือ ยอดผู้ชมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยเคยได้รับรางวัล Best Grand Prix of the Year ในปี 2561 ด้วยยอดผู้ชมสูงสุดในฤดูกาล 222,535 คน และเพิ่มเป็น 226,655 คน ในปี 2562 ส่วนยอดผู้ชมที่ลดลงในช่วงปี 2565 (178,463 คน) เป็นผลมาจากการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข แต่หลังจากนั้น ยอดผู้ชมก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี
สำหรับความคุ้มค่าด้านเศรษฐกิจ การจัดโมโตจีพี 8 ปีที่ผ่านมา (2561-2568) สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยสูงถึง 24,927 ล้านบาท และสัญญาใหม่ 5 ปี (2570-2574) ถูกประมาณการณ์ว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก 28,000 ล้านบาท และยังไม่มีอีเว้นต์ไหนในประเทศไทยที่ทำได้
6.จริงหรือไม่ ? เอกชนลดการสนับสนุนลงทุกปี -รัฐแบกภาระเกินไป
ในการบริหารจัดการ การจัด MotoGP ในหลายประเทศทั่วโลก รัฐบาลเป็นผู้รับค่าลิขสิทธิ์เต็มจำนวนหรือเกือบทั้งหมด ในทางกลับกัน ประเทศไทย เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่พึ่งพางบประมาณภาครัฐในสัดส่วนที่น้อยมาก
โดยตลอดสัญญาที่ผ่านมา การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ประสบความสำเร็จในการระดมทุนจากภาคเอกชนรายใหญ่ ทั้งกลุ่มพลังงาน ยานยนต์ และเครื่องดื่ม เข้ามาสนับสนุนการจัดแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดภาระของรัฐบาลลงได้อย่างมาก
แม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา ทำให้เอกชนบางรายต้องลดหรือหยุดการสนับสนุนไปชั่วคราว กกท. ก็ยังคงพยายามหาเงินสนับสนุนจากภาคเอกชนและรายได้จากการจำหน่ายบัตร เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายและยืนยันการเป็นเจ้าภาพต่อไป โดยในสัญญาใหม่ (2570-2574) ก็ยังคงตั้งเป้าระดมเงินสนับสนุนจากเอกชนกว่า 700 ล้านบาท เพื่อยืนยันว่าประเทศไทยมีการบริหารจัดการที่พึ่งพาเอกชนเป็นหลักมาโดยตลอด
7.รายได้จากการแข่งขันตกไปที่เอกชนหรือไม่ –จัดที่อื่นได้ไหม ทำไมต้องที่บุรีรัมย์
การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ไม่ได้มีสัญญาจ้างกับบริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด (เจ้าของสนามช้างฯ) ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงคือ สนามช้างฯ ได้ให้การสนับสนุน กกท. โดย อนุญาตให้ใช้สนามแข่งฟรีโดยไม่คิดค่าเช่า โดยการให้ใช้สนามฟรีนี้มีมูลค่าถึง 12 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากต้องใช้สถานที่ในการเตรียมการจัดการแข่งขันและวันแข่งจริงประมาณ 30 วัน คำนวนรวม 6 ปี ที่รัฐไม่ต้องจ่ายค่าเช่า เป็นมูลค่า 72 ล้านบาท
“จัดที่อื่นไม่ได้ เนื่องจากมีสนามแห่งนี้เพียงสนามเดียวในประเทศไทย” ที่เป็นสนามระดับ FIM GRADE A ที่มีมาตรฐานสามารถจัดการแข่งขัน MotoGP ได้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้งานกีฬาระดับโลกในการกระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดอีสานใต้ รวมถึงการท่องเที่ยวต่อเนื่องไปยังจังหวัดอื่น ๆ ทุกภาคในประเทศไทย
8.เอื้อประโยชน์กับเจ้าของสนามแข่งหรือไม่
รายได้หลักจากการจัดแข่งขันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน และเงินสนับสนุนจากภาคเอกชน จะถูกนำส่งเข้าสู่การบริหารจัดการโดย กกท. โดยตรง ซึ่งรายได้เหล่านี้จะถูกนำไป หักลบกับภาระค่าลิขสิทธิ์ ที่ต้องจ่ายให้กับ ดอร์น่า สปอร์ต โดยตรง เพื่อลดภาระงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐให้เหลือน้อยที่สุด กระบวนการนี้จึงเป็นการยืนยันถึงความโปร่งใส และการบริหารจัดการที่เน้นผลประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญ
9.MotoGP ถูกสนับสนุนมาทุกรัฐบาล
การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน MotoGP ได้รับการสานต่อและสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่องทุกชุด มาโดยตลอด เนื่องจากตระหนักถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ประเทศที่ได้รับ ดังนี้
สัญญาที่ 1: ปี 2561 – 2563 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (รมว. กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร) ครม. เห็นชอบสนับสนุนค่าลิขสิทธิ์สมทบปีละ 100 ล้านบาท รวม 3 ปี เป็น 300 ล้านบาท
ผลการดำเนินงาน: กกท. ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและรายได้รวม 528 ล้านบาท (ใน 2 ปี) จากพันธมิตรรายใหญ่ 12 ราย/แหล่ง
ความสำเร็จ: ได้รับรางวัล Best Grand Prix of The Year ในปี 2561 และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 2 ปี (2561-2562) ได้ถึง 6,584 ล้านบาท (จัดได้เพียง 2 ปี เนื่องจากโรคระบาด Covid-19)สัญญาที่ 2: ปี 2565 – 2569 (เลื่อนจาก 2564-2568) รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (รมว. พิพัฒน์ รัชกิจประการ) ครม. เห็นชอบกรอบวงเงินเพื่อสมทบค่าลิขสิทธิ์ 900 ล้านบาท โดยเน้นให้นำรายได้จากภาคเอกชนมาสมทบก่อน
ผลการดำเนินงาน: ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนกว่า 770 ล้านบาท และจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ 800 ล้านบาท
ผลตอบแทนและข้อได้เปรียบ: สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจรวม 6 ปี (2561 – 2568) กว่า 24,927 ล้านบาท อีกทั้งยัง ประหยัดค่าเช่าสนามได้ถึง 72 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาสัญญา จากการใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ฟรีสัญญาที่ 3: ปี 2570 – 2574 (ล่าสุด)
สถานะปัจจุบัน: ครม. ให้ความเห็นชอบเพียงการเป็นเจ้าภาพเท่านั้น ส่วนงบประมาณ กกท. จะนำเสนอขอรับการจัดสรรเป็นรายปีตามภารกิจ ซึ่งประมาณการรายได้จากผู้สนับสนุนไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท (ซึ่งการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐเป็นไปตามแผนงานในปี 2570 และไม่ได้กระทบกับงบประมาณที่จำเป็นเร่งด่วนในปัจจุบัน)
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle2 Min Read
“ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์” เติมแรงขับตลาดพรีเมียมบิ๊กไบค์ปลายปี ส่ง 4 โมเดลใหม่ “Scrambler 400 XC , Scrambler 1200 XE ,Tiger 900 Alpine Edition, Tiger 900 Desert Edition” เสริมแกร่งไลน์โมเดิร์นคลาสสิก – แอดเวนเจอร์ ครบทุกสไตล์
ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ เดินหน้าตอกย้ำผู้นำรถจักรยานยนต์พรีเมียมสัญชาติอังกฤษ ส่งท้ายปียิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัวรถจักรยานยนต์ 4 รุ่นใหม่ล่าสุด ได้แก่ Scrambler 400 XC น้องเล็กรุ่นล่าสุดในไลน์อัปเครื่องยนต์ 400 ซีซี อันเลื่องชื่อ ได้รับการออกแบบและปรับแต่งเพื่อถ่ายทอดเอกลักษณ์การขับขี่ของไทรอัมพ์ที่สนุก เร้าอารมณ์ และตอบสนองได้ฉับไว ตามด้วย Scrambler 1200 XE ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อยกระดับสมรรถนะและความสามารถในการผจญภัยแบบออฟโรด รวมถึง Tiger 900 Alpine Edition และ Tiger 900 Desert Edition 2 รถจักรยานยนต์แอดเวนเจอร์ที่สะดุดตา ได้รับแรงบันดาลใจจากอากาศในเทือกเขาแอลป์และแสงตะวันในทะเลทราย มีคุณสมบัติพิเศษที่ได้รับการปรับปรุง โดดเด่นด้วยสีสันและกราฟิกพิเศษ ซึ่งทั้งหมดมาพร้อมความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
นายชินศักดิ์ กิตติอมรกุล ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า “เพื่อตอบรับดีมานด์ตลาดพรีเมียมบิ๊กไบค์ ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ จึงเดินหน้าขยายไลน์อัปเพื่อเติมเต็มทางเลือกให้ครอบคลุมทุกสไตล์การขับขี่ โดยเฉพาะในกลุ่ม Modern Classics และ Adventure ที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์ ซึ่งการเปิดตัวทั้ง 4 รุ่นใหม่นี้ ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยสมรรถนะ และงานออกแบบที่พัฒนาขึ้น พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานที่มาพร้อมความคุ้มค่า
สำหรับไทรอัมพ์ Scrambler 400 XC น้องเล็กรุ่นล่าสุด ที่เพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดให้กับสไตล์อันดุดันของ Scrambler ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 400 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 40 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 37.5 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งสนุกและมั่นใจในทุกย่านความเร็ว ด้านรูปลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ดีไซน์ของ Scrambler ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ถังน้ำมันที่ออกแบบอย่างสวยงามพร้อมรอยเว้าสำหรับหัวเข่า เครื่องยนต์คลาสสิกพร้อมตราโลโก้ไทรอัมพ์สามเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ ครีบระบายความร้อน และแคลมป์ยึดท่อร่วมไอเสีย ไปจนถึงปลายท่อเฉียงขึ้นด้านบน อีกทั้งมาพร้อมบังโคลนหน้าแบบยกสูง และชิลด์หน้าที่เข้าชุดกัน ให้การปกป้องอย่างมีสไตล์ในสภาพแวดล้อมสุดท้าทาย
ด้านสเปกที่โดดเด่นเหนือระดับ ออกแบบมาเพื่อรองรับการผจญภัยในชีวิตอย่างแท้จริง โดย Scrambler 400 XC ใหม่นี้ได้เพิ่มศักยภาพในการขับขี่แบบออฟโรดให้กับสไตล์ที่ดุดันของ Scrambler ด้วยล้อซี่ลวดแบบใหม่ที่แข็งแกร่งและสวยงามลงตัว ล้อหน้าขนาด 19 นิ้วและล้อหลังขนาด 17 นิ้ว ที่เน้นการใช้งานแบบผจญภัย มาพร้อมขอบล้ออลูมิเนียมจาก Excel และยาง Metzeler Karoo Street แบบไม่มียางใน ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับสมรรถนะบนทุกเส้นทางได้อย่างหลากหลายและมั่นใจ ขณะที่ระบบกันสะเทือนคุณภาพสูงช่วยให้การขับขี่นุ่มนวล ด้วยโช้คหน้าหัวกลับลูกสูบใหญ่ ขนาด 43 มม. และโช้คหลังแบบ Monoshock พร้อมกระปุกน้ำมันแยก โดยมีระยะยุบตัวล้อหน้าและหลัง 150 มม. รวมถึงระบบ Traction Control ที่เปิด-ปิดได้ และระบบ ABS สำหรับการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยและความคล่องตัวในการใช้งาน
ส่วนเทคโนโลยีล้ำสมัยที่มุ่งเน้นเพื่อผู้ขับขี่อัดแน่นทั้งมาตรวัดแบบสองรูปแบบ ผสมผสานดีไซน์เรียบหรูทันสมัย ด้วยมาตรวัดความเร็วแบบเข็มขนาดใหญ่ และหน้าจอ LCD ซึ่งแสดงผลรอบเครื่องยนต์แบบดิจิทัล ระยะทางที่ขับขี่ได้จากน้ำมันที่เหลือ และตัวบอกตำแหน่งเกียร์ที่มองเห็นได้ชัดเจนในทุกสภาพแสง ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการแสดงผลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกผ่านปุ่มควบคุมที่ติดตั้งบนแฮนด์ นอกจากนี้ยังมีช่องชาร์จไฟแบบ USB-C รองรับการชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟนหรือระบบนำทาง ตลอดจนมีอุปกรณ์เสริมแท้จาก Triumph ให้เลือกติดตั้งมากกว่า 20 รายการ ครอบคลุมทั้งด้านสไตล์ ความสบาย การบรรทุกสัมภาระ และระบบความปลอดภัย
ทั้งนี้รถจักรยานยนต์ไทรอัมพ์ Scrambler 400 XC ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 209,950 บาท มาพร้อมความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของด้วยระยะเวลาในการเข้ารับการบำรุงรักษาที่ยาวนานถึง 16,000 กิโลเมตร พร้อมเพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันคุณภาพ 2 ปีไม่จำกัดระยะทางเป็นมาตรฐาน มีให้เลือก 3 เฉดสีใหม่ ได้แก่ สี Racing Yellow, สี Storm Grey และ สี Vanilla White โดยแต่ละแบบมาพร้อมกราฟิกดีไซน์เฉพาะตัว พร้อมโลโก้ Triumph สีดำ ที่เข้าชุดกับแผงข้างถังน้ำมันสีดำ แผ่นรองเข่า และเบาะนั่งแบบสองตอนสีดำสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ต่อกันด้วย Scrambler 1200 XE รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมเครื่องยนต์ Bonneville สองสูบ พละกำลังสูงขนาด 1200 ซีซี มอบพละกำลังสูงสุด 90 แรงม้า และแรงบิดเต็มพิกัด 110 นิวตันเมตร ที่ 4,250 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ตอบสนองทันใจ มอบทั้งความเร้าใจและการควบคุมที่ง่ายดายในทุกสภาพถนน ด้านรูปลักษณ์โดดเด่นในทุกมุมมอง ตั้งแต่ท่วงท่าที่ทรงพลัง ล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว ถังน้ำมันเชื้อเพลิงที่ออกแบบอย่างประณีต ไปจนถึงเบาะยาวลอนคลื่นที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความพรีเมียมด้วย ฝาถังสไตล์ Monza ทำจากอะลูมิเนียมแบบขัดเงา สวิงอาร์มชุบอะโนไดซ์ แผ่นป้ายทะเบียนและแผ่นป้องกันอ่างน้ำมันเครื่องอะลูมิเนียม รวมถึงตราสัญลักษณ์ขัดเงาบ่งบอกถึงความประณีตในทุกส่วน
ขณะที่โครงรถสไตล์ Scrambler แบบเฉพาะตัว ออกแบบให้ผู้ขี่มั่นใจได้ในทุกสภาพพื้นผิว สวิงอาร์มอะลูมิเนียมหล่อพร้อมระยะยุบตัวยาว และระบบกันสะเทือนปรับได้เต็มรูปแบบ มอบระยะยุบล้อสูงถึง 250 มม. โช้คหน้าหัวกลับ Showa ขนาด 47 มม. ปรับแต่งได้เต็มระบบ ส่วนโช้คหลังคู่ Öhlins พร้อมกระปุกน้ำมันที่ติดตั้งสปริงคู่ให้การควบคุมและความสบายที่เหนือชั้น ไม่ว่าขับขี่คนเดียวหรือบรรทุกเต็มพิกัด สมรรถนะการเบรกก็เหนือชั้นไม่แพ้กัน คาลิปเปอร์เบรก Brembo Stylema M4.30 โมโนบล็อกเรเดียล จับคู่กับจานเบรกคู่ขนาด 320 มม. ให้พลังเบรกระดับชั้นนำ เสริมด้วยคาลิปเปอร์หลัง Nissin และจานเบรกขนาด 255 มม. ระบบ Optimised Cornering ABS และระบบ Traction Control ของไทรอัมพ์ มอบความมั่นใจสูงสุดในทุกโค้ง พร้อมตัวเลือกปิดระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดสำหรับการขับขี่ออฟโรดขั้นสูง
ด้านเทคโนโลยีที่ยกระดับทุกการขับขี่มาพร้อม คันเร่งไฟฟ้า Ride-by-wire ของไทรอัมพ์ที่ให้โหมดการขับขี่ 6 โหมด ได้แก่ Road, Rain, Sport, Rider-Configurable, Off-Road และโหมดพิเศษเฉพาะรุ่น Off-Road Pro โดยแต่ละโหมดจะปรับการตอบสนองของคันเร่ง ระบบ ABS และระบบ Traction control ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวและความต้องการของผู้ขับขี่ ด้านโหมด Off-Road Pro จะปิดการใช้งานระบบ ABS และระบบ Traction Control ทั้งหมด เพื่อปลดปล่อยสมรรถนะออฟโรดของ XE อย่างเต็มศักยภาพ ระบบ Cruise Control แบบปุ่มเดียว เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางไกล ขณะที่จอแสดงผล TFT สีเต็มรูปแบบ มาพร้อมธีมให้เลือก 2 แบบและตัวเลือกเค้าโครง 3 สไตล์ พร้อมฟังก์ชันปรับความสว่างอัตโนมัติตามสภาพแสง นอกจากนี้ผู้ขี่ยังสามารถปรับแต่งหน้าจอเริ่มต้นด้วยชื่อของตนเอง เพื่อเพิ่มเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการขับขี่ได้อีกด้วย นอกจากนี้สวิตช์ควบคุมแบบมีไฟเรืองแสง และจอยสติ๊กแบบ 5 ทิศทาง ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างสะดวกง่ายดาย รวมถึงยังรองรับการติดตั้งระบบเชื่อมต่อ My Triumph ช่วยให้เข้าถึงการโทรศัพท์ ฟังเพลง และระบบนำทางแบบ Turn-by-turn ผ่านหน้าจอ TFT ได้โดยตรง มีช่องชาร์จ USB ใต้เบาะที่นั่ง เพื่อให้สามารถชาร์จอุปกรณ์ได้ตลอดการเดินทาง ตลอดจนมีอุปกรณ์เสริมแท้จากไทรอัมพ์ให้เลือกมากกว่า 70 รายการ ตั้งแต่ ชิลด์หน้าทัวร์ริ่งทรงสูง และกระเป๋าข้างแบบหนัง ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมสำหรับการขับขี่ออฟโรด อุปกรณ์เสริมทุกชิ้นได้รับการออกแบบควบคู่กับตัวรถ เพื่อความลงตัวทั้งด้านดีไซน์ ฟังก์ชัน และคุณภาพ
ทั้งนี้รถจักรยานยนต์ไทรอัมพ์ Scrambler 1200 XE ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 675,000 บาท มาพร้อมความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของด้วยระยะเวลาในการเข้ารับการบำรุงรักษาที่ยาวนานถึง 16,000 กิโลเมตร พร้อมเพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันคุณภาพ 2 ปีไม่จำกัดระยะทางเป็นมาตรฐาน มีตัวเลือกสีพรีเมียมให้เลือก ได้แก่ สี Matt Khaki Green & Matt Crystal White สำหรับสายผจญภัย และสี Silver Ice & Phantom Black สำหรับผู้ชื่นชอบความโดดเด่น ขณะที่สี Sapphire Black ยังคงเป็นสีมาตรฐานให้เลือกเช่นเดิม
ปิดท้ายด้วย Tiger 900 Alpine Edition ที่พัฒนาบนพื้นฐานของรุ่น Tiger 900 GT Pro ที่เน้นการขี่บนถนน มาพร้อมเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้ขี่ ขณะที่ Tiger 900 Desert Edition พัฒนาต่อยอดจากรุ่น Tiger 900 Rally Pro ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ระดับแนวหน้าในกลุ่มรถจักรยานยนต์ระดับเดียวกัน ออกแบบมาเพื่อเน้นย้ำถึงความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดอันเลื่องชื่อ ซึ่งทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์สามสูบอันเป็นเอกลักษณ์ของไทรอัมพ์ พร้อมเพลาข้อเหวี่ยงแบบ T-plane ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สามสูบ 888 ซีซี ให้พละกำลัง 108 แรงม้า ที่ 9,500 รอบต่อนาที และแรงบิด 90 นิวตันเมตร ที่ 6,850 รอบต่อนาที การส่งกำลังที่ตอบสนองฉับไว ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม และเป็นไปตามมาตรฐาน Euro 5+ ออกแบบมาเพื่อความแข็งแกร่ง การควบคุม และความทนทาน ทั้งสองรุ่นมีสวิงอาร์มหล่ออะลูมิเนียมสองด้านเพื่อความเสถียรและความแม่นยำ พร้อมระบบเบรกประสิทธิภาพสูงจาก Brembo ให้แรงหยุดเหนือชั้น ขณะที่ชุดแฮนด์มีแดมเปอร์ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขี่ระยะไกล โดยในรุ่น Desert Edition ยังมาพร้อมกับล้อซี่ลวดและยางแบบไม่มียางใน
ขณะที่ระบบช่วงล่างที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละรุ่น โดย Tiger 900 Alpine Edition ใช้โช้คหัวกลับ Marzocchi ขนาด 45 มม. พร้อมระบบปรับการยุบตัวและการคืนตัวแบบแมนนวล มีระยะยุบตัว 180 มม. ในขณะที่ Tiger 900 Desert Edition ติดตั้งโช้คหัวกลับ Showa ขนาด 45 มม. พร้อมระยะยุบตัว 240 มม. เพื่อการขับขี่ออฟโรดที่ท้าทาย ระบบกันสะเทือนหลังก็สะท้อนถึงแนวทางนี้ โดย Alpine ใช้โช้ค Marzocchi และ Desert ใช้โช้ค Showa ให้ระยะยุบตัว 170 มม. และ 240 มม. ตามลำดับ ด้านระบบเบรกได้รับการควบคุมโดยจานเบรกคู่หน้าขนาด 320 มม. พร้อมคาลิปเปอร์ Brembo Stylema และจานเบรกเดี่ยวด้านหลังขนาด 255 มม. เสริมด้วยยาง Metzeler Tourance™ Next สำหรับรุ่น Alpine และยาง Bridgestone Battlax Adventure สำหรับรุ่น Desert มอบการยึดเกาะที่มั่นใจบนทุกพื้นผิว
นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อม Triumph Shift Assist เพื่อการเปลี่ยนเกียร์ที่ราบรื่น และแผงหน้าปัดสี TFT ขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อ MyTriumph เพื่อข้อมูลที่เข้าใจง่ายและชัดเจน พร้อมโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย โดยรุ่น Alpine และ Desert มาพร้อมโหมดการขับขี่ 5 และ 6 โหมดตามลำดับ โดยรุ่น Desert จะเพิ่มโหมด Off-Road Pro เพื่อการบังคับควบคุมบนทุกสภาพถนนขั้นสูง นอกจากนี้รุ่นพิเศษทั้งสองรุ่นมีตัวเลือกให้อัปเกรดเป็นเบาะนั่งแบบปรับอุณหภูมิหรือเบาะนั่งแบบต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความคล่องตัวและความทนทานในทุกสภาพถนน รวมถึงยังมีอุปกรณ์เสริมครบครันกว่า 50 ชิ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการท่องเที่ยวและความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกชุดกระเป๋าเดินทางพรีเมียมได้ 2 แบบ คือชุด Trekker หรือชุด Expedition ที่ออกแบบมาเพื่อความทนทานและสะดวกสบายในการเดินทางไกล นอกจากนี้สำหรับประเทศไทยท่อเก็บเสียงพรีเมียม Akrapovic สามารถติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมได้เช่นกัน
ทั้งนี้ Tiger 900 Alpine Edition Edition มาพร้อมโทนสี Snowdonia White และ Sapphire Black อันคมชัด พร้อมเน้นลวดลายด้วยสี Aegean Blue อันโดดเด่น ในราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 648,000 บาท และ Tiger 900 Desert Edition มาพร้อมสี Urban Grey และ Sapphire Black ที่สะดุดตา พร้อมเน้นลวดลายด้วยสี Baja Orange อันโดดเด่นในราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 668,000 บาท โดยทั้ง 2 รุ่นมีระยะเวลาการบริการ 10,000 กิโลเมตร และรับประกันระยะทางไม่จำกัดเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งถือเป็นระดับชั้นนำในระดับเดียวกัน นายชินศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่เว็บไซต์ www.triumphmotorcycles.co.th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่ www.facebook.com/TriumphMotorcyclesThailand
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
มาสด้ามอบโชคใหญ่ New Mazda2 Essential ให้ลูกค้าผู้โชคดี แคมเปญ MAZDA MID-YEAR SURPRISE ข้อเสนอมาสด้าแห่งปี ซื้อรถลุ้นรถ
บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดย นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ พร้อมด้วย นายภพนิพิฐ จิรวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและนวัตกรรมดิจิทัล และ นายพิเชษฐ์ ปุณณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย มอบรางวัลใหญ่รถยนต์ New Mazda2 Essential รุ่น 1.3 Prime มูลค่า 541,000 บาท ให้กับ คุณศุภนัฏชัย พรหมชัย ลูกค้าผู้โชคดีจากแคมเปญ MAZDA MID-YEAR SURPRISE ข้อเสนอมาสด้าแห่งปี ซื้อรถลุ้นรถ ซึ่งแคมเปญดังกล่าวจัดขึ้นเป็นพิเศษให้กับลูกค้า Mazda Family ที่ออกรถยนต์มาสด้าคันใหม่ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. 68 – 30 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา เพื่อแทนคำขอบคุณที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวมาสด้า ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นจากมาสด้าเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกมิติ ทั้งนี้ พิธีมอบรางวัลใหญ่รถยนต์มาสด้าในครั้งนี้ จัดขึ้น ณ โชว์รูมมาสด้า พระราม 7 เมื่อวันเสาร์ที่ 15 พ.ย. 58 ผ่านมา
สำหรับแคมเปญ MAZDA MID-YEAR SURPRISE ข้อเสนอมาสด้าแห่งปี ซื้อรถลุ้นรถ เป็นแคมเปญที่มาสด้าจัดขึ้นเพื่อลูกค้าที่ซื้อรถยนต์มาสด้าคันใหม่ในระหว่างเดือนสิงหาคมและกันยายน 2568 ได้มีโอกาสลุ้นรับโชคถึง 2 ต่อ รวมมูลค่ากว่า 1.8 ล้านบาท ทั้งรางวัลประจำเดือน 260 รางวัล ประกอบด้วย Apple iPhone 16e 128GB มูลค่า 20,000 บาท* จำนวน 20 รางวัล, Apple iPad A16 11-inch Wi-Fi 128GB มูลค่า 11,100 บาท* จำนวน 40 รางวัล, เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ SHARP รุ่น IG-NX2B มูลค่า 2,247 บาท* จำนวน 200 รางวัล และรางวัลใหญ่ รถยนต์ New Mazda2 Essential รุ่น 1.3 Prime มูลค่า 541,000 บาท อีก 1 รางวัล ทั้งนี้ มาสด้าได้ประกาศรายชื่อผู้โชคดีและมอบรางวัลให้กับลูกค้าทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลใหญ่จากมาสด้าครั้งนี้ ได้แก่ คุณศุภนัฏชัย พรหมชัย ซึ่งเป็นลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ New Mazda2 Essential รุ่น Ultra และได้รับรางวัลใหญ่รถยนต์ New Mazda2 Essential รุ่น Prime สีแดง โซล เรด คริสตัล มูลค่า 541,000 บาท ซึ่งมาสด้าขอแสดงความยินดีกับผู้โชคดีมา ณ โอกาสนี้
มาสด้าขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านเป็นอย่างสูงที่ให้ความไว้วางใจ เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์มาสด้า และให้มาสด้าได้ดูแล ด้วยการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวมาสด้า ขอให้ลูกค้าทุกท่านติดตามกิจกรรมข่าวสารและแคมเปญพิเศษดี ๆ เช่นนี้ ที่มาสด้าจะมอบให้กับลูกค้า Mazda Family ต่อไปในอนาคต เพื่อสะท้อนปรัชญาของแบรนด์ Joy Drives Live ความสุขขับเคลื่อนชีวิต ที่มาสด้ามุ่งมั่นเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง
สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลทั้งหมด ภายใต้แคมเปญ MAZDA MID-YEAR SURPRISE ข้อเสนอมาสด้าแห่งปี ซื้อรถลุ้นรถ ได้ทางเว็บไซต์มาสด้า
https://www.mazda.co.th/th/events-activities/detail/mazda-midyear-surprise-activity-2025
*ราคารวม VAT 7%
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
แชมป์ Honda City Hatchback One Make Race 2025 “กอล์ฟ-ประพจน์ ชื่นวิจิตร” คว้าประสบการณ์ระดับโลก ในรายการ Super Taikyu ณ สนาม Fuji Speed Way
ศึก “ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025” โดย บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน ) ตอกย้ำความมุ่งมั่น ด้วยการส่งแชมป์ประจำปี 2025 อย่าง “กอล์ฟ-ประพจน์ ชื่นวิจิตร” ไปสัมผัสประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตระดับโลก ในศึก “Eneos Super Endurance Series 2025 Empowered by BRIDGESTONE” หรือคุ้นหูกันในชื่อ Super Taikyu เป็นการเดินทางไปแข่งเรซที่ 7 ณ สนาม Fuji Speed Way ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
นี่คือจุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า Honda One Make Race ไม่ได้มองแค่ “ชัยชนะ” ในประเทศ แต่เป็นเวทีเพื่อสนับสนุนและผลักดันให้นักแข่งไทยได้เก็บเกี่ยว “ประสบการณ์แข่งจริง” ในสนามระดับสากล เพื่อนำพาทักษะของพวกเขาข้ามผ่านขีดจำกัดไปอีกขั้น โดย กอล์ฟ-ประพจน์ ชื่นวิจิตร แชมป์ Honda City Hatchback One Make Race 2025 ได้เดินทางไปร่วมทีม M&K Racing ลงสนามด้วยการใช้รถแข่ง Civic FL5 TCR หมายเลข 96 ในรุ่น ST-TCR นี่คือการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากรถแข่ง One Make Race สู่รถแข่ง TCR ระดับโลก ที่ต้องการการปรับตัวและทักษะที่สูงขึ้นมาก
การเตรียมความพร้อมการเดินทางไปถึงญี่ปุ่น เริ่มต้นด้วยกระบวนการที่เข้มข้น นักแข่งต้องเข้ารับการอบรมอย่างละเอียด ทั้งจากสนาม Fuji Speedway และผู้จัดรายการ Super Taikyu เพื่อทำความเข้าใจกฎข้อบังคับและกติกาการแข่งขันระดับสากล แม้จะมีเวลาจำกัดในการปรับตัวเข้ากับรถแข่ง Endurance และรูปแบบการแข่งขัน 4 ชั่วโมง เขาเริ่มต้นทำความคุ้นเคยกับสนามด้วยรถแข่ง Honda N1 ก่อนจะก้าวขึ้นสู่รถแข่ง Civic TCR เป็นครั้งแรก โดยปรับตัวและเรียนรู้ และทำความคุ้นเคยกับรถแข่งได้อย่างรวดเร็ว
พิสูจน์ความสามารถและผลลัพธ์อันน่าประทับใจ ในช่วงของการควอลิฟาย แบ่งกลุ่มนักแข่งเป็น 4 กลุ่ม โดย “กอล์ฟ” อยู่ในกลุ่ม D ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะได้ลงไปควอลิฟาย เขาได้สร้างความประทับใจให้กับทีมและผู้เข้าร่วมแข่งขัน โดยสามารถทำเวลาเป็นอันดับ 2 ของรุ่น ในกลุ่ม D ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสามารถของนักแข่งไทยบนเวทีระดับโลก
ในวันแข่งขันจริง ซึ่งเป็นการแข่งขัน 4 ชั่วโมง ท่ามกลางรถแข่งกว่า 60 คัน จาก 9 รุ่น แผนที่วางไว้ คือ กอล์ฟได้รับมอบหมายให้ลงขับเป็นคนที่ 3 จากนักแข่งทั้งหมด 4 คน โดยใช้เวลาขับทั้งหมด 50 นาที และด้วยการทำงานเป็นทีมอย่างมีมาตรฐาน ทำให้รถแข่ง Civic TCR หมายเลข 96 สามารถเข้าเส้นชัยในอันดับ 6 Overall ของการแข่งขันนี้ได้สำเร็จ นับเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะ ถึงแม้จะไม่ได้ก้าวขึ้นไปยืนบนโพเดียม แต่การได้ร่วมทีมแข่งระดับมาตรฐาน ได้ขับรถแข่งระดับโลก และได้พิสูจน์ตัวเองในสนามระดับสากลอย่าง Super Taikyu คือ “ประสบการณ์” ที่หาได้ยากและมีมูลค่ามหาศาล การเข้าร่วมการแข่งขันนี้ คือหลักฐานสำคัญที่ยืนยันเจตนารมณ์ของ Honda One Make Race ที่จะมอบโอกาสเช่นนี้ให้กับแชมป์ของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พวกเขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และนำพาประสบการณ์อันล้ำค่านี้กลับมาพัฒนาวงการมอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากลต่อไปในอนาคต
สำหรับ ศึก ฮอนด้า วันเมคเรซ เตรียมเดินหน้าจัดการแข่งขันต่อในฤดูกาล 2026 โดย กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการแข่งขันประกาศอย่างชัดเจนว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในส่วนของ “รุ่นการแข่งขัน” เพื่อยกระดับความมันส์ให้สูงขึ้น แฟนๆรอติดตามอัพเดทข้อมูลก่อนใครได้ที่เพจ Honda One Make Race, GP Motorsport และ XO Autosport
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News Car1 Min Read
กลุ่มทำงานต่างประเทศภายใต้ “Tateshina Meeting” เปิดตัวแคมเปญ“KUB-DEE-DAI-DEE (ขับดีได้ดี)” โดยมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี (Toyota Mobility Foundation) และฮอนด้า (Honda) ร่วมกับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration) เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทย — ส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัยตามแนวคิดความเชื่อของไทย “ทำดีได้ดี” —
มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (Toyota Mobility Foundation – TMF) และ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด (Honda Motor Co., Ltd. – Honda) ร่วมกับกรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration – BMA) ได้ประกาศเปิดตัวแคมเปญ “KUB-DEE-DAI-DEE (ขับดีได้ดี)” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสององค์กรในการร่วมกันแก้ไขปัญหาและส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนในประเทศ
ทั้งนี้ TMF และ Honda ได้ร่วมมือกันภายใต้คณะอนุกรรมการด้านต่างประเทศของกรอบความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม “Tateshina Meeting” เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย “การสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นศูนย์” ทั้งสององค์กรได้แบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์จากโครงการด้านความปลอดภัยทางถนนที่ดำเนินการในประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาประยุกต์และขยายผลสู่ระดับสากล เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการจราจรที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ภายใต้ความร่วมมือนี้ ทั้งสององค์กรเตรียมดำเนินแคมเปญในประเทศไทย ภายใต้แนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมความเชื่อของไทย “ทำดีได้ดี (TAM-DEE-DAI-DEE / Good Deeds Bring Good Returns)” เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการขับขี่ที่ดีและลดอุบัติเหตุทั้งจากรถยนต์และรถจักรยานยนต์ พร้อมทั้งมีการติดตามและประเมินผลลัพธ์ของแคมเปญ เพื่อพัฒนาแนวทางด้านความปลอดภัยทางถนนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
🔗 เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของแคมเปญ: https://kubdeedaidee.com
- ความเป็นมาของโครงการ
ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น อย่างไรก็ตาม หนึ่งในผลลัพธ์ที่ตามมาของการพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้ คือ อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งพบได้บ่อยในกลุ่มคนรุ่นใหม่
แม้ว่าที่ผ่านมาได้มีการดำเนินกิจกรรมรณรงค์และโครงการให้ความรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการ พัฒนามาตรการและแนวทางใหม่ๆ เพื่อสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน
ภายใต้แคมเปญนี้ TMF และ Honda ซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ (รถยนต์และรถจักรยานยนต์) จะร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้และรณรงค์ด้านความปลอดภัยทางถนน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Networking Services – SNS) เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ในวงกว้าง
โดยได้รับการสนับสนุนจาก กรุงเทพมหานคร (BMA) ผ่านการดำเนินกิจกรรมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแคมเปญ รวมถึงการเผยแพร่เนื้อหาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อของกรุงเทพมหานคร โครงการนี้ยังมีแผนที่จะพัฒนากิจกรรมที่เชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างวัฒนธรรมการขับขี่อย่างปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
- แนวทางและวัตถุประสงค์ของโครงการ
แคมเปญนี้จัดทำขึ้นเพื่อเชื่อมโยง “ทำดีได้ดี” ซึ่งเป็นสุภาษิตไทยที่สืบทอดกันมายาวนานในวิถีชีวิตของคนไทย เข้ากับพฤติกรรมด้านความปลอดภัยบนท้องถนน โดยมีแนวคิดในการ “ตีความใหม่” ว่าความรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนไม่ใช่เพียง “หน้าที่” ที่ต้องปฏิบัติเท่านั้น แต่เป็น “การกระทำที่ดี” ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งตนเองและผู้อื่น พร้อมสร้างแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
TMF และ Honda มุ่งหวังที่จะสร้างสังคมการขับขี่ที่ปลอดภัย ซึ่งผู้ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ต่างมีความเอื้อเฟื้อและใส่ใจต่อกัน ภายใต้แนวคิด “ขับดี (KUB-DEE)” แคมเปญได้หยิบยกพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การสังเกตและระมัดระวังรถจักรยานยนต์ในขณะขับขี่ การตรวจสอบจุดอับสายตา และการเว้นระยะห่างที่ปลอดภัย — มานำเสนอเป็นตัวอย่างของ “พฤติกรรมการขับขี่ที่ดี”
แนวทางเหล่านี้ถูกออกแบบบนพื้นฐานข้อมูลเชิงลึกจากรูปแบบอุบัติเหตุและพฤติกรรมการขับขี่ที่พบบ่อยในประเทศไทย เพื่อเน้นย้ำให้ผู้ขับขี่ตระหนักและจดจำว่าพฤติกรรมเหล่านี้คือ “การทำดี” ที่สร้างความปลอดภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่นบนท้องถนน
- แผนดำเนินการของโครงการ
ในการสร้างสรรค์ภาพหลักของแคมเปญบนเว็บไซต์ TMF และ Honda ได้ร่วมมือกับศิลปินไทยรุ่นใหม่ นายสราวุธ พานนู เพื่อนำเสนอผลงานที่ผสานเอกลักษณ์ของศิลปะไทยแบบดั้งเดิมเข้ากับสไตล์ร่วมสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสื่อสารแนวคิด “ทำดีได้ดี” ในมิติใหม่ ที่เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น และสะท้อนแนวคิดของแคมเปญในรูปแบบที่ทั้งทันสมัยและคงไว้ซึ่งรากฐานของวัฒนธรรมไทย
นอกจากนี้ ภายในเว็บไซต์แคมเปญยังได้เพิ่มฟีเจอร์เชิงอินเทอร์แอ็กทีฟ “KUB-DEE-DAI-DEE Generator” เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างเป็นรูปธรรม
ผู้ใช้งานสามารถเลือกพฤติกรรมการขับขี่ที่ต้องการตระหนักรู้มากขึ้น จากหมวด “KUB-DEE (ขับดี)” ที่แนะนำไว้ในเว็บไซต์ และสามารถสร้างวอลล์เปเปอร์หรือวิดีโอสั้นในสไตล์ของตนเอง เพื่อแชร์ต่อบนโซเชียลมีเดียได้โดยตรง
กลไกนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความรู้ด้านความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ “ประกาศเจตนารมณ์แห่งการขับดี” ต่อสังคมรอบข้าง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง
- ทิศทางต่อไปของโครงการ (Future Developments)
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2025 เป็นต้นไป แคมเปญ “ทำดีได้ดี ขับดีได้ดี” จะเริ่มเผยแพร่ทั้งในรูปแบบ ออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดเชียงใหม่ โดยจะสื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย สื่อโฆษณากลางแจ้ง เว็บไซต์แคมเปญพิเศษ รวมถึง สื่อในเครือของกรุงเทพมหานคร (BMA) เพื่อให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้าง และส่งต่อแนวคิด “ขับดีได้ดี” เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ที่ดีในสังคมไทย
จากข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการดำเนินแคมเปญ “ทำดีได้ดี ขับดีได้ดี” ในระยะแรก ทำให้มีแผนที่จะขยายผลต่อเนื่องในปี 2026 โดยร่วมมือกับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) และ มูลนิธิฮอนด้าประเทศไทย เพื่อส่งต่อแนวคิดและสารรณรงค์ด้านความปลอดภัยทางถนนไปสู่ประชาชนในวงกว้างยิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ ได้รับเกียรติจากผู้แทนของแต่ละองค์กรร่วมแสดงความคิดเห็น ดังนี้
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (Chadchart Sittipunt), ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
“กรุงเทพมหานครให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางถนนมาโดยตลอด
การเปิดตัวแคมเปญ ‘ขับดีได้ดี (KUB-DEE-DAI-DEE)’ โดย TMF และ Honda ถือเป็นก้าวสำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมการขับขี่อย่างมีน้ำใจและปลอดภัย ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์อย่างแท้จริง
กรุงเทพมหานครพร้อมสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่ และจะเดินหน้าพัฒนาระบบถนนให้ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อทุกคนต่อไป”
มร. ซูซูมุ มัตสึดะ (Susumu Matsuda), รองประธานกรรมการ มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี้ (Toyota Mobility Foundation)
“ในที่ประชุม Tateshina Meeting เราให้ความสำคัญกับแนวคิดที่ว่า ‘ความปลอดภัยทางถนนเป็นสิ่งที่ทุกคนร่วมกันสร้างได้’ เราเชื่อว่าการที่แต่ละคนได้คิดว่า ‘ฉันสามารถทำอะไรได้บ้าง’ และลงมือปฏิบัติจริง คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแนวคิด ‘ขับดีได้ดี (KUB-DEE-DAI-DEE)’ จะได้รับการยอมรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนชาวไทย และช่วยส่งต่อจิตสำนึกแห่งความเอื้อเฟื้อและความปลอดภัยให้แผ่ขยายระหว่างผู้ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์”
มร. ฮิเดอากิ ทาคาอิชิ (Hideaki Takaishi), ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด
“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ TMF ในการเปิดตัวแคมเปญ ‘ขับดีได้ดี (KUB-DEE-DAI-DEE)’ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางถนนที่เป็นความท้าทายสำคัญของประเทศไทย
การส่งเสริมให้เกิดการขับขี่อย่างมีน้ำใจ ทั้งในมุมมองของผู้ใช้รถยนต์และผู้ใช้รถจักรยานยนต์ จะช่วยมอบทั้ง ‘ความปลอดภัยและความสุข’ ให้กับทุกคน และร่วมกันก้าวไปสู่สังคมที่ปลอดอุบัติเหตุอย่างแท้จริง”
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


































































































