Rolls-Royce กับที่มาของความแพงหลายสิบล้าน

Rolls-Royce กับที่มาของความแพงหลายสิบล้าน

พวกเรา Realtime Car Magazine ได้บอกเล่าเรื่องราวของรถยนต์แบรนด์ต่างๆ มามากมายแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องราวของ Rolls Royce กันสักที ก็ถือโอกาสมาเล่าให้ฟังสักหน่อยว่า ทำไม รถยนต์สัญชาติผู้ดีอังกฤษค่ายนี้ ถึงแพงจัง และยังได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดอีก

Frederick Henry Royce (ซ้าย) Charles Steward Rolls (ขวา)

จุดเริ่มต้นของรถแบรนด์นางฟ้านี้ต้องย้อนไปเมื่อ ร้อยกว่า ปีก่อน ในปีประมาณ 1900 ต้นๆ Rolls-Royce ก่อตั้งโดยชายชาวอังกฤษ 2 คนคือ Frederick Henry Royce และ Charles Rolls บอกได้เลยว่าพื้นฐานชีวิตของทั้ง 2 นี่ต่างกันสุดขั้วจริงๆ ครับ

เกิดมาจน คนสู้ชีวิต

       Frederick Henry Royce เกิดเมื่อปี 1863 ในครอบครัวที่ทำธุรกิจร้านโม่แป้งในเมืองเล็กๆ ที่กิจการไม่ค่อยดีนักจนล้มละลาย ทำให้ครอบครัวต้องย้ายมาอยู่ลอนดอน สู้ชีวิต ส่งตัวเองเรียนหนังสือ ด้วยการทำงานขายหนังสือพิมพ์ และส่งแฟกซ์ ส่งโทรเลข หลังจากนั้นมา นาย Henry ก็ได้เริ่มสนใจในรถยนต์ ด้วยการซื้อรถ Deauville มือสองจากฝรั่งเศสมาลองรื้อ และประกอบรถด้วยตัวเองขึ้นมาใหม่ในปี 1904

ชายผู้คาบช้อนทองมาเกิด

       อีกมุมหนึ่งในลอนดอน Charles Steward Rolls เกิดในปี 1877 ในครอบครัวชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวย ทำให้เขาไม่ต้องส่งเสียตัวเองเท่าไหร่นัก เขาจบการศึกษาคณะวิศวะเครื่องกลที่ Trinity College Cambridge เมื่อปี 1898 ซึ่งเป็นสถานศึกษาชั้นนำที่ปั้นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์หลายคน เช่น เซอร์ไอแซก นิวตัน, รามานุจัน, นีลส์ โบร์, พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 หรือแม้กระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรีไทย อานันต์ ปันยารชุน และเขายังเป็นนักศึกษาคนแรกที่ขับรถ Peugeot ไปเรียนอีก หลังจากเรียนจบแล้วเขาก็เปิดบริษัท C. S. Rolls & Co. เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายรถ Peugeot จากฝรั่งเศส

การพบเจอที่ไม่คาดคิด

       นาย Henry Royce เริ่มมีทักษะมีประสบการณ์ด้านวิศวะเครื่องกลมากขึ้น ทำให้รถที่เขาแต่งขึ้นมากับมือ ลบข้อบกพร่องจากเดิมๆ จนหมด แล้วดันมีรถคันหนึ่งถูกขายให้ให้ชายที่ชื่อว่า Henry Percy Edmund ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Royce และยังเป็นเพื่อนกับ Rolls อีก

       นาย Edmund คนนี้เป็นคนแนะนำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน ถึงแม้อายุจะห่างกันมาก แต่พวกเขาก็มีความคิดที่ตรงกันว่า อยากสร้างแบรนด์รถที่ดีที่สุดในโลกดังคำปรัชญาของแบรนด์ที่ว่า “Take the best that exists and make it better.”

กำเนิด”ผีสีเงิน”

       Rolls-Royce ก็ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1906 และเปิดตัวรถรุ่นแรกในปี 1907 ในชื่อรุ่นว่า Silver Ghost ด้วยสีตัวถังที่เป็นเฉดเงินอะลูมิเนียม ซึ่งไม่เคยถูกใช้ในสีตัวถังรถรุ่นไหนมาก่อน และคำว่า Ghost ที่สื่อความหมายถึงเครื่องยนต์ที่เงียบเหมือนผี เจ้า Silver Ghost รุ่นนี้ถูกโฆษณาว่าเป็นรถที่ดีที่สุดในโลก และมันก็ไม่ทำให้ผิดหวังกับที่โม้ไว้จริงๆ ด้วยแชสซีส์ที่ใหญ่ ช่วงล่างแหนบ เครื่องยนต์เป็นเหล็กหล่อ ที่ทำลายสถิติเป็นเครื่องที่หมุนต่อเนื่องนานที่สุดโดยไม่หยุดพัก และยังมีสเปคเว่อร์วังอีกเพียบ ทำให้กลายเป็นรถที่สร้างชื่อเสียง และยังเป็นมาตรฐานของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน

       ขอแทรกเรื่องน่ารู้นิดนึง Rolls-Royce Silver Ghost ยังถูกเอามาติดตั้งเกราะหนา 12 มม. และปืนกล Mk.1 Vickers เพื่อเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 และที่สำคัญ ยังมีอีกคันที่ถูกครอบครองโดย วลาดิเมียร์ เลนิน นักปฏิวัติชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย

มรสุมแรกของ Rolls-Royce

       ในปี 1925 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ว่า “วันอังคารทมิฬ” ส่งผลให้ยอดขายตกต่ำลงมาก Rolls-Royce ต้องรักษากิจการให้ผ่านช่วงวิกฤติไปให้ได้ ด้วยการทรัพย์สินบางส่วน แต่ดูเหมือนว่าด้วยวิกฤติเดียวกันนี้ คู่แข่งที่เทียบคู่กันมาอย่าง Bentley ไม่สามารถแบกรับภาระหนี้ที่มีอยู่ไหว จนสุดท้าย Bentley ก็ได้ขายกิจการให้กับ Rolls-Royce ในปี ค.ศ. 1931 ด้วยความที่ทั้ง 2 แบรนด์เป็นแบรนด์รถหรูทั้งคู่และได้มาอยู่ครอบครัวเดียวกัน จึงทำให้ช่วงหนึ่งรถของทั้ง Rolls-Royce และ Bentley มีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันมาก ถึงขนาดที่ว่ารถบางรุ่นผู้คนเห็นความต่างกันแค่กระจังหน้ารถเท่านั้น

       ในปีที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ได้เปิดตัวรถรุ่นที่ 2 คือ Phantom โดยเป็นรถที่ถูกผลิตขึ้นมาทดแทน Silver Ghost ด้วยเครื่องที่ใหญ่ขึ้น เปลี่ยนตำแหน่งวาล์วด้านข้าง มาเป็นวาล์ว Overhead ซึ่งรุ่น Phantom IV มีการผลิตออกมาพียง 18 คันเท่านั้นตั้งแต่ปี 1950-1956 ซึ่งผลิตให้กับบุคคลสำคัญเท่านั้นเช่น

       สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ที่ครอบครอง 2 คัน, พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี แห่งอิหร่าน ที่ครอบครองถึง 3 คัน , เชคอับดุลเลาะห์ อัลซาเล็ม อัลซาบาห์ เจ้าผู้ครองรัฐคูเวต ที่ครอบครองถึง 3 คัน, เจ้าชายเฮนรี่ ดยุคแห่งกลอสเตอร์, จอมพล ฟรานซิสโก ฟรังโก ผู้นำเผด็จการแห่งสเปน ที่ครอบครองถึง 3 คัน และยังมีบุคคลที่เหลือที่ยังไม่พูดถึงอีกเพียบ

จาก “รถ” สู่ “เครื่องบิน”

       ในปี ค.ศ. 1939 สายการผลิตรถยนต์ของ Rolls-Royce ต้องหยุดลงชั่วคราวเพื่อไปผลิตเครื่องยนต์ของอากาศยานให้กับกองทัพอังกฤษ และอเมริกา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอย่างเช่นเจ้า Rolls-Royce Merlin เครื่อง V12 สูบตัวนี้นี่เองที่ติดตั้งบนเครื่องบิน Super Marine Spitfire และ P-51 Mustang อันโด่งดังนี่เอง และด้วยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่บริษัทผลิต เครื่องบินรบของกองทัพอังกฤษได้ถูกกล่าวขานว่ามีเครื่องยนต์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสงคราม เลยทีเดียว ทำให้กลายเป็นจุดจุดเริ่มต้นของ Rolls-Royce ที่ได้ขยายธุรกิจจากรถยนต์ สู่เครื่องยนต์อากาศยานในเวลาต่อมา

เกือบก้าวลงเหว

       อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1971 Rolls-Royce กลับมีปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนักและถูกบังคับให้ล้มละลาย แต่ด้วยความที่ Rolls-Royce ยังเป็นแบรนด์ในความต้องการของเหล่าเศรษฐี และราชวงศ์ทั่วโลก เมื่อบริษัทมีปัญหา บริษัทแห่งนี้จึงยังคงมีคุณค่าและเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อกิจการจากหลายบริษัท

เริ่มตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1980 Vickers บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเครื่องยนต์ได้เข้าซื้อกิจการผลิตรถยนต์ของ Rolls-Royce อย่างไรก็ตาม Vickers ได้ซื้อไปเพียงธุรกิจยานยนต์และความเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเท่านั้น ในส่วนของสิทธิในการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าและโลโก้ยังคงอยู่กับ Rolls-Royce จึงเหลือเพียงแค่สิทธิ์ของแบรนด์และกิจการผลิตเครื่องยนต์อากาศยาน

ในปี ค.ศ. 1998 เหล่าผู้ถือหุ้นของ Vickers ก็ได้ตัดสินใจขายธุรกิจยานยนต์ดังกล่าวให้กับ Volkswagen แต่ในการขายกิจการยานยนต์ของ Vickers ไปให้ Volkswagen นั้น ยังมีผู้ผลิตยานยนต์อีกเจ้านั่นก็คือ BMW ที่เข้าร่วมประมูลราคาเพื่อซื้อ Rolls-Royce เช่นกัน แต่ก็ต้องแพ้ประมูลไป ทางบริษัท BMW ที่ผลิตเครื่องยนต์ให้ Rolls-Royce มานานจึงไม่พอใจและได้ประกาศยกเลิกการผลิตเครื่องยนต์ให้กับ Rolls-Royce ทันที และเรื่องนี้ก็สร้างความปวดหัวให้กับ Volkswagen ไม่น้อย แต่ BMW ที่เป็นซี้กันทางธุรกิจกับ Rolls-Royce มาอย่างยาวนานรู้ว่าสิทธิการใช้โลโก้อยู่กับอีกบริษัท BMW จึงไม่รอช้าและรีบเจรจาขอซื้อสิทธิ์ดังกล่าว หลังจากเข้าซื้อสิทธิในการใช้เครื่องหมายการค้าสำเร็จแล้ว BMW ก็ได้ออกมาประกาศทันทีว่า Volkswagen จะสามารถใช้ชื่อแบรนด์ “Rolls-Royce” ได้จนถึงปี ค.ศ. 2002 เท่านั้น

หลังจากที่ BMW เข้าซื้อกิจการ Rolls-Royce เรียบร้อยแล้วก็ได้จดทะเบียนและตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ ROLLS-ROYCE MOTOR CARS และด้วยความที่รถทุกคันประกอบด้วยมือ ทำให้สามารถผลิตได้ไม่เกินวันละ 10 คันเท่านั้น และทาง BMW ก็ได้สร้างโรงงานขึ้นมาใหม่เพื่อผลิตและประกอบรถ Rolls Royce โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา เพื่อหวังยกระดับแบรนด์ให้เป็นระดับ SUPER LUXURY มีชื่อโรงงานว่า ROLLS – ROYCE GOODWOOD PLANT ตั้งอยู่ที่เมือง CHICHESTER ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งนอกจากเป็นโรงงานผลิต ROLLS ROYCE แห่งเดียวในโลกแล้ว ยังเป็นสำนักงานใหญ่ ของ ROLLS-ROYCE MOTOR CARS อีกด้วย จนกระทั่งการมาถึงของ Rolls Royce Ghost และ Spectre ที่เปิดตัวเมื่อ 2023 ที่ผ่านมานี่เองครับ

“The Spirit of Ecstasy” กับเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวัง

นอกจากประวัติและเรื่องราวที่น่าสนใจแล้ว อีกไฮไลท์ของแบรนด์นี้ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นอกเหนือจากโลโก้อักษรตัว R 2 ตัวบนสี่เหลี่ยมแล้ว ยังมีเทพีนำโชค หรือ The Spirit of Ecstasy ที่อยู่หน้ากระโปรงของรถ Rolls Royce แทบทุกคัน ที่สื่อความหมายถึง” จิตวิญญาณแห่งความปิติ”

Charles Robinson Sykes

       ออกแบบโดยศิลปินที่ชื่อว่า Charles Robinson Sykes โดยได้แรงบันดาลใจจากหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่า Eleanor Velasco Thornton ซึ่งเป็นเลขาของ John Douglas-Scott-Montagu บก.นิตยสาร The Car Illustrated และให้ชื่อผลงานชิ้นนั้นว่า “The Whisper” มีลักษณะเป็นรูปหญิงสาวมาพร้อมกับเสื้อที่ปลิวออกมา และมีนิ้วชี้ของมือข้างซ้ายแตะไว้ที่ริมฝีปาก อันมีความหมายถึงความรักลับๆ ระหว่าง Thornton และ Montagu ซึ่งทั้งคู่ มีความรู้สึกดีๆต่อกัน แต่ด้วยฐานะ และตำแหน่งที่แตกต่างกันมากเกินไป ทำให้มีความรักด้วยกันไม่ได้

ทีเด็ดความแพงของ Rolls-Royce

ประวัติและเรื่องราวที่ผ่านๆ มาอาจจะยังดูไม่แพงมากพอใช่ไหมครับ ทีเด็ดอีกอย่าง ของ Rolls Royce ที่ทำให้แพงคือ กลยุทธ์การตลาด Customization หรือการเลือกสเปคตามที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งกลยุทธ์นี้ที่ใครๆ ก็ใช้กันเยอะแยะ แต่ต้องยอมรับว่า Rolls-Royce เขาใช้ได้ถูกจังหวะ และลงตัวจริงๆ

อย่างแรกมา แค่สีก็ปวดหัวตายแล้วครับเพราะมีสีให้เลือกถึง 44,000 สี และยังสามารถสั่งทำสีเฉพาะของตัวเองขึ้นมาใหม่ก็ได้ และได้สิทธิ์ในการตั้งชื่อและใช้สีนั้นแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งการลงสีบนตัวรถจะลงสีอย่างน้อย 7 ชั้น และสามารถเลือกลงสีได้สูงที่สุดถึง 23 ชั้น ด้วยช่างเพียงคนเดียว

อย่างที่ 2 คือ รูปปั้น The Spirit of Ecstasy สามารถสั่งเปลี่ยนวัสดุให้เป็นทองคำได้

ความแพงอีกอย่างคือ โลโก้บนล้อถึงจะหมุนอยู่แต่โลโก้ก็ยังตั้งตรงเสมอ, เบาะหนังทำจากหนังวัวกระทิงอย่างน้อย 8 ตัว การเย็บต้องใช้ความประณีตสูงมาก ผิดพลาดไม่ได้แม้แต่ มม. เดียว, ไม้ที่ใช้ตกแต่งภายในรถต้องทำจากต้นไม้ต้นเดียวกันเพื่อรักษาความสมมาตรและสีของลายไม้ภายในรถ และสั่งเปลี่ยนให้ทำจากทองคำได้, เพดานรถมีการตกแต่งดวงดาวกว่า 1,340 ดวง สามารถสั่งจัดเรียงได้ตามต้องการ

และก็ที่พูดถึงกันบ่อยที่สุดคือ ห้องโดยสารที่เงียบมาก เพราะเสียงเครื่องยนต์ดังเท่ากับเสียงลมหายใจของมนุษย์เท่านั้นเอง และยังมีฉนวนกันเสียงทั้งห้องโดยสารที่หนักราว 137 กิโลกรัม ยางล้อรถเองก็ผลิตมาเป็นพิเศษเพื่อลดเสียงที่เกิดจากการเสียดสีบนท้องถนน ถือได้ว่าพิถีพิถันทุกขั้นตอนจริงๆ ครับ


ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

Website : http://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
Twitch TV : https://www.twitch.tv/realtimecarmagazine
Blockdit : https://www.blockdit.com/pages/5ed70c2d713f890cbc006f05
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_magazine/
Tiktok : https://vt.tiktok.com/ZSmSrdsB