-
News / News Motocycle1 Min Read
สยามมิชลิน ร่วมกับ เมกาพาร์ท สนับสนุน RC Club ร่วมสร้างสังคมการขับขี่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน

บริษัท สยามมิชลิน จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมยางรถยนต์และจักรยานยนต์จากประเทศฝรั่งเศส ตอกย้ำพันธกิจ “ขับขี่ปลอดภัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ล่าสุดร่วมกับพันธมิตรสำคัญ บริษัท เมกาพาร์ท จำกัด ผู้จัดจำหน่ายและศูนย์บริการชั้นนำของมิชลินในประเทศไทย ส่งมอบอุปกรณ์สนับสนุนการฝึกขับขี่ปลอดภัยให้กับ ชมรมฝึกขับขี่ปลอดภัย RC Club ที่ทุ่มเทเพื่อการสร้างทักษะการขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างมีความรับผิดชอบในสังคมไทย


RC Club ชมรมที่ไม่แสวงหากำไรถือกำเนิดขึ้นจากกลุ่มอาสาสมัครผู้เชื่อมั่นว่า “ความรู้และทักษะที่ถูกต้องสามารถลดอุบัติเหตุได้จริง” โดยเริ่มต้นจากกลุ่มเล็กๆ ที่ใช้พื้นที่ว่างใต้ทางด่วนย่านลาดพร้าว 88 เขตวังทองหลาง เป็นสนามฝึกซ้อมตลอดหลายปีที่ผ่านมา RC Club ได้จัดสถานที่ฝึกซ้อมให้กับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทุกกลุ่ม นักศึกษา, บุคคลทั่วไป, พนักงานบริษัท, พนักงานส่งสินค้า ไปจนถึงผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ในเชิงอาชีพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”


การสนับสนุนจาก สยามมิชลิน และ เมกาพาร์ท ในครั้งนี้จึงไม่เพียงช่วยให้การดำเนินกิจกรรมของ RC Club เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน แต่ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทในการเสริมสร้างสังคมที่ตระหนักถึงความสำคัญของการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกใช้ยางคุณภาพ
และเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงยางคุณภาพได้ง่ายขึ้น สยามมิชลินยังได้ขยายช่องทางการจำหน่ายสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่าน Michelin Official Store บนแพลตฟอร์ม Lazada เพื่อเพิ่มความ “สะดวก” ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงยางคุณภาพของมิชลินได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ขับขี่ในยุคดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับความรวดเร็ว โปร่งใส และมั่นใจในคุณภาพสินค้าอย่างแท้จริง

นายสรพงษ์ จันทร์นฤกุล ผู้อำนวยการ ยางรถยนต์และยางรถจักรยานยนต์ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด กล่าวว่า สยามมิชลินมีความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจกรรมของ RC Club ซึ่งเป็นชมรมที่ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับทักษะการขับขี่ของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทุกกลุ่ม ทุกยี่ห้อ โดยไม่จำกัดความแตกต่างใด ๆ

เป็นที่ทราบกันดีว่า อุบัติเหตุที่เกิดจากการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์คร่าชีวิตคนไทยเป็นจำนวนมากต่อปี จากสถิติประเทศไทยมีผู้เสียชีวิต 1 คนทุกๆ 37 นาทีจากการใช้จักรยานยต์เป็นยานพาหนะ และไทยยังเกิดอุบัติเหตุต่อจำนวนรถจักรยานยนต์ จดทะเบียนสูงสุดในโลกที่ 6.3 คนต่อรถ 10,000 คัน ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยจากการขับขี่รถจักรยานยนต์จึงเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อลดสถิติเหล่านี้ลงให้มากและเร็วที่สุด ซึ่งกิจกรรมฝึกขับขี่ปลอดภัยของ RC Club ไม่เพียงช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ยังช่วยสร้าง “สังคมแห่งความรับผิดชอบและการเคารพซึ่งกันและกัน” ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมิชลินอย่างแท้จริง
สำหรับสยามมิชลินมีความมุ่งมั่นมาโดยตลอดในการพัฒนา “นวัตกรรมยางที่ให้ความมั่นใจได้ยาวนานกว่า” และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้ขับขี่ทุกคนสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย มั่นใจ และยั่งยืน ไม่ว่าจะขับขี่ในชีวิตประจำวันหรือในเส้นทางการเดินทางไกลก็ตาม “มิชลินไม่เพียงผลิตยางคุณภาพระดับโลกแต่ยังเชื่อมั่นในบทบาทของการสร้างสังคมแห่งการเดินทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน” นายสรพงษ์กล่าว

นายพิศิษฏ์ ลีละพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมกาพาร์ท จำกัด กล่าวเสริมว่า “เมกาพาร์ทเป็นทั้งผู้จัดจำหน่ายและศูนย์บริการของมิชลินที่มุ่งเน้นคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ขับขี่ เราเปรียบเสมือน ‘โซ่ข้อกลาง’ ที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตยางคุณภาพระดับโลกอย่างมิชลิน กับผู้ขับขี่บนท้องถนน ผ่านบริการด้านอะไหล่และการซ่อมบำรุงที่ครบวงจร เราเชื่อว่าการมีทั้งยางที่ดีและการดูแลรักษารถอย่างถูกวิธี คือรากฐานสำคัญของความปลอดภัยในทุกการเดินทาง”
“ที่ผ่านมา เมกาพาร์ทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้ให้กับร้านช่างและคู่ค้าในเครือข่าย เราจัดอบรม ถ่ายทอดเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์ ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับการดูแลที่รอบคอบ ปลอดภัย และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระยะยาว เมกาพาร์ทเชื่อว่าความปลอดภัยของผู้ขับขี่เริ่มต้นได้ตั้งแต่ ‘ร้านซ่อมข้างบ้าน’ ที่มีความรู้และใส่ใจจริง ๆ”

นายคุ้มเกล้า จุฬาวังฤทธิ์ ผู้ประสานงาน RC Club กล่าวสุดท้ายว่า “เรารู้สึกซาบซึ้งและขอขอบคุณ สยามมิชลิน และ เมกาพาร์ท ที่ให้การสนับสนุนรวมถึงขอขอบคุณสำนักงานเขตวังทองหลาง ที่เอื้อเฟื้อและอนุเคราะห์สถานที่ ซึ่งจะช่วยให้การฝึกขับขี่ปลอดภัยของ RC Club มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นี่ไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือชมรมฯ แต่คือการลงทุนเพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการสร้าง สังคมเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจและยั่งยืน”
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
“มารินี” คว้าแต้ม โมโตจีพี สปรินต์เรซ “ก้อง-สมเกียรติ” ซิวที่ 18 ออสเตรเลีย

“ลูก้า มารินี” นักบิดอิตาเลียนจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี ควบรถแข่ง Honda RC213V ทะยานเข้าป้ายท็อป 8 ผงาดคว้าแต้มจาก สปรินต์เรซ ในศึก โมโตจีพี 2025 สนาม 19 รายการ ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ขณะ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ออกตัวจากกริด 21 บิดเข้าป้ายอันดับ 18 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่ สนามฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย

เกมเรซนี้ดวลกันทั้งสิ้น 13 รอบ ด้วยสถานการณ์สุดเข้มข้น โดย มารินี หมายเลข 10 ต่อสู้ได้ดีจนขยับขึ้นมาเข้าป้ายอันดับ 8 ตามหลังผู้ชนะ 8.938 วินาที คว้าแต้มสำคัญได้อีกครั้งในสปรินต์เรซ ส่วนทีมเมทชาวสแปนิชอย่าง “โจอัน เมียร์” หมายเลข 36 จบเรซอันดับ 11 ตามหลัง 10.231 วินาที

ขณะที่ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดชาวไทยเจ้าของหมายเลข 35 จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ ออกตัวจากกริด 21 ต่อสู้ในกลุ่มได้ดีขยับขึ้นมาเข้าป้ายอันดับ 18 ตามหลัง 28.945 วินาที ส่วน “โยฮันน์ ซาร์โก” ทีมเมทชาวฝรั่งเศสหมายเลข 5 คว้าอันดับ 12 ตามหลัง 12.104 วินาที

ด้าน “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี นักบิดดาวรุ่งชาวไทยหมายเลข 5 จาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย เจองานท้าทายในรุ่น โมโตทรี หลังกลับจากอาการบาดเจ็บในรอบ 3 เดือน ผ่านรอบควอลิฟายด้วยการคว้ากริดที่ 25 มาครอง เวลาต่อรอบ 1 นาที 37.006 วินาที จะได้เริ่มเกมจากแถวที่ 9

ทั้งนี้ ศึก ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ รอบ “เมนเรซ” จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคมนี้ เริ่มต้นด้วย โมโตทรี 08.00 น. ต่อด้วย โมโตทู 09.15 น. และปิดท้ายด้วย โมโตจีพี 11.00 น. ถ่ายทอดสดทาง TrueVisions SPOTV
แฟนความเร็วชาวไทยสามารถส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้าพร้อมติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ : https://facebook.com/HondaRacingTeamTH
#HondaRacingThailand #RaceToTheDream #MotoGP #HondaBigBike #HondaRC213V #IdemitsuHondaLCR #SC35 #Kong #LCRHonda #JZ5 #HondaHRC #JM36 #LM10 #HondaTeamAsia #Moto3 #TB5 #Gonz #AustralianGP
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
ด่วน! ข่าวลือสะพัด Toyota FJ Cruiser รุ่นใหม่ (Land Cruiser FJ) อาจเปิดตัว 20 ตุลาคมนี้

แฟน ๆ รถยนต์สายลุยทั่วโลกเตรียมเฮ! มีรายงานข่าวลือหนาหูจากสื่อมวลชนญี่ปุ่นระบุว่า Toyota เตรียมจะเผยโฉมรถออฟโรดรุ่นใหม่ในตระกูล Land Cruiser ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเป็นรุ่นที่สานต่อตำนานของ FJ Cruiser ซึ่งอาจใช้ชื่อว่า Land Cruiser FJ โดยคาดการณ์ว่าอาจมีการจัดแสดงภาพตัวอย่างให้สื่อมวลชนได้ชมเป็นการภายในในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการระดับโลกในเช้าวันถัดไปคือวันที่ 21 ตุลาคม (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น)
รายงานข่าวระบุว่า รถยนต์รุ่นใหม่นี้ ซึ่งถูกยกให้เป็น “สมาชิกรุ่นเล็กสุด” ของตระกูล Land Cruiser ในปัจจุบัน จะมีดีไซน์ทรงกล่อง (Boxy Design) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากรถต้นแบบ Compact Cruiser EV ปี 2021 และรุ่น FJ Cruiser ในอดีตอย่างชัดเจน โดยจะมีลักษณะเด่นคือตัวถัง 5 ประตู ไฟหน้าทรงกลม และยางอะไหล่ติดตั้งอยู่ที่ประตูท้าย
ฐานการผลิตในไทยและขุมพลังที่คาดการณ์

สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษสำหรับแฟน ๆ ชาวไทยคือรายงานที่ระบุว่า Toyota Land Cruiser FJ รุ่นนี้จะถูกผลิตที่โรงงานในประเทศไทย เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าจะใช้แพลตฟอร์มแบบแชสซีส์ขั้นบันได (Ladder Frame) IMV-0 ซึ่งเป็นโครงสร้างเดียวกับที่ใช้ใน Toyota Hilux Champ และ Fortuner รุ่นใหม่ เพื่อให้ได้สมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดที่แข็งแกร่งและทนทาน
สำหรับทางเลือกด้านขุมพลังนั้น แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่สื่อญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า Land Cruiser FJ อาจมาพร้อมกับตัวเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.7 ลิตร (รหัส 2TR-FE) และอาจมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.8 ลิตร พร้อมระบบ Mild-Hybrid (คล้ายกับที่ใช้ใน Land Cruiser Prado, Hilux และ Fortuner) โดยทุกรุ่นน่าจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) เป็นมาตรฐาน
การกลับมาของตำนานสายลุย
การเปิดตัวของ Land Cruiser FJ นี้ถือเป็นการกลับมาของรถ SUV ขนาดกะทัดรัดที่เน้นการลุยอย่างแท้จริง ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ตลาดเพื่อแข่งขันในกลุ่มรถออฟโรดขนาดเล็ก โดยจะเริ่มทำตลาดในภูมิภาคเอเชียก่อน (รวมถึงประเทศไทย) ก่อนจะขยายไปยังตลาดใหญ่อย่างอเมริกาและยุโรปต่อไป

หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นยังคงเป็นรายงานข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Toyota ดังนั้น แฟน ๆ รถยนต์ยังคงต้องติดตามการประกาศจากบริษัทอย่างใกล้ชิดในวันที่ 20-21 ตุลาคมนี้ ซึ่งคาดว่ารายละเอียดทั้งหมดจะถูกเปิดเผยในงานสำคัญนี้
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Suzuki Gixxer SF 250 รุ่นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Flex-Fuel) เตรียมอวดโฉมในงาน Japan Mobility Show 2025 เน้นย้ำความมุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เตรียมนำรถจักรยานยนต์รุ่นต้นแบบที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่าง Suzuki Gixxer SF 250 FFV (Flex-Fuel Vehicle) เข้าจัดแสดงในงาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ Tokyo Big Sight ในปลายเดือนตุลาคมนี้ ตอกย้ำถึงความพยายามของค่ายผู้ผลิตจากญี่ปุ่นในการขยายทางเลือกด้านยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
Gixxer SF 250 FFV รุ่นนี้ ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้เชื้อเพลิงเอทานอลชีวภาพผสมกับน้ำมันเบนซินได้ในสัดส่วนสูงถึง E85 (เอทานอล 85% และน้ำมันเบนซิน 15%) การเคลื่อนไหวครั้งนี้สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

แม้ว่า Gixxer SF 250 รุ่นเชื้อเพลิงชีวภาพนี้จะเคยเปิดตัวในประเทศอินเดียมาก่อนหน้านี้ในงาน Bharat Mobility Global Expo 2025 แต่การนำมาจัดแสดงในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้จะเป็นการนำเสนอในรูปแบบ “รุ่นสเปกต่างประเทศ (Overseas specification model)” ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ นอกเหนือจากเอเชีย
เพื่อให้เครื่องยนต์สูบเดียวขนาด 249 ซีซี สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูง วิศวกรของซูซูกิได้ทำการปรับปรุงและแก้ไขชิ้นส่วนสำคัญหลายอย่าง เช่น หัวฉีด (Injector), ปั๊มเชื้อเพลิง (Fuel Pump), และหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาส่วนประกอบที่เป็นพลาสติกและยางให้มีความทนทานต่อฤทธิ์กัดกร่อนของเอทานอลอีกด้วย
ซูซูกิระบุว่าประสิทธิภาพด้านกำลังของ Gixxer SF 250 FFV ยังคงทำได้เทียบเท่ากับรุ่นมาตรฐาน โดยให้กำลังสูงสุดที่ 26 แรงม้าที่ 9,300 รอบต่อนาที ไม่ว่าจะเป็นการใช้เชื้อเพลิง E85 หรือ E20 ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าผู้ขับขี่ยังคงได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจโดยไม่ลดทอนสมรรถนะลง
การจัดแสดง Gixxer SF 250 FFV ในงาน Japan Mobility Show 2025 ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ซูซูกิกำลังให้ความสำคัญกับแนวคิด “เส้นทางหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (multi-pathway approach)” โดยนำเสนอทางเลือกที่หลากหลาย เช่นเดียวกับที่เตรียมจัดแสดงรถรุ่นอื่นๆ เช่น สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า e-Address และรถต้นแบบ Burgman ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน
การพัฒนารถจักรยานยนต์ที่รองรับเชื้อเพลิงชีวภาพนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของซูซูกิในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของยานยนต์ที่ยั่งยืน โดยพยายามเสนอทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถปรับให้เข้ากับข้อกำหนดและโครงสร้างพื้นฐานด้านเชื้อเพลิงในแต่ละภูมิภาคได้
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
News / News Motocycle1 Min Read
ไทยฮอนด้า มอบหมวกกันน็อกครบรอบ 60 ปี ให้แก่สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย ส่งต่อวัฒนธรรมความปลอดภัยให้สังคมไทย

บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เดินหน้าส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง ในวาระครบรอบ 60 ปี ด้วยการมอบหมวกกันน็อกมาตรฐาน มอก. จำนวน 60 ใบ รวมมูลค่า 60,000 บาท ให้แก่สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) การมอบหมวกกันน็อกในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมฯ เป็นผู้แทนรับมอบ ร่วมกันผลักดันการสร้างวัฒนธรรมการสวมหมวกกันน็อกให้แพร่หลายมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการแสดงความห่วงใยต่อสื่อมวลชนสายรถจักรยานยนต์ที่ต้องใช้รถในการปฏิบัติงาน พร้อมถ่ายทอดแนวคิดด้านความปลอดภัยสู่สังคมไทย เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการสวมหมวกกันน็อกทุกครั้งที่เดินทาง
ในโอกาสไทยฮอนด้า ครบรอบ 60 ปี ยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์ส่งต่อความปลอดภัยให้คนไทย ผ่านการจัดคาราวานมอบหมวกกันน็อกให้คนไทยทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดความสูญเสียบนท้องถนนและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืน
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับ “60 ปี ไทยฮอนด้า ขับขี่ปลอดภัย เพื่อสังคมไทยที่ยั่งยืน” ได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : www.facebook.com/hondamotorcyclethailand
IG : www.instagram.com/hondamotorcyclethailand
Tiktok: www.tiktok.com/@hondamotorcycletha
Youtube: www.youtube.com/HondaMotorcycleTHA
#ไทยฮอนด้า60ปี #ThaiHonda60TH #ไทยฮอนด้าเคียงข้างสัมคมไทย
#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #HondaMotorcycleThailand #ไทยฮอนด้า #ThaiHonda
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
News / News Motocycle1 Min Read
“มารินี” แรงต่อเนื่อง! ทะลุ Q2 โมโตจีพี ออสเตรเลีย “ก้อง-สมเกียรติ” ลุยเต็มที่ซ้อมวันแรก

“ลูก้า มารินี” ยอดนักบิดอิตาเลียนจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี ควบรถแข่ง Honda RC213V ทะยานเข้า Q2 ในศึก โมโตจีพี 2025 สนาม 19 ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ขณะ “ก้อง-สมเกียรติ” นักบิดไทยหนึ่งเดียวในโมโตจีพี เร่งทำงานอย่างหนักในการซ้อมวันแรก เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคมนี้ ที่ ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย

ผลการซ้อมในรอบ PR ปรากฏว่า “ลูก้า มารินี” นักบิดอิตาเลียน หมายเลข 10 จาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี ทำความเร็วได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในอันดับ 7 โดยสามารถทะลุเข้าสู่ Q2 ได้อีกครั้ง ตามหลังหัวแถวเพียง 0.559 วินาที ส่วน “โจอัน เมียร์” ทีมเมทชาวสแปนิช หมายเลข 36 รั้งอันดับ 14 ตามหลัง 0.827 วินาที

ด้าน “โยฮันน์ ซาร์โก” จอมเก๋าชาวฝรั่งเศส หมายเลข 5 จาก ฮอนด้า แอลซีอาร์ รั้งอันดับ 15 ตามหลัง 0.884 วินาที ตามด้วยนักบิดไทยอย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา เจ้าของหมายเลข 35 จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ ในอันดับ 22 ด้วยเวลาต่อรอบ 1 นาที 29.112 วินาที

ส่วน “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี นักบิดชาวไทยหมายเลข 5 จาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย คัมแบ็กสู่สนามครั้งแรกในรอบ 3 เดือน จบวันแรกด้วยอันดับ 23 ตามหลังจ่าฝูง 1.848 วินาที

ทั้งนี้ ศึก ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ จะจับเวลารอบควอลิฟายและ “สปรินต์เรซ” ในวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคมนี้ ส่วนการแข่งขันรอบ “เมนเรซ” จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคมนี้ เริ่มต้นด้วย โมโตทรี 07.00 น. ต่อด้วย โมโตทู 08.15 น. และปิดท้ายด้วย โมโตจีพี 10.00 น. ถ่ายทอดสดทาง TrueVisions SPOTV
แฟนความเร็วชาวไทยสามารถส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้าพร้อมติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ : https://facebook.com/HondaRacingTeamTH
#HondaRacingThailand #RaceToTheDream #MotoGP #HondaBigBike #HondaRC213V #IdemitsuHondaLCR #SC35 #Kong #LCRHonda #JZ5 #HondaHRC #JM36 #LM10 #HondaTeamAsia #Moto3 #TB5 #Gonz #AustralianGP
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Brembo เปิดตัวปั๊มเบรกเพื่อโลก! ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ประสิทธิภาพสูง พร้อมลดการปล่อยคาร์บอน ลง 70%

มิติใหม่แห่งความยั่งยืน: เบรมโบ้ผสานสมรรถนะระดับโลกเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
เบรมโบ้ (Brembo) ผู้นำระดับโลกด้านระบบเบรกประสิทธิภาพสูง ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการเปิดตัวปั๊มเบรก (Brake Caliper) ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% สำหรับลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์ (Original Equipment – OE) รายใหญ่ หลังจากทุ่มเทวิจัยและพัฒนากว่า 5 ปี นวัตกรรมนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเร่งสู่ความยั่งยืนโดยไม่ลดทอนคุณภาพและดีไซน์

ลดการปล่อยคาร์บอน ได้ถึง 70%
หัวใจสำคัญของปั๊มเบรกใหม่นี้คือการใช้วัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่มาจากการรีไซเคิลทั้งหมด ซึ่งจากการศึกษาการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment – LCA) ที่ได้รับการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม พบว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดวงจรชีวิตของปั๊มเบรกได้สูงสุดถึง 70% เมื่อเทียบกับการใช้อะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบดั้งเดิม
อะลูมิเนียมเป็นวัสดุที่ถูกเลือกเพราะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างไม่จำกัด โดยไม่สูญเสียคุณสมบัติเดิม เบรมโบ้จึงเรียกกระบวนการนี้ว่าเป็นการ “Upcycled” หรือการยกระดับวัสดุที่ใช้แล้วให้มีคุณค่าสูงขึ้นกว่าเดิม
ประสิทธิภาพและดีไซน์ยังคงเอกลักษณ์ Brembo
แม้จะเปลี่ยนมาใช้วัสดุรีไซเคิล แต่เบรมโบ้ยืนยันว่า ปั๊มเบรกชุดนี้ยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดในด้านสมรรถนะ (Performance) คุณภาพ (Quality) และดีไซน์ (Design) อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ปั๊มเบรกรุ่นแรกที่เปิดตัวด้วยวัสดุใหม่นี้ เป็นแบบ Monobloc สี่ลูกสูบ (Four-piston Monobloc) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกและสัมผัสที่แป้นเบรก
เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน ปั๊มเบรกที่ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลจะได้รับการประทับตราเครื่องหมายการค้าใหม่ที่จดทะเบียนโดยบริษัท คือโลโก้ “ALU” เพื่อบ่งบอกความแตกต่างอย่างชัดเจน
Daniele Schillaci ซีอีโอของเบรมโบ้ กล่าวว่า “การนำอะลูมิเนียมรีไซเคิลมาใช้ในการผลิตปั๊มเบรกอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โซลูชั่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านสมรรถนะและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม”
อนาคตของการเบรกที่ยั่งยืน
เบรมโบ้ยืนยันว่า นับจากนี้เป็นต้นไป วัสดุรีไซเคิลจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นมาตรฐานสำหรับการพัฒนาปั๊มเบรกใหม่ส่วนใหญ่ของบริษัท ขณะที่ปั๊มเบรกที่อยู่ในสายการผลิตปัจจุบันจะยังคงใช้อะลูมิเนียมแบบเดิมต่อไปจนสิ้นสุดอายุผลิตภัณฑ์ แต่บริษัทจะให้ความสำคัญกับการใช้อะลูมิเนียมที่ผลิตด้วยพลังงานหมุนเวียนก่อน
การเปิดตัวปั๊มเบรกจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% นี้ไม่เพียงแต่เป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ขับขี่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงการก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเบรกในอนาคต ที่ซึ่ง “สมรรถนะระดับพรีเมียม” และ “ความยั่งยืน” สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine -
Scoop / SCOOP MOTOCYCLE1 Min Read
Yamaha เตรียมเขย่าวงการ! เปิดตัวนวัตกรรมล้ำยุค ทั้ง AI, ไฮบริด, และไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ในงาน Japan Mobility Show 2025

Yamaha Motor Co., Ltd. เตรียมสร้างความตื่นตาตื่นใจครั้งใหญ่ในงาน Japan Mobility Show 2025 โดยขนทัพยานยนต์แห่งอนาคตและนวัตกรรมใหม่รวม 16 รุ่น ซึ่งรวมถึงโมเดลที่เปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกของโลกถึง 6 รุ่น สะท้อนวิสัยทัศน์ในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร และการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน
นี่คือไฮไลท์สำคัญของนวัตกรรมที่ Yamaha เตรียมมาโชว์
MOTOROiD:Λ (แลมบ์ดา) – มอเตอร์ไซค์ AI ที่เรียนรู้และเติบโตได้

นี่คือการก้าวข้ามขีดจำกัดของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักร MOTOROiD:Λ คือการพัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้า โดยต้นแบบใหม่นี้มีความสามารถในการ เรียนรู้และพัฒนาตนเอง อย่างอิสระผ่านเทคโนโลยี Reinforcement Learning (การเรียนรู้แบบเสริมกำลัง) และเทคนิค Sim2Real ที่ฝึกฝนในโลกเสมือนจริงแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในโลกจริง
- ความสามารถหลัก: ขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนไหวที่ “เป็นธรรมชาติ” ซึ่งสร้างขึ้นผ่านการเรียนรู้ด้วย AI และมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการลองผิดลองถูกในระหว่างการเรียนรู้
- นิยามใหม่: MOTOROiD:$\Lambda$ มุ่งมั่นที่จะกำหนดนิยามใหม่ของยานยนต์สองล้อ และบุกเบิกอนาคตที่เครื่องจักรสามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้ใช้งาน
TRICERA Proto – รถ 3 ล้อไฟฟ้าพร้อมระบบบังคับเลี้ยว 3 ล้อ

ต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้า 3 ล้อแบบเปิดประทุนที่มุ่งเน้นการมอบ “ความสุขในการขับขี่รูปแบบใหม่”
- คุณสมบัติเด่น: ใช้ระบบ บังคับเลี้ยวสามล้อ (3WS – 3-Wheel Steering) ที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสิทธิภาพการเข้าโค้งที่เร้าใจและความรู้สึกในการควบคุมที่แตกต่าง โดยเน้นการตอบสนองที่รวดเร็วและการเชื่อมโยงระหว่างผู้ขับขี่กับเครื่องจักรในโค้ง
- การออกแบบ: มุ่งเน้นไปที่ความสนุกของผู้ขับขี่ โดยปรับแต่งระบบควบคุมการเลี้ยวจากมุมมองของการวิจัยเชิงมนุษย์ เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับรถ
PROTO BEV – ซูเปอร์สปอร์ตไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

ต้นแบบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (BEV – Battery Electric Vehicle) ที่สร้างขึ้นบนแนวคิดของ “ความสนุกที่สัมผัสได้จาก EV แบตเตอรี่ความจุสูงเท่านั้น”
- จุดเด่น: เน้นที่น้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด เพื่อให้เป็นรถซูเปอร์สปอร์ต EV ที่ใช้งานง่าย พร้อมคาแร็กเตอร์การขับขี่และความรู้สึกใหม่
ยานยนต์ทางเลือกด้านพลังงานที่หลากหลาย
Yamaha แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเข้าสู่ยุคคาร์บอนเป็นกลางผ่านการนำเสนอต้นแบบที่ใช้พลังงานหลากหลาย:

- PROTO HEV (Hybrid Electric Vehicle): ต้นแบบไฮบริดแบบอนุกรม-ขนาน ที่สามารถสลับโหมดการขับขี่ระหว่าง “สงบ (Serene)” และ “เร้าใจ (Spirited)” ได้อย่างอิสระ

- PROTO PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle): ต้นแบบวิจัยและพัฒนาที่ผสานเสน่ห์ของเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับเทคโนโลยี EV ทำให้สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าเต็มรูปแบบหรือโหมดไฮบริดได้

- H2 Buddy Porter Concept: ต้นแบบรถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย ไฮโดรเจน พัฒนาร่วมกับ Toyota Motor โดยใช้ถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนแรงดันสูงขนาดกะทัดรัดที่ได้รับการรับรองสำหรับรถสองล้อ และเครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่พัฒนาโดย Yamaha
นอกจากนี้ ในบูธของ Yamaha ยังมีการจัดแสดง e-Axle ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเตรียมส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในอนาคต รวมถึงจักรยานไฟฟ้า (eBikes) ในซีรีส์ Y-00B และวีลแชร์ไฟฟ้าอีกด้วย – งาน Japan Mobility Show 2025 จึงเป็นเวทีที่ Yamaha ใช้ในการแสดงวิสัยทัศน์อันกล้าหาญและก้าวล้ำ นำเสนอนวัตกรรมที่หลากหลายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของระบบการเดินทางอย่างแท้จริง
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
OMODA & JAECOO จัดงาน International User Summit พร้อมเปิดประสบการณ์สุดล้ำ ‘Next Cool’

OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับพรีเมียม ที่เปิดตัวในประเทศไทยไปเมื่อปี 2567 จัดงาน International User Summit 2025 ที่ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 17-22 ตุลาคมนี้ โดยมีตัวแทนลูกค้าจากประเทศไทยได้รับเชิญเข้าร่วมงานครั้งสำคัญนี้ ภายในงาน OMODA & JAECOO Eco-Expo ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสนวัตกรรมล่าสุดและวิสัยทัศน์ของแบรนด์ที่มุ่งสร้างระบบนิเวศแห่งอนาคต
ไฮไลท์ของงานภายใต้คอนเซ็ปต์ “Next Cool” นำเสนอมุมมองใหม่ที่เหนือกว่ารถยนต์ทั่วไป ด้วยการผสานไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ตั้งแต่การใช้ชีวิตในเมืองไปจนถึงการท่องเที่ยวผจญภัย โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างเทคโนโลยี ผู้ใช้งาน และสิ่งแวดล้อม

ภายในงาน Eco-Expo ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ผ่าน Brand Showroom และกิจกรรมพิเศษ “Day C Night A Exclusive Party” ที่แสดงให้เห็นว่ารถยนต์สามารถเป็นส่วนหนึ่งของทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอแนวคิด “Two Lifestyles, One Store” ที่ตอบโจทย์ทั้งคนรักสัตว์เลี้ยงและสายลุยออฟโรด สะท้อนวิสัยทัศน์ ‘Car + X’ ที่ต้องการให้รถยนต์เป็นมากกว่ายานพาหนะ แต่เป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิต ความบันเทิง และกิจกรรมประจำวัน
นับตั้งแต่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา OMODA & JAECOO ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคที่ชื่นชอบทั้งด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ การจัดงานในครั้งนี้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ที่ต้องการมอบมากกว่ายานพาหนะ แต่เป็นระบบนิเวศที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้น
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine
-
Mitsubishi Lancer Evolution ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น

ในโลกของรถสมรรถนะสูง มีไม่กี่ตระกูลที่สร้างตำนานไว้ได้ลึกซึ้งเท่า Mitsubishi Lancer Evolution — รถซีดานขับสี่ที่เกิดจากสนามแข่งแรลลี่ ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจนักซิ่งทั่วโลก “อีโว” ไม่ได้เป็นเพียงแค่รุ่นย่อยของ Lancer แต่มันคือจิตวิญญาณของความเร็ว ความแม่นยำ และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัยที่พา Mitsubishi คว้าแชมป์ WRC มาแล้วนับไม่ถ้วน
จากถนนลูกรังในสนามแข่งสู่ถนนจริงในชีวิตประจำวัน Lancer Evolution ได้หลอมรวมประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตเข้ากับความดิบของเครื่องยนต์เทอร์โบ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค 90s–2000s ที่ยังคงตราตรึงในใจสายซิ่งมาจนถึงวันนี้
นี่คือเรื่องราวของ “ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น” ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ซีดานธรรมดา ให้กลายเป็นอสูรร้ายแห่งทางฝุ่นและถนนดำ ตำนานที่ชื่อว่า Mitsubishi Lancer Evolution.
- กำเนิด ”ราชาทางฝุ่น” (1973-1979)

โดยจะต้องย้อนไปถึงตอนที่ Mitsubishi เปิดตัว Lancer โฉมแรกหรือ “ไฟแอล” ออกมาในปี 1973 ในตอนนั้นยังเป็นรถที่ยังไม่จี๊ดจ๊าดเท่ากับยุคสมัยนี้ เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีความสปอร์ต มีการคำนึงถึงแอโรไดนามิก บอดี้ส่วนบนแคบกว่าส่วนล่าง และยังประกอบบนแชสซี Monocoque ทำให้แข็งแรงทนทานมากๆ แต่ก็ยังเป็นมิตรกับเหล่าบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย และที่สำคัญคือมันยังขึ้นชื่อในเรื่องของเทคโนโลยีระบบไอเสียที่ปล่อยมลพิษน้อยมากๆ อีกด้วย

Andrew Cowan

Tommi Makinen
ในช่วงเวลานี้เองทาง Mitsubishi ที่อยากจากเสริมภาพลักษณ์ทางการตลาดก็ได้ส่งรถตัวเองไปแข่ง และรายการที่ Mitsubishi สนใจมากที่สุดก็คือรายการ WRC นี่เองด้วยความที่เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้วัดกันเพียงแค่ความเร็วอย่างเดียว แต่ยังวัดความอึด ถึก ทน กับทุกสภาพถนนอีกด้วย จึงส่งรถตัวท็อปสุดและสมรรถนะแรงที่สุดในยุคนั้นอย่าง Lancer 1600 GSR ไปแจ้งเกิดในสนาม Australian Southern Cross Rally ฟาดเรียบ 4 อันดับแรก โดยผู้ที่คว้าแชมป์ก็คือ Andrew Cowan จับคู่กับ John Bryson นี่เอง แถมยังคว้าแชมป์ต่อเนื่องถึง 4 ปีติด และ Andrew Cowan ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Ralliart และยังเป็นกุนซือที่สร้างตำนานรุ่นใหม่ๆ มากมายอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือ Tommi Makinen นี่เอง

และในปี 1974 เจ้า Lancer รุ่นนี้ก็ถูกส่งไปแข่งในสนาม Safari Rally ที่ประเทศเคนยาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสนามที่ทรหดที่สุดในโลก และความไม่ธรรมดาของรถที่ส่งไปแข่งนั่นก็คือ มีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้แรงกว่าตัวรถเดิมๆ จาก 108 แรงม้าขึ้นไปถึง 169 แรงม้า และแรงบิดสูงขึ้นถึง 162 Nm แถมยังรีดน้ำหนักให้เบาลง เบาลง และก็เบาลง จนไม่รู้จะทำยังไงให้เบาลงได้อีกแล้ว และผู้ที่คว้าแชมป์ในสนามนี้ก็คือนักแข่งเจ้าถิ่น Joginder Singh จับคู่กับ David Doig นี่เอง แล้วจากการที่มันคว้าแชมป์มามากมายหลายสนาม นั่นก็ทำให้เจ้า Lancer 1600 GSR นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของฉายาว่า “ราชาทางฝุ่น” นี่เอง
- Starion Group B ที่ไม่มีวันได้เกิด (1988)

หลังจากที่เจ้า Lancer 1600 GSR ประสบความสำเร็จในสนามมาอย่างยาวนาน Mitsubishi ก็มีเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีกนั่นก็คือการเข้าแข่งขันใน Group B ที่โหดกว่าเดิมด้วยการส่ง Starion ระบบขับ 4 ไปแข่ง แต่ก่อนที่ Starion คันนี้จะเกิด กลับโดนคุมกำเนิดซะก่อนนี่สิ เพราะก่อนที่ตัวรถจะเข้าที่เข้าทางพร้อมแข่งเรียบร้อย กลายเป็นว่ากติกา Group B ถูกยกเลิกไป เพราะปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แล้วจะเอาไปแข่งในรายการไหนได้? Mitsubishi ก็ปรับตัวโดยการย้ายไปแข่งในรุ่น Group A และย้ายเอาระบบขับ 4 กับเครื่องยนต์เทอร์โบไปยัดใส่ตัวถังของ Galant โฉมที่ 6 ออกมาเป็น Galant VR-4 นี่เอง
- Galant VR-4 กับจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่

ถึงแม้ว่าเจ้า Galant VR-4 นั้นจะสร้างผลงานคว้าแชมป์อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1989-1992 แต่ก็ต้องมาปวดหัวตรงที่สนามกลับแคบลง ในขณะที่ตัวรถที่ใหญ่มากก็เริ่มจะแข่งไม่ได้ และเมื่อย้อนกลับมามองคู่แข่งอย่าง Ford ก็ยังต้องเปลี่ยนรถจาก Sierra มาเป็น Escort, Subaru ต้องเปลี่ยนรถจาก Legacy มาเป็น Impreza, Toyota ต้องเปลี่ยนรถจาก Celica มาเป็น Corolla, Hyundai ก็ต้องเปลี่ยนรถจาก Tiburon มาเป็น Accent จะเห็นได้ว่าจากรถเก่าๆ ที่มี 4 ประตูขนาดใหญ่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นรถที่เล็กลง Mitsubishi ก็คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะเอาไส้ในของ Galant VR-4 มายัดใส่ตัวถังของ Lancer โฉมที่ 6 รหัส CD9A หรือที่คนไทยเรียก E-Car
- Mitsubishi Lancer Evolution I

จุดประสงค์เดิมของ Lancer ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นรถสปอร์ตแม่บ้าน ไม่ได้บ้าพลังอะไรมากมาย เน้นประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อยัดทั้งเครื่องยนต์ 4G63 ฝากะปิ 4 สูบเรียงเทอร์โบขนาด 2 ลิตร 250 แรงม้า ปรับจูนโดยสำนัก AMG ที่ทำรถ Mercedes ใส่ทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งช่วงล่างรถแข่ง และทั้งบอดี้คิทรถแข่งเข้าไป กลับกลายเป็นไปขัดกับคอนเซ็ปท์เดิมๆ ที่อยากให้เป็น แล้วทาง Mitsubishi จึงต้องคิดแล้วคิดอีกจนได้ข้อสรุปว่า “อ้ะงั้นก็ แยกออกมาเหมือนเป็นร่างวิวัฒนาการของ Lancer ไปซะเลยสิ” กลายมาเป็น Mitsubishi Lancer Evolution หรือ Evo และตามกติกาของ Group A ที่ต้องมีการผลิตตัวรถออกมาขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 2,500 คันต่อปี ให้คนทั่วไปสามารถซื้อได้ Mitsubishi ก็ผลิตวางขายอยู่ 2 ปี ปีละ 2,500 คัน
นอกจากนี้ยังมีการแบ่งแยกเจ้า Evo ออกเป็น 2 รุ่นหลักๆ ได้แก่ GSR ที่ขายตามท้องตลาด ใช้ขับขี่บนท้องถนนทั่วไป และ RS ที่เน้นสมรรถนะสูงสุด สำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะ ตัดทุกออปชั่นอำนวยความสะดวกออกทั้งหมด เพื่อให้น้ำหนักเบาที่สุด และเบากว่า GSR ถึง 70 กิโลกว่าๆ แต่สิ่งเดียวที่เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ “เต็ด” ที่เพลาหลังนี่เอง
- Mitsubishi Lancer Evolution II

ในเดือนมกราคมปี 1994 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo II ที่เหมือนเป็นรุ่นอัปเกรด พร้อมรหัสตัวถัง CE9A ถ้ามองไกลๆ นี่แยกแทบไม่ออกเลย แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่ามันจะมีความแตกต่างอยู่ ทั้งฐานล้อที่ยาวขึ้น 10 มม. ล้อหน้ากว้างขึ้น 15 มม. ล้อหลังกว้างขึ้น 10 มม. ลิ้นกันชนหน้าสีดำ ปีกท้ายใหญ่ขึ้น ฐานปีกท้ายสูงขึ้น และล้อเดิมๆ จากโรงงานที่ให้มาเป็นล้อ OZ 5 ก้านขอบ 15 นิ้ว รวมถึงเครื่องยนต์ 4G63 ก็มีการจูนใหม่ให้แรงขึ้นถึง 256 แรงม้า และผลิตมาทั้งหมด 5,000 คันและขายหมดเกลี้ยงเลยครับภายใน 3 เดือน
- Mitsubishi Lancer Evolution III นักเลง 3 เกียร์

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1995 Evo III ก็ถูกปล่อยออกสู่ท้องตลาดด้วยจำนวนการผลิต 5,000 คัน ซึ่งก็คือรุ่นที่ สุโด เคียวอิจิ ขับนี่เอง และยังเป็น Evo คันแรกที่ Tommi Makinen คว้าแชมป์ WRC

ด้วยตัวถัง CE9A เหมือนเดิมแต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 1,260 กก. สาเหตุเกิดมาจากการที่ปรับปรุงอะไรเยอะแยะไปหมด เพื่อทวงคืนบัลลังก์ราชาทางฝุ่นที่ถูกรถ Subaru Impreza และนักแข่ง Collin McRae แย่งไป โดยจุดที่แตกต่างจาก Evo II ก็คือกระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รับอากาศเข้าหม้อน้ำ อินเตอร์คูลเลอร์ และเบรก ได้ดีขึ้น เทอร์โบลูกใหญ่ขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ทรงพลังกว่าเดิมถึง 270 แรงม้า และยังมีลูกเล่นเพิ่มเข้ามานั่นก็คือระบบฉีดน้ำหล่อเย็นเข้าหม้อน้ำ ในส่วนของภายนอกมีการดีไซน์ปีกท้ายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มแรงกดให้มากขึ้น ย้ายไฟเบรกดวงที่ 3 มาไว้ที่ฐานปีกท้าย และยังดีไซน์สเกิร์ตข้างใหม่ กันชนหน้าใหม่ที่ทั้งกว้างและนูนออกมา ครอบไฟเลี้ยวสีส้ม และลิ้นสีเดียวกับตัวถังอีกด้วย

นอกจากนี้ยังเรียกกันติดปากด้วยว่า “รถเฉินหลง” จากการที่มันไปปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง “Thunderbolt เร็วฟ้าผ่า” นี่เอง และด้วยอัตราทดเกียร์ที่แก้ไขใหม่จนโหดกว่าเดิม นั่นจึงทำให้มีอีกฉายานั่นก็คือ “นักเลง 3 เกียร์” อีกด้วย
- Mitsubishi Lancer Evolution IV ท้ายเบนซ์

หลังจากที่ทั้งสองรุ่นที่ผ่านมาผลิตขึ้นบนตัวถัง CE9A จนมาถึงวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1996 Mitsubishi เปิดตัว Evo IV พร้อมขายจริง ในวันเดียวกัน ด้วยตัวถังใหม่ CN9A ท้ายเบนซ์ เครื่องยนต์และเพลาถูกหมุนกลับด้านเพื่อบาลานซ์น้ำหนัก และแก้ปัญหาเรื่องของอาการขาเป๋ Torque Steer รวมถึงมีการเปลี่ยนเทอร์โบเป็น Twin-scroll Turbo ทำให้ได้แรงม้าขึ้นมาเพิ่มเป็น 280 แรงม้า และนอกจากนี้ ตัว GSR ยังเป็น Evo รุ่นแรกที่มี Active Yaw Control นอกจากนี้ยังให้ ”เต็ด” ล้อหน้าที่ช่วยให้เข้าโค้งได้คมขึ้น ระบบเกียร์ที่ใหญ่ขึ้น แข็งแรง ทนทาน ไม่แตกง่ายเท่ารุ่นก่อนๆ พร้อมล้อ OZ ขอบ 16 นิ้ว

อีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ Evo IV เป็นที่จดจำคือไฟตัดหมอกที่ใหญ่เบ้อเริ่ม บริเวณกันชนหน้า แต่ว่าในตัวรุ่น RS นั้นจะยังไม่มีไฟตัดหมอกให้ตั้งแต่แรก จะยังเป็นแผ่นกลมๆ ครอบอยู่เฉยๆ และผลิตมาทั้งหมด 6,000 คัน
- Mitsubishi Lancer Evolution V

ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 1998 Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo V พร้อมรหัสตัวถัง CP9A ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงที่ยังพอสังเกตได้จากภายนอกคือ ปีกท้ายทำจากอะลูมิเนียมไม่มีเสากลาง และเพิ่มโป่งข้างให้ดูกว้างขึ้น เพิ่มช่องอากาศให้ใหญ่ขึ้น ภายในให้เบาะ Recaro ที่รุ่นใหม่และดีกว่าเดิมด้วย SR-Series รวมถึงยังเป็น Evo รุ่นแรกที่ให้เบรก Brembo อีกด้วย และยังมีการปรับปรุงเทอร์โบใหม่ให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นจาก 353 Nm เป็น 372.6 Nm ผลิตขายไปทั้งหมด 7,000 คันนี่เอง
- Mitsubishi Lancer Evolution VI

ในวันที่ 7 มกราคมปี 1999 เปิดตัว Evo VI และวางขาย นับได้ว่าเป็น Evo รุ่นสุดท้ายของ Group A ก็ว่าได้ มีจุดเด่นในเรื่องของเครื่องยนต์ที่ทนทานมากขึ้น อินเตอร์คูลเลอร์ และ ออยล์คูลเลอร์ใหญ่ขึ้น พร้อมกับมีการดีไซน์บอดี้คิทใหม่ให้ไฟตัดหมอกมีขนาดเล็กลง และเยื้องออกไปด้านนอกของช่องอากาศเพื่อให้รับอากาศเข้าได้ดีกว่าเดิม, แกนเทอร์ไบน์ และกังหันไอเสียของรุ่น RS ก็มีการเปลี่ยนวัสดุใหม่เป็น ไทเทเนียม-อะลูมิไนด์, ส่วนของไฟท้ายที่ยื่นเข้ามาถึงฝากระโปรงท้ายก็ไม่มีอีกต่อไป และนอกจากนี้รุ่น RS ยังมีแยกย่อยออกมาอีกทั้ง RS2 ที่เพิ่มออปชั่นบางส่วนจากรุ่น GSR และรุ่น RS Sprint ที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัด เป็นรุ่นที่จูนมาเป็นพิเศษโดยทีม Ralliart ให้มีน้ำหนักที่เบาลง และซัดพละกำลังเครื่องได้ถึง 330 แรงม้า

จนกระทั่งในเดือนธันวาคมปี 1999 Evo VI ก็เปิดตัวรุ่นพิเศษของทั้ง GSR และ RS นั่นก็คือ Tommi Makinen Edition หรือที่นิยมเรียกว่า Evo 6.5 นี่เองครับซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างจากปกติก็คือ กันชนหน้าเฉพาะ เบาะ Recaro สีแดงดำปักชื่อ Tommi Makinen, ล้อ Enkei สีขาวขนาด 17 นิ้ว, พวงมาลัย Momo และ หัวเกียร์ หุ้มหนังดีไซน์เฉพาะ, ลดความสูงของรถลง 10 มม. และ อัตราส่วนการหมุนพวงมาลัยที่เร็วขึ้น
- Mitsubishi Lancer Evolution VII

ปี 2001 เดือนสิงหาคม Mitsubishi ก็เปิดตัว Evo VII ซึ่งมาพร้อมกับตัวถังใหม่จากรุ่น Cedia นั่นก็คือ CT9A ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าเดิมถึง 100 กิโลเมตร แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ Mitsubishi ได้มีการปรับแก้แชสซีส์อยู่หลายจุด แถมยังปรับแก้อะไรหลายๆ อย่างมาก ทั้งเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ฝาครอบกระเดื่องวาล์ว เพลาลูกเบี้ยว และท่อไอเสียสแตนเลส โครงสร้างตัวถังก็มีการพัฒนาจาก Cedia ให้แข็งแรงกว่าเดิมถึงครึ่งหนึ่งด้วยการเชื่อมรอยต่อของโครงถึง 200 จุด
ส่วนในเรื่องของหน้าตาก็มีการทำกันชนหน้าทรงใหม่ที่มีช่องดักอากาศใหญ่เท่านี่ ทำให้มองเห็นอินเตอร์คูลเลอร์ที่ใหญ่ขึ้น 20 มม. ฝากระโปรงหน้าอะลูมิเนียมมีช่องดักอากาศ ทำให้น้ำหนักเบาลง นอกจากนี้การจูนเครื่องยนต์ของ Evo VII ก็ยังทำให้ได้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นมาถึง 383 Nm นอกจากนี้ก็ยังเป็นรถรุ่นแรกของโลกที่ ให้ระบบ Active Center Differential (ACD) ซึ่งเป็นระบบเลือกโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนนถึง 3 โหมดทั้ง Tarmac ที่วิ่งบนถนน, Gravel ที่วิ่งบนทางกรวด และ Snow สำหรับวิ่งบนหิมะ แถมเบาะก็ยังเป็นเบาะ Recaro เจ้าเก่าเจ้าเดิม พร้อมพวงมาลัย Momo

จนกระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2002 ก็มีการเปิดตัว Evo VII ตัวใหม่ออกมานั่นก็คือ GT-A หรือก็คือ Evo VII เกียร์ออโต้ แต่ความพิเศษอยู่ตรงที่ระบบ Fuzzy Logic ที่ทำให้เจ้าเกียร์ออโต้ตัวนี้สามารถเรียนรู้ และปรับตัวตามน้ำหนักเท้าของคนขับได้ และยังสามารถชิฟท์เกียร์แบบ Sequential ได้ผ่านปุ่ม +,- บนพวงมาลัยได้อีกด้วย แต่สมรรถนะของรถนั้นกลับสู้รุ่นเกียร์ธรรมดาไม่ได้ เพราะต้องใช้เทอร์โบที่เหมาะสมกับเกียร์ออโต้เท่านั้น นั่นจึงทำให้พละกำลังลดลงเหลือ 272 แรงม้า และแรงบิดลดลงเหลือ 343 Nm
- Mitsubishi Lancer Evolution VIII

หลังจากนั้นมา Mitsubishi ก็ปล่อย Evo VIII ออกมาแบบเล่นใหญ่มาก ด้วยการจัดงานทดสอบที่เมืองไทยถึง 4 คันที่สนามพีระ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต พัทยา ในช่วงปลายปี 2002 ก่อนจะไปเปิดตัวต่อที่สหรัฐอเมริกาที่งาน Los Angeles Auto Show เมื่อวันที่ 7 มกราคม ปี 2002 และทำตลาดในเดือนกุมภาพันธ์ทันที ถือได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกในตลาดอเมริกันก็ว่าได้ และที่สำคัญยังเป็นรถที่กระแสดีมากๆ จากการโปรโมทผ่านเกม Gran Turismo อีกด้วย

เอกลักษณ์ของ Evo VIII ที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ กระจังหน้าที่มีติ่งทรงสามเหลี่ยมยื่นขึ้นมาจากกันชนหน้า แต่กลับระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นไปอีก และไฟท้ายที่ตัดปลายแหลมด้านบนออก บอดี้คิทชิ้นต่างๆ ยังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ผสมกับพลาสติก ทำให้น้ำหนักเบาลงเข้าไปอีก 2 กก. และยังเปลี่ยนล้อมาใช้ Enkei 6 ก้าน ขอบ 17 นิ้ว ที่น้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อน 3.2 กก. พร้อมดีไซน์ที่ลู่ลมมากกว่าเดิม รวมถึงระบบ Active Yaw Control ที่อัปเกรดให้ดีกว่าเดิมพร้อมตั้งชื่อว่า Super Active Yaw Control แต่ก็ต้องขอวงเล็บว่าระบบนี้ไม่มีติดตั้งมาให้ในตลาดสหรัฐอเมริกา
ที่สำคัญคือรุ่นนี้ไม่มีเกียร์ออโต้ แต่มีรุ่นพิเศษอย่าง MR หรือ Mitsubishi Racing มาวางขายแทน ซึ่งให้เกียร์แมนวล 6 สปีด, โช้ค Bilstein, ล้อแม็ก BBS นอกจากนี้รุ่น RS และ MR ยังให้หลังคาที่ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ทำให้จุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างต่ำอีกด้วย

ในตลาดอังกฤษ เจ้า Evo VIII ยังมีการขายรุ่นย่อยออกมาเยอะแยะมาก ตามแรงม้าที่ทำได้ทั้งรุ่น 260, FQ300, FQ320, FQ340 และ FQ400 ซึ่งเจ้าตัว FQ400 นั้นมีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้ซัดได้ถึง 400 แรงม้าอีกด้วย และเรื่องตลกของรถรุ่นเหล่านี้ก็คืออักษรย่อ FQ ที่ Mitsubishi ไม่เคยออกมาเผยเลยว่ามันย่อมาจากอะไร แต่ก็มีแฟนๆ Evo จำนวนมากต่างก็แซวว่ามันย่อมาจาก “F**king Quick” อีก ด้วยความที่เจ้า FQ400 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 282 กม./ชม.
นั่นจึงทำให้ Top Gear นึกคึกเอามาแข่งจับเวลา Power Lap ที่สนามคู่กับ Lamborghini Murcielago แต่เป็นที่น่าเสียดายมากที่เจ้า Evo VIII FQ400 คันนี้ไม่สามารถเค้นสมรรถนะได้เต็มที่เพราะพื้นสนามเปียก ในขณะที่รอบจับเวลาของ Murcielago พื้นสนามยังแห้งอยู่ นั่นจึงทำให้เจ้า Evo คันนี้ทำเวลาไปได้ 1:24.8 นาที ในขณะที่ Murcielago ทำเวลาไปได้ 1:23.7 นาที ช้ากว่าถึง 1.1 วินาที
แต่ว่าในนิตยสาร Evo Magazine ของ Carwow ได้มีการทดสอบ Evo VIII รุ่นนี้ที่สนาม Bedford ผลที่ได้คือสามารถทำเวลาต่อรอบเร็วกว่า Audi RS4 และ Porsche 911 Carrera 4S
- Mitsubishi Lancer Evolution IX

เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 3 มีนาคมปี 2005 ไฮไลต์เด่นๆ ของรุ่นนี้เลยคือเพิ่มระบบวาล์ว MIVEC ที่ฝั่งไอดี พร้อมปรับปรุงเทอร์โบใหม่ด้วยวัสดุที่น้ำหนักเบาลงจนทำให้เค้นพลังได้สูงถึง 287 แรงม้า แรงบิดสูงขึ้นถึง 392 Nm พร้อมกับปรับปรุงกันชนหน้าใหม่ เอาติ่งทรงสามเหลี่ยมที่โลโก้ออกเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดีมากขึ้น รุ่น RS และรุ่น GT มีการเปลี่ยนวัสดุใบพัดเทอร์โบเป็น ไทเทเนียม และแมกนีเซียมอัลลอยด์ เพื่อให้สู้กับแรงบิดที่สูงขึ้นได้ ส่วนในรุ่น MR นั้นก็ยังคงเอกลักษณ์จาก Evo VIII เหมือนเดิม

นอกจากนี้ทาง Mitsubishi ยังออกรุ่นที่หายากมากอีกรุ่นหนึ่งก็คือ Evo Wagon ซึ่งผลิตบนแชสซีรหัส CT9W ก็มีทั้งรุ่น GT, GT-A และ MR อีกด้วย ซึ่งเจ้ารุ่น GT-A เกียร์ออโต้ยังใช้เครื่องยนต์ 4G63 จาก Evo VIII เหมือนเดิมที่ไม่มีระบบวาล์ว MIVEC และเทอร์โบที่มีขนาดเล็กทำให้แรงบิดลดลงไปพอสมควร
- Mitsubishi Lancer Evolution X

จนกระทั่งในปี 2005 Mitsubishi เปิดตัวรถ Evo รุ่นใหม่ในงาน Tokyo Motor Show ภายใต้ชื่อ Concept-X ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบชาวบอสเนีย Omer Halilhodžić นับได้ว่านี่คือ Evo รุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ออกแบบในยุโรป และเปิดตัวในงาน North American International Auto Show ในปี 2007 ภายใต้ชื่อ Prototype-X ก่อนจะปล่อยขายด้วยชื่อ Mitsubishi Lancer Evolution X ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ปี 2007 ปล่อยขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมกราคมปี 2008 ปล่อยขายในแคนาดาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008 และปล่อยขายในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2008

เจ้า Evo X รุ่นนี้มีดีไซน์ที่ฉีกไปจากเดิมอย่างสุดขั้ว เพราะมันถูกดีไซน์บนแชสซีส์รหัส CZ4A และได้หัวใจใหม่เป็น 4B11T 4 สูบเรียงขนาด 2 ลิตร เทอร์โบ ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม-อัลลอยด์ทั้งตัว เครื่องยนต์รุ่นนี้ออกแบบ และ ผลิตโดยบริษัท Global Engine Manufacturing Alliance หรือ GEMA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Chrysler, Mitsubishi และ Hyundai นี่เอง

Evo X นั้นก็วางขายมาเรื่อยๆ และรุ่นย่อยกับสเปคต่างๆ ก็แตกต่างกันไปตามประเทศที่วางขายอีกด้วย จนในที่สุดก็ปล่อยรุ่น Final Edition ออกมาในปี 2015 เป็นการปิดตำนาน “ราชาทางฝุ่น” ไปในที่สุด
- Mitsubishi E Evolution Concept

ในงาน Tokyo Motor Show ปี 2017 Mitsubishi ได้เผยโฉมรถคอนเซ็ปต์อย่าง Mitsubishi e-Evolution Concept ซึ่งเป็นรถ Crossover พลังงานไฟฟ้าที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ก่อนจะมาโชว์ตัวในงาน Motor Show ที่ประเทศไทยบ้านเราเมื่อปี 2019 สุดท้ายแล้วข่าวก็เงียบไปอยู่ดี ทุกวันนี้ที่เห็นๆ ก็มีแต่ภาพในจินตนาการของศิลปินคนแล้วคนเล่าที่ออกแบบใส่ไอเดียกันสนุกสนาน อนาคตของ Mitsubishi Lancer Evolution จะเป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ไม่อาจรู้ได้นอกจากทาง Mitsubishi จะออกมายืนยันด้วยตัวเอง

แม้ชื่อ Lancer Evolution จะหยุดอยู่ที่รุ่น Evo X แต่จิตวิญญาณของมันไม่เคยหายไปจากหัวใจสายซิ่ง “อีโว” คือสัญลักษณ์แห่งพลัง เทคโนโลยี และความเร้าใจที่เกิดจากสนามแข่งจริง มันพิสูจน์แล้วว่าซีดานธรรมดาก็กลายเป็นตำนานได้ หากมีจิตวิญญาณแห่งความเร็วอยู่ในตัว และต่อให้ยุคสมัยเปลี่ยนไป เสียงเทอร์โบและแรงดึงของขับสี่ยังจะคงอยู่ในความทรงจำ ตำนานขับสี่จ้าวทางฝุ่น ที่ไม่มีวันเลือนหาย สำหรับสกู๊ตนี้พวกเราขอฝากติดตาม Realtime Car Magazine ด้วยนะครับ
ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย
Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine





























































































































































