• โตโยต้า ประกาศราคา NEW bZ4X – MOTION OF TRUST รถ D-SUV อเนกประสงค์ พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ

    2 Min Read

    โตโยต้า ประกาศราคา NEW bZ4X – MOTION OF TRUST รถ D-SUV อเนกประสงค์ พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ

    บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประกาศราคาจำหน่าย NEW bZ4X อย่างเป็นทางการ โดยลูกค้าสามารถจองและซื้อได้ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป

     

    บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ขอขอบคุณลูกค้าโตโยต้าทุกท่านที่ให้ความสนใจและตอบรับ NEW bZ4X เป็นอย่างดี ซึ่งทางบริษัทฯ ได้ทำการแนะนำและเปิดลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้า (Pre-registration) ผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจนครบ 2,000 สิทธิ์  สำหรับ New bZ4X ใหม่นี้เป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์อีกขั้น ด้วยดีไซน์การออกแบบที่โดดเด่นและน่าดึงดูด ระบบการชาร์จและพละกำลังสูงสุดได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบในทุกรุ่นย่อย โดย NEW bZ4X นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น มาพร้อมทางเลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น FWD (Front-wheel Drive) และรุ่น AWD (All-wheel Drive) มุ่งตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มตลาด BEV D-SUV ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย

    NEW bZ4X สื่อสารภายใต้แนวคิด “MOTION OF TRUST” เมื่อความเชื่อมั่น มาพร้อมเทคโนโลยี ดีไซน์ และสมรรถนะ ผสานกับระบบความปลอดภัยที่ตอบโจทย์หลากหลายมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองที่คุ้นเคย หรือเส้นทางท้าทายที่ต้องเผชิญ bZ4X พร้อมนำพาคุณสู่จุดหมาย…อย่างมั่นใจ

    นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า “นอกจากการที่ NEW bZ4X มีมาตรฐานคุณภาพระดับโลกของโตโยต้าแล้ว เรายังมีระบบการจัดการชิ้นส่วนอะไหล่และเครือข่ายศูนย์บริการที่ครอบคลุม กับโชว์รูมและศูนย์บริการกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ เราจึงมั่นใจว่า NEW  bZ4X จะมอบความอุ่นใจสูงสุดให้กับลูกค้า จึงอาจกล่าวได้ว่า NEW bZ4X จะไม่เพียงแต่มอบความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ยังมอบความสุขให้กับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ในทุกๆ วันอีกด้วย

    สำหรับ NEW  bZ4X มีเป้าหมายยอดขายที่ 6,000 คันในช่วงปีแรก สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทางบริษัทฯ จะเริ่มทำการส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป และในวันนี้เรายังมีข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่สนใจ TOYOTA bZ4X อีกด้วย”

     

     

    ราคาอย่างเป็นทางการ

    • รุ่น FWD: 1,529,000 บาท*
    • รุ่น AWD: 1,649,000 บาท*

    *หมายเหตุ

    1. ราคาข้างต้นเป็นราคาภายใต้มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์ ระยะที่ 2 (EV3.5)
    2. ราคาข้างต้นยังไม่รวมค่าสีพิเศษ

     

    เลือกเป็นเจ้าของ NEW bZ4X ใน 2 รุ่นย่อย 6 สีภายนอกจับคู่กับสีภายใน ดังนี้

    สี Mono-tone 3 สี

    • สีภายนอก Precious Metal | สีภายใน Black
    • สีภายนอก Platinum White Pearl | สีภายใน Black
    • สีภายนอก Attitude Black Mica | สีภายใน Light Gray

    สี Two-tone (Black Roof) ราคาเพิ่ม +20,000 บาท

    • สีภายนอก Precious Metal / Black Roof | สีภายใน Black
    • สีภายนอก Platinum White Pearl / Black Roof | สีภายใน Black
    • สีภายนอก Emotional Red 2 / Black Roof | สีภายใน Black

     

    รุ่น FWD

    ดีไซน์ภายนอก

    • ด้านหน้าดีไซน์ Hammerhead พร้อม Center Lamp
    • ไฟหน้า Full LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน
    • ไฟท้าย Full LED
    • ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วและซุ้มล้อสีดำเงา

    ดีไซน์ภายใน

    • ภายในกว้างขวาง สะดวกสบาย ด้วยหลักการออกแบบ Open & Relax
    • บริเวณที่นั่งผู้ขับขี่ออกแบบสไตล์ Cockpit ช่วยลดการละสายตา มอบทัศนวิสัยดีเยี่ยม
    • หลังคา Panoramic Moonroof พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า
    • ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ปรับได้ 64 เฉดสี (บริเวณคอนโซลหน้าและบริเวณมือจับประตูด้านใน)

    อุปกรณ์อำนวยความสะดวก

    • เบาะนั่งคู่หน้า ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่
    • จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่จอสี ขนาด 7 นิ้ว
    • หน้าจอสัมผัสขนาด 14 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto
    • ลำโพง 6 ตำแหน่ง
    • อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger 2 ตำแหน่ง
    • ประตุท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วยระบบฟ้าไฟฟ้า พร้อม Kick Activated
    • ระบบปรับอากาศ NanoeTM X และระบบกรองฝุ่น 5 ภายในห้องโดยสาร
    • สวิตซ์ควบคุมเกียร์แบบ Shift-by-Wire
    • ระบบเบรกมือแบบไฟฟ้า (EPB) พร้อมระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ (ABH)
    • ช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมพัดลมจากใต้เบาะและพนักพิง และเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า Fast Charge USB Type-C (60W) 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
    • กระจกมองหลังแบบดิจิทัล
    • ระบบเชื่อมต่อ T-connect
    • สายชาร์จแบบพกพา

    เทคโนโลยีแบตเตอรี่ และการชาร์จ

    • แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุสูงสุด 11 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
    • รองรับหัวชาร์จแบบ AC Type 2 กำลังสูงสุด 22 กิโลวัตต์

    (สำหรับการชาร์จไฟแบบ AC 3 เฟส ด้วยกระแสสูงสุด 32 แอมป์ต่อเฟส รวมสูงสุด 96 แอมป์)

    • รองรับหัวชาร์จแบบ DC CCS2 กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์
    • ระยะทางวิ่งสูงสุด 600 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 100%

    (อ้างอิง Eco Sticker มาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ มีผู้ขับขี่ 1 คน ใช้มาตรฐานการขับแบบ NEDC อุณหภูมิ 20 – 30 °C ปิดระบบปรับอากาศ รับรองผลโดยหน่วยงานรัฐบาลประเทศเบลเยียม)

    • ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ โดยใช้ระบบหล่อเย็นร่วมกับระบบปรับอากาศ โดยมีวงจรแยกจากกันกับระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสาร

     

     

    สมรรถนะการขับขี่ | ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า | ระบบพวงมาลัยและช่วงล่าง

    • e-TNGA Platform โครงสร้างที่ออกแบบ มาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ของโตโยต้าโดยเฉพาะ
    • จุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทรงตัวดี
    • คล่องตัวในการขับขี่ ควบคุมได้อย่างมั่นใจ
    • แบตเตอรี่จัดวางภายใต้โครงสร้างที่แข็งแรง ลดความเสี่ยง จากการกระแทกที่แบตเตอรี่โดยตรง
    • ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า Front-wheel Drive พร้อมระบบส่งกำลัง e-Axle ส่งแรงขับไปยังเพลารถโดยตรง
    • กำลังสูงสุดรวม 165 กิโลวัตต์ (224 PS / 221 HP)
    • แรงบิดสูงสุดชุดมอเตอร์หน้า 269 นิวตันเมตร
    • ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบดับเบิลวิชโบนพร้อมเหล็กกันโคลง
    • แป้นควบคุมแรงหน่วงเบรก (Paddle Shift) เลือกระดับการลดความเร็วได้ 4 ระดับ ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการขับขี่
    • ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า (EPS)
    • ระบบเบรกแบบดิสก์เบรก ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
    • เพิ่มวัสดุลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร เช่น กระจกคู่หน้าแบบ Acoustic, วัสดุโฟมที่โครงตัวถัง, ท่อเก็บเสียงซุ้มล้อในห้องโดยสาร, เพิ่มประสิทธิภาพการซีลของกระจกบานหลัง เป็นต้น

    ระบบความปลอดภัย | ระบบช่วยเหลือขณะขับขี่ | ระบบช่วยจอดรถ

    • ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense
    • ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ พร้อมช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน และช่วยลดความเร็วอัตโนมัติขณะเข้าโค้ง (DRCC)
    • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (PCS)
    • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (LDA)
    • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) พร้อมระบบควบคุมไฟสูงอัจฉริยะ (AHS)
    • ถุงลมเสริมความปลอดภัย 8 ตำแหน่ง (คู่หน้า, ด้านข้างคู่หน้า, ม่านด้านข้าง, ตรงกลางด้านหน้า และหัวเข่าด้านผู้ขับ)
    • กล้องมองรอบคัน (PVM)
    • ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Intelligent Parking Assist)
    • ระบบช่วยเตือน พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ (PKSB)
    • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (BSM)
    • ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (RCTA)
    • ระบบแจ้งเตือนลมยาง (TPMS)
    • สัญญาณเตือนกะระยะ ด้านหน้า 4 ตำแหน่ง และด้านหลัง 4 ตำแหน่ง
    • ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบเสริมแรงเบรก (BA)
    • ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC)
    • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)
    • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC)
    • ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
    • ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน

     

    รุ่น AWD (เฉพาะสิ่งที่แตกต่างจากรุ่น FWD)

    ดีไซน์ภายนอก

    • ตราสัญลักษณ์ AWD ที่ด้านหลัง

    อุปกรณ์อำนวยความสะดวก

    • ลำโพง 9 ตำแหน่ง พร้อมระบบเครื่องเสียง JBL

    เทคโนโลยีแบตเตอรี่ และการชาร์จ

    • ระยะทางวิ่งสูงสุด 570 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 100%

    (อ้างอิง Eco Sticker มาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ มีผู้ขับขี่ 1 คน ใช้มาตรฐานการขับแบบ NEDC อุณหภูมิ 20 – 30 °C ปิดระบบปรับอากาศ รับรองผลโดยหน่วยงานรัฐบาลประเทศเบลเยียม)

    สมรรถนะการขับขี่ | ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า | ระบบพวงมาลัยและช่วงล่าง

    • ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ All-wheel Drive
    • กำลังสูงสุดรวม 252 กิโลวัตต์ (343 PS / 338 HP)
    • แรงบิดสูงสุดชุดมอเตอร์หน้า 269 นิวตันเมตร และชุดมอเตอร์หลัง 170 นิวตันเมตร
    • X-MODE โหมดควบคุมการขับขี่แบบออฟโรด เพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ทำงานควบคู่ฟังก์ชัน Grip Control ช่วยรักษาความเร็วให้คงที่ในระดับต่ำ เมื่อขับขี่บนเส้นทางที่ท้าทาย
      • SNOW/DIRT ลดกำลังของมอเตอร์ เพื่อลดการลื่นไถลของล้อ
      • DEEP SNOW/MUD เพิ่มกำลังให้กับล้อ และควบคุมการยึดเกาะ

     

    เทคโนโลยี T-CONNECT พร้อมบริการเสริมที่หลากหลาย

    1. Always Located & Protected ให้คุณอุ่นใจ ไร้กังวลในการเดินทาง
    • Battery Remaining ตรวจสอบปริมาณแบตเตอรี่ไฟฟ้าคงเหลือ
    • Charging Station ค้นหาและนำทางไปยังสถานีชาร์จทั่วประเทศ
    • Find My Car บริการเช็กตำแหน่งรถเรียลไทม์
    • TheftTrack ติดตามรถหาย
    • SOS ช่วยเหลือฉุกเฉิน
    • Geo-Fencing กำหนดขอบเขตปลอดภัย
    1. Telematics Care ดูแลรถได้ง่ายๆ สะดวก พร้อมออกเดินทาง
    • TCFR Plus+ สิทธิ์ขยายระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์ พร้อมระดับสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่มากขึ้น ตามการเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนด
    • Maintenance Reminder แจ้งเตือนการบำรุงรักษา
    • Vehicle Information ข้อมูลรถและการขับ
    • PHYD Insurance ประกันภัย “ขับดี ลดให้”
    1. Happiness Mobility บริการเติมเต็มความสุข ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
    • Toyota Alive-X โปรแกรมสะสมคะแนน The 1 ใช้แลกเป็นส่วนลดในการเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการโตโยต้า
    • Connect You บริการแจ้งสิทธิพิเศษที่คัดสรรสำหรับลูกค้า T-Connect
    • Concierge Services บริการผู้ช่วยส่วนตัว

       หมายเหตุ

    • การใช้บริการของ T-Connect ต้องดาว์โหลดแอปพลิเคชัน และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถเพื่อเข้าใช้งาน สามารถศึกษาข้อกำหนด และเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.t-connect.in.th/Agreement.aspx
    • T-Connect เป็นบริการเสริมซึ่งลูกค้าสามารถลงทะเบียนใช้บริการฟรีในปีแรกจากแคมเปญการซื้อรถใหม่ หลังสิ้นสุดแคมเปญ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จะแจ้งค่าบริการรายปีให้ทราบต่อไป
    • T-Connect เป็นการให้บริการบนสัญญาณเครือข่ายผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต

     

    มั่นใจได้ในระยะยาวไปกับการรับประกันจากโตโยต้า

    • รับประกันแบตเตอรี่ไฟฟ้า และการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ไฟฟ้า 8 ปี หรือ 160,000 กม.

    (นับจากวันส่งมอบรถยนต์ แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และมีความจุแบตเตอรี่ขั่นต่ำ 70%)

    • รับประกันคุณภาพตัวรถ TCFR Plus+ 5 ปี หรือ 150,000 กม.

    (นับจากวันส่งมอบรถยนต์ แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน เมื่อเข้าเช็กระยะตามกำหนดจากโปรแกรม TCFR Plus+)

    • มั่นใจกับบริการหลังการขายด้วยศูนย์บริการกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ

    (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2568)

    • บริการโดยช่างที่ผ่านการอบรมด้านรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ตามมาตรฐานโตโยต้า

    (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

    รับข้อเสนอพิเศษสูงสุด! [7 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2568]

    1. ลูกค้าจากกิจกรรม NEW bZ4X Pre-registration
      • ส่วนลดเงินสด มูลค่า 20,000 บาท*
      • ดอกเบี้ยพิเศษ 99%*
    2. ลูกค้าทั่วไป รับฟรี ประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD*

    พร้อมลุ้นรับสูงสุด 3 ต่อ จากกิจกรรม “TOYOTA อาริกาโตะ โปรแจกใหญ่จัดเต็ม”*

    รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.toyota.co.th/yearend2025

    (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

    สอบถามรายละเอียด ทดลองขับ และจอง NEW bZ4X – MOTION OF TRUST

    ได้ที่โชว์รูมโตโยต้า พร้อมพบกับกิจกรรมต่างๆ ได้ดังนี้

    • วันที่ 29 พ.ย. 2568 – 10 ธ.ค. 2568: มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 Thailand International Motor Expo 2025 ณ Impact Challenger 1-3 เมืองทองธานี
    • วันที่ 12 – 14 ธ.ค. 2568: กิจกรรม ณ โชว์รูมโตโยต้า (เฉพาะโชว์รูมที่ร่วมรายการ)

    No Comment
  • ZEEKR พัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทุกมิติ เปิดสถานีชาร์จ ZEEKR Power กำลังไฟสูงสุด 400 kW แห่งแรกในประเทศไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมยกระดับบริการหลังการขาย เปิด ZEEKR Training Center เป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมบุคลากรสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    1 Min Read

    ZEEKR พัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทุกมิติ เปิดสถานีชาร์จ ZEEKR Power กำลังไฟสูงสุด 400 kW แห่งแรกในประเทศไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมยกระดับบริการหลังการขาย เปิด ZEEKR Training Center เป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมบุคลากรสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    SAKSORN

    ZEEKR แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมระดับสากล ประกาศเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เปิดสถานีชาร์จ ZEEKR Power ให้กำลังไฟสูงสุดถึง 400 กิโลวัตต์แห่งแรกในประเทศไทยศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เพื่อตอบสนองความต้องการการเดินทางของลูกค้าให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และขานรับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต พร้อมเปิดศูนย์ฝึกอบรม ZEEKR Training Center ในประเทศไทย เพื่อตอบสนองงานบริการหลังการขายให้ได้มาตรฐาน และมีประสิทธิภาพสูงสุด

    SAKSORN

    นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ ZEEKR กับการมุ่งเน้นพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม ที่ผสานไว้ด้วยนวัตกรรมชั้นสูง ความปลอดภัย ความสะดวกสบายเหนือระดับ และยังคงไม่หยุดพัฒนาขยายเครือข่ายจุดขาย รวมถึงพัฒนาระบบนิเวศการใช้งานอย่างจริงจัง โดยล่าสุดประกาศเปิดตัวสถานีชาร์จ ZEEKR Power @Central World ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ที่มาพร้อมกำลังไฟสูงสุดถึง 400 กิโลวัตต์ โดยเป็นความร่วมมือกับอีโวลท์ เทคโนโลยี (Evolt Technology) ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์ในการผลักดันระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย และสอดรับแผนงานขยายโครงข่ายสถานีชาร์จคุณภาพในพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ซึ่งพร้อมรองรับยนตรกรรมอีวีทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) รถตู้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ รวมถึงรถสปอร์ตไฟฟ้า  เป็นต้น

    SAKSORN

    นายอเล็กซ์ เป่า กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ความตั้งใจในการมอบ Brand Experience ของ ZEEKR Thailand กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาจากการเปิดตลาดในประเทศไทย มาจากความมุ่งมั่นในการนำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านนวัตกรรมอัจฉริยะ และรูปลักษณ์ของยนตรกรรมที่โดดเด่นทุกมุมมอง โดยปัจจุบันได้มีการส่งมอบรถไปแล้วกว่า 3,000 คัน นับเป็นการตอกย้ำการยอมรับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยที่ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับการเปิดตัวสถานีชาร์จ  ZEEKR Power @Central World ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถือเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของการเป็นผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์อีวีที่มาพร้อมการขับขี่ที่สะดวกสบาย มีความปลอดภัยขั้นสูง ซึ่งสอดคล้องไปกับการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ที่จะเติมเต็มมิติการใช้ชีวิตให้กับกลุ่มลูกค้าด้วย Clean Energy แบบครบวงจรในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นก้าวสำคัญของ ZEEKR Thailand ในการขับเคลื่อนแบรนด์สู่ความแข็งแกร่ง และยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ในใจผู้บริโภคที่เป็นมากกว่าผู้นำด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ”

    สถานี ZEEKR Power @Central World มาพร้อมเทคโนโลยีการชาร์จเร็ว (Fast Charge) ด้วยเครื่องชาร์จไฟกระแสตรง (DC Charging) กำลังไฟสูงสุด 400 กิโลวัตต์ (kW) จำนวน 2 หัวจ่าย นับเป็นหนึ่งในสถานีที่มีกำลังไฟแรงที่สุดในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพสูงสุดในการชาร์จอย่างรวดเร็วและปลอดภัย รองรับ ZEEKR ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น ZEEKR X, ZEEKR 009 และ ZEEKR 7X นอกจากนี้ภายในสถานียังติดตั้งเครื่องชาร์จไฟกระแสสลับ (AC Charging) กำลังไฟ 22 กิโลวัตต์ (kW) จำนวน 2 หัวจ่าย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานให้แก่ ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ตั้งอยู่บริเวณชั้น B1 ของลานจอดรถ ตรงกับเสาที่ Q24 – Q25 โดย ZEEKR Thailand มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ใช้รถ ZEEKR เพียงเปิดใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน EVOLT และเชื่อมต่อข้อมูลรถ ZEEKR ภายในแอปฯ สามารถชาร์จฟรีตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 31 ธันวาคม 2568

    ทั้งนี้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ZEEKR Power ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ EVOLT นอกจากที่เซ็นทรัลเวิลด์ยังมีอีกจำนวน 5 สถานี เพื่อสร้างเครือข่ายพลังงานที่ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานครถึงชลบุรี โดยรองรับ   การชาร์จทั้งรูปแบบ AC และ DC ได้แก่

    • ตลาดสามย่าน จำนวนช่องชาร์จ 4 ช่อง กำลังไฟ 22kW (1 หัว), 7kW (3 หัว)
    • ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำนวนช่องชาร์จ 4 ช่อง กำลังไฟ 22kW
    • BNN Park ราชพฤกษ์ จำนวนช่องชาร์จ 3 ช่อง กำลังไฟ 22kW
    • Harudot Café จังหวัดชลบุรี จำนวนช่องชาร์จ 4 ช่อง กำลังไฟ 150kW

    และสถานี One Bangkok เร็วๆ นี้

    พร้อมร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ SHARGE+ เปิดตัวจุดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 2 สถานี บริเวณ Velaa Sindhorn Village และ K Village สุขุมวิท 26 เร็วๆ นี้ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายสถานีชาร์จ เน้นครอบคลุมพื้นที่การใช้งานของกลุ่มเป้าหมายในใจกลางเมือง ถนนเส้นหลัก รวมถึง ZEEKR House ทั่วประเทศ พร้อมยึดมั่นในการ ส่งมอบประสบการณ์การใช้บริการสุดพิเศษ

    และด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นในการนำเสนอยานยนต์อัจฉริยะ และการบริการระดับมืออาชีพที่ถือเป็น “กุญแจสำคัญ” ของการสร้างมาตรฐานระดับสากล โดย ZEEKR ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรม ZEEKR Training Center หรือ ศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ นับเป็น HUB สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนลาดกระบัง ซอย 14/1 เพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญของบุคลากรให้มีองค์ความรู้ความสามารถครอบคลุมงานบริการหลังการขายอย่างมีประสิทธิภาพ และในอนาคตจะมีการจัดการฝึกอบรมให้กับตัวแทนจำหน่ายในตลาดอาเซียน รวมถึงการฝึกอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จ และระบบการขับเคลื่อนเพื่อช่วยให้บุคลากรของตัวแทนจำหน่ายมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีอันล้ำสมัยตลอดเวลา

    โดยเป้าหมายหลักของการก่อตั้งศูนย์ฝึกอบรมคือเพื่อสานต่อพันธกิจสำคัญภายใต้แนวคิด “การพัฒนาศักยภาพ เพื่อการเดินหน้าสู่อนาคตร่วมกัน” ซึ่งจะเน้นการให้บริการไปที่ 4 ทิศทางหลัก โดยทิศทางแรก คือการมุ่งเน้นนำเสนอเนื้อหาของยนตรกรรมอีวีอย่างลึกซึ้ง ที่ไม่เพียงแต่อธิบายข้อมูลเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังวิเคราะห์จุดขายและการประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์จำลองต่างๆ ทิศทางที่สอง คือการพัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติ คือการนำเสนอข้อมูลที่ครอบคลุมเนื้อหาเชิงปฏิบัติ เช่น เทคนิคการขาย การแก้ไขปัญหาทางเทคนิค และการจัดการปัญหาหลังการขายอย่างรวดเร็ว ทิศทางที่สาม คือการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการด้านเทคนิคและการจำลองสถานการณ์ การฝึกอบรมจะดำเนินการโดยใช้อุปกรณ์จริงและปัญหาจำลองจากสถานการณ์จริง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทีมช่างเทคนิคจะมีการพัฒนาศักยภาพ และเพิ่มความเชี่ยวชาญทักษะอันเป็นประโยชน์ที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานประจำวันได้โดยตรง และทิศทางที่สี่ คือการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนทรัพยากร จะมีการจัดการประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างพันธมิตรอย่างสม่ำเสมอ มีการเรียนรู้กรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จร่วมกัน

    ติดตามความเคลื่อนไหว และสามารถจองสิทธิ์เป็นเจ้าของ ZEEKR ทุกรุ่นได้ที่ ZEEKR House ทั้ง 16 สาขา ทั่วประเทศได้แล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ZEEKR Call Centre โทร 02-086-9999


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ฮอนด้า แนะนำ ‘CR-V e:HEV ใหม่’ พร้อมระบบฟูลไฮบริด e:HEV ทั้งไลน์อัป เพิ่ม Blind Spot Information และ Cross Traffic Monitor ทุกรุ่นย่อย และหลากฟีเจอร์ล้ำสมัย เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ด้วยราคาประมาณการเริ่มต้นไม่เกิน 1,4XX,XXX บาท เปิดจองสิทธิ์แล้ววันนี้กับโปรแรง! ฟรีบัตรน้ำมัน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 0.99% และประกันภัย 1 ปี ก่อนเตรียมเปิดราคาอย่างเป็นทางการ 28 พ.ย.นี้

    3 Min Read

    ฮอนด้า แนะนำ ‘CR-V e:HEV ใหม่’ พร้อมระบบฟูลไฮบริด e:HEV ทั้งไลน์อัป เพิ่ม Blind Spot Information และ Cross Traffic Monitor ทุกรุ่นย่อย และหลากฟีเจอร์ล้ำสมัย เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ด้วยราคาประมาณการเริ่มต้นไม่เกิน 1,4XX,XXX บาท เปิดจองสิทธิ์แล้ววันนี้กับโปรแรง! ฟรีบัตรน้ำมัน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 0.99% และประกันภัย 1 ปี ก่อนเตรียมเปิดราคาอย่างเป็นทางการ 28 พ.ย.นี้

    บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำและเปิดรับจองสิทธิ์ ‘Honda CR-V e:HEV ใหม่’ รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ปรับไลน์อัปเป็นฟูลไฮบริด e:HEV ในทุกรุ่นย่อย ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับ SUV ไฮบริดสำหรับครอบครัวที่ครบและคุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ด้วยราคาประมาณการเริ่มต้นไม่เกิน 1,4XX,XXX บาท* จัดเต็มความคุ้มค่าด้วยฟีเจอร์ใหม่! อาทิ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Information – BSI) ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor – CTM) และแอปและบริการของ Google ที่ติดตั้งมาในตัว พร้อมทั้งอัปเกรดฟังก์ชันการใช้งานเพิ่มเติมในหลากหลายรุ่น** ครั้งแรก! กับรุ่นย่อยใหม่ e:HEV HuNT กับดีไซน์อัปลุคสะท้อนไวบ์ที่แตกต่างอีกขั้น และรุ่นย่อย e:HEV RS ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้าอย่างลงตัว พิเศษ! รับฟรีบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 20,000 บาท*** พร้อมรับดอกเบี้ย 0.99%*** และฟรีประกันภัย 1 ปี สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้าเพื่อเป็นเจ้าของ Honda CR-V e:HEV ใหม่ ผ่านทางที่ปรึกษาการขายฮอนด้าที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 – 27 พฤศจิกายน 2568 พร้อมจองและรับรถตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568***

    เตรียมพบกับการประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Honda CR-V e:HEV ใหม่ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 รวมถึงสัมผัสได้ที่บูทฮอนด้า (A08) ในงาน Motor Expo 2025 ระหว่างวันที่
    29 พฤศจิกายน 2568 – 10 ธันวาคม 2568 และโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

    ไฮไลต์ข้อมูล ‘Honda CR-V e:HEV ใหม่’

    • ใหม่! ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Information – BSI) ในทุกรุ่นย่อย

    • ใหม่! ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor – CTM) ในทุกรุ่นย่อย
    • ใหม่! แอปและบริการของ Google ที่ติดตั้งมาในตัว ในทุกรุ่นย่อย
    • สวิตซ์โหมดการขับขี่ (Drive Mode Switch) ที่มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ 4 รูปแบบ ในทุกรุ่นย่อย ได้แก่ ใหม่! โหมดการขับขี่แบบ Individual โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต โหมดการขับขี่แบบปกติ และโหมดการขับขี่แบบประหยัด
    • ใหม่! ครั้งแรกในรถยนต์ฮอนด้าประเทศไทย กับ เบาะนั่งคู่หน้าแบบระบายอากาศ ตั้งแต่รุ่น e:HEV ES

    • เพิ่ม! ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง ตั้งแต่รุ่น e:HEV ES
    • เพิ่ม! ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT พร้อมเทคโนโลยี Digital Key เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
    • เพิ่ม! เซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
    • เพิ่ม! ขนาดมาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT เป็นขนาด 2 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
    • อัปลุคทั้งภายนอกและภายใน ด้วยดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมที่สะท้อนตัวตนเฉพาะรุ่นอย่างมีสไตล์
    • สีภายนอก สีใหม่! สีเทาเออร์เบิน (มุก) ในรุ่น e:HEV RS และ e:HEV RS 4WD

    โดยมีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย พร้อมราคาประมาณการ* ดังนี้

    • ใหม่! รุ่น e:HEV E ราคาประมาณการไม่เกิน 1,4XX,XXX บาท

    รุ่นเริ่มต้นที่ครบครัน สัมผัสกับขุมพลังไฮบริดในเอสยูวีขนาดใหญ่ กับราคาที่เข้าถึงง่าย เอาใจสายคุ้มค่า
    ที่มองหาฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัวในทุกวัน

    • รุ่น e:HEV ES ราคาประมาณการ 1,5XX,XXX บาท

    ฟังก์ชันรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกการใช้งานของทุกคน พร้อมตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้อย่างครบครัน

    • ใหม่! ครั้งแรกกับรุ่น e:HEV HuNT ลุคพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนตัวตนและไวบ์ที่แตกต่างของเหล่า HuNTSTER พร้อมมอบประสบการณ์สุดยูนีคในทุกเส้นทางที่โลดแล่น
    • ใหม่! รุ่น e:HEV RS ราคาประมาณการ 1,6XX,XXX บาท

    เพิ่มทางเลือกสำหรับสายมีสไตล์ ด้วยดีไซน์สปอร์ตเอกซ์คลูซีฟ ออปชันล้ำสมัยครบ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ

    • รุ่น e:HEV RS 4WD ราคาประมาณการ 1,7XX,XXX บาท

    จัดเต็มสปิริตความสปอร์ตพรีเมียม ผสานระหว่างดีไซน์เอกซ์คลูซีฟ ฟังก์ชันครบ และสมรรถนะขับสนุกพร้อมลุยทุกสภาพถนนอย่างมั่นใจ ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (Real Time™ AWD)

    ลูกค้าที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.honda.co.th/crv และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์
    www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777

    อัปเดตทุกข่าวสาร ข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมล่าสุด เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวได้ที่

    • เว็บไซต์: www.honda.co.th
    • Facebook Official Account: Honda Thailand
    • LINE Official Account: @honda-thailand

     

    รายละเอียดโดยย่อของ ‘Honda CR-V e:HEV ใหม่’

    ฟีเจอร์ใหม่จัดเต็ม ครบครันคุ้มค่า พร้อมอัปเกรดฟังก์ชันการใช้งานเพิ่มเติมในหลากรุ่นย่อย เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน

    • ใหม่! ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Information – BSI) ในทุกรุ่นย่อย
    • ใหม่! ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor – CTM) ในทุกรุ่นย่อย
    • ใหม่! แอปและบริการของ Google ที่ติดตั้งมาในตัว ในทุกรุ่นย่อย
    • สวิตซ์โหมดการขับขี่ (Drive Mode Switch) ที่มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ 4 รูปแบบ ในทุกรุ่นย่อย ได้แก่ ใหม่! โหมดการขับขี่แบบ Individual โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต โหมดการขับขี่แบบปกติ และโหมดการขับขี่แบบประหยัด
    • ใหม่! ครั้งแรกในรถยนต์ฮอนด้าประเทศไทย กับ เบาะนั่งคู่หน้าแบบระบายอากาศ ตั้งแต่รุ่น e:HEV ES
    • เพิ่ม! ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง ตั้งแต่รุ่น e:HEV ES
    • เพิ่ม! ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT พร้อมเทคโนโลยี Digital Key เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
    • เพิ่ม! เซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
    • เพิ่ม! ขนาดมาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT เป็นขนาด 2 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย

    ปรับลุคทั้งภายนอกและภายใน ด้วยดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมที่สะท้อนตัวตนเฉพาะรุ่นอย่างมีสไตล์

    ดีไซน์รุ่น e:HEV RS และ e:HEV RS 4WD

    • เปลี่ยน! กันชนหน้าและหลัง สีดำแบบสปอร์ต
    • เปลี่ยน! ชายกันกระแทกด้านข้าง สีดำแบบสปอร์ต
    • เปลี่ยน! มือจับประตูด้านนอก สีดำแบบสปอร์ต

    • เปลี่ยน! ชุดตกแต่งภายในสีเงินอะลูมิเนียมรมดำ ลาย Hairline และสีดำแบบสปอร์ต
    • ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง พร้อมใหม่!
      โลโก้ RS บนเบาะนั่งคู่หน้า
    • เปลี่ยน! ก้านพวงมาลัยสีดำแบบสปอร์ต

    ดีไซน์รุ่น e:HEV ES

    • เปลี่ยน! ชุดตกแต่งภายในสีเงินอะลูมิเนียม ลาย Hairline และสีดำแบบสปอร์ต

    ดีไซน์รุ่น e:HEV E

    • ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว เปลี่ยนสีใหม่! สีดำ Berlina Black

    ดีไซน์รุ่น e:HEV HuNT ที่มาพร้อม ใหม่! ชุดแต่ง HuNT แพ็กเกจรอบคัน ได้แก่

    • ชุดเสริมหลังคาคู่
    • บันไดข้าง
    • คิ้วตกแต่งกระจังหน้าสี Glossy Copper
    • คิ้วตกแต่งไฟตัดหมอกสี Glossy Copper
    • แผงใต้กันชนหน้า
    • คิ้วตกแต่งซุ้มล้อหน้า-หลัง

    สีภายนอก มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่

    • สีใหม่! สีเทาเออร์เบิน (มุก) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS และ e:HEV RS 4WD)
    • สีน้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก) (ทุกรุ่นย่อย ยกเว้นรุ่น e:HEV HuNT)
    • สีขาวแพลทินัม (มุก) (ทุกรุ่นย่อย ยกเว้นรุ่น e:HEV HuNT)
    • สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) (ทุกรุ่นย่อย ยกเว้นรุ่น e:HEV HuNT)
    • สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
    • สีดำคริสตัล (มุก)

    มาพร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด Honda e:HEV ทุกรุ่นย่อย มอบสมรรถนะแรง เร้าใจ สมูทในทุกอัตราเร่ง ด้วยการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ในระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT กับเครื่องยนต์ขนาด
    2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีประสิทธิภาพสูง มั่นใจไม่ต้องรอรอบในทุกการออกตัว
    กับแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 2,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมสูงสุดถึง 19.6 กม./ลิตร**** (รุ่น e:HEV RS) และ 18.5 กม./ลิตร**** (รุ่น e:HEV RS 4WD)

    ห้องโดยสารกว้างขวาง มาพร้อมเบาะโดยสารแบบ 5 ที่นั่ง ดีไซน์มาเพื่อความสะดวกสบายสำหรับทุกคนในทุกการเดินทาง พร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ใช้งานง่าย เพื่อไลฟ์สไตล์ที่ลงตัวในทุกวัน

    • ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS และ e:HEV RS 4WD)
    • ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Driver Memory Seat)
    • ระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร Plasmacluster (รุ่น e:HEV ES, e:HEV HuNT, e:HEV RS, และ e:HEV RS 4WD)
    • หลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (รุ่น e:HEV ES, e:HEV HuNT, e:HEV RS, และ e:HEV RS 4WD)
    • ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android AutoTM แบบไร้สาย พร้อมรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto
    • อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger)
    • ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง

    ครบครันเรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย ครบถ้วนด้านเทคโนโลยีการขับขี่ระดับพรีเมียม ให้ทุกการเดินทางสู่จุดหมายเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ โดยทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลัก ๆ ได้แก่

    • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
    • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
    • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
    • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
    • ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS และ e:HEV RS 4WD)
    • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้า
      ที่ความเร็วต่ำ
      (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
    • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (LCDN)

    พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและการขับขี่อื่น** อาทิ

    • ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) (ยกเว้นรุ่น e:HEV E)
    • ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS และ e:HEV RS 4WD)
    • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC)
    • ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และระบบ Auto Brake Hold
    • ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors)

     

    หมายเหตุ:

    *ราคาประมาณการยังไม่รวมราคาสีพิเศษ (มุก)
    **อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น
    ***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ
    ****ทดสอบตามมาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ / ผ่านการรับรองมาตรฐานมลพิษระดับ Euro 6 (มอก. 3017-2563) อัตราประหยัดน้ำมันขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานจริงและพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ไทยฮอนด้า ชวนชาว Forza และ ADV ลุยทริปเมืองรอง “THE 3FIFTY HIDDEN JOURNEY เขาค้อ – เชียงคาน” วันที่ 12 – 14 ธันวาฯ นี้

    1 Min Read

    ไทยฮอนด้า ชวนชาว Forza และ ADV ลุยทริปเมืองรอง “THE 3FIFTY HIDDEN JOURNEY เขาค้อ – เชียงคาน” วันที่ 12 – 14 ธันวาฯ นี้

    ไทยฮอนด้า เชิญชวนชาว Honda Forza และ Honda ADV รุ่น 350 ซีซี ร่วมปักหมุดครั้งใหม่ “THE 3FIFTY HIDDEN JOURNEY เขาค้อ – เชียงคาน” ทริปขับขี่ท้าลมหนาวบนเส้นทางสุดสายหมอก ระหว่างวันที่ 12–14 ธันวาคม 2568 นี้ สัมผัสเส้นทางธรรมชาติอันงดงาม สนุกกับโค้งทางคดเคี้ยว และค้นหาพิกัดลับเมืองรองสุดชิลตลอด 3 วัน 2 คืน

    กิจกรรม THE 3FIFTY HIDDEN JOURNEY ครั้งนี้จะพาผู้ร่วมทริปขับขี่ขึ้นสัมผัสยอดเขาสูงของเขาค้อ เยือนวัดผาซ่อนแก้วและทุ่งกังหันลม ชื่นชมวิวธรรมชาติจากจุดเช็กอินไฮไลต์อย่างอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ ก่อนแวะจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ท่ามกลางวิวภูเขา พร้อมสัมผัสประสบการณ์ Local แสนชิลในแบบเมืองรอง ที่ให้ลูกค้าได้ทดสอบสมรรถนะการขับขี่อย่างเต็มอิ่ม พร้อมปักหมุดเช็กอินแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง

    ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรม “THE 3FIFTY HIDDEN JOURNEY เขาค้อ-เชียงคาน” ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าจะเต็ม จำนวนจำกัดเพียง 65 คันเท่านั้น สำหรับลูกค้ากลุ่ม Honda Forza350 และ Honda ADV350 ที่ศูนย์บริการ Honda Wing Center สาขาที่ร่วมรายการ ได้แก่ พ.สหายยนต์ (1987), สุพศินฮอนด้า (2002), ชัยสวัสดิ์ มอเตอร์ไบค์, พรพิวัฒน์ยานยนต์ ขอนแก่น, ณัฐพงษ์มอเตอร์ (1989) และ เอส.พี.ไฮบริด

     

    เว็บไซต์: www.thaihonda.co.th/honda
    เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า: fb.com/hondamotorcyclethailand
    IG: www.instagram.com/hondamotorcyclethailand
    Tiktok: www.tiktok.com/@hondamotorcycletha
    Youtube: www.youtube.com/HondaMotorcycleTHA

    #THE3FIFTY #THE3FIFTYHIDDENJOURNEY #ทริปปักหมุดให้สุดคลาส
    #เขาค้อ #Khaokho #เชียงคาน #Chiangkhan
    #FORZA350 #Beyondtheexceptional #ADV350 #ExploreYourLimitless
    #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #HondaMotorcycleThailand #ไทยฮอนด้า #ThaiHonda


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • GWM เปิดสเปก NEW GWM POER SAHAR DIESEL จัดเต็มทั้งสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำหน้า ท้าให้ลอง พร้อมปฏิวัติรถกระบะในไทย 29 พฤศจิกายนนี้!

    2 Min Read

    GWM เปิดสเปก NEW GWM POER SAHAR DIESEL จัดเต็มทั้งสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำหน้า ท้าให้ลอง พร้อมปฏิวัติรถกระบะในไทย 29 พฤศจิกายนนี้!

    GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” หลังเผยโฉมให้คนไทยได้เห็นกันเป็นครั้งแรกที่งาน TANK FEST 2025 ล่าสุด GWM (Thailand) เผยสเปกรถกระบะสมรรถนะสูงขนาดใหญ่ระดับพรีเมียม NEW GWM POER SAHAR DIESEL มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วใน NEW GWM TANK 300 DIESEL และ NEW GWM TANK 500 DIESEL รถยนต์ตระกูลออฟโรดจาก GWM โดย NEW GWM POER SAHAR DIESEL จะเข้ามายกระดับไลฟ์สไตล์และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า พรีเมียมกว่า และใหญ่กว่า ด้วยจุดเด่นทั้ง 4 ด้านที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาดรถกระบะในไทย ได้แก่ 1.) สมรรถนะสูงที่ควบคู่มากับอัตราการบริโภคน้ำมันที่มีประสิทธิภาพ 2.) ความสามารถในการขับขี่พร้อมลุยในทุกไลฟ์สไตล์ 3.) ความพรีเมียมและความสะดวกสบายเหนือกว่ารถกระบะในเซ็กเมนต์เดียวกัน และ 4.) เทคโนโลยีล้ำสมัยและระบบความปลอดภัยที่เหนือกว่า ทั้งหมดนี้หลอมรวมให้ NEW GWM POER SAHAR DIESEL พร้อมเป็นคู่หูที่อยู่เคียงข้างทุกวัน ตั้งแต่วันทำงานจนถึงช่วงท่องเที่ยวและผจญภัยไปยังปลายทางใหม่ ๆ ด้วยบุคลิกแข็งแกร่งและภายในพร้อมฟังก์ชันสุดพรีเมียม รองรับการปรับแต่งตามความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการผจญภัยที่สมบุกสมบันและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย

    NEW GWM POER SAHAR DIESEL มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) ถ่ายทอดพลังอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองฉับไว มั่นใจได้ทั้งการใช้งานจริงและการเดินทางไกล โดดเด่นด้วยมิติตัวรถยาว 5,445 มิลลิเมตร กว้าง 1,991 มิลลิเมตร สูง 1,924 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 3,350 มิลลิเมตร พร้อมลุยทุกสถานการณ์ด้วยระยะความสูงใต้ท้องรถ 224 มิลลิเมตร และความสามารถลุยน้ำได้ลึกถึง 800 มิลลิเมตร เติมความสปอร์ตด้วยกระจังหน้าสีดำ ราวหลังคาและบันไดข้างสีดำ กรอบหน้าต่างสีดำ ไฟหน้าและไฟท้ายแบบรมดำ พร้อมล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว จับคู่ยาง 265/60 R18 ที่รับกับดีไซน์ภายนอกอย่างลงตัว

    NEW GWM POER SAHAR DIESEL มาพร้อม 3 รุ่นย่อย ได้แก่

    • NEW GWM POER SAHAR DIESEL รุ่น 4T PRO DOUBLE CAB AUTO
    • NEW GWM POER SAHAR DIESEL รุ่น 4T ULTRA DOUBLE CAB AUTO
    • NEW GWM POER SAHAR DIESEL รุ่น 4T ULTRA DOUBLE CAB AUTO 4WD

    พร้อมตัวเลือกสีภายนอก 3 สี ได้แก่ สีขาว, สีดำ และสีเทา เติมเต็มบุคลิกแข็งแกร่งและพรีเมียมได้อย่างชัดเจน ภายในห้องโดยสารตกแต่งโทนสีดำสุดหรู เน้นบรรยากาศเรียบหรูทันสมัย ให้ความรู้สึกมั่นใจและผ่อนคลายตลอดการเดินทาง พร้อมการจัดวางพื้นที่ใช้งานอย่างลงตัว รองรับทั้งภารกิจงานบุกลุยและไลฟ์สไตล์แบบพรีเมียมบนทุกเส้นทาง

     

    4 จุดเด่นที่ฉีกกฎความเป็นรถกระบะแบบเดิม ๆ

    • สมรรถนะสูงที่ควบคู่มากับอัตราการบริโภคน้ำมันที่มีประสิทธิภาพ: NEW GWM POER SAHAR DIESEL ขุมพลังดีเซล 4T เจเนอเรชันใหม่ ถ่ายทอดกำลังแบบต่อเนื่องและฉับไว ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิด 480 นิวตันเมตรตั้งแต่รอบต่ำ 1,500–2,500 รอบ/นาที เสริมการเผาไหม้ให้แม่นยำด้วยหัวฉีดแรงดันสูง 2,000 บาร์ ขณะที่ชุดเกียร์ 9 สปีดมีช่วงอัตราทดเกียร์ 8.843 สามารถเข้าสู่เกียร์ 9 ที่ความเร็วเพียง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยลดรอบเครื่องและใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า พร้อมยกระดับไปอีกขั้นด้วยการควบคุม NVH (Noise, Vibration, and Harshness) อย่างมีประสิทธิภาพ มอบความนิ่ง เงียบ นุ่มนวล ในการนั่งและการขับขี่ มอบความผ่อนคลายทั้งการเดินทางในเมืองและนอกเมือง ขณะเดียวกันยังมาพร้อมถังน้ำมันขนาดใหญ่ 78 ลิตร วิ่งได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการเติมหนึ่งถัง ช่วยให้การเดินทางในทุกสไตล์ทั้งระยะสั้น-ยาว เป็นไปอย่างมั่นใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังคุ้มค่าด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ในรุ่น 2WD) และ 13.5 กิโลเมตรต่อลิตร (ในรุ่น 4WD) ตามมาตรฐาน NEDC นอกจากนี้ ยังมาพร้อมดิสก์เบรค 4 ล้อ และการปรับจูนช่วงล่างให้เหมาะกับถนนเมืองไทยและพฤติกรรมการขับขี่ของคนไทยอีกด้วย

    • ความสามารถในการขับขี่พร้อมลุยในทุกไลฟ์สไตล์: NEW GWM POER SAHAR DIESEL มาพร้อม 3 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ สปอร์ต และประหยัด (สำหรับรุ่น 2WD) ช่วยบาลานซ์ความสนุกและความคุ้มค่า ในขณะที่รุ่น 4WD มาพร้อมโหมดการขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) และโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตราทดเกียร์ต่ำ (4L) เพื่อรับมือทั้งการเดินทางทั่วไปและเส้นทางออฟโรดอย่างลงตัว เพิ่มความคล่องตัวและความมั่นใจให้ทุกการเดินทางตั้งแต่ในเมืองและนอกเมือง ผสานระยะใต้ท้อง 224 มิลลิเมตร และความสามารถลุยน้ำลึก 800 มิลลิเมตร กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศาและระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ Body Transparent (เฉพาะรุ่น 4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD) ที่ช่วยให้เห็นอุปสรรคที่ซ่อนอยู่ เพิ่มทัศนวิสัยขณะผ่านพื้นที่แคบหรือทางขรุขระ ทำให้ทุกจังหวะการควบคุมแม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น หมดห่วงไร้กังวลเมื่อต้องเจอเส้นทางที่ท้าทาย

    • ความพรีเมียมและความสะดวกสบายเหนือกว่ารถกระบะในเซ็กเมนต์เดียวกัน: ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้กว้าง พรีเมียม และใช้งานง่าย ด้วยโทนภายในสีดำเสริมความรู้สึกพรีเมียมตั้งแต่แรกสัมผัส เบาะหลังปรับเอนได้ 2 ระดับ (ประมาณ 33 องศา) ให้นั่งสบายขึ้นทุกระยะทาง พร้อมพนักพิงเบาะพับได้แบบ 40:20:40 ที่มาพร้อมที่พักแขนและที่วางแก้ว รองรับทั้งการโดยสารและการขนของได้อย่างลงตัว วัสดุหุ้มเบาะหนังสังเคราะห์พรีเมียม นั่งสบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เหมาะทั้งวันทำงานและทริปครอบครัว มอบประสบการณ์ขั้นกว่าด้วยหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 3 นิ้ว (ในรุ่น 2.4T PRO) และขนาด 14.6 นิ้ว (ในรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD) เกียร์ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า Electronic Shifter บริเวณคอนโซลกลาง เสริมความสะดวกสบายด้วย Smart Key และ Push Start ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา และระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อถึงความเร็วที่กำหนด เบาะคนขับสามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับแบบไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง พร้อมรองรับไลฟ์สไตล์การทำงานยุคใหม่ด้วยพอร์ต USB หน้า-หลัง (มีช่องต่อสำหรับกล้องบันทึกภาพแยกต่างหาก) และช่องจ่ายไฟสำรอง 220V ในรถ พร้อมที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย มอบความสะดวกสบายแบบเต็มพิกัด ทำให้ทุกการเดินทางด้วยรถกระบะ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    • เทคโนโลยีล้ำสมัยและระบบความปลอดภัยที่เหนือกว่ารถกระบะทั่วไป: สะดวกและปลอดภัยด้วยชุดเทคโนโลยีครบครัน อาทิ ระบบสั่งการด้วยเสียงและระบบนำทาง ช่วยลดการละสายตาและการสัมผัสปุ่ม รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย เชื่อมต่อโลกดิจิทัลได้ต่อเนื่อง เสริมความอุ่นใจด้วยระบบช่วยขับและความปลอดภัยมากถึง 26 รายการ (ในแต่ละรุ่นอาจแตกต่างกัน) อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการเข้าโค้งอัจฉริยะ (ACC), ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ขณะที่โครงสร้างตัวถังใช้เหล็กกล้าความแข็งแรงสูงกว่า 3% ของโครงสร้างทั้งหมด ทนแรงบิดได้ 61,118 นิวตันเมตร/องศา แรงดัดได้ 26,163 นิวตันเมตร/มิลลิเมตร และหลังคารับแรงกดได้ถึง 4.88 เท่าของน้ำหนักตัวรถ ตอกย้ำมาตรฐานความปลอดภัยเชิงโครงสร้าง ปกป้องทุกคนในครอบครัวในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

    The Next Level of Lifestyle Partner แต่งได้ทุกทางใช้ได้ทุกวัน

    ยิ่งไปกว่านั้น NEW GWM POER SAHAR DIESEL ถูกวางตำแหน่งให้เป็นเหมือนเพื่อนที่รู้ใจที่จะยกระดับทุกไลฟ์สไตล์ไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในการปรับแต่งได้หลากหลายตามความต้องการ รองรับทั้งวันทำงาน ทริปท่องเที่ยว และการผจญภัย ผสานความพรีเมียมกับความอเนกประสงค์ไว้ในคันเดียว ไม่ว่าจะเป็น สายแคมป์ปิ้ง สายกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องบรรทุกอุปกรณ์ทั้งชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่ สายลากจูงรถบ้านเดินทางท่องเที่ยว หรือแม้แต่สายออฟโรด ก็จบได้ภายในคันเดียวในทุกเส้นทาง พร้อมภาพลักษณ์ทันสมัย โดดเด่น และสะดวกสบาย

     

    GWM (Thailand) เตรียมเปิดตัวและเผยราคาอย่างเป็นทางการของ NEW GWM POER SAHAR DIESEL ภายในงาน Motor Expo 2025 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 โดยมุ่งยกระดับมาตรฐานกระบะพรีเมียมทั้งด้านสมรรถนะ ความสะดวกสบาย เทคโนโลยี และความปลอดภัย

     

    #GWM #GWMThailand #GWMPOER #POER #POERDIESEL #NEWGWMPOERSAHARDIESEL #MotorExpo2025


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เผยโฉม Honda WN7 จักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ที่งาน EICMA 2025

    1 Min Read

    รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เผยโฉม Honda WN7 จักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ที่งาน EICMA 2025

    รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เปิดตัว Honda WN7 จักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน ภายในงาน EICMA 2025 (Milan Motorcycle Shows) ที่จัดขึ้น ณ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 4–5 พฤศจิกายน 2568 สำหรับสื่อมวลชน และวันที่ 6–9 พฤศจิกายน 2568 สำหรับผู้เข้าชมทั่วไป

    Honda WN7

    ฟีเจอร์หลักของ Honda WN7

    แนวคิดการพัฒนา

    Honda WN7 เป็นจักรยานยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Naked รุ่นแรกในซีรีส์ “FUN Category” ที่พัฒนาด้วยทิศทางใหม่ในฐานะรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าฮอนด้า ภายใต้แนวคิด “Be the Wind” ถ่ายทอดความสุขของการเคลื่อนไปอย่างอิสระดั่งสายลม พร้อมความเงียบเฉพาะตัวของรถพลังงานไฟฟ้า ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสเสียงและบรรยากาศรอบตัวได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะของผู้คนริมทาง หรือเสียงใบไม้ที่พลิ้วไหว ซึ่งไม่อาจสัมผัสได้บนจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE : internal combustion engine) Honda WN7 ถ่ายทอดความตั้งใจของทีมพัฒนาออกมาเป็นการเร่งความเร็วที่หนักแน่นด้วยแรงบิดเต็มพลัง และการควบคุมที่คล่องตัว มอบความรู้สึกของการเคลื่อนไปอย่างอิสระดั่งสายลมได้อย่างแท้จริง

    การออกแบบ

     

    Honda WN7 ออกแบบภายใต้แนวคิดที่มุ่งเน้นการขัดเกลาฟังก์ชันการใช้งานให้สมบูรณ์แบบและสะท้อนตัวตน โดดเด่นด้วยพื้นผิวต่อเนื่องและเรียบลื่นในทุกจุดที่ผู้ขับขี่สัมผัส ผสานเข้ากับรูปทรงที่มีพลังและเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อม “แถบไฟหน้าแนวนอน” (horizontal light bar) ซึ่งจะกลายเป็น “ซิกเนเจอร์” ของจักรยานยนต์ไฟฟ้าฮอนด้าทุกรุ่นในอนาคต

    นอกจากนี้ WN7 ยังเปิดตัวชุดสีเฉพาะสำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้าฮอนด้าเป็นครั้งแรก โดยใช้ตัวถังโทนสีดำตัดกับชิ้นส่วนประกอบที่ตกแต่งด้วยสีทอง ฮอนด้าจะใช้ชุดสีนี้กับจักรยานยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทั่วโลก เช่นเดียวกับไฟซิกเนเจอร์

    แชสซีแบบไร้เฟรม (Frameless Chassis)

    จักรยานยนต์ทั่วไปใช้เฟรมเชื่อมต่อส่วนหน้าและส่วนท้ายของตัวรถเข้าด้วยกัน ในขณะที่โครงสร้างของ Honda WN7 ไม่ใช้เฟรม แต่ใช้กล่องแบตเตอรี่อะลูมิเนียมที่ติดตั้งอยู่กลางตัวรถทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลัก และเชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับ “ส่วนคอ” (head pipe) ที่รองรับระบบบังคับเลี้ยวและ “ขายึดสวิงอาร์ม” (pivot bracket) ที่รับน้ำหนักด้านหลัง ช่วยให้ Honda WN7 มีน้ำหนักเบาเพราะไม่มีเฟรม รวมทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ให้ตัวรถมีสัดส่วนที่เพรียวบางและกะทัดรัดได้

    นอกจากนี้ การวางตำแหน่งแบตเตอรี่ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมากไว้บริเวณจุดศูนย์กลางแชสซี ยังช่วยเสริมสมดุลให้มวลน้ำหนักอยู่ตรงกลาง เพิ่มความคล่องตัวในการควบคุม

    ชุดมอเตอร์ผนวกอินเวอร์เตอร์ (Integrated Motor-Inverter Unit)

    Honda WN7 มาพร้อมมอเตอร์แบบใหม่ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และผนวกอินเวอร์เตอร์เข้าไว้ด้วยกัน โดยให้กำลังสูงสุด 50 กิโลวัตต์ เทียบเท่าจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 600 ซีซี พร้อมแรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับรถขนาด 1000 ซีซี มอบสมรรถนะอันทรงพลังทั้งยังควบคุมได้อย่างมั่นใจ สำหรับการขับขี่ในเมืองและบนทางโล่ง

    กระปุกเกียร์ดีไซน์ใหม่ส่งต่อกำลังจากมอเตอร์ไปยังระบบสายพานขับเคลื่อน (belt-drive system) เพื่อถ่ายทอดกำลังสู่ล้อหลังได้อย่างราบรื่นและไม่ส่งเสียงดัง

    แบตเตอรี่และมาตรฐานการชาร์จ

    Honda WN7 มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบติดตั้งถาวร ขนาด 9.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง รองรับทั้งการชาร์จเร็วแบบ CCS2[1] (Combined Charging System Type 2) และการชาร์จปกติแบบ Type 2[2] ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับเต้ารับไฟบ้านได้ในหลายประเทศ และหากใช้เครื่องชาร์จเร็ว แบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 20% ถึง 80% ได้ภายในเวลาประมาณ 30 นาที ช่วยให้เติมพลังระหว่างการเดินทางได้อย่างรวดเร็ว ลดความกังวลเรื่องเวลารอชาร์จ

    สำหรับการชาร์จแบบปกติ สามารถชาร์จเต็มจาก 0% ถึง 100% ได้ในเวลาไม่ถึง 2.4 ชั่วโมง[3] เมื่อเต็มแล้วจะให้ระยะทางขับขี่สูงสุด 140 กิโลเมตร (มาตรฐาน WMTC mode)

    ระบบเบรกแบบชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative Braking), ระบบเลือกความหน่วง (Deceleration Selector) และโหมด Walking Speed Mode

    ระบบเบรกแบบชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่[4] (Regenerative Braking) คือการที่มอเตอร์ของ Honda WN7 จะทำหน้าที่ชาร์จพลังงานคืนกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ (Energy Regeneration) ขณะชะลอความเร็วเมื่อปล่อยคันเร่ง ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับความหน่วงด้วยสวิตช์ “Deceleration Selector” ที่แฮนด์ซ้าย เพื่อควบคุมความเร็วต่ำได้อย่างราบรื่นโดยแทบไม่ต้องใช้เบรก หรือหากเลือกแรงหน่วงน้อยลง จะรู้สึกเหมือนลอยเคลื่อนไป ซึ่งเป็นประสบการณ์การขับขี่รูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างสิ้นเชิง

    นอกจากนี้ Honda WN7 ยังมาพร้อมโหมด Walking Speed Mode ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขยับรถไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อย่างช้า ๆ โดยควบคุมผ่านสวิตช์ที่แฮนด์ซ้ายและคันเร่ง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการจอดรถหรือขยับรถในพื้นที่แคบ ๆ ในเมือง

    Honda WN7 จะผลิตที่โรงงานของฮอนด้าในเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto Factory) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตจักรยานยนต์ทั่วโลกของบริษัท และจะทยอยเปิดตัวในตลาดประเทศใดก็ตามที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมไปกับการที่บริษัทผลักดันการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก

    No Comment
  • ฮอนด้า นำเสนอเทคโนโลยีเจเนอเรชันใหม่ ในกิจกรรม “Honda Automotive Technology Workshop” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เตรียมเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020

    1 Min Read

    ฮอนด้า นำเสนอเทคโนโลยีเจเนอเรชันใหม่ ในกิจกรรม “Honda Automotive Technology Workshop” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เตรียมเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020

    บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด จัดกิจกรรม Honda Automotive Technology Workshop สำหรับสื่อมวลชน เพื่อเผยข้อมูลของเทคโนโลยีเจเนอเรชันใหม่สำหรับรถยนต์ ที่มีแผนจำหน่ายในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020

     

    เทคโนโลยีหลักที่นำเสนอในกิจกรรม ได้แก่ 1) แพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฮบริดเจเนอเรชันใหม่
    2) เทคโนโลยีระบบไฮบริด-ไฟฟ้า (Hybrid-Electric System) สำหรับรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่รุ่นใหม่ ที่มีแผนเปิดตัวในอเมริกาเหนือช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020 และ 3) เทคโนโลยีหลักที่จะนำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า Compact รุ่นผลิตจริง โดยอ้างอิงจาก Super-ONE Prototype ที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งาน Japan Mobility Show 2025

     

    Next generation hybrid study model

     

    Super-ONE Prototype

     

     

    ฮอนด้ายึดมั่นในเป้าหมายด้าน “สิ่งแวดล้อม” และ “ความปลอดภัย” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้ฮอนด้าสามารถส่งมอบความสนุกและอิสระแห่งการขับเคลื่อนแก่ผู้คนได้อย่างยั่งยืน
    บนพื้นฐานแนวคิดดังกล่าว ฮอนด้าได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวไว้ 2 ประการ ได้แก่ “การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน สำหรับทั้งผลิตภัณฑ์และกิจกรรมองค์กรทั้งหมด” และ “ลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องจากการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์ (Zero Traffic Collision Fatalities) ภายในปี ค.ศ. 2050

     

    ในการแถลงแนวทางการดำเนินธุรกิจของฮอนด้า เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฮอนด้าได้ประกาศเดินหน้าพัฒนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) และพร้อมมอบคุณค่าใหม่ให้แก่ลูกค้า ขับเคลื่อนไปสู่ยุคแห่งการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ก้าวล้ำยิ่งขึ้น

     

    ขณะเดียวกัน ฮอนด้ายังคงเดินหน้าส่งมอบคุณค่า “ความสนุกในการขับขี่” อันเป็นเอกลักษณ์ในยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ขับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า (EV) หรือ รถยนต์ไฮบริด นอกจากนี้ ฮอนด้ายังคงยึดหลักการออกแบบ M/M Concept*1 (Man Maximum, Machine Minimum)
    โดยให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความสนุกในการขับขี่ พร้อมด้วยความสะดวกสบายและความสนุกให้แก่ผู้โดยสาร

     

    ภายใต้แนวคิด “Enjoy the Drive” ซึ่งสะท้อนคุณค่าหลักของรถยนต์ฮอนด้า ด้วยแนวคิด M/M Concept และ “ความสนุกในการขับขี่” ฮอนด้ายังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์เจเนอเรชันใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในกิจกรรมครั้งนี้ ฮอนด้าได้เผยโฉมเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อสะท้อนแนวคิดและคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า

     

    ภาพรวมของแพลตฟอร์มขนาดกลางเจเนอเรชันใหม่

    ฮอนด้าเดินหน้าพัฒนาสมรรถนะของระบบไฮบริด และแพลตฟอร์มไฮบริด ให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น โดยมีแผนเริ่มนำมาใช้ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดตั้งแต่ปี ค.ศ. 2027 เป็นต้นไป

     

    แพลตฟอร์มเจเนอเรชันใหม่นี้ ได้รับการพัฒนาโดยผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยหลากหลายด้าน เพื่อให้ได้ทั้งโครงสร้างตัวถังที่มีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาในระดับสูง รวมถึงแนวคิดการออกแบบที่แบ่งระบบหรือผลิตภัณฑ์ออกเป็นโมดูล ที่ช่วยเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันได้ในหลายรุ่นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ฮอนด้าสามารถยกระดับ “ความสนุกในการขับขี่” อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจสไตล์สปอร์ตและสนุกสนานยิ่งกว่าเดิม

    แพลตฟอร์มขนาดกลางเจเนอเรชันใหม่

     

    • เพื่อกำหนดมาตรฐานใหม่ด้านเสถียรภาพในการขับขี่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อสมรรถนะของตัวรถ ฮอนด้าได้พัฒนาแนวทางใหม่ในการจัดการความแข็งแรงของตัวถัง เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ โดยการปรับสมดุลความแข็งแกร่งของตัวถังให้เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้น้ำหนักโดยรวมของตัวรถลดลง พร้อมทั้งสร้างลักษณะการทรงตัวของรถให้มีความยืดหยุ่นขณะเข้าโค้ง ซึ่งจะสามารถควบคุมแรงกดบนยางแต่ละเส้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ผลลัพธ์ คือ รถยนต์ EV รุ่นใหม่จะมอบเสถียรภาพในการขับขี่ที่เหนือความคาดหมาย พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สปอร์ตและสนุกเร้าใจยิ่งขึ้น

     

    ฮอนด้ามีแผนนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับแพลตฟอร์มรถไฟฟ้าในอนาคตอีกด้วย

    ภาพประกอบแนวทางในการจัดการความแข็งแรงของตัวถัง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่

     

    น้ำหนักแพลตฟอร์มของรถไฮบริด จะลดลงถึง 90 กิโลกรัม (198 ปอนด์) เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มรุ่นปัจจุบัน โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างตัวถังและนำวิธีการออกแบบทางวิศวกรรมรูปแบบใหม่มาใช้ ด้วยแพลตฟอร์มรุ่นใหม่นี้ ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนารถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ที่มอบทั้งความสนุกในการขับขี่และประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมไปพร้อมกัน

     

    แนวคิดการออกแบบที่แบ่งระบบหรือผลิตภัณฑ์ออกเป็นโมดูล จะถูกนำมาใช้เพื่อให้ชิ้นส่วนสามารถใช้ร่วมกันได้หลายรุ่น โดยแยกชิ้นส่วนเป็นโมดูลที่ใช้ร่วมกันได้ เช่น ห้องเครื่องยนต์และโครงสร้างใต้ท้องรถส่วนหลัง และโมดูลเฉพาะส่วน เช่น ห้องโดยสารด้านหลัง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนารถรุ่นใหม่ ฮอนด้าตั้งเป้าให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ สามารถใช้ร่วมกันได้มากกว่า 60% ในทุกรุ่นที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรถยนต์และความหลากหลายของรุ่นรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ ช่วยยกระดับประสิทธิภาพทั้งในด้านการพัฒนาและการผลิตให้เพิ่มขึ้น

     

    จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ฮอนด้าได้นำเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ผู้ขับควบคุมรถได้ตามต้องการมาใช้ เช่น ระบบ Motion Management ที่ต่อยอดองค์ความรู้และต้นแบบด้านการควบคุมท่าทาง การพัฒนาหุ่นยนต์เทคโนโลยีต้นแบบ นอกจากนี้ ยังเพิ่มเทคโนโลยี Pitch Control*2 เข้าไปในระบบ Agile Handling Assist ซึ่งเป็นระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้รถมีพฤติกรรมการเข้าโค้งที่ราบรื่น ซึ่งได้ถูกติดตั้งแล้วใน Accord และ Prelude เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างแม่นยำในทุกสถานการณ์ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสภาพถนน ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะยกระดับ “ความสนุกในการขับขี่” ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

     

    ภาพรวมของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่สำหรับไฮบริดเจเนอเรชันใหม่

    จากความต้องการของตลาด ส่งผลให้รถยนต์ไฮบริดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ฮอนด้าจึงได้วางทิศทางของรถยนต์ไฮบริด โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด (HEV) เจเนอเรชันใหม่ที่จะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป ให้เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่จะมีบทบาทสำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่รถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยมอย่างสูงสุด

     

    โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดหลักของรถยนต์ไฮบริด ซึ่งมีความต้องการรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว ฮอนด้ากำลังทำการพัฒนาระบบไฮบริดรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ทรงพลังและความสามารถในการลากจูงสูง (High Towing Capability) ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้เหมาะสมกับรถยนต์ขนาดใหญ่ในกลุ่ม D-segment ขึ้นไป โดยมีแผนเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020

     

    ในกิจกรรมนี้ ฮอนด้าได้เผยเทคโนโลยีหลักของระบบไฮบริดขนาดใหญ่เจเนอเรชันใหม่ ซึ่งประกอบด้วย เครื่องยนต์ V6 ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด รวมถึง ชุดขับเคลื่อน และชุดแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายทั้งด้านประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมและต้นทุนต่ำ

     

    ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนาอัตราการประหยัดน้ำมันของรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่เจเนอเรชันใหม่ให้ดีขึ้นมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปที่จำหน่ายอยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ฮอนด้าจะผสานเครื่องยนต์ V6 รุ่นใหม่ ที่พัฒนาในเรื่องความประหยัดน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น เข้ากับชุดขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูงเจเนอเรชันใหม่ พร้อมทั้งนำระบบควบคุมพลังงานอัจฉริยะรุ่นใหม่มาใช้ เพื่อปรับโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น

     

    เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทรงพลังให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่ ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะ ปรับปรุงสมรรถนะด้านอัตราเร่งและการเร่งความเร็วเมื่อเหยียบคันเร่งแบบเต็มกำลังให้ดีขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปที่จำหน่ายอยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และชุดขับเคลื่อนแต่ละส่วน รวมถึงการใช้พลังงานเสริมจากแบตเตอรี่อีกด้วย

    แพลตฟอร์มขนาดใหญ่สำหรับไฮบริดเจเนอเรชันใหม่

     

    ภาพรวมของเทคโนโลยีไดนามิก สำหรับรถยนต์ Compact EV ต้นแบบ Super-ONE

    รถยนต์รุ่นผลิตจริงที่พัฒนาขึ้นจากรถต้นแบบ Super-ONE เผยโฉมเป็นครั้งแรกในโลก ณ งาน Japan Mobility Show 2025 มีกำหนดเริ่มวางจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2026 เป็นประเทศแรก
    ตามมาด้วยสหราชอาณาจักรและประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ที่มีความต้องการรถ Compact EV สูง ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด “e: Dash BOOSTER” โดยสร้างสรรค์ให้เป็นรถไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการเดินทางในชีวิตประจำวัน ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน น่าตื่นเต้น มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความสุขภายในห้องโดยสารและการขับขี่

    Super-ONE Prototype

     

    แพลตฟอร์มน้ำหนักเบาที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรถในกลุ่ม Honda N Series โดยมีการขยายความกว้างของตัวรถด้วยการใช้พื้นฐานโครงสร้างแชสซีส์ที่มีการขยายระยะห่างระหว่างล้อและซุ้มล้อมาใช้ นอกจากนี้ ยังรวมตำแหน่งของชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมากให้อยู่ในจุดเดียว และลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง ด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่แบบบาง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหลักของรถ EV ไว้ที่ศูนย์กลางใต้ท้องรถ
    ด้วยวิธีการนี้ รถต้นแบบ Super-ONE จึงมีน้ำหนักเบาที่สุดรุ่นหนึ่งในกลุ่มรถยนต์ EV ในระดับ
    A-segment และมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปขนาด Compact ทั่วไป ซึ่งจากจุดต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้รถต้นแบบ Super-ONE มีการตอบสนองต่อการควบคุมของผู้ขับได้อย่างฉับไว และมอบการควบคุมที่สมดุลและมั่นคงแม้ในขณะเข้าโค้ง โดยให้สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ และมั่นใจตลอดการขับขี่

     

    รถรุ่นผลิตจริงที่พัฒนาขึ้นจากรถต้นแบบ Super-ONE จะมาพร้อมกับฟังก์ชัน “Boost Mode” ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้เครื่องยนต์สามารถมอบสมรรถนะได้อย่างเต็มกำลัง พร้อมผสานการทำงานกับระบบจำลองเกียร์ 7 สปีด และระบบ Active Sound Control เพื่อสร้างเสียงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและให้ความรู้สึกการเปลี่ยนเกียร์ที่เฉียบคม เสมือนกำลังขับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่มีระบบเกียร์หลายจังหวะแบบดั้งเดิม

     

    ระบบจำลองเกียร์ 7 สปีด จะมีการคำนวณความเร็วรอบเครื่องยนต์จำลองและตำแหน่งเกียร์แบบเรียลไทม์ โดยอิงจากการควบคุมของผู้ขับ เช่น การเหยียบคันเร่ง สภาพการขับขี่ ความเร็วของรถ รวมถึงพฤติกรรมของรถขณะเข้าโค้ง ด้วยการควบคุมกำลังการขับขี่และการตอบสนองอย่างเหมาะสม ผู้ขับจึงสามารถเพลิดเพลินกับการขับขี่ พร้อมกับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ นอกจากนี้ ระบบเกียร์จำลอง 7 สปีด ยังจำลองแรงกระชากจากการ คิกดาวน์ ขณะเร่งความเร็ว และจำลองพฤติกรรมของรถขณะเกิด “fuel cut” ซึ่งเป็นการตัดการจ่ายเชื้อเพลิงชั่วคราวเพื่อปกป้องเครื่องยนต์และควบคุมรอบเครื่องให้เหมาะสม
    ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ฮอนด้าจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์และเอกลักษณ์การขับขี่ที่มุ่งมั่นพัฒนามาตลอดหลายปีในยุครถสันดาป เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ

     

    ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อ Super-ONE โดยเฉพาะ ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะมอบ ความสนุกในการขับขี่ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Super-ONE ซึ่งผสมผสานความรู้สึกระหว่างการเร่งความเร็วที่นุ่มนวลอย่างต่อเนื่องของรถ EV เข้ากับประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจของรถสันดาปได้อย่างลงตัว

     

    *1 แนวคิด “man maximum, machine minimum (M/M)” เป็นแนวทางพื้นฐานในการออกแบบรถยนต์ของฮอนด้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ภายในรถ โดยการขยายพื้นที่สำหรับผู้โดยสาร และลดพื้นที่สำหรับชิ้นส่วนกลไกให้เหลือน้อยที่สุด

    *2 เทคโนโลยีควบคุมแรงหน่วงให้สอดคล้องกับการหมุนพวงมาลัย เพื่อเพิ่มแรงกดที่ยางล้อหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะของล้อหน้า

    *3 รถรุ่นผลิตจริง จะเปิดตัวภายใต้ชื่อที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค โดยในประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย จะใช้ชื่อว่า ‘Super-ONE’ ขณะที่บางประเทศในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย จะใช้ชื่อว่า ‘Honda Super-ONE’ และในสหราชอาณาจักรจะเปิดตัวภายใต้ชื่อ ‘Super-N’


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ดันนักบิดดาวรุ่งไทยแสดงศักยภาพ คว้าท็อป 5 เอเชีย ศึก อิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 ฉายแววพัฒนาต่อยอดสู่ระดับโลก

    1 Min Read

    “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ดันนักบิดดาวรุ่งไทยแสดงศักยภาพ คว้าท็อป 5 เอเชีย ศึก อิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 ฉายแววพัฒนาต่อยอดสู่ระดับโลก

    การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ (Idemitsu Asia Talent Cup) คือรายการแข่งขันที่จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหานักแข่งดาวรุ่งจากเอเชียและโอเชียเนีย โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างเส้นทางสู่โมโตจีพีสำหรับเยาวชนที่มีพรสวรรค์ เช่นเดียวกับ –“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา

    ความท้าทายสำคัญของนักบิดที่ลงทำการแข่งขันในรายการนี้คือการใช้รถแข่ง Honda NSF250R แบบ One Make เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบกันในเรื่องของตัวรถ ทุกคนแข่งขันกันด้วยมาตรฐานที่เท่าเทียม นั่นหมายความว่าทุกความสำเร็จและทุกคะแนนจากการแข่งขันจะมาจากทักษะของนักแข่งเอง

     

    อีกทั้งสนามที่ใช้ทำการแข่งขันก็เป็นสนามที่มีมาตรฐานระดับโลกและใช้ในการจัดการแข่งขันโมโตจีพี โดยในปี 2025 รายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ทำหน้าที่เป็นเรซซัพพอร์ตของศึกโมโตจีพี สำหรับในฤดูกาล 2025 มีนักแข่งเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 27 คน โดย “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ส่ง “อุ้ม” นพรุธพงษ์ บุญประเวศ กับ “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง เข้าร่วมการแข่งขันในฐานะนักแข่งหลัก และผลักดัน “เฟอร์” ปัญจรุจน์ จิตวิรุฬห์ฉัตร เข้าร่วมการแข่งขันในฐานะนักแข่งไวลด์การ์ด

    โดยนักบิดไทยทั้ง 3 คน สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเริ่มจาก “อุ้ม-นพรุธพงษ์” หมายเลข 20 ที่ลงทำการแข่งขันแบบเต็มฤดูกาลเป็นครั้งแรก สามารถเริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคว้าโพเดียมอันดับ 3 มาครองได้ในเรซแรกของฤดูกาลที่จังหวัดบุรีรัมย์

    จากนั้น “อุ้ม-นพรุธพงษ์” ก็สามารถทำผลงานได้ดีต่อเนื่องในสนามที่ 2 ประเทศกาตาร์ เมื่อจบอันดับที่ 7 และ 4 ได้คะแนนสะสมเพิ่มอีก 22 คะแนน และสนามที่ 3 ประเทศมาเลเซีย นักบิดดาวรุ่งไทยก็โชว์ผลงานแซงดุเดือดจนคว้าอันดับที่ 4 และ 8 มาได้ พร้อมเก็บคะแนนสนามนี้ไปกว่า 21 คะแนน

     

    สนามที่ 4 ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นสนามที่ “อุ้ม-นพรุธพงษ์” ได้แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของจิตใจหลังจากที่ไม่จบการแข่งขันในเรซแรกแต่เรซที่ 2 นักบิดดาวรุ่งไทยสามารถจบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 9 เก็บคะแนนสะสมเพิ่มมาอีก 7 คะแนน

     

    สองสนามสุดท้าย “อุ้ม-นพรุธพงษ์” ยังคงทำผลงานได้อย่างน่าชื่นชมเมื่อสามารถจบอันดับที่ 6 และ 4 ที่ประเทศอินโดนีเซีย เก็บคะแนนสะสมได้ 23 คะแนน ก่อนจะส่งท้ายฤดูกาลด้วยการจบอันดับที่ 5 และ 9 ในสนามสุดท้ายที่ประเทศมาเลเซีย เก็บคะแนนสะสมได้ 18 คะแนน

     

    “อุ้ม-นพรุธพงษ์” มีคะแนนสะสมรวม 120 คะแนน คว้าอันดับที่ 5 ของรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 มาครองได้อย่างน่าประทับใจเพียงแค่ฤดูกาลแรกที่ลงทำการแข่งขัน

    ด้าน “ออสติน-ธนฉรรต” หมายเลข 5 ลงแข่งขันแบบเต็มฤดูกาลเป็นครั้งที่ 2 ก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน สนามแรกที่บุรีรัมย์ คว้าอันดับที่ 9 และ 6 เก็บคะแนนสะสมได้ 17 คะแนน จากนั้นแม้จะต้องพบกับสถานการณ์ไม่เป็นใจในสนามที่ 2 ประเทศกาตาร์ แต่นักแข่งดาวรุ่งไทยก็มุ่งมั่น และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจนกลับมาได้ในสนามถัดมาที่มาเลเซีย โดยจบอันดับที่ 12 และ 9 เก็บคะแนนสะสมได้ 11 คะแนน

    สนามที่ 4 ประเทศญี่ปุ่น “ออสติน-ธนฉรรต” ต้องพบกับสนามที่มีความท้าทายและการแข่งขันที่เข้มข้น แต่นักบิดดาวรุ่งไทยก็จบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 13 และ 10 เก็บคะแนนสะสมได้ 9 คะแนน จากนั้นตามต่อด้วยสนามที่ 5 ประเทศอินโดนีเซีย “ออสติน-ธนฉรรต” แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเมื่อสามารถไล่แซงจนจบอันดับที่ 8 และ 9 เก็บคะแนนสะสมไปกว่า 15 คะแนน

     

    สนามสุดท้ายนักแข่งดาวรุ่งไทยต้องพบกับความร้อน และการจัดการยางอันเป็นอุปสรรคสำคัญ แต่ด้วยเป้าหมายการคว้าท็อป 10 ทำให้ “ออสติน-ธนฉรรต” สู้ไม่มีถอยจนสามารถแก้ไขสถานการณ์ไล่แซงจนกลับมาจบอันดับที่ 14 และ 10 ได้ เก็บคะแนนสะสมเพิ่มไป 8 คะแนน “ออสติน-ธนฉรรต” มีคะแนนสะสมรวม 60 คะแนน คว้าอันดับที่ 11 ของรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025

    ขณะที่ “เฟอร์-ปัญจรุจน์” หมายเลข 24 นักแข่งไวลด์การ์ดก็ทำผลงานได้ดีสามารถเรียนรู้และพัฒนาขึ้นมาได้หลังจากที่ต้องพบความผิดหวังในสนามแรกเมื่อไม่สามารถนำรถเข้าเส้นชัยรับธงตราหมากรุกได้ทั้งสองเรซ แต่สนามที่ 2 ประเทศกาตาร์ “เฟอร์-ปัญจรุจน์” บู๊ดุดันจนจบการแข่งขันด้วยอันดับ 8 และ 12 เก็บคะแนนไปได้ 12 คะแนน

    จากนั้น “เฟอร์-ปัญจรุจน์” ก็ทำผลงานได้ดีจนเป็นที่จับตามองโดยสนามที่ 3 ประเทศมาเลเซีย นักบิดดาวรุ่งไทยทำผลงานรอบคัดเลือกได้อย่างยอดเยี่ยมก่อนจะจบการแข่งขันด้วยอันดับ 10 และ 6 เก็บไปได้อีก 16 คะแนน

     

    สนามต่อมาที่ประเทศญี่ปุ่น “เฟอร์-ปัญจรุจน์” ต่อสู้อย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะในเรซ 2 ที่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเก็บคะแนนสะสมได้ท่ามกลางการแข่งขันสุดเข้มข้น โดยนักแข่งดาวรุ่งไทยจบการแข่งขันด้วยอันดับ 8 และ 15 เก็บคะแนนสะสมเพิ่มไป 9 คะแนน

    สนามที่ 5 ประเทศอินโดนีเซีย เป็นสนามรองสุดท้ายของรายการแต่เป็นสนามสุดท้ายของ “เฟอร์-ปัญจรุจน์”  โดยนักบิดดาวรุ่งไทยแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการจากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้อย่างยอดเยี่ยม แม้ต้องพบกับสถานการณ์ที่ท้าทายแต่ “เฟอร์-ปัญจรุจน์” ก็สามารถจบการแข่งขันด้วยอันดับ 16 และ 14 เก็บคะแนนสะสมส่งท้ายได้ 2 คะแนน “เฟอร์-ปัญจรุจน์” มีคะแนนสะสมรวม 39 คะแนน คว้าอันดับที่ 13 ของรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 นับเป็นผลงานที่ได้รับการจับตามองอย่างมากสำหรับนักแข่งไวลด์การ์ดชาวไทย

     

    การแข่งขันรายการอิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2025 ได้ปิดฉากฤดูกาลลงไปเป็นที่เรียบร้อย นักแข่งดาวรุ่งไทยภายใต้การสนับสนุนของ “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่น แม้ต้องเจอการแข่งขันที่เข้มข้น แต่ทุกคนก็พิสูจน์ฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยม

     

    แฟนมอเตอร์สปอร์ตส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ : https://facebook.com/HondaRacingTeamTH

     

    #ThaiHonda #HondaRacingThailand #RaceToTheDream #RoadToMotoGP #Motorsport #AsiaTalentCup #IATC #Austin5 #Aum20 #Fer24


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment
  • ปอร์เช่เปิดตัว มาคันน์ จีทีเอส รุ่นพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ส่งความทรงพลังและเร้าใจเต็มพิกัด

    1 Min Read

    ปอร์เช่เปิดตัว มาคันน์ จีทีเอส รุ่นพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ส่งความทรงพลังและเร้าใจเต็มพิกัด

    ปอร์เช่ต่อยอดความสำเร็จในกลุ่มรถยนต์ SUV พลังงานไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัว มาคันน์ จีทีเอส (Macan GTS) รุ่นใหม่ ที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตและมอบประสบการณ์การขับขี่อันเร้าใจ มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 420 กิโลวัตต์ (571 แรงม้า) ในโหมดโอเวอร์บูส พร้อมระบบล็อกเฟืองท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า และช่วงล่างถุงลมสปอร์ตที่สามารถปรับระดับความสูง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและการทรงตัวอย่างเหนือระดับ มาคันน์ จีทีเอส ตั้งมาตรฐานใหม่แห่งความคล่องตัวและสมรรถนะการขับขี่ ถ่ายทอดเอกลักษณ์แห่งความสปอร์ตในแบบฉบับจีทีเอสอย่างแท้จริง โดยรุ่นนี้ถือเป็น รุ่นย่อยที่ 5 ของตระกูลมาคันน์ไฟฟ้า โดดเด่นด้วยดีไซน์เฉพาะตัวและการตกแต่งภายนอกด้วยสีดำ สะท้อนถึงพลัง ความหรูหรา และบุคลิกเฉพาะตัวในแบบปอร์เช่

    สตุ๊ทการ์ท. จีทีเอส (GTS) สามตัวอักษรที่ครองใจสาวกปอร์เช่มาตั้งแต่การเปิดตัว 904 คาร์เรร่า จีทีเอส (Carrera GTS) ในปี 1963 โดยครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ชื่อ จีทีเอส จะปรากฏบนมาคันน์ รุ่นพลังงานไฟฟ้า โดย มาคันน์ จีทีเอส ใหม่ สามารถถ่ายทอดสมรรถนะการขับขี่และอัตราเร่งที่เหนือระดับ โดยทำความเร็วจาก 0–100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.8 วินาที ทำความเร็วถึง 200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 13.3 วินาที และมีความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.

    เช่นเดียวกับรุ่น มาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo) มาคันน์ จีทีเอส จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพลาหลังซึ่งทรงพลังที่สุดในตระกูลมาคันน์ โดยชุดขับเคลื่อนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 230 มิลลิเมตร และความยาวแกนมอเตอร์ 210 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับอินเวอร์เตอร์พัลส์แบบซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) ที่มีกระแสไฟฟ้าสูงสุดถึง 900 แอมป์ และมอเตอร์ไฟฟ้าใน มาคันน์ จีทีเอส สามารถสร้างพละกำลังได้สูงสุด 380 กิโลวัตต์ (516 แรงม้า) และเพิ่มขึ้นเป็น 420 กิโลวัตต์ (571 แรงม้า) เมื่อใช้งานในโหมด Launch Control เพื่อเรียกใช้กำลังสูงสุด ส่งแรงบิดสูงสุด 955 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังที่มาพร้อมอัตราทด 9.0:1 ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อรองรับแรงบิดมหาศาลของรถสมรรถนะสูงรุ่นนี้

    มาคันน์ จีทีเอส สามารถขับขี่สูงสุดตามมาตรฐาน WLTP ได้ไกลถึง 586 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง และเมื่อชาร์จเร็วแบบ DC แบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) สามารถชาร์จจาก 10 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ได้ภายในเวลา 21 นาที โดยมีความสามารถในการชาร์จสูงสุดถึง 270 กิโลวัตต์ (kW)

    แพ็คเกจ Sport Chrono ได้ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน มาคันน์ จีทีเอส และมีการพัฒนาเพิ่มเติมด้วยโหมดแทรค แบบเดียวกันกับบนไทคานน์ เพื่อรองรับการขับขี่ด้วยสมรรถนะสูงสุด ในโหมดนี้จะมีการปรับเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนของแบตเตอรี่ เพื่อลดการสูญเสียกำลังจากความร้อนสะสม (Derating Effect) ซึ่งทำให้สามารถคงประสิทธิภาพการขับขี่ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น

    ช่วงล่างถุงลมแบบสปอร์ต ปรับแต่งพิเศษสำหรับรุ่น จีทีเอส

    สำหรับ มาคันน์ จีทีเอส ใหม่ ได้ถ่ายทอดสมรรถนะในรูปแบบของรถสปอร์ต ด้วยการผสมผสานและการกระจายน้ำหนักไปล้อหลัง (Rear-biased weight distribution) จุดศูนย์ถ่วงต่ำ และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ พร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Porsche Traction Management (ePTM) แบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว และระบบ Porsche Torque Vectoring Plus (PTV Plus) ซึ่งติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนและความคล่องตัวในการเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ระบบล็อกเฟืองท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า (Electronically Controlled Differential Lock) ช่วยเสริมแรงยึดเกาะและความรวดเร็วในการขับขี่ โดยติดตั้งอยู่ด้านหลังมอเตอร์เพลาหลัง เพื่อการกระจายน้ำหนักแบบ 48:52 ที่เน้นไปทางด้านหลัง

    มาคันน์ จีทีเอส มาพร้อมกับจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำที่สุดในรุ่นมาคันน์ โดยวิศวกรของปอร์เช่ได้พัฒนาช่วงล่าง
    ถุงลมสปอร์ตให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมระบบควบคุมระดับช่วงล่าง และระบบควบคุมการทำงานของช่วงล่างแบบ Porsche Active Suspension Management (PASM) โดยมาคันน์ จีทีเอส มีความสูงจากพื้นลดลง 10 มิลลิเมตร พร้อมโช้คอัพและเหล็กกันโคลงที่ได้รับการปรับตั้งค่าเฉพาะรุ่น เพื่อความคล่องตัวและความแม่นยำในการเข้าโค้ง และสามารถเพิ่มสมรรถนะด้วยระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง ที่มีให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

    บุคลิกสปอร์ตอันโดดเด่นของ มาคันน์ จีทีเอส ได้สะท้อนผ่านเสียงจำลองอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยระบบ Porsche Electric Sport Sound (PESS) พร้อมกับเสียงเฉพาะสำหรับรุ่นจีทีเอส 2 รูปแบบ โดยแต่ละเสียงจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งในโหมด Sport และ Sport Plus เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ

    การตกแต่งภายนอก: การตกแต่งด้วยโทนสีดำและสเกิร์ตข้างดีไซน์พิเศษ

    การตกแต่งของ มาคันน์ จีทีเอส ใหม่ มาพร้อมการออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยชิ้นส่วนตกแต่งภายนอกด้วยสีดำรอบคัน ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่ ในรุ่นจีทีเอส โดยเฉพาะไฟหน้า Matrix LED แบบรมดำ และเส้นขอบด้านนอกของช่องลมด้านหน้า

    ตั้งแต่ต้นปี 2026 เป็นต้นไป ปอร์เช่ เตรียมเปิดตัวชุดตกแต่ง Sport Design ใหม่สำหรับมาคันน์ โดยมาพร้อมกันชนหน้าและกันชนหลังในรูปแบบใหม่ โดย มาคันน์ จีทีเอส จะเป็นรุ่นแรกที่มีการใช้ชุดตกแต่งใหม่นี้ ซึ่งไม่เพียงติดตั้งมาเป็นมาตรฐานเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมการออกแบบเฉพาะตัวในแบบฉบับของจีทีเอส การตกแต่งภายนอกในส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนตกแต่ง, แผงตกแต่งด้านข้างตัวรถ, ขอบซุ้มล้อ และ ขอบสปอยเลอร์หลังแบบปรับได้ ล้วนได้รับตกแต่งในโทนสีดำอย่างมีเอกลักษณ์

    สเกิร์ตข้างดีไซน์ใหม่ที่ขยายกว้างขึ้นในส่วนท้าย ช่วยเพิ่มความสปอร์ตและทรงพลัง โดยด้านล่างของกันชนท้ายยังได้รับการออกแบบใหม่อย่างโดดเด่นด้วยชิ้นส่วนตกแต่งสีดำและแผงดิฟฟิวเซอร์ โดยมีไฟท้ายรมดำที่ออกแบบให้เข้ากับไฟหน้าได้อย่างลงตัว พร้อมล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ลาย Macan Design สี Anthracite Grey เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังสามารถเลือกอัปเกรดเป็นล้อขนาด 22 นิ้ว ลาย RS Spyder Design สีเดียวกันได้อีกด้วย

    การเปิดตัว มาคันน์ จีทีเอส ใหม่ มาพร้อมตัวเลือกสีตัวถังทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สี Crayon ยอดนิยมที่กลับมาอีกครั้ง สี Carmine Red ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่นจีทีเอส และเป็นครั้งแรกสำหรับมาคันน์กับสี Lugano Blue นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกอีกกว่า 15 เฉดสีผ่าน Porsche Car Configurator พร้อมทางเลือกเพิ่มเติมจาก Porsche Exclusive Manufaktur ที่มีเฉดสีพิเศษกว่า 60 เฉด ผ่านแพ็คแกจ Paint to Sample

    การตกแต่งภายใน: เลือกการตัดเย็บในสีที่เข้ากับตัวรถ

    เพื่อถ่ายทอดความสปอร์ตจากภายนอกสู่ภายใน มาคันน์ จีทีเอส จะมาพร้อมห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยวัสดุ Race-Tex ผสานกับหนังเรียบสีดำ โดยวัสดุ Race-Tex จะนำมาใช้บนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ GT Sports ที่มาพร้อมระบบทำความร้อน ที่วางแขนบริเวณคอนโซลกลางและแผงประตู รวมถึงแดชบอร์ด นอกจากนี้ เบาะนั่งสปอร์ตแบบปรับได้ 18 ทิศทางยังมาพร้อมเบาะที่หุ้มด้วยวัสดุ Race-Tex ส่วนด้านข้างของเบาะและพนักพิงศีรษะที่ตกแต่งด้วยหนังเรียบ

    เป็นครั้งแรกในมาคันน์ ไฟฟ้า ที่มาพร้อมกับแพ็คเกจตกแต่งภายในแบบ GTS Interior Package ซึ่งสามารถเลือกการตกแต่งภายในให้เข้ากับสีภายนอกของตัวรถได้ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 เฉดสี ได้แก่ สี Carmine Red, สี Slate Grey Neo และ สี Lugano Blue โดยจะมีการตกแต่งด้วยตะเข็บด้ายสีตัดกันทั้งบนเบาะนั่ง พวงมาลัย แผงประตู ด้านบนของแผงหน้าปัด รวมถึงเข็มขัดนิรภัย และอักษร ‘GTS’ บนพนักพิงเบาะ และบนพวงมาลัยยังมีการตกแต่งด้วย ตราสัญลักษณ์ ‘GTS’ สีเดียวกับภายนอก รวมถึงในแพ็คเกจยังมี Carbon Interior Package ด้วยการตกแต่งคาร์บอนไฟเบอร์บนพวงมาลัย แผงหน้าปัด และแผงประตูอีกด้วย

    เอกลักษณ์ของจีทีเอส ได้ถ่ายทอดสู่ห้องโดยสารดิจิทัลของมาคันน์ จีทีเอส โดยภาพจำลองตัวรถแบบ 3 มิติ บนหน้าจอแสดงผลกลาง จะเป็นสีเดียวกับสีตัวถัง พร้อมกับชุดมาตรวัดที่มีการตกแต่งด้วยอักษร ‘GTS’ นอกจากนี้ ฟังก์ชันต่าง ๆ ของแพ็คเกจ Sport Chrono ได้ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ระบบจับเวลาต่อรอบ การบันทึกข้อมูลเทเลเมทรี และการวิเคราะห์ช่วงเวลาในแต่ละเซกเตอร์ โดยสามารถใช้งานผ่านแอปพลิเคชันบนหน้าจอแสดงผลกลาง

    ระบบช่วยขับขี่ ความสะดวกสบาย และความบันเทิงรูปแบบใหม่

    มาคันน์ จีทีเอส มาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดที่ได้รับการอัปเดตเช่นเดียวกับรุ่นย่อยอื่น ๆ ในตระกูลมาคันน์ โดยมีการพัฒนาเพิ่มเติมในด้านระบบช่วยขับและฟังก์ชันดิจิทัล ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะรุ่นใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม และความสามารถในการลากจูงสูงสุดเพิ่มเป็น 2,500 กิโลกรัม

    มาคันน์ จีทีเอส เปิดรับจองแล้วที่ตัวแทนจำหน่ายของปอร์เช่อย่างเป็นทางการ ในราคาเริ่มต้น 7,290,000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ทางการของปอร์เช่ ประเทศไทย                                                                                                                                          


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine

    No Comment
  • เดิมพัน “บัลลังก์แชมป์” ประเทศไทย! NEXZTER BRIC Superbike 2025 ชิงดำสนาม 4 ดวล 2 เรซตัดสิน

    1 Min Read

    เดิมพัน “บัลลังก์แชมป์” ประเทศไทย! NEXZTER BRIC Superbike 2025 ชิงดำสนาม 4 ดวล 2 เรซตัดสิน

    ศึกสองล้อเบอร์หนึ่งของไทย “เน็กซ์เตอร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์” เตรียมปิดฉากฤดูกาล 2025 ด้วยสนามตัดสินแชมป์ประจำปี ระหว่างวันที่ 21-23 พ.ย.ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยจะมีการดวลความเร็วถึง 2 เรซ เพื่อชี้ชะตาว่าใครคือ เจ้าของบัลลังก์เจ้าความเร็วประเทศไทยตัวจริง ในทุกรุ่น! พร้อมเปิดตัวครั้งแรกกับการแข่งขันเอ็นดูร้านซ์ สุดท้าทายในรุ่น ซูเปอร์สต็อก 1000 ซีซี 120 นาที บททดสอบความอึดของทีมแข่งไทย!

    การแข่งขันรายการ NEXZTER BRIC Superbike Championship ถือเป็นเวทีสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ตสองล้อไทย ด้วยมาตรฐานการจัดการระดับโลก ทั้งในด้านสนาม ทีมแข่ง มีนักบิดชาวไทย-ต่างชาติ ร่วมรายการมากมาย ทำให้การลุ้นแชมป์ประจำปีนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หลังผ่าน 3 สนามที่ผ่านมา สถานการณ์คะแนนสะสมในรุ่นสำคัญมีความเบียดกันอย่างหนัก โดยเฉพาะใน 2 เรซสุดท้ายของปี ที่ทุกแต้มจะมีความหมายต่อการตัดสินบัลลังก์แชมป์ประเทศไทยตัวจริง

     

    สถานการณ์คะแนนสะสม: การช่วงชิงตำแหน่งจ่าฝูงที่ดุเดือด

    สำหรับ “คะแนนสะสม” รุ่นซูเปอร์ไบค์ 1000 ซีซี (SB1 Pro) รุ่นใหญ่ที่สุดของไทยยังคงเป็น “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ เจ้าของดีกรีแชมป์เอเชียจาก อีสต์ เอ็นเจที เรซซิ่ง ทีม นำเป็นจ่าฝูง มี 70 คะแนน

     

    ตามด้วย 2 นักบิดที่มีคะแนนเท่ากันที่ 49 คะแนน ได้แก่ “บอล” จักรกฤษณ์ แสวงสวาท จาก ไบค์สตอรี พีทีที ลูบริแคนท์ส ยามาฮ่า เรซซิ่ง ทีม และ “มิกซ์” ธนัช ละอองปลิว นักบิดดาวรุ่งสายเลือดใหม่ อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม คริสมาส กลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญ

    อย่างไรก็ตาม การลุ้นแชมป์ต้องไร้เงา “ซุป” อนุชา นาคเจริญศรี นักบิดจอมเก๋า ที่แม้จะทำคะแนนสะสมมาอย่างดี แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บระหว่างแข่งขันสนามที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถลงแข่งขันในสนามที่ 4 นี้ได้ และยังคงอยู่ในช่วงพักรักษาตัว

    ด้าน “เบนซ์ เรซซิ่ง” อริย์ธัช วรโรจน์เจริญเดช นักบิดคนดังจาก เรปโซล อาร์-ซีรีส์ ทีม ในรุ่นซูเปอร์ไบค์ 1000 ซีซี (SB2) ยังคงรักษาฟอร์มร้อนแรง รั้งอันดับ 2 บนตารางคะแนนสะสมที่ 61 แต้ม คะแนนไล่จี้ผู้นำ เพียง 4 แต้มเท่านั้น  ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่เปิดกว้างอย่างยิ่งสำหรับการช่วงชิงตำแหน่งแชมป์ประจำปีใน 2 เรซตัดสินนี้

     

    ส่วนรุ่นซูเปอร์สต็อก 1000 ซีซี (ST1)  “นทีธาร ทองโคตร” จากทีม ยามาฮ่า ทีเอ็นพี พีทีที ลูบริแคนท์ส ทำผลงานยอดเยี่ยมคว้าแชมป์ 3 สนามติดต่อกัน  รั้งตำแหน่งผู้นำด้วยคะแนนสะสม 75 คะแนนเต็ม โชว์ผลงานโดดเด่นต่อเนื่องตลอดฤดูกาล ตามมาด้วยอันดับ 2 คือ ตะวัน ตั้งจิตรเจริญกุล จาก ทีเค ฮอนด้า อิเดมิตสึ สิทธิผล ดิเรก ทีมด้วยคะแนน 53 คะแนน และอันดับ 3 คือ อภิเดช บุญศรี จาก จาก ฮานูยา เรซซิ่ง ทีม เพิ่มสินทรานสปอร์ต พรเจริญก่อสร้าง ด้วยคะแนน 45 คะแนน

     

    รุ่นซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี (SS1Pro) ต่อศักดิ์ นวลสาย จาก ยามาฮ่า ทีเอ็นพี พีทีที ลูบริแคนท์ส นำเป็นจ่าฝูงด้วยคะแนนสะสม 61 คะแนน ตามมาด้วย “ไฮเปค” กฤษฎา ธนโชติ ดาวรุ่งจาก อีสต์ เอ็นเจที พีทีที ลูบริแคนท์ส เรซซิ่ง ทีม มี 50 คะแนน อันดับ 3 คือ “จิมมี่” บูรพา วันมูล ดาวรุ่งจาก อาซูจิโร่ อู่ช่างต่อลพบุรี ลิควิโมลี  ด้วยคะแนน 46 คะแนน ขณะที่ “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม คริสมาส อยู่ที่อันดับ 4 มี 36 คะแนน

     

    รุ่นซูเปอร์สปอร์ต 250 ซีซี (SS1Pro) พีระพงษ์ หลุยบุญเป็ง นักบิดจอมเก๋าจาก สปีด800 นำเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนนสะสม 61 คะแนน โดยมี วัชรินทร์ ทับทิมอ่อน จากอีสต์ เอ็นเจที พีทีที ลูบริแคนท์ส เรซซิ่ง  มี 40 คะแนน และ “เอิร์ธ” ธุรกิจ บัวผา จาก ไฮสปีด เรซซิ่ง ทีม มี 40 คะแนน ไล่กดดันมาติด ๆ ด้วยคะแนนสะสมที่เท่ากัน พร้อมจะแซงบดขยี้กันขึ้นนำได้ใน 2 เรซตัดสินนี้

     

    สำหรับการแข่งขันในรุ่นเล็กอย่าง สปอร์ต โปรดักชั่น 400 ซีซี ที่มีนักบิดต่างชาติลงแข่งขันและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ผู้นำบนตารางคะแนนเป็นของ ทัสมาย คาเรียปปา นักบิดอินเดีย จาก เน็กซ์เตอร์ ลิควิ โมลี ยามาฮ่า โมริเท็ค เอวีอาร์พี เรซซิ่ง มี 45 คะแนน อันดับ 2 หนี เถียน นักบิดจีนจาก ศักดิ์สิริ เรซซิ่ง ทีม บุรีรัมย์  27 คะแนน อันดับ 3 ลูปิน ทัคคัลละปัลลี นักบิดอินเดียอีกคนจาก เน็กซ์เตอร์ ลิควิ โมลี ยามาฮ่า โมริเท็ค เอวีอาร์พี เรซซิ่ง คะแนนตามติดมี 26 คะแนน

    เปิดตัว! ซูเปอร์สต็อก 1000 ซีซี เอ็นดูรานซ์ : บททดสอบ “ความเร็ว ความอึด และทีมเวิร์ก”

     

    นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าววว่า “สนามสุดท้ายคือ ความสำคัญสูงสุดของฤดูกาลนี้ ทุกคะแนนมีค่า และเราจะได้เห็นการทุ่มเทอย่างสุดกำลังของนักแข่งทุกคนเพื่อคว้า บัลลังก์แชมป์ประจำปีมาครอง ”

    ความพิเศษของสนามนี้ว่า นอกจากการตัดสินแชมป์ประจำปีที่มี 2 เรซสุดเดือดแล้ว เรายังได้เพิ่มความตื่นเต้นด้วยรุ่นใหม่! ซูเปอร์สต็อก 1000 ซีซี เอ็นดูรานซ์ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ NEXZTER BRIC Superbike นี่คือการแข่งขันที่แตกต่างออกไป เป็นการดวลความอึดต่อเนื่อง 120 นาทีเต็ม ที่ไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วของนักแข่ง แต่คือบทพิสูจน์ของทีมงานทั้งหมด ทั้งกลยุทธ์พิตสต็อป การบริหารเชื้อเพลิง และการทำงานเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ แข่งขันกันในวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย. 2568 นี้ เวลา 15.25 – 17.25 น.

    มาร่วมติดตามการแข่งขันและให้กำลังใจนักบิดไทยได้ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยสามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ที่หน้างาน วันเสาร์ที่ 22 พ.ย. และ วันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย. บริเวณทางขึ้น Grandstand ราคาเพียง 100 บาท/วัน, บัตรวีไอพี 500 บาท / 1 วัน! ร่วมกิจกรรมพิตวอล์ค กระทบไหล่นักบิด พร้อมกิจกรรมความสนุก ลุ้นรับของที่ระลึกมากมาย ในวันอาทิตย์ เวลา 11.40-12.10 น. “ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย”

     

    ทั้งนี้ ศึก “เน็กซ์เตอร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์” สนามที่ 4 จะเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมและควอลิฟาย เพื่อจัดอันดับสตาร์ตในวันศุกร์ที่ 21 พ.ย. วันเสาร์ที่ 22 พ.ย. เป็นการชิงชัยในเรซที่ 1 และปิดท้ายรอบชิงชนะเลิศ เรซที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย.นี้

     

    พิเศษ! บัตรชมการแข่งขัน “เน็กซ์เตอร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์” มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลใหญ่บัตร VIP โค้ง 12 และบัตร Paddock Pass + Official Guide Tour  (Paddock Raffle) และบัตร PIT Lane Walk ชมการแข่งขันโมโตจีพี 2026 ในกิจกรรม “Chang Int’s Friend Pass” เพียงถ่ายรูปคู่กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มตราช้าง และบัตรชมการแข่งขัน ภายในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต แล้วโพสต์รูปลง Facebook ส่วนตัวและบรรยายความรู้สึก พร้อมติด #ChangFriendPass และ Tag ไปยังเพจ Chang Circuit Buriram รวมถึงเปิดเป็นสาธารณะ และ Capture ภาพที่โพสต์ส่งมาที่ inbox เพจ Chang Circuit Buriram เพื่อยืนยันร่วมกิจกรรม

     

    ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางแฟนเพจ Chang Circuit Buriram และ BRIC Superbike 2025


    ทาง Realtime car magazine ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมกันนะครับ และยังสามารถไปติดตามเราต่อได้ที่นี่เลย

    Website : https://www.realtimecarmagazine.com/newsite/
    Facebook : https://www.facebook.com/realtimecarmagazinecom/
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCeamIIu312yD-jYJUzOd7kQ
    instagram : https://www.instagram.com/realtimecar_m
    Tiktok : https://www.tiktok.com/@realtimecar
    Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/al/QdvMMZFrQR
    Thread : https://www.threads.net/@realtimecar_magazine


    No Comment